แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
น่าภาคภูมิใจที่เรามีชีวิต มีกาย มีใจ กายใจนี้มันแสดงชาติต่างๆ ภพภูมิต่างๆ รวมหมดไม่มีปกปิด ซ่อนเร้น กายของเรา ใจของเรา ว่าแต่เราอย่าหลง มีตาภายใน ดูแลกายใจให้ดี อย่าให้เกิดจุดอ่อน ผิดพลาด ชี้ถูกชี้ผิด ถ้าเราไม่สอนตัวเอง ไม่ฝึกฝนตนเอง ก็เป็นโทษเป็นภัย ถ้าเราฝึกฝนตนเองก็เป็นประโยชน์ เราก็เป็นมนุษย์ เป็นสังคมอยู่ร่วมกัน มันก็เกิดประโยชน์ต่อกันได้ ต่อทุกสรรพสิ่งได้ มีกายมีใจ กายใจก็แสดงออกหลายรูปแบบ มีขา มีแขน มีเรี่ยวมีแรง ช่วยผู้ช่วยคนได้ มีมือมีแขน มีที่แบกมีที่วาง มีที่ยก ทำได้ มีใจก็มีที่ปล่อย มีที่วาง ตรงไหนวางก็วางปล่อยออกไป ตรงไหนที่เข้มแข็งปิดกั้นไว้ก็ปิด เหมือนน้ำเขื่อน น้ำฝาย ถนนหนทาง
ชีวิตของเรานี้ไม่ต้องลงทุนอีกแล้ว มีทุนร่วมแล้ว ตรงไหนที่มันเป็นพิษเป็นภัย ปล่อยไป ตรงไหนที่มันเกิดประโยชน์ กักเอาไว้ ขังไว้ เก็บไว้ มานั่งในสระวัดป่าสุคะโต แต่ก่อนนี้ปนเปกันหมด น้ำป่า จากไร่จากสวนชาวบ้านที่มีสารเคมี สิ่งไหนที่ปล่อยไปทางอื่นก็ปล่อยไป สิ่งไหนที่เก็บไว้ก็เก็บ น้ำเคมีไปทางหนึ่ง น้ำบริสุทธิ์ไปทางหนึ่ง เข้าสระสำหรับไว้ใช้แล้วก็ปิดไว้ ขังไว้ จะใช้อาศัยเป็นปัจจัยภายนอกมันเกี่ยวกับปัจจัยภายใน คือ ชีวิตเราเอาประโยชน์จากมัน ถ้าปล่อยมันทิ้งก็เสียประโยชน์ บางอย่างเป็นโทษก็ปล่อยมันหนี น้ำพิษให้ไปทางหนึ่ง อันนั้นก็ต้องลงทุนด้วยแรงงาน แต่ว่าชีวิตของเราไม่ต้องลงทุนเลย สมปรารถนา อะไรที่มันเป็นพิษ ไม่ต้องอาศัยวัตถุที่ 1 ที่ 2 มาช่วย จอม เสียม รถ เครื่องมือ ไม่มี
กายใจมันหลง มันก็มีความไม่หลงอยู่ในใจ กายใจมันทุกข์มันก็มีความไม่ทุกข์อยู่ในใจ กายใจมันโกรธมันก็มีความไม่โกรธอยู่ในใจ เท่าใดเท่ากัน หลงไปจะได้รู้ว่าหลงไป ซุกลงไปจะได้รู้ลงไป ไอ้ที่เป็นโทษกลายเป็นประโยชน์ ทีนี้เป็นโทษเป็นประโยชน์ ทำให้เราเห็นแจ้ง ไม่เข้าไปหาทุกข์ สัมผัสดูแล้ว ไม่เป็นธรรมเลย เป็นโทษต่อตัวเองและคนอื่น อะไรที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เมื่อมันในมัน ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่มีกาลไม่มีเวลา ไม่ต้องกลัว พวกเราอย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจ ตบอกตัวเองผางเลยทีเดียว ว่านี้เราจะเป็น ชีวิตประเสริฐตรงนี้
แต่วันนี้คือวันปีใหม่ 2552 เราจะก้าวอย่างใหม่เอี่ยม อะไรที่เป็นความดีเพียรทำให้ได้ในปีใหม่ อะไรที่เป็นความชั่วเพียรได้ในปีใหม่ เอาความดีออกหน้าออกตา มีเมตตากรุณาก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ขณะที่พูด ที่ทำ ที่คิด มีเมตตากรุณา ทั้งต่อหน้าและลับหลังในเพื่อนมนุษย์ สรรพสิ่ง นี้เราก็ทำได้ จัดสรรการใช้ชีวิตแบบใหม่ ก้าวใหม่ อย่าให้เปรอะให้เปื้อน สิ่งที่ทำให้เปรอะเปื้อน คือ อกุศลกรรม แปลว่า บาป มันเศร้าหมอง อย่าเข้าไปหา อย่านำมา มองเข้าไปให้เห็นแจ้งความเศร้าหมองก็เป็นบาป บริจาค จาคะ ปล่อยออกไป บริจาค จาคะ สละอารมณ์เน่าออกจากจิตใจตัวเองให้ได้ อย่าหมักหมม เก็บเอาไว้ ถัดจากนี้ หัดตั้งแต่เบื้องต้น ถ้าเบื้องต้นไม่หัด ก็ไม่เป็นสักที ถ้าหัดเป็นแล้ว มันก็ไม่ยาก ไม่ต้องหัดอีก เมื่อมันหลงก็รู้ มองพร้อมกันไป อะไรที่มันไม่ใช่ความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับชีวิตเรา เราก็สัมผัสได้ เราจึงเห็นได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล
ถ้าปีใหม่ก็เป็นใหม่ของ พ.ศ. แต่ถ้าจะใหม่ของชีวิตเราคือ การกระทำของเรา อย่างละความชั่ว เพียรทำความดี ความชั่วเราก็เห็น ไม่มีปิดบังอำพราง ส่งท้ายไปปีเก่า กินเหล้าเมายา อย่าเข้ามาในปีใหม่นี้ ใครทะเลาะว่ากัน ที่ใด เมื่อใด อยู่ที่ไหน ให้อยู่ในปีเก่าโน่น ปีนี้ไม่ต้องเข้ามา นำมาแต่ความดี เหมือนหลวงพ่อ เหมือนเนี่ย ที่เป็นนักบวชเนี่ย สมัยก่อนเป็นจ่าทหาร ติดเหล้า ตอนบวชก็เอาขวดเหล้าทิ้งไว้ประตูวัด ถามดูว่าเหล้าอยู่นี่นะ เราจะเข้าวัดแล้ว อย่าตามเราไป ก็เลิกเหล้าได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อันนี้คือการกระทำ เหล้ายังเป็นปัจจัยอันหนึ่งนอกกายของเรา อยู่ในเราแท้ๆ ความหลงอยู่ในเรา ความทุกข์อยู่ในเรา เราก็เห็นอยู่ คนอื่นก็เห็น เราก็ไม่ตามมาหัดตัวเอง ถ้าหัดตัวเองบ่อยๆ ก็เป็นแล้วบัดเนี่ย ก็สอนได้
เหมือนเราหัดวัวหัดควาย หัดเข้าธาตุเข้าคราด เทียมไถ เทียมล้อ เทียมเกวียน หัดครั้งเดียวไม่เกินอาทิตย์หนึ่ง ต่อปีต่อไปไม่ต้องหัดอีก จับมาเทียมคราด เทียมไถ เทียมล้อ เทียมเกวียนเลย มันเป็น นั่นเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่เราประเสริฐกว่านั้น ถ้าได้หัดก็เร็วกว่านั้น เราจึงต้องหัดกัน วิธีหัดที่มันศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของคนเรา คือ กรรมฐาน เป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์หัดได้ จากความชั่วสู่ความดี จนถึงมรรคถึงผล หมดพิษหมดภัย ขอให้เราได้ตั้งใจไว้เสมอ เพื่อให้เป็นมงคลแก่เรา หัดหลายๆอย่าง อย่าคบคนพาล อะไรที่เป็นคนพาล ในตัวเราก็มี นอกตัวเราก็มี ในตัวเราคือความหลง ความโกรธ ความทุกข์ ความเศร้าหมอง เป็นคนพาล มีในชีวิตเรา อย่าคบ ไม่เห็นด้วย เวลามันหลงรู้ ไม่คบคนพาลแล้วคบบัณฑิต เวลามันโกรธรู้ อย่าคบคนพาล คนพาล คือ มันทำให้เดือดร้อน ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความทุกข์ เป็นคนพาล มันเป็นภพอันหนึ่งที่มาอาศัยจิตใจของเรา อาศัยกายของเรา เราก็ไม่ต้อนรับ ว่านี่เป็นคนพาลภายในชีวิตเรา คนพาลภายนอกก็มาชวน ขี้เกียจ ขี้คร้านประกอบการงานอาชีพ ชวนเที่ยวเตร่เร่ร่อน เป็นนักเลงผู้หญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน นั่นคนพาลภายนอก ก็เห็นใครทักห้ามเรา เช่น ไปงาน ทำงานมา ชวนกลับบ้าน เจอบัณฑิตแล้วกลับบ้านเถอะเพื่อน อาจจะไปโน่นไปนี่ ไปเที่ยวสักหน่อย ไม่ต้องไป กลับบ้านเถอะ เขาเรียกว่าบัณฑิต ถ้าใครชวนไปกินเหล้า ไปเที่ยว คนพาลแล้ว พวกคนพาลพาไปหาโทษ หาภัย คบบัณฑิตพาไปหาผล กลับบ้านกลับช่อง อย่าทิ้งบ้านทิ้งเรือน อย่าทิ้งครอบทิ้งครัว อันนี้คบบัณฑิต ภายนอกแล้วก็มีอยู่ตลอดเวลา นั่นคนพาล บัณฑิตภายนอกมันก็มีบุคคลตัวตน
คนพาลภายนอกภายในก็มีเหตุปัจจัยต่างๆ คนพาลภายในนี้ก็สำคัญ ความหลงเป็นเจ้าเรือนต้อนรับ ความทุกข์ ความโกรธ เข้ามาอยู่ได้ มันเป็นหมู่เป็นกลุ่ม กลุ่มบาปก็มีบาปมา กลุ่มบุญก็มีบุญมา ชีวิตของเราต้องหัดต้อนรับ บาปละบาป ต้อนรับบุญ สร้างกุศล สร้างบุญ คิดดี พูดดี ทำดี หัดคบบัณฑิต บูชาบุคคลควรบูชา บิดามารดา ครูอาจารย์ บิดามาราดาไว้ข้างหน้า ไปไหนอย่าเอาพ่อแม่ไว้ข้างหลัง เอาไว้ข้างหน้า ไม่ถือไว้ให้มันเคยชินเหมือนสมัยก่อนคนโบราณเขาถือธรณี พระแม่ธรณีแผ่นดิน เวลาไปซื้อไปขาย ไปออกจากบ้าน แม่จะหยิบขี้ดิน หยิบดิน โรยหัวให้เจ้าแม่ธรณีปกปักรักษา แม้แต่ดินเราก็อาศัย สมัยก่อนเนี่ย บางทีก็ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่นั่นก็เป็นภายนอก แต่มันอยู่กับเรานี่ การทำความดีเนี่ย การละความชั่วเนี่ย มันอยู่กับเรา การกระทำกับเรา บูชาความดี เป็นอะไรคิดดี โอ๊ย! สัมผัสแล้วเย็นใจ เป็นอะไรคิดชั่ว เร่าร้อน
เคารพบิดามารดา บุคคลควรบูชา บุคคลไม่ควรบูชา หยุดเว้นบาป เว้นอกุศล อาระตี วิระตี ปาปา เว้นบาปกรรม อกุศล อะไรที่เป็นทุกข์ เป็นโทษ ถ้าเป็นบาป บาปเป็นความเดือดร้อนตัวเองและคนอื่น อย่าทำ อย่าเอามาคิด เพื่อให้เป็นมงคลในปีใหม่เยอะแยะ ไม่ต้องไปซื้อไปหาสร้างสรรค์ขึ้นมา อย่างที่เป็นความสุขร่วมกัน เอาความดีออกหน้าออกตา งานตัวเองหัดให้เป็น ถ้าไม่หัดมันไม่เป็น บางทีมันง่ายที่จะหลง ความรู้ก็ยาก บางทีทำดีได้ยาก ทำชั่วได้ง่าย เพราะไม่หัด ถ้าเราฝึกหัดแล้วมันทำได้ มันก็อยู่กับเรานี่ ยังไงความรู้สึกระลึกได้ เหมือนกับน้ำทีละหยด ละหยด อย่าดึงไปหาผลประโยชน์จากการสร้างความดี ให้ทำไปก่อน น้ำไหลใส่แก้วทีละหยด ไหลบ่อยๆ น้ำก็เต็มแก้ว เอามาดื่ม กระหาย แก้กระหายได้ น้ำหยดเดียวนี้ ดื่มก็ไม่อิ่ม ดื่มก็ไม่ได้ แต่ไปเอาได้ เอาไม่ได้
ตอนทำตอนฝึกหัดให้เพียรทำไปก่อน รู้ไปก่อน เหมือนกับเรากินข้าว เราหิวข้าว เรากินคำแรกจะให้อิ่มเลย มันเป็นไปไม่ได้ ต้องเคี้ยวไปกลืนไป ถึงคำก็อิ่มเอา เวลามันอิ่ม ไม่ต้องถามใคร ฉันอิ่มหรือเปล่าบางคนรู้สึกตัวนี้ เวลามีมาก มันก็เป็นประโยชน์ เพราะงั้นกินข้าวแต่ละคำ ไม่ใช่ข้าว เมื่อเข้าไปในปากมันกลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ เป็นชีวิตได้ จากเม็ดข้าว น้ำแกง เราไม่ต้องไปแบ่งสรรปันมัน ส่วนนี้เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นชีวิต เป็นกำลัง มันเป็นธรรมชาติเหมือนเรากินข้าวน่ะ เป็นธรรมชาติ เรามีสติ มันก็เป็น เมื่อสติไปอยู่ในกาย กายไปต่อสติ สติมีอยู่ในกาย เพราะงั้นกายเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นบุญ เป็นกุศล เพราะกายก็ไม่ได้ทำชั่วอะไร มีสติก็ละความชั่วในตัว ทั้งเป็นการรักษาศีล มีสติเพื่อทำความดีไม่วอกแวก เห็นตั้งแต่มันคิดก็เห็น เปลี่ยนตั้งแต่มันคิดเป็นความรู้สึกตัวไป มันก็เป็นสมาธิ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ทุกครั้ง มันก็เป็นปัญญาไปในตัว
เมื่อมีสติมันก็กลายเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาได้ ไม่ต้องไปประเมิน เอากรรมเป็นสิ่งที่ลิขิต หรือเหมือนกับเราปลูกต้นข้าว เป็นต้นกล้าอันมีรากข้าว รากต้นกล้า เอารากของต้นกล้าไปปักลงดิน มีความชื้นพอเหมาะ ไม่แห้ง ไม่ท่วม ต้นกล้าที่มีรากไปปักลงดิน เมื่อมันได้สัมผัสกับดินรากของต้นกล้ามันก็เจริญเติบโตเป็นลำต้น เมื่อเป็นลำต้นขึ้นมาก็เป็นดอกเป็นผลได้ จากต้นกล้ากลายเป็นเม็ดข้าว ถ้าทำถูกนี่จากความรู้สึกตัวมาสัมผัสกับกายกับใจ มันก็เป็นมรรคเป็นผล นั่นเกิดจากสิ่งเหล่านี้ เกิดจากการกระทำ เราไม่ต้องอ้อนวอนเมื่อไหร่มันจะได้ผล เราปลูกข้าวลงไปเถอะ ความเพียรใส่ใจที่ทำบ่อยๆ เหมือนน้ำฝนมันกำลังทำความผิดให้กลายเป็นความถูก เหมือนกะสมาธิมันหนักแน่นชัดเจนแม่นยำ เหมือนคราดเหมือนไถพลิกหญ้าพลิกป่าให้มันเป็นดินขึ้นมาเหมาะที่จะปลูกฝัง นี่ก็เหมือนกัน มีความเพียรเหมือนน้ำฝน มีศรัทธา มั่นใจ กว้าง เหมือนกับเนื้อ เนื้อนาเนื้อดิน ทำเลที่เราหาอยู่หากินมีที่ปลูก มีพื้นที่ ไม่จนในการศรัทธา ต้นข้าวมันก็งอกงามได้ผล ไม่เป็นเม็ดข้าว เป็นมรรคเป็นผล ผลจากการปลูกสติ เมื่อได้ผลแล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่ไม่เหมือนเม็ดข้าวที่เรากิน กินแล้วยังแก่ ยังเจ็บ ยังตายอยู่ อันนี้คือกรรมฐาน ไม่มีการแบ่งปันกันได้ ต้องเป็นของใครของมัน ทำเอา เราเจ็บเราก็เจ็บเอง เราแก่เราก็แก่เอง เราตายเราก็ตายเอง ไม่มีใครแก่เจ็บตายแทนกันได้ เราจึงช่วยตัวเองมากๆ อย่าประมาท เริ่มต้นซะ
ประเทศไทยคนไทย มีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์ มีธรรมะ ก็สอนกันปฏิบัติกันอยู่ บ้างก็ยังหลง ยังโกรธ ยังทุกข์ เป็นคนล้าสมัยแล้วเขาไปไกลแล้ว เดินทางมาไกลแล้ว ก็อยู่ที่เก่า มันไม่ใช่แล้ว มันเปลี่ยนไปได้ เราเดินทางไกลเหลือเกิน อะไรที่มันเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น จากปีที่ผ่านมาแล้วก็มาเป็นบทเรียนของเรา ก้าวใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ดีต้องตั้งต้นใหม่อยู่เรื่อย ตั้งต้นใหม่อยู่เรื่อย ตั้งต้นในการทำความดี ตั้งต้นใหม่อยู่เรื่อย ถ้าหัดใหม่ๆต้องเป็นเช่นนั้น เหมือนเด็กน้อย มันหัดตั้งไข่ๆ แม่ก็บอกว่าตั้งไข่ๆ มันนั่งไม่เป็น พอเจ็ดแปดเดือนแม่จะจับตั้งไข่ เวลาเด็กมันจะเซไป มันจะรู้จักช่วยตนเอง ตั้งไข่แล้วมันก็หัดเดิน มันจะเดินล้ม แม่ก็เว่าคุบหนูๆ (ตะครุบหนู) อย่าไปยกมัน ให้มันช่วยตัวมันลองดู ถ้าให้มันช่วยตัวมันอย่างนี้เข้มแข็ง มันลุกเอง เด็กคนไหนล้มแล้วไม่รู้จักลุกอ่อนแอ พ่อแม่ผู้ฉลาดต้องบอกให้เขาลุก ลุก ย่องๆ มันยกยอมันขึ้นมา มันลุกขึ้น ก้าวแรกมันลุกได้ ต่อไปมันก็ลุกได้ ต่อไปก็เดินได้ มันเป็นการช่วยตัวมันเอง เด็กน้อย เหมือนแม่เอานมใส่ปากแล้วลูกไม่กลืนนมก็ไม่เจริญเติบโต เอาข้าวใส่ปากลูกไม่กลืนมันก็ไม่เจริญเติบโต เขากลืนข้าวเอง เขาก็เจริญเติบโตเอง พ่อแม่ฉันจะรักเท่าไหร่ ก็ไม่ให้ ให้มันเติบโตแทนมันไม่ได้ เขาต้องช่วยตัวเขา
ในกายในใจเรานี้ ลองให้มันช่วยตัวเองดู มันจะเข้มแข็งมากในด้านจิตใจ ยิ่งเข้มแข็งที่สุดเลย ก็จะมีคำพูดซะหน่อย ก็บอกว่าไม่เป็นไร หนาวก็ไม่เป็นไร ร้อนก็ไม่เป็นไร หิวก็ไม่เป็นไร ใจต้องวางไว้ก่อน ปล่อยไว้ก่อน อย่าไปพูด อย่าไปเชียร์ว่า ไม่ไหวๆ ตายๆๆ อย่าพูดคำนี้ ลบทิ้งไป เมื่อเราทำอะไรที่มันมีความเดือดร้อนหนักหนาสาโหด ทุกข์เดือดร้อนหนักหนาแสน ไม่เป็นไรปล่อยมัน มันน้ำเน่า เหมือนน้ำสุคะโตนี่ น้ำไหลมาจากสวนจากไร่ชาวบ้าน มันอาบไม่ได้ มันคัน มันมีสารพิษ ปล่อยออกไป ถ้าเก็บขังไว้มีแต่โทษ ถ้าเราเป็นทุกข์ พอใจ เสียใจ พอใจ ไม่พอใจ มันเป็นของเน่า มันเก่า ไม่ใช่ของใหม่ ถ้ามันใหม่ ต้องปล่อยออกไป เก็บอันอื่นไว้ ทิ้งออกไปของเก่า ว่าไม่เป็นไร ใหม่กว่าเก่าสักหน่อย ใหม่กว่าเก่า ถ้าไม่ ไม่ไหวๆแย่ๆ มันเก่าที่สุดแล้ว คร่ำคร่า ทรุดโทรมมาก ใจประเภทนั้นเป็นใจทรุดโทรม อยู่ในภพชาติของการแก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วครั้งหนึ่งไม่พอโกรธครั้งที่สอง บางทีความโกรธเรื่องเดียวเอามาโกรธหลายรอบ หลายภพหลายชาติ ความทุกข์เรื่องเดียวเอามาทุกข์ซ้ำๆซากๆ ย่ำทุกข์ๆ ย่ำโกรธๆ ย่ำหลงๆ บางคนคนก็พอใจในความทุกข์ พอใจในความโกรธ พอใจในความหลง หาวัตถุ หาเหตุให้เกิดความหลง หากินเหล้าเมายา เที่ยวเตร่เร่ร่อน หาปัจจัยให้เกิดความหลงด้วยเลยบางคน ซื้อเอาความหลง เพราะงั้นนี่มันก็หลงอยู่จนตาย ทุกข์อยู่จนตาย
เหมือนคนล้าสมัย ดื้อด้าน ป่านนี้เรามาสอนตัวเอง ไอ้โรคนี้มันไม่ได้โง่เหมือนเรา คนฉลาดก็มีสิ่งที่ทำให้ทุกคนทุกข์นะ เราไม่ทุกข์แล้ว สิ่งที่ตัวเราหลงคนอื่นเขาไม่หลงแล้ว ทีนี้เราพอใจ คนอื่นทำให้หลงพอใจ เสียใจ เขาผ่านได้แล้ว ลื่นแล้ว เรียบแล้ว เหมือนมิตรภาพแล้ว มันมีแต่คลื่น ถ้ามีความพอใจไม่พอใจ ว่าชีวิตมีคลื่น เหมือนรถวิ่งอยู่ในคลื่น ถนนไม่ดีก็ทรุดโทรม จิตของเราที่วิ่งอยู่ในคลื่นพอใจ ไม่พอใจ ฟูๆแฟบๆ เรียกว่าจิตมีคลื่น มันก็ทรุดโทรมได้ง่าย แทนที่จะมีความสุข ทุกข์ทั้งชาติก็มีเหมือนกัน มันเสีย เสียเปรียบความทุกข์ เสียเปรียบความหลง จงมาให้มันเรียบซะ
เหมือนกับเรือเทียบท่า ชีวิตเราเหมือนเรือ เราเดินทางในชีวิตโลกๆ เหมือนทะเล ฝั่งพระนิพพานเหมือนไม่มีน้ำ เหมือนบก ความทุกข์ที่หนึ่งเราแบกไว้อยู่ในห้วงน้ำ ถ้าเป็นผู้ทุกข์ ถ้าเห็นมันทุกข์ เทียบฝั่งได้ ขึ้นฝั่งได้ ถ้าเห็นแล้วขึ้นได้ง่าย มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ชั่วเรือเทียบท่า เห็นฝั่งนิพพานได้ง่าย ถ้ามันโกรธ เห็นมันโกรธ ขึ้นท่าได้ง่าย ขึ้นฝั่งได้ง่าย ถ้ามันโกรธมันก็โกรธขึ้นฝั่งได้ยาก หักด้ามพร้าด้วยเข่า มันเป็นหน้าผา ลอยคออยู่ตรงนั้น มันก็ท่วมอยู่ พอใจในความโกรธ เพราะเห็นมันไม่มีใครพอใจ ความโกรธไม่ใช่ใจ ความโกรธเป็นอาการเกิดขึ้น มันไม่โกรธก็ได้ เปลี่ยนได้ นี่เขาว่าเรือเทียบท่า หัดขึ้นฝั่งให้ไวๆ มันหลงรู้ มันโกรธรู้ มันโกรธเห็นมันโกรธ มันเหนื่อยเห็นมันเหนื่อย มันเบื่อเห็นมันเบื่อ มันหิวเห็นมันหิว มันเหงาเห็นมันเหงา
หลักการปฏิบัติ ทำของยากให้เป็นของง่ายนะได้ ทำของหนักให้เป็นของเบาได้ หัดเห็นหัดดู จึงมาดู มาดูภายใน เคลื่อนไหวมือให้รู้ให้เห็น มืออยู่ที่ไหนให้เห็น เป็นครั้งๆไป การสร้าง การเคลื่อนไหว กำหนดการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความรู้ อย่าให้ต่อเนื่องเหมือนแกว่งดุ้นไฟ ดุ้นไฟมันไม่มีแสง มีแสงนิดหน่อย เมื่อเราแกว่งไวๆ ก็เป็นวง อันความรู้สึกตัวที่เราสร้างไม่เป็น มันก็ไม่ชัดเจน เราต้องสร้างเป็นครั้งๆไป เป็นครั้งเป็นครั้ง เช่น ถ้ามือวางไว้บนเข่า กำหนดข้างขวา รู้สึกๆๆ หยุดไว้ก่อน รู้สึกๆๆ หยุดไว้สักหน่อยก่อน รู้สึกๆๆๆ หยุดไว้ก่อน จึงค่อยมาเคลื่อนไหวมือนะให้รู้ก่อน นี่เขาจะไปของเขาได้ง่าย เหมือนเราสอนมันผิดมันถูกให้ ชี้ให้นำ ให้เห็น สัมผัสเอา ไม่ใช่การสอนไปหมดทุกอย่าง บทเรียนจากการกระทำของเราเป็นครูใหญ่อย่างยิ่ง
เริ่มต้นใหม่จากมือทีละข้างไป ข้างนี้เสร็จแล้วให้ มารู้ข้างนี้ เอาข้างนี้ออกเสร็จแล้ว จึงเอามากำหนดรู้ข้างนี้ มันยาวไป ให้มันเป็นเส้นไม่ได้ เหมือนเราหายใจตามลมเข้าลมออก แต่นี้มันเป็นอนุบาล เหมือนเรามาเขียนหนังสืออาศัยบรรทัด ต่อไปไม่ต้องอาศัย มันรู้ไปเอง หัดให้มันเป็น ไม่ใช่หัดให้มันรู้ ทำให้มันรู้เฉยๆ อย่าให้มันเป็น เป็นการสอนตัวเอง ทำอะไรให้แม่นยำ ออกจากบ้านปิดประตู ใส่ใจ ใส่กุญแจ ใส่ใจ เอาลูกกุญแจใส่กระเป๋า ใส่ใจ แม่นยำ ชัดเจน ตรงไหนอยู่ตรงไหน รู้ สิ่งของ ที่บ้านที่เรือนรู้ ที่หลวงตานั่งอยู่นี่ บอกให้ไปเอาปากกาให้อยู่บนโต๊ะ หรือไปเอาของอยู่ในลิ้นชัก ข้างซ้าย ข้างขวา แว่นตาอยู่ข้างขวาลิ้นชัก ใบอนุโมทนาบัตรอยู่ลิ้นชักข้างซ้ายมือ ไปก็ไปจับเอา ไม่ต้องลืมตาก็ได้ หลับตาไปจับเอาเลย เพราะอะไร เพราะมันบันทึกไว้ในใจ เป็นคอมพิวเตอร์ มันหัดได้ มันเก็บข้อมูลอย่างดี อะไรผิดมันก็รู้ อะไรถูกมันก็รู้ แต่เราไม่หัดก็ด้าน ด้านในความผิด ความผิดก็เฉยได้ ดื้อตรงนั้น ไม่แก้เปลี่ยนเป็นถูก มันก็ด้านไม่เห็นชัด ไม่แม่นยำ แทนที่ได้ประโยชน์จากความผิด ก็ผิดก็ลงโทษอยู่เช่นนั้น
พระพุทธเจ้าของเราเนี่ย ตรัสรู้บนความผิดพลาด เห็นความไม่เที่ยง เคยทุกข์เพราะความไม่เที่ยง พอมีศึกษาเข้าจริงๆ โอ้ย.. ความไม่เที่ยง เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยงเมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์จากความไม่เที่ยง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน เอาความไม่เที่ยงเป็นพระนิพพานเลยอย่างพระพุทธเจ้า แต่ปุถุชนเราเอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ มันก็ไม่เป็นเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้ไปอย่างนี้ มันก็ไปทางอื่น หลงตรงไหน รู้ตรงนั้น เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่เขาหลงมา นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน เคยทุกข์ก็ปลดความทุกข์ ความทุกข์ทำให้เกิดทุกข์ เมื่อดูๆไปอ้างความทุกข์ ทำให้เกิดปัญญา เป็นนิพพานเลยทีเดียว หัดเปลี่ยนให้การปฏิบัติ คือเปลี่ยน
ปีใหม่แล้วต้องเปลี่ยนร้ายเป็นดี ไม่ใช่เปลี่ยน พ.ศ. ความร้าย ความดีอยู่ตรงไหน อยู่ที่เรานี้ เรามีอะไรในกายในใจ เราก็ต้องเปลี่ยนมัน มันเกิดมาให้เราเปลี่ยน มันเปลี่ยนได้ ปฏิบัติได้ พระธรรมอัศจรรย์ตรงนี้ที่มันเปลี่ยนได้ มันทุกข์เปลี่ยนให้เป็นตัวรู้ มันหลงเปลี่ยนเป็นตัวรู้ ให้เป็นตัวรู้ไป เข้าข้างตัวรู้ไป ให้ตัวรู้เป็นตัวเฉลยไปก่อน บุกเบิกไปก่อน ถ้าบุกเบิกไปแล้ว จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เหมือนหลวงตาไปอยู่กรุงเทพฯ มีคนเขาไปซื้อที่จะสร้างสำนักให้ ไปดูว่าเป็นป่า ป่ากก ป่าไร่ ท่วมหลังช้างหมด เขาบอกว่า อีกเดือนเดียวก็จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เพราะเขาจะทำให้เป็นรูป เป็นร่างขึ้นมา พอไปอีก ก็เป็นรูป เป็นร่าง เป็นสระ เป็นศาลา เป็นอะไรขึ้นมา เป็นถนนหนทาง รถวิ่งเข้าวิ่งออก เหล่านี้เดินเหยียบมันไป ตรงที่ไหนมันรกรุงรัง เป็นป่าตรงไหนรู้ รู้มันตรงนั้น มันเป็นทางได้เพราะมันมีป่า ป่าคืออวิชชา อวิชชาคือไม่รู้ ตรงที่มันไม่รู้น่ะรู้ลงไป ในชีวิตของเรานี้ แบบนี้เรียกว่า ปฏิบัติ มันเป็นปีใหม่จริงๆและเริ่มต้นใหม่ ไม่กี่วันก็จะได้ของใหม่ ใหม่กว่าเก่าเลยทีเดียว
เคยหลงตอนนี้ไม่หลง เคยทุกข์ตอนนี้ไม่ทุกข์ ใหม่เข้าไป ใหม่เข้าไป ก็อาศัยกันได้ อาศัยเราได้ ใจก็อาศัยใจได้ อย่างนี้ถ้าเราไม่หัดมันเก่า อันใหม่ก็ใส่ไม่ได้ คร่ำคร่า เปราะบาง โมโหง่าย โกรธง่าย หลงง่าย เอาความเมาออกหน้าออกตา อันดีไว้ข้างหลัง อันร้ายไว้ข้างหน้า คิดอะไรเอาเหตุผล เอาความไม่ดี พิชิตไปก่อน บุกไปก่อนว่า คนรักไว้ข้างหลัง คนชังไว้ข้างหน้า ความดีนั้นเมื่อไรก็ไม่รู้ เช่น เราโกรธก็ด่ากันก่อน ให้เอาความชังไว้ข้างหน้า ก็ยังทำได้ ถ้ามันโกรธหยุดสักหน่อย หัดเอาความดีไว้ข้างหน้า เปลี่ยนลองดูสิ เหมือนหน้ามือหลังมือ เปลี่ยนอันนี้ หัดทีหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง ง่ายแล้วทีนี้ ถ้าไม่หัดก็ยาก ต้องหัดตัวเอง หัดให้มันรู้ ตอนนี้ย่างเข้าปีใหม่ได้สิบกว่าชั่วโมง ให้มันใหม่กว่าเก่า ปณิธานไว้ในใจเสมอ อะไรที่เป็นความชั่ว อย่าให้มันตามมา เพียรละ สร้างความดีไว้มากๆ เรียกว่าภาวนา ความดีเนี่ย
ภาวนาคือขยันรู้ เป็นบิดาแห่งความดี ความหลงเป็นบิดาของความชั่ว เรามาตั้งต้นตอนนี้ ให้ขยันรู้ ขยันรู้ ความรู้ไม่ได้อยู่สุคะโต อยู่กับกายกับใจเรา เราอยู่ที่ไหนความรู้อยู่ที่นั่น กายอยู่ที่นั่น ใจอยู่ที่นั่น นี่เป็นปีใหม่ ประเทศญี่ปุ่นได้เป็นลูกพระอาทิตย์ก่อนใคร ถ้าประเทศอื่นอย่างยุโรป อเมริกาเวลานี้ก็จะเป็นหนึ่งทุ่ม เขาจะเป็นหนึ่งโมงเช้า ตรงกันข้าม เพราะนั้นเนี่ยเป็นสมมติบัญญัติของโลกสากล ถ้าจะเป็นของเราจริงอยู่กับเรา อันใหม่เสมอ ถ้าเราไม่รู้ตรงนี้ก็ เวลากลืนกินเราไป ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราก็กลืนกินเวลาไปได้ประโยชน์ หลวงตาก็เดินทางมาไกลแล้ว 70 กว่าปี ได้ประโยชน์มาจากชีวิตนี้ ประมาณ40-50 ปีนี่ นอกจากนั้นสูญเสียไปหมดเลย ดูแลตัวเองไม่เป็น พอฝึกกรรมฐานแล้ว เอ้อ อยู่ไหนกันหมดแล้ว เราจะทำความดี เราจะละความชั่ว จากนี้จะไม่ทำอีก จะทำแต่ความดี มีน้ำใจที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันแหละ 40 กว่าปีเนี่ย เราคิดขึ้นมาได้ เป็นชีวิตจริงๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่คุ้มร้ายคุ้มดี นี่มันได้ชีวิต
ถ้าหลงก็ไม่ได้ชีวิตแล้ว ถ้าโกรธมันก็ไม่ได้ชีวิตแล้ว ถ้าทุกข์มันก็ไม่ได้ชีวิตแล้ว เป็นของคนอื่นไป ชีวิตของเราจริงไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไร ปกติไม่ยินดี ไม่ยินร้าย บริสุทธิ์ก็ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไรเลย จะตาย จะเจ็บ ก็ไม่เป็นอะไร เจ็บก็ไม่เป็นอะไรกับความเจ็บ ป่วยก็ไม่เป็นอะไรกับความป่วย ตายก็ไม่เป็นอะไรกับความตาย ชีวิตที่ตายกับชีวิตที่เป็นเนี่ยเหมือนกัน ไม่เปลี่ยนแปลงเลย อันตายอันเป็นอันเดียวกัน จิตอันเดียวกัน ถ้าเราไม่ฝึกก็โอ๊ย! สุขๆ ทุกข์ๆ ตายก็ทุกข์ มีชีวิตก็เป็นสุข บัดนี้ถ้าเราฝึกก็ไม่เป็นอันอื่น เป็นอย่างเดียว อันตัวตายก็เป็นอันตัวเดียวกันตัว เป็นก็อันเดียว เจ็บก็อันเดียว อันเดียวเลย มีคนถามว่า เวลาป่วยเป็นไง ก็อันเดียว เวลาหายป่วยก็อันเดียว ไม่ได้เป็นอะไรกับอะไร เพราะไม่ได้อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้เราอยู่ของเรา นี่แหละคืออานิสงส์ของการฝึกตน จึงควรเป็นของชีวิตเราทุกคน ไม่เสียชาติที่เกิดมา
ทีนี้สอนอย่างนี้ ชวนอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ อย่างอื่นไม่จำเป็น มานี่มาตัวเปล่า ได้ที่นี่มีผ้าห่ม มีที่นอนหมอนมุ้ง มีที่ให้หลับให้นอน นี่ประเทศไทย ไม่ต้องมีอะไร มาได้เลย วันนี้มีคนมาขอบวช หลายคนเขาบอกว่า จะบวชแบบไหน อยู่นี่ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุฟังเพลง ต้องอยู่คนเดียว ตื่นแต่ดึก ได้จะบวชแล้ว จะให้บวชต้องมาบวชที่นี่ อยู่ที่อื่นไม่บวชให้ ถ้าบวชแล้วต้องอยู่ที่นี่ ให้ได้สอนกันก่อน ถ้าไม่จำเป็นน่ะ ก็ไม่ต้องบวชที่นี่ก็ได้ ก็บวชที่อื่น ถ้าบวชที่นี่ต้องกรรมฐานก่อน ทุกคนก็มาได้ ต้องการอยากให้คนมาดู มาฝึกหัดดู นี่คือพระพุทธศาสนา คือพระสงฆ์ คือวัดวาอาราม เป็นของเราทุกคน ที่นี่ไม่ต้องขออนุญาตจากใครมาได้เลย บ้านของพวกเรา อย่าถือว่ามาถึงวัดก็แล้วกัน ถือว่ามาบ้านตัวเอง ไปแล้วกลับมาอีกก็ได้ มาแล้วไม่ต้องบอกเจ้าอาวาส มาแล้วไปหาสำนักงาน ไปถามผู้ดูแลที่นั่น เขาจะให้กุญแจ ให้ผ้าห่ม วันนี้มีคนมาถามหาเจ้าอาวาสว่า กุฏิเจ้าอาวาสอยู่ไหน หลวงตาก็บอกกุฏิเจ้าอาวาสอยู่ในนั้น อยากจะไปกราบท่าน ถ้าจะไปกราบท่าน ท่านอยู่ภูหลง เดี๋ยวนี้ต้องเดินทางอีก 14 กิโลเมตร ทำอย่างไรจึงเห็นเจ้าอาวาสน้อ ก็ต้องไปภูหลง อาจารย์ไพศาล เจ้าอาวาส คุยไปคุยมา ท่านนั่นแหล่ะเจ้าอาวาส ชื่อหลวงพ่อคำเขียน นี่แหละ หลวงพ่อคำเขียน นี่แหละหลวงพ่อคำเขียน แล้วเขาก็กราบ แล้วเขาก็ถ่ายรูป โอ้โฮ หลวงตาวัดภูเขาทอง วัดนี่น้อ ไม่ต้องมากราบก็ได้ มาแล้วมาปฏิบัติธรรมเลย ไม่อยากนั่งให้ใครกราบ จริงๆก็ ไม่ใช่เจ้าอาวาสเนี่ย ไม่ใช่หลอกเขา จริงๆมัน อาจารย์ไพศาล หลวงตามาอาศัยที่นี่ แต่ก่อนท่านทั้งหลายอาศัยเรา เดี๋ยวนี้ต้องอาศัยเพื่อน หมดสภาพแล้ว ต่อมไทรอยด์ตายไปตอนนี้ มะเร็งกิน หูก็หนวก ไม่อยากพูดอะไรกับใครเขา วันนี้ก็สมควรแก่เวลาน้อ ให้พรปีใหม่เหรอ ส่งท้ายปีเก่า
จงมีความสุขกายสุขใจ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อันตรายทั้งปวง มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ประกอบกิจการงานชอบ ด้วยจิตและธรรมให้สำเร็จตามความประสงค์ มีโอกาสได้ศึกษา ปฏิบัติธรรม รู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมในสงฆ์ ในศาสนาของพระพุทธเจ้า จนถึงมรรค ผล นิพพาน แล้วได้ช่วยให้คนอื่นได้รู้ตาม เกิดสันติสุขร่วมกันทุกถ้วนหน้าทุกคน ด้วยกันทุกคนนั่นเทอญ