แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ ชีวิตที่เราอยู่ร่วมกัน แต่ไม่ได้บอกผิดบอกถูก มันเกิดขึ้นจากทางกาย ทางใจนี้ แล้วก็เหมือนกับปล่อยกันทิ้ง ไม่มีประโยชน์ การอยู่ร่วมกันในโลกนี้ แล้วเราก็เกิดมาร่วมโลก เป็นเพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ต่อให้ได้ทำหน้าที่เรื่องนี้ และไม่ทำหน้าที่เรื่องนี้ ไม่ได้บอกผิดบอกถูก มันเกิดจากกายและใจกันแล้ว ก็ถือว่าบกพร่องที่สุด ไม่คุ้มค่า ยิ่งพวกเราเป็น นักบวช มีศาสนาร่วมกัน มีหุ้นส่วนร่วมกัน ก็ยิ่งจำเป็นในสิ่งที่บอกผิดบอกถูกก็มี คำสอนที่เป็นองค์ศาสดาได้สอนไว้ ไม่ต้องไปค้นคว้าหาที่ใด แล้วก็สวดมนต์ไหว้พระ ได้สาธยายคำสอนทุกเช้าทุกเย็น ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร คืออย่างไรตรงนี้
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์คืออะไร ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า ผู้นั้นเห็นธรรม เห็นธรรม เห็นอะไร ก็เห็นสิ่งที่ต่อเนื่องด้วยกัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นมันจึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เรียกว่า ปฎิจจสมุปบาท แต่ก็ปฏิบัติในสิ่งที่ดีอย่างไร และสิ่งไม่ดีอย่างไร มันมีความดีมันก็ไม่ดี บางทีความผิดมันก็ไม่ผิด เพราะสิ่งที่ทำผิดมันก็เป็นทุกข์ ถึงบอกมันผิด ที่มันไม่ผิด เป็นความทุกข์ไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์มันถูกต้อง ความโกธรไม่ถูกต้อง ความไม่โกธรมันถูกต้อง สิ่งนี้มีมันจึงมี จึงแก้ จึงเปลี่ยน ปฏิบัติดี คือเวลามันหลง ได้เปลี่ยนเป็นไม่หลง เรียกว่าปฏิบัติดี เวลามันทุกข์ ได้เปลี่ยนเป็นไม่ทุกข์เรียกว่าปฏิบัติดี อยู่ที่เดียวตรงที่เดียว ยืนหยัดอยู่อย่างนี้ สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับกายกับใจเมื่อไร ก็เปลี่ยนให้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทุกโอกาส ทุกครั้ง อย่างนี้ เรียกว่าปฏิบัติตรง ไม่โอนอ่อน มาแก้ มันหลงก็แก้หลง เป็นรู้ไม่หลง ตรงอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ปฏิบัติแบบนี้ เวลามันทุกข์ก็เปลี่ยนให้เป็นไม่ทุกข์ ให้เปลี่ยนเยี่ยงนี้
ปฏิบัติเป็นสถาบัน อย่างนี้ เป็นสถาบันคือมั่นคง แน่นหนา พร้อมที่จะรู้รอบอยู่นี้ การรู้รอบ สิ่งที่มันผิด สิ่งที่ไม่ผิด เรียกว่าสถาบันยืนหยัดอยู่อย่างนี้ เรียกว่าบุคคล 8 จำพวก ผู้ใดทำอย่างนี้ โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหันตมรรค อรหันตผล 4 ผู้ที่เรียกว่า 8 บุรุษ 8 บุรุษคือใคร ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติออกจากทุกข์ ปฏิบัติเป็นสถาบันอย่างนี้ เรียกว่า สังฆะ คืออันเดียวกัน จัดเป็นคนๆเดียวกัน คือหมู่คณะ เรียกว่าศาสนาคือคนเป็นคนดี ไม่มีทุกข์ เพราะปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติออกจากทุกข์ เมื่อคนไม่มีทุกข์ ไม่มีปัญหา ศาสนาก็จะเจริญ การมีสติ ที่จะต้องเป็นอุปกรณ์การเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดี ต้องประกอบขึ้นมา ก็มีกายมีใจ ใจก็เหมือนกับเป็นจิตอันหนึ่ง
พูดง่ายๆ ว่าใจเป็นจิตใจ มันมีจิตใจมันคิดโน้นคิดนี่ มันพาให้เป็นสุข เป็นทุกข์ มันคิดอะไรไปไว ไม่ทันมัน นั่งอยู่นี่ อยู่วัดป่าสุคะโตนี่ มันคิดไปถึงไหน แป๊บเดียวไปถึงที่อื่นแล้ว มันเคยท่องเที่ยวมา เป็นทางของมัน เราใช้มันเที่ยวมาตลอด เราไม่ได้เข้าบ้านไม่ได้กลับบ้าน ไปกันเลย จนเป็นจริตนิสัย ง่ายที่จะหลงง่ายที่จะคิด ไม่รู้สึกตัวเลย ไม่มีสติ เรามาฝึกสติ ให้มันทันความคิด ที่มันไปไวไวเนี่ย ต้องฝึกหัดตรงนี้ ต้องฝึกหัด ถ้าไม่ฝึกหัดสติ มันจะไม่ไป จึงมีวิธีฝึกหัดเรียกว่า กรรมฐาน ให้มันอยู่ที่เดียว ลองดู ลมหายใจก็ได้ การคู้แขนเข้าเหยียดแขนออก ให้มันรู้อยู่นี่ เรียกว่ากาย มีสติในกาย ให้มันรู้อยู่นี่ มันจะได้เห็นว่าความคิดที่มันเกิดขึ้นมา ป้าบ จะได้รู้ป้าบ อย่างนี้มันพร้อมที่จะได้รู้อยู่นี่ ถ้าไม่ฝึกหัดเป็นที่ตั้งเอาไว้ มันจะไม่รู้สึกอะไรเลย ไปที่ไหนก็จะเป็นสุขเป็นทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นตัวเป็นตนไปเลย กลบเกลื่อนไปเลย ไม่รู้ต้นตอ ว่าสิ่งนี่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เรียกว่าธรรมะ
จึงมาฝึกหัดกัน จะเห็นว่ามีกายจริงๆ ตั้งไว้ให้รู้สึกตัวก็รู้ได้ เอากายไปต่อกับความรู้ ให้ความรู้มาต่อกับกาย เรียกว่ารู้มีสติเป็นที่ตั้งไปในกาย มันจะเป็นอันเดียวกัน แต่ถ้าเราไม่ฝึกมันก็ไม่เป็นอันเดียวกัน ไม่อยากคิดมันก็คิด กายนั่งอยู่นี่จิตมันคิดเป็นทางอื่น เป็นสมุทัยสังขาร ปรุงแต่งไป เกิดจากความคิด เป็นตัวกรรม ต่อกรรม เป็นจำเลยหมายเลขหนึ่งคือความคิด ทำไม่จึงคิดเพราะมันไม่รู้ ทำไมจึงไม่รู้ เพราะไม่มีสติ ทำไมไม่มีสติ เพราะไม่เคยฝึก ชีวิตเรา 60 70 80 ปี อาจจะไม่เคยได้ฝึกจิตใจสักปีเดียวเลย นอกจากนั้นใช้อย่างอื่น ใช้กายใช้ชีวิตไปอย่างอื่น กิน นอน เที่ยวเตร่เร่ร่อน 20 - 30 ปี ไปโน้น กิน นอนเฉยๆเที่ยว เล่น อย่างน้อยก็ 7-8 ปี ตามที่เขาสถิติกำหนดดู ชีวิตของสัตว์โลก ก็คือคนเรานี้ แต่งตัว 7 ปี นั่งบนรถอยู่ 7 ปี อะไรหลายอย่างก็หมดไปแล้ว 70 80 ปี ในการฝึกจิต ไม่มี ปีเดียวก็ไม่ได้เลย ก็เลยพลาด เกิดมาไม่เคยได้เคยได้ฝึกจิตใจ ไม่ได้ใช้จิตใจ มีแต่มันใช้เรา เมื่อมันใช้เราก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ พึ่งไม่ได้ ไม่อยากคิดมันก็คิด หยุดความคิดก็ไม่เป็น อย่างนี้มีใจก็ไม่ได้พึ่งใจ
ใจถ้าฝึกหัดเป็นสวรรค์ นิพพาน เป็นมรรค เป็นผล เหมือนการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าเราไม่ฝึกใจนี่ละจะเป็นกรรมหนัก ให้แก่ให้เจ็บให้ตาย ให้เกิดโกธร โลภ หลง ตัณหาร้อยแปด หนัก เป็นภาระหนัก ยึดโน่นยึดนี่ บางทีก็ยึดเอาความทุกข์ว่าเป็นตัวเป็นตน ยึดเอาความโกธรว่าเป็นตัวเป็นตน ทำตามความทุกข์ ทำตามความโกธร เสียผู้เสียคน เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่นมามาก สัตว์อื่นวัตถุอื่นมามากแล้ว ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อนมามากก็มี เพราะจิตใจเนี่ย ไม่เคยได้ฝึกหัด ง่ายที่จะหลง ง่ายที่จะโกธร เมื่อได้โกธรได้หลง ได้โทสะร้ายกาจก็แสดงออกยับยั้งไม่ได้ เราจึงมาฝึกหัดกัน หนึ่งวัน สองวัน ให้มีสติไปในกาย เป็นประจำ ตามพระพุทธเจ้าฝึกหัด
พระพุทธเจ้าฝึกหัดอย่างนี้จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระสิทธัตถะฝึกหัดอย่างนี้จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า มีสติ เดินคู้แขนเข้าเหยียดแขนออก คู้แขนเข้ารู้สึกตัว เหยียดแขนออกรู้สึกตัว เราก็เอามาทำต่อจริงๆ มันก็รู้จริงๆ เรื่องนี้รู้เองไม่มีใครชี้บอกว่ารู้หรือไม่รู้ เช่นมือเรา ยกมือตะแคงขึ้นมันก็รู้ ยกมานี่มันก็รู้ ตั้งไว้ก็รู้ คว่ำหงายก็รู้ ตัวเองก็รู้เองไม่ต้องถามใคร เวลามันไม่รู้ก็สร้างให้เกิดความรู้ขึ้นมา เปลี่ยนความไม่รู้ให้เป็นความรู้ เราเคลื่อนไหวฟรีๆ มานานแล้ว เดินฟรีๆ คิดฟรีๆ มานานแล้ว บัดนี้มาสอนมันดูสิ มันจะได้ประโยชน์ มันจะได้เกิดคุณงามความดีขึ้นมา มีคุณค่าขึ้นมา มีกายมาก็ทำความดีมากมาย มีจิตใจก็คิดดีมากมาย มีวาจาก็พูดแต่สิ่งที่ถูกต้องมากมายต่อกันและกันได้ ทำดีต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้ในโลกนี้ มีสิ่งที่อาศัยความดีเกิดจากกายจากใจจากตัวเรานี้ไม่น้อยในโลกนี้
ถ้าเราไม่หัดก็มีแต่ความเดือดร้อน ติดยาเสพติด กินเหล้า สูบบุหรี่ เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่น ถ้าเราทำไม่ดีก็มีทุกข์มีโทษ ทำดีก็เป็นประโยชน์ กายของคนนี่ใจของคนนี่ เราก็เป็นสัตว์สังคม อยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัว เป็นครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน ปู่ย่าตายาย เป็นสังคม เป็นตระกูล เอาความดีไปทำต่อกันมันจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะเป็นสังคมอริยะบุคคลขึ้นมา ครอบครัวตระกูลอริยะบุคคล พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สอนไว้ว่า ตระกูลที่เป็น เสกขะมีในโลกนี่ ภิกษุเข้าไปขอตระกูลที่เป็นเสกขะบุคคลไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ขอก็ให้อยู่แล้ว อเสขะบุคคลคือคนที่ ศึกษาจบแล้วมันมีทุกข์มีโทษ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน มันก็เป็นประโยชน์ มีในโลกนี้
ตระกูลที่เป็นอเสขะบุคคลไม่ทำบาปทำกรรมอะไรเลย ทำแต่ความดี ถ้าเราฝึกก็เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นตระกูล เป็นเชื้อเป็นสายไป อย่างที่พุทธประวัติ กล่าวถึงบุคคลต่างๆ ในโลกนี้ เราก็ยังเห็น ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ครูอาจารย์ผู้สั่งสอนที่เกิดมาก่อนเราได้ค้นคว้าได้ศึกษา เช่น เราสวดมนต์ไหว้พระ เราสวดมนต์ไหว้พระเป็นภาษาบาลี แล้วก็มีผู้ที่เล่าเรียนศึกษาบาลีมาแปลเป็นภาษาไทย ไปแปลบาลีเป็นภาษาไทย หาเลือกเอาอยู่ใน พระไตรปิฏก พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย หาเลือกเอาดีๆ มาเป็นบทสวดมนต์ ตอนเช้า ตอนเย็น กว่าจะได้ เลือกเฟ้นออกมาเป็นอันใดอันหนึ่ง มาร้อยกรองกว่าจะเป็นหนังสือมาเป็นเล่มๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกว่าบุพพการีบุคคลที่ทำความดีมาก่อนเรามีอยู่ในโลกนี้ ไม่ผิดแน่นอน อย่างบทสวด บทวิเศษบางบท สรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม เรื่องหมู่สงฆ์ เรื่องพุทธบริษัท มีแต่สิ่งถูกๆ เห็นด้วย จะไปสังขาราอนิจจา สังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ สังขารไม่ใช่ตัวตน จะไปถือเอาความไม่เที่ยงก็กลายเป็นทุกข์ได้ ไปถือเอาความเป็นไม่ทุกข์ก็พาให้เป็นทุกข์ ไปถือเอาความไม่ใช่ตัวตนก็เป็นทุกข์
ผู้ใดเห็นของจริงๆ อย่างนี้ก็จะไม่ทุกข์ ก็บอกอย่างนี้ สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ก็อย่าไปยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน เราก็อาจจะสวด เดินเล่น ติดปากไปก็ได้ แต่ได้ไม่ใส่ใจ ไม่ลึกซึ้งแยบคาย ให้สัมผัส ได้ฝึกหัดไปด้วย เห็นด้วย สวดไปบทใดก็เห็นด้วย เวลาใดเกิดความไม่เที่ยงขึ้นมาก็มีปัญญาซะ รู้เห็นตามความเป็นจริง แต่ก่อนเอาปัญหาเป็นปัญหา บัดนี้เอาปัญหาเป็นปัญญาได้ ศึกษาก็รู้แจ้งได้ตามความเป็นจริง เห็นด้วย เห็นด้วย อย่างนี้ จึงมีสติเป็นหน้ารอบ ดูกายดูใจ
เมื่อมีสติเป็นหน้ารอบแล้วปริวาส ปริวาสคือแก้ ไม่เป็นปาปเป็นกรรม ถ้าไม่แก้ ไม่มีปริวาส รู้รอบกายใจนี่ อาจจะเป็นกรรมได้ ต้องอาบัติได้ การต้องอาบัติคือการผิดทางจิตใจ เป็นนิสัยไปเลย ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต แม้แต่ปริวาสไปทำพิธีมักก็ไม่หยุด ยังเป็นกรรมอยู่ ถ้าไม่แก้ไม่เปลี่ยน กรรมฐานนี่ปริวาสที่สุด ไม่มีอะไรเข้าถึงความผิดความถูก นอกจากสติได้ มีแต่สติเท่านั้น ไม่ใช่พิธีกรรม ปฏิบัติเท่านั้น เรามันหลงไม่หลง รู้ขึ้นมา ปฏิบัติลงไป เรามันทุกข์ไม่ทุกข์ เรามันคิด ไม่หลงไปในความคิด นี่ละปริวาส ได้สอนจิต มันก็จะไม่มีกรรมขึ้นมา ไม่เป็นอาบัติ ปราชิกก็อาย ถ้าปริวาสทำให้เรายังคิด ไม่ได้เข้าถึงจริงๆ เพราะว่าเราไม่เข้าปริวาส เพื่อไปดูก็ได้ เป็น ศาสนพิธี ไม่ใช่ศาสนธรรม ศาสนธรรมต้องสัมผัสเอาอย่างนี้
ศาสนพิธีมันเป็นเปลือกเป็นข้าวเปลือก มันกินไม่ได้ ข้าวสารเป็นข้าวสุกเรียกว่าเป็นศาสนธรรม สัมผัสความหลงความไม่หลง ได้ความไม่หลงจากความหลง ได้ข้าวสารจากข้าวเปลือกอย่างนี้ได้เป็นข้าวสุก ได้เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลงได้แล้ว เป็นข้าวสุกแล้ว กินแล้วเป็นของเราแล้วไม่ทุกข์แล้ว ไม่เดือดร้อนแล้ว หลุดพ้นแล้ว ปฏิบัติออกจากทุกข์แล้ว อย่างนี้เรียกว่าปริวาส นี่แหละปริวาส การปฏิบัติ ได้เปลี่ยนหลงเป็นรู้อยู่เรื่อยๆ เนี้ย ตัวจริง ของจริงต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องถามใคร ไปถามคนอื่นให้คนอื่นช่วย มันเป็นไปไม่ได้ สัจธรรมต้องช่วยตัวเอง ถ้าสอนให้คนอื่นช่วย ใครสอนไปพึ่งคนอื่นสิ่งอื่น ไม่ใช่สัจธรรม ครูบาอาจารย์สอนให้พึ่งตนเอง แก้เอาเอง พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้บอก การกระทำเป็นหน้าที่ของพวกเธอ พูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้า สอนอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยใคร มีแต่สอนตัวเขาให้ช่วยตัวเขา เราหลงต้องเปลี่ยนเอง ไม่หลง เราโกธรต้องเปลี่ยนไม่โกธร เวลาเราทุกข์ก็ต้องเปลี่ยนไม่ทุกข์ ต้องช่วยตัวเองอย่างนี้เป็นบุญ ช่วยกายช่วยใจจากผิดมาเป็นไม่ผิด เป็นบุญเกิดขึ้น เป็นกุศล เกิดขึ้นฉลาดขึ้น เป็นมรรค เป็นผลเกิดขึ้นมา เรียกว่ากรรมฐานเนี่ย มันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งเคารพที่สุดเลย มันถึงจิตถึงใจจริงๆ ได้เปลี่ยนกับมือ เห็นกับตา ทำกับกายกับใจ กับวาจา สัมผัสเอาอย่างนี้
รู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหว รู้สึกตัวกับใจที่มันคิด ยืนหยัดอย่างนี้ มา อะไรจะมาก็มา เราอยู่ในค่ายในป้อมในยาม เหมือนนักรบที่อยู๋ในป้อมปราการ ข้าศึกมาก็ปราบเอา ปราบเอา มันรู้รอบอย่างเนี่ย ป้อมปราการมันมีสติปัฎฐานเป็นป้อมปราการ มันมีสติเป็นหน้ารอบ มาทางใดก็เห็น มาทางกายก็เห็น มาทางความคิดก็เห็น มาทางตา มาทางหูจมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นหมด มีสติเป็นหน้ารอบอยู่เนี่ย มันจะชำนาญมากขึ้น ทีแรกก็อาจจะง่ายที่หลง ต่อไปจะง่ายที่จะไม่หลง ต้องหัดมันเป็นไปได้ ไม่ว่าจะหัดอะไร เขาฝึกช้างฝึกหัดสัตว์เขาก็หัดอย่างนี้ ใช้งานได้ ชีวิตเราแท้ๆ ทำไมจะหัดไม่ได้ เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นมนุษย์ ฝึกหัดได้ สอนได้ ทำได้ อย่าเอาอันอื่นมาอ้าง อ้างว่าหนุ่ม ว่าแก่ ไม่ได้ อ้างว่าไม่บวช อ้างว่าเป็นฆราวาส ญาติ โยมไม่ได้ ได้ทุกคน
ใครหลงเปลี่ยนเป็นไม่หลง ไม่มีลัทธินิกายอันใด อยู่ที่การทำของคน นี่คือของจริง อันเดียวกันนี้ ในโลกนี้มีการวิจัยเหมือนกันหมด เกิดแก่เจ็บตาย เหมือนกัน หนาวเหมือนกัน ร้อนเหมือนกัน หิวเหมือนกัน เจ็บปวดเหมือนกัน ความโกธรเกิดขึ้นที่ใจเหมือนกัน ความร้อนความหนาวเกิดขึ้นที่กายเหมือนกัน เป็นคนคนเดียวกัน แก้ตรงเดียวกัน เมื่อแก้ตรงเดียวกัน อันเดียวกันก็เป็นคนคนเดียว ก็เลยไม่มีใครเบียดเบียนกัน เห็นอกเห็นใจกัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มันจึงพอใจมาก วิชากรรมฐานได้ทำงานเรื่องนี้ ได้บอกเรื่องนี้ให้รู้แก่คน ถือว่าได้ทำหน้าที่ ขวนขาย ให้คนได้ปฏิบัติอย่างนี้ มีสถานที่มีที่อยู่อาศัยว่างพอ พึ่งพออาศัยได้บ้าง อาหารการกินตามอัตภาพ เป็นเพื่อนเป็นมิตร บอกผิดบอกถูกต่อกันเช่นนี้ ไม่ได้หลอกได้ลวงใคร การหลงก็เปลี่ยนไม่หลงได้ เราเคยหลงเหมือนท่าน สิ่งที่ท่านหลงเราไม่หลง เราเปลี่ยนได้แล้ว รู้แล้วแจ้งแล้ว อย่างนี้มีอยู่จริง ที่เราทุกข์ คนอื่นไม่ทุกข์ มีอยู่ ทำไมจะบอกกันไม่ได้ มันทำได้อยู่เนี่ย แล้วก็มีความเชื่อมันอยู่อย่างนี้ หาวิธีหลายๆอย่าง บางที บางนิกายบางลัทธิก็บริกรรม ศาสนาบางศาสนาก็บริกรรม อิสลามก็เรียกหาพระอัลเลาะห์ วันหนึ่งสัก สี่ห้าหน ตามมัสยิดต่างๆ บางทีก็สวดมนต์บริกรรมในใจ อามิโตโพ อามิโตโพ อามิโตโพ วันละ 800 ร้อยเที่ยว ทางทิเบตเนี่ยกระหึ่ม ทั้งวันเลย
การสวดบริกรรมกล่าวถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ของเราก็สติ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ให้รู้ แต่เราต้องสัมผัสเข้าไป รู้สึกตัว รู้สึกตัว เรียกว่าเป็นภาวนา ขยันรู้มากๆ เข้า กรรมฐานตามรูปแบบที่สอนกันอยู่ 14 จังหวะนี้ รู้ได้ทุกวินาที เคลื่อนมือ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก รู้สึกตัว วินาทีละครั้งๆ รู้ทุกนาที รู้ทุกวินาที มันคงจะเพียงพอ เร่งได้ไวไว อาจจะไม่ถึง 7 วันด้วยก็มีนะ บางคน ถ้าใส่ใจจริงๆ อาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ขอให้ทำจริงๆ อย่าไปทำแบบเล่นๆ ทำจริงๆ ก็จะได้ผลจริงๆ ทำเล่นๆ ก็ได้ผลไม่จริง อยู่ที่การกระทำของแต่ละคน ก็พูดสู่กันฟัง ย่อมเตือนกันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้พูดได้สอนอย่างอื่นดอก พูดเรื่องเก่า เพราะว่ามันผิดเรื่องเก่า มันหลงอันเก่า ยังพากันหลง ทุกข์เรื่องเก่ามันยังพากันทุกข์ ยังมาพูดถึงเรื่องนี้ ร่ำรี้ร่ำไรอยู่เช่นนี้ ต้องไขกุญแจแก้โซ่หลุดไปซะ มันจะได้อิสระ อิสรภาพ มิตรภาพ มาตรฐานของชีวิตเรา การเกิดแก่เจ็บตาย ในโลกในปัจจุบัน ทุกคนเทอญ