แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแต่ไม่เข้าใจก็อาจจะเข้าใจได้ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น ก็…ความสงสัยก็จะมีไม่ได้ จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ทำความเห็นให้แจ่มแจ้งได้ นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม เราก็สาธยายพระสูตร ด้วยท่านั่งที่มีความพร้อม คือใส่ใจตาม คำสอนคำสาธยายมีแต่คำดี ๆ พี่งสิ่งแวดล้อมที่ดี พวกเรานั่งอยู่นี่…ก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี มิตรดี สหายดี สิ่งแวดล้อมดี เพื่อนดี ก็เป็นไปแล้ว ของพรหมจรรย์ ความบริสุทธิ์อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีสิ่งแวดล้อมดีได้ เหมือนกับ…จะเป็นอาชีพการงานอะไรก็ตาม เช่น ทำนา ทำไร่ มีเนื้อนาดี มีน้ำดี มีข้าวปลูก ข้าวเม็ด มีพืชพันธุ์ดี มีความใส่ใจ ก็เกิดผลขึ้นมาได้ ชีวิตเราก็เช่นกัน สิ่งแวดล้อมดี และมีศรัทธา พวกเชื่อเป็นทุน มาจากทุกสารทิศ หัวใจเดียวกันมาเพื่อปฏิบัติธรรม เนี่ยเรียกว่ามีศรัทธา เมื่อมีศรัทธาแล้วก็มีความเพียรที่จะทำงานทำการ ทำกรรม…กรรมฐาน มีกรรมฐานคืองานของเรา ที่ตั้งของการกระทำ และก็มีที่ตั้งมีกาย มีใจ สิ่งที่เอาไปตั้งไว้กับกายกับใจ…ก็คือสติ คือความรู้สึกความระลึกได้ ตั้งลงไปที่กายที่ใจ เหมือนเมล็ดพืชเมล็ดพันธุ์ฝังลงไปในดินแล้วก็มีความเพียรที่ใส่ใจทำอยู่เสมอ เรียกว่าภาวนา ขยันรู้อยู่เสมอ เหมือนกับน้ำฝนที่โปรยลงไปในเนื้อนาที่แผ่นดิน เมล็ดพืชที่ฝังอยู่แล้วมันก็งอกก็งามขึ้นมาได้ อันนี้เรียกว่าสิ่งแวดล้อม…สิ่งใดก็ตาม แต่เมล็ดพืชเกิดอยู่ในดินมันเป็นผักเป็นข้าวเป็นต้นไม้เป็นผลไม้เป็นอาหาร แต่สติ…ปลูกลงไปที่กายที่ใจ มันเป็นมรรคเป็นผล มันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาได้ เมื่อเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา มันก็…ละความชั่ว ทำความดี จิตก็จะบริสุทธิ์ กายก็จะบริสุทธิ์ หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น จนเป็นพรหมจรรย์หลุดพ้นที่สุดแห่งทุกข์ ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ ดังที่เราได้สาธยายพระสูตรไปแล้ว ทุกคนทำได้ กรรมฐานไม่เลือกเพศ เลือกวัย เลือกลัทธิ นิกายใด ๆ มีอันเดียวกัน สิทธิเท่าเทียมกัน มีกายก็เอามา ยกมือให้รู้สึกก็รู้เช่นเดียวกัน จะนุ่งห่มผ้าสีใดเหมือนกัน…รู้เหมือนกัน อยู่ในเพศใดก็รู้เหมือนกัน นี่คือปฏิบัติได้ให้ผลได้ ยกมือขึ้นรู้สึก คู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก…นี่ เหมือนกันหมด อันนี้…พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติเรื่องนี้ ผู้ศึกษาเรื่องนี้ ต้องทำด้วยตนเอง ไม่มีใครทำให้กันได้ เมื่อได้มีความรู้เกิดขึ้นที่กายที่ใจ มันก็เป็นไปเอง เพียรละบาปแล้ว ไม่ให้บาปเกิดขึ้นแล้ว แม้บาปที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้หมดไปแล้ว ทำให้บุญกุศลที่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญมากขึ้นงอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้น เป็นไปเอง แต่ถ้าเรามีกรรมฐานแล้ว เป็นทางเดินไปเอง เพราะอย่างนี้มี อย่างนี้จึงมี เพราะอย่างนี้มี อย่างนี้ก็ไม่มี ถ้ามีความรู้ก็ไม่มีความหลง ถ้ามีความหลงก็ไม่มีความรู้ ขณะนี้มันเปลี่ยนได้อยู่ ถ้าหากมีความหลงเกิดขึ้นในขณะที่เรามีสติอยู่เราก็รู้ ก็เลยเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เปลี่ยนความผิดเป็นความรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี้เปลี่ยนได้ ในความรู้สึกตัว อย่าให้หลงเป็นหลง อย่าให้ทุกข์เป็นทุกข์ อย่าให้โกรธเป็นโกรธ มันเปลี่ยนได้อยู่ ถ้าเปลี่ยนร้ายเป็นดีอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม อย่าปล่อยความไม่ดีทิ้งไว้ในกายในใจเรา เราปล่อยความไม่ดีทิ้งไว้ในกายในใจมานานแล้ว หลงมากี่อสงไขยหลง โกรธกี่อสงไขยโกรธ ทุกข์กี่อสงไขยทุกข์ เคยเปลี่ยนไหม ถ้าไม่เปลี่ยนมันก็งอกงามในความไม่ดี ในกายในใจเรานี้ จนเป็นจริตนิสัย ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต บัดนี้มาเปลี่ยนนะ…ให้มันมีความดีเกิดขึ้น เวลามันหลงไม่หลง รู้สึกตัวนี่
ความรู้สึกตัวเนี้ย มันก็ทั้งหมดแล้ว ละความชั่วแล้ว ทำความดีแล้ว ไม่ยาก ไม่ยากเลย มันอาจจะมีสิ่งที่ไม่ดีให้เราได้ละอยู่วันหนึ่งหลายเรื่องหลายราว บางอย่างเกิดร้อยครั้งพันหนก็มี เคยเป็นนิสัยอย่างไรมา มันก็ไปเอา…มันก็แสดงออกมาให้เห็น จะได้เห็นตัวเองที่เป็นความถูกไม่ถูก ความถูกต้องความไม่ถูกต้อง มันน่าจะขยัน มันก็มีประโยชน์ ถ้าเราไม่เปลี่ยนความร้ายเป็นความดีที่อยู่ในกายอยู่ในใจ มันก็เป็นทุกข์เป็นโทษต่อตัวเราต่อคนอื่น สิ่งอื่น ดังโบราณนั้นว่า…ลูกเต้าหรือสามีภรรยาเป็นคนชั่ว เป็นเรื่องน่ากลัวกว่าผู้ร้าย มีใจก็ไม่มั่นใจตัวเอง รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เรามีสิทธิไหม เรื่องนี้ เวลามันหลง มีสิทธิไม่หลงไหม เวลามันโกรธมีสิทธิไม่โกรธบ้างไหม เคยใช้สิทธิไหม ปฏิบัติธรรมคือมาใช้สิทธิให้ถูกต้อง ประกาศเป็นอิสรภาพ ได้เปลี่ยนหลงเป็นรู้ครั้งหนึ่งมันน่าจะภูมิใจ แม้มันมีความโกรธเกิดขึ้นให้เปลี่ยนความโกรธเป็นความรู้…มันน่าจะถูกต้องแล้ว ถ้าขยันตรงนี้เรียกว่าภาวนา มีงานมีการทำอย่างนี้ เราทำนาก็มีงานทำ มี...เวลาปลูกก็ปลูกลงไป หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ไม่ได้กลัวความร้อนความหนาว ฝนตกก็เปียกหนาว แดดออกก็ร้อน อย่าไปเอาความร้อนความหนาวมาอ้าง ในการทำไร่ทำนา ถ้าเราจะทำ แบบนี้ก็เช่นกัน แม้จะเกิดอย่างอื่นขึ้นมาขณะที่เราเพียรละความชั่วทำความดีอยู่นี้ มันก็มีสิ่งที่ไม่เกิดแนวร่วมเกิดขึ้น เวลาเรามีสติก็เกิดความหลง ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย ความคิดฟุ้งซ่าน บางทีก็มีความโกรธ พยาบาท มันเคยมีความโกรธ…มันก็ฉายออกมา บ้างก็อย่าเอามาเป็นข้ออ้างว่าเป็นเรื่องยาก ถ้ายากก็ไม่อยากจะทำ เหมือนกับเราทำนา มันร้อนก็หาว่าความร้อน มันหนาวก็หาว่าหนาว อ้างว่าเหนื่อยอ้างว่าหิว ไม่ได้ เวลาเราทำงาน อย่าเอาสิ่งเหล่านั้นมาอ้าง มันก็เป็นคนเกียจคร้าน ถ้ามันง่วงก็นอน เรียกว่าเป็นคนเกียจคร้านขณะที่ทำงาน ถ้าว่าร้อนก็หยุด ถ้ามันปวดมันเมื่อยก็หยุด เรียกว่าความเกียจคร้าน ลักษณะของความเกียจคร้านเป็นเช่นนั้น มักอ้างโน่นอ้างนี่ หัดตนสอนตน เตือนตน แก้ไขตน อะไรที่มันไม่ดีเกิดขึ้นแล้วนั่น ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นอาการที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรา มีมานานแล้ว ให้เอาอย่างคนดี ถ้าเรามาเอาอย่างคนดีอาจจะเห็นกระแส เช่น พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า ภูเขากั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณงามความดีลูกแรก ทางที่มันขวางกั้นไม่ให้ผ่านได้ ถ้ามันเกิดความง่วงเกิดขึ้นมาแสดงว่า เอ้อ…พระพุทธเจ้าเคยไปทางนี้แหละ พระพุทธเจ้าเห็นอันนี้จึงว่าอันแรก มีไหม ก็เปลี่ยนซะ ให้รู้สึกตัว หาเรื่องแก้ไข มองไปท้องฟ้า มองยอดไม้ มองทิศ มองทาง บางทีมันเอารูปแบบแก้ไม่ได้ ยกมือสร้างจังหวะก็ยังง่วงอยู่ เอาความคิดหรือเอาจิตออกไปข้างนอกก่อน มองทิศ มองทาง ทิศเหนือ ทิศใต้ อยู่ทิศใด เวลานี้เป็นเวลาใด เป็นเวลากลางวันไม่ใช่เวลานอน กลางคืนเป็นเวลานอน มาบอกตนอย่างนี้ ให้ชัดเจน อย่าปิดบังความถูกความผิดที่มันเกิดขึ้น หาเรื่องที่หาความถูกต้องแทรกลงไป ฟ้องมันลงไปเหมือนย่อยแยก เรียกว่าขบเคี้ยว ธรรมวิจยะคือขบเคี้ยว อย่าจน มีทางไปอยู่ อาจจะตื่นขณะที่มันง่วงได้ รู้แจ้ง ตื่น เห็นมัน เอ้า…นี่เป็นอาการอันหนึ่ง เนี่ยพระพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้ เราเอามาเป็นความรู้ซะ ง่าย ๆ เอาความรู้จากความง่วงได้ ไม่ยาก ถ้าให้เป็นความง่วง ถ้าให้หลับเนี่ย มันจะไปไกล เป็นนิสัย เรียกว่านิวรณ์ธรรมครอบงำ มันขวางกั้นความดี จิตลังเลสงสัยมีเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ คิดโน่น คิดนี่ หาคำตอบจากความคิดเหตุผล อ้างโน่นอ้างนี่ ยิ่งศึกษาเล่าเรียนมา จำอันโน้นมีหลายครูอาจารย์ เอาคำพูดของคนอื่น ให้คนอื่นบอกผิดบอกถูก เอาคำตอบ จากความคิด มันไม่ใช่วิปัสสนาไม่ใช่กรรมฐาน เป็นจินตญาณ ใครก็คิดได้ แต่ว่าทำไม่เป็น รู้ว่าผิดก็รู้อยู่ ถูกก็รู้อยู่ แต่ไม่เคยแก้ในคราวเดียวกัน ในคราวมันผิดก็มีความถูกในคราวเดียวกันนั้น ไม่ให้มันเกิดได้ทันที ปฏิบัติธรรมมันทันที มาไว ๆ สติมาไว ๆ อย่าช้า หัดให้มาไว ๆ ถ้าอะไรเกิดขึ้นน่ะ…รับก่อน เอาเป็นสุขไปก่อนเอาเป็นทุกข์ไว้ก่อน ไม่เคยมีสติมาไว อันอื่นมาก่อน เช่น ตาเห็นรูป พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง มันไปอย่างนั้น
บัดนี้ให้รู้สึกตัวซะ หูได้ยินเสียงก็รู้สึกตัวซะ นั่นเรียกว่าสติมาไว ๆ สติพาให้กายใจสู่ปกติ เหมือนกับจิตที่มันคิดไปโน่น คิดฟุ้งซ่าน เหมือนกับจิตออกจากบ้านแล้ว ก็รู้สึกตัวซะ ความรู้สึกตัวพาให้จิตกลับบ้าน มารู้สึกตัวก็ปกติ อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็รู้สึกตัวซะ เหมือนกับว่าพ่อแม่ของกายของใจก็ว่าได้สตินี่ พระพุทธเจ้าจึงตั้งชื่อว่า อุปการคุณ อุปการะมาก ที่ช่วยกายช่วยใจ พาให้กายกลับบ้าน พาให้ใจกลับบ้าน ถ้าไม่ฝึก ก็…ฟุ้งซ่าน กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว กลางคืนก็ว่าฝัน กลางวันก็ว่าคิด ฟุ้งซ่านอย่างนั้น ไม่ได้อยู่ในบ้าน ทำงานก็ฟุ้งไปที่อื่น อะไรก็ฟุ้งไปที่อื่น อ่านหนังสือ…ฟุ้งไปที่อื่น อ่านจดหมายหน้าเดียว…ไม่เข้าใจ ต้องอ่านสองรอบสามรอบ ไม่ชัดเจนไม่แม่นยำ ถ้าฝึกสติให้รู้สึกตัวในคราวเดียวกัน มันก็จะชัดเจนแม่นยำเฉพาะเรื่อง ทำอะไรก็เฉพาะเรื่อง การเฉพาะเรื่องเป็นระเบียบชัดเจนแม่นยำ อย่างนี้เรียกว่าสมาธิ สมาธิคือมันมีที่ตั้งแล้ว ทำงานก็รู้สึก การทำงาน…อ่านหนังสือ ทำงานขับรถ นี่…เราไม่ฝึกบางทีขับรถก็หลับได้ ทั้งที่จริงมีงานทำอยู่ ไม่มีชัดเจนแม่นยำในการงานนั้น ๆ ใช้กายใช้ใจก็ผิดไป ความรักกลายเป็นความเกลียดชัง แล้วแต่เขาจะมาใช้ เรียกว่าอารมณ์จรมา เหมือนอาคันตุกะหรือมีอะไรจรมา มาดึงไปใช้ ไปรับใช้เขา รับใช้ความทุกข์ รับใช้ความโกรธ หมู่นี่ เป็นอย่างนั้นถ้าเราไม่ฝึกอ่ะ มันจึงผิดพลาด มีใจก็พึ่งใจไม่ได้ คุ้มร้ายคุ้มดี มีกายก็ไปใช้ผิด ก็ติดเหล้าติดบุหรี่ ติดอะไรที่เป็นความชั่ว เป็นความจำเป็นของอุปโภคบริโภคฟุ่มเฟือยเกินไป ทั้ง ๆ ที่มีแต่โทษ ได้เงินมา หาเงิน บางคนก็บ่นว่าได้เงิน ไสน้อ มาซื้อบุหรี่สูบนี่ พอได้เงินก็มาซื้อบุหรี่สูบจริง ๆ แทนที่จะซื้อข้าวปลาอาหารให้ร่างกายได้ประโยชน์ เอาความเป็นทุกข์เป็นโทษมาใส่ร่างกายเข้าไป เกิดโรคภัยไข้เจ็บทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามันไม่ดี แต่ทำไม่ได้ เวลาเรามาปฏิบัติเนี่ย มันจะได้โอกาสเปลี่ยนความไม่ดีให้เป็นความดี ให้เป็นความถูกต้อง สติเป็นเกณฑ์ชี้วัด บอกความเท็จความจริง ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรานี้ ไม่มีอะไรที่จะเห็นตัวเองมากกว่าการมีสติเป็นหน้ารอบ เหมือนกับเจ้าของกายเจ้าของใจ มีสิทธิจะใช้สิทธิชอบธรรม ความไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ใช้ความชอบธรรม ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง ความชอบธรรมเป็นอย่างนี้ ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง เกิดขึ้นไหมกับตัวเราเนี่ย ถ้าความชอบธรรมไม่เกิดขึ้นที่เรา ความชอบธรรมก็เกิดขึ้นที่อื่นได้ยาก เราจะแยกร่างความเป็นธรรมจากคนอื่นมันทำไม่ได้ ก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ความเป็นธรรมต้องเกิดขึ้นที่เราก่อน บางทีความเป็นธรรมมันก็ไม่มีจากคนอื่นที่ทำกับเรา เราก็รู้ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางคนชั่วคนดี มิตรแท้มิตรเทียม มีเยอะแยะในโลกนี้ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ลูกหลานอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี พ่อแม่เป็นคนดี มันอยู่กับสิ่งแวดล้อมไม่ดีก็กลายเป็นคนไม่ดี เราจึงมาชวนกันดี ถ้าคนไม่ดีเกิดขึ้นเราก็เดือดร้อน เวลานี้โลกมันร้อนเพราะคนทำลายโลก เราไม่ตัดต้นไม้สักต้น คนอื่นเขาตัดเราก็เดือดร้อน เราจึงมาชวนกันนับหนึ่งจากตัวเรานี้ก่อน เริ่มต้นจากตัวเราก่อน ทุกคนที่นับหนึ่งจากตัวเราทุกคน มีสติเปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนความร้ายเป็นความดีให้มาก ๆ เพราะวิชากรรมฐานนี่ เป็นวิชาที่ตั้งต้นที่ดี จะได้ทิศได้ทางร่วมกัน พวกเรานั่งอยู่นี่เป็นร้อย ๆ ชีวิตเนี่ย ถ้าทุกคนมีสติ เปลี่ยนความรู้เป็นความหลง…เอ้อ…เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้อยู่ มันก็ละความชั่ว เป็นคน ๆ เดียวกัน เราหลงคนอื่นเขาหลง เขาเปลี่ยนหลงที่เกิดขึ้นกับเขาแล้ว เราก็เปลี่ยนหลงที่เกิดขึ้นกับเรานี่ ไปทางเดียวกัน กลายเป็นคน ๆ เดียวกันทันที เห็นกันก็ทำอันเดียวกันทันที เข้าใจกัน เมื่อเรารู้เรื่องนี้ เห็นเรื่องนี้ เวลาเรา…เวลาคนอื่นหลงเราก็รู้ จะได้ช่วยเขาให้เขาไม่หลง เป็นมิตรกันอย่างนี้ เวลาคนอื่นโกรธ เราเคยโกรธ เราเปลี่ยนได้แล้ว เราไม่โกรธแล้ว ก็ช่วยกัน เรียกว่ามิตรแท้ ๆ พึ่งพาอาศัยกันได้ ป้องกันมิตรผู้ประมาท คืออย่างนี้ รักษามิตรผู้ประมาท รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาท เราก็ช่วยกัน กลายเป็นกัลยาณมิตร เป็นกัลยาณปุถุชน เมื่อเป็นกัลยาณมิตร เราก็หยั่งรากความดีลงไปสู่กัน แน่นหนามากขึ้น เช่นเราเป็นสามีภรรยากัน เท่านี้ไม่พอ ต้องเป็นกัลยาณมิตรเพิ่มเข้าไปอีก รู้จักช่วยกันอย่างนี้ แล้วก็มีสังคมครอบครัว ครอบครัวเราก็สร้างเป็นกัลยาณมิตรขึ้นมาได้ เป็นสังฆะ สามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมกัน กลายเป็นกัลยาณมิตร นึกเข้าไป มองกันเป็นกัลยาณมิตรแล้วไม่พอ เป็นสามีภรรยานึกเข้าไป มองกันเป็นเพื่อนเข้าไป มองกันเป็นพ่อเป็นแม่กัน เป็นพี่เป็นน้องกัน อาจจะมองสามีเป็นพ่อก็ได้ อาจจะมองภรรยาเป็นแม่ก็ได้ ช่วยกันจริง ๆ ไม่รังเกียจกันจริง ๆ สามีภรรยาเป็นพ่อเป็นแม่กันได้ ช่วยกันจริง ๆ เคยเห็นมาแล้ว เห็นคนแก่ไปเก็บกระดูกของเมีย เมียตายฟ้าผ่า ฝังไว้ที่ไร่ ขุดหลุมลงไป ไปเอากระดูก ให้ลูกขุด ลูกขุดไปเจอหัวกะโหลก ลูกกระโดดขึ้นหลุม ขึ้นมานั่งบนปากหลุม เห็นหัวกะโหลกแล้ว แต่พ่อกระโดดลงไปกรุยเอง กระโดดลงไป คือสามีอ่ะ…กระโดดลงไปในหลุม นั่งลง เอาผ้าขาวม้าปูไว้ เก็บกะโหลก หวง…ของเมียใส่ผ้าขาวม้ากวาดเขี่ยเอากระดูกเก็บทุกชิ้นทุกส่วน
นี่คือสามีภรรยาที่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งเพื่อนทั้งมิตรกัน ก็พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างดี ถ้าเราไม่เป็นอย่างนี้ เพียงแต่คนหนึ่งโกรธ ก็โกรธตอบกันไป แทนที่จะช่วยกัน ถ้าเรามารู้เรื่องนี้เนี่ย มันจะดี มันจะเป็นสังคมที่ดี ครอบครัวที่ดี มันก็พึ่งพาอาศัยกันได้ แต่นี่!...แม้แต่ใจเราเองก็ไม่มั่นใจ คุ้มร้ายคุ้มดีอยู่เช่นเนี้ย ไม่รู้จะเป็นอย่างไร ยังพากันประมาทอยู่ อะไรเป็นแก่นสารเป็นสาระของชีวิตเรา ควรที่จะดีกว่านี้ เราก็โชว์เนี่ยประกาศกรรมฐาน มีที่ให้อยู่ มีข้าวให้กิน มีอะไรกัน…เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ ว่า…นี่คือ…หลักชีวิตจริง ๆ มาดูตัวเอง สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ คือกายกับใจนี้ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ เป็นการมาปฏิบัติ ถ้าพวกเราปฏิบัติเหมือนกับเราก็…เหมือนกับมีที่พึ่ง อาจจะมีที่พึ่งแล้วเค้าคงรู้จักแก้ความร้ายเป็นความดี ถ้าคนรู้จักแก้ความร้ายเป็นความดี ก็พึ่งพาอาศัยกันได้ เป็น…มีกรรมฐานนี่แหละ และก็มีภาวนาขยันรู้ และก็มีวิปัสสนารู้แจ้ง ถึงที่สุดคือมรรคผลนิพพาน เย็นสนิทหมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง แล้วก็อยู่กันด้วยความผาสุกสงบร่มเย็น พึ่งพาอาศัยกันได้ แผ่นดินนี้มีแม่น้ำ มีอากาศ มีป่าไม้ มีอาหาร มีอะไรต่าง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้แม้แต่แผ่นดินก็เหยียบไม่ได้ มีแต่สารพิษ น้ำก็อาบไม่ได้แล้ว ฝนตกลงมาลองไปอาบดูซิ น้ำในสระข้างบนนะ คันเป็นผื่นไปเลย มีสารพิษกรัมม็อกโซน เคมีต่าง ๆ ไหลลงมา อากาศก็เป็นพิษแล้ว อาหารก็เป็นพิษ ถูกทำลาย บางทีมันเอาถังกรัมม็อกโซนฉีดยาฆ่าแมลง ฆ่าหญ้า ไปล้างในน้ำในห้วยในหนอง เห็นอยู่กับหูกับตา ฉีดในน้ำ ชู่ช่า ๆ ถังใหญ่ ๆ นี่มันก็ทำอย่างนี้ก็มี เราจึงมีธรรมยาตราเกิดขึ้นในเรื่องนี้ มันจำเป็นต้องธรรมยาตรา ประกาศออกไป ให้ได้รู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นเสียแล้ว เพราะมีคนทำไม่ถูกต้อง เห็นกับตา เอารถเทรลเลอร์ถังฉีดยาใหญ่ ๆ ลงไปล้างในอ่างน้ำที่วัด…ที่ใกล้ ๆ วัดบ้านท่ามะไฟหวานเนี่ย มาทำอย่างนี้ก็มี แทนที่เขาจะล้างในน้ำอย่างเดียว มันไปสู่อะไรเยอะแยะไปหมดเลย ไปสู่เราด้วย เราจึงประกาศ จึงเชิญชวน จึงพยายาม…หลาย ๆ อย่าง สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ แล้วก็ด้วยตัวเรานี้ด้วย ไปพร้อม ๆ กัน จึงเราจะทำให้เราอยู่ได้ เริ่มต้นจากหนึ่งจากตัวเรานี้ก่อน อย่างอาจารย์ทรงศิลป์เขียนไว้ที่โรงอาหารนั่น ป่าดี น้ำดี ดินดี อยู่ที่ไหน ป่าดี น้ำดี ดินดี อยู่ที่คน คนอยู่ที่ไหน คนอยู่ที่เรานี่ ชี้มาหาตัวเรานี่ โน่น…นับหนึ่งก่อนเราจะต้องเป็นคนดี ละความชั่วเวลามันหลง เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เนี่ย…ตั้งต้นจากตรงนี้ไป เห็นความรู้สึกตัวกับความหลงตรงกันข้าม ความทุกข์ความไม่ทุกข์ตรงกันข้าม ความโกรธความไม่โกรธตรงกันข้าม อยู่ใกล้ ๆ กัน เหมือนหลังมือหน้ามือเนี่ย มันเปลี่ยนได้อยู่(เน้นเสียง) หัดเปลี่ยนตรงนี้ไว ๆ เปลี่ยนไว ๆ มันจะดี ถ้าใครขยันเปลี่ยนตรงนี้ไว ๆ มีมาให้เปลี่ยนก็เปลี่ยนทุกครั้ง หลงร้อยครั้งรู้ร้อยครั้ง โกรธร้อยครั้งรู้ร้อยครั้ง รู้เท่ารู้ทันอย่างนี้ มันไม่เหลือหรอก เป็นผู้หมดปรารถนาดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ