แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน พูดกับทุกคนทุกท่าน สิ่งที่พูดมันมีอยู่กับเรา ถือว่าพูดกับทุกคน เราก็มาศึกษา มาปฏิบัติ มาจุ่ม มาต่อ มาสัมผัสดู โดยเฉพาะความรู้สึกตัวนี่ มันเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะมันได้คำตอบออกมา พิสูจน์ได้ และตอบเอาเองด้วย เหมือนวิทยาศาสตร์ทั่วๆไป อย่างหลวงตาเคยไปตรวจโรค ที่หมอบ้านผู้ใหญ่ผาย จังหวัดบุรีรัมย์ เขามีทองแดงมาจี้เรา เราลืมไปซะ มันทำยังไงก็ลืมไป ถ้าใครเป็นโรคมันจะบอกในตัวเรา ถ้าเอายา เอาต้นไม้ ต้นสมุนไพรมาใส่ มันก็หยุด เอาต้นอื่นมาใส่มันเต้น แสดงว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ มันถูกอันนี้ ถ้าไม่ถูกโรคในตัวเราก็ยังเต้นอยู่ ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เวลาที่สัมผัสกับเส้นทองแดง มันเคลื่อนไหว แสดงว่ามันมีเชื้อโรค มันมีไม่จบไม่สิ้น แล้วก็เอาต้นไม้สมุนไพรที่มันเป็นยามาใส่ดู ผู้ตรวจก็เป็นหมอสมุนไพร ใครจับดูก็ได้ เอายามาจับมาเองก็ได้ ไปหามาจากที่ใดก็ได้ แล้วก็หยุด เอายานั้นมาต้มกิน แล้วก็หาย ถ้าใครอยากไปตรวจดูก็ไปได้ จะพาไป อันนั้นเป็นวิทยาศาสตร์แบบโบร่ำโบราณ หมอสมุนไพร
การเจริญสตินี่ ถ้ามันเป็นสติจริงๆมันจะหยุด มันจะสุภาพ มันไม่ไป เช่น เห็นกายมันก็แค่นั้น จบ ว่าเป็นกาย กายมันจะแสดงกี่ครั้งกี่หน ถ้าเห็นแล้วมันก็จบ เหมือนวิทยาศาสตร์ที่หมอเขาตรวจเรา พอมันถูกมันก็หยุด มันไม่ไปไหน ไม่มีอุปาทาน ไม่เป็นตัวเป็นตนต่อไป มันก็อยู่แล้ว พอมันรู้สึกตัวมันก็หยุดแค่นั้น อะไรมันก็จบแค่นั้น มันเป็นแค่นั้น มันร้อนก็จบแค่นั้น จบแค่ความร้อน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีพอใจ ไม่พอใจ ถ้ามีพอใจในความร้อน ถ้าไม่พอใจในความไม่ร้อน มันก็ต่อไป มันก็เป็นโรคอันหนึ่ง ความพอใจ ความไม่พอใจ มันเป็นโรคอันหนึ่ง จริง รู้สึกตัว มันแสดงว่า ถ้ามันหยุด มันไม่เป็นไร มันไม่ต่อไปอีก ถ้าเป็นคำพูดก็ว่า กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันนี้มันก็ยาว ไม่ต้องไปสาธยายแบบนั้น เรารู้สึกตัวมันก็หยุดแล้ว ไม่ไป ก็แสดงว่า ยาถูกโรค รักษาคุมกำเนิดของโรคได้ คุมกำเนิดของตัวกูของกูได้ อะไรก็ตาม มันก็มีที่ตั้งตรงนี้ทั้งหมดเลย ในชีวิตเราเนี่ย
ถ้ารู้ถ้าเห็นตัวเนี้ย กาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเนี่ย มันหยุดก็แสดงว่า มันก็ง่ายแล้ว หัวหน้าภพชาติมันอยู่ตรงนี้ก็ว่าได้ ถ้าไม่หยุดตรงนี้ก็ ปี จะบวชมากี่ปี จะปฏิบัติกี่ปี มันก็ไม่จบไม่สิ้น ยังทุกข์แล้วทุกข์อีก ความทุกข์อันเก่ายังทุกข์อีก ความรัก ความพอใจ ความไม่พอใจอันเก่า ก็ยังเอาไม่พอใจและพอใจอยู่ มันไม่จบ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอะไรต่างๆ มันไม่จบ มันก็ไปเรื่อยๆ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นวัฏสงสาร เวียนว่ายไป ในโลก เป็นรสชาติของโลก ความพอใจก็เป็นรสชาติของโลก ความไม่พอใจก็เป็นรสชาติของโลก มันรู้เองอ่ะ เพราะสิ่งที่หลวงพ่อพูดนี่ ไม่ใช่หลวงพ่อพูดตามความคิดนึก มันพูดตามสภาวธรรม ตัวสติที่มันรู้ซื่อๆเนี่ย อันตัวซื่อๆเนี่ย มันก็จบแค่นั้นน่ะ
มันทุกข์ก็ทุกข์ซื่อๆ มันหลงก็หลงซื่อๆ มันผิดก็ผิดซื่อๆ มันมี มันมีผิดมีถูก มันมีสุขมีทุกข์ มันก็ซื่อๆ เพราะมันมีรูป มีเวทนา มีรูป มีนาม มันต้องมี อาการที่มันแสดงออกมา ในเหตุปัจจัยต่างๆ มันก็ซื่อๆไป ตัวสติที่รู้ซื่อๆเนี่ย มันง่ายๆ อันถ้าไม่ซื่อมัน ข้องแวะ ไปสุขก็ข้องแวะไป ไปทุกข์ก็ข้องแวะไป ไปพอใจข้องแวะไป ไปไม่พอใจข้องแวะไป จึงพยายามใช้ตัวรู้ซื่อๆเนี่ย กลับมารู้ซื่อๆไป อย่าทิ้งหลัก เหมือนเราตรวจโรค ต้องเอาเครื่องมือมาใส่วัตถุที่แสดงเข้าไป วัตถุที่เอามาต่อกันไป มันแสดงออก ความหลงแสดงออกไปหลายอย่าง ไปไกล ความรู้สึกตัว มันแสดงออก ไม่ไป มันหยุด เหมือนพระพุทธเจ้าในธรรมวินัย อย่างที่เรากฐินกรรม อุปโลกน์กฐิน ถ้าพระสงฆ์ องค์ใด รูปใด เห็นไม่สมควร จงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ ถ้าเห็นสมควร นิ่ง บางทีก็ใช้ความนิ่ง นิ่ง หรือสาธุการ ถ้าไม่สมควร ไม่ต้องนิ่ง แสดงออกมา อันนี้ธรรมวินัย
สติ ความรู้สึก ความระลึกได้ เป็นธรรมวินัย เป็นมรรค เป็นผล ธรรมวินัยอันเนี้ย ไม่ใช่ธรรมวินัยที่จะเอาเงินเอาทอง เอาข้าวเอาของ เอาหมู่มิตร พวกพ้องบริวาร เห็นดีเห็นชอบด้วย ไม่ใช่ เป็นหนึ่งเสียงสองเสียง ไม่ใช่ เป็นเสียงเดียว แต่ละชีวิตมีเสียงอันเดียว มีเห็นๆอันเดียว การเห็นอันเดียวเห็นตัวเรา พอเห็นคนอื่นก็เห็นตัวเขา ก็เสียงเดียวกัน ไม่ใช่นับร้อยสองร้อย เป็นผู้ชนะ คนได้น้อยก็เป็นผู้แพ้ไป อันนั้นไม่ใช่ เราจึงสบายที่สุด เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ในโลกไหนก็ได้ ถ้าเรารู้หลักตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัว เพราะมันอันเดียว ตัวหลงตัวรู้อันเดียว ตัวพอใจ ตัวไม่พอใจก็อันเดียว ตัวโกรธ ตัวโลภ ตัวหลง ตัวรัก ตัวชัง เกลียด ตัณหาราคะ อันเดียว ใครก็เหมือนกัน จึงเป็นการง่าย อย่าถือว่ามันยาก เรารู้ซื่อๆตัวเนี้ย มันสุด อะไรก็ซื่อๆซะ ร้อนก็ซื่อๆ หนาวก็ซื่อๆ หนาวก็แค่หนาวนะ
หลวงพ่อเทียนพูดว่า พริก มันก็เผ็ดแค่พริก แค่เผ็ด เกลือก็เค็มแค่เกลือ หวานก็แค่หวาน ร้อนก็แค่ร้อน ปวดก็แค่ปวด มันไม่ไปที่ไหนอีก ก็แค่ปวดนั่นแหละ มันซื่อตรงนั่นแหละ ไม่เป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่โอย ไม่อะไรไม่ต่อไปยาว ห่วงไปพ่วงไป ไม่ใช่ แต่คนเรามันไม่ใช่อันซื่อๆ มันชอบมีรสชาติ แสวงหารสชาติ รอรสชาติ มันจะเกิดอะไรขึ้นมา ความหลง ความมีรสชาติไปแล้ว ความไม่หลงก็มีรสชาติไปแล้ว ความโกรธ ความรู้ก็มีรสชาติไปแล้ว ความไม่รู้ก็มีรสชาติไปแล้ว เพราะคนเรามันชอบรส เรียกว่าโลกคือรส รสของโลก ไม่ใช่รสของธรรม รสของธรรมมันเป็นรสอันเดียว สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ สัพพะระสัง ธัมมะระโส ชินาติ สัพพะระติง ธัมมะระติ ชินาติ ตัณหักขโย สัพพทุกขัง ชินาติ รสพระธรรม คือ รสซื่อๆเนี่ย ชนะรสทั้งปวง รสพระธรรม ชนะรสทั้งปวง การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง เสียงพระธรรม ชนะเสียงทั้งปวง การสิ้นไปแห่งทุกอย่างจบลง เป็นสุขในโลก เพราะมันซื่อๆแล่ว มันไม่ไปอีกแล้ว เป็นสุขในโลก พระพุทธเจ้าตรัสอย่างเนี้ย ไม่ใช่หลวงตาพูดเองนะ
มันก็มีทวาร ซุกซน ในอายตนะของเรา ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันมีเหยื่อ เราก็ป้อนเหยื่อมันมา ตั้งแต่ไหนแต่ไร มันเคยกินเหยื่อ ใครจะเคยป้อนอะไร มันก็ติดเรื่องนั้น เช่น คนสูบบุหรี่ก็ติดบุหรี่ คนติดเหล้าก็ติดเหล้า คนเสพกามก็ติดกาม คนดูหนังฟังเพลง ก็ติดหนังฟังเพลงไป มันไม่หยุด ถ้าคนไม่ติดอะไร มันซื่อๆมันก็หยุดแล้ว เราก็ต้องเอาตรงนี้ช่วยตัวเองตรงนี้ การปฏิบัติธรรม เพราะมัน กรรม มันเคยติดเคยเปื้อนมา ก็อย่าไปท้อแท้ อย่าเอามาอ้าง อย่าเอามาอยู่ข้างหน้าให้มันขวางกั้น เคยเป็นอย่างนั้น เคยเป็นอย่างนี้ อย่าเอาอะไรมาเป็นขวางกั้น อย่าเอาลูกเอาเมีย อย่ามาเอาความเจ็บความปวดมาเป็นของกั้น อย่าเอาความเห็นทิฏฐิมานะมาเป็นเครื่องกั้น ถลุงออกไป รู้ซื่อๆออกไป รู้ซื่อๆออกไป
การรู้ซื่อๆถ้าเปรียบก็เปรียบเหมือนน้ำ แต่น้ำมันแข็งมาก ก็น้ำจริงๆน่ะ เช่น เขาเจาะหิน เอาน้ำใส่ หรือเลื่อยเหล็กก็เอาน้ำใส่ อะไรก็ตามน้ำมันอ่อน แต่ว่ามันแข็ง อันตัวรู้ซื่อๆเนี่ย มันอ่อนนุ่มแต่มันเข้มแข็งนัก เหมือนเล่านิทานให้ฟัง ต้นไทรกับต้นอ้อ ต้นไทรใหญ่ที่สุดเลย แข็ง ต้นอ้อต้นเล็ก มันก็ไม่โค่นไม่ล้มเหมือนต้นไทร เพราะมันอ่อน ตัวรู้ซื่อๆไม่กระทบกระเทือนอะไร ไม่ใช่เข้มแข็ง บูดบึ้ง เอาจริงเอาจัง ถ้ารู้ก็ไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ แข็งไปแล้ว ถ้าผิดก็ผิด แข็งไปแล้ว ถ้าถูกก็ถูก แข็งไปแล้ว ต่างก็มีรสไปทั้งนั้น มันก็ชอบรสแบบนั้น เหมือนคนติดกลิ่น กลิ่นเก่า ของเหม็นๆ เขาก็ติดอยู่อย่างนั้น อยู่แถวหัวลำโพงอ่ะ พวกติดกลิ่นทั้งหลายไปนั่งอยู่แถวส้วม ห้องน้ำ เหม็น เขาก็ปูผ้านอน อยู่กับความเหม็น ติดกลิ่น คนที่ไม่ติดกลิ่นนี่ ก็ มันไม่เคยนะ แต่ต้องช่วยตัวเอง เหมือนหลวงพ่อ หลวงตา ไปวัดสนามใน ไปหาหลวงตาองค์หนึ่ง เขาอยู่ใกล้ห้องน้ำ พอเดินข้ามสะพานคลองไป เขาก็ไปนั่งด้วย มันเหม็น เหม็นส้วม โอ๊ย ทำไมอยู่ได้เนี่ย มันเหม็นส้วมน่ะ เฮ้ย ไม่เห็นเหม็นอะไรเนี่ย เขาก็สูดห๊า...สูดหากลิ่น เฮ้ย ไม่มีอ่ะ เพราะเขาติด เขาไม่รู้ว่า มันเหม็น เพราะมันติด เพราะมันติดกลิ่น มันเคยชิน เราหลงว่าเราเคยชินกับความหลง เราเคยชินกับความไม่หลง เราเคยชินกับความทุกข์ เราเคยชินกับความไม่ทุกข์ เราเคยชินกับความโกรธ เราเคยชินกับความไม่โกรธ ความไม่โกรธก็มี มันก็เคยชินเนี่ย ความโกรธก็มี ก็เคยชิน อะไรยื่นให้ก็เอาไปหมดเลย ปฏิบัติธรรมเอาอะไรต่างๆ บางคนก็รู้ ไปเป็นผู้รู้ไปเลย บางคนไม่รู้ ไปเป็นผู้ไม่รู้ไปเลย บางคนไปเป็นสุข ไปเป็นผู้สุขไปเลย บางคนก็ทุกข์ กลายไปเป็นผู้ทุกข์ไปเลย มันมีรสชาติ สตินี่ตัวซื่อๆตัวเนี้ยน่ะ ตัวซื่อๆเนี่ย โลกที่มันเป็น รสชาติของโลกมันจืดไปเลยนะ หลวงพ่อเทียนพูดว่า มันจืดเอาสำลีชุบน้ำ มาบีบน้ำออก มันจืด
มีคนอุ้มเด็กน้อยมาเล่นวัด เด็กน้อยมันก้นมันแดง หลวงพ่อเทียนเอามือไปจับก้นมัน กดลงไป เลือดแดงๆมันจืดออกๆ มันขาว เนี่ยธรรมะให้เป็นอย่างนี้ มันเป็นอะไร มันจื๊ดจืด เลือดไม่มี ขาวไปเลย พอวางมือออก เลือดหนังก้นของเด็กน้อย ก็แดงขึ้นมา เอามือไปจับอีก กดลงไปอีก มันขาวซีดไป เนี่ย มันจืดอย่างเนี้ย(หัวเราะ) คอยเปรียบเทียบให้ดู ถ้ามันจืด มันจืดคืออะไร คือซื่อๆ คือภาวะตัวซื่อๆ อันกิริยาที่บีบก้นเด็กน้อย มีกิริยา มีวัตถุ ส่วนธรรมะ มันนามธรรม มันไม่ใช่อะไร ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่บัญญัติ มันเป็นปรมัตถสัจจะ อยู่ในคน เราจะไปโง่ ซื่อบื้อหรือ เขาว่าเราปฏิบัติธรรม คนโบร่ำโบราณ นี่และเป็นคนทันสมัยที่สุด เพราะชีวิตของเราอยู่ในกำมือเรา ไปอยู่ที่ไหนก็ทันสมัย คนที่ไม่ทันสมัยหัวเราะ ร้องไห้ นั่นไม่ทันสมัย ล้าสมัย
อย่างหลวงตาเคยพูดอยู่เสมอว่า คนโกรธเป็นคนล้าสมัยแล้ว คนที่มีทุกข์อยู่ก็เป็นคนล้าสมัย คนยังยินดียินร้าย ดีใจเสียใจ พอใจไม่พอใจอยู่ เป็นคนล้าสมัย เขาเอาอะไรมาเป็นสมัย เอารสของโลกมาเป็นสมัย คนทันสมัยเหนือมันนะ ขี่คอมันไป เหมือนกับเรา วิ่งแข่งคนทันสมัย เขาโลภ เขาเอาง่าย มือยาวสาวได้สาวเอา เราไม่เอาของใครมาเป็นของเรา แบ่งปันกันดีกว่า แม้แต่คนสองคนวิ่งแข่งกัน เหมือนเขาวิ่งแข่งกับเรา คนที่อะไรๆก็ของเขาๆ ของกูๆ เราขี่บ่าเขา ให้เขาวิ่ง เราก็ขี่บนบ่ามัน เขาวิ่งไปถึงไหนเราก็วิ่งไปถึงนั่น เราอยู่สูงกว่าเขา อันนี้หมายถึงนามธรรม เขาหัวเราะก็รู้ เขาร้องไห้ก็รู้ เขาได้ก็รู้ เขาเสียก็รู้ เขาสุขเขาทุกข์รู้ นั่งรถแอร์ นั่งรถทัวร์ หายใจ เออ เขาสุข เราก็ไม่เห็นมีอะไร ซื่อๆ ความสุขของเขามันเป็นซื่อๆของเรา ความทุกข์ของเขามันเป็นซื่อๆของเรา ทันสมัยมั้ยแบบเนี้ย ชีน้อย ทันสมัยมั้ย ทุกข์ของเขามันเป็นความซื่อๆของเรา ความรักของเขามันเป็นความซื่อๆของเรา มันไม่มีรสชาติอะไร แต่เขายังร้องไห้ เสียใจ
หลวงตา เคยมีผู้หญิงสองคนมาหาคราวเดียวกัน คนหนึ่งสามีตาย อุบัติเหตุ คนหนึ่งสามีหนีไปมีแฟนใหม่ สองคนนี่ทุกข์เท่ากัน คนที่สามีเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ สามีเขาเป็นคนดี อีกคนหนึ่งสามีเป็นคนไม่ดี แต่ความทุกข์สองคนเหมือนกัน ใช่มั้ย เหมือนกันมั้ย ความทุกข์สองคนนี้ หลวงตาก็ถามว่า ทำไมจึงทุกข์เหลือเกิน ไม่มียิ้มแย้มแจ่มใสเลย เศร้าหมองไปทำไมหนู สามีของหนูเป็นคนดี มันจะทำไงก็ไม่ได้ เพราะสามีของหนูเป็นคนดี มันอยู่ในหัวใจ เห็นแก่ความดีของเขา เอ้าทุกข์ เอ้า คนเนี้ย เป็นไงทำไมจึงทุกข์เหลือเกิน เขาไม่ซื่อตรงต่อเรา ลงทุนลงแรงกันมา เขาทิ้งเราหนีไป เขาทิ้งเราไป ทุกข์ ทำไมเขาทำงั้น ทุกข์ ทำไมเขาจึงตายจากเราไป ทุกข์ ไม่น่าจะตายเล้ย เป็นคนดี ทุกข์ เอ้า มันเป็นคนไม่ดี ไม่รับผิดชอบ มีลูกมีเมียไม่รับผิดชอบ ไปชอบหญิงอื่น ทำไมจึงทำงั้น มันก็ทุกข์เหมือนกัน ความดีกับความไม่ดี มันทุกข์เท่ากัน
ถ้ามองดูๆแล่วมันมองดีๆแล่วมันซื่อๆสิ่งเหล่าเนี้ย มันก็ซื่อๆของเขา ความทุกข์ก็เป็นซื่อๆ มันไม่มันไม่ไปไกลมันแค่นั้น แต่กี่วันมาแล้ว มันก็ยังไม่ซื่อ มันเอามา ทำไมๆเป็นอย่างงั้น เป็นอย่างนี้ มันไม่ซื่อ พาให้วนเวียนอยู่ เป็นขอบกระด้ง วนเวียนไป อันเก่าเอามาคิด คิดย้ำแล้ว คิดย้ำอีก หาเรื่องคิด หาเรื่องปัญหาต่างๆ มันวน มันไม่ซื่อ มันเหมือนขอบกระด้ง มดแดงไต่กระด้ง เวียนไปเวียนมา เขาเรียกว่าวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิด มันไม่ซื่อ ถ้ามันซื่อ มันเขี่ยออก ขอบกระด้งกลมๆ ปัดปึ๊บ มันดีดออก วางปิ๊บลงไปนะ เอาทิ้งไปซะบ่เนี่ย ขอบกระด้งที่มันเป็นไม้ไผ่ ที่มันเป็นเส้นแล่วทิ้งไปเนี่ย ทิ้งไปมันก็ไม่ไหลนะ เพราะมันซื่อแล้ว ถ้ามันกลม มันไม่ซื่อ มันก็กลิ้งไปจนสุดเหวี่ยง สุดเหวี่ยงตรงไหน โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ตายไป เกิดตาย เกิดตาย เกิดตาย โทมนัสอุปายาส ภพหนึ่ง ภพหนึ่ง ภพหนึ่ง นับไม่ถ้วน ภพชาติที่อยู่ในตรงนั้นนะ
พระพุทธเจ้าจึงว่า ตัดภพตัดชาติ สิ้นภพสิ้นชาติ เพราะอะไร เพราะมันซื่อๆ อะไรมันง่ายกว่ากัน อะไรมันยาก อะไรมันง่าย อะไรเป็นปีศาจ อะไรมันล้าสมัย อะไรมันทันสมัย ไม่ใช่ว่า โอ๊ย คนโบราณเข้าวัดเข้าวา เหมือนพระเจ้านัมปิยะ ถามรัฐบาล เป็นลูกเศรษฐีมาบวช รัฐบาลยังหนุ่มยังหล่อ ผมก็ยังดำอยู่ ไม่น่าจะบวชเลย ทำไมหนอรัฐบาลจึงไปบวช เขาก็คิดว่ารัฐบาลจะต้องเลือกได้ เอาหญิงขนาดไหนก็เลือกได้ ผู้หญิงมาขอแต่งงานเลือกได้ ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล ตั้งแต่เกิดมาคำว่าไม่มี ไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่คำว่ามีทั้งนั้น อะไรก็ตาม ไม่เหมือนวัดป่าสุคะโตนะ อะไรที่ไม่มีเยอะแยะหลายอย่าง แต่รัฐบาลคำว่าไม่มี ไม่เคยได้ยิน ตั้งแต่เกิดมา พระเจ้านัมปิยะ เอ๊ สนใจ ทำไมจึงไปบวชเน๊าะ มาถามรัฐบาลท่านยังหนุ่ม ผมยังดกดำ เป็นลูกคนเดียวของเศรษฐี แทนที่มีความสุข ความสนุกสนานในโลกมากที่สุด รัฐบาลตอบว่า โลกนี้ไม่มีใครป้องกันได้ ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน ย่อมละทิ้งในสิ่งทั้งปวงไป โลกนี้เป็นทาสของความอยาก ไม่รู้จักจบจักสิ้น อะไรจำไม่ได้ กษัตริย์พระเจ้านัมปิยะ โอ๊... มันก็มองคนละอย่าง พยายามมองให้รัฐบาลมาครองทรัพย์สมบัติ เอาลูกเอาเมีย เป็นคหบดี แทนบิดามารดา รับมรดก ชื่อเสียงในนามคนสมัยก่อน คนเศรษฐีนี่ มีชื่อเสียง คนจนพึ่งได้ รัฐบาลควรที่จะเป็นไปทำนองนั้น แต่ว่านั้นไม่ใช่ มันไม่มีใครป้องกันได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มันเป็นของสมบัติของโลก เปลี่ยนกันใช้เฉยๆ เอ้ามันจริงน่ะ เราดูซิ ในชีวิตเราไม่กี่ปีมานี้ หลวงตานี่ นาก็สับเซาเอง ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน บ้านหลังหนึ่ง สร้างขึ้นมาก็ทำเอง เลื่อยไม้ ฟันไม้เอง เดี๋ยวนี้ ใครเป็นเจ้าของ
สมัยแม่ยังอยู่ก็ไปได้ ไปเห็นแม่นั่งอยู่บ้าน นี่บ้านแม่เรา เดินไปไหนมาไหนได้ เดินไปดูห้องนอนแม่ เดินไปดูที่ๆเราเคยอยู่ มีห้องพระอะไรบ้างเล็กน้อย เห็นแม่อยู่ก็ไปได้ เดี๋ยวนี้ไม่กล้าไปแล้ว แม่ชีน้อย ใครอยู่นั่น หลานเขย เขาไม่รู้หรอก เขาจะว่าหลวงตา มาอะไรน้อเนี่ย เขาจะว่าเอา น้องสาวก็มีอยู่จริง แต่น้องสาวไม่เป็นเจ้าของแล้ว น้องสาวมีลูกสาว ลูกสาวคนเดียวเขาก็เอาผัวแล้ว สามีใหม่เอาเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นแล้ว เราไปก็ไม่เหมือนแม่ยังอยู่ ก็ไม่ควรไปเลย ทั้งๆที่บ้านเราทำเอง มันเปลี่ยนกันใช้เฉยๆ ใช่มั้ย บ้านเราทำเอง แต่มันเปลี่ยนกันใช้ ไม่มีใครเป็นใหญ่ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ย่อมละไปทิ้งไป อะไรเราไปเอาอะไรใคร ให้มันไม่ซื่ออะไร ซื่อๆซะเดี๋ยวนี้ ถ้าเราไม่ซื่อจะเป็นทุกข์ จะมีปัญหากับโลกมากที่สุดเลย แล้วมาปฏิบัติธรรมเนี่ย จะเอาอะไรมาได้ มันได้ซื่อๆของชีวิตเรา บริสุทธิ์ การสิ้นไปแห่งความคดๆงอๆเป็นความสุขในโลก
คำว่าคดๆงอๆ คือ ความหลง ความอยาก กิเลส ตัณหาทั้งหลาย มันคด มีเมียแล้ว ทิ้งเมียหนีไป มันคด คดก็ทุกข์เพราะมันคด มีเมียแล้วตายจากกันไป เอ้า ก็ทุกข์เพราะมันคด อันนั้นก็ยังของจริง เพราะมันไม่ป้องกันได้ ชีวิตเนี่ย หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย สารพัดอย่าง มันไม่ซื่อ เรามารู้ซื่อๆเสีย สตินี่เป็นตัวซื่อๆอย่างนี้ เอามั้ย ความซื่อๆแบบนี้ ถ้าไม่ซื่อก็น้ำตาไว้เช็ด เอาผ้าเช็ดหน้าไว้เช็ดน้ำตา มีลูกมีเมียก็คอยกังวล เจ็บปวด คอยระแวดระวัง เป็นเมียเราหรือเปล่า เป็นผัวเราหรือเปล่า นอกใจเราหรือเปล่า เป็นยังไงไปหรือเปล่า อะไรมันเป็นยังไง มองกัน บางทีผัวติดเหล้า เอ้า เป็นทุกข์ ขับรถไปโรงเรียน เอารถไปจำนำ เมียต้องตามไปไถ่ เอ้า เป็นทุกข์ ชวนกันมาเลิกเหล้า ให้หลวงพ่อบอก รับปากกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอก เขาก็ว่าว่าเขาจะเลิก ถ้าเขาจะเลิก สัญญากัน พวกเราสาธุพร้อมกัน สาธุ ทั้งลูกทั้งเมีย ทั้งคนที่จะเลิกเหล้า เขาก็สาธุ มันไม่ซื่อ มันไม่ซื่อ เหล้ามันก็ติด ติดก็เป็นทุกข์ต่อคนอื่น ถ้ามันไม่ซื่อ มันมีทุกข์คนเดียว มันทุกข์กับคนอื่นไปอีก เบียดเบียนไปอีก เบียดเบียนแม้แต่ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เบียดเบียนไปหมดเลย นี่เรียกว่าพูดกับทุกคนนะ อันเดียวกันแท้ๆเราเนี่ย
หลวงตาก็มีชีวิตอยู่เพื่ออยากจะพูด อาจารย์ท่านก็สอนอยู่ ช่วยๆกันไป ขอเป็นส่วนร่วมด้วย กับการสอนธรรมะกับการพูดธรรมะ การพูดธรรมะมันก็แค่ฟัง แต่การทำมันเป็นเรื่องของเรา ทำไงเราจึงจะมีสติซื่อๆ ก็นี่และ เรามารู้เนี่ย หัดซื่อๆ มันรู้สึกตัวมันซื่อมั้ย อะไรมา มาแยกไปอีกอ่ะ มันหลง เอ้า ซื่อกับความหลงลงไป แค่นั้นแหละ ความหลง มันรู้ก็แค่นั้นแหละ มันซื่อกับความหลง ความผิด ความถูก ความทุกข์ความอะไร๊ต่างๆ มันซื่อไปหมดเลย อย่าไปเป็นน่ะ ก็เลยบอกว่า เป็นผู้เห็น อย่าเป็นผู้เป็น คำว่าเป็นผู้เห็น อย่าเป็นผู้เป็น เอ้า มันเป็นผู้อีกแล้ว มันตัวเห็น ตัวเป็นอีกแล้ว เอ้า ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็เรียกว่าสมมติมาพูดกันในโลกนี้ มันมีสมมติบัญญัติ เอาสมมติมาพูดมาบอกกัน เช่น ความโกรธนี่ มันไม่มี ความโกรธมันคืออะไร เราเอาสมมติมาพูดกัน เหมือนกับเขาไปศึกษาธรรมะ คนโบราณ ไปศึกษากับอาจารย์เซ็น
อาจารย์ครับ ความโกรธมันเป็นยังไง ความโลภ ความหลง เป็นยังไง จะตอบยังไงเรา แม่ชีน้อย อาจารย์ตอบยังไง อาจารย์เซ็น ความโกรธมันเป็นยังไงครับ ความหลงเป็นยังไงครับ
อาจารย์เซ็น คว้าเอาไม้เท้าตีหัวโป๊กเลย(หัวเราะ) คนมาถามโกรธขึ้นมา หน้าบูดหน้าบึ้งขึ้นมา เจ็บหัว อาจารย์เอาไม้เท้าตีหัว(หัวเราะ) ไม่ต้องพูดเลย ทำไมมันโกรธขึ้นมา คนถามก็เห็นความโกรธ โอ้... ความโกรธเป็นอย่างเนี้ยหนา เอ้าลากลับบ้าน ลืมหมวกเลย เอ้า ความหลงคืออะไรล่ะ กลับมาเอาหมวก เอ๊า นี่ความหลง มันเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องพูดใช่มั้ย ไม่ต้องพูดเลย แล้วใครจะเห็นล่ะ ตัวรู้ซื่อๆจะไปเห็นเข้า อาจารย์ก็ไม่เห็น หลวงตาไม่เห็น ครูบาอาจารย์ไม่เห็น ตัวเราเห็นเอง เห็นมั้ย เห็นมันไม่ซื่อกับเรามั้ย อะไรที่มันไม่ซื่อ เกิดขึ้นขณะที่เราเจริญสติซื่อๆเนี่ย ทำไมมันซื่อซ้า
นี่คือการปฏิบัติธรรม คือ พูดเรื่องเราทำ เราทำเรื่องที่เราได้ยินไป มันก็มีการสมบูรณ์ขนาดนี้แล้ว การศึกษา อย่างชั้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดเลย มันมีอยู่แล้ว คำพูดมันเป็นสมมติบัญญัติ แต่มันเป็นปรมัตถสัจจะที่มีอีกเป็นจริง มันเห็นความรู้ มันเห็นความหลง มันเห็นความสุข ความทุกข์ อย่างนี้ ใครก็พูดกันเรื่องสติซื่อๆ สติซื่อๆ ให้มากที่สุด อย่าให้หลวงตาพูดคนเดียวนะ เห็นกันน่ะ เจริญสติซื่อๆนะ อะไรมากมาย เดินมาสุคะโตเลย ใครก็ซื่อๆไปหมดเลย อย่าไป เราก็พยายาม อาศัยคำพูดของเรา สอนเรา แสดงธรรมไปพลาง หลุดพ้นไปพลาง แสดงธรรมไปพลาง ปฏิบัติธรรมไปพลาง ทำงานไปพลาง บรรลุธรรมไปพลาง เพราะมันซื่อๆ ชีน้อยตำน้ำพริกก็ซื่อๆ โอ๊ย อย่าว่า อย่ายาก อย่าง่าย เอ้า ทำอะไรก็ซื่อๆไปเลยนะ ใจซื่อๆน่ะ ตำแจ่วแซบๆนะชีน้อย ถ้าใจไม่ซื่อตำแจ่วบ่แซ่บดอก เพราะมันใจของมันน่ะไม่ซื่อ แม่หุงข้าวให้ลูกน่ะ โอ๊ย..ข้าวป้อนลูก วิธีอะไรมันจะอร่อย คนแล้วคนอีก แซ๊บแซ่บ น้ำนมของแม่ก็แซบ ถ้าแม่รักๆ เวลาแม่ให้นม ถ้าแม่ให้นมทั้งดุทั้งด่า บ่น ลูกก็ได้ความร้ายเอาไป เพราะให้นม น้ำใจที่มันเร่าร้อน มันก็ได้ร้อนไป แม่ให้นมลูกต้องยิ้ม ... มองหน้าลูกต้องยิ้ม ... มีเมตตา เห็นลูกกินนม โอ๊ย ... พอใจ ยิ้ม บางคนไม่ยิ้มนะ เอาอารมณ์ค้างมาดุมาด่ามาแสดง ด่ากันขณะให้นมลูก ลูกก็เป็นคนขี้โกรธไปเลย ใช่มั้ย อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ ดังนั้น ให้มีสติซื่อๆนี่แหละดีที่สุด