แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรามีความเห็นเป็นไฉน ศรัทธาอะไร ศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเหรอ ศรัทธาต่อครูบาอาจารย์เหรอ ศรัทธาต่อวัดนั่นวัดนี้ ยังอยู่ เปลือก ยังเป็นเปลือก ศรัทธาจริง ๆ จะต้องเชื่อและทำลงไป ทำลงไปและเชื่อการกระทำ ทำให้มันเห็น เห็นอย่างไร ในชีวิตเรานี้ มีอะไร มีความไม่เที่ยง รูปก็ไม่เที่ยง เห็นด้วยมั๊ย เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง รูปนี่ก็ไม่ใช่ตัวตน เวทนานี้ก็ไม่ใช่ตัวตน สัญญาก็ไม่ใช่ตัวตน สังขารก็ไม่ใช่ตัวตน วิญญาณก็ไม่ใช่ตัวตน ที่เราใช่อยู่นี่ เรามีสุขมีทุกข์ เรามีตัวมีตน มันก็เลยมีปัญหา มีตนอยู่ในตน มีตนอยู่ในความไม่เที่ยง มีตนอยู่ในความไม่ใช่ตัวตน อันนี้ เราจะทำอย่างไร
มีศรัทธาตรงนี้หรือไม่ เชื่อตรงนี้หรือไม่ ถ้าเรามัวแต่ศรัทธาอันอื่น ไม่ทำความเห็นให้แจ่มแจ้ง เมื่อมันไม่เที่ยงอย่างนี้ เมื่อมันไม่ใช่ตัวตนนี้ อยากจะเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร ทำไมจึงมีความพอใจไม่พอใจ ทำไมจึงมีความโกรธ ความโลภ ความหลงอยู่ในความไม่เที่ยง อยู่ในความไม่ใช่ตัวตน ทำไมทะเลาะวิวาทกัน ทำไมไปเบียดเบียนกัน ไม่น่าจะไปถึงตรงนั้น เพราะเห็นมันไม่เที่ยง เห็นไม่ใช่ตัวตน จึงใช้ความไม่เที่ยงใช้ความไม่ใช่ตัวตนเพื่อทำความดี เพื่อให้เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา จนไม่มีตัวมีตนอยู่ในความไม่เที่ยง ไม่มีตัวมีตนอยู่ในความไม่ใช่ตัวตน เดี๋ยวนี้เรามีความมีตัวตนอยู่ในความไม่เที่ยง ในความไม่ใช่ตัวตน การไม่ศรัทธาตรงนี้ไม่ได้ทำให้แจ่มแจ้ง เราทำตรงนี้ให้แจ่มแจ้ง น่าจะไปกันไม่ยาก อาศัยความไม่เที่ยงเป็นพระนิพพาน ได้เลย อาศัยความไม่ใช่ตัวตนเป็นพระนิพพานได้เลย หายตัวได้เลย เหลือศูนย์ได้เลย จนไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร กับความไม่เที่ยง ไม่เป็นอะไรกับความไม่ใช่ตัวตน มีอะไรต่อไป
มีเมตตากรุณาเมื่อเห็นมันเป็นอย่างนี้ในโลกนี่ มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเกี่ยวข้องกับทุกอย่างในโลก ไม่มีความขัดข้องได้ทุกอย่าง ในคนที่มันหลงในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เราก็ยังไม่คลาดแคลนความเมตตากรุณาต่อคนต่อทุกสรรพสิ่ง จึงมีธรรม มีความดีไปเกี่ยวข้องกับความไม่เที่ยงซะ มีความดีสักสี่อย่างไปเกี่ยวข้องกับความไม่ใช่ตัวตน จะได้เกิดประโยชน์จริงๆนะในโลกเนี่ย เม็ดหินเม็ดทรายก็จะตื่นเต้น ต้นหมากรากไม้ก็จะตื่นเต้นกับผู้ที่เห็นจริงในอย่างนี้ขึ้นมา สัตว์สาราสิ่งก็จะสู่ธรรมชาติทั้งหมด ยิ่งใหญ่นะ ถ้าเราเห็นแจ้งเรื่องนี้แล้วเต็มไปด้วยเมตตากรุณา อยากจะเกี่ยวข้องกับทุกอย่างในโลกนี้ นี่คนเราแท้ๆ ชีวิตก็อยู่ด้วยกันแท้ๆ คู่หัวผัวเมีย พ่อแม่ลูกเต้า เพื่อนบ้าน ทำไมจึงไปทำให้กันเดือดร้อน น่าจะสงสารความไม่เที่ยงของเขา น่าสงสารผู้เป็นทุกข์ สงสารก็ต้องช่วยเหลือ หน้าที่จริงๆอะช่วยเหลือแล้วก็ไม่หวังอะไรตอบแทนด้วยความเสียสละ เมื่อช่วยไม่ได้ก็วาง ต้องช่วยเสียก่อน ทำเสียก่อน อะไรที่พอจะให้ เขาไม่หลงในความไม่เที่ยงนี้ ให้เขาไม่หลงในความเป็นทุกข์ ทำลงไปจนสุดความสามารถ แล้วก็เมื่อไม่ได้แล้วค่อยวาง วางก็ไม่ใช่วางด้วย มันคล้ายๆกับวางจาก สิ่งเหล่านั้น วางใจ ทำกาย ทำคำพูด ทำใจไปด้วย จนที่สุดวางใจแต่ยังไม่ทิ้ง ยังไม่ทิ้ง การกระทำยังไม่ทอดทิ้ง ยังทำอยู่แต่ใจวางแล้ว วางตรงไหนล่ะ
วางรูป วางนามเสียก่อน ได้แล้วก็วางอันอื่นได้ง่าย รูปนี่ไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน วางหมดแล้ว เมื่อวางแล้วก็งานการงานเหมาะที่จะเกิดขึ้นแล้วไป เยอะแยะไปเลย ความที่จะทำอันอื่น พร้อมที่จะช่วยคนอื่น คิดจะช่วยคนอื่น เช่นพระพุทธเจ้าของเราเนี่ย ขวนขวายมากทีเดียว เราทำทุกอย่างแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล ไม่มีตรงไหนที่ปิดบังอำพราง เหลือแต่พวกเธอ เท่านั้นเองที่จะต้องทำ เราบอกแล้ว บอกแล้ว แต่ว่าการกระทำ เป็นหน้าที่ของพวกเธอทั้งหลาย เราได้ทำหน้าที่หมดแล้ว เวลาใดเราหลง แสดงว่า ไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าบอก เวลาใดเราโกรธ ไม่ได้ทำตาม เวลาใดเราทุกข์ เราไม่ได้ทำตาม แต่รู้ว่าโกรธมันไม่ดี ยังโกรธกันอยู่ ไม่ได้ทำตาม ทุกข์มันไม่ดี ยังมีทุกข์อยู่ ไม่ได้ทำตาม เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่น ที่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ เราไม่ได้ทำตาม แต่มันก็ไม่ยาก การไม่เบียดเบียนกัน การไม่เบียดเบียนตนเอง การไม่เบียดเบียนคนอื่น มันยากกว่าการเบียดเบียนไม่ยาก น่าจะวางลงง่ายๆ อาศัยความไม่เที่ยงเป็นที่ทิ้งตัวตน อาศัยความไม่ใช่ตัวตนเป็นที่ทิ้งตัวตนลงไป สิ่งที่มันเบียดเบียนน่ะ หนามยอกเอาหนามบ่ง เนื้อมันในมัน มันมาให้คุณ ให้ประโยชน์ มันมีโทษมันให้คุณด้วย ในตัวเราก็เช่นกัน ในคนอื่นก็เช่นเดียวกัน ในตัวเราก็มีความไม่เที่ยง ในคนอื่นก็มีความไม่เที่ยง ในตัวเราก็มีความไม่ใช่ตัวตน ในคนอื่นก็มีความไม่ใช่ตัวตน เลยได้เกณฑ์ชี้วัดบอกความเท็จความจริง ฝืนไม่ได้ ฝืนโกรธก็ไม่ได้ ฝืนทุกข์ก็ไม่ได้ ยึดมั่นถือมั่นจนเอาตัวตนไปวัดไปเหวี่ยงกับคนอื่น มีตัวมีตนขัดขวางกันขวางนั่นขวางนี่ไป
แม้แต่ความเห็นทะเลาะกันทั้งบ้านทั้งเมือง ในความเห็นที่มีเหตุผลมันก็ มันไม่ใช่สัจธรรม ทะเลาะกันโดยไม่ใช่สัจธรรม ความเห็นยังมีความเห็นเฉยๆ ยังไม่มีวัตถุอะไรเกิดขึ้น ก็ทะเลาะกันแล้ว ถ้าเห็นไม่ตรงกัน มันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันเป็นความเห็นเฉยๆ แต่ว่าเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเกี่ยวข้องกับความเห็นที่แตกต่างกัน ยังเป็นเมตตา ยังมีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขาอยู่ ไม่ได้เลือกที่เลือกทาง กรรมเนี่ย ความดีที่เราจะเกี่ยวข้องกัน ความดีสี่ลักษณะเนี่ย ไม่เหือดแห้ง เกี่ยวข้องกับทุกอย่างในโลก จึงน่าจะราบเรียบ เรียกว่ามหากรุณาธิคุณ ไม่มีขอบเขต คนชั่วมาขวางกั้นคุณธรรมเหล่านี้ที่เราต้องใช้กับคนชั่วไม่ได้ คนดีก็ขวางกั้นที่เราจะ จะมาห้ามไม่เราทำความดีกับคนชั่วก็ไม่ได้ อะไรที่มันเป็นไม่ดี ไม่ได้เลือกทำ
มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆได้ทั้งหมด ความดี คนที่เป็นคนดีก็ยังมีเมตตากรุณา สิ่งที่เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็มีเมตตากรุณา จะทำสิ่งไม่ดีให้มันดีขึ้นมา สิ่งที่มันดีแล้วก็จะให้มันดีต่อไป ความดีอย่างเนี่ยไม่สิ้นเปลือง เราคืออะไร เราไม่เป็นอะไร เกี่ยวกับเรา เราไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว จึงน่าจะทำอะไรที่มันเป็นความถูกความต้องได้ทุกอย่าง เพราะเราไม่เป็นอะไร ไม่ใช่ว่าอัตตาตัวตน คนนี่เป็นมิตรของเรา คนนั่นเป็นศัตรูของเรา ภาวะเช่นนี้ไม่มีในชีวิตเรา มีแต่เราไม่เป็นอะไรกับอะไร คนนี้เป็นคนดี เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา คนนี้เป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ได้ไม่ดีกับเขา เขามีทุกข์ เราก็ไม่ได้ทุกข์กับเขา เขามีสุข เราก็ไม่ได้สุขกับเขา เราไม่เป็นอะไรกับตัวเราอยู่แล้ว เลยจะต้องเป็นอะไรกับคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่นล่ะ เราจะเป็นลักษณะอย่างไร
การไม่เป็นอะไรกับอะไรเนี้ย มันยิ่งใหญ่เหลือเกินในชีวิตของเราที่อาศัยข้อวัตรปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ยิ่งใหญ่นะ อยู่เหนือรูปเลยก็ว่าได้นะ ประสาอะไร ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถ้าจะว่าแล้วหนา ประสาอะไรความหลง ความโกรธ ความโลภ ความทุกข์ ความพอใจ ความไม่พอใจ มันเป็น สิ่งที่ไม่น่าเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ วิธีที่เราจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้คือกรรมฐานเนี่ย หนีไม่พ้นหรอก จะเป็นอาจารย์ ครูอาจารย์ที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่มีกรรมฐาน ทำไม่สำเร็จ กรรมฐานคืออะไร มันหลง เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง พ้นจากความหลง นี่คือกรรมฐาน ศักดิ์สิทธิมาก แม้หลงเป็นหลง แม้จะเป็นเหาะเหินเดินฟ้า บินมา (หัวเราะ) เป็นหยังซี่น่อเนี่ย เราก็ เรายังไม่เอาตอนนั้น
อาจารย์ใหญ่มีลูกศิษย์เป็นพันๆ เป็นวิปัสสนาจารย์ ใหญ่ในประเทศไทย ลูกศิษย์ฝนตกเห็น เห็นกิ่งไม้มันหักลงมา พูดขึ้นขณะทำสมาธิ ผมเห็นตัวอะไรเขียวๆ นั่งอยู่บนกิ่งไม้ กิ่งไม้เลยหักลงมา วิปัสสนาจารย์ใหญ่บอก เออนั่น เห้ย พระอินทร์ ตัวเขียวๆเป็นพระอินทร์ ถ้าตัวแดงๆเป็นเทวดา นั่นพระอินทร์มาสรรเสริญพวกเรา พวกเรากำลังทำสมาธิ โอ้ พระอินทร์เป็นตัวเขียวๆ ก็ถูก จะเป็นอาจารย์ใหญ่ขนาดไหน ยังมีความเห็นแบบนั้น แต่เราก็เชื่อ ฮู้ อาจารย์รู้จักพระอินทร์พระพรหม รู้จักเทวดา ไปเฝ้าพระ เทวดามาเฝ้า มาตกแต่ง หลังโก่งๆ คือหลวงพ่อใหญ่ฮุ้นน่ะ ไหล่เอียงๆ (หัวเราะ) เมื่อปฏิบัติธรรมไป เทวดามา แต่งให้หมดแล้วอาจารย์ เดี๋ยวนี้หลังไม่โก่ง ไหล่ก็เสมอกันแล้ว
ผมพิสูจน์ได้ พิสูจน์อย่างไร ผมเอาเส้นด้ายผูกใส่คอเสาแขวนลงมา ผมก็เดินจงกรม อ้าว ไหล่นี้ถูกเส้นด้าย เดินกลับมา ไหล่นี้ก็ถูกเส้นด้ายเหมือนกัน แสดงว่ามันเสมอกันแล้ว เทวดามาแต่งให้ เห็นน่ะความเห็น แต่เราดูก็ ก็ยังเอียงอยู่เหมือนเดิม อุปทานเกิดขึ้น สำคัญมั่นหมาย เวลานี้จีวรผมห่มผมเป็นดอกบัวหมดเลย ผมห่มทิ้งๆไปก็ตาม เป็นดอกบัวหมดเลย ผมเดินไปตรงไหนดอกบัวรองรับ ทุกก้าว เราก็ยังเห็นจีวรเหมือนจีวร ไม่เห็นเหมือนดอกบัวที่ไหน ที่มันเป็นจริงอย่างไร เอาอะไรมาพูดที่เป็นนอกไปจากความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน เอารูปเนี่ย เอานิมิตอะไรมาเป็นเรื่องผิดเรื่องถูก บ่งชี้ลงไปเลย คุณธรรมที่ทำให้เราเป็นพระอินทร์ไม่มีหรือ ยิ่งใหญ่ไม่มีหรือ ชีวิตเราเนี่ย มันหลงเราใหญ่กว่าความหลงไม่ได้หรือ อิงอย่างนี้น่ะ ความหลงทำแล้วไม่ได้ อายมั๊ยความหลง ความโกรธ มีเทวดาไม่ใช่หรือ อาศัยพระอินทร์อาศัยเทวดาที่เป็น อยู่ข้างนอก มานั่งอยู่กิ่งไม้โน่น เทวดาในหัวใจเราไม่มีหรือ พระอินทร์ในหัวใจเราไม่มีเลย ในชีวิตเราเนี่ย
เราไม่เป็นอะไรนี่ จะใหญ่มั๊ยเนี่ย เราจะรักษาเราได้มั๊ย ถ้าอันเทวดาพระอินทร์นิมันตัวเขียวๆอยู่บนกิ่งไม้ เทวดาตัวแดงๆ มาเสกมาปรุงมาแต่งเนี่ย จนหลงน่ะหรือ ได้ประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่ละอายความชั่ว ไม่กล้าพูดความชั่ว ไม่กล้าคิดในความชั่ว ไม่กล้าทำความชั่ว เป็นเทวดาแบบนี้ไม่ได้เลย คุณธรรมน่ะ เทวธรรม จะเป็นพระอินทร์พระพรหมอะไรก็เป็น เทวธรรม พระพรหมสี่หน้า จะทำไง จะนอนทางไหนชีน้อย นอนทางไหนก็จะทับแต่จมูก หายใจไม่ได้ (หัวเราะ) ทามีสีหน้าจริงๆนะ ทับจมูกหายใจไม่ได้ ทับปากหายใจไม่ได้ สี่หน้าคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีในหัวใจเรานี้ พระพรหมอย่างนี้จะช่วยกันได้ไหมเนี่ย มีธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม มีอยู่ที่ไหน มีอยู่ในชีวิตของเราที่เป็นรูปธรรม นามธรรมเนี่ย เมตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เกิดขึ้นที่รูปที่นามนี้ ที่กายที่ใจของมนุษย์เนี่ย จะมีแต่ธรรม ที่ค้ำจุนโลก
แต่ว่าอุเบกขาในฌาน กับอุเบกขาในพรหมวิหารนี่ต่างกันมาก อุเบกขาในฌานคือไม่เป็นอะไรกับอะไร เพราะได้ทำทุกอย่างแล้วจึงสามารถไม่เป็นอะไรกับอะไร ในชีวิตเรานี้ ไม่ใช่ไปเกี่ยวข้องคนอื่นนะ อุเบกขาในฌานเป็นส่วนตัวนะ อุเบกขาในพรหมวิหารต้องเป็นส่วนรวม เป็นเม็ดดินเม็ดหินเม็ดทราย ต้นหมากรากไม้ สัตว์สาราสิ่ง ขาดแคลนไม่ได้ ถ้าขาดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มหาสมุทรก็จะเหือดแห้ง แผ่นดินก็จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ ขาดไม่ได้ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่อุเบกขาในฌานเป็นส่วนตัว เป็นส่วนตัว ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น ไม่เป็นอะไร มันเห็น ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ ไม่ได้ดีใจ ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้เป็นอะไรที่เกี่ยวกับรูปนามเป็นส่วนตัวเท่านี้ อุเบกขาในฌานจึงมี ละความไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มีอุเบกขา มีสติ แล้วแลอยู่ โห้ กว่าจะเป็นอย่างนี้ มันผ่านอะไรมา ผ่านจาก อะไรที่มันมาถึงตรงนี้ มันก็มีทางผ่าน ผ่านหลงเป็นรู้ ผ่านโกรธเป็นรู้ ผ่านทุกข์เป็นรู้ ผ่านอะไรต่างๆที่มันไม่ใช่ตัวรู้นะ ผ่านมาตลอด จนเป็นแสงมันไวเกินไป เหมือนกับลูกอุกกาบาตหล่นลงมาจากอวกาศ เสียดสีกับโลกจนเป็นแสงเรียกว่าดาวหยาด ดาวตก มันไวจนเป็นแสง ว่าแสงนี่มันไวกว่าเสียง สติมาไวๆ เพราะเราฝึกหนา ไม่เชื่องช้า ความหลงก็ไม่ถึง ความโกรธก็ไม่ถึง ความทุกข์ก็ไม่ถึง มีสติที่มันเห็น เห็นนี่ไม่ได้ออกแรง ถ้าเป็นนี่ หมดแรง จนนะ หลวงตาพูดเมื่อวานตอนเช้าตอนเพล เป็นนี่ อาภัพอัปจน ถ้าเป็นทรัพย์ภายใน ไม่ร่ำรวยสักที เป็น เป็นสุข จนทรัพย์ภายใน เป็นทุกข์ เป็นทรัพย์ภายใน เป็นผิด เป็นถูก เป็นได้ เป็นเสีย เรียกว่าไม่มีทรัพย์ภายใน เป็นผู้ดีใจ เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้ชอบ เป็นผู้ไม่ชอบ เป็นความจนในทรัพย์ภายใน เรียกว่า อริยะทรัพย์ จนนะ ไม่ร่ำรวยสักทีหรอก ถ้าเห็นนี่ เออ เจ็บจำแล้ว เห็น มันหลงเห็นหลง ไม่จน ไม่เป็นผู้หลง พ้นจากความหลง ทรัพย์ภายในมีได้แบบนี้
เราใช้ทรัพย์ภายในกันอย่างไร เหมือนทรัพย์ภายนอก สุรุ่ยสุร่าย เป็นอะไรไป สุรุ่ยสุร่ายนะน่ะ ถ้าเห็นนี่มัน มันประหยัด ทรัพย์ภายใน ถ้าเป็นนี่มันสุรุ่ยสุร่าย ทรัพย์ภายนอกไม่ก็สุรุ่ยสุร่ายเรา อะไรก็ซื้อ อะไรก็เอาหมด บุหรี่ก็ซื้อมาสูบ เหล้าก็ซื้อมากิน เที่ยวเตร่เร่ร่อน กลางคืนเป็นเต็นกลางเว็นเป็นนกเค้า อะไรก็ว่า เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น ดีด สี ตี เป่า ที่ไหนไปที่นั่น เพลงที่ไหนไปที่นั่น รำที่ไหนไปที่นั่น เล่นที่ไหนไปที่นั่น นี่ว่าสุรุ่ยสุร่าย กลางคืนไม่ได้หลับได้นอน สิ้นเปลือง นั้นไม่มีโอกาสร่ำรวย กินผอมๆ ผอมจ่อกก้อก กินเท่าไหร่ก็ผอมลงเท่านั่น นั่นคือทรัพย์ภายนอก มันก็ไม่ร่ำรวยสักทีล่ะ รายรับมีมาก แต่รายเหลือไม่มี หลวงตาร้องเพลง สมัยหนึ่งคนที่นี่ เขามีงานวิก ทำงานสวนป่า ไม่เคยมีงานวิก ไม่เคยมีงานวิก วิกหนึ่งเงินเดือนออกทีหนึ่ง ก็เลยสุรุ่ยสุร่าย คนที่ไม่เคยผูกนาฬิกา ก็ผูกนาฬิกา คนที่ไม่เคยนั่งกินเหล้า ก็นั่งกินเหล้า แต่งตัวอะไร สมัยนั้นก็สอนเด็กนักเรียนร้องเพลง รายรับไม่ดีเท่ารายเหลือ กินบ่อยเงินหมดเซ็นเชื่อ ชีวิตไม่เหลือ (หัวเราะ) จะไหวเหลือ รายรับไม่ดีเท่ารายเหลือ กินบ่อยเงินหมดเซ็นเชื่อ ชีวิตไม่เหลือจุนเจือ ยามเข็ญ ใช้จ่ายยามจำเป็นนั้นคือรายเหลือ จำเป็นมันคือรายเหลือ อันรายรับไม่มีประโยชน์อะไรหรอกถ้าไม่มีรายเหลือ หลายเหลือจึงจะเป็นประโยชน์ สุรุ่ยสุร่ายไม่เจริญ จะเป็นทรัพย์สินเงินทองจนนะ
ทรัพย์ภายในเอย ทรัพย์ภายในก็เหมือนๆกัน เป็นสุข จนแล้วนะ เป็นทุกข์ จนแล้ว เป็นกูพอใจ กูไม่พอใจ กูชอบ กูไม่ชอบ น่ะจนนะ ไม่ร่ำรวยสักทีหรอก ปฏิบัติธรรมก็ไม่ก้าวหน้า พระพุทธเจ้าบอกตรงๆอยู่แล้ว เห็นทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากทุกข์ อะไรก็ตาม อย่าเป็น เห็นมัน อย่าเป็นไปกับมัน พ้นจากอันที่เป็นน่ะ อาจจะร่ำรวย ไม่นานเท่าไหร่ ไม่ยาก ทรัพย์ภายใน อริยทรัพย์ภายในนะ เนี่ยก็สมบูรณ์ที่สุดเลย สารพัดวิธี เราทำวัตรสวดมนต์เพื่อการนี้ ปฏิบัติธรรมที่เรามาอยู่ ออกจากบ้านจากเรือนมา เพื่อการนี้โดยตรง เก็บกำเอาให้ได้ มันไม่ใช่อยู่ที่ไหน ไม่มีการ ไม่มีเวลา เป็นเวลาที่มันเหมาะที่สุด ชอบที่สุด อยู่โดยชอบได้ทุกวินาทีชีวิตเรานี้หนา ถ้าเราไม่มีหลักก็อยู่โดยชอบไม่ได้หรอก แม้จะอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ยังไม่รู้อะไรหรอก หลักคือกรรมฐานเนี่ย เห็นมั๊ย สิทธัตถะค้นหาหกปี ทำหมดทุกอย่าง ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ขนร่วงขนหล่นหมด กลั้นลมหายใจ ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ นอนเสี้ยน นอนหนาม อาจารย์อะไรดีๆ ทำหมด จนมาหกปี มาทำคู้แขนเข้าเยียดแขนออก ประติเสธเรื่องนี้เด๊พวกเราน่ะ วันเพ็ญเดือนหก พระองค์ได้ทำคู้แขนเข้ารู้สึกเยียดแขนออกรู้สึกเนี่ย เราทำอย่างนี้ ใครเป็นคนคิด ไม่ได้มีคนคิด เอาตามหลักนี้มาทำกัน เราจะรังเกียจหรือเนี่ย คู้แขนเข้าเยียดแขนออก มันทุกขกิริยาหรือ มันไม่ใช่ ไม่ใช่ทุกขกิริยา ปฏิบัติลำบากหรือไม่ใช่ลำบาก ถ้าเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ พลังงาน กล้ามเนื้อในหัวใจ ไหล่ ต้นคอจะดี ต้นคอ ไหล่จะดี หัวใจก็จะดีนะ มันมีพลังงาน ว่าแต่ใส่ใจความรู้สึกตัวเข้าไป มันหลงรู้เนี่ย ตรงเข้าไปเลย ตรง ตรงเชื้อโรค ถูกกับโรค คือความหลง ความโกรธ ความทุกข์ เป็นอกุศล เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหลาย มันก็ถอนราก เหมือนเชื้อโรคเข้าไปถูกโรค เหมือนยาเข้าไปถูกโรค เหมือนหลวงตาเนี่ยนะพูดอะไรก็เอาตัวเองเนี่ยเป็นเก็น เหมือนก้อนเนื้อในตับ ก้อนเนื้อในคอ มันเบียดหลอดลม จนหายใจไม่ได้ ต้องอาศัยท่อสอดลงไปถึงปอดนู่น เรามารู้สึกหายใจ จมูกก็มีท่อ ปากก็มีท่อ มันเป็นเรื่องถูกต้อง ก็จะไม่เอาท่อสอดลงไปถึงปอด ลมไม่มีทางออก มันต้องอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในชีวิตเราเนี่ย ไม่มีอากาศเข้าไปในปอด มันก็หัวใจก็เต้นไม่ได้ ตายไป ก็ หมอบอกว่าเอาคีโมฉีดเข้าไปตัวใหม่ให้ก้อนเนื้อในคอ มันลดลง เพื่อให้หายใจได้ ไม่ให้ข้าพเจ้าปฏิเสธวิธีการรักษาอื่นใด นอกจากให้คีโมให้หลวงพ่อโดยด่วน ให้คีโมลงไป ซัดลงไป ถอดท่อออกจากปาก หายใจได้ มันถูกเชื้อโรค มันหลง รู้สึกตัว หลงเป็นเชื้อโรค รู้สึกตัวเป็นโอสถ สักกัตตะวา พุทธะ รัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง โอสถ ธรรมะโอสถ พุทธะ รัตตะนัง ธัมมะ รัตตะนัง สังฆะ รัตตะนัง สังฆะระนัง ปฏิบัติทำตาม ทำตาม ธรรมะทำตามพระธรรม พุทธะ รู้ ตื่น หลง รู้ ตื่น ตื่นรู้ในความหลง ไม่ได้ตื่นผีหลอก ไม่ได้ตื่นอะไรนะ ตื่นในความหลง ซึ้งใจนะ มันโกรธยิ่งดีใหญ่จะได้ตื่นมานะ เมื่อได้ตื่นความหลงเสียแล้ว อันอื่นก็เป็นเรื่องง่ายแล้วบาดหนิ
นี้ต้นเหตุของกรรมฐาน ไม่ใช้หลวงพ่อเทียนร้อยปีแล้วนะ แต่ก็หลวงพ่อเทียนเนี่ยแหละเป็นร่วมสมัยกับพวกเรา ยังเห็น ยังได้พูดได้คุยกัน ยังได้ ทำตาม และได้ยินเสียงบอก ว่าน้อมอยู่ในสติ เสียงรองเท้าเดิน แถ้ด แถ้ด หลวงพ่อเทียน เสียงรองเท้าเราก็จำได้ แม้ยังไม่เห็นหน้า เราอยู่ในห้อง เสียงรองเท้า แถ้ด แถ้ด อาเราก็นั่งสร้างจังวะ หลวงพ่อเทียนถาม ทำอะไรอยู่ล่ะ ทำความเพียรอยู่ ถ้า ถ้านอนก็ น้าทำความเพียรอยู่ ถ้าบิดกุฏิก็ ก็ไม่กล้าถาม นึกว่านอน ยังไม่นอน เห็นข้างนอกไหม, ไม่เห็นหลวงพ่อ, ทำไงจึงเห็นข้างนอก ต้องเปิดประตูออก เปิดออกมาดูซิ (หัวเราะ) เราเปิดประตูออก เห็นข้างนอกไหม, เห็น, เห็นข้างในไหม, เห็น ปฏิบัติธรรมต้องทำอย่างนี้น่ะ ให้เห็นข้างนอก ให้เห็นข้างในเลยเนี่ย (หัวเราะ) ไอเราก็ไม่รู้เรื่องหรอก ข้างนอกก็มองไปเห็นต้นไม้ภูเขาไปนู่น ข้างในก็เห็นที่นอนเห็นกุฏิ ให้มันเห็นข้างนอกข้างในอย่างนิ ยังได้ยินเสียงพูดแบบนี้ ยังเห็นยังบอกกันอยู่เนี่ย บางที เสียงน้ำค้างตกหน้านี้ เมืองเลยน้ำค้างมากนะ มองไม่เห็นกันหลอกทำวัตรเนี่ย กระดานพื้นนี่เปียกหมดเลยน่ะ
เอ้แปลกเหมือนกันนะ ปีสองปีมานี้ สามปีมานี้ พื้นศาลาไม่เห็นน้ำค้างหยดลงมาเลย โลกมันร้อนจริงๆนะ แม่ชีวินะ เปลี่ยนแปลงไปมากเลยเนี่ย แต่ก่อนเปียกนะกุฏิเรา เดี๋ยวนี้ไม่เห็นสักน้อยเลย เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทราบนะ เร็วๆเข้า ปฏิบัติธรรมเข้า เดี๋ยวมันจะหมดโอกาส พวกเราอย่าไปประมาท โลกมันจะหมดนั่นแหละ (หัวเราะ) จะประมาทยังไง ไปรัก ไปเกลียดชังใคร มาดูแลตัวเองเนี่ย น่ะมันเปลี่ยนไปจริงๆนะโลกเนี่ย อยู่เมืองเลยน้ำค้างตกลงป๊อก ใส่ใบ นำ้ค้างตกลงใส่ใบไม้ไม้ ใบไม้มันหยดลงมาใส่ใบตองข้างล่าง เสียงดัง ป๊อกๆ เอาเสียงน้ำค้างเป็นนาฬิกา ไม่มีนาฬิกาแบบนี้นะ สมัยก่อนนู้น เอาน้ำค้างเป็นเวลา แสดงว่าตีสามตีสี่ลุกแล้ว เสียงน้ำค้างหล่นลงใส่ใบตอง มันหนาวจัดช่วงนี้ น้ำค้างก็หยด ป๊อก ป๊อก ป๊อก บางทีก็เสียงเพื่อนอยู่ใกล้ๆกัน เช่น กุฏิแม่ชีผู้หญิงเนี่ย ไม่เปลี่ยวอย่างเนี่ย ได้ยินเสียงเดินจงกรม แปบ แปบ แปบ แสงเทียนส่องสลัวๆผ่านน้ำค้าง เหมือนหิ่งห้อย แสงเทียนไฟฟ้าไม่มีนะ ตะเกียงน้ำมันก๊าด น้ำมันโซล่าร์ น้ำมันก๊าดก็ไม่ใช่มันแพง ซื้อโซล่าร์มาใช้กัน ทำวัตรนี่จมูกเป็นรูหมดเลย นำ้มันโซล่าร์ (หัวเราะ) ไม่มีไฟฟ้าใช้เลย ต้องเช็ดจมูกอยู่เรื่อย หายใจเข้าก็ควันตะเกียงน้ำมันโซล่าร์ เหม็นกันทั้งศาลาเลยเวลาทำวัตร เอยเอาเวลานั้นตื่นทำวัตร ก็เลยพูดออกนอกไป นี่ หลวงพ่อเทียนมีสมัยนั้น เรายังไม่ลืม เรายังประทับใจของเราอยู่ ไม่มีวันลืม ชีวิตของเราได้ ได้เป็นอย่างนี้ ได้เจนมาเพราะหลวงพ่อเทียนยังพบเห็นสมัยอยู่ จึงมาเอาแบบนี้ละ ถ้าถูกกับพระพุทธเจ้าสอนคู้แขนเข้าเยียดแขนออก มันหลงรู้ขึ้นมา เป็นวัตถุช่วยได้ อะเพลานี้ใหม่ๆคิดถึงลูกถึงเมียนะ ทิ้งลูกมาบวช ทิ้งเมียมาบวช (หัวเราะ) เวลาคิดไป กลับมา กลับมา คิดไปทีไร กลับมา ร้อยครั้งพันหน กลับมา ร้อยครั้งพันหน งานของเราน่ะ คิดไปน่ะงานของเรากลับมารู้ การที่มันคิดจะไปตามความคิดกลับมาได้ อาศัยได้ เดินจงกรมบ้าง บางทีก็หายใจบ้าง หงายตั้ง วางมือลง ยืดตัวใหม่ ตัวนี่ต้องตั้งท่าใหม่นะ มันทำท่าจะโก่งลงๆ มันหนักนะ ก็เหยียดขึ้นใหม่ วางใบหน้าใหม่ วางใจใหม่ ใช่มั๊ย หะ เคยวางใบหน้าไหม (หัวเราะ) วางใบหน้าใหม่ ต้องมาวางต้นคอขึ้น วางใบหน้าใหม่ หายใจ วางใจใหม่ เออ เอาใหม่ๆ เอ้าโอเค เอาใหม่ เอาใหม่อยู่เรื่อย ชีวิตใหม่ต้องตั้งต้นใหม่อยู่เรื่อยน่ะ ไม่ใช่ ทำไป ทำไป หลงลงๆ หลงก็ยังยอมหลงอยู่น่ะ ไม่ตื่นเต้นสักที วางตั้งฉากใหม่ ยกมือใหม่ช้ากว่าเก่าชักหน่อย ช้าหน่อยถ้ามันง่วงทำไง เอ้าจังหวะหลวงพ่อเทียน 14 จังหวะ ไม่เอาเลยถ้ามันง่วงนอน (เสียงตุบๆ) เนี่ยสมน้ำหน้ามันความหลง เสร็จๆ นี้ โอ้ กรรมฐานนี่ดีจริงๆ
ไม่สอนอย่างอื่น ใครจะนั่งสงบแปดชั่วโมง ออกไป ไม่ว่าแล้ว เราจะรู้ ตื่นรู้ อย่างนี้ เอานิมิต เอากายเนี่นน่ะมาฝึกให้ตื่นรู้ พอมันรู้ๆๆ ไม่ต้องอาศัยมันแล้ว นอนตายอยู่โรงพยาบาล ก็ไม่ได้มาสร้างจังหวะนิ อืมไม่เป็นอะไร เหตุที่ไม่เป็นอะไรนั้นก็มาทำอยางนี้ไป ตั้งต้นจากนี้ไป อย่างเนี่ย เนี่ยนะ ให้ศรัทธาการกระทำ ศรัทธารู้ มันหลง ศรัทธาต่อความรู้ ความโกรธศรัทธาต่อความรู้ ไปได้ตะพึดตะพือความรู้สึกตัว ยิ่งใช้ ยิ่งมาก ยิ่งใช้ ยิ่งแหลมคม เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาไปเลย เป็นญาณ เป็นฌานหยั่งรู้ ง่ายไปเลยเว้ย ง่ายที่จะไม่หลง แล้วก็ไม่ที่จะหลง เห็นความหลงนี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนเลย เอาสิความหลง โกรธ เอาสิ ทุกข์ เอาสิ รัก เอาสิ พอใจ เอาเลย แบอกซะแล้วน่ะเพราะ มันเก่ง มันร้อนวิชานะถ้าร้อนวิชามากๆ นะ ไม่มีเลยในโลกเนี่ยราบเรียบหมดเลยนะ นี่กรรมฐาน ไม่มีการทำอย่างอื่นที่นี่ ถ้าใครทำอย่างอื่นก็ผิดพลาดนะ ที่นี่ต้องทำกรรมฐานกัน ให้ดูแลกันเป็นพี่เป็นน้องกัน ช่วยกัน มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มองอะไรทุกอย่างให้มันราบรื่น ธรรมะเกิดง่าย ถ้าเลือกที่รักมักที่ชัง เกิดได้ยาก เหือดแห้ง เหมือนปลูกข้าวใส่ดินที่แห้งแล้ง ย่อมไม่งอกไม่งามน่ะ ให้มีน้ำใจ มีอะไรเป็นสิ่งแวดล้อมในชีวิตเราให้ดีๆ มองอะไรทุกอย่างให้เป็นมิตรเป็นเพื่อน ในแง่ดี ใครมีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหานะเพื่อนเอ๋ย เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง อาศัยอาจารย์พุทธธาตุพูดไว้