แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงตาไม่ค่อยจะมีเสียง มันไปไม่กลับแล้ว หูก็ไปไม่กลับ เสียงก็ไปไม่กลับ แต่ยังมีอันที่จะต้องมั่นคงอยู่คือ ภาวะที่ไม่เป็นอะไรกับอะไร ยังมีอยู่ ไม่ไปไหน อย่างที่บอกเรื่องนี้กับพวกเรา นี่มันเป็นวัด พระสงฆ์อยู่ นักบวชอยู่ที่นี่ กินข้าวชาวบ้าน ห่มจีวรชาวบ้าน ชาวบ้านทำที่อยู่ให้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็พอจะดูแลรักษาเยียวยาได้บ้าง ชีวิตของเราก็เนื่องด้วยผู้อื่น เราจะอยู่ยังไงถึงจะไม่เป็นบาป ถ้าอยู่วัดอยู่ไม่ดี เหมือนหญ้าคาที่กำไม่ดีย่อมบาดมือ นักบวชเมื่อทำไม่ดี ก็ย่อมฉุดไปสู่นรกได้ เราจะทำยังไง ยังศึกษาธุระ คันถธุระ ศึกษาตำรับตำรา สูตรต่างๆ เอามาสาธยายเอามาสวด ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น วิปัสสนาธุระ ทำให้มันมีขึ้น จะทำไงจึงมีสติ ไม่ตายเวลา ไม่หลงในเวลาตาย สุดท้ายคือสติ ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่เจ็บ ก็ยังหลงอยู่จะทำอย่างไรพวกเรา ถ้าไม่ฝึกหัดมันก็ไม่เป็น ต้องฝึกหัด เมื่อหลงมันไม่จริง ใครก็รู้ โกรธไม่จริง ใครก็รู้ ทุกข์ก็ไม่จริง ใครก็รู้ แต่ไม่โกรธก็จริงมีใครทำได้บ้าง ไม่หลงไม่จริง ไม่หลงมันจริงอยู่ มีใครทำได้บ้าง ความทุกข์ไม่จริงแต่ใครทำให้ไม่ทุกข์ได้บ้าง ทั้งที่ไม่จริงเราจะยอมรับอยู่อย่างนั้นหรือ นี่คืองานของพวกเรา ปฎิเสธไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการบวช การไม่บวช
แต่โอกาสบวชนี้มีโอกาสศึกษาเป็นแนวหน้า ควรจะศึกษาให้รู้ไปบอกชาวบ้านที่อยู่เบื้องหลังของเรา ถ้าเราหลงอยู่วันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องหลง เดือนหน้าก็ต้องหลง ปีหน้าก็หลง ชาติหน้าก็หลง มันไม่ใช่เล็กๆน้อย ถ้าหลงก็ไปไกล ไปสู่อบาย ต่ำลงไป เหมือนน้ำที่ไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ ชีวิตของเราเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไม่ถ่อไม่พายชีวิตของเรา ถ้าเรารู้วันนี้ก็เป็นการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดมา การแก้ไขในอดีต ถ้าเรารู้วันนี้เป็นการป้องกันในอนาคต อาจจะไม่หลงในวันพรุ่งนี้ นี่เป็นงานของพวกเรา ทุกชีวิตปฎิเสธไม่ได้ และก็จะทำไง เวลามันหลง ก็ปลี่ยนหลงเป็นรู้ไปเรื่อยๆไป อย่าให้มันสูญเปล่า ได้ประโยชน์จากความหลง เอาความหลงและความไม่หลง เอาประโยชน์จากมัน เหตุมันมีอย่างนี้ ผลก็ต้องมีอยู่นี้ เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลงมันทำได้ทุกชีวิต เราจะปล่อยไว้อย่างนั้นหรือ
ประมาทอย่างนี้ก็ไม่ได้ นิดหน่อย แต่ก็เมื่อมากขึ้นก็มากขึ้น เหมือนน้ำล่ะไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ เพียงหยดเดียวๆมันก็เต็มตุ่มเต็มโอ่งได้ อันความไม่ดีเมื่อมันมีอยู่บ่อยๆก็จะมากขึ้น เมื่อมากขึ้นก็มืดมนไม่รู้จัก พอใจในความทุกข์ พอใจในความหลง พอใจในความโกรธได้ เราไม่ต้องจำนนเสมอไป เราทำได้ การเปลี่ยนหลงเป็นรู้ไม่หนักหนาสาโหดอะไร แต่ก็ไปไกลนะ ถ้าไม่เปลี่ยนตรงนี้ก็ไปทางต่ำ ถ้าหลงเป็นหลงไปแล้ว ไปอีกแล้ว หลงอีกก็ไปหลงอีกก็ไปกันแล้ว หลงคราวใดก็หลง ความหลงเป็นความหลงอยู่เช่นนั้น มันไกลความไม่หลงเรื่อยไป ทีแรกก็อยู่ใกล้ๆกันเหมือนทางสี่แพร่งสามแพร่ง มันก็ก้าวแรกที่มันแยกไปคนละทาง แต่ก้าวต่อไปมันก็ไปไกล ไปไกล ไปสู่จุดหมายปลายทาง คนละทิศละทางไป ไปสู่อบาย
ถ้าหลงเป็นรู้ก็ก้าวไปอีกทางหนึ่ง ไปสู่สุคติ ไม่ใช่ไปอบาย อย่างก้าวเล็กแต่น้อย เรามีกรรมฐานเนี่ยเป็นก้าว อาศัยกรรมคือการกระทำ ให้รู้สึกตัว หายใจเข้าหายใจออก มันก็พอดีกับระยะเวลารู้ มันรู้ ก็จะมากรู้ มันทำได้อย่างนี้ เหมือนรูปแบบกรรมฐานเช่น สติปัฎฐานสูตร คู้แขนเข้ารู้ เหยียดแขนออกรู้ คู้แขนเข้ารู้ เหยียดแขนออกรู้ มันก็พอดีเหมือนกับเข็มวินาที มันกระโดดแต๊ก แต๊กไป ก็ไปไกล วินาทีหนึ่งก็ไปแล้ว ห้าวินาที ถ้ารู้ห้าครั้งก็ไปห้าวินาที ถ้ารู้เป็นหลายๆวินาทีก็เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ได้ และเราเปลี่ยนหลงเป็นรู้ก็มากรู้ได้เช่นกัน ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นรู้ไปอีกทางหนึ่ง ถ้าจะเปรียบก็เหมือนมนุษย์ ถ้าหลงเป็นหลงเป็นคน ปนเป ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ปนกันไปหมด เรียกว่าคน เอามาปนกัน สุขก็ทุกข์ ทุกข์ๆสุขทุกข์ หลงรู้อะไรต่างๆ พอใจไม่พอใจ ปนกันไป นั่นเรียกว่าคน ไม่รู้อะไรคือเราอาศัยมันได้ มีใจก็พึ่งไม่ได้ ไม่มั่นใจ แล้วแต่มันจะให้เกิดทุกข์ ก็ทุกข์ไปกับใจ เวลามันคิดขึ้นมาก็ทุกข์ไปกับความคิด ได้ ถ้ามันหลงอะไรก็เอาไปทุกข์ได้ ตาเห็นรูปก็พอใจไม่พอใจไปอย่างนั้น ถ้าผู้ฝึกตนเห็นรูป ตาเห็นรูปก็เห็น ไม่ใช่มีพอใจไม่ใช่ไม่พอใจอยู่กลางๆ ไม่เป็นไรกับภาวะที่เห็น เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
เช่น เขา เราสอนคนเขาไม่เข้าใจ ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปทำอะไร เรียกว่าเราพยายามที่จะพูด บอกอยู่ ถ้าพูดเขาก็ไม่เข้าใจก็พยายามที่จะบอกอยู่ จนตายโน่นแหล่ะ ว่าความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง จะขอพูดเรื่องนี้ ความทุกข์มันไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง จะพูดเรื่องนี้ไปจนตาย ไปอยู่ที่ไหนก็จะบอกอย่างนี้ จะพูดอย่างนี้ แล้วใครก็หลงกันในชาติในโลกนี้ ก็โกรธเป็นทุกข์เป็นเหมือนกันหมด อันความไม่หลงความไม่โกรธความไม่ทุกข์ ก็เหมือนกันหมด ทำได้ทุกคนเหมือนกัน จึงเป็นงานของเราที่ต้องทำอันนี้ มันจะคุ้มค่ากับข้าวสุกข้าวแกงของญาติของโยม ถ้าเราไม่บอกอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตเพื่ออะไรกัน นอกจากเราบอกคนอื่น เราก็พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอ เราพูดอย่างไร เราก็ทำได้เช่นนั้น เราเคยหลงเราเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง เราก็ทำได้ เราเคยทุกข์เราเปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์เราก็ทำได้ มันต่างกันอยู่ทำไมเราจะไม่บอกกัน ถ้าหลงเป็นไง ไม่หลงเป็นไง โกรธเป็นยังไง ไม่โกรธเป็นยังไง ทุกข์เป็นยังไงไม่ทุกข์เป็นยังไง เราก็สัมผัสอยู่แล้ว ว่าเลือกได้แล้ว มาร้ายเอาเป็นดีได้ทุกกรณี อย่างเนี่ย ทำไมไม่บอกกันอย่างเนี่ย ปล่อยให้กันหลง ปล่อยให้กันทุกข์ ปล่อยให้กันโกรธไปทำไม ไม่หลงก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ได้ ไม่โกรธก็ได้ อย่างเนี่ย
ถ้าหากว่าเขาศึกษา เขาได้ยินเรา ฟังเราพูด เขาไปฟัง เขาไปทำดู ก็อาจจะได้ผลอะไรบ้าง บางคนพูดให้เราฟัง เราก็ไม่รู้ไม่ชี้กับเขา เขารู้เขาเอง ไม่ใช่เราเอาให้เขาได้ ความหลงความไม่หลงเขาทำเอาเอง ความทุกข์ความไม่ทุกข์เขาทำเอาเอง ความโกรธความไม่โกรธก็ทำเอาเอง นี้ก็ไปสอนธรรมะเมืองจีน เขารู้อย่างนี้ฟังก็มี เขาก็พูดบอกว่า มันเกิดจากความหลงแน่นอน เห็นแล้ว ความหลงเกิดจากความคิดที่มีอันตราย เห็นแล้ว เข้าใจแล้วเรื่องนี้ เราก็เฉยแล้วแต่คนจะพูด อันหลงกับไม่หลงอะไรมันถูกต้อง คนพูดเอาเองไม่ใช่เราให้ได้ เขาบอกว่าเขามั่นใจ มั่นใจกับความคิดที่มันหลงคิด มันไม่หลงตรงนี้ มันก็ไปกันไกล เขาบอกว่าอะไรก็ง่ายแล้วบัดนี้ ได้หลักมันแล้ว ได้หลักแล้ว เกิดจากความคิดที่มันหลงจากความคิดแน่นอน แม้ตาเห็นรูป ก็คิดนั่นแหล่ะ ได้รู้นั่นแหล่ะ มันคิดนั่นแหล่ะ มันชอบ มันไม่ชอบนั่นแหล่ะ บัดนี้เขาได้หลักตรงนี้แล้ว เขาก็ยกมือไหว้แล้วไหว้อีก นั่งอยู่ก้มกราบแล้วกราบอีก ถูกแล้ว ถูกแล้ว ก็ช่างเขาเราไม่สนใจ เขาได้สัมผัสเอง
ในคราวที่หลวงตาไปในครั้งนี้ ก็มีคนรู้หลายคน ก็น่าสิบอกกัน แม้เขานินทาเราอาจจะมี ก็ใส่ใจ เพื่อแก้ไขตัวเองอยู่เสมอ เราไม่หลง เขานินทา เขาสรรเสริญ เราไม่หลงทั้งสองอย่าง เราก็พยายามที่จะใส่ใจ เพื่อจะแก้ไข ใส่ใจฟังเรื่องอะไร เหมือนกับเราส่องเงาในกระจกที่เขาเป็นสะท้อนให้เราได้รู้ตัวเอง แล้วมีประโยชน์ ไม่ใช่โกรธใช่เคืองเขา เวลาเขานินทาเรา เราก็มีหลักแบบนี้ มันมีความถูกต้องอยู่ ไปกลัวอะไรในโลกนี้มันทำได้ มีความเชื่ออย่างนี้ และมีความเชื่อในธรรมในความถูกต้อง ไม่ต้องกลัวอะไร มันจะเกิดอะไรขึ้นมาไม่ต้องกลัว
ปัญหารุมเราชุกชุมเลยก็วิ่งกระโจนเข้าใส่ มีสิ่งที่กักขังในจิตใจเรา ความรักความชัง ไม่เหลียวหลังรั้งเราได้ ตีลงไป ไม่กลัว มันรั้งเราไม่อยู่ เพราะเรารู้นะ มีความแก่กล้า มีปัญหาอะไร มันเกิดการเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันเรา เหมือนกับโลกมันลุยได้อันเนี่ย ถ้าสู้เนี่ย มันแก่กล้า ถลาไกลก็ว่าได้ กระโดด สุดยอดเลย ถ้าแก่กล้าจริง กระโดดสุดยอดกอดมงกุฎธรรมด้วยหทัย ด้วยใจที่ได้สัมผัส มงกุฎธรรมคือไม่เป็นอะไรกับอะไร จบเท่านี้ก็ได้ ชีวิตเรา แล้วมันอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ เวลามันหลงไม่หลง กระโดดไป เวลามันโกรธไม่โกรธ กระโดดไป จะเชื่อหรือไม่เชื่อให้สัมผัสดู
นี่พระพูด พระพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ประจบสอพลอ นี่พระพูด เวลามันทุกข์ ไม่ทุกข์ อย่างนี่มันเปลี่ยนได้อยู่ เวลามันโกรธไม่โกรธ อย่างนี้ นี่มันเปลี่ยนได้อยู่เนี่ย อย่าให้ขันธ์กักขังเราได้ ไปไหนก็ไปไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ยังโกรธ อยู่ที่ไหนก็ยังโกรธ ยังทุกข์ ยังหลงอยู่ มันมีอะไรมากขนาดนั้นเหรอ ไม่มี ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง แล้วทำไมจึงพูดแต่เรื่องทุกข์เรื่องโกรธหล่ะ ไม่เห็นทุกข์ตรงไหนเลย สบายที่สุดแล้ว แม้แต่สบายก็อย่าไปติดมัน เห็นมันอีกนั่นแหล่ะ อย่าหลง สุขก็ไม่หลง ไปติดสุข ก็ไม่ใช่ เห็นอย่างเนี่ย สติเป็นอย่างเนี่ย มันจะตายก็เห็นมัน ไม่ใช่ตายเพราะว่ามันตาย ไม่ใช่ทุกข์เพราะว่ามันทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าฝึกหัดตนสอนตนไป ไม่ต้องกลัวอะไร เราเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน แล้วก็มองอย่างมิตรอย่างเพื่อนเอ๋ย
คนอื่นเค้าไม่หลงเรามาหลงอยู่ทำไม คนอื่นเค้าไม่ทุกข์เรามาทุกข์อยู่ทำไม คนอื่นเค้าไม่โกรธกันแล้วเรามาโกรธกันทำไม ทำไมเราจึงมาถูกขังโซ่ตรงนี้ แกล้วกล้าขึ้นมา กระโดดใส่มันเลย เจ็บปวดสักหน่อยไม่น้อมใจไปกับมัน ทวนกระแสสักหน่อย ให้หน้ามือเป็นหลังมือ บางทีก็หักดิบ เช่นองคุลีมาล หักดิบตัวเอง จะฆ่าคนให้ได้ถึงพันคน ใจจะฆ่า จะฆ่าคิดอยู่ ก็เห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไปโปรดองคุลีมาลเนี่ย นี่แหล่ะคนที่หนึ่งพัน เหลือคนเดียวเท่านี้แหล่ะ เอาให้ได้ เอานี้ก็พอแล้วพันหนึ่ง ก็จะเอา ฆ่าให้ได้ ฆ่าให้ได้ ไล่ตาม ถือดาบวิ่งตามไป หยุด หยุด
พระพุทธเจ้าก็ว่า เราหยุดแล้ว เราหยุดแล้ว หยุดอะไรยังวิ่งอยู่ สมณะอะไรโกหก หยุด เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุด เธอยังจับดาบไล่ฟันเราอยู่ เราไม่ทำแล้ว เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุดต่างหาก องคุลีมาลก็ ได้สติขึ้นมา หยุดทันทีเลย หักดิบเลยที่นี้ หยุดทันทีเลย ทิ้งดาบออกจากมือเลย สลัดเลย เปลี่ยนกำลังหลงคิดอยู่ นี่เราทำได้ หยุดทันที อันหยุดคิดนี้มันไม่ยากนะ ไม่ต้องอาศัยเครื่องทุ่นแรงอะไร เพียงแต่หยุด เพียงเป็นไม่คิดไม่หลงเท่านั้นเอง ก็กลายเป็นพระได้ทันที แป้ปเดียวลัดนิ้วมือเดียว เสียใจร้องไห้แต่ถูกกรรมติดตามอยู่ อยู่ที่ไหนก็คิดถึงการฆ่า เศร้าใจเหมือนกับเขาทิ้งก้อนกรวดทิ้งก้อนใส่หัวแตกอยู่เรื่อยไหลเรื่อย ร้องไห้อยู่เสมอ เสียใจจนพระพุทธเจ้าไปโปรดแล้ว โปรดอีก องคุลีมาลจึงเห็นภาพที่ตัวเองทำไม่ดีเสียใจอยู่เป็นหลาย หลายวัน แล้วเวลามันคิดถึงภาพที่ฆ่าคนทีไรก็เศร้าใจ ก็เปลี่ยนได้กำลังใจขึ้นมาเหมือนกับ ปัดมือออก ปัดมือออก หยุดแล้ว หยุดแล้ว วางแล้ว อันนี้ก็หยุดวางแล้ว หยุดแล้ว หยุดแล้ว มันก็ถูกต้องอย่างนี้ ไปคิดอีกก็น้ำตาไหล หยุด อันนี้ เวลาร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องความคิดเรื่องอะไร หยุดซะแล้ว ยกมือช่วยได้ กรรมฐาน(หัวเราะ) มันมีเครื่องมืออย่างนี้ มันคิดไปกลับมา อย่าลืมซะพวกเรา
หลวงตาคิดถึงพวกเรา ไปสอนคนจีนก็คิดถึงพวกเราเสมอ คิดถึงบรรยากาศที่นี่นะ ที่นั่นมันเขาสร้างมาพันกว่าปี วัดน่ะ ใหญ่โต วัดเราสร้างมากุฎิเป็นร้อยหลังสู้หลังหนึ่งของเขาไม่ได้ ถ้าคิดเป็นทุนก่อสร้างหลังละ สี่สิบห้าสิบล้าน สร้างมาพันกว่าปี เดินไปไหนกางร่มเดินไป อยู่ที่นี่เรามีป่าไม้ เดินสบายๆ หลวงตาก็หิวบรรยากาศที่นี่ ไปนั่งดูสระ เล่นอยู่จนนั่น ว่าจะมาทำวัตร ก็เพลินอยู่ นั่งเล่นอยู่ เอาตอนไหนก็อ้าวหกโมงครึ่งแล้ว สวดมนต์ตั๊ว มาที่นี่ก็บรรยากาศดีกว่าเมืองจีนนะ ก็อย่างว่า ไม่แพ้เรื่องนี้ เราต้อง เหลืออันเดียวคือเปลี่ยนหลงเป็นรู้เท่านี้แหล่ะ ถ้าใครมีหลงอยู่เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ถ้าใครมีทุกข์เปลี่ยนเป็นไม่ทุกข์ ถ้าใครมีความโกรธเปลี่ยนเป็นความไม่โกรธนะ มีเท่านี้จริงๆนะ ไม่อ้อนวอนนะ สาธุเด้อ (หัวเราะ) ต้องเปลี่ยนอย่างนี้ เอาธรรมไปจริงๆ นะ ให้สมหลวงตาคิดถึงพวกเรานะ มาเห็นแต่รอย นึกว่าจะเห็นกลด ไม่เห็นซักหลังเลย เห็นเต้นท์ก็ไม่เห็นนะ นะ ก็เท่านี้แหล่ะ วันนี้นะ สมควรแก่เวลากราบพระพร้อมกัน