แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เจริญในธรรม แก่ท่านสาธุชน แหม…วันนี้อุ่นใจ ชื่นใจเนาะ ได้มาพบกับปัญญาชนทั้งหลายที่มีความสนใจในเรื่องธรรมะธรรมโม คำสอนของพระพุทธเจ้า ดังได้ทราบประวัติของพุทธธรรมนำทองในสโมสรที่นี่ จะตกลงปฏิบัติธรรม ฟังธรรมกันเป็นประจำเพื่อนำเอาธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้าไปใช้กับการทำงาน เพื่อดำเนินชีวิตของตนและสังคม เพื่อนร่วมงานด้วย เป็นเรื่องดียิ่ง ให้หลวงตาขอเป็นเพื่อนด้วยสักชีวิตหนึ่ง ว่า…ถูกต้องที่สุด วันนี้ทางสมาคมได้กำหนดหัวข้อให้พูดเรื่องทางเอกของชีวิต มันก็ถูกต้องทีเดียว ทางเอกอยู่ที่ใด ไม่ใช่อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายที่ใจเรา บัดนี้ไม่ใช่หลวงตาเป็นผู้พูด พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ก่อนตรัสรู้หนึ่งคืน พระพุทธเจ้าเจริญทางสายนี้ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ทางเอกหมายเลขหนึ่งคือ สติปัฏฐาน 4 อาจจะไม่ต้องพูดเรื่องอื่นที่นี่ เรื่องอื่นท่านรู้มามากแล้ว ไม่ใช่สอนให้ท่านรู้ ที่มาพูดวันนี้ มาพูดให้ท่านได้เอาไปทำ พูดนี่เป็นการเห็น ไม่ใช่พูดให้ฟัง เหมือนเราพากย์หนัง บรรยายภาพต่าง ๆ ให้ดู แต่ว่าดูนี้ ไม่ใช่เอาตาดู ตาในคือความรู้สึกตัว ดู มันจะได้เห็นทาง ดูตรงไหน ดูตรงกายของเรา เป็นภาพที่ใช้ในการปฏิบัติ พูดให้เห็น ไม่ใช่พูดให้จำ การจำ การไม่เห็นเนี่ย ไม่ใช่สัจธรรม ใครก็รู้ มีความรู้กันทุกคน รู้ว่าโกรธมันไม่ดี แต่เรายังโกรธอยู่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ดี ความทุกข์ก็ไม่ดี เรายังพากันทุกข์อยู่ ความรู้มันใช้ไม่ได้ ถ้าถามทุกท่านอยู่ที่นี่ โกรธดีไหม ทุกคนก็ตอบว่าไม่ดี ทำไมจึงยังโกรธอยู่ น่าจะหายโกรธไปแล้ว ถ้ารู้ว่าไม่ดี เพราะฉะนั้นความรู้เนี้ย ไม่ใช่สัจธรรมจริง ๆ ธรรมะต้องพบเห็นเข้า พบเห็นเข้า ถ้าเห็นละก็ไม่เข้าไปเป็นดังที่พิธีกรท่านกล่าว หลวงตาก็มักจะพูดตรง ๆ
ตรงกันข้าม ถ้ามันหลงก็รู้ อย่าเข้าไปในความหลง ให้มีความรู้เหยียบอยู่บนความหลงนั้น ความหลงเป็นทาง เหมือนป่า ถ้าป่าไม่มีใครเหยียบเป็นทาง มันก็ไม่มีทาง ที่เหยียบเป็นทางได้ก็คือตอนที่มันหลง พอมันรู้ตรงที่มันหลง เหยียบไป 1 ก้าว เหยียบไป 1 ครั้ง พอเหยียบบนหลงหลายครั้งหลายหนก็เป็นรอยแห่งความรู้ เรียกว่าเป็นทางได้ มันหลงตรงไหนรู้ตรงนั้น อย่าให้ความหลงเป็นความหลง มันจึงจะเป็นทาง ความรู้สึกตัวเนี่ย เหมือนใบมีดรถแทรคเตอร์ ผ่านไปที่ใดอะ มักจะเป็นทางไป เดี๋ยวนี้สภาพที่รู้กับสภาพที่หลง เราเดินอยู่ตรงไหน ชีวิตเราผ่านมาถึงวันนี้ ระหว่างความรู้ ความหลง อันไหนมันมากกว่ากันในชีวิตของเรา ถ้าเราตอบได้ ก็คงจะตอบอาจจะครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่น เราเดินอยู่วันหนึ่งไม่น้อย อาจจะไม่รู้อะไรเลย ก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงฝึกหัดให้มีความรู้ อยู่บนกาย เหยียบไปบนกาย ตามภาษาพระพุทธองค์สอน ใครก็รู้ว่า กายานุปัสสนา มีสติเห็นกาย เห็น ไม่ใช่เอาตาดู เป็นตาภายใน มันเห็น ไม่มีคำถามหรอก ถ้าเห็นกาย กายอยู่ตรงไหน ตามรูปแบบของสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าก็เพียงแต่บอกว่า การคู้แขนเข้า การเหยียดแขนออก การคู้แขนเข้า…รู้…เห็น การเหยียดแขนออก…เห็น…รู้ ให้สาธิตดูสักหน่อย ถ้าจะให้ดี เพราะจะได้สัมผัสดู
ให้ทุกท่านเอามือวางไว้บนเข่าดู มือข้างขวาก็วางเข่าข้างขวา มือข้างซ้ายก็วางเข่าข้างซ้าย เดี๋ยวนี้มือของท่านอยู่ที่ไหน ตอบเอาเอง ตอบได้ไหม…มืออยู่ที่ไหน ถามใครไหมว่ามือของฉันอยู่ที่ไหน มีคำถามไหม ใครเป็นคนรู้ ใครเป็นคนเห็น ตัวเราเห็น ถ้าหลวงตาจะ…ขอบอกว่ามือของท่านอยู่ข้างหลัง เชื่อไหม ทำไมไม่เชื่อ เราเป็นอาจารย์น่ะ มาสอนน่ะ ไม่เชื่อกันยังไง ฮะ?(หัวเราะ) ทำไมไม่เชื่อ ของเท็จกับของจริงเนี่ย เชื่อใคร เชื่อใคร…เชื่อหลวงตาหรือเชื่อตัวเรา หลวงตาบอกว่ามือของท่านอยู่ข้างหลัง ไม่เชื่อใช่ไหม ถูกไหมล่ะ ตัดสินใจได้ไหม แน่นอนนะ ถามหลวงตาไหม…หลวงตามือของฉันอยู่ที่ใด…ถามไหม ไม่มีคำถาม ของจริงไม่มีคำถาม เอ้า…พลิกมือข้างขวาตั้งไว้ รู้ไหม พลิกมือตะแคงไว้ รู้ไหม ว่ามือข้างขวาของท่านอยู่ในท่าใด เห็นไหม อะไรเห็น อะไรเห็นมือตะแคงอยู่น่ะ ตาหรือว่าอะไร หลับตาดูเห็นไหม อ้าว…ไม่ใช้ตาเสียแล้ว เป็นความรู้สึกใช่ไหม นี่…ดวงตาภายใน ยกขึ้น กายานุปัสสนา มีสติเห็นกาย ยกขึ้น…รู้ มานี้…รู้ เลื่อนมานี่…รู้ ยกออกไป…รู้ รู้ รู้ เอ้อ…อย่ากดอย่าเกร็งหายใจโล่ง ๆ ยิ้ม ๆ ไว้ วางนะ อยู่ไหนเมื่อกี้นี้ อยู่บ้านหรืออยู่กับลูกกับหลาน อยู่ไหน อยู่ที่มือใช่ไหม อือ…อยู่ที่มือ เคยอยู่อย่างนี้สัก 1 ชั่วโมงไหม เคยไหม ทำไมไม่เคย ไปรู้อะไรล่ะ เคยไปสอนฝรั่ง เขามาขยี้เรา มาอยู่ห้องโถงอย่างนี้ล่ะ เขามายืนอยู่หน้าประตูนี่ ขอสัมภาษณ์ได้ไหม เราก็บอกว่าได้…เข้ามา เขาก็มายืน…คุณรู้อะไรมา คุณมาสอนนี่เรื่องอะไร เขามาขู่ใช่มั้ย คำพูดอย่างนี้…ขู่ไหม (หัวเราะ) เขายืนอยู่ เรานั่งอยู่ ก็บอกให้เขานั่งลง ถ้าคนยืนอยู่ คนแสดงธรรมต่อคน เรานั่งอยู่แสดงธรรมต่อคนยืนอยู่ ต้องอาบัติ แสดงไม่ได้ อันนี้เรานั่งเหมือนกัน เขาก็นั่งลง ฝรั่งนั่งไม่เป็นนะ หัวเข่า ขัดสมาธิเหมือนเราไม่เป็น เราก็ว่าให้มายก เรารู้ตัวเอง เรารู้ตัวเองนะ คนรู้ตัวเองเขารู้ยังไง เขาถามนะ บอกให้ฝรั่งทำมือ วางไว้นะ รู้ ภาษาฝรั่งว่าอะไร…ฮะ 14 จังหวะ 1…รู้ 2…รู้ 3…รู้ 4…รู้ 5…รู้ 6…รู้ 7…รู้ 8…รู้ 9…รู้ 10…รู้ 11…รู้ 12…รู้ 13…รู้ 14…รู้ 14 รู้ 14 วินาที ดูเข็มวินาที แต๊ก แต๊ก 14 วินาที ได้ 14 รู้ จะไม่เป็นมหารู้ได้หรือ พระพุทธเจ้าว่า…มหาสติปัฏฐาน จาก 1 รู้ 1 รู้ 1 รู้ มันมีทางอยู่ตรงนี้ ทางเอก มันอยู่ตรงนี้ กายานุปัสสนา มีสติเห็นกาย รู้ รู้ มหารู้ ชั่วโมงหนึ่งถ้ารู้ทุกวินาทีจะได้กี่รู้ อาจารย์…ชั่วโมงหนึ่งมีกี่วินาที 3,600 วินาที 3,600 รู้ มันจะไม่มากได้ยังไง เป็นของที่ทำได้ ปฏิบัติได้ สภาพรู้นี่…ไม่มีกาลไม่มีเวลา ถ้าเราฝึกหัดตนถ้าเริ่มต้นสักหน่อย อ่านหนังสือก็รู้ ไม่ใช่อยู่ที่อื่น เคยมีบ้างไหม อ่านหนังสือไป 2 บรรทัด 3 บรรทัด ไม่รู้เรื่องอะไร มีบ้างไหม ต้องกลับมาอ่านใหม่อีก ทำไมไม่รู้ ไม่เคยฝึก ไม่แม่นยำ ไม่ชัดเจน ถ้าเราฝึก มันจะแม่นยำ ชัดเจน เหมาะแก่การงาน ใครทำงานทำการ เป็นพ่อคนแม่คน เป็นสามีภรรยา จะเหมาะที่สุด ธรรมะเนี่ยไม่ใช่หนีไปบวช ให้หลวงตาบวชก็พอแล้ว จะเอาไปใช้กับครอบครัวของเรา จึงเป็นทางอยู่ตรงนี้ เรียกว่าทางเอก เอกคือหมายเลขหนึ่ง ด่วนด้วย ประเทศสหรัฐมีทางฟรีเวย์ ประเทศเรามีทางไฮเวย์ ฟรีเวย์นี่ ทั่วประเทศวิ่งฟรีเวย์ ไม่มี..ไม่…รถไม่ติดเลย ฟรีเวย์ของเขาคืออะไร เฉพาะรถนั่งอย่างเดียว รถบรรทุก รถโดยสารไม่ให้ไป มีแต่รถทำงาน 1 นาที 2 นาที 10 นาที กำหนดได้ ไม่เหมือนบ้านเรา บ้านเราต้องรถติด ขนาดไฮเวย์ก็ยังติด…ใช่ไหม ฟรีเวย์เนี่ยไม่ติด ด่วนไหมตรงเนี้ย มีอะไรขวางกั้นไหม…รู้ ถ้ามันหลงเราก็รู้ได้ไหม เวลามันหลงรู้ได้ไหม ดีเสียด้วย ความหลงนั่นแหละจะเป็นเหตุให้เกิดความรู้ อย่าไปคิดว่ามันผิด คำว่าภาวะที่รู้นี่ ไม่มีคำว่าผิด ไม่มีคำว่าถูก มันผิดก็รู้เนี่ย มันถูกก็รู้ มันทุกข์ก็รู้ มันสุขก็รู้ มันหลงก็รู้ มันรู้ก็รู้ ไม่เสียหาย จึงเหนือเลย เป็นทางจริง ๆ ตรงนี้ เป็นทางอยู่ในหัวใจเรา ไม่ลืมตรงนี้ ถ้าเรามีทางตรงนี้แล้ว มันไป…เอียงไปไหลไป ถ้าไม่มีความหลงอะไรจะเกิดขึ้น ระหว่างความหลงกับความรู้เนี่ย มันไม่เป็นธรรม แล้วเมื่อมาเห็นความรู้สึกตัวเนี่ย เมื่อมาเห็นความรู้สึกตัว สัมผัสกับความรู้สึกตัว ไปสัมผัสกับความหลง มันจะต่างกัน ไม่มีใครบอก เราเลือกเป็นด้วย ไม่มีใครเอาความหลง ความหลงกับความรู้ อะไรเป็นธรรมต่อตัวเรา ความหลงเป็นธรรมไหม ความรู้เป็นธรรมไหม สัมผัสดู เลือกได้ ไม่มีใครเอาความหลงหรอก เพราะมันไม่เป็นธรรมต่อชีวิตเรา ความรู้สึกตัวเป็นธรรมที่สุดเลย เป็นธรรมที่สุดเลย ความหลงไม่เป็นธรรม ไม่น่ะ เราจะไปหาความเป็นธรรมจากสิ่งอื่นวัตถุอื่นคนอื่นไม่ได้ ต้องมีความเป็นธรรมในตัวเราเป็นที่ตั้งก่อน คนอื่นเขาจะนินทาเรา เขาอาจจะสรรเสริญเรา หรืออะไรต่าง ๆ เกิดขึ้น ถ้าเรามีความเป็นธรรมแล้ว มันจะมั่นคง ชีวิตจะมั่นคง เรื่องนี้…ไม่มีใครแบ่งปันกันได้ ต้องฝึกเอาเอง เรียกว่าวิชากรรมฐาน
วิชากรรมฐานเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นวิชาที่ลิขิตชีวิตของเราไปถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าเรามีสติ มันก็ละความชั่ว ถ้ามีสติมันก็ทำความดี ถ้ามีสติ จิตก็บริสุทธิ์ แม้มันคิด…มันก็ไม่หลงไปกับความคิด รู้สึกตัว ยังไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เดี๋ยวนี้เรารักษาศีลเนี่ย ไม่ห้ามคิด ไม่มีใครเห็นคิด แม้แต่คิดก็ผิดศีล ในธรรมวินัย…ภิกษุคิดถึงกาลเก่าที่เคยซิกซี้เล่นหัวเราะหยอกล้อกับเพื่อนกับมาตุคาม ถือว่าศีลของเธอทะลุแล้ว ด่างแล้ว พร้อยแล้ว แม้แต่คิดก็ผิดศีล เพราะฉะนั้นสติมันจะเห็นแม้กระทั่งความคิด พอมันคิดไป ก็มารู้ มันจะมีตัวคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ มีไหม…ความคิดไม่ได้ตั้งใจ เวลานอนหาเรื่องมาคิด มีไหม ไม่อยากคิดก็มาคิด มีไหม เพราะไม่เคยฝึก ถ้าเราฝึกดี ๆ เนี่ย โอ้ย…หลับสบายเลย ฝึกเวลานอนทำยังไง นอนตะแคงข้างไหนก็ได้ พลิกมือ…หรือไม่พลิกก็รู้สึกตัว จะปิดประตูหน้าต่าง เก็บข้าวเก็บของ นั่งพลิกมือนอนหลับตา กล่อม รู้ หลับสบาย ไม่ฝัน ถ้าบางคนหาเรื่องมาคิดในเวลานอน นอนก็ฝัน กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด 8 ชั่วโมงก็ไม่อิ่ม เหน็ดเหนื่อย สิ้นพลังงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราการฝึกกรรมฐานนี่ดี๊ดีนะ พวกเราทั้งหลาย เป็นคุณธรรม เป็นคุณสมบัติ เป็นคุณค่าของชีวิตเรา ไม่สิ้นเปลือง นะ…มันก็ตรงกันข้ามพอดีไป สัมผัสความหลง สัมผัสความรู้ มันก็…รู้ไป รู้ไป ระหว่างความรู้ ไม่ใช่ความรู้เฉย ๆ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ มีแต่ความรู้เป็นตัวเฉลย…เป็นตัวเฉลย ไม่ใช้เหตุผล เหตุผลไม่ใช่สัจธรรม เหตุผลฆ่ากันได้ ทะเลาะกันได้ แต่สัจธรรมนี้มันเป็นไปไม่ได้ เช่น เราโกรธ ความโกรธกับความรู้สึกตัวมันต่างกัน ความโกรธเหมือนหน้ามือ ความไม่โกรธเหมือนหลังมือ เคยเปลี่ยนตรงนี้ไหม ปฏิบัติคือเปลี่ยนร้ายเป็นดี มันโกรธ…รู้ เปลี่ยนไม่โกรธได้ เวลามันโกรธ มีสิทธิไม่โกรธไหม มีไหม เคยใช้สิทธิไหม หรือเวลามันโกรธ เราทำตามความโกรธ ถ้ากูได้โกรธ ตายกูไม่ลืม รีบ…ไม่ใช่ ลองเปลี่ยนดูซิ เวลามันโกรธแล้ว เปลี่ยน…ลองดู ถ้าเราฝึกหัด จะง่าย มันก็เปลี่ยน ทีแรกอาจจะยากสักหน่อย พอเปลี่ยนไป มันยังโกรธอยู่ แต่ไม่เป็นไร หัดไปก่อน เวลามันทุกข์ เปลี่ยนทุกข์เป็นตัวรู้ อะไรก็ตาม เปลี่ยนมาเป็นตัวรู้ไปก่อน อย่าหาเหตุผล เปลี่ยนไปก่อน
พระพุทธเจ้ามองอย่างไร สอนยังไง เราสบายแล้ว กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เห็นกาย ไม่ใช่…กายมันไม่ฟังเสียงใคร เห็นกายในกาย มันมีตนอยู่ในกาย กายนี้เป็นกายมหาภูตรูป มหาภูตรูป…ที่เป็นรูปอาศัยให้ละความชั่วทำความดี ถ้าเรามีสติใช้กายทำความดีได้ ใช้กายละความชั่วได้ ถ้ามีสติ ใช้จิตทำความดี ใช้จิตละความชั่วได้ เดี๋ยวนี้เราไม่…ไม่สามารถที่จะครองตัวเราได้ คุ้มร้ายคุ้มดี ฟู ๆ แฟบ ๆ เพราะไม่เคยฝึกหัดตัวเอง ถ้าเราฝึกหัดตัวเองนี่ มันดี(ลากเสียง) มองตัวเอง ไม่เป็นอะไรกับอะไร เราก็เปลี่ยนได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ถ้าเราหลง เรามีสิทธิ์รู้ ถ้าเราทุกข์ เราก็มีสิทธิ์รู้ ให้ตัวรู้…นำไป เรียกว่า สโมสรนำทอง หมายถึงต้องนำไป นี่การฝึกหัดของ…หลักของการปฏิบัติทางเอก เป็นจริง ๆ เป็นทางจริง ๆ มันจะเป็นทางไป เหมือนที่ป่าหญ้ามันรก ถ้าเราเดินจงกรมกลับไปกลับมาสัก 4-5 รอบก็เป็นทางได้ ในกายของเราในใจของเราก็เหมือนกัน ให้เรารู้เอาไว้ อะไรก็รู้เอาไว้ รู้เอาไว้ รู้เอาไว้ ให้รู้เอาไว้ มันชิน…แล้วมันจะเป็น แต่เบื้องต้นต้องหัดเสียก่อน ต้องฝึกหัดเสียก่อน ถ้าไม่หัดมันไม่เป็น…ถ้าไม่หัดมันไม่เป็น ให้กายไปต่อเอาสติ ให้กายเอาไปต่อสติ…เอามันติดกัน ให้ใจไปต่อสติให้มันติดกัน แต่นี่กายไปต่อเอาความหลง ใจไปต่อเอาความหลง มันเลยติดความหลงไป ความหลงไม่เป็นธรรมนะ เพราะฉะนั้นเนี่ย…เราจึงต้องฝึกฝนตนเองอย่างนี้ว่า…ให้เป็นเห็น ให้มันเห็น…ไม่ใช่รู้ พบเห็น คิดเห็นกับพบเห็นมันต่างกัน การคิดเห็นนี่…มันไกล การพบเห็นมันเดี๋ยวนี้ มันทุกข์ มันหลง เห็นมันหลง ทำได้ทันที ทำไมจึงต้องมาสร้างเป็นรูปแบบอย่างนี้ เพื่อให้มีปัจจุบัน ถ้าไม่มีปัจจุบันชีวิตของเราจะวิ่งไปข้างหน้า วิ่งคืนข้างหลัง ปัจจุบันนี่ทิ้งเลย อย่างพรุ่งนี้มีไหม…พรุ่งนี้มีไหม มีใครเห็นพรุ่งนี้บ้าง เห็นเมื่อไหร่…เห็นเมื่อไหร่ เห็นเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เมื่อวานมีไหม มี เมื่อวานหลวงตาก็ไปเทศน์ มูลนิธิดวงแก้ว แต่มันก็ผ่านมาแล้ว ไปแก้ไม่ได้อีกแล้ว มันผ่านไปแล้ว มันทำได้เวลาใด…ปัจจุบันนี้ เราจึงต้องมีปัจจุบัน ให้รู้สึกตัว รู้สึกตัวดู ให้มันติดตรงนี้ เหมือนต้นกล้าต้นข้าว เราปักลงไปในดินนี่ ธรรมชาติของต้นกล้าคือปักไปในดิน มันจะงอกงามขึ้นมา เมื่อสติอยู่ในกายแล้ว จะเป็นยังไง อันนี้…พิสูจน์ลองดู พระพุทธเจ้าเคยท้าทาย ผู้ใดมีสติไปในกาย 1 วันถึง 7 วัน อย่างกลาง…1 เดือนถึง 7 เดือน 1 ปีถึง 7 ปี…อย่างช้า มีอานิสงส์ 2 ประการ 1. เป็นพระอนาคามีบุคคล ผู้มีภพเดียว 2. เป็นอรหันต์ ไม่ใช่อะไร…หมายถึงผู้ไกลจากข้าศึก ไม่มีข้าศึกในชีวิต อันนี้…มีใครพิสูจน์เรื่องนี้บ้าง ในชีวิตในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท ถ้าไม่พิสูจน์เรื่องเนี้ย…อาจจะพิสูจน์เรื่องอื่นผิดพลาด เพราะหลักมันอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นสติเนี่ย จึงเป็นสติปัฏฐาน เป็นเจ้าของกายเป็นเจ้าของใจ อย่าให้ความหลงเป็นเจ้าของกาย อย่าให้ความหลงเป็นเจ้าของจิตใจ ให้สติให้ความรู้สึกเป็นเจ้าของ ถ้าความหลงเป็นเจ้าของมันก็เถื่อน แม้แต่กายกับใจก็เบียดเบียนกัน บางทีกายเบียดเบียนใจ บางทีใจเบียดเบียนกาย ไม่เป็นธรรมต่อกัน บางทีกายหิวข้าว ใจเป็นทุกข์ บางทีใจโกรธ ร่างกายกินข้าวไม่ลง มันก็เป็นอย่างนั้น แม้แต่มีใจก็พึ่งมันไม่ได้ มีใครพึ่งใจได้ไหม บางคนไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้จะเป็นยังไง คุ้มร้ายคุ้มดี อันตราย เราจึงต้องฝึกฝนเรา เราจะอยู่ตรงเนี้ย เราจะเห็นมันอยู่นี่ มันจะเกิดอะไรขึ้นมา สามารถที่จะเปลี่ยนได้
กรรมฐานหรือว่าภาวนา ภาวนาคือเปลี่ยนร้ายเป็นดี อะไรที่มันไม่ดี เปลี่ยนให้เป็นดีได้ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธอะไรต่าง ๆ เป็นภาวะที่รู้ได้ เปลี่ยนร้ายเป็นดีเรียกว่า…ภาวนา ไม่ใช่บริกรรม มันหลงที่ไหนเปลี่ยนตรงนั้น ไม่ใช่หลงที่บ้านไปอยู่วัด ไม่ใช่ หลงตรงไหนเปลี่ยนตรงนั้น ให้มันเป็นธรรมเกิดขึ้นต่อชีวิตของเรา นี่คือการฝึกฝนตนเอง ในเรื่องของหลักสูตรก็มีอยู่แล้ว กายานุปัสสนา มีสติเห็นกาย กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล มีสติไปในกาย กายในกาย มีตนอยู่ในกาย เช่น เอากายเป็นตนเข้าไปอีกหลายภพหลายชาติ ความร้อนก็เป็นกู กูร้อน กูหนาว กูหิว เช่นความหิวนี่ เป็นกูหรือว่าเป็นกาย ถ้าหิวข้าวเนี่ย…ดีไหม เวลาหิวข้าว…ดีมั้ย มีใครเป็นทุกข์ใจเวลาหิวข้าว ทุกข์ไหม ทำไมทุกข์ล่ะ มันเป็นเรื่องดี อายุ 70 กว่าปีหิวข้าว โอ้ย…ชื่นใจ แสดงว่าร่างกายนี่ปกติที่สุดแล้ว แต่บางคนไม่รู้ เวลาหิวข้าวแล้วโกรธ มีบ้างไหม หิวข้าวแล้วโกรธ ไม่ถูกต้องเลย เวลาหิวนี่ชื่นใจ แสดงว่ารูป…ธาตุของเราปกติที่สุด ถ้าไม่หิวอันตราย หลวงตาป่วยอยู่ 2 ปี ไม่หิวข้าวเลย น้ำหนัก 75 กิโล เหลืออยู่ 53 กิโล ตายไป มันคืนมาใหม่ไหม เพิ่งขึ้นมาปีนี้ ไม่หิวอะ...ไม่ใช่ดีนะ หิวข้าวนี่มันเรื่องดี ทำไมมาทุกข์ใจ เพราะไม่รู้ ร้อนดีไหม หนาวดีไหม ยุงกัดเจ็บดีไหม เหยียบหนามดีไหม เจ็บไหม มันดี มันเจ็บเป็นสัญญาณภัยของเขา มันจะรู้จักแก้ ถ้าเหยียบไปไม่เจ็บ อันตราย เดี๋ยวก็กลายเป็นโรคมะเร็งได้ ใช่ไหม เลือดไม่มี ไม่มี…อ่า…ประสาทวิญญาณตรงนั้น เพราะฉะนั้นเนี่ย…ดี(เน้นเสียง) ถ้าหนาวมันก็ดี จะได้ช่วย…เพราะร่างกาย…รูป มันไม่ฟังเสียงใคร มันมีธรรมชาติมีอาการของเขา เป็นกูหรือ ไม่ใช่ ความหิวไม่ใช่กู เป็นธรรมชาติของรูป ความร้อนไม่ใช่กู เป็นธรรมชาติของรูป ขอบคุณเขา ไม่ใช่เป็นเรื่องทุกข์ แต่คนไม่รู้…มาปนกันไปหมดเลย เอามาเป็นเรื่องทุกข์ นี่จึงเป็น…ความฉลาดก็อยู่ตรงนี้ บางทีว่าเป็นเรื่องทุกข์ ไม่ใช่…ไม่ใช่เป็นเรื่องทุกข์ ในรูปเนี่ย…มันเป็นของธรรมชาติ เป็นอาการของเขา ไม่ใช่เรา อาการธรรมชาติไม่ใช่กาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูป…ธรรมชาติ ใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามาเห็น มีสติเห็น เช่นความโกรธไม่ใช่ใจ…ไม่ใช่ใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับใจ ใจเนี่ยไม่ได้โกรธ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตของเราเหมือนผ้าขาวสะอาด ประภัสสรผ่องใสอยู่เสมอ แต่อุปกิเลสมันจรมาทำให้เศร้าหมอง ความเศร้าหมองความสกปรกที่ผ้าขาวไม่ใช่ผ้า เป็นสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นเพราะไปเปรอะไปเปื้อนอะไรมา...ซัก ความโกรธเกิดขึ้นกับใจ เปลี่ยนได้ ไม่ซักยากเหมือนผ้า เพียงแต่เปลี่ยนความโกรธเป็นไม่โกรธ มันก็เปลี่ยนได้ ง่าย ไม่เหมือนเปลี่ยนอันอื่น ไม่ใช่ใจ ความโกรธ ความทุกข์ วิตก กังวล เศร้าหมอง ความเครียด ไม่ใช่ใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิต
เคยถามนักปฏิบัติธรรม นั่งปฏิบัติธรรมหน้าบู๊ดบูด เลยถามว่า ทำไมอะ…เป็นยังไงหนู “เฮ้อ…วันนี้หนูเครียดมาก ง่วงก็ง่วง คิดมาก” ไม่ใช่(ลากเสียง) นักกรรมฐานเขาไม่ให้ตอบอย่างนั้น ตอบใหม่ หลวงตาบอกให้ดู ให้เห็น อย่าเข้าไปเป็น ไม่เอา ตอบแบบนี้ไม่เอา “ มันก็เครียดจริงอะ มันคิดมาก ง่วงก็ง่วง ไม่เหมือนทุกวันนะ” ไม่เอา…ตอบอย่างนี้ไม่เอา จะตอบยังไงล่ะ หลวงตาบอกให้ดูมัน ดูให้เห็น อย่าเข้าไปเป็น เขาเลยคิดได้ หน้าตาก็ชื่นขึ้นหน่อย “วันนี้หนูเห็นมันเครียด” เออ…อย่างนี้ดี ใช่ไหม(หัวเราะ)ไม่ใช่เป็นผู้เครียด เห็นมันเครียด เห็นมันเครียด เป็นผู้เครียด ต่างกันไหม เห็นมันโกรธกับเป็นผู้โกรธต่างกันไหม เห็นมันทุกข์กับเป็นผู้ทุกข์ต่างกันไหม ให้เป็นผู้เห็น พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้ อะไรก็ตามพระพุทธเจ้าเป็นผู้เห็น เป็นผู้ดู ไม่เข้าไปอยู่กับเขา เห็นแล้วอย่าเข้าไปเป็น มันมีทางอยู่…มันมีทางอยู่ ในเรื่องของกายใจเรานี้ มีทางออก ความทุกข์ไม่ใช่จิตใจ ความหลงไม่ใช่จิตใจ ความกังวล ความเครียด ความง่วงเหงาหาวนอน ไม่ใช่จิตใจ มันเป็นอาการเกิดขึ้นกับใจ เราให้รู้จักไว้ เวลาเรามามีสติรู้สึกตัวเนี่ย มันจะค่อย ๆ…ค่อย ๆ ชำนิชำนาญขึ้น เบื้องแรกก็ฝึกหัด ทำไปทำมาไม่ต้องฝึกหัดแล้ว มันฝึกหัดให้เป็น ไม่ได้สอนให้รู้ สอนให้เป็น การสอนให้เป็นไม่มีใครสอนเราได้ มีแต่สอนให้รู้ พวกเราก็จบจากการเรียนรู้มาทั้งหมด รู้มากกว่าหลวงตาด้วย แต่การสอนให้เป็นเราต้องสอนตัวเอง เวลามันหลง…รู้ เป็นไหม เวลามันโกรธ…รู้ ทำเป็นไหม เวลามันทุกข์…รู้ ทำเป็นไหม ถ้ามันรู้ตรงนี้ รู้ตรงนี้ มันจะชำนาญไป ชำนาญไป ง่าย…ง่ายที่สุดเลย เป็นของที่ทำได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ เป็นอัศจรรย์ ชีวิตเราเนี้ย ประเสริฐตรงนี้ ถ้าไม่ได้หัดตรงนี้ ไม่ประเสริฐเลย เพราะมนุษย์เรามันมีสมอง สมองของมนุษย์เนี่ย มันสามารถทำชั่วได้มากที่สุด ไม่เหมือนสัตว์ จึงมีศาสนาควบคู่อย่างนี้ เวลามันคิด รู้สึกตัว ความคิดมี 2 อย่าง ไม่อยากคิดมันก็คิด อันหนึ่งตั้งใจคิด อีกอันหนึ่งไม่ได้ตั้งใจ มันคิดขึ้นมาเอง อันนี้ต้องรู้ทันที อันความตั้งใจคิดไม่เท่าไหร่หรอก ไม่อยากคิดด้วยซ้ำไป แต่ว่าการหลงคิดนี่…ขยัน เรียกว่าสังขาร มันมีอาชีพ ความหลงเนี่ย ถ้าเราไม่ฝึกตนเนี่ย มันจะไหลไปตามนั้น จึงเหยียบตรงนี้ให้มันเป็นทางเอาไว้ ทางคือความรู้สึกตัว เป็นรอยแห่งความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวไม่ใช่ความรู้เฉย ๆ มันงอกงามขึ้นเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาได้ เป็นการละความชั่ว เป็นการทำความดี เป็นการทำจิตให้บริสุทธิ์ได้ มันไปพร้อมกันเป็น…เป็นพวงไปเลย เหมือนกับตลาดนัดของคุณ…ของความดี ไปที่เดียวไปเป็นพวง ไม่ใช่ยากเลย เนี่ย…ถ้าเรามีสติเนี่ย ตั้งต้นจากตรงนี้ไป ให้มันเป็นทางเอาไว้ พระพุทธเจ้าเทศน์กัณฑ์แรกพูดเรื่องทาง พูดเรื่องทาง…เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เป็นทางหมายเลขหนึ่ง เป็นทางเอก ไม่ใช่แปดเส้น มันเกิดจากรุ่งอรุณของความรู้สึกตัว เมื่อมีความรู้สึกตัวแล้ว มันก็ค่อย ๆ เกิดอันอื่นเข้ามาเอง คิดถูก พูดถูก ทำถูก ตั้งใจถูก มีสติถูก พร้อมไปเลย ถ้ามีความคิดถูก มีสติสัมปชัญญะเป็นสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น เหมือนแสงเงินแสงทองของชีวิตของโลกสามารถมองเห็นได้ ไม่มีอะไรหลอกเราได้ เราหลอกคนอื่นหลอกได้ แต่เราหลอกตัวเองหลอกไม่ได้ นี่ชีวิตจึงเป็นของจริงทุกคน ไม่ใช่เป็นการโฆษณา ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็ไม่เชื่อตัวเอง ไม่ใช่หลวงตาพูดให้ท่านทั้งหลายมาเชื่อ ไม่มีสิทธิ์พูดให้ท่านเชื่อ ไม่ต้องมาศรัทธาเรา ให้เอาไปทำดู ให้เอาไปทำดู…ว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เชื่อตัวเอง ความหลง หรือชอบหรือ ไม่มีใครชอบ ถ้ามีความรู้แล้ว ความโกรธก็ไม่มีใครเอาถ้ามีความรู้แล้ว ความทุกข์ก็ไม่มีใครเอาถ้ามีความรู้แล้ว มันเป็นไปเอง มันละความชั่ว มันทำความดีไปเอง นี่เป็นหลักของการฝึกฝนตนเอง ไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ คนอื่นตอบให้ไม่ได้ เราต้องตอบเอาเอง สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ ถ้ามีคำถามเป็นสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่สัจจะ ความโกรธเป็นสมมุติบัญญัติ ความไม่โกรธเป็นปรมัตถสัจจะ ขี่คอได้ ความทุกข์เป็นสมมุติ ความไม่ทุกข์เป็นปรมัตถ์สัจจะ ขี่คอได้ ความหลงอะไรต่าง ๆ เป็นสมมุติบัญญัติ แล้วแต่ใครบัญญัติเอา ต่างกัน ตาเห็นรูป บัญญัติว่าชอบไม่ชอบ หูได้ยินเสียงบัญญัติว่าชอบไม่ชอบ เมื่อชอบไม่ชอบ ก็คืออุปาทานมันเข้าไปยึด สำคัญมั่นหมาย นี่เป็นสมมุติบัญญัติ ไปไม่รอด เป็นเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ถ้าปรมัตถสัจจะเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีคำว่าชอบไม่ชอบ แล้วแต่เราจะสมมุติเอา บางคนสมมุติเอาความสุขความทุกข์ต่างกัน
อย่างอาตมา…เอ๊ย..อย่างหลวงตาสมมุติให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยเป็นพระหนุ่ม สมัยปี 2511 น่ะ ไปเดินธุดงค์ ไปนอนอยู่แถวจังหวัดเชียงใหม่ ฝนตกทั้งคืน เราก็มีกลด กางนอน แต่ว่าข้างบนมันไม่เปียก แต่ข้างล่างน้ำมันหลากมา เรานอนอยู่ที่เอียง ๆ หน่อย น้ำมันไหลมา…มันก็เปียก เรานอนอยู่มันก็ไหล เวลานั้นทำยังไง ลำบากไหม นอนแช่น้ำลำบากไหม ก็เอา…เอาบาตรมาวาง เอาพับผ้าใส่ในบาตร บาตรอย่างนี้ (หัวเราะ) พับผ้าใส่ในบาตร เอาก้อนอิฐ ที่นั่นมีก้อนอิฐโบราณใหญ่ ๆ ขนาดนี้ เอามารองตะโพก…..ก็นอน เราสมมุติยังไง…หา? ถ้าเป็นพวกเราจะสมมุติยังไง ลำบากไหม ลำบาก โอ้ย….ฝนตก เปียก เราสมมุติยังไง หลวงตาเลยสมมุติว่า โอ…วันนี้เราเป็นกบไปซะ ก็กบเค้าอยู่ตั้ง 10 ปี 20 ปี เราเป็นกบสักคืนนึงไม่ได้หรือ(ลากเสียง) กบมันต้องนอนแช่น้ำอย่างนี้นะ นอนหลับ(หัวเราะ) นี่เป็นสมมุติบัญญัติ ความสุขความทุกข์บางคนน่ะ สมมุติขึ้นมาเป็นทุกข์ ไม่ใช่ ถ้าเราสมมุติบ้าง สมมุติง่าย ๆ ไม่เป็นไร ช่างหัวมัน เหมือนอาจารย์พุทธทาสว่า ยาวิเศษ ไม่เป็นไร สมัยก่อนก็อุปสมบทสามเณรน้อยภาคฤดูร้อน เล่นละครธรรมะกับอธรรม ต่างกันยังไง อยากจะดูละครไหม เอาเณร 2 รูป เวลาเณรน้อยนั่งอยู่ เราก็…เอามาสาธิตละคร เณรน้อย 2 รูปเดินมา…เดินมา มาชนกัน ล้มลง พอล้มลง…ลุกขึ้นมาต่อยกันเลย ได้ไปแยกออก อันนี้เป็นฉากหนึ่ง อันนี้เป็นอกุศล อีกฉากต่อไป เอาเณรน้อย 2 รูปเดินมา ชนกัน ล้มลงไป ขอโทษครับ ขอโทษครับ ผมผิด ผมผิด ผมผิด…ผมไม่ดู ขอโทษครับ ต่างคนต่างขอโทษกัน เจ็บบ้างไหม พอทนได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อันนี้เป็นธรรมะ อะไรที่เป็นธรรม เป็นอธรรม ต่างกันไหม ฉากของธรรมะ ต่างกับอธรรม มันอยู่ตรงไหน อยู่ในใจเรา ชนกันเหมือนกัน แต่สมมุติบัญญัติ เอ๊ย…ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…ใช่ไหม ไม่เป็นไรให้อภัยกันได้ แต่สองคนก่อนไม่ให้อภัยกันเลย ต่อยกันเลย อันนี้…แล้วแต่ใครจะสมมุติเอา ในหัวใจของเราเนี้ย มันมีอะไรเนี่ย มันทำได้ทุกอย่าง อย่างครั้นว่าทางอย่างเนี้ย ทางนี่สละอารมณ์เน่าที่เป็นข้าศึกของจิตใจ อารมณ์เน่ารู้จักไหม เน่าบูด ๆ รู้จักอารมณ์เน่าไหม ถ้าไม่รู้…ก็เวลามันเน่าในหัวใจไปส่องเงาในกระจกดู หน้าจะบูด ๆ สละออกไป สละอารมณ์เน่าที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจออกไป ไม่เป็นไร เอาให้ไม่เป็นไรก่อน ออกหน้าออกตา แม้จะทำไม่ได้ก็…ต้อง…คิดไปทางนี้ก่อน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เขานินทา ไม่เป็นไร เขาสรรเสิญ ไม่เป็นไร ได้ก็ไม่เป็นไร เสียก็ไม่เป็นไร เอาทางนี้ไว้ก่อน ไว้เป็นทางเหมือนกัน อย่ามาไม่ไหว ๆ แย่ ๆ
อีกเรื่องหนึ่ง หลวงตาเคยไปสอนธรรมที่เชียงใหม่ ในช่วงเดือนเมษา สมัยก่อนไม่มีรถทัวร์ รถปรับอากาศไม่มี ขึ้นรถที่ขอนแก่น รถสีส้ม เขาให้นั่งข้างหลัง แล้วก็รถเก่า ๆ มันมีติดเครื่องอยู่ข้างหลัง ละก็มีเบาะไม่ดี ก็ เครื่องมันก็ร้อนขึ้น เราขึ้นไปนั่งจอง คนมันแน่น มันไม่มีพัดลม ร้อน พระไปด้วยกัน 3 รูป เหงื่อไหล เพื่อนหลวงตาก็ เอาหนังสือมาวี(พัด) ไม่ไหว ๆ แย่ ๆ ตาย ๆๆ สมมุติบัญญัติใช่ไหม หลวงตาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ตาย ๆ ไหว ๆ (หัวเราะ) ไม่แย่ ๆ มันต่างกันไหม ความร้อนเหมือนกันนะ แต่สมมุติใจนี่มันไม่เหมือนกัน บัญญัติคนละอย่าง บัญญัติแบบลงโทษตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ทุกข์อยู่ ไม่ไหว ไม่ไหว ไปบ่นให้ใครล่ะ แทนที่จะมาทำใจซะ ไม่เป็นไร ๆ เพื่อนเราบอกว่าแย่ ๆ เราบอกว่าไม่แย่ ๆ แต่ไม่พูดไม่ออกเสียงนะ คิดในใจ ทวนกระแส คำว่า ทวนกระแสนี่คือ…อย่าให้มันไปในทางที่ต่ำ ยกไว้ ใจนี่ หัดไว้ให้มันสูงไว้ เขาว่า…ตาย ๆ หลวงตาบอก…ไม่ตาย ๆ เหงื่อก็ไม่ค่อยออกนะ พระเพื่อนกันนี่ไม่ไหว ตาย ๆ เหงื่อโทรมเลย เพราะว่ามันร้อนทั้งกายทั้งใจด้วย ทุกวันนี้เขาว่าโลกร้อนแต่ใจอย่าร้อน เหมือนอาจารย์กำพลพูดว่าร่างกายพิการแต่จิตใจแจ่มใส (หัวเราะ) นั่นก็ยังพูดได้ (หัวเราะ) คนที่น่าจะทุกข์ที่สุดในโลกคืออาจารย์กำพล นอนอยู่กับบ้าน 26 ปี จึงไปพบกัน ถึงวันนี้ น่าจะทุกข์กว่าใครในโลก เดี๋ยวนี้ก็…ไม่ได้อยู่กับพิการแล้ว พิการเรื่องร่างกาย ใจ…จิตใจแจ่มใส(ลากเสียง) ทุกคนทำได้ เพราะใจไม่เกี่ยวข้องอะไร เกี่ยวกับธรรมะทำได้ทุกที่ทุกทางไป ไม่มีวัตถุ 1 2 มาช่วย ส่วนร่างกายต้องมีวัตถุ 1 2 มาช่วย เช่น ความร้อนต้องมีน้ำอาบ ต้องมีพัดลม แต่ใจถ้ามันร้อนก็ทำใจเย็น ๆ(ลากเสียง) เตาหลอมเหล็ก ให้เย็นอยู่ในเตาหลอมเหล็กจะดีที่สุด ตรงไหนที่มันร้อน…เย็นใจไว้ ต้องหัดอย่างนี้นะ ไม่มีจริง ๆ คำว่าทุกข์เนี่ย…ใจเนี่ย อันกายนี้ธรรมชาติธรรมดาของเขา เมื่อเราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต อย่างทางก็มีอยู่ ระดับของจิตหลงทางมีอยู่ 4 ตำแหน่ง 1 กาย เวทนา…เวทนาคือสุขคือทุกข์ จิต ธรรม จิต…บางที…บางทีมันคิด อันนี้ก็…ทำให้เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ แต่ถ้าจิตสักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เป็นทางตรงนี้ด้วย เวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ มันมีทางตรงนี่ เห็นมัน สักว่าเวทนา จิตสักว่าจิต ธรรมสักว่าธรรม เช่นถามสุภาพสตรี ความง่วงเหงาหาวนอน ความเครียด เป็นธรรมไม่ใช่จิต เป็นอธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ถ้าไม่หลง…4...4ด่านเนี้ยไปรอด มันก็มีหลงตรงนี้ทุกคน ถ้าคนฝึกฝนตนเองต้องเจอ 4 ด่านนี้ กายหลงที่กาย หลงที่เวทนาคือสุข คือทุกข์ ร้อนหนาว อะไรต่าง ๆ เยอะแยะ ในกายก็มีเวทนา ในจิตก็มีเวทนา เวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคล เป็นสักว่าเวทนา ไม่ใช่ตัวใช่ตน จิตก็เหมือนกัน ที่มันคิดโน่นคิดนี่ไม่ใช่จิต จิตจริง ๆ ไม่ได้คิดหรอก ถ้าเราหัดแล้ว มันก็อยู่เป็นที่เป็นทาง ถ้าไม่หัดก็ซุกซนมากเหมือนลิง อยู่นิ่งไม่เป็น แต่อัน…จิตที่มันคิดนี่แหละ ตัวคิดตัวหลงน่ะ…ทำให้รู้ได้ ไม่ใช่หลงเป็นหลง ความหลงเป็นความรู้ได้ เมื่อมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ไม่หลงตรงนี้แล้ว ก็ผ่านได้ ไขกุญแจแก้โซ่ได้ ไปได้สบายเลย ไปเห็นรูปเห็นนามตามความเป็นจริง เห็นรูปธรรมเห็นนามธรรม รูปมันก็เป็น…ก้อนหนึ่ง นามก็เป็นก้อนหนึ่ง มันอาศัยกันอยู่ระหว่างรูปธรรมกับนามธรรม รูปมันเป็นรูปธรรม มันทำดี อย่างทำอย่างนี้รูปมันทำ มันทำดีทำชั่วอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ทำดีรึทำชั่ว รูปมันทำชั่ว รูปมันทำดี อะไรสั่ง จิตเป็นนาย กายเป็นเรือ จิตมันเป็นนาย อ่ะ…ทำอย่างนี้อะไรสั่ง จิตใช่ไหม…นาม เอ๊า…ทำอันนี้ อะไรมันสั่ง นามธรรมสั่ง เราสั่งให้เอาปืนมายิง…อะไรสั่ง มันยิงไหม เอามีดมา…เอาเชือกมาแขวนคอมีไหม โดดน้ำตายมีไหม มีเหมือนกัน อะไรมันสั่ง…จิต จิตมันเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น…รูปธรรม นามธรรม มันทำดีมันทำชั่วเพราะรูปเพราะนาม ถ้าเรามีสติเห็น เห็น…เห็นอาการที่กระทำของจิตของรูปของนาม มันก็เปลี่ยนได้ ในจิตในรูปในนามนี้ มันเป็นรูปโรค นามโรค โรคของรูป ต้องเกี่ยวข้องกับหลายอย่าง ปัจจัย 1 2 3 อันโรคของนามรักษาด้วยตนเอง อันโรคของรูปเนี่ย…บางอย่างรักษาไม่ได้ บางอย่างรักษาได้ เช่น ความร้อนความหนาว ไม่ใช่รักษา เป็นบรรเทา ทุกข์ของรูป โรคของรูป บางทีต้องบรรเทาไม่ใช่แก้ เช่น หิวข้าว ไม่ใช่แก้…บรรเทา อาบน้ำ…มันร้อนอาบน้ำ มันหนาวห่มผ้า…บรรเทา แก้ไม่ได้ ต้องเป็นเช่นนั้น รูปโรค นามโรค นามโรคแก้ได้…นามโรคแก้ได้ เช่น ความโกรธ…เป็นครั้งสุดท้ายได้ ความทุกข์เป็นครั้งสุดท้ายได้ ความหลงเป็นครั้งสุดท้ายได้ ไม่ควรที่จะโกรธจนตาย หลงจนตาย ทุกข์จนตาย ถ้ายังโกรธอยู่ ยังทุกข์อยู่ ยังหลงอยู่ เบียดเบียนกันอยู่ ล้าสมัยที่สุดแล้ว เดี๋ยวนี้เค้าไปกันแล้ว ต้องฝึกฝนตนเอง มันเป็นครั้งสุดท้ายได้ อันโรคของนามเนี่ย มันเปลี่ยนได้จริง ๆ มันแก้ได้ มันดีอะไรอะ ความโกรธเนี่ย บางคนโกรธแล้วไม่รู้จักลืม จำไว้ดี๊ดี ถ้ากูได้โกรธแล้ว กูลืมไม่ได้ ตายกูก็ไม่ลืมมันละ ถ้ากูไม่ได้โกรธ กูไม่ได้ด่ามันก็ไม่ได้ ต้องด่ามันก่อน แล้วบางทีโกรธต้องรีบ รีบไหมเวลาโกรธอะ ทำไมจึงรีบล่ะ จะไปด่ากัน ทำไมจึงรีบด่ากัน กลัวมันจะใจดีจะไม่ได้ด่ากัน ต้องรีบ…ทำตามความโกรธ ให้ความโกรธสั่งงานจนได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่จะทำให้ใจเย็นเนี่ย เวลามันโกรธ อย่าพูด มีสติก่อน ตามหลักของกรรมฐานท่านเรียกว่านับ 1 ก่อน หายใจเข้า ให้นับ 1 ถึง 10 ก่อนค่อยด่ากัน ด่ากันไม่ได้ หายใจเข้า...หนึ่ง...สอง...สิบครั้งแล้ว! หายโกรธเลย ไม่ได้ด่ากันเลย เพราะความโกรธมันไม่ใช่ตัวใช่ตน บางทีเราโกรธ ทำตามความโกรธ ตีลูก…เคยไหม เคยตีลูกไหม…นับไม่ถ้วน เวลาหายโกรธเราเสียใจ เราก็ร้องไห้ เอายาหม่องไปทาให้ลูก แม่หลง เสียใจ เวลาโกรธกัน ทะเลาะกันแล้ว เวลาหายโกรธ อายกันมีบ้างไหม สามีภรรยา ปิดประตูบ้านเลย เคยเสียเปรียบความโกรธไหม ฮะ..หลวงตาเคยเสียเปรียบความโกรธเหมือนกันนะ โอ้ย…เจ็บใจแทบทุกวันนี้ ตีน้อง…สมัยก่อน เป็นหนุ่มน้อยทำนากับน้อง ไถนาค่ำ กลัวควายจะไม่ได้กินหญ้า บอกให้น้องเอาควายไปกินหญ้าปลายนา น้องมันไม่เอาไป ยังขี่ควายวนเราอยู่ ทำไมมึงไม่เอาควายไปกินหญ้า! มันบอกว่ามันกลัว กลัวทำไม! ตบหัวน้อง ลงไปนอนกองนา เกียก(คลุก)ขี้โคลนร้องไห้ พอน้องร้องไห้ คิดสงสาร โอ้ย…เอาน้องขึ้นมา เวลาหนึ่งโกรธ เวลาหนึ่งสงสาร…เสียใจ เสียใจเวลาโกรธ เสียเปรียบความโกรธมีไหม นี่…หลวงตาเสียเปรียบความโกรธนะ เข็ดหลาบที่สุด เอาละ!...ว่าอย่างเนี่ย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยความโกรธ ขอเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ จะไปด้วยกันไหม เป็นครั้งสุดท้าย(ลากเสียง)เถอะ ไม่มีประโยชน์เลย(ลากเสียง)ความโกรธ มีแต่เบียดเบียนตัวเรา โกรธตัวเอง โกรธคนอื่น เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง มันเป็นครั้งสุดท้ายได้ ถ้าเรามีสติดีนะ เพราะฉะนั้นจึงฝึกฝนตนเอง มันมีจริง ๆ บุญมีจริง ๆ รับปากได้ เป็นมรรคเป็นผล จริง ๆ นะ มันเป็นมรรคเป็นผลเดี๋ยวนี้ มันหลงเปลี่ยนตัวหลงเป็นตัวรู้เดี๋ยวนี้ ตัวหลงเป็นเหตุ ตัวหลงเป็นเหตุ…เมื่อเปลี่ยนตัวหลงเป็นรู้ เป็นผลทันที มันเปลี่ยนได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล นี่คือภาคปฏิบัติ มันไม่ใช่ภาคทฤษฎี เป็นทางไป มันเป็นทางไปอยู่ ไม่ใช่มืดแปดด้าน มีทางออก ถ้าเรามีทางฝึกฝนให้เป็นทางไปแล้ว มันใช้ได้
ขออภัยหลวงตาเคยเจ็บป่วยอย่างยิ่ง ป่วยอย่างแรงที่สุด เป็นโรคมะเร็งในลำคอ ก้อนเนื้อโตเร็ว หายใจไม่ได้ หายใจไม่ออกเกือบอาทิตย์ แหลมลม…แหลมลม…เคยแหลมลมหายใจไหม ถ้าจะตั้งใจหายใจเนี่ยหายไม่ได้ ค่อยแหลมค่อยสอดเข้าไป…ค่อย ๆ เล่น(ลากเสียง)อยู่ มีแต่หมอมีแต่คนมาถาม สนุกป่วย สนุกเจ็บ ก้อนเนื้อที่ตับอ่อน ปวดท้องอย่างหนัก มีคุณหมอมาถามว่าปวดมากไหมหลวงตา ปวดมาก กี่เปอร์เซ็นต์ เอาไรไปเปอร์เซ็นต์ ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม เกินร้อย แล้วทำไมหลวงตานอนอยู่เฉย ๆ เอ้า…มันปวด จะไปแสดงกับปวดมันทำไม ดูมัน เห็นมันปวด ใช่ไหม เห็นมันปวด ไม่ใช่เป็นผู้ปวด มันก็เยียวยาไปในตัว มันไม่พอ เวลา…นานไปนานไป มันก็ มันก็…หายใจไม่ออก พอหายใจไม่ได้ หมอห้องไอซียู ไม่ถึงสองนาทีเลย มันเข้าได้ หายใจครั้งที่หนึ่ง ไม่เข้า เอาอีกสักหน่อยก่อนน๊า…สองครั้งก็ไม่เข้า เอาอีกสักหน่อยก่อนนะ สามครั้งไม่เข้า ใจเย็น ๆ(ลากเสียง) เห็นมันหายใจไม่ได้ เราก็รู้ว่าไม่เป็นไปกับมัน เห็นมัน เห็นรูป ครั้งที่สี่ก็ไม่เข้า พอครั้งที่สี่หายใจไม่เข้า น้ำลายฟูมปากออกมา ว่าจะเอามือมาเช็ดน้ำลาย…ยกมือไม่ขึ้นแล้ว พอยกมือไม่ขึ้น ก็ดูมัน เอ้า…มันหายใจไม่ได้ก็ไม่ต้องหายมันล่ะ ใจนี่ อยู่ตรงไหนล่ะ…อยู่ตรงนี้เป็นอะไร อยู่ตรงไม่เป็นไร ตามันค้างขึ้นมา หลับไม่ลง เอาทิ้งซะ รูปเนี่ย ไม่ต้องเอามันหรอก เราไม่ต้องอยู่กับมันรูป เราอยู่ตรงไหน! อยู่ตรงที่ไม่เป็นไร ทำได้ไหม ทำได้ ทำได้ยังไง ฝึกมากับหลวงปู่เทียนมา 40 กว่าปี มันเป็นวันนี้ของเรา ไม่ใช่ 40 ปีโน้น มันเป็นเดี๋ยวนี้ เราฝึกฝนมามันทำได้อย่างเนี่ย มันก็สลบไป ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ พอตื่นตัวขึ้นมา เห็นแต่หมอเอาท่อมาสอดเข้าไปในลำคอ เราพูดไม่ได้ พยาบาลเรียกว่า หลวงตา หลวงตา ไม่ขับไม่ถ่ายมาสามสี่วันแล้ว อ้าว… หลวงตาที่ไหน หลวงตาเอาทิ้งไปแล้ว ว่าอย่าอดอย่ากลั้นนะ ถ้าอดกลั้นมันทรมานไต ก็ลืมตาขึ้น ดูตัวเอง โอ้…เห็นตัวเองอมท่ออยู่ ดูแล้วน่าสงสาร เอามันไหมหนอนี่ เอาทิ้งไปแล้ว เขาว่า…ทรมานไต มีไตหรือ เอ้าไตมันเป็นธาตุอะไร ธาตุดิน เหลือแต่ธาตุเดี๋ยวนี้ หลวงตาไม่มีแล้ว…เหลือแต่ธาตุเลย มีดิน มีน้ำ มีลม มีไฟ เอ้าดินต้องเป็นดินสิ น้ำต้องเป็นน้ำ ไฟต้องเป็นไฟ ลมต้องเป็นลม อย่าให้เป็นอื่นนะ ลองพวกเธอทั้งสี่นี่ ช่วยกันดูซิ เอ้า…ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ไต ปอด…ไตปอด พังผืด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า อันนี้เป็นธาตุดิน มันมีไตหรือเนี่ย มันทรมานไตหรือ โอ..มันมีไต นี่มันเป็นธาตุดินหนอ เอ้าช่วยกัน มาช่วย พอมาคิดเรื่องนี้ ลำดับเรื่องนี้ เหนื่อย เหนื่อย…เอาทิ้งไปสิ เอาทิ้งมันดีเหรอ อันรูปเนี่ย ถ้าไป…กังวลเกินไป มันไม่รอด พอเอาทิ้ง กลับมาดูอีก มันดีขึ้น ก็เอาทิ้งไปอีก กลับมาดูอีก ดีขึ้น พอมันดีขึ้น เอ้า…เราลืมตาปลุกตัวเองขึ้น คนมายืนอยู่กระจกข้างนอก เกาะกระจกน้ำตาร่วงเป็นแถว เอากันเอา ทำไมหนอโยมมาร้องไห้กับเรา เราไม่มีทุกข์อะไรเลย มาร้องไห้กับคนไม่มีทุกข์ยังไง(ลากเสียง)…โยม แทนที่จะไม่ร้องไห้เสียใจ แต่เรานี่…ไม่เป็นอะไรเล้ย อยากจะพูดกับโยมพูดไม่ได้ แต่ปลุกตัวเองขึ้นมา มันอมท่ออยู่ เลยขอปากกามาเขียนหนังสือได้ สมองดีนะ(หัวเราะ) เอาปากกามาเขียนหนังสือว่า ญาติโยมที่มายืนอยู่กระจกข้างนอก พากันกลับบ้านได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหลวงตา หลวงตาเป็นชีวิตส่วนตัวมากที่สุดเวลานี้ กลับบ้านซะ เขาก็พากันอ่าน ยังมายืนเกาะกระจกอย่างนี้ เอ้า…เขาคิดกับเราเหรอ เอ้อ…ก็เลยมาคิดใหม่ว่า เอ๊ะ…ถ้าผู้คนทั้งหลายไม่ฝึกสตินี่ เขาจะอยู่ยังไงหนอ(ลากเสียง)เวลาอย่างนี้ เวลาอย่างนี้เขาจะทำยังไง ไม่มีกรรมฐานไม่มีที่อยู่เนี่ย เราต้องไปสอนเขา เราจะสอนยังไงเราจะตายอยู่ เราต้องไม่ตาย(หัวเราะ) มีกำลังใจขึ้นมา โอ้ยเราไม่ตายทำยังไงล่ะ ต้องไปสอนเขา เราก็สอนอยู่แล้ว วัดป่าสุคะโตก็สอนอยู่แล้ว ยังไม่พอ ต้องสอนมากกว่านี้ มีกำลังใจขึ้นมามาก พยายาม…ปวดเบาขึ้นมา เออ!…ก็ทิ้งมันไปบ้างก็เลยดีขึ้นมา พอเบา…พยาบาลเอากระโถนมาให้…ล้น!กระโถนเลย ขออภัยนะ(หัวเราะ) หมอก็หัวเราะ โอ้ย…เทพธิดาหลวงตา เทพบุตรหลวงตา เป็นหมอบ้างพยาบาลบ้าง เป็นหนี้เป็นสินประเทศชาติมากที่สุดหลวงตานี่ ฉีดคีโมหลอดหนึ่ง…แสนสอง…8 หลอด ฉายรังสีอีก 30 ครั้ง เอกซเรย์ CT scan นี่ ครั้งหนึ่งหกหมื่นบาท ไม่รู้ว่ากี่ครั้ง หมดเงินเป็นล้าน ๆ พวกเราที่นั่งที่นี่เสียภาษีอากรประเทศชาติ พ่อแม่พี่น้องส่งลูกสาวลูกชายเรียนแพทย์เรียนหมอ เขาเอาสติปัญญามาช่วยเรา เราเอง…เฮ้อ…ไม่น่าตายนะ ไม่น่าตายเลย น่าจะช่วยประเทศชาติได้ ก็เลยมาคิดว่า อ๋อ…เราจะใช้ยังไง จะใช้หนี้ประเทศชาติ คือสอนธรรมะ…สอนธรรมะและปลูกป่า ไม่ใช่มีเงินไปใช้เขา เอ้อ..มีกำลังใจ เราจะปลูกป่าให้ได้เป็นล้านต้น เราจะสอนธรรมะ มีกำลังใจขึ้นมา ไม่ตายก็ไม่ตาย…นะ จะสอนคน มันมีกำลังใจขึ้นมา ดีวันดีคืนขึ้นมา เอ้ย…ตายมันดีกว่า มีชีวิตเนี่ยมันลำบาก มาพัฒนาใหม่นี่โอ้ย…เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ถ้าปล่อยให้มันตาย…ดี๊ดี ใครว่าความตายเป็นทุกข์ ไม่มีความทุกข์หรอก เจ็บเป็นทุกข์เหรอ ไม่ใช่ มันไม่มีทุกข์ คำว่าทุกข์เ.นี่ยสุดยอดเลย สุดยอดที่สุดเลย จึงว่าเป็นความทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย เป็นความโกรธครั้งสุดท้าย ความหลงครั้งสุดท้าย ควรจะมีเดี๋ยวนี้
ฉะนั้น ถ้าเราเอาเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา หัด เวลามันโกรธ…ไม่โกรธ เอาตรงนี้ก่อน ตรงตรงกันข้ามก่อน เวลามันทุกข์…ไม่ทุกข์ เวลามันหลง…ไม่หลง อย่างนี้ไปก่อน เหมือนกับลาด ชีวิตของเราเหมือนกัน กายเหมือนพ่วงแพ เหมือนพ่วงแพ เราต้องใช้มันขึ้นฝั่งให้ได้ แพนี่คือกายเนี้ย มันผุมันพังไปเป็นตามอาการของเขา อย่างหลวงตาก็ผุพังไปมากแล้ว มันก็มีกาลมีเวลา แต่ว่าอันความไม่เป็นไรกับอะไรไม่มีเวลา ความโกรธมีเวลานะ ความทุกข์มีเวลา ความหลงมีเวลา แต่ความไม่เป็นไรไม่มีเวลา…ไม่มีเวลาเลย ความโกรธมันก็หมดเป็น ความทุกข์ก็หมดเป็น มันไม่ใช่จริงจัง เราจึงต้องฝึกตรงนี้กัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องว่า เออ…ถ้าเรามาฝึกฝนตนเองให้ดี ๆ แล้วนี่ ชีวิตเรามันจะ มีจริง ๆ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย มีจริง ๆ สิทธัตถะมาหาปัญหาเรื่องนี้จนได้คำตอบออกมา แต่ก่อนไม่มีใครตอบได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องฝึกเรื่องนี้กัน ลองดู พิสูจน์กันลองดู เหมือนกับว่าชีวิตเราลอยคอ ถ้าเราเห็น ไม่เข้าไปเป็น มันจะตื้นขึ้น ถ้าเป็นแล้ว มันก็ลอยคอ ถ้าฝั่งพระนิพพานมันสูง ถ้าเป็นแล้วมัน…มันขึ้นไม่ได้ ถ้าเห็นแล้วมันจะตื้นขึ้น ๆๆ เป็นผู้เห็นหรือเป็นผู้เป็น อย่างที่หลวงตาบอก ถ้าเป็นผู้เป็นมันจะลึกมาก เหมือนหักด้ามพร้าด้วยเข่า มันไม่ลาด ถ้าเห็นมันจะตื้นขึ้น เห็น…เนี่ย…มันจะง่ายขึ้น เห็นมันก็ตื้นขึ้น เหมือนเรือด่วนเทียบท่า ถ้าเรือเทียบท่าให้ขึ้นไม่ถูกก็ขึ้นยาก ถ้าเรือมันเทียบท่าได้ก็ขึ้นง่าย ๆ คำว่าไม่เป็นเนี่ย เอาทิ้งซะ ไม่เอามันแล้ว ไม่มีไม่เป็นเลย จึงพูดว่า เป็นคำพูดที่…ไม่ใช่คิดมาพูด ไม่มีไม่เป็นไร ชีวิตของเราไม่มีไม่เป็นไร นี่เป็นสุดยอดของชีวิตเลยทีเดียว คำว่าไม่มีไม่เป็นไร มีแต่เห็นมันเท่านี้ อันนี้เป็นการสร้างสัมมาทิฏฐิเป็นทางเอาไว้ เป็นทางไว้วันนี้ดีกว่า
เพราะฉะนั้นเวลาใดที่เรามีความหลงเกิดขึ้น มีสิทธิ์เปลี่ยนไม่หลง…รู้สึกตัว เวลามันทุกข์….เปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้สึกตัว เวลามันโกรธเปลี่ยนความโกรธเป็นความรู้สึกตัว ในความไม่เที่ยงของรูป…มีมรรคผลนิพพาน ในความเป็นทุกข์…มีมรรคผลนิพพาน ความเป็นทุกข์ไม่ใช่เป็นทุกข์ ความไม่เที่ยงไม่ใช่เป็นความทุกข์ เราเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เราเป็นทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ ต่อไปไม่ใช่เลย เราเป็นทุกข์…ได้นิพพานได้ นิพพานคืออยู่กับความทุกข์ อย่างพระพุทธเจ้าว่า เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารเป็นทุกข์ เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารไม่เที่ยง เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน ในความไม่เที่ยงแท้ ๆ ในความเป็นทุกข์แท้ ๆ เป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าเอาเรื่องนี้ มันเหยียบอยู่บนความหลง ความเป็นทุกข์ มันไม่เป็นทุกข์ตรงนั้น ความไม่เที่ยงก็ไม่เป็นทุกข์ตรงนั้น มันก็เหยียบเป็นทางไปนี่ ที่ว่าทางเอกของชีวิตเรา เอาไปใช้กับชีวิตประจำวัน เหมาะสมที่สุดกับทุกชีวิต เหมาะแก่การงานหน้าที่ของพวกเรา จะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของเรากันและกันได้ ถ้าเรามีสภาพจิตใจอย่างนี้เนี่ยพึ่งได้ พึ่งกันและกันได้ ไม่ได้สวรรค์ได้นิพพาน เห็นหน้ากันก็มีสวรรค์นิพพานได้ สามีภรรยาเห็นหน้ากัน มีนิพพานบ้างไหม เห็นหน้ากันแล้วเย็นใจมีไหม เห็นหน้าสามี…เย็นใจมีไหม เห็นหน้าภรรยาเย็นใจมีไหม ให้มันเห็นหน้ากันเย็นลงไป ถ้าเห็นหน้ากันเป็นยักษ์เป็นมารก็สร้างไม่ได้สวรรค์นิพพาน ทำบุญต่อกัน สามีภรรยานี่ทำบุญต่อกัน เป็นคนดีต่อกัน ถ้าเลือกกันต้องเป็นคนดี ภรรยารักสามี…ต้องภรรยาเป็นคนดี สามีรักภรรยาสามีต้องเป็นคนดี พ่อแม่รักลูก ก็เหมือนกัน ต้องเป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดีสุดหัวใจแล้ว แม้แต่พ่อแม่รักลูก ถ้าลูกเป็นคนดีสุดหัวใจแล้ว ถ้าลูกเป็นคนชั่ว แม่ก็หิว หิวความดีของลูก ถ้าลูกเป็นคนดี อิ่มใจ ใช้หนี้แม่ ใช้หนี้พ่อได้ พวกเรานี่มีพ่อแม่ทุกคน เราจึงเป็นคนดีคือตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ด้วยการฝึกฝนตนเอง สติจริง ๆ จะเป็นคน ๆ เดียวกัน อย่างเรามีสติเวลานี้ เป็นคนเดียวกันทันที เช่นเรามีสติยกมือสร้างจังหวะสัก 10 นาทีนี่ เราจะรู้สึกตัว จะเป็นคน ๆ เดียวกัน ถ้าเรามีความหลง เป็นคนละคนไปเลย นี่อัศจรรย์ ความรู้สึกตัวเนี่ยเป็นคน ๆ เดียวกัน ทั้งโลก เป็นสันติภาพ มิตรภาพเกิดขึ้นได้ทันที ไม่ต้องไปแก้อะไร เดี๋ยวนี้คนไทยเราแตกความสามัคคีกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเข้าข้างนั้นข้างนี้ เมื่อไหร่จะเป็นอันเดียวกัน เห็นใจกัน เห็นใจพันธมิตร เห็นใจรัฐบาล เห็นใจนายกฯ เห็นใจประชาชน ให้ช่วยกัน อย่าไป…อันนั้นเป็นกลุ่มนั้น อันนี้เป็นกลุ่มนี้ พูดแต่เรื่องนี้มันก็เลยแตกกันไป อยากจะบอกว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน เห็นใจกัน มีหน้าที่เหมือนกัน เป็นทุกข์เหมือนกัน ชีวิตเขาเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ทำยังไงเราจะอยู่ด้วยกันสันติสุขสันติภาพ มันตั้งต้นจากเรา นับหนึ่งจากเราก่อน รับรองว่าดีจริง ๆ เป็นมิตรภาพ แผ่นดินราบเหมือนหน้ากองทราย ใจของเราเมื่อมันมีปกติ จิตใจมันจะเป็นอย่างนี้ นินทาก็ปกติ สรรเสริญก็ปกติ ได้ก็ปกติ เสียใจก็ปกติ ใจมันฝึกได้แล้วมันเป็นอย่างนี้ มิตรภาพ มาตรฐานของชีวิต ถ้านินทาเสียใจ ถ้าสรรเสริญดีใจ อันนี้ไม่ใช่มาตรฐาน มาตรฐานของจิตใจคือปกติ เป็นบ้านของใจ ให้มีบ้านอยู่ที่ใจ บ้านของใจคือปกติ ถ้าพลัดถิ่นคิดโน่นคิดนี่จิตใจไม่มีบ้านแล้ว ฟู ๆ แฟบ ๆ ต้องให้ปกติอันนี้