แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่อ เป็นการย้ำเตือนในการปฏิบัติ ในการใช้ชีวิต…ตัวใครตัวมัน ธรรมนี่มันมีสองอย่าง โลกุตตรธรรม โลกียธรรม โลกุตตรธรรม…ต้องต่อยอดจากโลกียธรรมนี่แล มันมีรูปมีนาม มีกายมีใจ มีรูปมีรส มีกลิ่นมีเสียง มีตามีหู จมูกลิ้นกายใจ ถ้าไม่ต่อยอดมันจะไปทางโลกียธรรม เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นรสของโลก โลกียธรรมนี่มันเป็นรสของโลก โลกุตตรธรรมเป็นรสที่ทำให้รสจืด แต่โลกียธรรมนี้ ที่สุดคือการเกิดแก่เจ็บตาย ทีนี้มันมีรสเนี่ย แต่โลกุตตรธรรมนั้น เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ชีวิตเรา…ควรจะเข้าถึงโลกุตตรธรรม จึงจะคุ้มค่า ชีวิตที่เกิดมาเนี่ย การจะสร้างโลกุตตรธรรมนี้ อาศัย…ชีวิตนี่ ที่มีอุปกรณ์เครื่องมือ มีกายมีใจ เป็นอุปกรณ์ มีสติ ใช้กายใช้ใจให้ถูกต้อง ถ้ามีสติจะใช้กายใจให้ถูกต้องได้ มันมี…สิ่งที่ผิด มันมีสิ่งที่ถูกอยู่ที่เดียวกัน การปล่อยให้สิ่งที่ผิดเป็นผิดไป สิ่งที่ผิด ต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ถูก ถ้ามีสติจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีสติ ผิดก็ผิดตะพึดตะพือ สุขก็สุขตะพึดตะพือ ทุกข์ก็ทุกข์ตะพึดตะพือไป จนตาย แต่ถ้ามีสติ มันจะเปลี่ยน ผิดเป็นไม่ผิด เป็นรู้ สุข เป็นรู้ อะไรต่าง ๆ เป็นรู้ทั้งหมด ทำลาย ทำลายรส ของโลกียธรรมให้เป็นโลกุตตรธรรมได้ ตรงนี้เราต้องให้มั่นใจ ให้แน่วแน่ เราจะเอายังไงกัน ในการใช้ชีวิตนี่ ไม่ใช่ทำเล่น ๆ เหยาะ ๆ แหยะ ๆ การเอาจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่หน้าดำคร่ำเครียด เป็นการสุขุม เป็นการนุ่มนวล เป็นการอ่อนโยน เป็นการรอบคอบ เป็นศาสตร์เป็นศิลป์ ไม่ใช่…ตึงตังอะไรต่าง ๆ มันต้องนิ่มนวลพอสมควร เวลามันหลง นิ่มนวลกับความหลง จะทำยังไง อย่าให้มันหยาบ ๆ มาหนักให้เป็นเบา มายากให้เป็นง่าย มาผิดให้เป็นถูก วันนี้ต้องมีสติ เป็น…เป็นเครื่องรับมือ ในรสของโลกที่เป็นโลกียธรรม มีสติ ถ้ามีสติก็จะยิ้ม(เน้นเสียง)ได้ น้อย ๆ เวลาอะไรที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราคือชีวิตนี้ มันมีกายมีใจสำหรับรองรับรสของโลก เราจึงมีงานมีการทำ ไม่ใช่พลอยทิ้งการงานของเรา นี่งานสร้างงานโลกุตตระนี่ เป็นงานชีวิตส่วนตัวของใครของเรา เราจะได้ประสบการณ์ได้บทเรียนจากโลกียะนี่ ให้มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งขึ้น น่าจะขอบคุณ ความหลง ความโกรธ ความโลภ ความทุกข์ ว่ามันทำให้เกิดการพัฒนา และเกิดการพัฒนาให้ดีขึ้น ยิ่งมันเกิดขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะได้บทเรียนมากเท่านั่น
อาการที่เกิดกับกายกับจิตใจ มากมายหลายอย่าง เราจะตามมันทั้งหมด กี่ร้อยภพกี่แสนกี่ชาติกี่อสงไขยชาติก็ไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าเราศึกษาแบบโลกุตตรธรรมแล้ว จบ เป็นขั้น ๆ ไป เป็นสูตร เหมือนกับเราเรียนหนังสือ อนุบาล ประถม มัธยม ชั้นอุดม ถึงที่สุดเป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญในวิชาการต่าง ๆ ได้ ร่างกายของเรามันก็มีสูตร จิตใจก็มีสูตร สูตรพระพุทธเจ้าก็บอกแล้วในโลกุตรธรรม ตั้งต้นที่ตรงไหน เราก็รู้ เอาแต่พระสูตรอยู่ตลอดเวลา ประเดี๋ยวขึ้นป้าย วัดป่าสุคะโต สถาบันสติปัฏฐาน เด็ดขาด สถาบันแท้ ๆ สติปัฏฐานอยู่ที่ไหน นี้ทุก ๆ ชีวิตเป็นสามัญเรื่องนี้ เรียนให้จบ
กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน สิ่งใดที่เกิดขึ้นก็ต่อไป กายในกาย เห็นสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นี่…ก้าวแรกที่จะเข้าสู่โลกุตตรธรรม ก้าวแรก…ก็ตรงนี่ กายสักว่ากาย ไม่ใช่กูต่อไปอีก มันมีกายแล้วมีกูไปอีกกี่กูก็ไม่รู้ เป็นตัวเป็นตน เกิดซ้อน ๆ อยู่เนี่ย มันเป็นทางโลกียะ ไปทางเกิดแก่เจ็บตาย มันเกิดมันดับอยู่กี่ภพกี่ชาติ รู้ไหม เกิดกับตายเนี่ย ถ้าได้เห็นสติปัฏฐานเป็นสถาบันที่ศึกษาโดยเฉพาะกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ก้าวแรก เมื่อเห็นกายได้แล้วก็เห็นอันอื่น เวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ มันยิ่งใหญ่ สุขก็สุข ทุกข์ก็ทุกข์ ทุกข์ก็ร้องไห้ สุขก็หัวเราะ พอใจ ความไม่พอใจ ไปไกล เป็นชีวิต เป็นจิต เป็นซึม เป็นซับ ติดเปื้อนเปรอะไปหมดเลย ทุกข์เป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ปนเปกันไป วุ่นวายกันทั้งโลก แย่งกัน เพราะงั้นนี่..ไปไกล อ้าว...สุข เรียกว่าเวทนา สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ลองดูสิ ตรงนี้นี่ แน่แค่ไหนเรานะ ต้องการอะไรกันแน่ เฮ้ย ทำแบบหย่อน ๆ สุ่มอยู่ เราล่ออยู่เหมือนสายล่อฟ้า ชีวิตเหมือนกับสายล่อฟ้า คอยจะเป็นสุขเป็นทุกข์ ลงให้ได้ ฟ้าลงได้ สุขก็เป็นสุข สูญเสียไปหมดเลย ชีวิตคนเราที่เป็นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เปรอะเปื้อนปนเปไปหมด จิตที่มันคิดขึ้นมานี้ มันมีจิตมันมีธาตุรู้ เรียกว่าวิญญาณธาตุ มันรู้อะไร มันเป็นรูปเป็นนามเนี่ย แล้วก็นี่มันคิดยื่งใหญ่ ของหวานของจิตคือความคิด เป็นไม้เป็นมือของจิตใจ ต่างก็เกิดคิดขึ้นมาโดยที่ตั้งใจก็มี ไม่ได้ตั้งใจก็มี แล้วก็ทำตามความคิด หมดเนื้อหมดตัวกับความคิด ถ้าคิดอะไรขึ้นมาก็ตามไป กลายเป็นความพอใจซ่อนในความคิด ไม่พอใจซ่อนอยู่ในความคิดไปอีก ทำตามความพอใจ ทำตามความไม่พอใจ ไปไกล เป็นภพเป็นชาติไป บางทีความคิดขึ้นมาคิดแต่กัดตอดตัวเองให้เจ็บปวด น้ำตาไหล นอนไม่หลับ กินไม่ลง ความคิดเฉย ๆ ก็ไปไกล แล่นไปไกล เป็นพวงเป็นเรือพ่วงไป หนักอึ้งไป ไม่รู้จักวาง หยุดคิดไม่เป็น เอามันมากลายเป็นอารมณ์ ไปเป็นจริตนิสัย พอกพูนเหมือนดินพอกหางหมู ผู้ที่หวังไปสู่โลกุตตรธรรม ต้องเด็ดขาด มีการเด็ดขาด กับตัวเองบ้าง อย่าเด็ดขาดกับคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น เด็ดขาดกับตัวเรานี่ กระชากขึ้นมา เห็นรู้สึกตัว จิตก็สักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นี่เรา หลงก็ยังเฉยอยู่ ทุกข์ก็ยังเฉยอยู่ สุขก็ยังเฉยอยู่ แหม…นี่มันเป็นอะไรเกิดขึ้นมากมาย กระทบกระเทือนไปสิ่งอื่น ก็ยังเฉยอยู่ได้ มีไม้มือทำความชั่ว มีปากพูดสิ่งที่ผิด มีจิตใจคิดสิ่งที่ผิด มีกายกระทำในสิ่งที่ผิด ไปไกล จึง…กระชากความเคยตัวขึ้นมา ถ้าปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน เป็นสถาบันจริง ๆ มันเป็นสถาบันจริง ๆ สิ่งที่ผิดที่ถูก บอกอยู่ในนี่ ถ้ามีสติจะเลือกเป็น มาร้ายเป็นดี รู้สึก รู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัวโดยเฉพาะวิชากรรมฐาน ไม่ใช่เป็นบทท่องจำ เป็นภาคปฏิบัติ ไม่ใช่ว่ากายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันนี้เป็นภาษานกแก้วนกขุนทอง ตอนที่มันจะเป็นกายสักว่ากายมันอยู่ตรงไหน ตรงที่มันเกิดอะไรขึ้นกับกายนั่นล่ะ ไม่ใช่ท่องจำนะ เป็นภาคปฏิบัติ เป็นภาคกรรมฐาน มีสติลงไป กรรมฐาน ที่ตั้งแห่งการกระทำ การกระทำเป็นต้นเหตุ หนึ่งคือการกระทำ เป็นต้นเหตุ นับหนึ่ง นั่นล่ะ เกิดขึ้นมา รู้ทันที อะไรที่มันเกิดกับกาย รู้ทันที ทำแล้ว ไม่ทำแล้ว ไม่รู้แล้ว มันก็มันมือตรงนี้นะ ถ้ากรรมฐานจริง ๆ นะ ผู้ที่…ผู้ที่จริง ๆ เนี่ย ในเรื่องชีวิตเนี่ย อาจจะไม่นานนะ เหมือน…เมล็ดพืช เมล็ดพันธุ์ ถ้าไม่ถูกความชื้น ไม่ถูกความชื้น ก็แห้ง ถูกอะไรต่าง ๆ มันก็ไม่มีโอกาสจะงอกได้ เมื่อไม่ถูกความชื้น ไม่มีโอกาสถูกความชื้น มีวิธีเก็บรักษา มันก็จะบอดได้ เป็นข้าวเปลือก เป็นพืชพันธุ์ พันธุ์พืชต่าง ๆ อาจจะบอดได้ ปฏิบัติธรรมมันก็บอดนะ บอดในโลกียะได้ สุขไม่เป็นสุข ทุกข์ไม่เป็นทุกข์ สักแต่ว่านะ นี่กรรมฐาน มันสักแต่ว่า มันบอดได้ เพาะไม่เกิด ความสุขก็เพาะไม่เกิด ความทุกข์เพาะไม่เกิด กิเลสตัณหาราคะเพาะไม่เกิด ความโกรธโลภหลงเพาะไม่เกิด มันบอดได้ ไปสู่โลกุตตรธรรมได้ เหนือโลกได้
ในชีวิตนี้ เราจึงต้องเด็ดขาดกับการใช้ชีวิตบ้าง บทเรียนเยอะแยะ เกิดจากกายก็มีบทเรียน เกิดจากจิตใจก็มีบทเรียน เกิดจากธรรมก็มีบทเรียนมากมาย แม้ธรรมก็เป็นกุศล อกุศล แม้โลกก็มีโลกียะ โลกุตตระ ธรรมเป็นโลกียะ ธรรมเป็นโลกุตตระ ถ้ามีสติจะรู้จักเลือกได้ เวลาเราฝึกกรรมฐาน มีสติ กายเห็นกายอยู่เป็นประจำ สนุกเลือก คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก เป็นการเข้าห้องเรียนก็ว่าได้ เป็นการลงสนามฝึกตัวเองก็ได้ ไม่ใช่นั่งลอย ๆ นั่งสงบ ความสงบที่เป็นนั่งนิ่งๆ น่ะ ได้น้อย อย่าทำมาก นิ่งบางโอกาส แต่ว่าเจริญสติปัฏฐานนี่ ขยันรู้ การขยันรู้ดีกว่า…ภาวนา ภาวนาเอากายมาเป็นความขยันรู้ เอาความคิดเป็นเรื่องเลย เอาทุกอย่างที่มันเกิดกับกายกับใจมาเป็นวัตถุอุปกรณ์ให้เกิดความขยันรู้ แล้วภาวะที่รู้นี่ใช้ได้ทุกรูปแบบที่มันอยู่ในกายในใจเรานี้ จะเป็นสุขก็รู้ จะเป็นทุกข์ก็รู้ จะเป็นโกรธโลภหลงก็รู้ จะเป็นความคิดก็รู้ มากมาย ต่อยอด ได้ทุกวิถีทาง สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเนี่ย มาละ…อะไรก็จะรู้มันทั้งนั้นล่ะ
ถ้าทำกรรมฐาน ถ้าทำกรรมฐาน จะนั่งยกมือสร้างจังหวะ เดินอยู่ ถ้าไม่…อะไรมันเกิดขึ้น ถ้าไม่มาเป็นรู้นี่มันก็ยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ถูกภาวนา เป็นแต่รูปแบบ เป็นแต่กิริยา ไม่มีกรรมไม่มีผล จึงจับให้ถูก การฝึกตนสอนตนต้องจับให้ถูก ใส่ใจซักหน่อย ไม่ใช่ทำแบบงม ๆ ซาง ๆ ลุ้น ๆ เดา ๆ คำนวณคะเนเอา ไม่ใช่แบบนั้น ต้องจับให้มั่นคั้นให้เหนียว มันถึงจะเป็น ทำให้มันเป็น ไม่ใช่เรียนรู้ ทำให้เป็น ภาวะที่เป็นจากการฝึกกรรมฐานไม่มีโอกาสลืม ไม่เหมือนความรู้ความจำ เห็นอะไรก็เป็นเห็นอันเดียว เห็นความหลงอันเดียว หน้าตาความหลง กับหน้าตาความรู้ มันก็เหมือนกัน ความรู้อันเดียวอะ ไปอยู่กับ เปลี่ยนหลงเป็นรู้อันเดียวกัน ทุกข์ก็รู้อันเดียวกัน มันจะมีอะไรมากมาย ถ้าเราเอา…เอาจริง ๆ นะ มันก็ผ่านด่าน ให้เราได้เห็นทุกอย่างที่มันเกิดกับกายกับใจเราเนี่ย…จบได้
เพราะฉะนั้นจึง…ลองตั้งใจลงสนามฝึกตนสอนตน โอกาสดีนาทีทอง เรามีมิตรมีเพื่อนกัน มีตัวมีตน สาธยายพระสูตร พูดให้กันฟังเพื่อย้ำเตือน มันอยู่ที่เป็น…เอาจากพระสูตรมาพูดต่อ มาเป็นหมวดการกระทำ ให้มันเป็นปัจจุบัน ในโอกาสในเวลาในกระบวนการใช้ชีวิต…ของเรา เอามาสอนเราได้ทุกอย่างในพระสูตรนั่นน่ะ เช่นพระพุทธเจ้าสอนอานนท์ นิคคัยหะ นิคคัยหาหัง อานันทะ วักขามิ เราจะชี้โทษแล้วชี้โทษอีกไม่มีหยุด เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสารจึงทนอยู่ได้ คนเราควรคบบุคคลที่มีปัญญาใด คอยชี้โทษคอยขนาบอยู่เสมอไป ว่าผู้นั้นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เขามาสอนเรา แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัจจุบัน ปัจจัตตังอยู่กับชีวิตเรา เป็นตัวเป็นตน อยู่เฉพาะหน้าเรานี่ ครูบาอาจารย์ก็มีอยู่ ยังเห็นรอย ยังมีกลิ่นมีไอกันอยู่ ความดีความถูกต้อง ไม่หนีไปไหน อยู่กับชีวิตเราเนี่ย ไม่เปลี่ยวเดียวดาย วันนี้ก็แก่ไปอีกวันหนึ่ง หมดไปแล้ว ชีวิตเราทำอะไรอยู่ เติบโตทางโลกุตตระบ้างไหม หรือมีแต่ต่ำลงไป หมักหมมด้วยโลกียะ หมกมุ่นครุ่นคิด ในอารมณ์ที่ครุ่นคิด ย้อมจิตย้อมใจไปทางใด กลายเป็นอารมณ์ กลายเป็นจริตนิสัยไปก็มี คิดมาก ย้อมใจไปอะไรมากก็เป็นได้ จริตนิสัยแบบนั้นได้
เราจะเอา…ภาวนาเนี่ยมันเป็น เป็นเรื่อง ศาสตร์ศิลป์ทางการใช้ชีวิตของเรา ขยันรู้ ความรู้ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ การใช้ชีวิตของรูปของนาม มาเป็นเรื่องความรู้สึกตัว ได้ทุก…ทุก…ทั้งหมด ได้ทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ปิดบังได้ อันความรู้สึกตัวนี้ มันประเสริฐที่สุดความรู้สึกตัวไปตามการใช้ชีวิตของเราที่มีกายมีใจ อาการเกิดกับกาย อาการเกิดกับจิตใจ ความรู้สึกตัวกำกับดูแลได้ทั้งหมดเลย หนีไม่พ้น เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ผู้มีสติเป็นหน้ารอบ ไม่เผลอ หน้ารอบ เห็นกฎ เราก็ได้สูตร ได้สูตรที่จะมาศึกษาเรื่องนี้จริง ๆ ยังอยู่กับเราทุกชีวิต สูตรนี้ แม้จะเขียนไว้ในตำรา เขียนเป็นตัวหนังสือ แต่มันอยู่ในชีวิตเรานี่ ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือ สัมผัสได้ คำว่าพุทธะ สัมผัสได้ในคำว่าธรรมะ สัมผัสได้ในคำว่าสังฆะ เป็นคุณธรรมที่เกิดกับเรา พระธรรมอยู่ในชีวิตเรา ก็ทำให้เป็นสิ่งที่มีคุณมีค่า ถ้าอธรรมอยู่ในชีวิตเราก็ทำให้สูญเสีย สิ่งเหล่านี้ เราทำได้ทุกชีวิต เคารพพระธรรม ไม่เคารพอธรรม ความหลงเป็นอธรรม ความรู้เป็นธรรม มีไหม เราเคารพอะไร เราน้อมใจไปทำอย่างไร เสียเวลากับอะไรบ้าง สิ่งที่ควรแก้ไม่แก้ สิ่งที่ควรทำก่อนทำทีหลัง ไม่เป็นระเบียบ มันก็เลยเป็นการบ้าน งานยุ่งเหยิง งานค้างคา ความหลงอยู่ผ่านมาแล้วสองวันสามวันยังหลงอยู่ ความทุกข์ผ่านมาแล้ว ยังหลงยังทุกข์อยู่ ไปทำอันอื่นก่อนซะ สิ่งที่ทำก่อนต้องทำก่อน ก็คือปฏิบัติธรรมนี่ มันจะเป็นระเบียบดี มันสอนตัวเองได้ดี ต้นตอของอกุศลเกิดจากความหลง แน่นอน ต้นตอของกุศลก็เกิดจากความรู้ แน่นอนที่สุด ตั้งต้นตรงนี้ แก้ก็แก้ตรงนี้ ประกอบกับวิชากรรมฐานก็เพื่อการนี้โดยตรง ไม่ใช่ทำวันอื่น ทำได้ทุกคน ระหว่างความหลงระหว่างความรู้ เห็นทุกคนไม่มีการปิดบังอำพราง เวลาเราฝึกกรรมฐานมันจะโชว์ให้เห็นความหลงความรู้…ทันที ที่แรกเลยทีเดียว ด่านแรกเลย เห็นความรู้เห็นความหลงเป็นประตูแรกเป็นด่านแรก มีแต่รู้ มีแต่หลง แล้วก็จะรู้ไปอีกมากมาย จับหลักได้ เดินเอาเองก้าวเองได้ วิชากรรมฐาน เป็นวิชาที่เติบโตได้เอง ไม่ใช่คนอื่นทำให้ เติบโตได้เอง เดินไปได้เอง เพียงแต่บอกว่า คู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก เวลามันคิดกลับมารู้สึกตัว อะไรที่เกิดขึ้นมา รู้สึกตัว กลับมานี่ก่อน กลับมาฐานเป็นที่อยู่เสียก่อน อย่าเพิ่งไปหาเหตุหาผล ใช้ความคิดแก้ความคิด กลับมานี่ก่อน มันเกิดอะไรขึ้นมา กลับมานี่ก่อน ให้กลับมารู้ก่อน กลับมารู้ก่อน ความรู้มันจะเป็นขยายไปเอง ขยายเป็นสติปัญญาไปเอง เป็นญาณทัศนะไปเอง ไม่ต้องไปใช้เหตุผล เหตุผลไม่ใช่สัจธรรม ความหลง ไปเอาเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ใหญ่ ๆ อย่างนี้ ทำไม ๆ ทำไม ๆ จึงหลง ไม่น่าหลง มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปใหญ่
นักปฏิบัติ คำว่าทำไมจะไม่มี มีแต่ รู้ทันที ไม่เสียเวลา ในสิ่งที่…ที่มาก่อน แก้ก่อน มาเป็นรู้ก่อน ไม่มีทำไม มันสุขก็ไม่ทำไม มันทุกข์ก็ไม่ว่าทำไม มันผิดก็ไม่ทำไม ถูกก็ไม่มีอะไร มีแต่รู้ มีแต่รู้ไปก่อน survey ไปอย่างนี้ พระสูตรเขาบอกว่าอย่างนี้จริงๆ นะ กายสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา survey ไปก่อน แม้จิตใจมันยังไม่ลงตัวก็…ทิศทางไปอย่างนี้ก่อน เวทนา สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไปทางนี้ก่อน จิตสักว่าจิต มันจะเกิดความสุขความทุกข์จากจิต ก็สักแต่ว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อย่าให้มันไปสู่ความทุกข์เพราะว่าความคิด อย่าให้ทุกข์เพราะความ…อย่าให้สุขเพราะความสุข…ไปก่อน สุขก็สักแต่ว่า ทุกข์ก็สักแต่ว่า ไปก่อน เป็นทางไปก่อน บุกซักหน่อยก็ดี ต้องบุกซักหน่อย อย่าเหยาะแหยะ เรียกว่าบุกเบิก ชีวี เข้าทาง ทำไมต้องเข้าไว้ก่อน สมมติเราจะทำเสาต้นเสาต้นนี้เป็นสีเหลี่ยมต้องเข้าไว้ก่อน เอาตั้งไหน ตั้งเข้าก่อน ถ้าเข้าไปแล้วก็ไป เป็นรูปเป็นร่างไป…ง่าย ชีวิตเราก็เข้าไว้ มีสูตรอยู่
เนี่ยสถาบันสติปัฏฐานสูตร มีกับชีวิตเราทุกชีวิต ไม่เป็นหมัน มีสิทธิ มีโอกาส ใช้ได้เต็มที่ ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีกายทุกคน มีมือทุกคน คู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก(เน้นเสียง) รู้จริง ๆ(เน้นเสียง) ไม่ได้คิดเอา สัมผัสได้ ในรูปที่สัมผัส รู้เอาเอง นี่มันเป็นดุ้นเป็นก้อน ตั้งต้นจากกายเป็นนิมิต เหมือนเราไปเขียนหัดเรียนหนังสือ ก ไก่ อยู่ในกระดานหัดเขียนเสียก่อน เมื่อหัดเขียนหัดดู แล้วมันก็ติด เดี๋ยวนี้ มันก็อยู่ที่นี่แล้ว การมีสติเห็น ดูกายอยู่เสมอมันก็อยู่ที่นี่ อะไรที่มาเราก็ รู้ รู้ รู้ น้อยๆ กำมือเดียว พับใส่กระเป๋า ชีวิตทั้งชีวิต พับใส่กระเป๋า เรียบร้อยไปเลย ลุยอยู่กับโลกได้ โลกียะจะมีขนาดไหน เหยียบไปเลย เกิดแก่เจ็บตายไม่มี ความสุขความทุกข์ไม่มี บอดไปเลย เอาให้มันบอด แต่กล้าไหม กล้าบอดไหม แม่ชีน้อย จะกล้าบอดไหม(หัวเราะ) เสียดายไหม เสียดายโลกไหม มีนะ บางทีก็เสียดายนะ เสียดายโลกนะ ก็นั่นไง จะเอาแค่ไหนเพียงไร ฝึกกรรมฐานเนี่ย กล้าบอดจริงไหม(หัวเราะ) ถ้ากล้าบอดก็ไปทางนี้แหละ นี่โลกุตตระ จึงเหนือโลก เห็นไหม
พระพุทธเจ้าท่านว่าชาติสิ้นแล้ว คิดสิ้นอะไร ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นทำไม่มีอีกแล้ว ไม่มีแล้ว มันบอด ไม่มีแล้ว ไม่เป็นภาระแล้ว มีแต่แจกของ ส่องตะเกียง เมตตากรุณา เกิดขึ้น…ไป นี่เป็นมรดกของชีวิตเรา มงกุฎชีวิตเรา มันเห็นหมด…นะ สติเนี่ย เปิดเผยทั้งหมด บอกผิดบอกถูก ถ้ามีสตินะ เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก เห็นสุขเป็นสุข แค่นั้นเอง แค่นั้นเอง เห็นแล้ว ๆ เห็นแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว ๆ รู้แล้ว
เห็นแล้ว รู้แล้ว ทำแล้ว ทำเสร็จแล้ว ถ้าไม่จบจะว่าไง เห็นแล้ว รู้แล้ว ทำได้แล้ว สำเร็จแล้ว นี่ ทุกอย่างอยู่ในลักษณะแบบนี้ เรียกว่าจบ มีอะไรมากมายไหมในชีวิตของเรา ในกายในใจเรานี้ แม้จะเป็นกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดมันก็แบบนี้ มันไม่ลับลี้อยู่ที่ไหน ตั้งต้นจากกาย จากเวทนา จากจิต จากธรรม อาการของกาย อาการของจิตใจ มีให้เห็นหมด อาการของกายมีเท่าไหร่ อาการของจิตมีเท่าไหร่ เห็นแล้ว รู้แล้ว ทำได้แล้ว ทำสำเร็จแล้ว อาการของกาย รู้แล้ว อาการของกายทำได้แล้ว อาการของกายทำสำเร็จแล้ว มันก็แค่นี้ อาการของจิต สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต รู้แล้ว ทำแล้ว ทำได้แล้ว ทำสำเร็จแล้ว เรียกว่า จบ จุดหมายปลายทางที่จะต้องไป เหนือเหนือทุกอย่าง อยู่เหนือโลก เรียกว่า อย่างสัมมาสมาธิ จุดหมายปลายทางของอริยมรรค ละสุขละทุกข์ เพราะละสุขละทุกข์เสียได้ มีสติเป็นเอก ผุดอยู่ เป็นเอกอยู่ จบ…ตรงนี้ เพราะละสุขละทุกข์ได้ มีสติผุดเป็นเอก อันที่สามย่อลงมาหน่อยก็มีสติละสุขละทุกข์ได้ มีสติอยู่ในสุขนามกาย อ้าว…วางอีก มีสติละสุขละทุกข์เสียได้ มีสติเป็นอยู่ มีอยู่ มีสติเป็นอยู่ มีสติเป็นอยู่ จุดหมายปลายทาง แล้วก็…ท่อนนี้ ไม่ใช่สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ อะไรต้องมาลงอยู่ที่ความรู้สึกตัว มาลงอยู่ในความรู้สึกตัว นี่…จุดหมายปลายทาง มองทิศไปโน่น ธงชัยพระอรหันต์อยู่โน่น…สะบัดอยู่โน่น ไปถึงสติ ๆๆ เหมือนสะบัดธงชัยไว้ ผ้ากาสาวพัสตร์ผ้าขาว ชีวิตของเรานะ นี่คือมรดกของชีวิตเรา
ต้องพยายาม อย่าเอาอะไรมาอ้าง เอาความหนุ่มความสาว เอาความแก่ความเฒ่ามาอ้างไม่ได้ เอาเพศเอาวัยมาอ้างไม่ได้ เอาลูกเอาหลานมาอ้างไม่ได้ เอาบ้านเอาเรือนเอาความยุ่งยากมาอ้างไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่มีอะไรอ้างขวางได้ มีสติได้ทุกอย่าง อะไรที่มันเกิดกับเรา…รู้ อะไรที่เกิดก็…รู้ ห่วงลูก…รู้ คิดถึงหลาน…รู้ คิดถึงบ้าน…รู้ คิดถึงเพื่อน…รู้ คิดถึงสามี…รู้ คิดถึงภรรยา…รู้ คิดถึงคนที่ตายไป…รู้ คิดถึงคนที่ยังอยู่…รู้ ทำมันให้ทะลุ ทะลุถึงสุดยอด…รู้…ไปเลยนะ ให้ยิ่งใหญ่บ้าง อย่าไปให้มันไปขวางอยู่ ความรักความชังกักขัง อยู่หมัดมันเสียเลย มัน…มันขี้เหร่เกินไป ขี้เหร่(หัวเราะ) ให้เข้มแข็ง เข้มแข็ง
เข้าใจนะพวกเรา..ขอให้ ขอยก ขอเชียร์ เอาเลย เอาเลย ๆ เอาเลย ๆ ในความหลง ไม่หลงก็ได้นะ(ลากเสียง) อยากจะบอกอย่างนี้ ในความทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ ในความโกรธไม่โกรธก็ได้ ในกิเลสตัณหาไม่ต้องมีกิเลสตัณหาก็ได้ ไม่จำเป็น(เน้นเสียง) ไม่จำเป็น เอาเลยนะ เอาให้มันลีบไปเลย สูตรข้าวลีบสูตรบักเขียบหลอด(น้อยหน่าเล็กแกรน)ให้มันติดต้นไปเลย ไม่มีอะไรจะพูดหรอก สูตรข้าวลีบสูตรบักเขียบหลอด ข้าวลีบไม่ได้เพาะนะ ข้าวบอด ข้าวมันบอด เพาะไม่เกิด มันเพาะไม่เกิด จะให้เกิดสุขมันไม่เกิด จะให้เกิดทุกข์มันไม่ทุกข์ เกิดโกรธ เกิดอะไร ไม่ได้เกิด วางไป ก็ทิ้งอยู่ตรงนั้น มันบอด มันบอด กิเลสมันบอด รสโลกมันหมด จืดหมดเลยตรงนี้ จืดหมดเลย จืดหมด นี่โลกุตตรธรรม…นะ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน