แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย เคารพต่อหมู่สงฆ์ทุกรูป เจริญในธรรมแก่ญาติโยมทุกคน ในการเจริญสติ ถ้ามีประสบการณ์มีบทเรียนในตัว แม้เราไม่ได้พูดได้พบกันก็มีคำพูดโดยสาธยายธรรมในประสบการณ์จากการมีสติอยู่ทุกเวลา อย่างน้อยก็เห็นความหลงเห็นความรู้ เห็นความสุข ความทุกข์ สารพัดอย่างที่ผ่านดวงตาภายในของเรา คือความรู้สึกตัวเสมือนว่า เราเดินเหยียบลงบนรกรุงรัง จากอาการต่างๆที่เกิดขึ้น กับกายกับใจเรา ความหลงความสุขความทุกข์ อะไรต่างๆ เรามีสติ เห็นทีไร รู้ที่ไร ก็เป็นรอยแห่งสติอยู่ทุกที่ทุกทางกับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรา จนว่ามีแต่รอยแห่งความรู้สึกตัว ในบนโลกคือกายกว้างศอกยาววาหนาคืบ สารพัดอย่าง แล้วก็ไม่มีรอยอันอื่นมากเท่ากับรอยสติ
เหมือนกับเราทำนา ในนาของเราแปลงนาของเรา สี่สิบห้าสิบไร่มีแต่รอยเท้าของเรารอยมือของเรา หรือเหมือนสุขะโต รอยมืออาจจะเป็น เม็ดเหงื่อของเรา หรือหยดลงที่นี้มามากเหมือนกัน จึงเกิดเป็นสุขะโตขึ้นมา รอยในกายในใจของเราเนี่ย มีรอยแห่งความรู้สึกตัว เราทำเรื่องนี้กัน เมื่อมีรอยแห่งความรู้สึกตัวเต็มไปในกายในใจ มันจะมีความสมดุลของชีวิตของเรา หรือว่าเป็นมาตรฐานของชีวิตเรา จากรอยแห่งความรกรุงรังที่เกิดขึ้นกับกายใจเราเนี่ยมีมากเหลือเกิน ความทุกข์ก็มีกี่ครั้งกี่หนมันรกมันเกิดขึ้นมา ความสุขก็มีกี่ครั้งกี่หนมันเกิดขึ้นมา ความวิตกกังวลเศร้าหมอง อะไรต่างๆเกิดขึ้น ดีใจเสียใจ วิตกกังวลเศร้าหมองมากเหลือเกิน จนหนีไม่ได้มืดไปหมดเลย มืดแปดด้าน เป็นเช่นนั้นสำหรับหลวงตาเองสมัยก่อน กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว ไม่สงบเลย พอมารู้เข้าไป รู้เข้าไป รู้เข้าไป มันก็เป็นงานมันก็รู้ลงไปแล้ว รู้แต่ละครั้ง รู้แต่ละครั้ง อย่าไปคำนวณอย่าไปประเมิน อย่าไปหาเหตุหาผล เอาเหตุเอาผลไม่ได้
การกระทำอย่างนี้ไม่เหมือนทำนา เราทำนาก็มีเสร็จเป็นแปลงๆไป การกระทำที่เป็นการปฏิบัติธรรมนี้ มันไม่เป็นรูปอย่างนั้น มันจะเปรียบเหมือนเราสอนวัวสอนควาย ควายตัวเก่า วัวตัวเก่า ม้าตัวเก่า ถ้าเราใช้ไปใช้ไปก็เป็นงานของมันไปเอง มันก็ใช้ได้ จากที่มันไม่เป็นงาน ไม่เคยเป็นงานเป็นการ เมื่อเราใช้ไปก็เป็นงานเป็นการ เทียมล้อเทียมเกวียนเดินเข้าล้อเข้าเกวียนลากล้อลากเกวียนไปตามจุดหมายปลายทาง ทุกข้าวจากกลางนาถึงยุ้งข้าวในบ้านเราไม่ต้องไปขับมัน มันไปของมันเองมันเป็นไม่ใช่ประเมิน ชีวิตของเรามันเป็นทำให้มันเป็น ไม่ใช่รู้ไม่ใช่รู้นะมันเป็น เวลามันหลงมันมีรู้มันเป็นแล้ว เวลามันทุกข์มันรู้เรียกว่ามันเป็นแล้ว เวลามันอะไรต่างๆ มันเป็นแล้ว มีแต่ความรู้เข้าไป มันเป็นงานแล้ว งานแห่งความรู้สึกตัวเต็มไปหมดเลย ไม่ใช่เต็มรกรุงรังเหมือนกับรอยเท้าของเราเหยียบบนนาไร่นาของเรา มันเต็มไปด้วยความรู้สึกตัวเป็นนามธรรม นะ เราจะไปสร้างตัวนี้กัน อย่าประเมินอย่าไปหาเหตุหาผล ทำลงไปเถอะ ทั้งไม่มีทั้งมี ไม่มีความหลง มีความรู้ มีความรู้มักมีความหลง หาไม่มี ไม่มีใครบอกกันได้มันเป็นข้อมูลเหมือนกับคอมพิวเตอร์มันเก็บข้อมูลไว้
เหมือนกับโทรศัพท์ของเรา หน้าจอนิดเดียวมันเก็บข้อมูลไปห้าพันรายชื่อ ที่เราเลขโทรศัพท์ ที่เราบันทึกลงไปจอโทรศัพท์เราเพียงนิ้วเดียวข้อมูลเป็นห้าพันเรื่องอยู่ในนั้น ชีวิตของเรามันเป็นแล้ว มันเป็นแต่ความรู้สึกตัวจะไม่มีอะไรเหลือ ในที่สุดไม่มีอะไรเหลือเลย อยากจะพูดว่าไม่มีไม่เป็นอะไรในโลกนี้ อันนั้นคือเต็มแล้ว ไม่ใช่เต็มแบบข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง น้ำเต็มโอ่งเต็มอุ่ง ข้าวเต็มกล่องไม่ใช่เต็มแบบนั้น มันเต็มนะคือมันไม่มีอะไร ความเต็มของคุณภาพของชีวิตเราเนี่ย ชีวิตนิไม่มีไม่เป็นอะไร เต็มแล้วมันว่างแล้ว ว่างจากความมีความเต็ม มันว่างไปแล้ว มันเต็มไปด้วยความไม่มีไม่เป็น ตรงกันข้ามพอดี สิ่งที่มันว่างไม่ใช้มันไม่เห็นมันเห็นมาแล้ว เห็นหลงเห็นมาแล้ว เห็นทุกข์เห็นมาแล้ว เห็นโกรธเห็นมาแล้ว เห็นกิเลสตัณหาเห็นมาแล้ว มันจึงไม่มี เห็นแล้วมันจึงไม่มี เป็นแล้วมันจึงรู้ มีแล้วมันจึงเห็น เป็นแล้วจึงรู้ ไม่มีคำถามหรอกถ้าเราหลง เราเคยรู้มาแล้ว เราทุกข์เราเคยรู้มาแล้ว มันก็อันเก่า เพราะตัวรู้มันได้ทำหน้าที่
เหมือนแสงสว่างได้เกิดขึ้นกำจัดความมืด อันภาวะที่รู้เนี่ยมันเป็นคุณธรรม ไม่เป็นวัตถุที่ไปใช้ตลอดเวลา ถ้าเรามืดเรามีไฟฉายเดินทาง ...กรรมฐานมาถึงนี้ต้องใช้ตลอดเวลา แต่ว่าตัวรู้ไม่ต้องใช้เลยมันไม่ต้องใช้มันมีแล้วมีแล้วมันไม่หายไปไหน ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้เป็นสมบัติของเรา จะมาปล้นมาจี้ไม่ได้เลยอันนี้มันเป็น เป็นแบบนี้ การเป็นลักษณะแบบนี้ไม่มีใครให้กันได้เราต้องทำเอาเอง มีมาแล้วนานมาแล้วสามพันปีสองพันปีจนมาถึงพวกเราเนี่ย มีทรัพย์มรดกอันนี้อยู่ในชีวิตเรา อย่าให้พลาดเถอะพวกเรา มันมีจริงๆมันเป็นจริงๆ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเคยพบเรื่องนี้มา อย่ามาอวดอ้างกันเรื่องอื่น
เหมือนหลวงตาไปสอนธรรมที่สิงคโปร์ เราพูดเรื่องเวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ เขาก็บอกว่าฉันเป็นทุกข์ตรงไหนอ่ะ ไม่เห็นมีทุกข์อะไร บ้านก็มีอย่างดี อาหารก็ไม่อดไม่อยาก เงินเดือนก็มีเยอะ พี่น้องก็มีมากมีแต่คนดีๆ สุขภาพก็ดีไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย โอ้ โอ้นั้นหรือเป็นเรื่องดี หา ถ้าคนเจ็บอ่ะ ถ้าคนแก่ ถ้าคนตายอ่ะ มีอะไรดีตรงนั้นรึป่าว เขาก็เลยบอกว่าเอออันนี้อ่ะไม่มีเลย เมื่อมีความเจ็บ คุณมีความไม่เจ็บไหม เมื่อมีความแก่คุณมีความไม่แก่ไหม เมื่อมีความตายคุณมีความไม่ตายไหม ให้เขาตอบไม่ได้ เราจึงมาสอนเรื่องนี้ไม่ใช้มาอวดอ้างกัน แม้แต่สิทธัตถะมีบ้านตั้งสามฤดู เป็นเจ้าฟ้าชาย มีสนมกำนัลใน พระองค์ไม่มีอันนี้ ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย จึงแสวงหาเรื่องนี้กัน
พวกเราอย่าเอาอันอื่นมาต่อรอง บางทีเราเอาความแก่ความเจ็บความตายมาต่อรองเพื่อทำดังนี้ ไม่ใช่เลย หาอย่ามาอ้างฉันแก่แล้ว ฉันสุขภาพไม่ดี อะไรต่างๆไม่ต้องเอามาอ้าง นั่นแหล่ะยิ่งดีจะได้เป็นคู่กัน ก็มองเถอะว่าเมื่อฉันแก่ ก็ต้องมีไม่แก่อยู่ในตัวความแก่ เมื่อมีความเจ็บต้องมีความไม่เจ็บอยู่ในความเจ็บ เมื่อมีความตายต้องมีความไม่ตายอยู่ในความตาย มองมันคู่กัน เหมือนมีความหลงต้องมีความรู้ นั้นเริ่มต้นแยกทางกันเลย เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องมีความไม่ทุกข์แยกกันได้เลยเหยียบไปเลย สิทธิของเราที่ต้องผ่านตรงนี้กัน แล้วก็ครึ่งๆทางมาแล้ว ค่อนทางมาแล้ว มีรอยไหมรอยแห่งความรู้สึกตัว ที่เราเดินใช้ชีวิตร่วมกันมาที่สุขะโตนี้ พอมีรอยแห่งความรู้สึกตัวไหม สี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานะ ผมมีรอยนะอยู่พุทธญาณรอยชีวิตอันนี้ไม่ลืมไปไหน ไม่ใช่สี่สิบกว่าปีมันเป็นวันนี้ของเรา ได้พูดกับหมอกำพลช่วงหายใจไม่ได้ หมอไม่ต้องห่วงนะ
หลวงพ่อมีประสบการณ์เรื่องนี้สี่สิบกว่าปี สี่สิบกว่าปีมันเป็นวันนี้มันเป็นวินาทีนี้ อันนี้คือเป็น ทำให้มันเป็นไม่ใช่ความรู้ ความรู้ที่เป็นความจำนะไม่ใช่เลย ความรู้ที่เป็นเหตุผลไม่ใช่เลย เป็นการกระทำที่มันเป็นแล้วนะ เราจึงมาทำกัน อย่าหนี ก็ให้ฐานตั้งแต่พวกเรามาพบกันตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่า ฐานอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนี้แหล่ะ คือภาวะที่รู้สึก มันไปไหนก็เป็นความรู้สึกตัวเอาไว้ อาจจะเป็นความสุข อาจจะเป็นความทุกข์ เป็นความรู้มากมายจิตญาณ วิปัสสนูไม่ต้องกลัว บางคนกลัวกลัวจะผิดอย่างนั้นกลัวจะเป็นโทษอย่างนี้ บางคนก็กลัวว่าจะไม่ได้อะไร ไม่ได้อะไรเลยไม่ต้องไปคิดแบบนั้น ไม่ต้องไปกลัวแบบนั้นนะ ไว้แต่รู้นิเป็นฐานอย่างเดียวนะ มันต้องมีฐานมีที่ตั้งไว้ ให้เรารู้สึกตัวเลย รู้สึกตัวมันอยู่ที่ไหนหรอก ไม่ต้องไปขอใคร มันต้องมีกาลเวลาต้องเช้าตอนเย็น มีทุกโอกาสแล้วก็ไม่ต้องสร้างด้วยเราใช้ได้เลย
เราจึงใช้ความรู้สึกตัวให้มากๆ ไม่ต้องสร้าง ใช้ไปในกาย ใช้ไปในเวทนา ใช้ไปในจิต ใช้ไปในความสุขความทุกข์ได้ทั้งนั้น มันมีไหมกายมีไหม เวทนาที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์มีไหม ความคิดที่มันคิดนู้นคิดนี้มีไหม การเกิดอาการต่างๆเป็นธรรมารมณ์เป็นธรรมกุศลอกุศลเกิดขึ้นในจิตใจเรามีไหม ใช้ไปเลยรู้ไปเลยรู้ไปเลย อย่าให้มีตรงไหนที่ปิดบังอำพราง ถ้ามันมีให้ดู มันไม่ลับไม่ลี้ชีวิตเรานะ มันแสดงอยู่ถ้าเป็นน้ำมันก็ไหลอยู่ อันใหม่ไหลมาอันเก่าไหลไป เราเดินนั่งอยู่บนจุดเดียว มันก็ไหลไปหรือเปรียบเหมือนตอ เหมือนหลักที่ปักอยู่กลางน้ำไหล น้ำไปแล้วไปอีกเราก็อยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปตามน้ำที่มันไหลไป เรารู้อยู่เรารู้อยู่นี้คือฐานที่ตั้งไว้ รู้ไว้รู้ไว้ ตัวรู้เนี่ยมันไม่หมดแรง ไม่ต้องออกแรงอย่าไปนึกว่ามันต้องออกแรง ต้องสู้กับความหลงไม่ใช่นะ ถ้าอย่างนั้นมันจะเครียด ความคิดหลงไปแล้วเอาดึงกลับมา ไม่ใช่ เพียงแต่รู้เบาๆ ความหนักเมื่อมันรู้มันก็เบา ความยากเมื่อมันรู้มันก็ง่าย ไม่ใช่ว่าความยากเป็นความยากความหนักเป็นความหนัก รู้มันก็เบาๆๆๆ คนที่ปฏิบัติธรรมมันต้องเบาๆยิ้มแย้มแจ่มใส
อย่างหลวงตาไปบอกไปพูดกับโยมแม่ออกยิ้มๆแบบนี้แหล่ะนะ ยิ้มตลอดเวลาได้ไหม อมยิ้มไม่ใช่ยิ้มยิ่งให้เห็นเหงือกเห็นฟัน แม้มันมีทุกข์ก็ยิ้มๆแบบนี้ มันโกรธก็ยิ้มๆแบบนี้ มันหลงก็ยิ้มๆแบบนี้ มันยากก็ยิ้มๆแบบนี้ อะไรที่มันพาให้หนักก็ยิ้มๆอย่างนี้ เบาๆอย่างนี้ มันเบาจริงๆ เรียกว่ากายลหุตา เบากาย จิตตลหุตา เบาจิต ความรู้สึกตัวพาให้เบาๆนะ แต่ไม่ใช่เบาแบบจะเหาะเหินเดินฟ้า เบาจนไม่มีตัวมีตนที่จะเหาะเหินเดินฟ้าที่ไปรองรับความสุขความทุกข์ ไม่มีที่ให้วางเหล่านั้น มันเบาตรงนี้แล้ว เพราะงั้นฐานจึงยังมีเราได้ฐานแล้วไปไหนก็ไปเถอะไม่ใช่อยู่สุขะโตไปไหนก็ไป ไปไหนก็มีความรู้อยู่นั้นเละ ไม่มีกาลเวลาใดที่จะทำให้เราไม่มีโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกตัว ไม่มีเลยในโลกนี้ เรารู้สึกตัว รู้สึกตัวไปอย่างนี้ อย่าไปทำจนหน้าดำคร่ำเครียดจนไม่หลับไม่นอนก็ไม่ดี ดีแบบนั้น
บางทีมาอวดกันไม่ต้องนอนเนสัสชิกธุดงค์ บอกว่าไม่นอนนั่ง มีอาจารย์รูปหนึ่งสอนสิบกว่าปีไม่นอนเลย ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะอัศจรรย์ไหม อุ้ยอาจารย์ทำได้เราทำไม่ได้ หมดเลยการไม่หลับไม่นอนเป็นเรื่องของอาจารย์แล้ว แต่เราทำไม่ได้ อย่างหลวงพ่อกลม นั่งหลังคดหลังโกงฮาฮา อย่าไปนั่งนะ อย่างหลวงตาก็นั่งไม่ได้ถึงสามสิบกว่าปี ชีวิตก็ธรรมดาเนี่ย ยืน เดิน นั่ง นอน พระพุทธเจ้าว่า มีสติอยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน มีสติอยู่กับการคู้แขนเข้าการเหยียดแขนออก มีสติอยู่กับการเดินไปข้างหน้าเดินไปข้างหลัง มีสติอยู่กับการมองหน้ามองหลังมองซ้ายมองขวา มีสติอยู่กับห่มสบงทรงจีวร มีสติอยู่กับการขบการฉัน เอาทุกอย่างเลยในกายในใจ มีอิริยาบถแบบไหน ไม่ต้องไปบังคับมัน มันก็กินได้ มันก็หิวได้ มันก็ร้อนได้ มันก็หนาวได้ มีสติเรื่อยไป แต่ไม่ใช่ไปหลับไปนอน
แต่หลวงตาเคยฝึกมาเหมือนกันมานั่งเพ่งแสงอาทิตย์ให้ตาไม่ต้องกระพริบ เราก็หัดมาเพ่งที่กลด เราก็หัดตามันเหล่ไป เพ่งที่กลดนะ ตาตาเหล่ไปเกือบไปเขมา เราก็นอนอยู่ใช่ไหม เอาเราจะเอาสติ เอาตานิไปเพ่งที่กลด กลดมันไม่อยู่นิ่งนะมันไหล มันไหลอยู่เรื่อยนะ แล้วก็เอนไปๆมันก็ไหลไป เอ้ตาเหล่ไปเลย เอ๊ะไม่ใช่นิแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช้เอาวัตถุมาเป็นการกำหนดจิตใจเรา วัตถุภายนอกก็ได้แต่ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องตลอดเวลา เอาสติไว้ตรงฐาน เจ็ดฐานแปดฐานอันนี้ก็ได้หัดเอา ไม่ต้องไปถี่ขนาดนั้น ยุบหนอพองหนอ ก็ไม่ต้องขนาดนั้นเป็นครั้งคราวได้ ฝึกหัดทุกวิถีให้เป็นงานให้ชำนิชำนาญ เหมือนเราเล่นกีฬาเอาแบบไหนก็ได้เหมือนเราเล่นตะกร้อ เอาคนหนึ่งเอาลูกตาย แก้ลูกตายตั้งให้ส่งมา คนหนึ่งตั้งไว้คนหนึ่งเอาให้ตายอีก ให้คนหนึ่งตายจนแก้ไม่ได้เอาลูกตายส่งลูกตายไปคนหนึ่งก็รับลูกตายไป ตั้งลูกตายไว้ขึ้นมา คนหนึ่งเอาให้ตายไปอีกมันต้องเล่นกันแบบเอาแพ้เอาชนะกันแบบนั้น
การปฏิบัติธรรมนี่มันมีลูกตายเหมือนกันนะมีลูกหลงเหมือนกัน พอตั้งปั๊ปทันทีเลย มันจะสุขรู้ทันที มันจะทุกข์รู้ทันที ในคนคนเดียวในสติตัวเดียว มีทุกรูปแบบได้ทุกอย่างความรู้สึกตัวนี่ ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ที่เราสร้างที่เรา ที่เรามาทำตรงนี้ไม่ใช่เป็นของใครอยู่ในตัวท่านอยู่แล้วจึงไม่ต้องไปง้อไปอะไร ไม่ต้องไปใช้อย่างอื่นมีสตินี้และ การไม่หลับไม่นอนก็ได้ อย่างทิเบตเนี่ย เขาไหว้พระตลอดวันเขาก็ทำได้บางทีจะให้เราไปไหว้ตลอดวันเหมือนเขาอาจจะไม่ค่อยได้ พระของคนทิเบตเนี่ยเขาจะมีกระดานหน้าสิบอย่างน้อยนะ อันนี้มันหน้าแปดเขาลุกขึ้นยืนเขาก็ยกขึ้น วางมือเขาเหมบลงไปๆ มือเหยียดขาเหยียดไปให้ตรงเอามือหน้าอกส่วนหน้าผากจดกับพื้นแล้วลุกขึ้นมายืนขึ้น ไปแข่งกันหลวงตาไปแข่งขันกับพวกทิเบตอยู่ที่พุทธคยา เอ้าทิเบตอาจจะหนุ่มกว่าเรา เราก็จะแก่ ถ้าจะเปรียบเทียบกัน เหมือนไหว้นะเขาไหว้เขาไหว้เก่ง เอ้าเดินอยู่เคียงข้างมันนั้นเละ มันไหว้เราก็เดินกับมันและ มันไหว้อยู่มันจะเก่งขนาดไหน มันจะไหว้เก่งขนาดเราเดินนิ เขามีความรู้สึกตัวกับการไหว้ เรามีความรู้สึกตัวอยู่กับการเดิน เขาเคลื่อนไหวเราก็เคลื่อนไหว เราใช้ความรู้สึกตัวอิริยาบถเดิน เขาใช้ความรู้สึกตัวอิริยาบถไหว้ หรือว่าเขาทำเพื่ออะไรเป็นพิธีเฉยๆ เรามีสติกับการเดิน เขามีสติกับการไหว้ อาจจะได้ อะไรยังจะสะดวกจะต้องเอาแบบนั้นตลอดไปหรือ
เหมือนคนทิเบตไปเที่ยวสังเวชนียสถานที่ใดที่จะไปไหว้กัน ปีนี้ว่าจะไปแข่งกับทิเบตอีก ไหวไหมเณร มีคนนิมนต์อินเดีย เขาจะไปบวชให้หลวงตาพาไปบวช ถ้าไปอินเดียนะอย่าหนีไปไหน ไปอยู่พุทธคยานะ บวชก็บวชที่นั้นบวชแล้วสอนธรรมะกันที่นั้น ปฏิบัติธรรมกันที่นั่น มันได้สิ่งแวดล้อมดีนะ ถ้าไปอย่างนี้จะไปอยู่ ถ้าจะไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี้ไม่อยากไป ปีนี้ก็ไปมาแล้วไปถึงปากีสถานโน้น รอบทุกที่แล้วร่องรอยพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใดไปตามดูรอยหมด เนปาลก็ไปแล้ว อินโดนีเซียก็ไป ที่ไปดูบุโรพุทโธ แต่ว่ารุ่นสาวก ฉะนั้นถ้าไปก็ไปจะไปเดินแข่งกับทิเบต เดินจงกรมแข่งกันคอยดูเขาจะไหว้ขนาดไหน
ฉะนั้นความรู้สึกตัวเนี่ยสารพัดอย่างเลย ไม่ใช่เป็นรูปแบบเอาไม่นอน เคยไปอยู่ถ้ำเขาหมีไปแข่งขันกับพวกไม่นอน เราก็เดินจงกรมตลอดคืน แต่เราก็ดูเขามีศาลานะเขาทำศาลาเป็นธรรมมาสน์ เขากางมุ้งครอบไว้สองคันก็มีหมอน พักหลังก็มีหมอนสองข้างมีหมอนก็หลับกันไป เราก็เดินจงกรม ถ้าเขาไปนั่งหลับนะก็นอนหลับจะไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ใช่แบบนั้นไม่นอนเลยนะหลับ แต่ว่าไม่มีสติกับการเดินไม่มีประโยชน์ไร มีความหลับกับการนั่งเอาความไม่นอนมาเป็นความถูกต้องไม่ใช่ เคยฝึกมาเหมือนกันแล้ว หลายปีห้าร้อยสิบแปดนะเขาเอาหลวงพ่อปัญญานันทะให้เป็นหัวหน้าพระใจสิงห์ อบรมพระใจสิงห์เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก เจ้าคุณปัญญานันทะให้เป็นหัวหน้า กับอาจารย์ที่อยู่ที่ไม่นอนมาสามสิบปีนะ สองรูป หัวหน้าก็สองรูป หัวหน้ารูปหนึ่งไปนั่งโชว์ ไปอยู่ที่ใด เดินธุดงค์ไปสามเดือนจากกรุงเทพมา ถ้ำโพธิสัตว์ สระบุรี แล้วก็ไปที่ไหนจำไม่ได้ ไปภาคเหนือ ไปสามเดือนลูกศิษย์ที่ฝึกเจ็ดสิบรูปไปอยู่ที่ใดก็ไปนั่งน้ำตาไหลอาบ เราก็ไปดูพอไปดูตอนเย็นทำวัตรตอนเช้าทำวัตรก็มาพูดหลวงตาก็พูด
เราก็ไม่อยากให้พวกเรานั่งน้ำลายไหลอ้าปากสัปหงกคนมาดูเรามันไม่น่าดูเลย ถ้าจะหลับก็ต้องมีที่บัง กลางวันโยมมาทำบุญเขามาดูเรา พระใจสิงห์ผ่านมาทีนี้ เราก็ไม่อยากให้ไปนั่งอ้าปากน้ำลายไหล เราไปเห็นลูกศิษย์เราก็บอก อาจารย์องค์หนึ่งก็ให้นั่งหลับตา เราบอกให้นั่งลืมตา ยกมือซ้าย มือซ้ายก็รู้สึกตัวอย่าไปนั่งหลับเถอะมันไม่น่าดู ก็กวนใจคนส่งให้ไม่ได้ ต้องพอสมควร บางคนพอปฏิบัติธรรมปั๊ป ก็ไปนั่งหลับตาไปเลยได้เหมือนกัน แต่อย่าไปนั่งหลับนะ มีฐานเอาไว้ อาจจะลมหายใจ อาจจะรู้ตัวทั่วพร้อมก็ได้ หลับก็ได้ไม่เป็นไร ถ้าหลับตาก็เป็นความพักผ่อนของประสาท
หลวงตาเคยไปดูคนป่วยสมัยเป็นหมอ เป็นฆาราวาสนะนั่งหลับตาอยู่ได้เป็นเดือนๆไม่ต้องหลับ แต่มันก็มีพักผ่อนมันหลับตาเฝ้าคนป่วยดูคนป่วย มันก็ได้เหมือนกันนะไม่ต้องไปนั่งสัปหงกให้คนเห็น นั่งหลับตาเฉยๆดูคนป่วยพร้อมที่จะได้ยินคำร้องคำคราง การบอกเอาลุกเอานอนได้ยิน ใช้ได้ทุกโอกาสไม่ใช่หลับไม่รู้อะไร งั้นหลับตาก็ได้แต่ให้มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เพราะงั้นก็ตัวรู้ตัวเดียวเนี่ย พวกเราก็ตัวรู้ตัวเดียวนะพวกเรา เป็นฐานที่ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่ไปใช้อิริยาบถที่มันเป็นอันอื่นเลย นั่งก็ได้ไม่ลุกก็ได้แต่ว่าต้องอย่าไปนั่งหลับนะ ตามธรรมวินัยนะภิกษุจะหลับกลางวันให้ปิดประตู ทำไมจึงมีวินัยข้อนี้เพราะคนจะมาเห็นพระนอนไม่ปิดประตูบางทีก็เลอะๆเลือนๆ ผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ยกรนนอนครางอ้าปากไม่สำรวม มันเป็นที่เสื่อมศรัทธาของคนมาดู พระวินัยจึงบอกให้ปิดประตูซะถ้าจะนอน ในกลดก็ปิดไว้อย่าให้คนเห็น ถ้ากลดมันมุ้งมันบางเอาผ้าจีวรมาคลุม ใช่ไหมเณรถ้าจะนอนนะ แต่ว่าจะไปนอนเปล่าๆเปลือยๆ รกรุงรังให้คนเห็น แม้แต่พวกเราทุกคนก็เหมือนกัน อันนี้อิริยาบถเนี่ย เราจึงชัวร์ที่สุดแล้ว การมีสติเนี่ย ไปได้ทุกๆแบบไม่ใช่เอาฐานเดียว หายใจเข้ามาตั้งเหนือสะดือสองนิ้วก็ได้ เลื่อนขึ้นมาหน้าท้อง เลื่อนขึ้นมาปอดหน้าอก คอ มาอยู่ที่ขึ้นมาสมอง ค่อยลงมาๆ หย่อนลงมาตามฐานต่างๆ เอามาตั้งไว้เหนือสะดือสองนิ้ว บริกรรมสัมมาอรหังๆ ก็ได้ไม่ว่าอะไร ก็ใครจะลองดูก็ได้ หรือหายใจเข้ายุบพองหนอ หายใจออกยุบหนอ ลองดูที่หน้าท้องก็ได้
ถ้าเรามันเคลื่อนไหวไม่ได้เวลานอนป่วยก็ได้หายใจเข้ารู้สึกหายใจออกรู้สึกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาสร้างจังหวะตลอดเวลา ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนต้องสร้างจังหวะไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องสร้างจังหวะก็ได้ เพียงแต่รู้ตัวทั่วพร้อมได้ทั้งนั้น หรือนอนเจ็บนอนป่วยกระดุกนิ้วมือเล่นๆก็ได้ หายใจรู้สึกตัวได้ทั้งนั้น จะไปยกมือสร้างจังหวะนอนป่วยอันนั้นก็ได้ อิริยาบถที่เราสร้างจังหวะเพื่อ มันหลงอย่างเราสร้างจังหวะสิบสี่จังหวะเนี่ย เพื่อหัดมันรู้เป็นครั้ง รู้เป็นครั้ง รู้เป็นครั้ง ถ้าเรามารู้รูปธรรมนามธรรมนะ ค่อยๆไปก็ได้เพื่ออะไร ให้มันทันต่อความ ให้ความรู้สึกตัวมันเต็มไปหมด หลวงตาทำแบบนี้ก็นั่งในมุ้งนั่งในผ้าห่ม มันหนาวผ้าห่มคลุมหัวแล้วก็ ดี๊ดีอยู่เมืองเลยมันหนาวผ้าห่มนวมดึงไว้ไม่เถลไถล มันดึงตัวไว้อาจจะไม่ต้องยกมือ มันเคืองผ้าห่มใช่ไหม ผ้าห่มคลุมหัวไว้ เอามือมาก็ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนต้องสิบสี่จังหวะแบบนี้ตลอดเวลา ไม่ต้องทำงี้ก็ได้ ไปตายก็ได้ เอ้า มันจะตายหายใจไม่ออกเอ้า มันก็รู้ตอนนั้นแหล่ะ เอ้ามันหายใจได้ไม่ต้องหายมันแหล่ะ มันจะไปลมหายใจ สติตามลมไปมันไม่ได้แล้ว หายใจไม่เข้าแล้ว เมื่อมันหายไม่ได้ ก็บ่ต้องหายมันละ เมื่อเราไม่ต้องหายใจ เมื่อมันหายใจจะมีประโยชน์หยัง เอ้าไม่ต้องเป็นอะไรกับมันละมันก็อยู่ได้ นะคุณวินะ
อิริยาบถในชีวิตเราเนี่ย ฉะนั้นตายเหมือนเว่ยหลาง หรือเหลาจือ ขงจื่อก็ได้ หลวงตาก็คิดแบบนั้น เอ้ ไปหลบตายที่ไหนหนอ มาเห็นตัวตายลำบาก อาจารย์ตุ้มไม่หลับไม่นอนเลย จะไปลี้ตายตรงไหนหนอ จะทำแบบเว่ยหลางได้ไหมหนอ เวลาใกล้ตายเอาน้ำเอาไรออกหมดนั่งหมดแรงนี้ก็ได้ เอาอันนั้นก็ได้ แต่ว่าไม่จำเป็นเสมอไป นอนตายก็ได้พระพุทธเจ้าเราก็ยังสีหไสยาสน์นิพพาน ตะแคงข้างซ้ายข้างขวาพระพุทธรูปปางนิพพานได้ จะนั่งเหมือนเว่ยหลางก็ได้ แต่ว่าถ้าเหมือนกับพวกศาสนาพวกเชนเขา เขายืนไม่นุ่งผ้าเลยยืนเถาวัลย์ เอี้ยวตัวขึ้นมายืนตายอยู่อย่างนั่ง มาทำบุญตักบาตรก็เอาข้าวมาใส่ปากให้เอาน้ำใส่ปากให้ จะเอาปานนั้นเหรอพวกเราหา กินเองไม่ได้เหรออันนั้นเขาเป็นศาสดานะอย่าหลงนะมี
เวลาเราไปอินเดียนะ ถ้ำอชันตาเป็นของพุทธ ถ้ำเอลโลร่าเป็นของเชน ไม่ใช่เซนนะ เชน ศาสนาเชนเปลือยกาย เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ โอ้สร้างถ้ำเหมือนกันแข่งขันกันมีทั่วไป เขาทำขึ้นทีหลังแข่งกับพระพุทธเจ้า แข่งกับพระสาวกในที่ใด อย่างพุทธคยาก็มีที่ของพวกเชนพวกฮินดู ในนิโคตร ตอนฉันข้าวนางสุชาดาเดี๋ยวนี้เขายึดเอาเป็นของฮินดู เขาตั้งศิวลึงค์ไว้ เราไปก็เห็นศิวลึงค์ไม่ใช่เห็นพระพุทธรูป ในอิสิปตนะที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก เพราะงั้นอย่าหลง เอารูปแบบต่างๆไม่เป็นไร มันเป็นศาสนวัตถุต่างกัน แต่ว่าตัวศาสนธรรมเนี่ยเหมือนกันหมด เลยนี้ยอดเยี่ยมศาสนธรรมคือสติ ฮินดูมีสติได้ไหม พวกศริสต์มีสติได้ไหม อิสลามมีสติได้ไหม ได้ทั้งนั้น
ศาสนธรรมเหมือนกันต้องตรงนี้แน่นอนที่จะเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใช่ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ไม่ใช่เลย ศาสนบุคคลก็ต่างกัน แม้พุทธศาสนาของเรานะ ศาสนบุคคลนะอย่างพวกมหายานเนี่ยนุ่งห่มไปแบบหนึ่ง เถรวาทก็นุ่งห่มไปแบบหนึ่งมันต่างกันอยู่แต่ว่าศาสธรรมเนี่ยเหมือนกันหมด หลงตาก็เหมือนกันเณรก็เหมือนกันอุบาสิกาแม่ชีญาติโยมเหมือนกันหมด มีสติเหมือนกันเลยอันนี้สากลเป็นอันเดียวกัน แล้วจะให้กลัวอะไรเรารู้สึกตัวเลย รู้สึกตัวเดี๋ยวนี้ ความรู้สึกตัวที่มีกับพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน เนี่ยศาสนธรรม มั่นใจเถอะอยู่ที่ไหนที่ใดก็ตามเรามีหลักอันนี้ไว้
วิธีช่วยเหลือการเกิดแก่เจ็บตายอันนี้แท้ๆ ไม่ใช่ยาไม่ใช่ใคร ญาติพี่น้องทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่เลย เป็นอริยทรัพย์ของเรา มาสร้างกันเถอะมาทำกันเถอะให้มันมาก พวกเราก็มีเรื่องนี้กันมีวัดวา ไม่ใช่ไปแสดงธรรมอยู่ทุ่งนานั่งคันนาแสดงธรรม เราก็มานั่งพูดกันที่นี้ ที่ศาลาอย่างนี้มีที่พักที่หลับที่นอนพอสมควรมันต้องมีอย่างนี้ขึ้นมา อย่าไปเอาอันนี้ ศาสนวัตถุนี้มาเป็นเครื่องความด้อยความเคือง ว่าเราทำได้เราทำไม่ได้ ความรู้สึกตัวทุกคนทำได้ จึงตบอกของเรา เราทำได้เทียบได้เลย เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน หลวงตาสมัยปฏิบัติกับหลวงปู่เทียน เป็นโยมไปปฏิบัติอยู่หลายวัน อาทิตย์หนึ่งสองอาทิตย์ ไม่รู้อะไรเลยประเมินตัวเอง หลวงพ่อเทียนพูดทีไร หลวงพ่อเทียนก็พูดว่า การทำบุญให้ทานรักษาศีลก็เป็นอันหนึ่ง การเจริญสติเป็นอันหนึ่ง เคยทำบุญมามาก ทอดกฐินทุกปี ทำบุญบ้านทุกปี บวชพระทุกปี แต่เราไม่ได้ทำเหมือนหลวงพ่อเทียน ปฏิบัติธรรมนี้มันทำให้รู้ธรรมมะไม่ใช่เรื่องนั้น
เราก็มาคิดว่า เอ๋อ เราไม่รู้ธรรมมะเพราะไม่ได้ทำบุญกฐิน เพราะไม่ได้ทำกองบวช เราเป็นคนจน เราจึงไม่บรรลุธรรม มาคิดปมด้อยขึ้นมา ก็เลยไปถามหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อผู้ปฏิบัติกับหลวงพ่อเนี่ย ไม่รู้อะไรเลยมีไหม ก็เสนอตัวเอง คงเป็นผมนี้เละหลวงพ่อยังไม่รู้อะไรเลยอาทิตย์กว่าๆแล้ว หลวงพ่อเทียนเข้ามาจับมือ เอาจริงหรอ เอาจริงกะหลวงพ่อ ต้องทำเหมือนหลวงพ่อบอกเหรอ หลวงพ่อก็ต่อรอง เคยทำงานเดือนหนึ่งได้เงินกี่บาท ได้เงินเป็นพันบาทแล้ว เอ้าถ้าอยู่นี้ปฏิบัติธรรมแบบนี้เดือนหนึ่งไม่รู้อะไรเลยจะให้เงินพันบาท สองเดือนจะให้เงินสองพันบาท สามเดือนให้เงินสามพันบาท ถ้าไม่รู้อะไรนะ แต่ต้องทำจริงๆนะ หลวงพ่อเทียนคุยอวด แล้วเทียบไหล่กับหลวงพ่อเทียนทันทีเลย ก็ถามหลวงพ่อ หลวงพ่อปฏิบัติธรรมแบบนี้อายุเท่าไร หลวงพ่อเทียนว่าอายุสี่สิบหกปี ตอนนั้นเราอายุยังไม่ถึงสามสิบปีเต็ม เอ้าเราอายุสามสิบปี กับอายุสี่สิบหกปีใครจะหนุ่มกว่ากันวะ เราต้องหนุ่มกว่าหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนจะเก่งขนาดไหน สี่สิบหกปีกับอายุสามสิบปีเนี่ย มันต้องเราต้องเก่งกว่า เอ้ามั่นใจเกินไปหามเตียงออกมามานอนใกล้ๆกับเตียงหลวงพ่อเทียน จะดูหลวงพ่อเทียนว่า แกเก่งหรอ หลวงพ่อเทียนน่ะ
หลวงพ่อบอกว่าให้ทำเหมือนเราบอกนะ เอาการบอกของหลวงพ่อไม่พอ ต้องมาดูหลวงพ่อเทียนนะ เอาเตียงออกมาแต่ก่อนไม่มีกุฏินะ เอาเตียงหามเตียงออกมาอยู่ไม่ไกลเกินไป พอเห็นหลวงพ่อเทียนทุกเวลานาที เอ้า พอเอาเตียงออกมา เห็นหลวงพ่อเทียน เอ้า คนมาหาหลวงพ่อเทียน เมื่อคนมาหาหลวงพ่อเทียน เราต้องไปรับแขกไปปูเสื่อ ไปให้น้ำต้อนรับแขกให้หลวงพ่อเทียน เมื่อคนหนีไปแล้วเราก็ไปเก็บเสื่อเก็บน้ำ เอาไปเอามาไม่ได้ทำความเพียรเลย มัวแต่คอยดูคนที่มาหาหลวงพ่อเทียน อุ๊ย ไม่ได้แล้วแบบนี้ หามเตียงหนีเข้าไปป่าอีก เอ้า หลวงพ่อเทียนจะมีไม่มีก็ไม่เป็นไรเราจะหลวงพ่อเทียนสอนยกมือสร้างจังหวะ เราก็ไม่มีสิทธิ์แล้ว ยกมือซ้ายขึ้นมาทำไปทำไป เทียบไหล่เลยมีไหมพวกเรา มีกำลังใจขึ้นมาเทียบไหล่เลย อายุเท่าไรก็ตามเทียบไหล่ได้เลย ใครก็รู้ได้ ไม่ใช่คนหนุ่มคนแก่ไม่ใช่นักบวชไม่ใช่ฆราวาส ไม่ใช่คนเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ความรู้สึกตัวทำได้ทุกคนเลยมั่นใจ วันนี้เราก็มีโอกาสพบกันนะ ไม่ได้พบกันหลายวันแล้ว หลวงตาก็ไม่เคยชินแบบนี้ จะเห็นหน้ากันทุกวันนะ สมัยก่อนก็มีการที่จะกรรมฐานเข้มแบบนี้ก็มี แต่ว่าหลวงตาเข้มแต่มาทำวัตรกับหลวงพ่อเทียนทุกวันมาฟังหลวงพ่อเทียนพูดทุกวันตอนเช้าตอนเย็น แต่ก็เข้มไปอยู่กับการปฏิบัติธรรม เข้มไปกับการมีสติ บางรูปก็ไม่มาทำวัตร ขอปาราวานาไม่มาฉันไม่มาทำวัตร แต่เรามาฉันกับหลวงพ่อเทียนทุกวัน มาทำวัตรกับหลวงพ่อเทียนทุกวัน สิ่งใดที่หลวงพ่อเทียนพูด เรารู้ สิ่งใดหลวงพ่อเทียนพูด เราไม่รู้เราก็ทำตรงนั้นเราไม่ต้องถามท่าน หลวงพ่อเทียนก็ไม่ต้องไปสอบอารมณ์อะไร เพียงแต่เรามาฟังที่หลวงพ่อเทียนพูด เราก็รู้ในสิ่งที่หลวงพ่อเทียนพูด สิ่งที่หลวงพ่อเทียนพูดเราไม่รู้ก็พยายามทำ บางทีก็หลงตรงที่หลวงพ่อเทียนพูดว่ามันไม่ถูก เราก็แก้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็มีประโยชน์บ้างการมาฟัง ไม่มีประโยชน์บ้างก็ได้ แต่ถ้าเราที่จะเอาบุกเบิกไปเลยก็ได้นะ