แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การปฏิบัตินี้ก็ต้องมี มีสติไปในกายเป็นประจำ วิชากรรมฐานของกาย หลักสูตรของสติ การศึกษาเข้าไปถึงกาย ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ในวันเพ็ญเดือน 6 พระองค์คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก รู้สึกตัว ได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว ที่มีกายที่เป็นดุ้นเป็นก้อนจริงๆ ตั้งไว้ สิ่งใดเกิดขึ้นกับกายก็ให้รู้สึกตัว อย่าหนีออกไป ให้มีที่ตั้งเข้ามาตั้งไว้ ถ้าหลุดออกก็มาตั้งไว้อีก เหมือนกับตั้งไข่ ล้มแล้วตั้งขึ้นอีก ล้มแล้วตั้งขึ้นอีก เดี๋ยวก็จะตั้งได้มั่นดี มันก็หลุดไปเรื่อย เพราะไม่เคยฝึก หลุดไปในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ในความคิด ต่อไป เพราะมีวัตถุอาการที่มันเคยหลุดออก ที่มันเคยไหลไป ตาเห็นรูปก็ไหลไป หูได้ยินเสียงก็ไหลไป จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสก็ไหลไป ก็กลับมารู้สึกตัว เวลาใดที่มันหลุดออกไป ให้กลับมารู้สึกตัว นี่คือศึกษา ถ้าไม่กลับมาไม่ใช่ศึกษา ศึกษามันต้องมันต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะเราเป็นหลักอยู่แล้ว มีหลักอยู่แล้ว กลับมาตั้งไว้ตามบริบทที่มีดุ้นเป็นก้อนจริงๆ สัมผัสได้จริงๆ นี่คือกายเคลื่อนไหวอยู่นี่ ไม่ใช่คิดเอา เป็นดุ้นเป็นก้อน สัมผัสมารู้สึกตัว มาสัมผัสกับกาย เคลื่อนไหว มันก็ต่างกับที่มันคิดไป ที่มันหลงไป อะไรก็ตามที่มันหลุดออกไป ก็ถือว่ามันหลงไปแล้ว ก็กลับมารู้ นี่ต่างกันอยู่ ระหว่างความหลุดออกไปกับความรู้สึกตัว นี่มันต่างกันอยู่ ให้สัมผัสเอาตรงนี้
เมื่อมีสติดูแลกาย อยู่เป็นประจำ ก็เห็นเรื่องที่เกี่ยวกับกายมากมาย เหมือนกับพ่อแม่ดูแลลูก อะไรเกิดกับลูกพ่อแม่ก็เห็น ไม่เห็นก็คุ้มครอง ป้องกัน รักษา ก็ปลอดภัย เราคุ้มครองอะไรก็เห็นภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่เราคุ้มครองนั้นแล้ว ก็ได้แก้ไข อันที่เกิดไม่ดี ให้มันดีขึ้นมาได้ คุ้มครองบ้านเรือนที่เห็น ภัยที่เกิดจากบ้านเรือนที่มันทำให้ทรุดโทรม เห็นปลวก เห็นมอดกิน ก็รักษา บ้านเรือนก็อยู่ได้นาน เวลาใดที่เห็นมันคิด ก็เห็นจิตที่มันคิด ก็เห็นอีกก็เลยคุ้มครองจิตอีก ดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด ก็มีกำลังไปดูจิตอีก คุ้มครองจิต จิตก็ปลอดภัย อันตราย ศัตรูที่เกิดกับจิตก็มีเยอะ แต่อย่าหลงไปอยู่ในความคิดที่มันดึงให้หลุดออกไป กลับมา ตั้งไว้ที่กายเหมือนเดิม จิตมันกลับมาได้ เกาะไว้ได้เหมือนกาย คู้แขนเข้า เหยียดแขนออกมันมีกำลัง ว่าทำไมรู้สึกตัวขึ้นมาได้ง่าย ไม่ใช่คิดเอา เอาตามธรรมชาติที่มันเป็นไปเอง มันไม่ค่อยจะทันมัน เวทนามันเป็นดุ้นเป็นก้อน เป็นหลักเอาไว้อย่างนี้ เหมือนเป็นหลักเกาะไว้ในกลางน้ำที่มันไหล อาศัยที่เกาะไว้ก่อน ตราบใดยังว่ายน้ำไม่เก่ง ก็เกาะไว้ก่อน หลุดออกไปก็กลับมาเกาะไว้อีก ต่อไปมันจะเข้มแข็ง ตอนที่มันหลุดจะกลับมา ทวนกระแสกลับมา มันจะเข้มแข็งแก่กล้าขึ้น เหนี่ยวแน่นขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เรียกว่ากลับ เรียกว่าทวนกลับ ปฏิบัติให้กลับมา กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว นี่มันเป็นการฝึกให้มีความเข้มแข็ง ชำนิชำนาญ เป็นเช่นนั้น
ประสบการณ์บทเรียนที่มันผิด ให้เป็นความถูกขึ้นมา อันนี้เรียกว่ามีบทเรียนที่ดี ประสบการณ์ที่ดีของผู้ปฏิบัติเอง ผู้ปฏิบัติต้องทำเอาเอง ไม่มีใครทำให้ ได้รักษาความปลอดภัยให้เกิดกับกายกับใจนี้ มันถูกที่สุดแล้ว ตั้งแต่เราดูแลอะไร ดูแลป่า รักษาป่า ดูแลไก่ก็รักษาไก่ ดูแลกระรอก ก็รักษากระรอก เห็นภัยที่เกิดขึ้นกับกระรอก เห็นแมวมันลอบกัดแล้วก็ชำนาญในการเห็นศัตรู เห็นข้าศึกที่เกิดกับโลก แล้วก็ป้องกันได้ เวลาแมวมันจอบมา มันได้ไล่กระรอก ก็ได้ไล่แมวหนีๆ แมวก็หนีเวลาเราไล่ มันหนีไป มันกลัว หมามากินไก่ เราไล่หมาหนี หมาก็กลัว ไล่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง หมาก็กล้ว ไม่กล้ามา ถ้าเราไม่ไล่มัน มันก็มากินจนหมด แมวมากัดกระรอก ก็กัดกระรอกอยู่ เราได้ไล่มันให้มันกลัว สักครั้ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง แล้วมันก็ไม่มา กระรอกก็ปลอดภัย ไก่ก็ปลอดภัย เช่นนี้
ถ้าเราไม่ดูแลอะไร แล้วไม่ได้คุ้มครองอะไร มีแต่ของที่เสียหายเกิดขึ้น เรามีชีวิตอยู่จริง แต่ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เป็นการคุ้มครอง ที่มีอยู่ ก็เลยไม่เหลืออะไร เรามีกายมีใจ ไม่ได้คุ้มครองกายใจ กายก็พึ่งไม่ได้ ใจก็พึ่งไม่ได้ การดูแลกาย การดูแลจิตใจที่มีสตินี้ มันมีอานิสงส์มาก ไอ้ที่มันเคยมี เคยผ่านที่หลง เคยใช้มาอื่นๆ มันจะหมดไป ความหลงก็จะหมดไป ความทุกข์ก็จะหมดไป ความโกรธ โลภอะไรก็จะหมดไป แต่ว่าเราเห็นมัน เราได้เป็นผู้เห็น ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น เมื่อเราเห็นก็ปลอดภัยได้แล้ว ไม่ต้องไปเป็นกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นมา อะไรเกิดขึ้นมากับกายเราเห็นมัน อะไรเกิดขึ้นมากับใจเราเห็นมัน ถือว่าเป็นเจ้าของได้หมด ไปพูดว่าเป็นผู้เห็น ไม่ได้เข้าไปเป็น สำคัญตรงนี้ สะดวกมากขึ้น
ถ้าได้เห็นก็ง่าย ถ้าเป็น มันก็ยังไม่ง่าย ถ้าหัดให้มันเห็น มันก็เลยง่ายขึ้น ง่ายขึ้น จะเป็นสมาธิก็ว่าได้ ก็มันเห็น เห็นจนถึงว่าไม่เป็นอะไรกับอะไร ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ นี่มันก็ง่ายขึ้น สะดวกมากขึ้น ก็เพราะไม่เป็นอะไรกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ มันสุดยอดแล้ว การรักษากายก็ปลอดภัย การรักษาใจก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีภัยแล้ว ชีวิตที่ไม่มีภัย ก็เรียกว่า พระอริยเจ้าได้ มีสติเป็นหน้า มีสติเป็นเจ้าของอย่างนี้ ก็มีค่ามากขึ้น ชีวิตได้มีที่อาศัยได้บัดนี้ เมื่ออาศัยได้ มันไม่เป็นอะไร ก็เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ สิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็จะเกิดขึ้นมาเป็นการครบวงจร สุขภาพก็จะดี ระเบียบวินัยก็จะดี ถ้าเป็นอาชีพ อาชีพก็จะดี ไม่มีการแบ่งกัน เพราะไม่มีรั่วไหล ก็มีศีล ก็มีสมาธิ ก็มีปัญญา ทำลายความโง่ หลง งมงาย ลงได้ ไม่เสียเวลากับความหลง เสียเวลากับความโง่ เสียเวลากับความสุข ความทุกข์ ไม่เสียเวลาไป มันก็มีพลัง ไม่ไปรับใช้อย่างอื่น มันจึงเป็นการครบวงจรไปหลายอย่าง สังคมก็จะดี ไม่ต้องไปทำตนเองให้เดือดร้อน ไม่ต้องไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็ถือว่าทำความดี มีกายหรือว่ามีทวาร ทำให้เกิดความดีได้ มีใจก็มีความคิดนึกแสดงออกทางกาย วาจาได้ อันที่เป็นความดี และมีการมีงานที่ชอบกันมา มีคำพูดที่สื่อสารกันได้ บอกผิดบอกถูกได้ พิสูจน์กันได้ ว่ามีกายที่ว่าเขาหลง ความไม่หลงก็มี ก็มีผู้บอกอย่างนี้ เวลาเราทุกข์ ความไม่ทุกข์ก็มี จะมีผู้บอกอย่างนี้ แล้วก็จะได้เห็นกระแส ได้นำไปปฏิบัติ จากคนหนึ่ง 2 คน 3 คน ไป ก็ได้กลุ่มนี้เป็นเพื่อน มีกัลยาณิตรเกิดขึ้น คนดีเกิดขึ้น เมื่อคนดีเกิดขึ้น อยู่ที่ไหนก็มั่นคง
เหมือนพระพุทธเจ้าสรรเสริญพระสารีบุตร พระโมคคัลลา โมคคัลลาอยู่ที่ใดพุทธบริษัทมั่นคง สารีบุตรอยู่ที่ไหน พุทธบริษัทก็มั่นคง อนุรุทธะอยู่ที่ใด มหากัสสัปปะอยู่ที่ไหน สานุศิษย์ก็มั่นคง เราช่วยกันเกิดพุทธบริษัทแน่นหนาขึ้น เป็นคนดีเกิดขึ้น คนก็ไม่ใช่เป็นก้อนหิน สามารถแสดงออกได้ ก็มีแต่คน ไปที่ไหนก็มีแต่คน แล้วก็มีวัตถุ อาการ สัตว์ต่างๆ จากนั้นจึงเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ ถ้าเป็นความสุข ก็เป็นความสุขของมูล ไม่ใช่สุขแบบอาศัยอามิส อาศัยวัตถุสิ่งของ เป็นความสุขที่เป็น ไม่มีอะไรอาศัย เป็นนิรามิสสุข สุขไม่ต้องอิงอะไร อาจจะพูดได้ว่า เหนือสุข เหนือทุกข์ เหมือนคนเป็นโรคขี้กลาก รักษาขี้กลากให้หายแล้ว แต่ก่อนเป็นขี้กลากแล้วคันก็ได้เกา อันนั้นเป็นความสุขแบบอามิส ได้เกา ที่มันคันขี้กลาก ขี้เกลื้อน จึงมีความสุข วันนี้รักษาขี้กลากให้หาย ที่ว่ามันสุขหรือไม่ ไม่รู้จะเรียกยังไง ที่ไม่ต้องเกาอีกแล้ว ไม่ต้องไปหลง ไปโกรธ ไปทุกข์อีกแล้ว เขาเรียกว่าสุขหรือไม่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าสอนเทศน์กัณฑ์แรก โกญฑัญญารู้ตาม ก็เป็นหลักฐานว่า “ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ” สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ยกนิ้วให้กับคำสอน พระธรรมนี่ประเสริฐจริงๆ สามารถพิสูจน์ได้จริงๆ จึงว่าแน่แล้ว แน่แล้ว สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นเป็นความดับไปเป็นธรรมดา แน่ที่สุดแล้ว แน่นอนแล้ว ยกโป้ง ก็คิดว่าสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนนี้ แต่ก่อนยังไม่ได้เรียกว่าสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะยังไม่สอนคนอื่นได้รู้ตาม พอสอนคนอื่นให้รู้ตามก็ชื่อว่าสัมมาสัมพุทโธได้เต็มอัตรา เต็มมาตรฐาน เต็มรอบ ไม่ใช่อัตตา คือ ยึดมั่นถือมั่นนะ คือยึดมั่นในธรรม ธรรมเป็นสรณะ ธรรมเป็นที่พึ่งได้ อันแสงแดดเป็นที่พึ่งได้หลายวัน ถ้ามั่นใจได้อย่างนี้ ก็เห็นเป็นหลักเป็นฐานจริงๆ ในการสอน ในธรรมะนี้ ผิดถูกก็มีสิ่งที่บ่งบอกจริงๆ เกิดจากกายจากใจเรานี้ ตอบได้ทุกชีวิต ว่าจะมีสติ เจริญกายใจ สติเป็นเจ้าของกาย สติเป็นเจ้าของจิตใจ เห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ที่ไม่ใช่สติ มันจะต่างกันอย่างนี้ ก็ชำนาญในกายในใจ มันจะต่างกันอยู่ ผิดถูกจะต่างกันอยู่ เพราะมันเป็นรูปเป็นนามแยกแยะได้ รูปก็เป็นรูป ไม่ได้เป็นอื่นไป นามก็เป็นนาม ตั้งแต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม รูปก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนามธรรม แต่ก็สัมผัสได้สำหรับส่วนตัวของใครของเรา
ทีนี้ปัญหา นักธรรมชั้นตรี ก็บอกอย่างนี้ ทำไมวิพากษ์ รูปนามแบ่งเป็นกี่อย่าง อะไรบ้าง แบ่งให้ดู แบ่งรูปนามให้ดู มีเป็นกี่อย่าง มีอะไรบ้าง รูปนาม คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นรูปนาม รูปก็เป็นรูป แบ่งเป็น 2 ได้ 2 คือ รูปเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนั้นเป็นนาม ถ้าจะตอบก็ตอบอย่างนี้ ก็มันเห็นอย่างนี้ รูปธรรม นามธรรม มันก็ไม่เที่ยงอย่างนี้ เวทนามันก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยงอย่างนี้ มันจะเหลืออะไร มันแบ่งให้เห็น เรียกว่าคณะปริญญา แยกแจกแจงออก ไม่มีอะไรเหลือ จึงไม่เป็นอะไรกับอะไรเลยในรูปในนามนี้ เมื่อไม่เป็นอะไรในรูปในนามนี้ มันก็เหนือการเกิดแก่เจ็บตายได้ พ้นทุกข์ได้ พ้นปัญหาได้ ไม่มีอะไรจะมาเป็นตัวเป็นตน โลกก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป ทั้งที่เป็นสังขาร วิสังขาร ก็หายไปได้ รูป ร่างกาย จิตใจ และรูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นสังขาร และวิสังขารไม่เที่ยงทั้งนั้น สังขารมีวิญญาณครอง สังขารไม่มีวิญญาณครอง ไม่เที่ยงทั้งนั้น
อย่างคนทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ เพิ่งรู้ว่าโลกมันจะหมดไปเรื่อย ฉิบหายไปเรื่อย ไม่เที่ยง เดี๋ยวนี้อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ มันก็วิตกกังวล บางทีก็ว่า ประเทศอย่างประเทศมารยัน (น่าจะหมายถึงชาวมายา ที่ทำนายว่าโลกจะแตกในปี 2012 : ผู้ตรวจทานไฟล์เสียง) ก็ว่าโลกจะแตก แต่พระเจ้ารู้มาแล้ว เรื่องนี้สองพันหกร้อยปีมาแล้ว มันไม่เที่ยง ถ้าเราไม่รู้ก็ยึดเอา แม้แต่ความสุขก็ยึดเอา ว่าเป็นตัวว่าตนของเรา เราทุกข์ เราก็ยึดเอาว่าตัวว่าตนของเรา แม้แต่มันคิด ก็ไปยึดในความคิด ว่าความคิดมันเป็นสุขเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่รู้ เปราะบางเหลือเกิน มีจิตมีใจก็พึ่งจิตใจไม่ได้ อันนี้ มีกายก็ไม่มั่นใจ เวลาการแสดงออก อะไรที่มันเกิดขึ้นกับรูป ก็เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ บางทีต้องไปติดสิ่งเสพย์ติด ใช้เขา วัตถุที่มันติดในกาย ไปเสพย์ ไปติด เพราะว่าคิดว่ามันเป็นสุขเป็นทุกข์ คนเราทุกวันนี้กินยาบ้า กับความเป็นสุขเป็นทุกข์ เมื่อมันติดแล้ว เมื่อมันไม่ได้เสพย์สิ่งที่เสพย์ติด มันก็เดือดร้อน เข่นฆ่ากัน คนดีถูกฆ่า ถูกทำลายไปเยอะ พ่อแม่ก็ฆ่าได้ แล้วก็พาให้หลงไปอีก มันติดได้ ลูกหนี้ ดาวน์หนี้ ใช้กันไม่เป็นก็เป็นทุกข์เป็นโทษได้ ถ้าใช้เป็นก็เป็นประโยชน์ ก็ต้องหัดใช้ รู้ใช้มันถูกต้อง จะได้ไม่มีทุกข์มีโทษ จะได้ปลอดภัยในโลก อยู่ด้วยกันด้วยความสันติสุข หัดใช้โลกให้ถูก ให้รู้สึกตัว อะไรที่เกิดขึ้นมาก็รู้ รู้สึกตัว ร้อนก็รู้สึกตัว หนาวก็รู้สึกตัว เจ็บเบาก็รู้สึกตัวไว้ก่อน หิวก็รู้สึกตัวไว้ก่อน กลับมารู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวก็มีปัญญา เกี่ยวข้องกับที่มันเกิดขึ้นนั้น
นามที่มันคิดอะไรเกิดขึ้นมา ก็รู้สึกตัว บางทีอาจจะเคยชินที่มันเคยไหล เคยเป็นอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนามก็ไปกับมัน ก็กลับมารู้สึกตัว ได้สอนตัวเอง ไม่จน เป็นผู้ไม่จน ไม่จนใจ แต่ก่อนเรามันก็จน ไปรับใช้กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เวลามันโกรธก็ทำตามความโกรธ เวลามันทุกข์ก็ทำตามความทุกข์ แสดงออกให้ตัวเองเดือดร้อน คนอื่นเดือดร้อนได้
พวกเราจึงพากันมาฝึกนี่ ไม่ใช่อย่างอื่นดอก ไม่ใช่เพื่อเจ้าลัทธินิกาย พวกพ้องบริวารอะไร ชวนกันมา หัวอกเดียวกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน มาศึกษาเรื่องนี้ เป็นทางออก ทิศทางมันมีอยู่ ไม่ให้ไปจำนน ไปยอมมัน หัวเราะร้องไห้อยู่ที่นั่น เมื่อไหร่ที่ท่านเป็นทุกข์ คนที่ไม่เป็นทุกข์เหมือนท่านทุกข์มันก็มีอยู่ เมื่อไหร่ที่ท่านมีปัญหา คนที่ไม่มีปัญหาก็ยังมีอยู่ มาชวนกันอย่างนี้ แน่นอนต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครที่เหนือสิ่งเหล่านี้ มันอยู่ในความไม่เที่ยงทั้งนั้น อยู่ในความเป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่ามันได้ เราจึงไม่ควรประมาท ชีวิตยังมีอยู่ ยังพอทำได้อยู่ แล้วมันใช้อะไรไม่ได้ ก็เสียชาติไปเฉยๆ นี่ มาใช้ชีวิตในส่วนนี้ ลองดู ร่วมกันลองดู เป็นพี่เป็นเพื่อนกันลองดู ศึกษาลองดู ว่าเราศึกษาเรื่องนี้ ทุกคนก็จะตอบได้ทุกคนนั่นแหละ ไม่ต้องอาศัยให้คนอื่นสอน เราจะได้รู้จักสอนตัวเอง สอนกาย สอนใจตัวเอง ผิดถูก รู้เอาเองได้ ไม่ใช่ความผิดที่เป็นความถูก ทำอย่างนี้ อย่างนี้ ไม่ใช่ความทุกข์ ความไม่ทุกข์ เลยทำอย่างนี้ อย่างนี้ ถ้าจะทำเป็นเอง พระพุทธเจ้าก็บอก เป็นผู้บอก ส่วนการกระทำเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย สนใจ เลื่อมใสในคำสอน ปฏิบัติตามคำสอนนั้น นำไปปฏิบัติ
เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านจะบอกคนอื่นให้รู้ตามด้วยอีก เป็นเช่นนั้น ไม่มีใครปิดบัง อำพราง ถ้ารู้เรื่องนี้ เรียกว่า คนใบ้ก็พูดเป็น ตาบอดก็เห็นผลอย่างนี้ มันก็พูดออก มันบอกผิดบอกถูกได้กับเรื่องนี้ ของเท็จของจริงมันรู้กับทุกคน มีอยู่กับทุกคน ถ้าท่านสัมผัสกับความรู้สึกตัวนี้ เป็นสิ่งชี้วัดเอาไว้ เป็นฐานเอาไว้ กรรมฐาน ที่ตั้งแห่งการกระทำ ให้ใช้ชีวิตแต่เรื่องนี้ ให้สะดวกกันเรื่องนี้ อย่าไปใช้กันอย่างอื่นที่เราเกี่ยวข้องก่อน ก็ให้สะดวกอย่างนี้ มันหุงข้าง ก็หุงข้าวให้รู้สึกตัว เรื่องนี้ มันผ่าฟืนก็ให้รู้สึกตัวได้ มันเดินจงกรมก็รู้สึกตัว คนนั่งสร้างสติก็รู้สึกตัว อันเดียวกันแท้ๆ สามารถจับบันไดเป็นเกณฑ์ชี้วัดก็ได้ อย่าให้การงานพาหลง อย่าให้การงานพาผิด ใช้ความถูกต้องกับการงานได้ทุกรูปแบบ เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธินี้ ทั้งหมดเลย ไปตลอดรองฝั่งจริงๆ หมดเลย ดำเนินชีวิตตามหนทางนี้ เป็นความถูกต้อง สัมมา สัมมา สัมมา ไปหมดเลย ไม่ใช่ มิจฉา มิจฉา แต่ก่อนเป็นมิจฉาได้ ความเห็นผิด ความอะไรผิด ตั้งใจผิด พูดจาผิด พอมันรู้แล้ว ไปได้ถูกหมดเลย เรียกว่า ทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ สิ้นสุดหมายปลายทาง
สมควรแก่เวลาแล้วนะ พวกเราก็กราบพระด้วยกัน