แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก็มีเสียงพูดได้บ้าง เงี่ยหูฟัง เสียงไม่ค่อยจะดี มาเถิดพวกเรามาสู่ธรรมวินัย ผู้ที่ยังไม่มาขอให้มา มาแล้วอยู่เป็นสุข มีสติ คือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า ถ้าเช่นนี้พวกเราจึงไม่ใช่ใครแปลกหน้า มีแต่ญาติจึงได้เห็นได้พบกัน ธรรมวินัยบอกไว้อย่างนี้ ถ้ามาที่นี่หายใจโล่งๆ ให้อึดอัดแต่ที่อยู่ แต่ใจอย่าอึดอัด คับกายอยู่ได้ อย่าให้มันคับใจ พออยู่กันได้หนอ คนจำนวนมาก อยู่ศาลาหน้าก็มีเป็นร้อย อยู่ตรงนี้มีเป็นร้อย แม่ชีอ้อยก็มาจากเกาะสีชัง มาจากไกลๆ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก มีแต่ญาติกัน
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วในโลกนี้ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครเป็นครูของพระองค์ พร้อมทั้งพระธรรมคำปฏิบัติทำให้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา ทำอย่างนี้ๆ เป็นปฏิบัติธรรมมาพร้อมกันกับการตรัสรู้ แต่ตอนนั้นมีแต่พระพุทธเจ้าและพระธรรม เดินทางจากพุทธคยามาถึงพาราณสีวันนี้ ใช้เวลาเดินทางอยู่ตั้งหนึ่งเดือน หลังจากการตรัสรู้วันเพ็ญเดือน 6 เสวยวิมุตติสุขอยู่ศรีมหาโพธิ์นั้นสี่อาทิตย์ เป็นเวลาหนึ่งเดือนพอดี ออกเดินทางมา 300 กม. มาถึงอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี เราก็ไปตามรอยพระยุคลบาทมาแล้ว นั่งรถก็ใช้เวลาตั้งแปดชั่วโมงถ้ารถไม่ติด ถ้ารถติดก็สิบกว่าชั่วโมง พระองค์ก็เดินทางด้วยฝ่าพระบาทของพระองค์เอง ตรัสรู้ก็ที่ป่า มาแสดงธรรมก็ที่ป่า ไม่มีหลังคามุงเหมือนเราอยู่ ลำบากกว่าเรานี้ เรียกว่าป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มาพบปัญจวัคคีย์อาทิตย์ก่อน สองวันไม่ใช่อาทิตย์ก่อน วานซืนนี้แหละ ปัญจวัคคีย์หนีจากอีก ไม่ยอมรับหาว่า สมณะมักมาก ปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษฏ์ไม่กินข้าวกินน้ำมาตั้งหกปีแล้วมากินข้าว ก็เห็นว่าเป็นสมณะมักมาก พากันรังเกียจ พอพระพุทธเจ้าเดินมาถึงก็พากันหนี จนมาถึงอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธเจ้าก็เดินตามมาอีก ประมาณสี่กม. หลวงตาก็เดินตามรอยนี้มาเหมือนกัน มาพบเข้าวันนี้ วันพรุ่งนี้หนอ วันเพ็ญเดือน 8 วันพรุ่งนี้มาพบเห็นปัญจวัคคีย์นั่งสนทนาธรรมกันอยู่กลางแจ้ง พระพุทธเจ้าก็เดินเข้าไปหาโกณฑัญญะพราหมณ์ บอกว่า มาอีกแล้วตามเรามาอีกแล้ว สมณะมักมาก พวกเราไม่ต้อนรับก็ได้ดอก แต่เราไม่ต้องลุกหนีดอก นั่งอยู่นี่แหละ ประสงค์จะนั่งก็ตามใจ ไม่ประสงค์จะนั่งก็ตามใจ ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ได้ต้อนรับเราเลย นั่งคุยกันเล่น พระพุทธเจ้าเดินมาใกล้เข้า โกณฑัญญะพราหมณ์เป็นผู้ใหญ่กว่าพราหมณ์อีก 4 รูปนั้น เป็นผู้ทำนายพระลักษณะมาแล้ว เป็นพราหมณ์หนุ่มสมัยโน้น จึงได้รอว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็มีศรัทธาอยู่ลึกๆ ได้ลุกไปปูอาสนะไว้ ประสงค์จะนั่งก็นั่ง ไม่ประสงค์จะนั่งก็ไม่นั่งก็ได้ ไปปูอาสนะนั่งไว้ พระพุทธเจ้าก็เดินเข้าไปนั่งที่อาสนะนั้น ก็แสดงธรรม ดูก่อน ดูก่อน ปัญจวัคคีย์ ชวนให้ฟังสักหน่อย ส่วนโกณฑัญญะก็มองหันหน้ามาใส่ ก็เรียกว่าปัญจวัคคีย์ โกณฑัญญะพราหมณ์หันหน้ามาทางที่พระองค์ทรงนั่งอยู่ ดูก่อนปัญจวัคคีย์ เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้น เราได้ตรัสรู้แล้ว พอได้ยินคำว่าตรัสรู้ โกณฑัญญะพราหมณ์ก็สนใจ เงี่ยหูฟัง ส่วนวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิไม่สนใจเลย แล้วก็ไม่อยู่ จนพระองค์ได้แสดงธรรมเป็นลำดับไป เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดมาหกปี เรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เป็นทางที่ไม่ใช่ข้องแวะ ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา พระองค์ก็แสดงไป จนมาเข้าถึงอนัตตลักขณสูตร แล้วก็พูดถึงอริยสัจ 4 ต่อไป จนโกณฑัญญะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้น แสดงไปตามลำดับ ในการเดินทางมีการผิดการถูกเป็นธรรมดา เราทำมาก่อน ได้รู้มาแล้ว มาสู่อริยสัจ ๔ มีทุกข์ มีเหตุให้เกิดทุกข์ มีความดับทุกข์ ดับทุกข์ได้แล้ว เป็นทฤษฎีที่ยอดเยี่ยม ไม่ต้องหาทฤษฎี ณ ที่ใดแล้ว ในการศึกษาชีวิตเรานี้ เอากายเป็นตำรา เอาจิตใจเป็นตำรา เอาสติเป็นนักศึกษาเข้าไป จนโกณฑัญญะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แล้ว รู้แล้ว ที่พระองค์พูด ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ชีวิตเป็นของเป็นทุกข์ ชีวิตไม่ใช่ตัวใช่ตน อันรูปนามนี้ร่างกายจิตใจมันเป็นไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วแก่เจ็บตายไป อันกายใจนี้มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป มันเป็นอย่างนี้ของธรรมชาติ ได้ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้น รู้แล้ว รู้แล้ว แต่ก่อนชื่อโกณฑัญญะพอว่า รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้วหนอ รู้แล้วหนอ รู้แล้ว รู้แล้ว เลยชื่ออัญญา อัญญาแปลว่ารู้แล้ว อัญญาโกณฑัญญะเป็นพระสงฆ์เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 8
ดังนั้นเราจึงมาตามรอยพระยุคลบาท ทำแบบเดียวกับพระพุทธองค์ ได้ทรงเห็นธรรมตรัสรู้มา เรียกว่าภาวนา หรือกรรมฐานนี้ ส่วนสมถะเกิดขึ้นก่อนวิปัสสนาหลายพันปีมาแล้ว เป็นฤๅษีมุนี นั่งเสี้ยนนั่งหนาม ตากขี้ฝุ่น ตากแดด ไม่มีเสื้อผ้าก็เคยทำมาแล้ว เป็นอัตตกิลมถานุโยค ไม่ใช่ทาง ต้องมาบำเพ็ญทางจิตใจ มีกายมีใจนี้ ศึกษาเรื่องกายเรื่องใจนี้ เกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็สอนปัญจวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรมทั้งหมด จึงได้ชื่อสัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้และสอนคนอื่นรู้ตาม แน่นอนแล้ว สิ่งที่เราตรัสรู้ไม่เป็นหมัน มีคนรู้ตาม เรียกว่าพระธรรม พระธรรมนี้ปฏิบัติได้ให้ผลได้ ผู้ปฏิบัติต้องทำด้วยตนเอง จะอาศัยผู้อื่นทำให้ไม่ได้ ศึกษาด้วยตนเอง ให้ผลได้ ปฏิบัติได้ เชิญให้มาดู มาดูสิ มาทำดูสิ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นได้ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ มันจึงเป็นเรื่องของเรา ไม่ต้องไปเชื่อใคร เป็นเรื่องการกระทำของเรา ถ้ามันหลงก็รู้ ไม่มีใครหลง ไม่มีใครรู้ให้เรา เราหลงเอง เราก็รู้เอง เมื่อมีสติเราก็ประกอบเอาเอง ไม่ได้ขอ เวลามันหลงก็เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ได้ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่ลิขิตชีวิตของเราได้แน่นอน ไม่ต้องอ้อนวอนอะไร เอาการกระทำเรียกว่ากรรมฐานนี้ พระพุทธเจ้าได้สอนได้แสดงเรื่องนี้ระหว่างวันเพ็ญเดือน 8 ถึงวันเพ็ญเดือน 3 เวลาแปดเดือนนี้ ได้พิสูจน์ดู สอนเรื่องนี้ดู มีพระอรหันต์เกิดขึ้น 1,250 รูป คือแน่นอนแล้ว เพียง 8 เดือน สอนเรื่องกรรมฐานเรื่องเดียว พระอรหันต์เกิดขึ้นมา 1,250 รูป ปรากฏอยู่ที่แสดงโอวาทปาติโมกข์ อยู่ที่เวฬุวัน กรุงราชคฤห์ กลับไปโน้นอีก พระ 1,250 รูปนี้ นับตั้งแต่วันเพ็ญเดือน 8 ถึงวันเพ็ญเดือน 3 นี่ แปดเดือน มีแต่พระขีณาสพเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด การบวชกับพระพุทธเจ้า เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั้งหมด เลยแสดงโอวาทปาติโมกข์ในวันเพ็ญเดือน 3 นั่นละ เรามีหลักฐานอย่างนี้ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้า จึงมีมรรคมีผลแน่นอน พวกเราผู้เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยนี้ เรียกว่าหมู่ชาวพุทธบริษัท เกิดเป็นพระสงฆ์ขึ้นมาจนถึงพวกเราทุกวันนี้ พระสงฆ์องค์แรกคืออัญญาโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ 5 รูป แล้วจึงมี ยสกุลบุตรพร้อมบริวารอีก 45 คน มาฟังธรรมพระพุทธเจ้า แล้วก็พ่อแม่ยส ตามหา ยสกุลบุตร ออกหนีจากบ้านมาค่ำคืน มา ตามรอยมา มาเห็นอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เห็นรองเท้าวางอยู่ จำได้ว่ารองเท้าของลูกชายตัวเอง ก็ตามเข้าไป เห็นยศกุลบุตรฟังธรรมอยู่ ก็เลยไปร่วมฟังธรรมด้วย ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นอุบาสกอุบาสิกาคนแรก ในระหว่างนิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันที่บ้าน พร้อมทั้งพ่อแม่ ภรรยาของยสกุลบุตร ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพุทธบริษัทเกิดขึ้นมาจนถึงพวกเราทุกวันนี้ ไม่ใช่ไม่มีหลักฐานอะไร จนเกิดเป็นพุทธบริษัทแล้วขยายมาสู่เมืองไทยเรา
พวกเราก็ปฏิบัติกันอย่างนี้ มาพิสูจน์กันดู เป็นเรื่องของเราทุกชีวิต เราหลงเองเราก็รู้เอง เราทุกข์เองเราก็รู้เอง มันต้องมีสิ่งที่เปลี่ยนได้อยู่ มันเปลี่ยนได้ มันปฏิบัติได้ ชีวิตของเราเป็นมนุษย์สมบัติ ทำดีได้ ละความชั่วได้ มีสิทธิร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็เห็นกันอยู่ คนที่ประมาทเป็นคนยังไง คนไม่ประมาทเป็นคนยังไง คนเกียจคร้านเป็นคนยังไง เราเห็นกันอยู่ ชีวิตเหมือนกัน มีกายมีใจเหมือนกัน ไม่ใช่เราไม่เห็น บางคนไม่มีโอกาสเดินตามถนนหนทาง อยู่ในดงในป่าเพราะเป็นคนชั่ว อยู่กับสังคมไม่ได้ เราก็เห็นกันอยู่ หรือมีเวลาจับได้ไล่ทัน ก็ไปติดคุกติดตาราง ก็เป็นคนชั่ว เพราะบาปกรรม เพราะเขาทำไม่ดี ถ้าเป็นคนดีเดินไปไหนก็ได้ในโลกนี้ ไม่มีโทษมีภัย มีคนต้อนรับขับสู้ ไปทางไหนทิศใดมีสิ่งป้องกันได้ ทั่วโลก ถ้าเราไม่ดีแม้อยู่ในบ้านเราก็อยู่ไม่ได้ เราเห็นกันอยู่ คนเกียจคร้านมีลักษณะยังไง เป็นคนทุกข์คนยากคนลำบาก ไม่มีอะไรจะอยู่จะกิน เป็นคนเกียจคร้าน ถ้าเป็นคนขยันก็หาทรัพย์ได้ มีอยู่มีกินไม่ลำบาก เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานได้ ถ้าคนเกียจคร้านช่วยตัวเองก็ไม่ได้แล้ว เราก็เห็นอยู่ คนดีเป็นยังไง คนชั่วเป็นยังไง คนมีคุณธรรมเมตตากรุณาเป็นยังไง เราก็เห็นกันอยู่ บางคนใจร้าย บางคนใจดีเพราะอะไร คนใจร้ายเขาไม่ได้เปลี่ยนร้ายเป็นดี เขาก็ร้ายอยู่ตลอดไป คนที่ใจร้ายเปลี่ยนเป็นใจดี เขาก็เป็นคนดีได้ เหมือนกับองคุลีมาลเป็นคนร้ายยังเปลี่ยนเป็นคนดีได้ จนเป็นพระอรหันต์ได้ มีตัวอย่างอย่างนี้ เรามาปฏิบัติได้อย่างนี้ นี่คือพระธรรมคำสอน ส่วนเล่นการพนันเป็นยังไง มันก็ไม่เจริญ กินเหล้าเป็นยังไง สูบบุหรี่เป็นยังไง ก็มีโรคมีภัย เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้เพราะมันเป็นการกระทำของเขา เราจึงต้องมาฝึกตนสอนตนกัน รับผิดชอบตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี เรียกว่าปฏิบัติธรรม มันผิดตรงไหน เป็นเรื่องที่เรามาดูแลตัวเองแท้ ๆ มันก็มีเรื่องที่จะต้องดูแลอยู่ เช่น ความหลง มันเกิดขึ้นได้ยังไง เราศึกษามันดู เราก็มีความรู้ เวลามันหลงเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ มันเปลี่ยนได้ ถ้าหลงเป็นอีกอันหนึ่ง ความรู้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สัมผัสดู อย่าไปเชื่อใคร หรือเวลามันโกรธ เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ ลองดู ทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ มันก็ไม่มีคุณค่าอะไรในชีวิตเรา ถ้ามันทุกข์ก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์อย่างนี้ ปฏิบัติธรรมทำอย่างนี้ ไม่ใช่ไปอ้อนวอน อาศัยการกระทำของเราแท้ๆ เรามีสิ่งที่วางได้ สิ่งที่หยุดได้ สิ่งที่เย็นได้ในชีวิตเรานี้
อย่างมือห้านิ้วสิบนิ้วนี้ มาทำประโยชน์ก็ได้ มาสร้างโทษก็ได้ มันก็อยู่กับเรานิ้วมือห้านิ้วสิบนิ้ว ไม่ใช่ได้ขอมาจากใคร มีกายมีใจเพื่อทำความดีได้ แต่บางชีวิตไม่ศึกษาไม่ดูแลตัวเอง มีกายมีใจไปทำความชั่วก็ได้ ในชีวิตของเรานี่มันเป็นอย่างนี้ ถ้าทำความดีมันมีประโยชน์อะไร ถ้าผัวดี เมียก็มีความสุข เป็นประโยชน์อย่างนั้น ถ้าเมียดี ผัวก็มีความสุข ถ้าผัวดี เมียก็มีความสุข ถ้าเพื่อนดี เพื่อนก็มีความสุข ถ้าญาติดีพี่น้องดีลูกหลานดี เราก็มีความสุข มันเป็นผลกระทบอย่างนี้ จึงเรียกว่าบุญค้ำจุนโลก มาทำดีอย่างนี้ มาเปลี่ยนความร้ายเป็นความดีอย่างนี้จะต้องอาศัยอะไร อาศัยการกระทำของเรา มาฝึกหัด มันจะได้เห็น มันมีอันกระทำอยู่ ไม่ใช่มันไม่มี ความหลงเอาไปฟรี ความทุกข์เอาไปฟรี ความโกรธเอาไปฟรี มันเปลี่ยนได้อยู่ อย่าให้มันเอาไปฟรี เราใช้ชีวิตมาถึงวันนี้มันหลงหรือมันรู้ เราก็ดูตัวเอง ดู มันหลงทางไหนบ้าง ให้รู้ มาดูแลตัวเองแท้ๆ อย่างนี้ มันก็ทำได้อย่างนี้ เราหลงเองเราก็รู้เอง เราทุกข์เองเราก็รู้เอง เราโกรธเองเราก็รู้เอง เราเบียดเบียนตัวเองเราก็เป็นทุกข์ เราไม่เบียดเบียนตัวเองเราก็ไม่เป็นทุกข์ ความหลงไม่เป็นธรรมต่อเรา ความรู้สึกตัวเป็นธรรมกว่า สัมผัสดู ความทุกข์ไม่เป็นธรรม ความไม่ทุกข์เป็นธรรมกว่า ความโกรธไม่เป็นธรรม ความไม่โกรธเป็นธรรมกว่า อย่าเบียดเบียนตัวเอง ถ้าตัวเองมีความเป็นธรรมแล้วก็เป็นธรรมต่อคนอื่นได้ ถ้าเราไม่เบียดเบียนตนแล้วก็ไม่เบียดเบียนคนอื่น ถ้าเรายังไม่มีธรรมในชีวิตของเราก็ไม่มีธรรมต่อคนอื่นได้ ถ้าเรายังเบียดเบียนตนเองอยู่ก็เบียดเบียนคนอื่นได้ มันเป็นผลอย่างนี้ชีวิตเราเนี่ย คนไทยหกสิบกว่าล้านคนอย่าเบียดเบียนตนเองและคนอื่น มันก็จบง่ายๆ มันก็จบง่ายๆ ไม่ยาก เอาศาสนามาไว้ที่กายที่ใจเรานี้ ศาสนาของกายนั้น มันหิวก็กินข้าว มันร้อนก็อาบน้ำ มันหนาวก็ห่มผ้า มันเหนื่อยก็พักผ่อน มันก็ช่วยได้อย่างนี้ กาย เรื่องของใจก็เปลี่ยนได้อยู่ เวลามันทุกข์ก็เปลี่ยนไม่ทุกข์ได้อยู่ การเปลี่ยนร้ายเป็นดีเรียกว่ามีศาสนา ถ้ามันโกรธก็เปลี่ยนไม่โกรธได้อยู่ เรียกว่าศาสนาของใจ ไม่ใช่ศาสนาอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เรานี้
หลวงพ่อไปสอนธรรมที่เมืองจีนมา เขาว่าคนจีนไม่มีศาสนาเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ คนรุ่นใหม่ หลวงตาก็เลยบอกว่า เอาอะไรเป็นศาสนาเล่า เอาการอ้อนวอนเป็นศาสนาหรือ เอาพิธีรีตองเป็นศาสนาหรือ เอาวัดวาอารามเป็นศาสนาหรือ อันนั้นก็มีเหมือนกัน ศาสนาจริงๆคือชีวิตเรานี้ เรามีกายมีใจนี้ เรื่องของใจก็เปลี่ยนร้ายเป็นดี มีสติมีปัญญาเอาชนะความหลงด้วยความไม่หลง ปัญญาเวลามันทุกข์เปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ ปฏิบัติออกจากทุกข์เป็น ยกตนออกจากทุกข์เป็น เรียกว่าศาสนาแล้ว ถึงปัญญา จนถึงไม่มีปัญหา เรียกว่าพุทธศาสนาเจริญ จนถึงมรรคผลนิพพาน จบเลยทีเดียวชีวิตเรานี้ ไม่ใช่โกรธจนตาย หลงจนตาย ถ้ายังโกรธ ยังหลง ยังทุกข์อยู่ ถือว่าล้าสมัยแล้ว คนมีศาสนาเขาไม่ทุกข์ เขาไม่โกรธ เขาไม่หลงแล้ว เพราะเขารู้จักเปลี่ยนตัวเองได้ ช่วยตัวเองได้ก็ช่วยคนอื่นได้ ไม่ใช่ช่วยเฉพาะตัวเอง นี่หละศาสนาเป็นอย่างนี้ แม้หลวงตาอายุมากแล้วก็ยังร้อนวิชาทางนี้อยู่ ยังไม่ยอมแก่ ไปเมืองจีนได้ ไม่ยอมแก่ มีเพื่อนมีโยมไม่อยากให้ไป ก็ไปได้ ไม่รู้จักเหนื่อยนะการบอกความจริงนี่ เมื่อเช้าก็ไปพูดที่ศาลาหน้า แต่ว่าเหนื่อยเหมือนกันนะ มาวันแรกไม่เหนื่อยนะ มาถึงตีสอง ออกจากจีนมาตีห้า มาถึงนี่ตีสองของวันใหม่ มาถึงตีสองก็ไม่นอนเลย ได้ยินข่าวว่าพวกเรามากันเต็มนี่ เราก็เลยสดชื่นใจ ก็ไม่นอนเลย แต่วันต่อมาจึงได้นอนเมื่อคืนนี้ วันที่สองก็เหนื่อย นอนไม่ได้มาทำวัตรเลย อ่อนไปเลย วันนี้ก็ไม่เหนื่อยละ นี่ทำวัตรเสร็จแล้วก็จะไปสอนธรรมที่ภูเขาทองอีกนะ ก็ยังร้อนวิชากรรมฐานอยู่ เพราะต้องบอกกันแล้ว เป็นเรื่องกระตือรือร้นที่สุดเลย พวกเราจะกระตือรือร้นไหม หรือจะปล่อยให้ตัวเองเป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่หลงอยู่ มันน่าจะช่วยตัวเองนะ มันล้าสมัย ถ้าหลงถ้าโกรธถ้าทุกข์อยู่ มันไม่ใช่คนแล้ว มันก็ได้ผลนะ ชีวิตของเรามันไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันมีสมอง มีภพภูมิต่าง ๆ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายได้ นี่เราเป็นมนุษย์แล้ว ประเสริฐแล้ว ละความชั่วทำความดีได้ ใช้สิทธิอันนี้กัน อย่าประมาท ความไม่ประมาทนี้เป็นชีวิตของเรา
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นโอวาทครั้งสุดท้าย ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา นี่เป็นพระวาจาอันพร่ำสอนของเราครั้งสุดท้ายแล้ว ความไม่ประมาทนี้เป็นธรรมใหญ่ เหมือนรอยเท้าของช้าง ใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย เอารอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายมารวมลงในรอยเท้าของช้าง รอยกวาง รอยเก้ง รอยหมู รอยสัตว์อะไรมารวมลงได้ เพราะรอยเท้ามันใหญ่ ใช่ไหม มันรอยใหญ่ ถ้าเหยียบเป็นหลุมก็หลุมใหญ่ รอยเท้าวัวไปลงก็หลวมได้ ไม่เล็ก ลงที่นั้นหมดเลย คำสอนของพระพุทธเจ้ารวมลงที่ความไม่ประมาท คือสติสัมปชัญญะนี่เอง เราจึงมาทำตรงนี้กัน เมื่อไม่ประมาท มันก็ไปได้ เรียกว่าปฏิบัติธรรมนี่ มันก็อยู่กับเราแท้ๆ วิธีกรรมฐานพระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนก็ตามที่พระองค์พูด การคู้แขนเข้ามีสติ การเหยียดแขนออกมีสติ การเดินไปมีสติ หายใจเข้าหายใจออกมีสติ ให้มันอยู่ที่กายก่อน อย่าเพิ่งไปเกี่ยวกับจิต ให้มีสติไปในกายก่อน ให้มันเข้มแข็ง เหมือนเราเรียนหนังสือต้องมีเกรดดี ป.1 ป.2 ป.3 เกรดมันดี ไปเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่าย ความหลงมันรู้ ทำไมเกรดมันดี ทีแรกมันง่ายที่จะหลง พอฝึกไปๆ มันง่ายที่จะรู้ได้ เหมือนเราเรียนวิชาทางโลก บางทีพอเห็น เราก็รู้ได้แล้ว ก็ทำได้ด้วย ถ้าไม่หัดตรงนี้มันก็ไปไหนไม่ได้เลย โซ่ไม่แก้กุญแจไม่ไข หลงจนตาย ทุกข์จนตาย โกรธจนตาย นี่เหมือนกัน แต่บางคนที่ฝึกตนสอนตน มีความหลงครั้งสุดท้าย มีความทุกข์ครั้งสุดท้าย มีความโกรธครั้งสุดท้ายได้ ทุกวันนี้เขาไม่ทุกข์กันแล้ว เขาไม่โกรธกันแล้ว เขาไม่หลงกันแล้ว มีแต่เมตตากรุณาเข้าไปแทน จิตใจมันก็เป็นที่พึ่งพาอาศัยอบอุ่นได้ ที่นี่ขอเป็นมิตรในเรื่องนี้ จะไม่พาหลงทิศหลงทาง จะพูดเรื่องนี้จะสอนเรื่องนี้กัน เรื่องอื่นไม่รู้
ท่านทั้งหลายรู้มาแล้ว จบมาสูงๆกันทั้งนั้น อยู่นี่ก็มีจบปริญญาหลายรูป เจ้าอาวาสก็จบธรรมศาสตร์ รองเจ้าอาวาสก็จบธรรมศาสตร์ อาจารย์ทรงศิลป์ก็จบมาจากพายัพ รู้กันมา แต่กรรมฐานนี้ไม่มีสถาบันไหนสอน มีกายเป็นสถาบัน เราจะขึ้นป้ายไว้หน้าวัด สถาบันสติปัฏฐาน ก็คือชีวิตของเรานี้ไม่เอาวิชาการ ไม่เอาอาคารอะไรมาเป็นสถาบัน เอาชีวิตของเราเป็นสถาบัน มันจบได้ เราก็เห็นอยู่ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เวทนาสักว่าเวทนา มันก็เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้ แต่ก่อนเราเอากายมาเป็นตัวเป็นตน ความร้อนคือกูร้อน ความหนาวคือกูหนาว ความทุกข์คือกูทุกข์ ความหิวคือกูหิว เรื่องของใจ ความโกรธคือกูโกรธ ความรักคือกูรัก ความชังคือกูชัง ทำตามอาการของกายของใจ เสียเปรียบมันแล้ว บางทีเราเสียเปรียบความโกรธ มีบ้างไหม มีไหมเสียเปรียบความโกรธนะ ให้ความโกรธนอนอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง บางทีก็ถือว่าถ้ากูได้โกรธตายก็ไม่ลืมเลย ไปยึดเอาความโกรธว่าเป็นตัวเป็นตน มันเสียเปรียบเขา มันมีประโยชน์อะไรความโกรธนะ ความไม่โกรธมันเป็นธรรมกว่า เปลี่ยนลองดู มีแต่ไม่รู้มันจะพามันหลงกาย มันหลงเวทนา มันหลงจิต แล้วเราเอาอะไรมาเป็นจิต ความโกรธมาเป็นจิต ไม่ใช่เลย จิตไม่เป็นอะไร ความหลงมันจรมา นิดเดียวมันก็หนีไปถ้าเราไม่ต้อนรับมัน เดี๋ยวนี้เราต้อนรับมันดี ยึดไว้ ข้ามวันข้ามคืนมีไหม เดือนหนึ่งมีไหม คืนหนึ่งมีไหม มันก็มี สองปีก็มีนะ ยึดไว้ ยึดเข้าไปแล้วมันห่อเหี่ยวขึ้นมา มันเกิดจากใจที่มันคิดขึ้นมานี่เอง มันหลงไป ความคิดมีสองลักษณะ ตั้งใจคิดก็มี ไม่ได้ตั้งใจก็มี มีไหม ไม่อยากคิดมันก็คิดมีไหม เวลานอนหาเรื่องมาคิดมีไหม นอนไม่หลับเพราะความคิด อย่างนี้น่าจะฝึกตนเองบ้าง เรียกว่าการบ้านเรา เวลานอนแล้วนอนไม่ค่อยหลับ หาเรื่องมาคิดจนฝัน กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด มันก็เป็นอย่างนี้ชีวิตเรา มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย ฝึกหัดสอนกันนะ จะนอนก็นอนให้มันหลับ พักผ่อน ถ้านอนแบบฝันนี่แปดเก้าชั่วโมงก็ไม่อิ่มหรอก เหน็ดเหนื่อย ตื่นขึ้นมาก็งัวเงีย หมดเรี่ยวหมดแรง สิ้นเปลืองพลังงาน พลังงานทางจิตก็คิดกัน พลังงานทางกายก็ทำงานทำการ พักผ่อนบ้าง หยุดบ้าง เย็นบ้าง เหมือนกับเส้นทาง ไม่ใช่วิ่งอย่างเดียว ไม่ใช่เดินอย่างเดียว หยุดก็มีเหมือนกัน บางโอกาสหยุด ถ้าไม่หยุดก็อันตราย ไม่ใช่วิ่งอย่างเดียวนะ ใช่ไหม รถนี้เขาทำให้มันวิ่ง ต้องทำให้มันหยุดได้ มันจึงเป็นรถที่ใช้ได้ใช่ไหม ถ้ารถคันไหนมีแต่วิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ต้องหยุดบ้าง ต้องเย็นบ้าง มันมีความเย็นอยู่ในความร้อนในชีวิตเรา มันมีความเข้มแข็งอยู่ในความอ่อนแอ มีความอดทนอยู่ในความเกียจคร้าน มันมีตรงกันข้ามนะ หัดตนสอนตนอย่างนี้ มีประโยชน์มากทีเดียว คนไทยทั้งชาติ เราก็มีลูกมีเมียมีเพื่อนมีบ้านกันทั่วไป แม้แต่พระก็ยังเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ได้แต่บอกแต่สอนคน เดี๋ยวนี้มันดีนะ ทำไมเขาจึงหลง ไม่หลงก็ได้นี่นา ทำไมเขาจึงโกรธ ไม่โกรธก็ได้นี่นา ขอให้เปลี่ยนเสียหน่อย แต่มันช่วยกันไม่ได้ ต้องช่วยตัวเอง รู้เอง เวลามันหลงก็เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ซะ เวลามันทุกข์ก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ซะ เหมือนหน้ามือหลังมือแบบนี้นะ มันเปลี่ยนได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ จริงๆ นะ นี่เรารับผิดชอบเรื่องนี้กัน สุคะโต รู้จักไหมสุคะโต คืออยู่ดี ไปดี มาดี มีความสุข ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่น