แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:45] ฟังธรรมกัน หมู่นี้หลวงพ่อก็ไม่ค่อยได้อยู่วัด ไปโน่นไปนี่ ไปไหนๆ ก็ไปสอนธรรม ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น เป็นเรื่องรีบด่วน เพราะชีวิตของเรา ก็มีหลายอย่างที่เรายังไม่ค่อยรู้จักแจ่มแจ้ง ให้กายให้จิตใจหลอกตัวเอง แทนที่มันจะหลอกไม่ได้ เราก็แพ้ต่อกาย แพ้ต่อจิตใจ อะไรที่แสดงออกทางกายทางจิต เราก็จำนนทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ไม่ควรที่จะเป็นอย่างนั้น ในหลักคำสอนพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เอาชนะกายเอาชนะจิตใจ เอาชนะกายก็คือตัวปัญญา ไม่ใช่ไม่กินไม่หลับไม่นอนไม่ใช่แบบนั้น หมายถึงตัวปัญญา ชนะจิตใจก็คือตัวปัญญา ไม่ต้องไปรบไปราไปสู้เหมือนกับศัตรูคู่อริอย่างอื่น มีแต่การเจริญสติ รู้จักรู้แจ่มแจ้ง อะไรที่พะรุงพะรังเฉือนออก เฉือนส่วนขี้ริ้ว คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง ความวิตกกังวล อันนี้เรียกว่าขี้ริ้วของชีวิต พระพุทธเจ้าเฉือนออกหมดสิ้นแล้ว ให้หมดจดแล้วชีวิตท่าน
การเจริญสติก็เริ่มต้นตั้งแต่การเจริญสติไปในกาย จนเห็นกายตามความเป็นจริง เป็นเฉลยออกไปได้ว่ากายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เราเฉือนออกแล้ว เฉือนขี้ริ้วออกแล้ว ที่จะเอากายมาเป็นตน ที่จะเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่มี มีแต่ตัวปัญญา เห็นอย่างแจ่มแจ้ง อะไรที่มันเป็นเรื่องของกาย เห็นหมดเห็นครบเห็นถ้วน เป็นตัวปัญญา เหลือแต่เอาไปใช้ ที่เป็นให้กายทำความดี ไม่ให้กายมาเป็นตัวที่ทำความชั่ว เอากายมาละความชั่ว เอากายมาทำความดี ฉันเห็นอะไรต่างๆ ที่มัน หลักสูตรของมันก็มีตามที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบ ทุกคนก็เห็นเหมือนกัน เราเคลื่อนเราไหว เราก็เห็นมันเคลื่อนมันไหว ที่เป็นส่วนกาย เปิดออกมาให้มันเห็น แสดงให้มันดู เอามาแสดงให้สติดู เอากายมาแสดงให้มันเห็น ให้มันเกิดความรู้ มาปลูกมาฝัง มาเป็นวัสดุอุปกรณ์ สร้างความรู้ อย่าให้มันไปสร้างแต่ความหลง สิ่งไหนที่มันจะหลง มันออกมาโชว์ เรื่องของกายเรื่องของเวทนาบ้าง เวทนาคือสุขคือทุกข์ที่มันเกิดขึ้นกับกายเนี่ย มันเป็นสุขเป็นทุกข์จริงหรือเวทนานั้น เห็นไปลึกๆ กว่านั้นได้ไหม
เวทนา สรรพเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไปข้ามล่วงไปนะ เอาไว้หลัง ข้ามล่วงไป เพราะว่าตัวเวทนามันก็โชว์นะ มันโชว์ของหน้าของตา เราก็เห็นมันอีก ตัวสติเข้าไปดูไปเห็น จนเกิดความรู้แจ้ง ว่าเวทนา สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่เอาเวทนามาเป็นสุข ไม่เอาเวทนามาเป็นทุกข์ ไม่เอาเวทนามาเป็นตัวปัญญา รู้อย่างแจ่มแจ้ง ที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์เฉือนออก มันเป็นส่วนขี้ริ้ว มันไม่จำเป็น แม้แต่ตัวปัญญาไปกำกับ ไปตรวจสอบ มันหลุดออกไป บางทีก็ไปเห็นจิต จิตมันก็ซุกซนเหลือเกิน เวลาเราเจริญสติเนี่ย แซงหน้าแซงหลัง คิดโน่นคิดนี่ ไปได้ทุกที่ทุกทาง จิตนี่สำส่อน สำส่อน ออกไปง่าย เข้าไปง่าย กายนี่เปรียบเหมือนถ้ำ จิตนั้นเหมือนสัตว์อันหนึ่งที่อยู่ในถ้ำ ผลุดออกไป พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบอย่างนั้น ว่ารู้เห็นมัน คิดได้คิดดี ไม่ได้ตั้งใจมันก็คิดขึ้นมาเอง คิดขึ้นมาเราก็ไปตามอาการที่มันคิด เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิดตัวเอง เกิดความรักความชังเพราะความคิดตัวเอง เกิดความโลภความโกรธความหลงเพราะความคิดตัวเอง เกิดความวิตกกังวลเศร้าหมอง เพราะความคิดตัวเอง เมื่อมันคิดขึ้นมา ของที่เคยรักก็ชังได้ ของที่เคยชังก็รักได้ จนถึงกับฆ่ากัน ทำลายกัน ล้างผลาญกันได้เพราะความคิด มาดูสิ จริง ๆ ดูสิ มันคืออะไร ฝึกจิตที่มันคิดเนี่ย มันไม่ใช่ตัวตน มันเกิดขึ้นมา จิตมันก็คิด มันมีสองอย่าง ตั้งใจคิด ไม่ได้ตั้งใจคิด ตัวคิดที่ตั้งใจ มีไม่มากเท่าไหร่หรอก ดีไม่ดีขี้เกียจคิดด้วยซ้ำไป แต่ตัวคิดที่ไม่ได้ตั้งใจน่ะ มันมากมาย ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่า สังขาร หรือ สมุทัย ตัวนี้มันขยัน แล้วเค้าก็ขยันเนี่ย ตัวสังขารนี่ เป็นตัวขยัน เหมือนช่างปั้นหม้อ เป็นอาชีพ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบตัวคิดนี่ เหมือนช่างปั้นหม้อ ช่างปั้นหม้อนี่ จะปั้นลูกสวยลูกไม่สวย ลูกใหญ่ลูกเล็ก ก็แตกทั้งนั้นน่ะ ไม่จีรังยั่งยืน
ความคิดของจิตที่ไม่ได้ตั้งใจนี่ ไม่ใช่ตัวใช่ตนจริงๆ ไม่ใช่ตัวใช่ตนจริงๆ จนเห็นว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีสติเข้าไปดูไปเห็น รู้อย่างแจ่มแจ้ง เรียกว่าเฉือนส่วนขี้ริ้วออกอีก เหลือแต่เนื้อบัดนี้อ่ะ เอาจิตมาทำประโยชน์ พอมีปัญญาเกิดขึ้น เห็นกายก็เป็นปัญญา เห็นเวทนาก็เป็นปัญญา เห็นจิตที่มันคิดก็เป็นปัญญา แต่ก่อนมันหลง ความหลงเกิดจากความคิดมีมาก ส่วนมากมักจะหลง จิตมันมาแล้วก็นอนไม่หลับ คิดขึ้นมาแล้วน้ำตาร่วงตาไหล โกรธใจสั่น กังวล เศร้าหมอง อะไรต่างๆ นั่นคือความคิด คิดขึ้นมาแล้วเป็นได้ทุกอย่าง หอบหิ้วเราไป เห็นแจ่มแจ้งแล้วนะ เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นความคิด เอาไว้หลัง อะไรเป็นความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ มันเห็นชัดกว่าอย่างอื่น
[08:20] ถ้าจะพูดแล้ว ตัวคิดที่ไม่ได้ตั้งใจเนี่ย เป็นสิ่งสกปรกกว่ากาย ถ้าเป็นสิ่งที่มาเปรอะเปื้อนชีวิตเราก็คือความคิด ถ้าจะเป็นบาป เป็นจำเลยก็หมายเลขหนึ่ง ที่พาให้เราทำบาปทำกรรม ตัวคิดนี่ แต่ว่าโลกทั้งหลายเขาไม่ได้จับตรงนี้ เค้าไม่ได้ดูตรงนี้ เขาไปเอาผิดจากกายจากคำพูด จับกุมคุมขังหรือประหารชีวิตกัน แต่เขาไม่รู้ว่าหลักมันจริงๆ ต้นเหตุนั้นคือความคิด เอามาดูอีกทีหนึ่ง ต้นเหตุจริงๆ ก็ไม่ใช่ความคิด เป็นตัวหลง ตัวหลง ก็พอดีกับเรามาสร้างตัวรู้ ตัวรู้สึกตัวประกบกับตัวหลง ก็เลยไปไม่รอด ตัวหลงไปไม่รอด แสดงออกทางไหนก็รู้ แสดงออกทางกายก็เห็นว่า กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แสดงออกทางเวทนา ก็เห็นเป็นเวทนา ไม่ได้หลงเลยกว่านั้น ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แสดงออกทางจิตก็เห็น ไม่ได้หลงตรงนี้ ถ้าเป็นด่านก็กักเราไว้ไม่ได้แล้ว มันกักเราไม่อยู่แล้ว เพราะเรารู้แจ้ง เราชอบธรรม สักแต่ว่าสักแต่ว่า เป็นความชอบธรรม ไม่ใช่กู ไม่ใช่ตน อันไหนที่มันเกิดขึ้นกลายเป็นกูเป็นตน อันนั้นไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรม เวทนาความคิดก็ดี ไม่ใช่ตนอยู่ในความคิด บางทีเราไปเอาความคิดที่เป็นตัวเป็นตน มาเป็นตัวเป็นตน เช่น มันโกรธ บางทีไปเอาความโกรธมาเป็นตัวเป็นตน ระวังนะถ้ากูได้โกรธเนี่ยไม่ใช่คนนี้นะ ถ้ากูได้โกรธให้ตายกูก็ไม่ลืมนะ ถ้ากูได้โกรธ กูไม่ด่ามัน กูไม่ยอมนะ ร้ายไปกว่านั้น ถ้ากูได้โกรธแล้ว กูไม่ได้ฆ่ามัน กูไม่ยอม เอาตัวตน เอามาเป็นตัวเป็นตน เอาความโกรธมาเป็นตัวเป็นตน ถูกความโกรธหลอกพาให้เสียผู้เสียคน มาเป็นจำนวนมาก
เราเสียเวลากับความคิด ความโกรธความโลภความหลงนานเท่าไหร่ กี่ภพกี่ชาติต่อกันมาต่อกันมา จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้
แค่นี้นะ มันจะ..ทำไมเราจึงไปยอมไปจำนนต่อมัน พอมามีสติแล้วนี่ โอ้ มันก็แค่นี้เองหนอ มันเส้นผมบังภูเขา เส้นผมบังภูเขา เพียงแต่พูดว่าความโลภความโกรธความหลงเราก็ยอมแล้ว มอบให้พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะทำลายความโลภความโกรธความหลงลงได้ นอกจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เป็นคำพูดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเนี่ย มันเป็นเพื่อมนุษยชาติทั้งหมด สามารถปฏิบัติได้ รู้ได้ เห็นได้ ให้ผลได้ทุกคน
วิธีที่เราทำ วิธีที่เราปฏิบัติ หลวงพ่อจึงรีบด่วนไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไปบอกไปสอนคนทั่วๆ ไป ไปรอบโลกก็ไปแล้วหลายประเทศ ไปพูดเรื่องนี้ พูดเรื่องการเจริญสติ การยกมือสร้างจังหวะไปสาธิตอยู่กับพวกฝรั่งสหรัฐอเมริกา ยกมือขึ้นรู้ไหมภาษาเขาฝรั่งว่าอะไร Aware เหรอใช่ไหม ภาษาบ้านเราก็รู้สึกๆ ภาษาอีสานบ้านเฮาก็ฮู้เมื่อๆ อ้าว ตัวรู้สึกนี่เป็นของใคร บางคนก็พวกนับถือคริสตศาสนาก็เป็นของคริสต์หรือ ก็ไม่ใช่เป็นความรู้สึกตัว อ้าว พุทธหรือ เป็นของพุทธหรือ ไม่ใช่เป็นความรู้สึกตัว เป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นเด็กเป็นเล็ก คนเฒ่าคนแก่ อ้าว มันคือความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวเนี่ยมันเป็นสากล ว่าแต่ใครยกมือขึ้นรู้สึกตัวแล้ว ใช่แล้ว ไม่ต้องรอเลย นาทีเดียววินาทีเดียวเสี้ยววินาที ไม่ต้องรอรู้สึกกันทั้งนั้น ถ้ารู้มันเป็นยังไง ถ้ารู้มันก็ไม่หลง แต่เวลาใดมันหลงรู้สึกตัว ความหลงก็หมดไป ความรู้สึกตัวไปแทนทันที ถูกต้อง เราสัมผัสกับความรู้ เราสัมผัสกับความรู้หลายวัน พอมันหลงปั๊บขึ้นมา ไม่มีอะไรที่จะเห็นชัดเท่ากับความหลง ชีวิตเรามีตัวรู้ตัวหลง มีตัวรู้ตัวหลงเท่านั้น เอาจริงๆ น่ะ พอตัวหลงเกิดขึ้นรู้ปั๊บ รู้ปั๊บ เอ้า ถ้าเป็นบุญก็เอา ละบาปแล้ว ทำบุญแล้ว ตัวรู้เป็นบุญ ตัวหลงเป็นอวิชชา อวิชชาวิชชา วิชชาคือตัวสติ ตัวรู้ อวิชชาคือตัวไม่รู้ ตัวหลง เปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชา ถ้าตัวหลงตัวคิดเป็นสังขาร ตัวรู้สึกตัวเป็นวิสังขาร เนี่ยเอามันอย่างนี้ ปฏิบัติธรรม เอามันสุดยอด ทะลุทะลวงไปเลย
ในชีวิตของเราไม่มีตรงไหนที่จะลับ ไม่มีเลยในกายในจิตของเรา เปิดตัว การเจริญความรู้สึกตัวเนี่ย พระพุทธเจ้าว่าเปรียบเหมือนหงายของคว่ำ หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น เหมือนกับเปิดของที่ปิดอยู่ให้เปิดออก ความรู้สึกตัวเป็นการเปิดคำว่ารู้ รู้แล้ว เห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิต อ้าว สุดท้ายคือเห็นธรรม ธรรมคือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับจิตกับใจ มีเหมือนกัน ความสุข ความทุกข์ ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย ความพยาบาท กามราคะ เป็นบุญก็มีความสงบ ความรู้ ความสุข อันนั้นเรียกว่าธรรม มันครอบงำจิต เป็นคู่ของจิต สิ่งที่มันเป็นคู่ของจิต มันเฉพาะส่วนตัว เฉพาะส่วนตัวของจิต เป็นธรรม ธรรมมันนี่ มันมีหลายอย่าง เป็นกุศล ฝ่ายกุศลก็คือ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ดำเนินไปๆ กุศลต้องสร้าง อกุศลต้องละแล้วบัดนี้น่ะ เห็นธรรม เห็นธรรมที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจของเรา อย่าเอามาเป็นตัวเป็นตน ก็สักแต่ว่าเหมือนกันนะ ธรรมสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อ่ะ เห็น เห็นจริงๆ ถ้าเป็นด่านสี่ด่าน กักเราไม่อยู่แล้ว กักไม่อยู่แล้ว ไปตะพืดตะพือแล้วแต่บัดนี้ ถ้าเป็นการ ไปไหนล่ะ ไปจากความหลงไปสู่ความรู้ ไปจากความไม่รู้ไปสู่ความรู้ ไปจากอวิชชาไปมีวิชชา ตัวรู้นี่ เป็นธรรมได้สัมผัสได้ สัมผัสกับตัวรู้ได้ สัมผัสกับตัวรู้เนี่ย โอ้ ขนหัวลุกนะ เห็นอะไรก็ไม่ใช่ไม่เท่ากับเห็นชีวิตของเรา ทัศนานุตริยะ ทัศนานุตริยะ ไม่ใช่ไปท่องเที่ยวทั่วโลก ทัศนานุตริยะ เนี่ยเห็นเรื่องของกายของจิตใจเรา มันมีอะไร รู้หมด รู้ครบ รู้ถ้วน เมื่อมีการเห็นเกิดขึ้น ก็ปฏิปทานุตริยะ เกี่ยวข้องกับกายกับจิต เกี่ยวข้องกับกายกับเวทนากับจิตกับธรรมถูกต้อง แต่ปฏิปทา แปลว่าหลงก็ละความหลงมีความรู้สึกตัวเข้าไปแล้ว แต่ก่อนนี้ความหลงสร้างความหลง ความหลงสร้างความหลง บัดนี้ความหลงสร้างความรู้สึกตัว ปฏิปทา ความโกรธสร้างความโกรธสมัยก่อน บัดนี้ความโกรธสร้างความรู้สึกตัว ความทุกข์สร้างความรู้สึกตัว
[16:45] อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ตัวรู้สึกตัวนี้เป็นตัวเฉลยได้ทั้งหมดเลย เฉลยได้ทั้งหมดเลยนะ เอาละ คล้ายๆ กับว่าเอาไว้หลังได้บ้าง สิ่งที่ไม่รู้ก็เกิดรู้ขึ้นมา รู้แจ้งด้วย รู้แบบนี้ไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ ตัวเองต้องตอบเอาเอง รู้แบบนี้ รู้แบบเป็นปัจจัตตัง เห็นความหลงก็หัวเราะความหลง เห็นความทุกข์หัวเราะความทุกข์ ไม่ได้ทำอะไรเพียงแต่รู้อย่างเดียว เงียบไปเลย ถ้าเป็นฤาษีตาไฟก็ไหม้แล้ว วอดไปแล้ว เป็นฌาน เป็นการเพ่งเผา ไม่เหลือ ไม่เหลือ เป็นการชนะตัวเอง การชนะตัวเองแบบนี้ มันเป็นการสุดยอดของการชนะทั้งหลายในโลก ชนะตัวเองนี่ อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย ชนะตัวเองนั่นแลเป็นดี ชนะคนอื่นร้อยครั้งพันหน ไม่เท่าชนะตนครั้งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ เรามาเห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิตเห็นธรรม ได้ทิศได้ทาง ถ้าเป็นทางก็ผ่านได้ ผ่านได้ ถ้าเป็นทาง ถ้าเป็นทางในประเทศไทยเราก็ Highway เหรอ Highway เหรอ เค้าเรียกว่า Highway ถ้าเป็นสหรัฐฯ เค้าเรียกว่าอะไร สหรัฐฯ เค้ามี Freeway นะ เออ หลวงพ่อเคยไปอยู่สหรัฐฯ นะ Freeway Pathway นะ เขารถบรรทุก เขาก็วิ่งเฉพาะบรรทุกนะ รถนั่งก็เฉพาะรถนั่ง รถโดยสารก็เฉพาะรถโดยสารนะ เค้าเรียกว่า Freeway ไม่ปนกัน รถของประเทศเขาไม่เคยชนข้างหน้า ไม่ใช่ประสานงา ถ้าชนก็ข้างหลัง เขาพยายามที่จะทำให้รถชนข้างหลัง ไม่มีคำว่าข้างๆ ข้างหน้าไม่มีเลย เรียกว่า Freeway การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ได้โอกาสได้ทาง ทาง Freeway ด้วย ผ่านได้เลยนะ ปฏิบัติธรรมพบทาง พระพุทธเจ้าเทศน์กัณฑ์แรกนี่ เทศน์เรื่องทาง ไม่ใช่เทศน์เรื่องอะไร ธัมมจักกัปวัตนสูตร พูดเรื่องทางของชีวิตหรอก ทางสุดโต่ง ทางตัน ทางผ่าน ไปเจอความหลงก็หลงอยู่ตรงนั้น เสียเวลาอยู่กับความหลงนานไหม ชั่วโมงหนึ่งมีไหม ไปเจอความโกรธ ก็จนอยู่ในความโกรธ โกรธอยู่ข้ามวันข้ามคืนมีไหม แสดงว่าทางตันไม่ผ่าน จนเอามาคิด มาคิดเรื่องนั้น คิดได้คิดดี โกรธให้น้องก็ตีน้อง โกรธให้เพื่อนก็ตีเพื่อน ด่ากันได้ เนี่ยมันเสียเวลาทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็น ไม่จำเป็นจริงๆ
เราเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้มามากแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ เสียผู้เสียคนไปก็มี บางผู้บางคน ขอให้ได้พูดเรื่องนี้กันเถอะพวกเรา ฐานะที่เป็นชาวพุทธบริษัท ถ้าพุทธบริษัททำลายสิ่งเหล่านี้ลงไม่ได้ อย่าไปเรียกว่าตัวเองเป็นพุทธบริษัทเลย พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ไม่ใช่พูดแต่ปาก พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าเห็นพุทธะตัวนี่คือตัวปัญญา ทำลายสิ่งเหล่านี้ลงได้เบาบางหรือหมดไป จึงจะเรียกว่าพุทธะนะ ตามหลักของปรมัตถสภาวธรรม ตามหลักของสมมติก็เป็นทะเบียนบ้านเรียกว่าพุทธศาสนา แต่ยังโกรธยังโลภยังหลงอยู่ ไม่ใช่ ยังทุกข์อยู่ก็ไม่ใช่ พุทธบริษัทจริงๆ ไม่ต้องทุกข์ ข้าพเจ้าอาศัยพระพุทธเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ข้าพเจ้าอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งเป็นที่สรณะ ข้าพเจ้าอาศัยพระธรรมแล้วข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ข้าพเจ้าอาศัยพระสงฆ์เป็นที่พึ่งสรณะ ข้าพเจ้าอาศัยพระสงฆ์แล้วจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตาจะ พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตาจะ พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ สังโฆ ทุกขัสสะ เราสวดเมื่อกี้ได้ยินไหม พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ ตรงนี้เข้าไปตรงนี้เข้าไป ไม่ใช่ไปถืออวดกัน ไม่ใช่นะ ต้องเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ โอ้ ถ้าจะยกมือไหว้ตัวเราเอง โอ้ เราเป็นพุทธบริษัท เราเป็นพระพุทธ เป็นพุทธศาสนา จิตใจต่างเก่าล่วงพ้นภาวะเดิม
อันนี้นะ ปฏิบัติธรรมนะ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระตือรือร้น เขาพัฒนาแบบนี้ทุกวันนี้ เขาไปไกลแล้ว ผู้นับถือพุทธศาสนาในภาคปฏิบัติเขาไปไกลแล้ว เรายังมาโลภมาโกรธมาหลงมาอิจฉาพยาบาทกันทำไม มันมีประโยชน์อะไร บางทีนี่ทำให้เสียเวลามากทีเดียว สามีภรรยาแตกแยกกันเพราะความโลภความโกรธความหลง ทั้งๆ ที่มันไม่มีตัวมีตน มันก็เป็นอารมณ์เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่ตัวใช่ตน มาเห็นธรรม ธรรมอารมณ์เป็นธรรมไม่ใช่จิต เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิต ไม่ใช่จิตเด็ดขาดเลย บางทีเราคิดว่าโกรธ เรานึกว่าเราโกรธ กูโกรธ ไม่ใช่ ทำยากใจของบางคน ทำใจได้ยาก ไม่มั่นใจตัวเอง อย่าไปพูดให้ใครได้ยิน น่าอาย น่าอายมากๆ เลยพูดแบบนี้ ฉันไม่มั่นใจตัวฉัน ผมไม่มั่นใจตัวผม ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ขออย่าไปพูดเลยคำนี้ น่าอายที่สุด อายอะไร แล้วถ้าหลวงพ่อว่า อายหมา ขอโทษด้วย ไปพูดอะไรใจของเรามันต้องมั่นใจ ต้องพึ่งให้มันได้ใจของเรานะ ต้องพึ่ง ใจเรามันต้องพึ่งใจเรา เอาไว้ตรงนี้ เอาตรงที่ไม่เป็นอะไร มันมีที่อยู่ ใจคืออะไร ปกติ ที่อยู่ของใจปกติ แล้วปกติทำได้ง่าย ทำได้ง่ายมาก ไม่ยากเหมือนกับความปรุงแต่งฟุ้งซ่าน การปกตินี่ โอ้ย ได้พักผ่อน ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน นอนก็หลับสบาย ถ้าไม่ปกตินี่ กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางคืนว่าฝันกลางวันว่าคิด โอ้ย หมดพลังงานเลย คิดมากๆ หมดพลังงานนะ หมดพลังงาน ใจคอไม่ค่อยดี หน้าซีดนะ ไม่ชัดไม่เจน
ก็นี่เรื่องนี้ ขอให้เป็นชีวิตชีวาของเรา แล้ววิธีอื่นก็ไม่มีแล้ว มีแต่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เทคโนโลยี ไม่ใช่อะไรต่างๆ เป็นการเจริญสติล้วนๆ การปฏิบัติธรรมเนี่ย ตรงเข้าไปอย่างนี้นะ ตรงเข้าไปอย่างนี้ อย่างพระพุทธเจ้าของเราเมื่อตรัสรู้ ของพระองค์ได้เกิดอะไรขึ้น ปีนี้เขาออกข้อสอบ ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้มีญาณอะไรเกิดขึ้นแก่พระองค์ มีญาณลักษณะแบบไหน ในตำราเขามีว่าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกถึงกาลเก่ากาลหลัง ข้างหน้าข้างหลัง ถอยกลับถอยไปหน้าได้ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ คิดมาเห็นรูปเห็นนาม มาเห็นกายเห็นจิตตามความเป็นจริง มันล่วงออกมาได้ แต่ก่อนเราอยู่ตรงนั้นนะ บัดนี้เรามาอยู่ตรงนี้ บุพเพ จะให้ไปโกรธอีกมันทำไม่ได้ จะให้ไปทุกข์อีกมันทำไม่ได้ บุพเพ แต่ก่อนเราอยู่ตรงนั้น โอ้ย ขนหัวลุก บัดนี้เราอยู่ตรงนี้สะอาด เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ไม่เล่นขี้โคลนเหมือนเด็ก แต่เหมือนสมัยเป็นเด็กนี่ปล่อยให้เล่นขี้โคลนก็ชอบมาก พ่อแม่ก็เห็นลูกเล่นขี้โคลนเอามาล้าง ไอ้เด็กมันก็ยังเล่นอยู่ พอผู้ใหญ่ไปเห็นเอามาล้าง บัดนี้เราเป็นผู้ใหญ่ไม่เล่นขี้โคลน ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ปรุง ไม่แต่ง บริสุทธิ์จิตใจ ไม่ฟู ไม่แฟบ จิตใจบริสุทธิ์ นะ บริสุทธิ์ต่ออะไรหลายอย่าง ตรงต่ออะไรหลายอย่าง ตรงต่อเพื่อน ตรงต่อเวลา ตรงต่อการงาน ตรงต่อศีล ตรงต่อธรรม มันมีความสุขจริงๆ ถ้าจะเป็นความสุข มันมีความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าปกปิดซ่อนเร้น เหมือนบ่อที่เทขยะมูลฝอยเน่าในเปียกแฉะไม่มี บริสุทธิ์ บริสุทธิ์นะ บุพเพมันคิดจะให้ไปโกรธอีก โอ้ย ทำไม่ได้ ขนหัวลุก แม้แต่คิดมันก็ไม่กล้าแล้ว ตัวคิดนี่ก็เปรอะเปื้อนแล้ว ตัวคิดนะ เปรอะเปื้อนกว่ากายที่ไปทำ ตัวคิดนี่มันต้องเป็นจำเลยที่หนึ่ง คือความคิด จำเลยที่สองคือกาย เบากว่า แต่ตัวหนักคือตัวคิด ตัวคิดคือตัวหลง พอดีกับเราสร้างตัวรู้ขึ้นมา เนี่ย เห็นไปแบบนี้นะ
[26:18] จุตูปปาตญาณ รู้จักที่ตั้งที่เกิดของชีวิตเรา ตั้งไว้ตรงไหน จุตู แปลว่าที่เกิดที่ดับ จุตูนี่ รู้จักแล้ว ควบคุมได้แล้ว ควบคุมการใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้อง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ตบหน้าตบหลัง บางคนปฏิบัติไม่ถูก ต้องนั่งหลับหูหลับตา ไม่ต้องเห็นอะไร บริกรรมลงไป พุทโธลงไป สัมมาอรหังลงไป ยุบหนอพองหนอลง ปิดตาไม่ต้องฟังอะไร เข้าดงเข้าป่าไม่ดูผู้ดูคน ไม่ใช่ ต้องลืมตา ต้องหูได้ยิน อะไรก็ตามเห็นมันเนี่ย
จุตูแปลว่าเราดู จุตูแปลว่าเป็นผู้ดู ไม่ได้เป็นผู้เป็น ไม่ได้เข้าไปเป็น อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ เห็นมัน
ถ้าเห็นเราก็หลุดพ้นแล้ว จุตูแปลว่าที่เกิดที่ดับที่ตั้ง โอ้ย ญาณ ญาณเกิดขึ้นแล้ว ควบคุมได้ ชีวิตของเรานี่แปดหมื่นสี่พันเรื่องควบคุมได้ ตัวรู้ตัวหลง อาสวักขยญาณ รู้จักทำกิเลสเบาบางลงไป ชาวพุทธเรา พุทธศาสนาต้องชนะกิเลสได้บ้าง กิเลสก็คือทำสิ่งไหนที่ทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง สิ่งไหนที่ทำให้จิตใจเราเศร้าหมองเอาชนะได้บ้าง เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลง มันยากขนาดไหน มีสิทธิไหม เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ มีสิทธิไหม ทำไมไม่เปลี่ยน มันดีขนาดไหนจะต้องไปยึดเอาไว้ ความโกรธ เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ เรียกว่าอาสวักขยญาณน้อยๆ ขึ้นไป เป็นโพธิขึ้นไป อาสวักขยญาณทำลายกิเลสให้หมดลงไปได้บ้าง ไม่ใช่เราจะแพ้ไปจนตายนะสิ่งเหล่านี้นะ เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลง มันยากขนาดไหน เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ เหงื่อไม่ออก เพียงแต่รู้สึกตัวเท่านั้นนะ ความรู้สึกตัวเป็นเครื่องทุ่นแรง ความรู้สึกตัวเป็นเครื่องทุ่นแรง ของยากทำให้ง่าย ของหนักทำให้เบา เราจึงมาสอนกันวิธีนี้ ให้สร้างสติ ให้สร้างสติ เมื่อมีสติมันจะเป็นยังไง พิสูจน์ตรงนี้ สร้างตรงนี้ เอากรรมเอาการกระทำ เอากรรมบุกเบิก ไม่ต้องไปใช้หัวคิดปัญญาเหตุผล ต้องเอาการกระทำรู้ไป รู้ไป สัมผัส เอากายไปตอบไปจุ่ม เอาความรู้สึกตัว เอาจิตเอาใจไปจุ่มเอาความรู้สึกตัว ให้ความรู้สึกตัวเดินอยู่ในกายของเรา ให้ความรู้สึกตัวเดินอยู่ในใจของเรา ในกายในใจมีแต่ร่องรอยแห่งความรู้สึกตัว ให้มันมาก ลองดู
หลวงพ่อก็พูดให้ฟัง เอาเท่านี้ก่อนเนอะ เท่านี้เนอะ พูดไปหลายมันยาวมันยืด ปิดพุ่มไม้ ความเว้าแห่งหลาย สี่สิบปี พูดมานี่สี่สิบปีแล้วนะ พูดกลอนเก่าเรื่องเก่านี่แหละ เบื่อไหม มาที่นี่ต้องสอนกันเรื่องนี้นะ ไม่ใช่ไปสอนอะไร ต้องสอนให้มีสติ ให้มีสติ ให้รู้สึกตัว ให้รู้สึกตัวนะ