แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้า ... ทุกคนเอามือวางไว้บนเข่า เอามือวางไว้บนเข่า
รู้จักเข่าไหม เอามือวางไว้บน คว่ำไว้นะ
ทีนี้มือเราอยู่ที่ไหน อะไรเห็นว่ามืออยู่ที่เข่านั้น อะไรรู้ว่ามืออยู่บนเข่านั้น
ถ้าใครบอกว่ามือของเราอยู่ที่อื่นจะเชื่อไหม มั่นใจได้ไหมว่ามืออยู่บนเข่า
มั่นใจไหม มั่นใจนะ
ใครจะบอกว่ามือของฉันขัดอยู่ข้างหลัง เราจะเชื่อไหม...ไม่เชื่อ
เพราะอะไร เพราะเราเห็น ใช่ไหม
เราเห็นกายของเรา มือของเรา วางอยู่บนเข่า
ตะแคงมือข้างขวาตั้งไว้ดูซิ ตะแคงตั้งไว้ดูซิ ตะแคงหรือยัง
มั่นใจไหมว่ามือข้างขวาตะแคงอยู่
มีคำถามไหม ว่ามือข้างขวาของฉัน อยู่ตรงไหน อยู่อย่างไร มีคำถามไหม
…ไม่มีคำถาม ใครเป็นคนรู้ เรารู้เอง
นี่ ... สัจธรรมไม่มีคำถาม รู้เองใช่ไหม เรารู้ว่ามือของฉัน
ยกขึ้นดูซิ ยกขึ้นดูซิ ยกหรือยังมือข้างขวา ไม่ใช่วางอยู่บนเข่านะ
มีคำถามไหมว่ามือข้างขวาอยู่ตรงไหน ไม่มีคำถามใช่ไหม มีแต่คำตอบ
ใครตอบให้…ตอบเอาเอง
นี่คือสัจธรรม เอ้า…เอามือลง
การเห็นชีวิตทั้งหมดก็เห็นแบบนี้ เห็นมันคิด มั่นใจ ความคิดทำอะไรให้เราไม่ได้ เหมือนเราเห็นงู ถ้าเราเห็นงูเนี่ย…งูจะได้กัดเราไหม ไม่ได้กัดหรอก
เห็นตะขาบมันวิ่งมา ตะขาบจะได้กัดเราไหม ไม่ได้กัด
ที่…ตะขาบมันกัดเรา เพราะเราไม่เห็น
เห็นความโกรธเห็นความหลงเข้ามาแล้ว ถ้าเห็นแล้วก็พ้นทันทีเลย
เราจึงมาสร้างภาวะความเห็น ภาวะดูเนี่ย
พระพุทธเจ้าท่านว่า… จงมาดูกายเคลื่อนไหว เมื่อดูกายมันก็เห็นความคิด เห็นความหลง เห็นอะไรต่าง ๆ เห็น เห็น เห็น รู้-เห็น ทุกข์-เห็น
มันจะเกิดการเห็นไป เห็นไป เห็นไป เห็นไป ตัวเห็นก็นำแล้วตอนนี้
ตัวเห็นเนี่ยเป็นตัว…ไม่ใช่คำว่าเห็นเฉย ๆ นะ เป็นญานด้วย
เห็นเนี่ย…เป็นญาน เป็นฌาน เป็นมรรค เห็นน่ะ เลื่อนฐานะไปเรื่อย ๆ เป็นมรรค เป็นผล
เบื้องต้นคือความรู้สึกตัว ท่ามกลางคือความรู้สึกตัว ที่สุดก็คือความรู้สึกตัว
เรามาเริ่มต้นตรงนี้กัน มาพิสูจน์กันดู หลวงพ่อจะพาลุยโลก ถ้าเห็นแล้วนะ ไปกลัวอะไรโลกเนี่ย
เดี๋ยวนี้แม้แต่นินทาก็กลัวแล้ว สรรเสริญก็กลัวแล้ว สุขก็กลัวแล้ว ทุกข์ก็กลัวแล้ว
ความสุข ความทุกข์ นินทา สรรเสริญ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ คนก็ยังมีปัญหาอยู่ แค่นี้ก็ยังไปไม่รอด มันจะอยู่กับโลกได้ยังไง
ยิ่งทุกวันนี้นะ ถ้าไม่มีคุณธรรมแล้ว จะเป็นคนขี้แพ้ที่สุดแล้ว
รสชาติของโลกมันรุนแรง ทำให้เราเป็นทุกข์
อมทุกข์มันจะมีประโยชน์อะไร ชีวิตเรา
นี่…หลัก…หลักสูตรของชีวิตเรา เรียนให้มันจบ ถ้าจบตรงนี้แล้ว ลุยเลยโลกเนี่ย ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
เหมือนกับ…ว่าจากพระพุทธเจ้าก็…พระพุทธองค์ก็ว่า รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง โลกะวิทู รู้แล้ว...รู้แล้ว คำว่า รู้แล้วเนี่ย เห็นอะไร เห็นความไม่เที่ยงก็รู้แล้ว เห็นความเป็นทุกข์ก็รู้แล้ว เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็รู้แล้ว
ถ้าเราไม่รู้อะ ความไม่เที่ยง พาให้เราเป็นทุกข์มีไหม…มีไหม
สิ่งที่ไม่เที่ยงพาให้เราเป็นทุกข์มีไหม
สิ่งที่เป็นทุกข์พาให้เราเป็นทุกข์มีไหม
สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนพาให้เราเป็นทุกข์มีไหม
บัดนี้สิ่งที่มันไม่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ สิ่งไม่ใช่ตัวตนไม่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ไม่เป็นทุกข์ นี่เรียกว่าปฏิบัติ เปลี่ยนเลย เปลี่ยนเลย
ตรงนี้นะ…มาพิสูจน์กัน ลองดู
ยิ่งพวกเราเนี่ย ยังจะต้องอยู่กับโลกอย่างมากมาย เป็นหมอ เป็นพยาบาล เพื่อนร่วมงาน มีงานมีการทำ ถ้าไม่เข้มแข็งจะหวั่นไหว จะหวั่นไหว…ง่ายที่สุด
เพราะเกี่ยวกับสิ่งอื่นวัตถุอื่นมากมาย เราจึงฝึกหัด มีศิลปะในการใช้ชีวิตของเรา มาสร้างสตินี่แหละ
วิธีที่สร้าง เราก็บอกกันแล้ว ให้รู้สึกตัว ให้รู้สึกตัว
เวลาใดมันหลง…รู้สึกตัว กลับมาหาความรู้สึกตัว มันหลงทีไรกลับมารู้สึกตัว
เมื่อมันเห็นอยู่บ่อย ๆ ผ่านตาอยู่บ่อย ๆ สิ่งไหนที่มันผ่านตาอยู่บ่อย ๆ มันก็รู้แจ้ง เห็นแจ้ง เช่นหลวงพ่อเห็นโยมเนี่ย สามคนที่นั่งอยู่ข้างหน้านี้ เห็นกันหลายวัน วันนี้ก็เห็นกันหลายครั้ง ก็จำได้ เห็นตั้งแต่วันมาทำสังฆทาน ตั้งแต่วันที่ไปปฏิบัติธรรม…พุทธมณฑลใช่มั้ย เห็นมาบวชลูกบวชหลาน เห็นมาอีกก็จำกันได้ทันทีเพราะผ่านสายตา ตาเนื้อ…เห็นหน้ากัน เห็นแล้วไม่ใช่เห็นเฉย ๆ มัน…เห็น เอ้อ…เป็นคนมีศีลมีธรรมน้อ(ลากเสียง) เป็นคนมีคุณธรรม มีความรู้ พึ่งพาอาศัยเป็นมิตรเป็นญาติ
การเห็นไม่ใช่เห็นแค่เห็นเฉย ๆ การมาเห็นกายของเรา การมาเห็นใจของเราเนี่ย เห็นบ่อย ๆ มันก็จำได้ มันชี้หน้ามันได้ อันนี้คือกายคือรูป
เห็นอะไรที่มันเกิดความร้อนความหนาว นี่มันคืออาการ ความสุขความทุกข์มันเป็นอาการของรูปของนาม ไม่ใช่ตัวใช่ตน
แต่ก่อนเราไม่รู้ ไม่…เราไม่ได้เห็น ก็มีตัวมีตน เป็นตัวเป็นตนไปทั้งหมด
ความร้อนก็คือเป็นตัวเป็นตนอยู่ในความร้อน
ความหนาวก็เป็นตัวเป็นตนอยู่ในความหนาว
ความสุขก็เป็นตัวเป็นตนอยู่ในความสุข
ความทุกข์ก็เป็นตัวเป็นตนอยู่ในความทุกข์
หลวงพ่อก็เลยมีวิธีสอนว่า เช่น ความปวด เป็นผู้ปวด
ปวดไหม ปวดขาไหมตอนนี้ นั่งอยู่นี่ เกือบชั่วโมงกว่า ๆ แล้ว
ปวดขาไหม...ปวด
เป็นผู้ปวดหรือว่าเห็นมันปวด เออ…ถ้าเป็นผู้ปวด...ยัง...(หัวเราะ)
เป็นผู้ปวดหรือเห็นมันปวด โอ้ย ๆ ตาย ๆ น่ะ บางคนเขาปวด โอ้ย...ตาย ๆ
ถ้าหลวงพ่อบอกว่า แต่ก่อนเคยพูดว่าตาย ๆๆ พอมาปฏิบัติแล้วมันก็พูดว่าไม่ตาย ๆ
แต่ก่อนบอกว่า…พูดว่า ไม่ไหว ๆ พอมาปฏิบัติมันก็บอกว่าไหว ๆๆ
แต่ก่อนมันบอกว่าแย่ ๆๆ พอเดี๋ยวนี้มันก็ว่า ไม่เป็นไร ๆ มันเปลี่ยนนะ มันเปลี่ยนแล้ว
แต่ก่อนมันบอกว่าไม่ไหว ๆ ตาย ๆๆ แย่ ๆ มันหมดตัวไป มันเป็น…ใช่ไหม
บัดนี้ก็เลยบอกว่า เป็นผู้ปวดหรือเห็นมันปวด ถ้าเป็นผู้ปวด แสดงว่ามีตัวมีตนอยู่ในการปวด
แต่นี่…ถ้านักกรรมฐานว่า เห็นมันปวด ทำได้มั้ย เห็นมันปวดกับเป็นผู้ปวด ต่างกันไหม ต่างกันไหม เออ...นักกรรมฐานก็จะเป็นอย่างนั้นนะ เห็นมันปวดกับเป็นผู้ปวด เห็นมันปวด…ไม่ใช่เป็นผู้ปวด
คำว่าเห็นเนี่ย มันออกมาดูแล้ว ไม่ได้อยู่กับความปวด
วิธีที่จะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยกออกมาแล้ว นี่แหละเป็นวิธีฝึกนะ
เห็นมันปวด ไม่ได้เป็นผู้ปวด เกี่ยวข้องกับความปวดยังไง เกี่ยวข้องกับความหนาวยังไง เกี่ยวข้องกับความทุกข์ยังไง ดูเอา ถ้าเห็นแล้ว…หลุดพ้นแล้วได้ ถ้าเป็นแล้ว หลุดพ้นได้ยาก
มันหิว…หิวไหม ไม่ได้กินข้าวเย็นวันนี้ ฮะ…หมอทั้งหลายหิวไหม เป็นผู้หิวหรือเห็นมันหิว(หัวเราะ) ถ้าเป็นผู้หิวเนี่ย โอ๊ย...ทุกข์มากนะ ถ้าเห็นมันหิวเนี่ย โอย...ดีใจนะ ขอบคุณมัน
โอ้โห...ร่างกายเราเนี่ย มันปกติมากนะเนี่ย มันหิวเนี่ย โอ้ย…แสดงว่า…มันปกติที่สุด อายุ 70 ปี ยังหิวอยู่ โอ๊ย...ขอบคุณมัน ขอบคุณ
เห็นมันหิว ไม่ใช่เป็นผู้หิว มันต่างกันนะ มันเบากว่ากัน ถ้าเป็นผู้หิวจะหนัก ถ้าเห็นมันหิวจะเบาขึ้นมาสักหน่อย…จะเบาซักหน่อย
เป็นผู้ทุกข์ หรือเห็นมันทุกข์ ถ้าเป็นผู้ทุกข์ อยู่กับความทุกข์ ถ้าเห็นมันทุกข์ ออกมาดูได้ มันมีช่องทางแก้ได้
เหมือนกับหมอเห็นโรค ถ้าเห็นแล้วก็…รับรองว่าหาย
เราจึงมาดู
เห็นไหม เห็นกายไหม เห็นมันคิดไหม
เป็นผู้คิดหรือเห็นมันคิด
เป็นผู้โกรธหรือเห็นมันโกรธ
เป็นผู้เครียดหรือเห็นมันเครียด
เป็นผู้ง่วงหรือเห็นมันง่วง
ดูดี ๆ นะ มันจะออกมา ออกมาดู เบาหวิว ไปเอาไปเอามา โอ๊ย…ไม่มีอะไรเลยนะเนี่ย
เหมือนกับเราเนี่ย อินทรีย์ของเราใหญ่กว่า ถ้าเป็นแล้ว หมดเนื้อหมดตัว
นี่...นักกรรมฐานเค้าจะ…อารมณ์ของเขามันจะต่างกัน เดี๋ยวเวลานี้เรานั่ง เราจะ… ขอบคุณมัน ถ้านั่งอยู่มันปวด ถ้านั่งไม่ปวดมันก็ไม่ใช่รูป
รูปมันต้องมีเวทนา มันเป็นธรรมชาติของเขา เป็นอาการของเขา
ถ้ายุงกัดไม่เจ็บ มันก็ไม่ใช่รูป ความเจ็บเนี่ย…ขอบคุณเขานะ ให้รู้จักไล่ยุงออกไป
ความหิวก็ขอบคุณเขา เขาเป็นสัญญาณดับภัย ทำให้เราจะต้องกินข้าว
ความหนาวก็ขอบคุณเขา เราจะได้ห่มผ้า
ถ้าไม่รู้จักร้อนจักหนาวเนี่ย…ใช้ได้ไหม…ใช้ได้ไหม
ถ้าไม่รู้จักหิวเนี่ย ใช้ได้ไหม หิวข้าวนี่ ดีมั้ย…ฮะ
ทุกข์หรือสุขหิวข้าวเนี่ย….ทุกข์ไหม ทำไมทุกข์ หิวข้าวเป็นเรื่องดี
ไม่หิว…ดีไหม…ฮะ ไม่หิวดีมั้ย ไม่หิวตายลูกเดียว ตายลูกเดียว เอาข้าวมาให้กิน กูบ่หิว กูบ่กิน(ลากเสียง) กินบ่ได้ เนี่ย...ไม่เกิน 7 วัน(หัวเราะ) ไม่เกิน 7 วัน…ตายเลย
ถ้าหิวนี่ ไม่เกิน…อีก…สี่…ซักสิบชั่วโมง พรุ่งนี้ได้กินแน่นอน ไม่ตาย
ขนาด 5-6 ชั่วโมงนี่ ไม่ตาย ถ้าหิวนะ ชื่นใจเลย โอ…กินน้ำลงไปนะ ได้น้ำขวด ดื่มลงไป อย่าให้ท้องมันว่าง ถ้าไม่หิวเนี่ยตายแน่ ๆ
แล้วทำไมเราจึงทุกข์ เวลามันหิวข้าว เราลืมไป ลืมไปว่า โอ...ความหิวมันเป็นธรรมชาติของโลกของเราหนอ(ลากเสียง) มันปกติที่สุด
ถ้าไม่หิวนะไม่ดีจริง ๆ แสดงว่ากระเพาะตีบแล้ว กระเพาะตีบแล้ว กระเพาะไม่ยืด เป็นโรคมะเร็งแล้ว ปวดท้องแล้ว
ถ้ามันหิว มันร้อน มันหนาว โอ๊ย…ปกติที่สุดเลย(ลากเสียง)
แล้วไปทุกข์ทำไม ไปทุกข์อะไร ไม่มีความทุกข์
ถ้าดูดี ๆ ไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เราเป็นทุกข์ มีแต่เป็นปัญญา
ความโกรธทำให้เรามีปัญญา
ความหลงทำให้เรามีปัญญา
ความทุกข์ทำให้เรามีปัญญา
เพราะทุกข์นี่แหละทำให้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ใช่ไหม พระพุทธเจ้าเห็นทุกข์เนี่ย…ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
แต่…เราเนี่ยเห็นทุกข์ เพื่อเอาเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าเห็นทุกข์เป็นปัญญา…เป็นปัญญา
โอ้โห...ตื่น(เน้นเสียง) โยม|
คันถ้าว่าเป็นภาษาบ้านเฮากะ ป้าดโธ่...น้อ เราเรียกว่า...พุทโธ…ล่ะ ว่าเป็นภาษาบ้านเรา โอ้…ป๊าดโธ่ มันกองทุกข์ตั๊ว เนี่ยน้อ ป๊าดโธ่...มันตื่นนี่ บ๊าดเนี่ย ตื่นขึ้นมาเลย บ๊าดเนี่ย มอง โอ้...ทุกข์ พอเห็นแล้วก็หลุดได้ทันทีเลย
เราจึงปฏิบัติ ลองดูเนาะ เจ็ดวัน พวกเราจะเป็นมิตรเป็นเพื่อน คิดว่าจะไม่พาหลงทิศหลงทาง
วันนี้หลวงพ่อก็ดีใจ…ที่เห็นพวกเรา เห็นหมอหนุ่ม ๆ น้อย ๆ มี…ครู อาจารย์มาด้วย เป็นเรื่องดี
ความตั้งใจของสุคะโต ก็มีความประสงค์อยากจะสอนเรื่องนี้กันจริง ๆ จึงชื่อป้ายวัดว่าสถาบันสติปัฏฐาน
บางคนก็ถามว่า สถาบันสติปัฏฐานควบคุมแค่ไหนเพียงไร
สถาบันก็คือ ชีวิตเรานี่แหละ ชีวิตที่ไม่ทุกข์ มาศึกษาชีวิตที่ไม่ทุกข์ พ้นทุกข์ พ้นปัญหา ไม่มีปัญหา เรียกว่าสถาบัน
เราก็สอนอยู่สองลักษณะ แต่ว่าเน้นทางภาควิปัสสนาธุระ ธุระใหญ่ ๆ สอนเรื่องกรรมฐาน คันถธุระก็สอนกันบ้าง ก็มีสอบนักธรรมชั้นโท ชั้นตรี ชั้นเอกได้อยู่ อาจารย์ทรงศิลป์ก็มาอยู่สองปีสามปีก็สอบนักธรรมชั้นโทได้ชั้นเอกได้ นี่เรียนอยู่ แล้ววิปัสสนาธุระเป็นหลัก สอนเรื่องกรรมฐาน เป็นสถาบันคือชีวิตของเรา
ถ้าใครเรียนไม่จบก็เป็นการบ้าน เป็นโจทย์ ทำให้เราเป็นจำเลยตลอดเวลา
ความโกรธเป็นจำเลยที่ทำให้เราโกรธอยู่บ่อย ๆ เราเป็นจำเลยของความทุกข์
พอเราจบแล้วจะไม่มีเรื่องพวกนี้ ในโลกนี้
หลวงพ่อจึงบอกพวกเราว่า จะพาลุยโลก มันไม่มีอะไรหรอก ไม่น่ากลัวอะไร ลุยมันเลยพวกเรา รู้สึกตัว รู้สึกตัวไปเลย เราก็…ตั้งใจ สร้างสิ่งแวดล้อมให้ดี ๆ เจริญสติ
สำหรับวันนี้ก็…สมควรแก่เวลา