แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลานี้พวกเรากำลังศึกษา ถลุงย่อย ศึกษาแปลว่าถลุงมาจากคำว่าสิกขา สิกขาก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มันเป็นศีล ให้มันเป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญา ให้รู้จักการศึกษาจากการถลุง โดยเฉพาะวิชากรรมฐานเป็นการถลุงง่ายๆ เครื่องทุ่นแรงง่ายๆ มีสติเป็นสิกขาแล้วถลุงแล้ว ความโกรธมันยิ่งใหญ่ ความมีสติมันก็ถลุงออกแล้ว ความโลภ ความหลง ความทุกข์ต่างๆ มันก็มีเท่านี้ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมมากมาย 84,000 เรื่อง มีพระไตรปิฎก ปิฎกแปลว่าตะกร้า ไตรแปลว่าสาม สามตะกร้า พระสุตตันตปิฎก 24,000 พระธรรมขันธ์ พระวินัย 22,000 พระธรรมขันธ์ พระอภิธรรม 44,000 พระธรรมขันธ์ รวมแล้วเป็น 84,000 พระธรรมขันธ์
พระพุทธเจ้าบอกว่าทั้งหมดคำสอนของเราตถาคต เท่ากับใบไม้ทั้งป่ามากเหมือนใบไม้ทั้งป่า ไม่สามารถที่จะรู้ได้ทุกใบทุกอะไรต่างๆ นับไม่ได้ แต่พระองค์กำใบไม้ขึ้นมานี้มีเท่านี้ ใบไม้ทั้งหมดในป่ากับใบไม้ในกำมือของเรานี้อันไหนมันมากกว่ากัน ภิกษุทั้งหลายก็ว่าใบไม้ในมือพระองค์น้อยนิดเดียว พระพุทธเจ้าก็บอกว่านี่แหละคำสอนของเราทั้งหมดเหมือนใบไม้ทั้งป่าแต่มาสอนพวกเธอเพียงใบไม้กำมือเดียวเท่านี้
เป็นคาถาสั้นๆ ทุกอย่างเกิดแต่เหตุดับแต่เหตุ เหมือนคาถาของอัสสชิสอนสารีบุตร สารีบุตรอยากฟังเห็นอัสสชิ เรียบง่าย เรียบร้อย น่าเลื่อมใส น่าศรัทธา ท่านองค์นี้รู้อะไรมาหนอ รู้ทำอะไร ทำไมจึงงดงามอย่างนี้ ใครเป็นครูของท่านหนอ ครูของท่านสอนยังไงหนอ ถามอัสสชิ อัสสชิก็บอกว่าเรานี้บวชใหม่ เพิ่งบวชมาได้เมื่อกี้นี่เอง ยังไม่มีปัญญาที่จะเทศนาสั่งสอนท่านได้ สารีบุตรก็บอกว่า เอาน้อยๆ ก็พอไม่ต้องมากก็ได้ คาถาพระอัสสชิ อัสสชิก็ตรัสลงไปว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวาเยสํ เหตํ ตถาคโตอาเหเตสญฺจ โย นิโรโธ จเอวํ วาที มหาสมโณติฯ ถ้าแปลเป็นภาษาบ้านเราว่าตถาคตสอนเราตั้งแต่สิ่งแต่เหตุ เกิดแต่เหตุ ดับที่เหตุ ตถาคตพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ครูของเราสอนเท่านี้
สารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมเลย จะกราบอัสสชิถือเป็นครูอาจารย์ อัสสชิบอกอย่าเลย แต่ก่อนสารีบุตรชื่ออุปติสสะ ไม่ต้องกราบอาตมา อาตมาเพิ่งเป็นพระบวชใหม่
เอาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเลยทีเดียว เป็นครูเลยทีเดียว สารีบุตรก็ถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใด อยู่โน่น กรุงราชคฤห์โน่น สารีบุตรก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า น้อยๆ เท่านี้ ใบไม้กำมือเดียวมันต้องมีเหตุ มันก็มีดับที่เหตุ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ 4 มีทุกข์ มีสมุทัย มีนิโรธ มรรค 4 ข้อนี้เหมือนกับมีเหตุมีผลสองอย่าง ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ มรรคเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล มีเท่านี้ ทำอันนี้สิ่งนี้มันก็เกิดขึ้น ต้องมีความรู้สึกตัวมันก็มีเหตุมันจึงไม่หลง พอไม่หลงก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นการกระทำ ทำอันเดียว รู้อันเดียวง่ายๆ เรียกว่าใบไม้กำมือเดียว ถ้าจะไล่ถึงคำสอนมีมาก
มีพระบางรูปพอบวชเข้ามาก็สอนเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็สอนก็ไม่ปัญญาที่จะรู้ได้ทั้งหมด จำยาก น้อยใจ คับแค้นใจ ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ กลัวเป็นบาป มีพี่ชายเป็นคนสอน พี่น้องกันมาบวช น้องชายเป็นคนปึกหนาสาโหดสอนอะไรก็ไม่จำ พี่ชายก็อายเพื่อน ไล่น้องชายสึกซะ อายเพื่อน น้องชายก็ร้องไห้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าว่าพี่ชายไล่สึก ทำไมจึงไล่สึก เพราะเรียนหนังสือยาก สอนอะไรก็ไม่ค่อยจำ ไม่มีปัญญา ไม่มีสมอง พระพุทธเจ้าก็ต้องบอกว่าจะเรียนอะไรไม่ต้องเรียนมากหรอก ก็เลยทิ้งผ้าขาวๆ ให้ผืนหนึ่งเท่าฝ่ามือนี่ ให้ปะนะเนี่ยลูบอยู่ ระโชหะระนัง ระโชหะระนัง ระโชหะระนัง ก็ลูบผ้าอยู่เรื่อยๆ ผ้าจากผ้าสีขาวก็กลายเป็นผ้าสีดำไปเลย ก็เลยมาเข้าใจ อ้อ จิตของเราเนี่ยมันไปสัมผัสกับอะไรจนเป็นกิเลสตัณหา ราคะ เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง เพราะมันสัมผัสไม่มีสติ ก็เลยเข้าใจบรรลุธรรมเลย เท่านี้ก็ได้บรรลุธรรมอย่าไปคิดยากเกินไป
บางทีในสมัยพระพุทธเจ้า ในเอหิภิกขุอุปสัมปทา การบวชใหม่เพียงแต่ตรัสว่าท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเราตรัสไว้ดีแล้ว ท่านจงเป็นผู้ประพฤติธรรมวินัยนั้นให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด ถ้าเท่านี้ก็ได้ปฏิบัติธรรมกัน ถ้าผู้ใดบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสท่านจงเป็นผู้ประพฤติธรรมนั้นเถิด ประพฤติธรรมตามนั้นเถิด ถ้าผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมก็จงประพฤติธรรมตามนั่นให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด แล้วก็หลีกเข้าไปในป่าไม้ โน้นโคนไม้ โน้นเรือนว่าง โน้นลอมฟาง โน้นถ้ำ ไม่มีกุฏิเบอร์หนึ่ง เบอร์สอง ส.หนึ่ง ส.สอง เหมือนวัด อยู่ที่โคนไม้ไปเลย นี่คือการศึกษาของเรา อย่าไปคิดว่ามันยุ่งมันยาก เวลามันหลงรู้สึกตัว มันยากอะไร ไล่ยุงมันยังยากกว่า ยากกว่า เวลายุงมันกัดต้องไล่ยุงมีมือมีผ้า แต่ว่าไม่ต้องไล่ก็ได้อยู่ในมุ้งซะ มีสติเหมือนมีมุ้ง นอนในมุ้ง ฟังเสียงยุงมันบินรอบมุ้ง มีสติเหมือนมีร่มในมือ เวลาฝนตกก็กางร่ม เวลาแดดออกก็กางร่ม แดดก็ไม่ร้อน ฝนก็ไม่เปียก มีสติเวลามันหลงรู้ ไม่เปียกด้วยความหลง เวลามันทุกข์รู้ ไม่เปียกด้วยความทุกข์ เวลามันโกรธรู้ ไม่เปียกด้วยความโกรธ เหมือนมีร่มในมือ เท่านี้ก็พอใช้แล้ว แต่ว่าต้องมีสติ ต้องฝึกให้มี ต้องหัดให้มี ต้องฝึกตนเองให้มี ไม่ใช่เรียนรู้ สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว ไม่ใช่คำพูด ทั้งการสัมผัส ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจเรา
หลวงตาเคยพูดว่าเอากายมาจุ่มเอาความรู้สึกตัว เอาใจมาจุ่มเอาความรู้สึกตัว ทีแรกก็เห็นเป็นกายเป็นใจ เมื่อมีสติเห็นไปเห็นมาเห็นเป็นรูปเป็นนาม มันแตกฉานได้ ถ้าเห็นเป็นกายเป็นใจมันเป็นดุ้นเป็นก้อน มันจนง่าย ถ้าร้อนก็เป็นคนร้อน ถ้าหนาวก็เป็นผู้หนาว ถ้าสุขก็เป็นผู้สุข ถ้าทุกข์ก็เป็นผู้ทุกข์ ถ้าโกรธก็เป็นผู้โกรธ ถ้าหลงก็เป็นผู้หลง ถ้าหิวก็เป็นผู้หิว ถ้าเจ็บถ้าปวดก็เป็นผู้เจ็บผู้ปวด ไม่เห็นเป็นกายเป็นใจ แต่ว่าเอานี้แหละมาเป็นสูตรก็เห็นเป็นรูปเป็นนามแล้ว เห็นบ่อย เห็นบ่อย เห็นบ่อย ต่อหน้าต่อตากันจริงๆ ความหลงความรู้ ไม่ใช่คิด ไม่ใช่คิดหามันเจอต่อหน้า ตาต่อตากัน หลงเกิดขึ้นก็รู้ ก็เลยเห็นอันเดียว เห็นอันเดียวก็เลยชำนาญ เห็นว่าเนี่ยเป็นรูป เป็นธรรมชาติ เป็นอาการ ความร้อนเป็นอาการของกายไม่ใช่ตัวตน ความหนาว ความปวด ความเมื่อย เป็นอาการของกายของรูป กายมันเป็นรูปมันไม่เป็นของใคร มันไม่มีใครเป็นใหญ่มันได้ มันเรื่องของกายเรื่องของรูปนี้มีธรรมชาติมันมีอาการของมันตามความเป็นจริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีใครห้ามมันได้
รูปเนี่ยเห็นเป็นรูป มันเป็นรูปจริงๆ ไม่เป็นของใคร เราเอาความร้อนมาเป็นเรา เราเอาความหนาวมาเป็นเรา เอาความปวดความเจ็บ อะไร ความทุกข์ต่างๆ มาเป็นตัวเป็นตน อันนั้นมันไม่ใช่เห็นรูปมันเป็นกาย มันเป็นตัวเป็นตนได้ง่ายต้องมีสติเห็นไม่เป็น มันร้อนเห็นมันร้อน มันหนาวเห็นมันหนาว มันปวดเห็นมันปวด มันสุขเห็นมันสุข มันทุกข์เห็นมันทุกข์ นี่เรียกว่า ระโชหะระนัง ระโชหะระนังไม่เปรอะเปื้อนกับความสุขความทุกข์ เป็นพรหมจรรย์แล้วไม่เป็นนี่เรียกว่าพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว จะเอายังไงมันก็อยู่อย่างนี้ อยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้ไม่ไกลสักหน่อย เป็นปัจจัตตัง เห็นเดี๋ยวนี้รู้เดี๋ยวนี้ทำได้เดี๋ยวนี้ปฏิบัติได้เดี๋ยวนี้อย่างเนี่ย เอาใจมาจุ่มเอา เวลาใดมันหลงรู้ อย่าให้ใจพาไปเป็นสุขเป็นทุกข์ หาคำตอบจากความคิด ได้เหตุได้ผลจากความคิด ตัดสินใจทำตามความคิด ความรักก็เกิดจากความคิด ความชังก็เกิดจากความคิด มันคิดขึ้นมารักก็รักไป มันคิดขึ้นมาโกรธก็เกลียดชังกันไป อย่างนี้ไม่ใช่
เราเห็นใจ ใจมันบริสุทธิ์อยู่ อันความรัก ความสุข ความทุกข์มันมาทีหลังไม่ใช่ใจ นั่นแหละเห็นว่าเป็นนามธรรม มันเป็นรูปเป็นนามจริงๆ เท่านี้ มันสรุปลงเท่านี้ ไม่ใช่กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ถ้าเห็นเป็นรูปเป็นนามมันย่อ มันกำมือเดียวจริงๆ เราก็เห็นต่อหน้าต่อตาเรานี้ ใครก็ตามมีกายมีใจเหมือนกัน จะเป็นคนชาติใดภาษาใด คนหนุ่มคนสาวเหมือนกันหมด แต่ถ้าเรามีสติดูมัน สนุก สนุก หลงจะได้รู้ สนุกรู้ จะได้ไม่หลง อย่างเนี่ยมันก็เปลี่ยนได้จริงๆ นะ เปลี่ยนทันที หักด้ามพร้าด้วยเข่าก็ได้ ถ้าเรามีความสามารถนะ
หลวงตาไปสอนอยู่ที่นิวยอร์ก เปิดคอร์สอย่างนี้แหละ ปฏิบัติธรรมกัน มันก็ลำบากกว่าเรานี่ อยู่ที่นั่นมันหนาว มีห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก็นั่งพิงฝา พิงฝา บ้านเขา เขาก็ทำเพื่อการณ์นี้โดยตรง มีพรมปู มีเบาะนั่งกลมๆ ดีมาก ไม่เหมือนอย่างนี้ ว่าจะออกแบบให้วัดป่าสุคะโตอยู่แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเขาตายไปก่อน มีกลมๆ ทำไมจึงมีแล้วก็มีสองอันคนหนึ่งก็นั่ง นั่งแล้วก็อันหนึ่งก็พิงหลังใส่ฝา นั่งเป็นสี่ห้าชั่วโมงก็ได้เพราะท่านั่งมันไม่ทำให้หลังขดหลังงอ เดี๋ยวนี้ก็มีบริษัทโรงงานเขาทำที่นั่งให้ นี่ก็ให้หลวงตามา หลวงตาก็เวลานั้นเอวไม่ดี เอวหัก ไปยกไม้กระดูกมันคด เขาก็ทำเก้าอี้ให้นั่ง ฝรั่งแหม่มคนหนึ่งมาทำเก้าอี้ให้นั่ง ก็ถือมา ใช้เดี๋ยวนี้ นั่งอยู่ในเต็นท์ทุกวันนี้ ไปดูก็ได้ นั่งแข่งกันกับคนหนุ่มผู้เฒ่า
ก็มีสามีภรรยาหนุ่มๆ ทั้งคู่ หลวงตาหักด้ามพร้าด้วยเข่านะ ที่พูดเมื่อกี้ใช่มั๊ย หักยังไง
ไอ้เรามาปฏิบัติ สามีภรรยากันมา เมียสาวผัวหนุ่ม สามีเป็นหนุ่มแต่ท่าทางเป็นผู้ใหญ่มาก สุขุมรอบคอบ สุภาพบุรุษ แต่ภรรยางอนๆ เวลามาปฏิบัติอาทิตย์หนึ่ง ชวนสามีกลับบ้านมานั่งปฏิบัติทำไมคะ อ้อนสามีพากลับบ้าน ไม่สู้ สามีก็ชวนให้อยู่ก่อนๆ เจ็ดวันเท่านั้นเอง ไปมาก็ชวนไปก็ไม่ไปหรอก หลวงตาก็เห็น หลวงตานั่งอยู่ เขาก็นั่งตรงข้าม ไปๆ มาๆ เย็นวันนั้น ภรรยาก็ลุกหนีไปเลย ลุกหนีไปในความมืด มันหนาวมากนะ สามีก็นั่งอยู่ไม่เห็นภรรยา เขาก็ลุกตามไปหา ไปหา ตามไปในความมืดไม่เห็นภรรยา
มาหาหลวงตามาเล่าให้ฟังว่าเขามีปัญหาแล้ว ว่าภรรยาผมออกหนีไปในความมืด ผมตามหาไม่เห็นเลย ผมจะทิ้งมันผมไม่เอามันได้ไหม พามาดีมันไม่เอาดี เอาแต่ใจมัน พามานี่ไม่ใช่มาเลวมาร้ายมาทำความดี พามาทำดีไม่ทำดีด้วย มันไม่ได้ ทิ้งมันแล้วไม่เอามัน หลวงตาก็หยุดก่อน ทำใจดีๆ ดีแล้วคุณน่ะ มันไม่หนีไปไหนดอก มันมืด มันหนาว มันจะไปที่ไหนได้ มันอยู่แถวๆ นี้แหละ เดี๋ยวๆ มันก็มานะ หลวงตาก็บอกให้คุณนั่งอยู่นี่แหละ แล้วมันเข้ามาคุณต้องเอามือโอบหลัง จูบมันนิดหน่อยก็ได้ มันโกรธแต่เราใจดี จูบแก้มมันนิดหน่อย มือลูบหลังมันแล้วบอกมานั่งใกล้ๆ พอเอาเข้ามาจริงนะ เอาเข้ามาเลย หลวงตาบอกว่ามันไม่ไปไหนมันหนาวมากนะ ขนาดเอาน้ำใส่แก้วไปตั้งไว้นอกหน้าต่างเป็นน้ำแข็งไปเลย มันขนาดนั้นนะ เขายังอยู่ได้
ไอ้เรานี่กางร่มเดินตากฝน เดินไปไหนมันเดินไปได้ เขามันไปไม่ได้นะ กลางวันก็ไปไม่ได้ มันหนาว อยู่ในห้องกรรมฐานต้องเป็นแอร์อุ่นไม่ใช่แอร์เย็นเหมือนบ้านเรา แอร์อุ่นถึงอยู่ได้ เขาก็ทำ เขาก็ทำเหมือนหลวงตาบอก จูบแก้ม มือโอบหลัง พูดกันเบาๆ ทั้งสอนเมีย ทั้งยกมือสร้างจังหวะ ชวนเมียสร้างจังหวะ เมียจากหน้าบูดก็ค่อยๆ บานขึ้นๆ ดีขึ้นมา ยิ้มแย้มแจ่มใส วันต่อมาเข้ามาหาหลวงตาทั้งคู่ แหมฉันมีความสุข เราแต่งงานกันมาหลายปีไม่เคยมีความสุขเท่านี้เลย อะไรก็เข้าใจราบรื่นไปทั้งหมด สามีก็ยิ้มๆ ภรรยาเป็นคนพูด เนี่ยความร้ายเป็นความดี
เวลาเขาโกรธเราไม่โกรธ ทำได้ทุกคน เวลาเขาทุกข์เราไม่ทุกข์ เวลาเขาหลงเราไม่หลง คนอื่นก็ยังช่วยได้ แต่เรานี้มันอยู่กับเราแท้ๆ ความหลงมันขี่ช้างขี่ม้ามาไหม มันไม่มี มันเกิดขึ้นที่ตา ที่หู ที่ใจเรา ที่รูป ที่นามนี้ มันก็มีรูป มีนามเนี่ย ทำไมเราจึงเอามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เกินไป สตินี่มันใหญ่ที่สุดแล้ว หลวงตานี่พูดไว้เลยนะ สติเหมือนช้างไปเลยนะ กิเลสเหมือนหมาไปเลย สติเหมือนนกอินทรีย์ นิวรณธรรมเหมือนแมลงนิดหน่อย นกอินทรีย์ต้องจับแมลงได้ ทำไมจะให้มันใหญ่กว่านกอินทรีย์ล่ะ มันเกิดทีหลังนะ รู้ทันที รู้ทันทีอย่างนี้ นี่คือเปลี่ยนร้ายเป็นดีเรียกว่าปฏิบัติธรรม มันเป็นสิ่งที่ทำได้
เพราะฉะนั้นเนี่ยอยู่นี่ในช่วงนี้ก็ฝนตกมันยังน้อยไป ถ้าอยู่ประเทศอื่นไม่เหมือนที่นี่นะ เรายังสู้ได้ เวลาเค้าเดินออกจากห้องไปเค้าวิ่งนะ เดินไม่ได้โก้ๆ เหมือนบ้านเราที่นี่ไม่ได้ ผ้าคลุมหัวแล้วก็วิ่ง จะขึ้นรถเดินออกจากห้องก็วิ่งขึ้นรถ ลงรถก็วิ่งเข้ามาในห้อง เป็นอย่างนี้ประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯเนี่ยแถบทิศตะวันออก แถวบอสตัน แถวนิวยอร์ก แถวฟิลาเดลเฟีย ลองไอส์แลนด์ หลวงตาไปทั่วทุกภาคเลยสอนธรรม ยากลำบากเขาก็ยังสู้ได้
บ้านเรานี่ฝนตกเท่านี้ก็อ่อนแอช่วยไม่ได้แล้ว แล้วก็หลวงตาก็ยังหนุ่มเนาะเหมือนอาจารย์ทรงศิลป์สมัยก่อน นั่งมีเวลา แม่นยำมากเขาใช้เวลา เวลานั่งสอนกรรมฐานก็นั่งในห้อง กำหนดว่าสามชั่วโมงผ่านไป ตีกดกริ่งกริ๊ง กดกริ่งติ๊ง ดื่มน้ำชา น้ำชาก็อยู่ในห้องข้างๆ ไปเอาน้ำชาไปกดเอา เรากดเราก็มานั่ง เรามานั่งแล้วให้พูดเลยไปเรียนมาสามชั่วโมงเนี่ยใครมีปัญหาอะไรพูดออกมา ปัญหาที่หนึ่งคนนั้นก็พูดคนนี้ก็พูด พูดไปๆ ก็ให้ล่ามเขียนไป เขาพูดอะไรเขาพูดอะไร แล้วก็พูดจบทุกคน แล้วก็มาเฉลย เฉลยปัญหาที่หนึ่งคำถามมีอย่างนี้ก็พูดไปพูดไป พักไม่เกินหนึ่งชั่วโมง พอหมดเวลาไม่ต้องทำอะไรกดกระดิ่งกริ๊ง เริ่มยกมือสร้างจังหวะ เวลากินข้าว เวลากินข้าวกดกระดิ่งติ๊ง เดินลงออกจากนี่ไปห้องอาหาร หลวงตาต้องเดินก่อน เดินก่อนก็ไปห้องอาหาร หลวงตาก็ตักอาหารบุฟเฟต์เหมือนเราเนี่ย ตักอาหารเสร็จมานั่งมานั่งโต๊ะเป็นแถว พอกินข้าวแล้วหลวงตาไม่ให้ลุก นั่งก่อน หลวงตาจะยืนพูดสักหน่อย เวลาบ่ายโมงไปพบกันที่เดิมอีก เวลานี้ไปล้างหน้าแปรงฟัน ถึงเวลาบ่ายโมงก็ตรงเวลา (...) ไปห้องเลย
เจ็ดวันอยู่นี่ สู้ ฝรั่งบางคนเนี่ยเขาไม่มีมารยาทเหมือนเรานะ เป็นอุบาสิกาหลวงตานั่งอยู่นี่ นั่ง นั่ง มันยังนอน อยากนอนมันก็นอนเลย นอนไม่นอนธรรมดาหันขามาทางเราด้วย กลัวว่าคนจะแกล้งเราเค้าจะไต่ข้ามมา เห็นสีกานอนหันขามาทางเรา หลวงตาก็ค่อยๆ ลุกเดินๆ อ้อมๆแอ้มๆ อยู่ เขาไม่กลัวเขาไม่มีมารยาทเหมือนเรา อย่างฝรั่งคนผัวเมียคู่นี้เวลาเขาง่วงนอนเขาก็หนุนเข่าของสามีไปเลย สามีก็ปลุกขึ้นโอ...อิสระมาก เพราะฉะนั้นน่ะ อย่าไปกลัวความยากลำบาก ความยากลำบากทำให้เราเข้มแข็ง ความสะดวกสบายทำให้เราอ่อนแอ ฉันไม่ต้องปฏิบัติอะไร ไม่เห็นมีทุกข์อะไร อย่าไปคิดอย่างนั้น หลวงตาไปสอนสิงคโปร์เนี่ยมีผู้หญิงคนหนึ่ง อุบาสิกาคนหนึ่ง ฉันไม่เห็นมีทุกข์อะไร เงินเดือนก็เยอะ บ้านก็มีอยู่ ข้าวก็จะกินกินอะไรก็ได้ ญาติพี่น้องอบอุ่น ไม่เห็นมีทุกข์อะไร
คุณเอาอะไรมาเป็นความสุข มีเงินมีความสุขเหรอ มีงานทำมีความสุขเหรอ มีบ้านมีข้าวกินมีความสุข ไม่ใช่ เป็นอามิส นั่นแหละสุขอามิส คราวใดที่เธอจะทุกข์ใจอะไรล่ะ อะไรเป็นอามิส เกิดแก่เจ็บตาย คุณทำงาน คุณเคยโกรธไหม เขาว่าโกรธเหมือนกัน เวลามันโกรธเอาเงินไปจ้างให้มันหายโกรธได้ไหม เวลาคุณทุกข์ คุณใจไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ แล้วคุณเอาเงินเอาทอง เอางานเอาการ เอาบ้านเอาช่องไปช่วยมันได้ไหม ถ้าไม่มีสติ บางทีเราจะเอาอะไรมาต่อรอง กับการกระทำ ปฏิบัติธรรมไม่ถูก เพราะว่าต้องยอมรับว่าเรารู้เราหลงแน่นอน
นี่คือการบ้านของเรา ตั้งแต่สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์เนี่ย หลวงตาไปหมด สอนธรรม ในแถวนี้มันเป็นหมู่เกาะ ไปไหนก็ถือร่มเลย ฝนตกฟ้าไม่ร้อง ไม่มีลมพัดไม่มีอะไรแล้ว เวลามันตกก็ตกลงมาตกๆๆ คนแถวนั้นต้องถือร่มกันทุกคน เหมือนพวกเราที่อยู่ที่นี่ไปทางไหนต้องมีร่มในมือเหมือนมีธรรมะในมือ นี่ก็อย่าเอาอะไรมาต่อรองเลย เอาความแก่มาต่อรอง เอาความสุขอะไรมาต่อรอง อิงอามิส คิดถึงบ้านคิดถึงบ้าน คิดถึงที่นอนที่มุ้งที่อะไรต่างๆ เราเคยสะดวกสบายมานั่งอยู่นี้ หลังขดหลังงออยู่นี้ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร อย่าไปคิดแบบนั้น
ถ้าพูดถึงความสะดวกน่ะ สู้สิทธัตถะไม่ได้ เจ้าฟ้าชายสิทธัตถะมีบ้านปราสาทสามฤดู ก็ยังมีการบ้านเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ เป็นเรื่องที่เป็นการบ้านของเราคอขาดบาดตาย ต้องแก่ต้องเจ็บ ต้องตาย เราต้องรู้เรื่องนี้ ให้มันเฉลยเรื่องนี้ให้ได้ จนเข้าถึงเห็นรูป เห็นนาม เห็นอาการของรูป เห็นอาการของนามตามความเป็นจริง จนเห็นว่าไม่เป็นอะไรกับอะไร นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์
หลวงตาเลยเขียนไว้ป้ายไม่มีไม่เป็นอะไรกับอะไรเลยทีเดียว มันเป็นได้หรือยัง เวลามันหลงเป็นผู้หลงหรือเห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง ไม่เป็นผู้สุข ไม่เป็นผู้ทุกข์ ให้มันไปอย่างนั้น จึงมาเห็นมัน รู้มัน เห็นมันก็เริ่มแยกไป เริ่มแยกไป พอมันหลงเห็นมันหลง พอมันทุกข์เห็นมันทุกข์ มันร้อน มันหนาว มันปวด มีมั๊ย แม่ชีน้อย เห็นหิวข้าวมั๊ยเอ๊อ... เห็น เป็นผู้หิวหรือเห็นมันหิว บางทีก็ดูตรงนี้ไม่ออกแยกไม่เป็นเลย เป็นกลุ่มเป็นก้อนไปเลย
มานี่ไม่ได้นั่งปฏิบัติธรรมหน้าบู๊ดบูด เครียด หลวงตาถามเป็นยังไงหนู วันนี้แย่เลยไม่ไหว ทำไมล่ะ มันเครียด คิดมาก ง่วงก็ง่วง อ้าว.....ตอบอย่างนี้ไม่ได้ นักกรรมฐานไม่ต้องตอบอย่างนี้ จะตอบให้มันเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม มันก็เครียด มันง่วง คิดอะไรฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว หมู่นี้อารมณ์ไม่ค่อยดี เอาอะไร เอาอารมณ์มาเป็นตัวเป็นตน นักกรรมฐานเขาไม่ตอบอย่างนี้ดอก เอ้า ตอบใหม่ ตอบใหม่ ตอบใหม่ หลวงตาไม่ได้สอนแบบนี้ ให้เห็นนาม มันคิดก็เห็น มันสุขก็เห็น มันทุกข์ก็เห็น มันเครียดก็เห็น มันสงบก็รู้ มันฟุ้งซ่านก็เห็นมัน หลวงตาสอนอย่างนี้หนา ตอบใหม่ ตอบใหม่ ก็ตอบใหม่ วันนี้หนูเห็นมันเครียด เออ.....อย่างนี้ ตอบอย่างนี้ เห็นมันง่วง เออ ตอบอย่างนี้ เขาก็บอกเขาเห็นมันเครียดหน้าตาก็ค่อยๆ ไม่เง้าไม่งอน แล้วก็ขึ้นมา ทำใจขึ้นมา เพราะงั้นเราแยกไม่เป็นด้วย ถลุงไม่เป็น ย่อยไม่เป็น เอาความเครียดมาเป็นตัวเป็นตน เอาความง่วงมาเป็นตัวเป็นตน อย่างนี้มันใช้ไม่ได้
จึงต้องฝึกตนสอนตน ฉวยโอกาสในขณะที่มันไม่ใช่สติน่ะ เป็นโอกาสที่เราเรียนรู้ มันหลงก็ดี จะได้เห็นความหลง มันทุกข์ก็ดี จะได้เห็นความทุกข์ น่ะมันก็ทำกับความทุกข์อย่างนี้ทำทีไรมันรู้อย่างนี้ มันก็เปลี่ยนแปลงไป มันก็เหมือนกับว่าเราผ่านไปๆ เอาไว้หลังเอาไว้หลัง เหมือนเราเดินทางจากบ้านหนึ่งไปสู่บ้านหนึ่ง ถ้าเอาบ้านหนึ่งไว้หลังเรื่อยไปๆ ก็มีจุดหมายปลายทาง ผ่านความหลง ผ่านความทุกข์ ผ่านความอะไรต่างๆ ผ่านไปๆๆ เรียกว่ามรรค มรรคแปลว่าดู มรรคแปลว่าดูเนี่ยไม่ใช่ไปท่อง สัมมาทิฐฐิ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาอะไรต่างๆ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นั่นต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่เป็นสัมมาทิฐฐิมันต้องมีความรู้ก่อน เป็นกำเนิด เป็นมารดาของปัญญา ความหลงเป็นมารดาของอวิชชา มันก็แยกกันตรงนี้
อวิชชาก่อให้เกิดสังขาร สังขารเกิดนามรูป นามรูปเกิดอายตนะ อายตนะเกิดผัสสะ ผัสสะเกิดเวทนา เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อวิชชาคือความหลง เพราะมีวิชชา ชรา มรณะไม่มีเกิด มันก็ต่อมาทวนมา รื้อมาๆ เรียกว่าอนุโลมปฏิโลม อันหนึ่งมันไปอันหนึ่งมันกลับมา ปกติๆ เนี่ย มาตั้งต้นที่นี่เท่านั้นเองมีสภาวะที่รู้มีสภาวะที่หลงไม่มาก ถ้ารักษาศีล ก็เอาตัวรู้ตัวเดียวเป็นศีลเลย เป็นศีลได้เลย ถ้าไปควบคุมอายตนะทั้งหมดมันเหมือนจับปูใส่กระด้งมันไม่เป็นอย่างนั้น มีสติรู้สึกตัว รู้สึกตัวมันก็เรียบไปเลย สำรวมปาติโมกข์ไปเลย ตา หู จมูก ลิ้นไปเลย ขนาดนี้หนาเรียกว่าพลัง เป็นพละ พละห้า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เนี่ยเป็นพละ พละเพื่อทำความดีได้สำเร็จเลย