แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปรารภธรรมสู่การฟังเพื่อให้ก้าวหน้าไม่ท้อถอย เดินไปเรื่อยๆ ก้าวไปเรื่อยๆ มีศรัทธาไปเรื่อย มีความเพียรไปเรื่อย มีสติไปเรื่อย มีความมั่นคงไปเรื่อย มีปัญญาไปเรื่อย เหมือนล้อรถวิ่งไป สู่ไป ถึงจุดหมายปลายทาง ชีวิตของเราก็ไม่ท้อถอย ไม่ถอยหลัง จากรู้น้อยๆ ให้เป็นรู้มากๆ แตกความหลงให้เป็นความรู้เพิ่มขึ้น เอาความหลงเป็นความรู้ เอาปัญหาเป็นปัญญา คนผู้ทำงานต้องเห็นปัญหา คนผู้มีสติต้องเห็นความหลง ถ้าไม่รู้ไม่ศึกษา ก็ไม่มีความรู้ความเห็นอะไรจึงเห็นปัญหาต่างๆไป เช่นเราทำงาน ก็ต้องผ่านความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ผิดๆถูกๆ ความผิดเป็นครูเรื่อยไป
การปฏิบัติธรรมนี่ก็เหมือนกับสร้างสติ มันไม่ใช่จะได้สติ มันได้ความหลงมาแซงหน้าแซงหลัง ความผิด ความถูก ความพอใจ ความไม่พอใจ ดึงหน้าดึงหลัง เหตุผล หมกมุ่นครุ่นคิดอะไรต่างๆ เกิดขึ้นขณะที่เราสร้างสติมีมาก สติก็จะเก่งกล้าสามารถก็ต้องเมื่อมันเห็นอุปสรรคต่างๆ มารไม่มี บารมีไม่แก่ เราจึงต้องฝึกฝนตนเอง ผู้ที่ฝึกตนเอง ถ้าฝึกกับความยากก็มีความเข้มแข็ง เหมือนกับพระเอก เขาต้องสู้กับความยากได้ เขาจึงชื่อพระเอก พระโพธิสัตว์ก็ต้องสู้กับความยากลำบาก จึงชื่อว่าโพธิสัตว์ ความเป็นพระก็ต้องสู้กับมารต่างๆ อย่าท้อถอย ไม่มีใครจะได้อะไรมาโดยไม่มีการต่อสู้ ตนจึงฝึกฝนตนเอง
การฝึกตนเนี่ยมันก็เลื่อนฐานะได้จากความเป็นคนกลายเป็นมนุษย์ จากความเป็นมนุษย์กลายเป็นเทวดาได้ เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นพระได้ที่สุด ถ้าไม่ฝึกก็วนเวียนอยู่ในความเป็นคน คนร้าย คนดี ฟูๆ แฟบๆ หลายอย่าง เราอยู่ในฐานะแบบใด ชีวิตเรา บางทีมันต่ำลงไป ถ้าชิดไปทางต่ำก็เรียกว่าคน ทำไปทางต่ำๆ พูดไปทางต่ำๆ เรียกว่าไปทำสู่ความเป็นคนเรื่อยไป ปนเปกันเรื่อยไป ถ้าชิดไปทางสูงๆ ก็เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์นี่เป็นพระได้
เหมือนเราไปขอบวช มนุสโสสิพระอุปัชฌาย์ถามเป็นมนุษย์หรือยัง อามะภันเต เป็นมนุษย์แล้ว ใจสูงแล้ว ตัดสินใจแล้ว ถ้านัตถิภันเตยังไม่เป็นมนุษย์ก็บวชไม่ได้ มนุษย์นี่เป็นพระได้ เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่เรียวขนถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน เอาใจเป็นที่วัดกัน ไม่ใช่เอาขาสองแขนสอง ร่างกายเป็นคนเป็นมนุษย์ แต่ว่าใจเป็นเปรตก็มี ร่างกายเป็นคน แต่ว่าใจเป็นอสุรกายก็มี ร่างกายเป็นคน แต่ว่าใจเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี ไม่ใช่เอาเรื่องนี้มาวัดกัน เอาน้ำใจน้ำจิตน้ำใจ
จึงมาฝึกหัดอย่าประมาท คนนี่ต้องมีศาสนา มีการฝึกหัดตนไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเขาไม่ตกนรก เขาไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นพรหม เป็นต่ำ เพราะเขาต่ำอยู่แล้ว แต่คนเราเนี่ยถ้าไม่หัดก็ไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกได้เพราะมันมีสมอง มีปัญญา มันเฉโก มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดบังได้ ความคิดความเห็น ทำได้ต่างๆนาๆ เอาระเบิดไปเข่นฆ่ากันก็ได้ เอาปืนไปยิงกันก็ได้ ฆ่าตัวเองก็ได้
อย่างอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้ พ่อฆ่าลูกอายุสองขวบ เอาลูกไปแขวนคอใส่ต้นไม้ตาย และก็แขวนคอตัวเองตายไปตามกัน สัตว์เดรัจฉานมันทำอย่างนั้นไม่เป็นไร แต่คนเรามันทำได้ จึงไม่ประมาท ทำอะไรมันกระทบกระเทือน ทำให้แผ่นดินไหวก็ได้ คนเรานะทำให้เสื่อมก็ได้ เพราะมันมีอะไรหลายอย่าง ป่าไม้ก็หมด แม่น้ำก็ล้มป่วย แผ่นดินเป็นอัมพาต อากาศเป็นพิษเพราะคนนี้ เป็นเหมือนกับว่าอากาศเป็นเรือนกระจก ใช้อะไรที่มันเกิดจากความรู้ ความคิดเห็นของคน แล้วก็ทำดีแต่เฉพาะเราไม่ได้ไม่ได้มัน ก็ไปไม่รอด ก็ต้องช่วยๆกัน สอนกัน บอกกัน ชวนกันไปชวนกันมา มีการพูดให้กันฟังบ้าง มีการทำให้กันดูบ้าง มีสถานที่พอที่จะได้เป็นที่อาศัยด้วย อาหารการกินด้วย ช่วยกัน
เราจึงมาฝึกหัด อย่าประมาท ประมาทในวัย ประมาทในเพศ ประมาทในความไม่เป็นโรค ในวัยนี่มันไม่ใช่วัยเดียว มันไหลเรื่อยไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความไม่มีโรค มันก็จะมีโรคได้ แต่มันไม่หยุดนิ่ง ชีวิตของเรามันไปเรื่อย มันหนีจากเราไปเรื่อย เราจึงใช้ชีวิตของเราที่มันมีอยู่นี้ พอมันใช้ได้ เอามาสร้างความดี ให้ความดีเป็นที่พึ่ง มีจิตมีใจที่มันฝึกหัดที่มันดีแล้ว ที่มันพึ่งได้ พึ่งได้ไปสวรรค์ นิพพานได้ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน เขาก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ แต่คนเรานี่ไปถึงมรรค ผล นิพพานได้ เพราะมันมีจิต มีใจ มีปัญญา
อวิชชากลายเป็นวิชชาไปได้ ความโง่หลงเป็นปัญญาไปได้ ถ้าเราอาศัยการฝึกตน เอาบทเรียนจากความผิด เอาบทเรียนจากความถูก เอาบทเรียนจากความหลง เอาบทเรียนจากความทุกข์ อย่าให้ความทุกข์มันเป็นความทุกข์ฟรีๆ อย่าให้ความหลงเอาไปกินฟรี รู้จักใช้ความหลงให้เป็นประโยชน์ มันก็มีอยู่ ความหลงก็มี ความทุกข์ก็มี ความโกรธก็มี เราเปลี่ยนแปลงได้ไหม หัดเปลี่ยนแปลง การหัดเปลี่ยนแปลงความผิดเป็นความถูกเขาเรียกว่าภาวนา หัดเปลี่ยนแปลงความทุกข์ให้ไม่ทุกข์เรียกว่าภาวนา หัดเปลี่ยนแปลงความหลงให้เป็นความรู้ก็เรียกว่าภาวนา หัดเปลี่ยนแปลงความไม่รู้ให้เป็นความรู้เรียกว่าภาวนาเหมือนกัน ภาวนาเป็นการก้าวหน้าเปลี่ยนความร้ายเป็นความดีทุกกรณีได้
ชีวิตเราไม่ใช่อยู่นิ่ง ซุก ลุกลี้ลุกลน ความคิดก็ไม่คิดเรื่องเดียว สารพัดอย่าง เราจึงต้องดูแล เรียกว่าซุกซน บางทีก็พอใจในความผิด พอใจในความทุกข์ เขาเรียกว่าซุกซน เหมือนเจ้าลิงซุกซน พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบในนิทานธรรม มีลิงอยู่ในป่าฝูงหนึ่ง มีลิงตัวหนึ่งซุกซน มันไม่เป็นระเบียบเหมือนหมู่ พอขึ้นต้นไม้ก็ชอบขึ้นต้นไม้ที่ไม่มีกิ่งก้านสาขา ขึ้นต้นไม้เดี่ยวๆเที่ยวกระโดดโลดเต้น เที่ยวไปตามหน้าผา ตามหุบเหว ไม่ไปตามพื้นไม้ต่ำๆเตี้ยๆ หมู่ห้ามก็ไม่ฟังเพราะตัวเองซุกซน พอไปไปเห็นนายพรานดักหน่วง ดักตังเอาไว้ก็รู้ว่ามันเหนียว เพราะเห็นสัตว์อื่นติดอยู่บ้าง พวกนก เจ้าลิงช่างซุกซนก็ไปจับดู ไปจับดู มันก็ติดมือข้างหนึ่ง เอามือข้างที่สองไปแกะออก มันก็ติดข้างที่สองอีก เอาขาข้างที่หนึ่งไปยันออก ก็ติดขาข้างหนึ่ง ติดขาข้างที่สองไปยันออก ขาข้างที่สองก็ติด เอาปากไปว่าจะคาบออก ก็ติดปากเข้าไปอีก เรียกว่าลิงติดตัง ในที่สุดนายพรานมา เข้าไปล่าเอาฆ้อนตีหัวตายเลยเป็นอาหารของเขา
เราก็ซุกซน มารเอาไปกินอยู่เรื่อย กิเลสมาร ขันทมาร มัจจุมาร เกิดดับ เกิดดับ โตแล้วทุกข์อีก หลงแล้วหลงอีก เราจึงประมาทไม่ได้ มาดูแลตัวเองให้คุ้ม ปฏิบัติธรรมก็คือดูแลตัวเอง อย่าปล่อยปละละเลย มันมีทวาร มันมีธาตุ ปฐพีธาตุคือธาตุดิน อาโปธาตุ คือธาตุน้ำ เตโชธาตุ คือธาตุไฟ วาโยธาตุคือธาตุลม อากาศธาตุคือช่องว่างอยู่ในกาย วิญญาณธาตุ คือความรู้อะไรได้ มันก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีวิญญาณทางตาพอตาเห็นรูปก็เห็นได้ มันเห็นแล้วก็มีผัสสะตรงนั้น มันมีอะไรเข้าไปรองรับ ถ้ามีอวิชชาเข้าไปรองรับ ก็แสดงออกในทางปรุงๆแต่งๆ พอใจไม่พอใจ หูก็มีวิญญาณ วิญญาณธาตุ สามารถไปได้ยินเสียง ขณะที่ได้ยินเสียงมันมีอวิชชาไปรองรับ มีสมมติบัญญัติเข้าไปเกี่ยวข้อง สมมติว่าดีว่าไม่ดีว่าชอบว่าไม่ชอบ ก็เกิดปัญหาเกิดมารตรงนั้นได้
มีจมูกลิ้นกายใจเหมือนกัน มันก็ไปกันไกล เป็นภพ เป็นชาติ อยู่กับตา กับหู กับจมูก กับลิ้น กับกาย กับใจได้ บางทีตกนรกตรงนั้น เป็นเปรตตรงนั้น เป็นอสุรกายตรงนั้น เป็นเดรัจฉานตรงนั้น ถ้าไม่ฝึกอ่ะ ถ้าฝึกหัดมันก็สักแต่ว่าเพราะมีสติ ถ้าไม่มีสติ ก็มีความหลงเข้าไปเกี่ยวข้อง มันเปลี่ยนกัน ชีวิตของเราเนี่ย ไอ้โลกนี้มันมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความหลงหลายอย่าง สื่อสารมวลชล เขาซื้อเอาท้องฟ้า ซื้อดาวเทียม เพื่อเอาผลประโยชน์ ทำให้คนหลง เชิญชวนให้คนรู้มีไม่มาก โรงเรียนมีน้อยกว่าแหล่งอบายมุข โสเภณีมีมากกว่าหมอ ก็ไม่สมดุลกัน แม้แต่เราเนี่ย วันหนึ่งเราหลงหรือเรารู้มากกว่ากัน ทั้งแต่เราก็มีฐานเป็นความหลงมากแล้ว ไปรับกับความโลภอีก มันก็หลงไป ชีวิตเรามาถึงวันนี้มีความรู้หรือว่ามีความหลงมากกว่ากันดูสิ เราทำยังไง ประมาทอยู่หรือ
เราก็ต้องศึกษาตัวเองว่า ให้ตรวจตรา ตรวจสอบให้โปร่งใส อย่าปิดบังอำพรางตัวเอง ให้หมกมุ่นครุ่นคิด มีสติ มีสัมปชัญญะ คอยชี้แจงตักเตือนว่ากล่าวตนเอง ถ้าสอนตนเอง เตือนตนเองเรียกบัณฑิต ถ้าไม่รู้จักเตือนตัวเองเรียกว่าคนพาล อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต คนพาลอยู่กับเรานี้ ชิดไปทางต่ำมันชิดได้ ชิดไปทางดีมันทวนกระแส เราก็ต้องเป็นชีวิตที่ทวนกระแส เช่นความขี้เกียจมันก็ไหลไปตามความขี้เกียจ ความขยันมันทวนสักหน่อย มันต้องสู้สักหน่อย ก็ต้องถ่อต้องพายตัวเอง ความเกียจคร้านไม่ก้าวหน้า นอนตื่นสายเจริญลง
โบราณท่านจึงว่าพายเถิดพ่ออย่ารั้งรอพาย ตะวันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า มันสายเป็น มันเน่าเป็น มันใช้ไม่ได้ ในตาก็เน่าเป็น ในหูก็เน่าเป็น จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เน่าเป็น ใช้อะไรก็ไม่ได้ ผลที่สุดก็ ในกาย ในตาในหูมันจะลงโทษเราในใจด้วย หลวงตาไปเห็นคนแก่อยู่อำเภอหนองบัวแดงน่ะ เขาล่ามโซ่ไว้ มันหลง มือนี่ไปคว้าเอาอะไรมาเคี้ยวไปหมด ไปไหนว่าแต่มือไปคลำอะไรเอามาเคี้ยวไม่ว่างปากเลย เอาไม้ก็เอาไม้มาเคี้ยว เอาฝุ่นเอาดินมาเคี้ยว เอาผ้าเอาผ่อนฉีกมาเคี้ยว เขาเลยมัดมือไว้ มัดมืออยู่ก็ยังไปแกะกระดานนี่ แกะอยู่นั่นแหละ อยู่ไม่เป็นมือน่ะ คนแก่น่ะน่ากลัวมั้ยแม่ทองคำอย่าให้เป็นอย่างนั่นเด้อ
ปีหนึ่งหลวงตาแม่ป่วยไปอยู่กับแม่ที่บ้าน มีคนแก่อยู่ในบ้านนะ สักไม้คันเท้า(ถือไม้เท้า)ไป ข้างบ้านก็ไปขอ ขอเงินซื้อยาปวดหาย สักไม้คันเท้าไปก็มาขอเงินที่บ้าน น้องก็เอาเงินไปขอดใส่ผ้าให้ ไปมัดใส่ผ้าให้ ไปยืนอยู่ สูไม่ให้กูหรือ กูขอเงินสูสักบาทก็ไม่ให้น้อ เอ้า...แม่ใหญ่ หนูเอาไปให้แล้วมัดใส่ผ้าไว้นั่นน่ะ ตี้(เหรอ) กูนึกว่าสูไม่ให้กู ไปขอไป เอ้าญาติ ลูกหลานเขาก็อายคน เขามัดโซ่อีก เขาไม่ให้ไปไหน ปานนั้นนะคนน่ะ มันหลงขนาดนั้น อันสัตว์นี่มันไม่หลงปานนั่นหนา อันคนนี่มันหลง จนฆ่าตัวตาย ฆ่าคนอื่นได้ ทำให้ตัวเองเดือดร้อนคนเนี่ย
มันจึงมีศาสนา มีศีล มีธรรม มีรั้วล้อมไว้ หัดไว้ๆเตือนตนสอนตน ไม่ใช่เราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่เฒ่า มันมีแน่นอน ถ้าเราหัด มันก็ไม่มีหรอก การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าไม่หัดมันแน่นอนที่สุด เรามีทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว เราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้ อุททิสสะอะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง อุทิศทำเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง นอกจากนั้นก็มีเหล่าพระสาวกจนมาถึงพวกเราเนี่ย จนมีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์ มีการพูดอยู่เดี๋ยวนี่ นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ เสียงพูดก็ได้ยินอยู่ในนี้ สิ่งที่พูดนี้เป็นร่างของคน
ไม่ใช่เรื่องนิยายมาจากไหน เรื่องกายเรื่องใจเรานี้ ความหลงก็เห็นไหม ความไม่หลงมีไหม ความทุกข์มีไหม ความไม่ทุกข์มีไหม ทำงานทำการณ์แบบนี้ไหม หรือว่ามีแต่ความรัก ความชัง อิจฉา เบียดเบียนกันจะอยู่กันได้ยังไงเราน่ะ เราก็เดือดร้อน ถ้าไม่ช่วยกัน จึงจำเป็น ก็เลยมีนักบวช เพื่อฝึกฝนตนเอง มาพอสมควร ขอทำธุระอันนี้ไม่ใช่อยู่ๆ จะมานั่งพูด ศึกษาจนแทบจะเป็นจะตาย เพราะเห็นปัญหา พอเห็นทิศเห็นทาง ก็นำมาบอก มาสอน จนไม่มีมีเวลาทำมาหากิน อาศัยชาวบ้าน มีชีวิตความเป็นอยู่ ต้องมาอยู่อย่างนี้
พวกเราก็มาได้นี่นา ไม่ใช่ไม่ได้ การมาฝึกอย่างนี้ ชั่วช้างสะบัดหู ชั่วงูแลบลิ้น ได้ยินแล้ว ไปทำดู สอนให้ทำ สอนให้เอาไปทำ พูดให้เอาไปทำ ไม่ใช่พูดให้จำ การจำนี่อย่าไปจำ สัจจะธรรมไม่ใช่เรื่องจำ เหมือนกับเราเรียนผ่านในรั้วมหาวิทยาลัยมา อันนั้นจำ อันนี้เอาไปทำให้มันเป็น มันหลงง่าย ทำให้เป็นให้มันรู้ มันทุกข์ทำให้เป็นให้มันไม่ทุกข์
ทำจนเป็น ทำเป็นแล้ว จนไม่มีอะไรทำ ในกายในใจนี้รู้หมด รู้ครบ รู้ถ้วน ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว มันจบเป็น เรียนกายเรียนใจนี่ ไม่เหมือนเรียนวิชาการอื่นๆ ทางวิทยาศาสตร์ จบไม่เป็น ค้นคว้าอยู่เรื่อย นั่นก็มีผู้เรียน จนเป็นที่อาศัยของพวกเราได้ เรียนแพทย์ เรียนหมอ เรียนอะไรต่างๆ เรียนอาศัยได้ แต่ว่าการอาศัยกายใจตัวเองเนี่ย เอามาเป็นพ่วงเป็นแพเพื่อข้ามปัญหาเนี่ย เราต้องเรียนที่กายที่ใจนี้ จิตเป็นนาย กายเหมือนเรือ อาศัยกายเพื่อข้ามพ้น ถ้าไม่มีกาย ไม่มีรูป ก็ทำดีไม่ได้ ไม่มีนาม หรือไม่มีรูปมีนาม ในกายในใจนี้ เราจึงเป็นมนุษย์สมบัติแล้ว เอามาละความชั่ว เอามาทำความดีได้