แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความเจริญในธรรมจงมีแก่นักปฏิบัติธรรมทุกคน ปกติเราก็ปรารภธรรมสู่กันฟังหลังจากทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นเสร็จ เพื่อเป็นการยืนยันในข้อวัตรปฏิบัติ ให้เราได้กระตือรือร้นในกิจกรรมกิจการงานที่เราจะทำอยู่ ดังที่ได้พูดให้ฟังในตอนเย็นเมื่อวานนี้ ให้เป็นฝีมืออาชีพ มืออาชีพ ไม่ว่าใครจะมีอาชีพอะไร มันก็ต้องคล่องแคล่วว่องไวแล้วก็ชำนิชำนาญ อันนี้เราก็มืออาชีพ เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ ให้มันคล่องแคล่วว่องไว ลำดับให้ถูกการใช้ชีวิตประจำวัน ที่พูดให้ฟังเมื่อวานนี้ว่า มอบความเป็นใหญ่ให้แก่สติสัมปชัญญะ จะทำอะไร จะคิดเรื่องใด จะพูดเรื่องใด ทุกส่วนของชีวิตเรา เรื่องตา เรื่องหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะใช้ในเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง การสัมผัส อะไรก็ตาม ก็ต้องมีการฝึกหัดอยู่ในทำนองคลองธรรม สอนตัวเองบอกตัวเอง ไปลามาบอก ให้ผ่านความรู้สึกระลึกได้ จะเป็นการใช้ชีวิตส่วนไหนก็ตาม ลองฝึกหัดดูจริง ๆ บทฝึกหัดไม่ใช่บทท่องจำ บทฝึกหัดให้สัมผัสกับความรู้สึกระลึกได้ ชีวิตที่เราใช้ประจำวันให้ช้าไว้ก่อน ทำสิ่งใดก็ตามอย่าลุกลี้ลุกลน อย่ากระวนกระวาย ให้หยุด ให้เย็น ให้ปล่อย ให้วาง หัดหยุด หัดเย็น หัดยับยั้งชั่งจิต อย่าครุ่นคิดเรื่องใดที่ไม่รู้จักปล่อยรู้จักวาง อย่าถลำตัวไปกับเรื่องอันใดจนหมดเนื้อหมดตัวกับการใช้ชีวิตส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นสติสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่กอบกู้ชีวิตของเราให้อยู่ในสภาพปกติ
ถ้าเราได้สัมผัสกับคุณธรรมข้อนี้จริง ๆ เป็นการกอบกู้ชีวิตคืนมาให้อยู่ในปกติ จะเป็นเรื่องคิดก็ตาม เรื่องความสุข ความทุกข์ อะไรก็ตาม ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ มันเป็นการคืนชีพ ไม่หมดเนื้อหมดตัว เป็นชีวิตที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เพราะคุณธรรมข้อนี้เหมือนกับพ่อกับแม่ที่จะช่วยคุ้มครองเรา พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกในขณะที่ลูกเล่นอยู่ตามปกติ พ่อแม่ก็ดูตามธรรมดา แต่คราวใดขณะใดที่ลูกมีอันตรายมาถึง พ่อแม่ก็รีบเข้าไปช่วยทันที ทำให้อยู่ในความปลอดภัย เพราะฉะนั้นการเจริญสติถ้าเราได้สัมผัสกับตัวสติจริง ๆ อะไรก็ตาม การใช้ชีวิตมันจะมีความอบอุ่นใจคือไม่หมดเนื้อหมดตัว มีที่พึ่ง มีเกราะ อุปมาเหมือนกับเรานอนในมุ้ง นอนอยู่ในมุ้งได้ยินเสียงยุงที่มันบินรอบ ๆ มุ้ง ยุงมันก็มีอยู่ แต่ขณะที่เรานอนอยู่ในมุ้งเราก็มีความอบอุ่นใจ ไม่ว่ายุงมันจะบินมากมายอยู่นอกมุ้ง ความกังวล ความปลอดภัยเราก็รู้สึกเอง เราก็นอนได้สบาย ไม่เหมือนกับนอนแบบไม่มีมุ้ง เมื่อได้ยินเสียงยุงก็กังวลใจ ตัวเองก็ไม่ปลอดภัย อันนี้ก็เหมือนกัน คราวใดที่เรามีสติไปใช้ตาใช้หู เกี่ยวกับรูปกับรสกับกลิ่นกับเสียง เราก็ปลอดภัย อยู่กับมันถูกต้อง เหมือนกับเรามีความรู้เรื่องไฟฟ้า เล่นกับไฟฟ้าก็ปลอดภัยเพราะเรามีความรู้ เชื่อมั่นตัวเอง ตามไปตามขั้นตอน
การมาฝึกหัดเจริญสตินี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติจริง ๆ กำหนดสติ รู้สึกระลึกได้ ไปไหนมาไหน การลุก การตื่น การหลับ การนอน มันก็เป็นของธรรมชาติอันหนึ่งที่ช่วยเรา ถ้าเราให้โอกาสแก่สติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะก็ให้โอกาสแก่เรา ดังที่หลวงพ่อได้พูดให้ฟังเมื่อวานนี้ เราสร้างสติ ต่อไปสติมันจะสร้างเรา เราสร้างสมาธิ ต่อไปสมาธิมันจะสร้างเรา เรารักษาศีล ต่อไปศีลจะรักษาตัวเรา มันเป็นคุณธรรมต่อกัน ความปลอดภัยก็มีมากขึ้น แต่ถ้าเรามาดูชีวิตของเราจริง ๆ วันหนึ่งคือในการใช้ชีวิตประจำวัน เราให้โอกาสแก่สติมากน้อยแค่ไหนเพียงใด เราก็ขวนขวายเปิดโอกาสให้แก่ความรู้สึกระลึกได้เท่าใด เราให้โอกาสอย่างอื่นเท่าใด มีจิตมีใจก็ไปคิดเรื่องอื่น ตกเป็นทาสของเรื่องอื่นไป ครุ่นคิดในเรื่องอารมณ์ต่าง ๆ ความรัก ความชัง ความสุข ความทุกข์ ไปหลงตัวลืมตนอยู่ที่ไหน จิตใจก็เป็นของคนอื่น จิตใจไม่มีเจ้าของ คนไม่มีเจ้าของ หรืออุปมาอย่างหนึ่งเหมือนกับโสเภณี โสเภณีเป็นคนไม่มีเจ้าของ เขาจะหิ้วไปทางไหนก็ได้ เมื่อใดก็ได้ วันใดก็ได้ จิตใจของเราก็เหมือนกัน บางครั้งบางคราวไม่มีเจ้าของ ไม่มีความรู้สึกระลึกได้ ไปคิดอันใดเป็นอิสระเกินไป เหมือนคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง เป็นคนจรจัด จะไปไหนก็ไป จะทำอันใดก็ทำ ไม่มีใครเห็น มันก็ไกลพ่อไกลแม่ บางทีก็ตกไปในความชั่วความผิดโดยไม่รู้สึกตัว อันนี้ก็เหมือนกัน การที่เรามีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ อยู่กับรูป กับรส กับกลิ่น กับเสียง มันง่ายเกินไป มอบให้รูป มอบให้รส มอบให้กลิ่น มอบให้เสียง ตาก็ตกเป็นทาสของรูป หูก็ตกเป็นทาสของเสียง จมูกลิ้นกายใจตกเป็นทาสของธรรมชาติไป ไม่ได้มีเจ้าของ ถ้าเราหัดมีเจ้าของ จะดูจะฟังก็ตามมีความรู้สึกระลึกได้ หัดอย่างนี้ ฝึกหัดอย่างนี้ มันก็ปลอดภัย
ยิ่งเรามีโอกาสมาฝึกอย่างนี้นะ ในช่วง 2 – 3 วันนี้ ให้มันเคยชินเป็นนิสัย หัดให้มีความเคยชินเป็นนิสัย เป็นปัจจัยให้รู้สึกระลึกได้ จะทำอันใดเกี่ยวกับสิ่งใด จะอยู่คนเดียวก็ตาม จะอยู่กับหมู่กับมิตรก็ตาม เพียรพยายาม อย่าหลุดหนีไปจากความรู้สึกระลึกได้ เปิดโอกาสให้ความรู้สึกระลึกได้เป็นใหญ่ ให้ความเป็นใหญ่ ให้ความเคารพ ดังที่เราว่าพระพุทธเจ้าเคารพพระธรรม ทุกคนเคารพพระธรรม ก็หมายถึงสภาพอย่างนี้คือความรู้สึกระลึกได้ ถ้าตั้งต้นที่ตรงนี้ได้จะปลอดภัย เหมือนกับว่าเป็นธรรมแม่บท สติสัมปชัญญะเป็นธรรมแม่บท เมื่อมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จริง ๆ ขึ้นมา ศีลก็จะมีขึ้นมา สมาธิก็จะมีขึ้นมา ปัญญาก็จะเกิดขึ้นมา ไม่ต้องไปกลับหน้ากลับหลัง พอเจริญสติ พอสร้างจังหวะ พอประพฤติปฏิบัติธรรมก็ไหลไปทางอื่น ไม่ได้ตั้งต้น ไม่ได้ปลูก อุปมาเหมือนกับเราจะกินมะม่วง พอปลูกมะม่วงลงไปก็คิดถึงผลถึงลูกถึงรสถึงชาติลงไป แทนที่เราจะปลูกเฉย ๆ ปลูกเฉย ๆ หน้าที่ของเราคือปลูกเท่านั้น ทำหน้าที่ดูแลรักษา มันก็เป็นกฎของธรรมชาติ
การเจริญสตินี้ก็เหมือนกัน อย่าหนีไปจากนี้ ทำใหม่ ๆ อย่าไปคิดไปทางอื่น บางทีพอเจริญสติยกมือสร้างจังหวะ มันก็คิดไปทางอื่นก่อน หลุดไปทางอื่นก่อน มันก็เป็นกฎของธรรมชาตินั่นแหละ เพราะความเคยชิน นิสัย ความเคยชินของเรา ที่มีจิตมีใจง่ายที่จะไหลไปทางอื่น มันเคยเป็นอิสระ มันเคยไม่มีเจ้าของ ไม่เคยบอกเคยลา ก็ไปกันง่าย ๆ คิดไปง่าย ๆ ก็ไหลไปทางอื่น พอเราจะให้มันอยู่เป็นที่เป็นระเบียบ มันก็ไม่ยอม มันเคยตัวมาตั้ง 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี มันเคยไหลไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่เคยทบไม่เคยทวน ไม่เคยกั้น ไม่เคยหยุด ไม่เคยฝึกหัดมัน ก็ไหลไป กิริยาที่มันจะไป พอเราจะมาให้มันอยู่เป็นระเบียบ ยกมือสร้างจังหวะ มันก็ไม่อยากจะอยู่ล่ะ เราก็จะเห็นกิริยาของมัน มันก็คิดไปทางหนึ่ง พอเราดูกายให้มันเห็นกาย มันก็คิดไปทางหนึ่ง เราก็พยายามดูให้เห็นเรื่อย ๆ ไป เห็นอาการของกาย เห็นอาการของใจ หลายอย่างที่มันจะแสดงออก เราดักดู เรามีจุดที่จะต้องดักดูมัน เหมือนกับบ้านเรือนของเราที่มีประตูรั้วบ้าน มีประตูหน้าต่าง เราจะดูแลทรัพย์สินของเรา ก็ต้องมีจุดดู จุดเข้าจุดออก ไม่ต้องไปมองอะไรให้มันพร่า เราก็ดูเป็นจุด ใครมาเราก็เห็น เพราะมันมีจุดบอก
ทางธรรมชาติก็มีอยู่คือกายกับใจเป็นส่วนใหญ่ ๆ ถ้าเราดูกายกับใจ ให้มันเห็นอยู่ ดูอยู่จุดนี้ ก็จะเห็นหลายอย่าง ความคิด ความดีใจ ความเสียใจ ความสุข ความทุกข์ ความวิตกกังวลอะไรต่าง ๆ เรื่องของกายเรื่องของใจมากมายก่ายกอง เราก็จะเห็น จะได้คำตอบออกมา ให้มันเห็นแล้วก็รู้พร้อม ทั้งรู้ ทั้งเห็น เห็นรูปก็รู้เรื่องของรูป เห็นนามก็รู้เรื่องของนาม อาการของรูปก็มีมากมายหลายอย่าง อาการของนามก็มีมากมายหลายอย่างที่มันเป็นธรรมชาติ บางอย่างเราก็แก้ไขไม่ได้ บางอย่างเราก็ช่วยบรรเทา บางอย่างก็ละได้เด็ดขาด อันใดก็ดี สิ่งเหล่านี้มันจะสอนเราเอง ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นผู้สอน มันรู้เองเห็นเอง การสอนให้รู้นี้สอนกันได้อยู่อย่างที่พูดให้ฟังเมื่อวานนี้ การสอนให้รู้นี้มีมากมายก่ายกอง อย่างสติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ท่องเอา ตอบเอาก็ได้ เมื่อเวลามีใครมาถาม เราก็ตอบได้เลย สติคืออะไร สัมปชัญญะคืออะไร เราก็ตอบเอา แม้แต่เรื่องศีลก็เหมือนกัน การรักษากายวาจาให้เรียบร้อยชื่อว่าศีล การรักษาใจมั่นชื่อว่าสมาธิ เราก็ตอบได้ ความรอบรู้ในกองสังขารชื่อว่าปัญญา เราก็ตอบได้ ตอบถูกได้คะแนน ถูกต้อง
แต่เมื่อมาสัมผัสดูจริง ๆ คำว่าศีลคืออะไร รักษากายวาจาให้เรียบร้อยชื่อว่าศีล เท่านั้นหรือ บางทีเราก็อาจจะสัมผัสดู ภาวะของศีลเมื่อใดที่เราเจริญสติสร้างจังหวะยกมือรู้สึกระลึกได้กับกายที่มันเคลื่อนไหว มันรู้อยู่ตรงนี้ รู้นาน ๆ เป็นระเบียบจนมันเคยชิน จนชำนิชำนาญ กระพริบตาก็รู้ หายใจก็รู้ เราอยากรู้ส่วนใดเรื่องของกาย มันง่ายที่จะรู้สึกตัว ทำใหม่ ๆ มันก็ยากที่จะรู้สึกตัว พอเราทำไป ทำไป ก็ง่ายที่จะรู้กายของเรา การเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นของหยาบหรือของละเอียด ของหยาบคือยืนเดินนั่งนอน ของกลาง ๆ คือการหายใจ กะพริบตา กลืนน้ำลาย ของละเอียดก็คือความคิดความนึกเข้าไป พอเรามีกำลังมีสติมาก ก็กำหนดได้ทั้งหยาบทั้งละเอียดเข้าไป ง่ายที่จะรู้ พอมันรู้ มีความรู้มากเข้า ความรู้สึกระลึกได้เป็นเจ้าของเป็นใหญ่ จิตมันก็ไม่คิดไปทางอื่น มันก็ปกติ เมื่อมันอยู่ตามปกติ เราไปเห็นความปกติก่อน เมื่อมันอยู่ในความปกติมันก็ปลอดภัย ไปเห็นความปกติ ไปได้สัมผัสกับความปกติของกายของใจ ไปเห็นแล้วก็จึงรู้ว่า โอ้! นี่เองคือศีล ศีลคือภาวะความปกตินี่เอง จิตใจก็อยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี รู้เรื่องของกายรู้เรื่องของใจดี ก็รู้จัก โอ! ศีลคือภาวะอย่างนี้อย่างนี้ ไม่ใช่ท่องเอาเสียแล้ว ไปเห็นแล้ว อยู่นี่ปลอดภัยดี สีเลนะ สุคะติง ยันติ ปลอดภัยเป็นสุขจริง ๆ อยู่ที่นี่ปลอดภัยจริง ๆ เราไปเห็นอย่างนี้ก่อน สีเลนะ โภคะสัมปะทา จะเป็นทรัพย์ภายนอกทรัพย์ภายในก็อยู่ ไม่ลุกลี้ลุกลน ปลอดภัย สีเลนะ นิพพุติง ยันติ จิตใจก็เย็นเป็นปกติ ใจทุกส่วนเป็นปกติ ร่างกายก็ปกติ ศีลนี้จึงช่วยเรา ศีลก็เป็นการรักษาเรา เราไปรู้อย่างนี้
ส่วนสมาธิ โอ! จิตที่มันเชื่อง มันไม่พยศ ก่อนหน้าที่เรายังไม่มาฝึกปฏิบัติ มันครุ่นคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไหลไป พอมาฝึกหัดมันก็หัดได้จริง ๆ มันเชื่อง มันไม่พยศเหมือนเมื่อก่อน อยู่เป็นที่เป็นทาง จะกินจะหลับจะนอนจะไปไหนมาไหน ไม่ได้ไหลเหมือนเมื่อก่อน เป็นระเบียบ จะอยู่กับการหลับการนอนก็ง่าย เวลานอนก็นอน เวลากินก็กิน ไม่ได้คิดไปทางอื่น จิตมันเชื่อง มันอยู่เป็นที่เป็นทาง เป็นระเบียบ โอ! ลักษณะนี้คือเป็นสมาธิ เราก็เห็น เห็นแล้วจึงรู้จัก ไม่ใช่ท่องเอา รู้ก่อนรู้ มันเห็นแล้วถึงรู้จักว่าเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา แม้แต่ปัญญาก็เหมือนกัน รอบรู้อยู่ในรูปในนาม ในตาในหูในจมูกลิ้นกายใจ รูปรสกลิ่นเสียง สิ่งเหล่านั้นเป็นใหญ่ ความเป็นใหญ่มันมี มันปกครองตัวเอง จะใช้ตาก็ไม่มีปัญหา จะใช้หูก็ไม่มีปัญหา จมูกลิ้นกายใจไม่มีปัญหา เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง ใช้ชีวิตถูกต้อง ชีวิตมีเจ้าของ ปลอดภัย ไปไหนมาไหนจะอยู่กับหมู่กับมิตรหรือจะอยู่คนเดียวก็ตาม ศีล สมาธิ ปัญญาเหล่านี้เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ เป็นสิกขา เป็นผู้ที่ให้ชีวิตต่อเรา เป็นชีวิต สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต ให้ชีวิต
ชีวิตอย่างนี้คือชีวิตที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ที่ว่าไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายนั้นไม่ใช่หมายถึงรูปอันนี้ แต่เป็นชีวิตที่อยู่เป็นที่เป็นทาง เห็นอาการของกายของใจ เมื่อใดที่อาการของกายของใจที่มันแสดงออก เช่น ความร้อน ความหนาว ความหิว ความเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็รู้จัก ศีลก็มี ขณะนั้นน่ะศีลก็เข้ามารักษาทันที ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่ให้ถลำเข้าไปความทุกข์กองทุกข์ ศีลจะมาช่วย เหมือนกับพ่อแม่มาช่วยเรา ช่วยลูกอ่อนที่กำลังจะพลัดตกลงบ้านลงเรือน มีอันตรายจะมาถึง สีเลนะ สุคะติง ยันติ คุ้มครอง ให้ความปลอดภัย ศีลตัวนี้บอกกันไม่ได้ ให้กันไม่ได้ ต้องสร้างเอาเอง วิธีที่จะให้ศีล ให้สมาธิ ให้ปัญญาเกิดขึ้นมาก็นี่แหละ หลวงพ่อรับรอง 100 เปอร์เซ็นต์ 1000 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเราตั้งต้นที่ตรงนี้นะ อย่าหนีไปจากที่นี่ อย่าหลุดไปจากที่นี่ซะ อยู่กับเราทุกคน ทุกคนมีสิทธิ์ มีหน้าที่ที่จะทำได้ทุกคน มีกายเหมือนกัน ยกมือก็รู้สึกเหมือนกัน คว่ำมือก็รู้สึกเหมือนกัน พยายามตั้งต้นที่นี่ให้ได้ สองวันสามวันที่เรามาใช้ชีวิตอยู่
ยิ่งสมัยก่อนไม่เคยมีภาพพจน์อย่างนี้ กิจกรรมอย่างนี้ก็ไม่ค่อยมี ถ้าจะพูดว่ากิจกรรมแบบนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 20 กว่าปี แต่ก่อนไม่เคยมี หลวงพ่อก็เคยขวนขวายหาเหมือนกัน ขวนขวายเอาเอง ไปหาเอาเอง ไปใช้ชีวิตเอาเอง บางทีต้องไปขออยู่ขอใช้ชีวิตกับครูอาจารย์ ไม่มีใครจัดให้อย่างนี้ แต่เรามาใช้ชีวิตขนาดนี้มันอบอุ่นใจดี มีผู้จัดให้ มีอาหาร มีที่หลับที่นอน มีห้องน้ำห้องส้วม มีแสงสว่าง มีผู้ปลุกด้วย คุณทวีเกียรติก็ปลุกพวกเรา ตีระฆังปลุกพวกเรา จัดสถานที่ให้อยู่ มีผู้มาพูดให้ฟัง มาทำให้ดู พาเดินจงกรม พานั่งสร้างจังหวะ เห็นภาพเห็นพจน์ เห็นหมู่เห็นมิตรเข้าไป ถ้าเราไม่ทำก็เห็นคนนั้นยังเดินจงกรมอยู่ คนนั้นยังนั่งสร้างจังหวะอยู่ เราก็ได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ก็เป็นการขวนขวายช่วยกันไป มันเป็นภาพพจน์ที่ดี อยู่นี่แหละดีแล้ว โดยเฉพาะคนเมืองอย่างนี้ดีกว่า หลวงพ่อว่านะ
ถ้าไปอยู่วัดป่าสุคะโตอาจจะแปลกหูแปลกตาไป เพราะเราอยู่ในเมืองไปไหนมาไหนมีไฟมีถนนหนทางสะดวกสบาย แล้วก็ตื่นขึ้นมา บางทีไม่ต้องจุดไฟก็ได้อยู่ที่นี่ อาจจะไม่มีอันตราย ไม่มีงูพิษ ไม่มีตะขาบ ไม่มีหลุมไม่มีบ่อ ไม่มีขวากมีหนาม พื้นดินที่เราใช้อยู่โรยทรายไว้อย่างดี หลับตาเดินไปก็ไม่เป็นไร ความปลอดภัยไม่ต้องคิด ไม่ต้องแบกจิตแบกใจไปคิดเอาเรื่องอื่น ตื่นขึ้นมาก็เอากันเลย เดินจงกรมเข้าห้องน้ำห้องส้วมสะดวกสบาย อย่างที่หลวงพ่ออยู่มีป่า อย่างหนูนี่ไป ไปกลัวป่า นอนไม่หลับ กลัวงูพิษ บางคนก็ได้ยินข่าวว่างูชุมมาก บางทีก็กลัวเสียง กลัวความสงบ ลมพัดใบไม้ดังหวู่หวี่ ๆ บางทีก็เสียงหนูเสียงอะไรขึ้นหลังคาดังโครกคราก ๆ เสียงลมเสียงนก สัตว์บางประเภทร้องเหมือนกับเสียงคนก็มี ถ้าเราไม่รู้ไม่ชินก็กลัว เมื่อความกลัวเข้าครอบคลุมก็ลืมสติไปเลย คิดไปหลงไป บางคนก็หอบกระเป๋ากลับบ้าน อยู่ที่นี่ดีกว่าหลวงพ่อว่านะ
อยู่วัดนี้แหละดีที่สุด ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด อาหารการกินก็สะดวก อยู่ที่นั่นต้องทำครัว อาหารการกินก็อาจจะไม่ชินกับพวกเรา ข้าวเหนียวจิ้มน้ำพริกหยาบ ๆ เมื่อวานนี้หลวงพ่อมาฉันที่นี่ เหมือนกับไม่ได้เคี้ยว มันไหลลงคอ อาหารละเอียด อาหารประณีต อยู่ที่โน่น หลวงพ่อต้องเคี้ยวจนกรามมันเมื่อยไปเลย อาหารมันหยาบ กินลงไปบางทีก็ท้องเสีย คนบ้านนอกนะ เวลาไปบิณฑบาต บางทีก็น่าสลดใจน่าสังเวช ขันข้าวที่เอามาใส่บาตรก็สกปรก อันนี้อย่าไปพูดให้ใครฟัง พูดให้พวกเราฟัง (หัวเราะเบาๆ) ถามหลวงพ่อกรมดู บางทีพอเราเดินไปบิณฑบาต “ถ่าแน้ (รอก่อน) หลวงพ่อ ถ่าแน้ หลวงพ่อ” มือยังไม่ล้าง เช็ดหน้าเช็ดหลัง เช็ดหน้าเช็ดหลัง จับข้าวใส่บาตร ส่วนพวกเรา เวลาหลวงพ่อไปบิณฑบาต อาหารปกปิดห่อไว้เรียบร้อย ปิดไว้อย่างดี มาถึงก็ใส่ทันที เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่ดีกว่า ถ้าไปก็ได้ไม่เป็นไร ไปฝึกหัดดู มีประสบการณ์ในความสงบ ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็ดีเหมือนกัน
แต่ที่นั่นเราอยู่คนเดียวจริง ๆ กุฏิก็ห่างไกลกัน มองหากันไม่เห็น ป่ารกคลุมไปหมด มีทางเดินถ้าเราเดินผ่านไปหากัน มองไม่เห็นกัน บางคนก็กลัว บางทีก็เป็นอย่างนั้น แต่ความเงียบความสงบตามที่หลวงพ่ออยู่นะ มันทำให้ลืมอะไรต่าง ๆ ไป ถ้าเราได้ไปเจอกับธรรมชาติ ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ความเงียบสงบมันทำให้เราลืมชีวิตที่ผ่าน ๆ มา ความเงียบสงบสอนเราให้เราสงบไปด้วย เมื่อเราสงบ ตาก็ไม่เห็นอันใดเห็นแต่ธรรมชาติ ตามันก็ลืมโลก ความเคยชินแต่เก่าแต่ก่อนจืดจางเหี่ยวแห้งไป มีแต่ความสงบมาครองชีวิตเรา ได้เห็นธรรมชาติ ลมพัด ต้นไม้ เห็นนก อะไรต่าง ๆ ธรรมชาติให้ชีวิตเรา ลืมความหลังที่เคยลุกลี้ลุกลนเร่าร้อนกระวนกระวาย มีแต่ความเย็นใจ
บางทีถ้าเราอยู่กับธรรมชาติจริง ๆ ธรรมชาติจะสอนเราให้รู้ธรรมะ ให้เข้าใจธรรมะ หลายคนบางทีไม่ต้องเดินจงกรม พออยู่กับความเงียบความสงบมันเปลี่ยนไปจริง ๆ ชีวิตจิตใจเปลี่ยนไปจริง ๆ ต่างเก่า เอ๊! ผมไปบ้านรู้สึกว่ามาอยู่ที่นี่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป ชีวิตเลยเปลี่ยนไป รู้ธรรมเห็นธรรม เพราะใจมันเปลี่ยน สัมผัสกับความสงบ ตาก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อก่อน หูก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อก่อน ความสงบมีอำนาจครองชีวิตเรา อันนี้ก็ดี อยู่ป่าก็ดี แต่ถ้าหลวงพ่อนะ หลวงพ่อต้องอยู่ป่า คิดว่าจะอยู่ป่าไปจนตาย คิดว่านะ แต่ว่าไม่แน่เหมือนกัน อาจจะมาตายที่วัดสนามในก็ได้ นี่เป็นธรรมชาติที่เราได้สัมผัส แต่ถ้าหลวงพ่อดูแล้วนะ ที่นี่เหมาะที่สุด หาที่ไหนไม่ได้แล้ว ไปออกเข้าง่ายที่สุด
เพราะฉะนั้นเรามาอยู่ร่วมกันมาปฏิบัติร่วมกัน เป็นภาพพจน์ต่อกัน พยายามสร้างความสงบ พยายามอยู่กับสติให้ได้ อย่าหนีไปทางอื่น เมื่อไม่รู้ไม่เห็นจะไม่หนีจากที่นี่ พระพุทธเจ้าเคยตั้งปณิธานเอาไว้ เราลองมาตั้งดูจริง ๆ เมื่อไม่รู้ไม่เห็นจะไม่หนีจากที่นี่ ไม่หนีจากความรู้สึกระลึกได้ เห็นอยู่นี่ รู้อยู่นี่ รู้อยู่นี่ เมื่อมันไปก็กลับมา ปฏิบัติคือกลับมา กลับชีพคืนมา มามีความรู้สึกระลึกได้ อยู่อย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำอันเดียวเท่านั้น อย่าไปกลัวอย่างอื่น อย่าไปคิดอย่างอื่น เดี๋ยวจะไม่รู้ โอ! มาวันหนึ่งแล้วเสียเวลาคิดไปแล้ว มันคิดเรื่องอะไร อย่าไปพะวง คิดช่างมัน กลับมา ตัวคิดมันจะสอนให้ไม่คิด ตัวหลงมันจะสอนให้ไม่หลง มันลืมไปซะ อย่าไปรู้จัก โอ! ความหลงลืมเป็นอย่างนี้ ความรู้เป็นอย่างนี้ มันจะรู้จักทันที ต่อไปมันก็ขวนขวายเอง สอนตัวเอง ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นผู้สอนแล้วต่อไป นั่งบนรถเมล์ อยู่บนบ้าน ทำงานที่ทำงาน รู้สึกระลึกได้ รู้สึกระลึกได้ ปิดไปเอง
ก็ได้เวลา หมดเวลาพอดี เพราะเราจะพยายามไม่ต้องพูดกันมาก ให้มีการกระทำมาก ๆ ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านผู้ฟังทุกคน