แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แสดงธรรมสู่กันฟัง ขอใช้ที่นี้ให้เป็นการแสดงธรรมพูดความจริงต่อกัน อย่าได้ทำอันอื่นเลย หลวงตาไปงานต่างๆ สี่วันห้าวัน ไม่มีโอกาสแสดงธรรมเลย ทำแต่อันอื่นเป็นพิธีกรรมไป บางงานเนี่ยลงทุนเป็นสิบล้านขึ้นไป แต่ว่าเป็นพิธีไปซะไปฉลองพัดยศ สมณะศักดิ์ของท่านเจ้าคุณเมืองเลย งานใหญ่โต เฉพาะของถวายพระเนี่ย อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าสองล้านบาท พระแต่ละรูปก็ไม่ต่ำกว่าหมื่นกว่า สองหมื่นบาท การงานอันอื่นมากมาย พระไปร่วมงานก็ไม่ต่ำกว่า สามสี่ร้อยรูป ผู้คนไปก็ไม่ต่ำกว่า พันสองพันคน ทุ่มเทกันใหญ่โตแต่ว่า ไม่ค่อยมีโอกาสแสดงธรรม และไม่มีใครแสดงธรรม มีแต่พิธี ศาสนพิธีกัน งั้นจึงใช้ที่นี่แหล่ะเป็นที่แสดงธรรมที่อื่นก็ไม่เหมาะ ที่นี่เหมาะที่สุดเลย แล้วก็ประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น
ท่านที่มาที่นี่ก็ให้มีโอกาสได้ฟังธรรมกัน อย่าได้ทำอันอื่น และมีโอกาสศึกษา มองดู ความถูกต้องของทั้งหมด ที่นี่เขาเจริญสติกัน การเจริญสติการมีสตินี่ มันไม่ให้ค่าอะไร ถ้าเป็นสติจริงๆไม่ให้ค่าอะไรเลย ความหลงก็ไม่มีค่า ความรู้ก็ไม่มีค่า แล้วก็รู้ซื่อๆ หลงซื่อๆ ธรรมดา ความทุกข์ก็ไม่มีค่า ความสุขก็ไม่มีค่า มันสุขเฉยๆ มันทุกข์เฉยๆ มันไม่ใช่เรื่องของเราที่ไปเกี่ยวข้องให้เป็นความสุขความทุกข์ ในความสุขความทุกข์นั้น เรามารู้เฉยๆ สติจะเป็นเช่นนั้นเป็นตัวเฉลย คือเข้าถึงภาวะความรู้ซื่อๆ อย่างเนี้ย แล้วก็มาศึกษาภาวะอย่างนี้ ลองดู
ในโลกนี้มันมีรสชาติมันมีค่ามาก บางทีก็เงินก็มีค่า ถ้ามีเงินก็มีค่าเป็นความสุข ถ้าไม่มีเงินก็มีค่าเป็นความทุกข์ ก็ให้ค่ากันไปแล้วก็เป็นสมมติบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ ความทุกข์ความสุข ต้องความที่เราหากัน ที่เรากลัวกัน มันก็ไม่จริงซักที ความทุกข์ก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก ความสุขก็สุขแล้วสุขอีก หิวความสุขกลัวความทุกข์ ก็หนีไม่พ้น แล้วจึงมารู้ซื่อๆ ซะ มันก็แสดงให้เราเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ ในภาวะเช่นนี้ แล้วไม่ต้องไปถามผู้ใด เราถูกหลอกหลายครั้งหลายคราวให้เป็นสุข เราถูกหลอกหลายครั้งหลายคราวให้เป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่มันเป็นเช่นนั้นเราไม่เห็นความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ก็จึงมารู้ซื่อๆ เนี่ย ให้มันลบศูนย์ซะ ที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ เหลือศูนย์ ไม่มีค่า สำหรับเราเลย ในโลกนี้ แต่ก็ใช้สมมติบัญญัติต้องพูดว่า สุขว่าทุกข์เป็นสมมติบัญญัติมาพูดกัน
ถ้าพระพุทธเจ้าพูดว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป เพราะอะไร เพราะไม่เห็นซื่อๆ ไง ก็มันจริงเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เราไปเอาความทุกข์ ไม่ใช่ไปเอาความสุขแล้วหนีความทุกข์ เมื่อมีสุขมีทุกข์ เมื่อมีสุขอยู่ก็มีทุกข์อยู่ เมื่อมีทุกข์ก็มีสุขอยู่ ก็เลยมีค่าเป็นบวกเป็นลบ ชีวิตเรามันเป็นชีวิตที่บวกที่ลบอยู่ตลอดเวลา ให้มันเหลือศูนย์มันก็ไม่มีอะไรที่ไปบวกไปลบอีก เราจึงมามีสติดูให้ดีๆ นั่งหัวเราะมันน่ะ โลกเนี้ย
เมื่อเราชำนาญตรงนี้แล้วเนี่ย มันก็เหนือเกิดแก่เจ็บตายได้ ถ้าไม่ชำนาญตรงนี้ไม่หลีกทางตรงนี้แล้ว มันก็ไปชนกับความแก่ความเจ็บความตาย เป็นภพเป็นชาตินับไม่ถ้วน เกิดดับๆ กับภาวะต่างๆ ที่มันมีอยู่ ภาวะก็มี อาการของกายมันก็มี อาการของใจมันก็มี เราไปให้ค่ามัน บางทีไปเอาอาการว่าเป็นตัวเป็นตน เห็นไหม มันหลงเห็นไหม มันรู้เห็นไหม มันผิดเห็นไหม มันถูกเห็นไหม เวลามันหลงเป็นยังไง เวลามันรู้เป็นยังไง เวลามันผิดเป็นยังไง เวลามันถูกเป็นยังไง เวลามันสุขมันทุกข์เป็นยังไง ก็มีหลักอยู่แล้ว ได้ยินมานานแล้ว กายก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ก็บอกอยู่ พระพุทธเจ้า บอกมาน๊าน นาน เวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จิตที่มันเป็นใหญ่เป็นโต สำเร็จแล้วที่ใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า มันก็เป็นแค่ว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้าตรงที่มันสำเร็จ ที่เป็นสมมติบัญญัติ มันไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้าเป็นปรมัตถสัจจะมันไม่เป็นไร มันเป็นซื่อๆ ของเขา ก็ถึงธรรมที่เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นความสงบความฟุ้งซ่าน เป็นกุศล เป็นความฉลาด เป็นอกุศล เป็นความโง่ มันก็เป็นธรรมดาเฉยๆ มันไม่ใช่เป็นจริงจังอะไร แล้วก็เห็นซะ ให้มันหลุดออกไปซะ
เมื่อหลุดตรงนี้ แก้โซ่ตรงนี้ ไขกุญแจตรงนี้ มันก็ไปได้ ไปสู่ความไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายได้ เราจึงอาศัยสถานที่นี้ มาพูดเรื่องนี้มาทำมาศึกษาดู อันอื่นท่านทั้งหลายอายุมากแล้ว จบเป็นอาชีพการงานหน้าที่ รอบพอตัว ถือปากกาปากเดียวไปหางานทำก็ได้ หรือไม่ต้องถืออะไร เหมือนหลวงตาไปอยู่สหรัฐอเมริกา เขาไม่ได้หอบหิ้วอะไรไป บ้านเขาก็ไม่มี เขาไม่เอา บางทีพ่อแม่มอบบ้านให้ สมบัติไทย ให้เขาเขาไม่เอา คนไทยที่เป็นหมอไปอยู่ที่นั่น พวกท่านน่ะ เอาทรัพย์สมบัติมากมายไว้ให้ลูก ลูกมันเรียนรู้ มันมีความรู้มันไม่เอาอะไรเลย ซื้อคฤหาสน์ใหญ่ๆ หลายหลังให้ฝรั่งมาเช่า ก็เก็บเงินเก็บทอง ได้เงินได้ทอง ลูกก็มีความรู้แล้ว ไม่เอาอะไร มันว่ามันขี้เกียจเสียภาษี เขาเดินไปตัวเปล่า สามารถอยู่โลกไหนๆ ก็ได้ เขามีความรู้ เขาเลยไม่กลัว ไม่ต้องมีบ้านอะไร ไม่ต้องมีอะไร มีความรู้ น่านมันถึงขนาดนั้นแล้วนะ คนน่ะ มีแล้วคนที่พอตัวในลักษณะแบบนี้ ไม่ลำบาก เพราะอะไร เพราะมีการศึกษา หลักสูตรสำเร็จสูงสุดในโลกนี้
บางคนมีปากกาปากเดียว บางคนมีกรรไกรอันเดียว หากินตลอดชีวิต ตัดเสื้อผ้า ไม่ต้องมีอะไร ทุกวันนี้มันพัฒนาไปแบบนั้น แต่ว่ายังมีทุกข์ไหม มีสุขไหม เขาไขว่คว้าหาความสุข เขาหนีความทุกข์ อะไรที่เขามองว่าเป็นทุกข์ เขาก็หนี เขาหนีไปเรื่อยๆ ไปเจอกับความแก่ความเจ็บความตาย จะหนีไปยังไงคราวนี้ มันก็จนตรงนั้นเอง มันปิดประตูตรงนั้น ออกไม่ได้ แม้เขามีความรู้มากมายก็ออกตรงนั้นไม่ได้ เป็นสัจธรรมที่ตรงนั้น เค้าไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรารู้วันนี้ ถ้าหลงก็หลงซื่อๆ มันรู้ก็รู้ซื่อๆ มันทุกข์ก็ทุกข์ซื่อๆ มันสุขก็สุขซื่อๆ คำว่าซื่อๆ เนี่ย มันไม่ข้องแวะ ถ้ามันสุขมันก็ไม่ซื่อแล้ว ถ้ามันทุกข์ก็ไม่ซื่อแล้วมันข้องแวะ ไปเกาะอยู่กับความสุข ข้องแวะไปเกาะอยู่กับความทุกข์ มันก็เป็นอย่างนั้นชีวิตเรา
มาเห็นมาดูจริงๆ ดูซิ มาดูจริงๆ ให้มันเห็นต่อหน้าต่อตาเราเนี่ย แล้วมันก็ไม่อยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่เราเนี่ย พอมีสติมันก็เห็นทันทีแหล่ะ มันฉายออกมาให้เราเห็น มันหลง มันรู้ มันผิด มันถูก เอ้า...เราก็รู้ซื่อๆ ไป ได้แต่ตั้งให้ถูก ให้เกิดความถูกต้อง อยู่โดยชอบ การอยู่โดยชอบคือรู้ซื่อๆ ภิกษุทั้งหลายเมื่อพวกเธออยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย ถ้าอยู่ไม่ชอบ แม้จะอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ไม่มีอรหันต์เกิดขึ้นนะ คืออยู่โดยชอบคือรู้ซื่อๆ นี่ไป รู้ซื่อๆ ไป ง่ายไหมเนี่ยโอ๊ยง่าย มันง่ายเพียงแต่พูดคำว่าซื่อๆ มันง่ายดี แต่ว่ามันไม่ซื่อ เวลามันทุกข์ก็เอ้า..... แสดงออก เวลามันสุขก็แสดงออก ลองให้มันเหนือซักหน่อยซิ มามีสติซื่อๆ ยกมือรู้ซื่อๆ ไป..... อยากสิรู้ซื่อๆ มีขั้นมีตอน มีการประกอบกันขึ้นมา ทำกันขึ้นมาได้ ไม่อดไม่อยาก มีตลอดไป ในความทุกข์มันก็มีความซื่อๆ ในความสุขมันก็มีความซื่อๆ ในอะไรต่างๆ มีความซื่ออยู่ตรงนั้น ตรงไหนมีอะไรมีซื่อๆ อยู่ตรงนั้นทั้งหมดในโลกเนี้ย มันมีอยู่ทุกที่ทุกทางในภาวะซื่อๆ ตัวเนี้ย
จะเอายังไงพวกเรา ทำไมไม่ให้เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมากับตัวเอง มันจะไม่เนิ่นช้า มันไม่มีอะไรที่ถาม ไม่มีอะไรที่จะหา ไม่มีอะไรที่จะตอบ คำพูดก็ไม่มี มันก็รู้ซื่อๆ แล้ว ภาวะซื่อๆ แล้ว เพราะฉะนั่น จึงมาฟังเรื่องนี่กัน มาทำเรื่องนี่กัน อย่าให้ที่นี่ไปทำอันอื่น หลวงตาไปสี่วันไม่ได้อยู่นี่ ไม่ได้เข้าถึงภาวะซื่อๆ เลย ทุกคนก็เอา......หมุนติ้วไป หน้าดำคร่ำเครียด เพื่อจะเอาเรื่องไปทำอันนี้ บางคนต้องวิ่งเอา ทำงานทำการ ต้อนรับผู้คนทั้งหลาย บางคนมาตั้งโรงทาน เป็นร้อยๆ โรง มาจากต่างประเทศก็มี เพราะอาจารย์เจ้าคุณเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านธรรมะ แต่ละคนก็มาช่วย ให้ออกหนีจากธรรมะไป ด้านโรงทานเนี่ย แล้วแต่จะกินอะไร ติดป้ายขึ้นว่า โรงทานบริษัทนั้น โรงทานธนาคารนี้ โรงทานทีโน่นที่นี่ตั้งขึ้นมา บิณฑบาตรก็ใส่รถเข็นมาเป็นหลายพันตัน บิณฑบาตรถ้าเทบาตร แค่นี่ไปถึงศาลาหน้านี่ถ่ายบาตรสี่ครั้ง
อาหารการกิน มันก็กินแค่อิ่ม แล้วคนก็ไปทำซะจนมากมาย มันก็เลยเสียเวลาไป พวกเราจึงมาศึกษาแบบซื่อๆ เนี่ย ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่ต้องกุลีกุจอ นั่งอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ อยู่ที่ไหนก็ซื่อๆ ได้ ไม่เลือกการณ์ไม่เลือกเวลา คำว่าซื่อๆ เนี่ย ยากไหมที่พูดอย่างเนี้ย หลวงตาก็พูดเล่นๆ ไปเฉยๆนี่แหล่ะ ก็เล่นๆ นั่นแหล่ะ ของไม่มีค่า ไปทำจริงทำไม ก็เล่นๆ ไป หัวเราะมันไป มันก็ไม่มีอะไร อย่างนี้ไม่มีค่า กายก็มีค่า เวทนาก็มีค่า จิตก็มีค่า ให้ค่าอะไรทุกอย่าง สมมติบัญญัติ ขึ้นมาก่อขึ้นมา ให้ค่า เป็นอย่างนั้น ท่านก็มาช่วยกันเถิดพวกเรา วันนี้ก็มีพวกศิลปิน คณะศิลปินมาที่นี่ อีกทุ่มหนึ่งหลวงตาก็จะไปพบกับคณะนี้ ประมาณสี่สิบคนที่ศาลาหน้า ก็มาคิดช่วยกัน อันหลายๆ อย่างที่เราจะช่วยกัน ให้มันเข้าหาภาวะซื่อๆ มันจึงจะอยู่รอด โลกเนี้ย ป่าไม้ร้องไห้ แม่น้ำล้มป่วย แผ่นดินเป็นอัมพาต อากาศเป็นพิษ เพราะมันไม่ซื่อๆ มันก็กระจายไปทั่วเลย เดือดร้อนไปทั่ว แทนที่ป่าไม้ก็เป็นป่าไม้ มันก็ร้องไห้ซะ ไปป่าเขาคนทำลาย แม่น้ำล้มป่วยถึงจะเป็นแม่น้ำซื่อๆ แม่น้ำก็ต้องใช้น้ำ อาบเย็นกินได้ดื่มได้ บริสุทธิ์ ช่วยมนุษย์ ช่วยสัตว์ นี้ก็ป่วยซะแล้ว เน่าไปแล้ว เพราะมันไม่มีคนใช้น้ำมาใช้ซื่อๆ เพื่ออะไรเยอะแยะ มันก็เลยเป็นโทษ
จึงมาช่วยกันให้มันเข้าสู่ภาวะซื่อๆ ชีวิตเราถ้ามีความซื่อแล้ว มันจะใช้อะไรก็ถูกต้อง ไม่เป็นอื่นไป เป็นป่า เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นอากาศไป ในชีวิตเราก็เหมือนกันถ้ามันซื่อๆ แล้วก็ไม่ยากอะไร ลัดนิ้วมือเดียว ง่ายง๊าย เดี๋ยวนี้มันยากเกินไปนะ แล้วก็ต้องอาศัยปัจจัยสี่ปัจจัยห้า มันไม่ใช่ภาวะ อันภาวะซื่อๆ เนี่ยมันก็เกิดปัจจัยสี่ปัจจัยห้าได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ซื่อๆ มันเกิดได้ยาก เพราะบุหรี่ก็สูบมันไม่ซื่อๆ เหล้าก็ดื่ม เที่ยวเตร่เร่ร่อน ฟุ่มเฟื้อฟุ่มเฟือยมันก็เลยไม่ซื่อๆ แทนที่จะมาช่วยเป็นปัจจัยสี่ มันไม่ใช่ปัจจัยสี่ มันเกินนั้นไป เอาสวยเอางาม เอายี่ห้อไปซะ ไม่ซื่อๆ เป็นเช่นนั้นน่ะ โลกเนี้ย