แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมนะ รับรองว่าไม่โกหกมดเท็จ พิสูจน์ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นสัจธรรม ไม่มีคำถามมีแต่คำตอบ เวลาใดที่เรารู้สึกตัว เราต้องถามใครไหมว่าเรารู้สึกตัวหรือเปล่า เป็นปัจจัตตัง เป็นของใครของเรา เวลาใดที่มันหลงไป เราถามใครไหมว่าเราหลงหรือเปล่า อะไรก็ตามที่มันเกิดกับกายกับใจนี่ไม่มีคำถาม ความโกรธเราต้องถามใครไหมว่าฉันโกรธหรือเปล่า ถ้าฉันไม่โกรธต้องไปถามใครไหมว่าฉันไม่โกรธหรือเปล่า เป็นปัจจัตตัง รู้เอาเอง เราเจริญสติ เช่น เรารู้สึกตัว มือของเราวางไว้บนเข่า ต้องไปถามใครไหมว่ามือของเราวางอยู่บนเข่า ไม่มีคำถาม มีแต่ตัวเราเอง รู้สึกเอาเอง นี่เป็นหลักสากล ใครก็ตามถ้ามีความรู้สึกตัวอยู่กับกาย พลิกมือเคลื่อนไหวไปมา ก็เป็นของผู้นั้น ไม่ใช่เป็นของใคร ไม่ใช่เป็นลัทธินิกาย ชาติภาษา หรืออะไรๆ ก็ตาม ถ้าสร้างความรู้สึกตัวก็เป็นความรู้สึกตัว ผู้หญิงก็คือความรู้สึกตัว ผู้ชายก็คือความรู้สึกตัว นักบวชหรือฆราวาส ญาติโยม ก็คือความรู้สึกตัว คนหนุ่มคนแก่ก็คือความรู้สึกตัว ชาติใดลัทธิใดก็คือความรู้สึกตัว เป็นสากลของธรรม ความเป็นสากลของธรรมไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ แล้วก็เลยเรียกวิชานี้ว่าวิชาภาวนา วิชาภาวนาเป็นวิชาที่พัฒนาชีวิตอย่างยอดเยี่ยม
ภาวนาคืออะไร คือเปลี่ยนความผิดให้เป็นถูก เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนความโกรธให้เป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนความหลงให้เป็นความไม่หลง ภาวนาคือทำให้ความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ เป็นหลักต้นๆ เราเพียรพยายามที่จะรู้สึกตัว ขยันรู้ การขยันรู้ท่านเรียกว่าภาวนา ไม่ใช่ไปบริกรรม พุทโธ สัมมา อะระหัง ยุบหนอ พองหนอ ไม่ว่า เอากายไปต่อเอากายไปสัมผัสเอากับคำว่ารู้สึกตัว เอาจิตเอาใจไปต่อเอากับคำว่ารู้สึกตัว ไม่มีคำพูด ไม่มีรูปแบบอะไร ให้เข้าไปถึงกายตรงๆ ให้เข้าไปถึงจิตใจตรงๆ ให้กายได้ต่อกับคำว่ารู้สึกตัวจนกายมันคุ้นกับความรู้สึกตัว ให้จิตให้ใจไปต่อกับความรู้สึกตัวจนจิตใจมันคุ้นกับความรู้สึกตัว เอาไปเอามาความรู้สึกตัวจะเป็นกายเป็นจิตก็ดีมันก็คือความรู้สึกตัว มันติดแล้วมันเป็นแล้ว เอาความรู้สึกเป็นใหญ่แล้วเป็นอินทรีย์ เรียกว่าสติอินทรีย์ ความรู้สึกตัวเป็นใหญ่ครองกายครองใจ แต่ว่าก่อนที่จะมีความรู้สึกตัวเป็นใหญ่เราก็ต้องสร้าง บางทีมันมีความหลงเป็นใหญ่มานานแล้ว
ถ้าจะถามพวกเราว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ ความรู้สึกตัวกับความหลงอันไหนมันมากกว่ากัน ทุกคนก็ตอบเอาเอง แล้วถ้าเราจะพิสูจน์ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะเพียรพยายามที่จะสร้างความรู้สึกตัว อะไรก็ตาม การใช้ชีวิตประจำวัน เพิ่มความรู้สึกตัวเข้าไป เพิ่มความรู้สึกตัวเข้าไป แล้วท่านก็จะได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว เมื่อเวลาเราได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว เวลาใดที่มันหลงมันต่างกันนะ ความรู้สึกตัวกับความหลงต่างกัน ถ้าผู้ที่มีความรู้สึกตัวแล้ว เขาจะไม่เอาความหลงหรอก เขาเลือกเป็นแล้ว ว่าไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นความชอบ ความรู้สึกตัวต่างหากเป็นความชอบ เป็นความชอบธรรม เข้ากันกับกายเข้ากันกับจิตได้ดี เหมือนน้ำกับน้ำ แล้วความหลงมันก็เข้ากันกับกายไม่ได้ เข้ากันกับจิตใจไม่ได้ เป็นปัญหา สัมผัสดูแล้วไม่ต้องไปถามใคร เวลาใดมีความรู้สึกตัว เวลาใดมีความหลง มันเป็นอย่างไร แต่ถ้าคนที่ไม่เคยมีความรู้สึกตัวเขาจะไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร เขาก็พลัดไปอยู่กับความหลง ปรุงๆ แต่งๆ หรือหาเรื่องที่จะให้มันหลงเรื่อยไปอย่างนี้
ฉะนั้น วิธีที่เราฝึกหัดนี้มันเป็นหลักของสากลแห่งธรรม เป็นสากลแห่งธรรม ถ้าเราพลิกมือรู้สึกตัว ก็เป็นผู้ที่รู้สึกตัวเป็นแล้ว แต่ถ้าเราทั้งหมดที่นั่งอยู่นี้มีความรู้สึกตัวทุกชีวิตก็เป็นคนๆ เดียวกัน แต่ถ้าเรามีความหลงก็เป็นคนละคนไปแล้ว เมื่อมันเป็นคนละคนเรื่องมันก็มีปัญหา คนหนึ่งคิดไปอย่างหนึ่ง คนหนึ่งหลงไปอย่างหนึ่ง ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนรู้สึกตัว เราจงมาพิสูจน์เรื่องนี้กัน แล้วสิ่งที่เรารู้ก็มีจริงๆ เช่นกาย เช่นมือนี่ มันก็มีจริงๆ เป็นวัตถุที่มันสัมผัสได้ เป็นปัจจัตตัง ทำไมเราถึงต้องมาสร้างเป็นรูปแบบเป็นจังหวะ ก็เพราะว่าชีวิตของเรามันไหล มันไหลไปข้างหน้า มันไหลคืนข้างหลัง มันเป็นมานานแล้ว โบราณท่านถึงว่า กลางคืนว่าฝันกลางวันว่าคิด ไหลไปข้างหน้า ไหลคืนข้างหลัง ไม่มีปัจจุบันเป็นที่อยู่
บางทีโบราณท่านถึงว่าคนหนุ่มคิดไปข้างหน้า คนชราคิดไปข้างหลัง หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับความคิด ให้ความคิดผลักไส กลางคืนว่าฝันกลางวันว่าคิด เราจึงพยายามถึงจะให้มันมีหลักให้มันเป็นปัจจุบัน ถ้าไม่ได้ตั้งไว้แบบนี้มันไม่เป็นปัจจุบัน ไม่ได้หัด ไม่ว่าจะหัดตรงไหน จิตมันก็ไม่มีตัวมีตน แต่ว่ากายนี่มันก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นใหญ่ จิตต่างหากที่มันเป็นใหญ่ แล้วแต่เขาจะสั่งการสั่งงานอย่างไร เราก็จะหัดจิต จิตก็ไม่มีตัวมีตน เราจะหัดอย่างไร เราจึงเอาความรู้สึกตัวมาวางไว้ที่กาย ให้รู้สึกๆ เวลามันคิดไปก็ให้รู้จักกลับมา แล้วเราตั้งตัวรู้สึกให้เป็นทุนเป็นเจ้าเรือนแล้ว พอมันหลงคิดไปเราก็รู้สึกตัวก็กลับมาเป็น กลับมาที่มัน เวลาใดที่มันคิดไปก็กลับมาเป็นทุกครั้ง คิดครั้งหนึ่งก็รู้สึกตัวครั้งหนึ่ง คิด โดยคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ตัวลักคิด ตัวลักคิดที่ไม่ได้ตั้งใจเนี่ย เป็นตัวสมุทัย เป็นตัวสังขาร มันอยู่ไม่เป็น สังขารมันขยัน เขาเป็นอาชีพของเขา ท่านจึงเปรียบสังขารเหมือนนายช่างปั้นหม้อ นายช่างปั้นหม้อปั้นอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ว่าหม้อจะเป็นลูกใหญ่ ลูกเล็ก ลูกสวย ลูกไม่สวย ก็แตกทั้งนั้น ผลิตผลของสังขารที่เกิดจากการปรุงๆ แต่งๆ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนเลย ไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันชื่อว่าสังขาร มันก็ไม่เที่ยงแน่นอน มันก็เป็นทุกข์ มันก็ไม่ใช่ตัวตน เช่นความโกรธ ความทุกข์ มันไม่มีตัวไม่มีตนอะไร มันเป็นสังขารมันเกิดขึ้นมา แล้วมันก็หมดไป มันก็ไหลไป มันก็หมดไป เป็นภพเป็นชาติ เกิดดับๆ มันเป็นอย่างนั้นชีวิตเรา เราจึงต้องมาหัดตรงนี้ ให้รู้สึกตัวๆ ให้รู้สึกตัวนานๆ ลองดู มันจะเป็นอย่างไรก็พิสูจน์กันตรงนี้ อย่างน้อยเราก็เห็นความคิดได้กลับมานิมิตที่เราตั้งไว้
การสอนตัวเอง การสอนกายก็ดีการสอนจิตก็ดี ตรงนี้แหละ ตรงที่มันคิดไปข้างหน้า คิดไปข้างหลัง แล้วกลับมาตั้งอยู่กับปัจจุบัน กลับมาตั้งอยู่กับปัจจุบันให้รู้ไปพร้อมๆ กัน ตะแคงมือก็รู้ว่าตะแคงมือพร้อมกัน ยกก็รู้ว่ายก ก็เลยเป็นของจริงเป็นของปัจจุบัน เห็นกับตา เห็นกับใจ ทำกับมือ จะหยุดความคิดก็หยุดได้กับมือของเรา ต่อไปจะหยุดความทุกข์ หยุดความโกรธ หยุดความโลภ หยุดความหลง หยุดการปรุงแต่งได้ ก็คุม ความรู้สึกตัวเป็นตัวคุมกำเนิดของสังขาร การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็คือสมุทัย เพราะทุกข์ แล้วก็สมุทัย นิโรธ มรรค มันก็อยู่ในวงนี้แหละเรา ธรรมดา เราก็เห็นทันทีเวลาใดที่มันหลงเรากลับมา เราเห็นความหลงของเราหลายครั้งหลายคราว ถ้ามันเห็นต่อหน้าต่อตากับความหลง แล้วความหลงจะหลอกได้อย่างไร เมื่อเราเห็นคนที่หลอกโกหกเรา เราเห็นเงื่อนไขที่เขาหลอกเรา เราจะต้องไปปล่อยให้เขาหลอกอยู่อย่างนั้น มีไม่ได้เป็นไม่ได้ แล้วใครถูกหลอก เราก็ต้องเข็ดหลาบ การที่ถูกหลอกก็ต้องได้บทเรียน การที่สังขารทั้งหลายที่มันหลอกเราได้ เราก็ได้บทเรียนจากสิ่งนั้น เวลามันหลง เราได้บทเรียนได้ประสบการณ์ ได้เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้
บทเรียนที่หาไม่มี ต้องได้จากตัวเรา ไม่ใช่พิสูจน์อะไร เหมือนไม่เหมือนศึกษาทางโลก ไม่ใช่เจอวัตถุแล้วเดินไปพิสูจน์ มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใครก็รู้ว่ามันไม่ดี ความทุกข์ใครก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่เราไม่เห็นแจ้ง เราจึงเพียรพยายามที่จะรู้สึกตัวๆ ไว้ เวลาใดที่เราหลงคิดหลงไปอะไรก็ตาม กลับมารู้สึกตัวๆ การกลับมารู้สึกตัว ตัวนี้แหละคือภาวนา คือพัฒนา กลับมาบ่อยๆ กลับมาบ่อยๆ ตัวนี้เป็นตัวพัฒนา ทำให้ดีขึ้น ทำให้เจริญขึ้น ท่านเรียกว่า ภาวนา ภาวิตา พะหุลีกะตา สังวัตตันติ ทำให้มากเจริญให้มาก ให้รู้สึกกลับมาๆ มันเห็นอันเก่า เห็นอันเก่าๆ อาจจะเป็นความหลงเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ บางทีหลงทีแรกมันก็ไม่ทันหรอก แต่หลงไปหลงมา หลงกับความคิด หลงมากขึ้นๆ เราก็รู้มากเข้าๆ มันทันควัน หรือว่าจ๊ะเอ๋กัน คนหนึ่งจะออกประตู คนหนึ่งก็เฝ้าประตูอยู่นั่นแล้ว จ๊ะเอ๋กัน ของจริงก็ต้องเป็นของจริง ของไม่จริงก็ต้องเป็นของไม่จริง ความหลงไม่เป็นของจริง ความไม่หลงเป็นของจริง สัมผัสดูแล้วไม่ต้องไปถามใคร เมื่อมันเป็นอย่างนั้นมันจ๊ะเอ๋กัน มันก็หมดค่าแล้ว ความหลงมันหมดค่า หมดพิษสงหมดอำนาจ เป็นไปทำนองนั้น
การปฏิบัติธรรม แต่ถ้าจะพูดกันเป็นภาษาก็เรียกว่า วิปัสสนาญาณ ล่วงพ้นภาวะเก่า วิปัสสนาญาณ คือล่วงพ้นภาวะเก่าๆ ภาวะเดิมๆ มันไม่เหมือนเดิม พิสูจน์ได้ มันต้องพิสูจน์ได้ มันต่างเก่าอยู่ เช่น บอกใครต่อใครว่ามันปวด แต่ก่อนเป็นผู้ปวด เดี๋ยวนี้เห็นมันปวด ต่างเก่าไหม เป็นผู้ปวดกับเห็นมันปวดมันต่างกัน มันหิว เป็นผู้หิวหรือเห็นมันหิว นักภาวนาจะดูออก เห็นมันหิว เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ มันต่างเก่า เมื่อเห็นมันแล้วมันก็พ้น หลุดพ้นได้ง่าย เมื่อไม่เห็นก็พ้นไม่ได้เลย ดังนั้นจึงต่างเก่า จนพระพุทธเจ้าท่านว่า เห็นทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ก็เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเห็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็เห็นวิธีที่จะทำเหตุนั่นให้ไม่ทุกข์ เรียกว่า มรรค เมื่อทำองค์มรรคแล้วมันก็พ้น นิโรธ ก็พ้นไป พ้นจากอะไร พ้นจากทุกข์ พ้นจากโกรธ พ้นจากหลง พ้นจากปัญหา มันก็เป็นปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขารมันก็เป็นปัญญา สังขารคือกายสังขาร จิตสังขาร เราก็เห็นหมด เข้าแถวให้เราดู แล้วมันก็มีอารมณ์ มีสูตร อย่างที่พูดให้ฟังวันก่อนๆ ว่า กายานุปัสสนา เป็นสูตรของกาย เวทนานุปัสสนา มันก็มีอยู่ในกาย กายนี่ต้องร้อนเป็นหนาวเป็น หิวเป็น ปวดเป็น อะไรต่างๆ เขาเรียกว่าเป็นสูตรของเขา เห็นความเท็จของจริงของเขา ก็เลยเป็นปัญญา แต่ก่อนเอามาเป็นสุขเอามาเป็นทุกข์ เอามาเป็นเรื่องชอบ เอามาเป็นเรื่องไม่ชอบ เอามาเป็นเรื่องยินดียินร้าย ของอย่างเดียวชอบ ของอย่างเดียวไม่ชอบอย่างนั้น พอมาเห็นแจ้งแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น มันเห็นแจ้ง มันเข้าไม่ถึงความชอบไม่ชอบ มันเห็นก็จบแล้ว พบเห็นมันจบไปแล้ว การพบเห็นมันเห็นต่อหน้าต่อตา มันจบไปแล้ว เขาว่ายินดีเขาว่ายินร้าย มันจะไม่มี ไม่มีถึงกับเป็นอุปปาทาน ไปยึดเอา แล้วก็ติด อุปปาทาน แปลว่า ยึดไว้ ติด มันติดอะไรมา
ชีวิตของเรา มีแต่รอยเปรอะรอยเปื้อนหรือรอยชนรอยช้ำอะไรต่างๆ ถ้าเป็นรถก็เป็นรถมือสอง ถูกชนมามาก ถูกช้ำมามาก มีแผล ติดความถูก มีแผลความโลภ ความโกรธ ความหลง บางคนก็เป็นจริตนิสัย ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต การมาเจริญสตินี่ก็เหมือนมาซ่อมชีวิต ให้มันดี ให้มันมาตรฐาน เข้าอู่ซ่อม พอมันลงจะได้รู้สึกตัวซ่อมขึ้นมา ลงไปทางไหนรู้สึกตัวซ่อมแล้วๆ แล้วก็โดยเฉพาะจิตใจเนี่ย เป็นของที่พัฒนาได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนกับเมื่อเช้านี้หลวงพ่อพูดบ้านของจิต คือภาวะความปกติ ไม่เหมือนบ้านของกาย บ้านของกายต้องซ่อมอยู่เรื่อยๆ เช่นศาลาหลังนี้ ที่ปลูกในวัดสุขะโต 20-30 ปี เวลานี้ก็ต้องซ่อมกันแล้ว ใช้งานมานานก็ต้องผุพัง ก็ต้องซ่อม ซ่อมไปซ่อมมามันก็เสื่อม ก็ไม่มีคุณภาพ ก็ทรุดโทรม แต่บ้านของจิตคือภาวะความปกตินี่ไม่ต้องซ่อมเลย ถ้าจิตที่ฝึกหัดดีแล้ว จิตตัสสะ ทิยัตติ โล โก จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง (จิตเตน นียติ โลโก จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง) จิตทึ่ฝึกดีแล้วเป็นประโยชน์ พึ่งพาอาศัยได้ แต่ถ้าเราไม่ฝึกเนี่ย ออกหน้าออกตารับอะไรทุกอย่าง ออกไปรับอะไรก็ถึงจิต พอฝึกดีแล้วมันก็ไม่ถึง มันมีบ้านมีที่อยู่เป็นปกติ เป็นปกติ เป็นบ้านของจิต อยู่บนรถเมล์ ที่ทำงาน ที่ไหนก็ตาม มันก็อยู่เป็นภาวะปกติ ชีวิตที่มีบ้าน ที่มีปกติเป็นชีวิตจิตใจ เราก็พึ่งได้ คนอื่นก็พึ่งได้ ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไป เราก็พึ่งตัวเราได้ แต่ถ้าเราไม่มีชีวิตเข้าถึงภาวะที่เป็นปกติ เราก็ไม่มั่นใจชีวิตจิตใจของเรา ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะคุ้มร้ายคุ้มดี ฟูๆแฟบๆ บางคนก็จะพูดว่า ฉันไม่มั่นใจ ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร นั่นอันตราย ทำไมถึงปล่อยปละละเลย ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น มันก็อยู่กับเราทำไมไม่ฝึกหัด ไปอยู่ตรงไหนกัน ไปเลอะเทอะ ไปเลวทรามที่ไหนจนพึ่งจิตไม่ได้ ปล่อยปละละเลย เราจึงจำเป็นต้องฝึก ทำไมต้องฝึก ก็เพราะเหตุนี้แหละ ถ้าเราไม่ฝึกก็เป็นพิษนะ