PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
  • ท.๑๘๐
ท.๑๘๐ รูปภาพ 1
  • Title
    ท.๑๘๐
  • เสียง
  • 14534 ท.๑๘๐ /lp-cittasubho/2025-10-21-10-55-06.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 21 ตุลาคม 2568
ชุด
เสียงภาษาไทยกลาง
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ทุกคนตั้งใจฟัง วันนี้เรามาประชุมกันในที่นี้ก็เป็นการศึกษาธรรมะหรือว่ามาปฏิบัติธรรมะ คำว่าการศึกษาธรรมะการปฏิบัติธรรมะนี้บางคนคิดไปว่า ถ้าหากไม่มาวัดไม่รับศีลจะรู้ธรรมะได้อย่างไร แล้วก็คิดอย่างนี้มีกันเป็นจำนวนมาก ถ้าคนไม่ได้เรียนหนังสือไม่ได้เรียนบาลีจะปฏิบัติธรรมะไม่ได้ เข้าใจกันอย่างนี้ 

     

    แต่ในขณะนี้เราไม่ต้องคิดอย่างนั้น ธรรมะนั้นมันไม่ใช่เป็นของเก่าของแก่ของโบร่ำโบราณอะไรกัน แต่มันก็เป็นของเก่าเป็นของแก่เป็นของโบร่ำโบราณกัน ทำไมพูดอย่างนั้น ไม่เป็นของเก่าและก็เป็นของเก่า ก็พูดอย่างนั้นนะซี่ เพราะธรรมะนั้นมันคือตัวคนนั้นเอง กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด นั่นแหละคือธรรมะ 

     

    ทำดี พูดดี คิดดี คือธรรมะ ถ้าทำชั่วพูดชั่วคิดชั่วก็เป็นอธรรม คำว่าธรรมะนั้นไม่กำหนดกฎเกณฑ์ตายลงไปว่า เป็นคนไทยและเป็นคนจีนเป็นคนฝรั่งเศสเป็นคนอังกฤษเป็นคนอเมริกาคนเขมรคนญวนคนลาว ไม่ใช่จำกัดอย่างนั้น ไม่ได้จำกัดเชื้อชาติศาสนาลัทธิใดก็ตาม ไม่จำกัดอย่างนั้น จำกัดลงไปที่ตัวบุคคลนั่นเอง 

     

    ฝรั่งเศสก็มีโกรธเกลียดชอบเหมือนกัน คนไทยก็มีโกรธมีเกลียดชอบเหมือนกัน คนจีนก็ยังมีโกรธมีเกลียดมีชอบเหมือนกัน คำว่าคนนี่ทุกชาติทุกภาษาทุกเพศทุกวัยก็มีโกรธมีเกลียดเช่นเดียวกัน 

     

    ศาสนาคริสต์ก็มีโกรธมีเกลียดเหมือนกัน ศาสนาอิสลามก็มีโกรธมีเกลียดเหมือนกัน พุทธศาสนาก็ยังมีโกรธมีเกลียดเหมือนกัน หรือจะเป็นศาสนาดึกดำบรรพ์ เช่น ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดูที่เราเคยพูดกันพวกพราหมณ์พวกฮินดู ก็ยังมีโกรธมีเกลียดเหมือนกัน นั่นแหละคือธรรมะ 

     

    เราต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ ความโกรธเกลียดอาฆาตริษยากันนั้น นั่นแหละคืออธรรม มันเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องปัจจุบัน แต่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจว่า โกรธเกลียดมันเป็นทุกข์ เมื่อโกรธให้คนนั้นคนนี้มาก็พูดไปอย่างดังๆ แรงๆ นี่ไปด้วยทุกข์ อยู่ด้วยทุกข์ กินด้วยทุกข์ นั่งนอนด้วยทุกข์ ทำอะไรทำกับทุกข์ทั้งนั้น เอาทุกข์เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน มันไม่มีความสุขคนเรา 

     

    ดังนั้น พุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้กำหนดจำกัดลงไปว่าคนนั้นคนนี้ พระสงฆ์องค์เจ้า หรือเข้าวัดไม่เข้าวัด ใครๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราพยายามดูการเคลื่อนการไหว หรือความคิดของเรามันนึกมันคิด เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ เราสัมผัสมันได้ เรียกว่าอารมณ์ รู้เท่าทันเหตุการณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ 

     

    ท่านว่า ไม่ให้มันมีการขัดแย้งกับใคร เมื่อมีการขัดแย้งเกิดขึ้นภายในจิตใจเราแล้ว คนนั้นดีคนนี้ไม่ดี คนนั้นสวยคนนี้ไม่สวย คนนั้นรวยคนนั้นไม่รวย คนนั้นจนคนนั้นไม่จน มันมีการขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจ 

     

    มันไม่ได้มีการขัดแย้งกับรูปกายภายนอก เช่นเจ็บหัวปวดท้อง ปวดก็เช่นเดียวกัน จิตใจมันเป็นคนรู้ ว่าไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ใจเองมันเป็นคนพูด ใจเองมันเป็นคนรู้ ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติลงไปที่ตรงนี้ 

     

    ไม่ใช่ไปเห็นสีแสงผีเทวดานรกเข้าสวรรค์จึงจะเป็นธรรมะ ไม่ใช่อย่างนั้น อันนั้นมันเป็นการคาดคิดเอา พระพุทธเจ้าท่านทำมาแล้วหลายวิธี เรียนกับครูกับอาจารย์มาก็เป็นจำนวนมาก ธรรมะจริงๆ ก็คือตัวปกตินั่นเอง ปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจ นั่นแหละคือธรรมะ ถ้าผิดปกติกาย ผิดปกติวาจา ผิดปกติใจ ก็แสดงว่าเป็นอธรรม แต่เป็นธรรมะทำชั่วว่าอย่างนั้น 

     

    ดังนั้นการศึกษาธรรมะนั้น จึงศึกษาหาของจริงของแท้ไม่เปลี่ยนแปลง เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ธรรมะที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้านั้นมันมีมาก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองเป็นคนแรกคนค้นพบในประเทศอินเดีย คนใดชอบก็ไปศึกษากับพระพุทธเจ้า คนใดไม่ชอบก็ไม่ต้องไปศึกษากับพระพุทธเจ้า ดังนั้นการศึกษาธรรมะนั้นจึงมันมีมาก มันมีหลายครูหลายอาจารย์ในประเทศอินเดีย 

     

    พระครูวิชิตธรรมาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ผม แต่เมื่อบวชเป็นพระหนุ่มในระยะอายุ ๒o ปีท่านก็เป็นอุปชฌาย์ให้ มาบวชครั้งนี้เป็นหลวงตาครั้งนี้ท่านก็เป็นอุปชฌาย์ให้ ท่านสอนท่านเล่าให้ฟังว่า ในประเทศอินเดียนั้นมี ๑o๘ ลัทธิ ๑o๘ นิกาย ๑o๘ อาจารย์ ใครชอบอาจารย์ไหนลัทธิใดก็ไปหาอาจารย์นั้นลัทธินั้น ท่านว่าอย่างนั้น 

     

    ลัทธิต่างๆ นั้นสอนกันนอนเสี้ยนนอนหนามก็มี ไม่นุ่งเสื้อไม่นุ่งผ้าก็มี กินข้าวเลียเอาเหมือนสุนัขก็มี กินน้ำร้อนนอนย่างไฟ นอนเสี้ยนนอนหนาม อะไรมากมายหลายเรื่อง เราเคยได้ยินว่าชีป่งชีเปลือยอะไรก็มี ในประเทศอินเดียเป็นอย่างนั้น 

     

    ดังนั้นในเมืองไทยของเราก็เช่นเดียวกัน การสอนนั้นแล้วแต่ใครจะสอน เราต้องเลือกคัดจัดหาเอาให้เป็น เพราะว่าเราเป็นมนุษย์เป็นคนมีปัญญา สามารถที่จะเอามาใช้ได้กับชีวิตของเรา 

     

    พระพุทธเจ้าของเรานี่ เมื่อเข้าไปศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ต่างๆ เข้าฌานออกฌานได้ แต่มันก็ยังมีโกรธเกลียด มีดีใจมีเสียใจ มีอาลัยอาวรณ์ คิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ ชอบคนนั้นชอบคนนี้ เกลียดคนนั้นเกลียดคนนี้ นี่อันนั้นแหละพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า 

     

    เรื่องอดีตอนาคตนั้นอย่าไปสนใจมัน เราต้องพยายามให้จับความรู้สึก การเคลื่อนการไหวของรูปกายภายนอกแล้ว ก็ให้มีความรู้สึกความนึกความคิด มันคิดอะไร ให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจ ไม่ใช่รู้เข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่รู้อย่างนั้น รู้แล้วเหมือนตัดกระแส มันคิดปุ๊บ เราไม่ต้องคิดไปกับความคิด ทำเหมือนแมวกับหนู 

     

    บ้านเรามีหนู เราไม่สามารถที่จะไล่หนูได้ เอาแมวมาเลี้ยงไว้ แมวมันตัวเล็ก หนูตัวโต แมวมันไม่เคยกลัวหนู ถึงจะโตจะเล็กมันไม่ว่า พอดีหนูออกมาแมวมันตะครุบ พอหนูตัวโตมันตกใจมันไม่เคยให้แมวจับ หนูก็วิ่งไป แมวมันไม่ยอมวางหนูมันก็ติดหนูไป เหนื่อยเพลียแล้วมันก็วางหนู หนูก็ไปได้ แต่เราอย่าไปโทษแมวว่าทำไมมึงจับหนูไม่แรงจับหนูไม่ได้ อย่าไปโทษอย่างนั้น 

     

    เพียงเราเอาอาหารให้แมวกินทุกวันๆ แมวมันกินอาหารทุกวันๆ แล้วมันโตเร็ว เมื่อมันโตมาเร็วๆ มาแล้ว ถึงขนาดมันแล้ว หนูตัวโตขนาดไหนก็ออกมา จะออกมาสัก ๑o ตัว ๑oo ตัวก็ตาม แมวมันต้องจับทั้งนั้น พอดีแมวมันจับปุ๊บจับอย่างแรง หนูซบตายทันที แมวกินหนูจึงเลือดไม่มี เพราะมันตกใจจิตใจมันขาดสุดขีดมันเลย มันไม่เคยให้แมวจับ 

     

    อันนี้แหละจึงว่า พอดีมันคิดมา เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ มันไม่ทันเป็นอารมณ์ ถ้ามันทันคิดเป็นอารมณ์เข้าไป เขาว่าวัฏฏะ วงจรวัฏสงสาร อันว่าวัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับบุคคลที่ไม่รู้ธรรมท่านว่า คำว่าวัฏสงสารของคนผู้ที่รู้ธรรมนั้นคืออย่างไร วัฏสงสารสำหรับบุคคลที่ผู้ที่รู้ธรรมนั้น มันอึดใจเดียวเท่านั้นเอง 

     

    ดังนั้นความคิดนี่ พอดีมันคิดขึ้น เราไม่เห็น เราไม่รู้เรา มันก็ปรุงเป็นเรื่องเป็นราวไป เป็นสังขาร เป็นอารมณ์ไป นั่นแหละท่านว่าวัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับบุคคลผู้ที่ไม่รู้ เรานึกว่าตายชาตินี้ไปเกิดชาตินั้น ตายชาตินั้นไปเกิดชาตินั้น นี่อันนี้แหละมันเป็นการเข้าใจไม่ตรง แต่ความเห็นของคนมันคนละเรื่อง ระดับสติปัญญามันไม่เหมือนกัน 

     

    พวกเรามีการศึกษามีการเล่าเรียน เป็นนักเรียนเป็นนักศึกษา นักเรียนป. ๑ ถึง ป. ๖ เรียนจาก ป.๖ เรียกว่าเรียนมัธยม ๑ ถึงมัธยม ๖ เมื่อจบมัธยม ๖ แล้วก็เตรียมไปเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วก็ต้องเป็นปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก คำว่าปริญญานี่เขาว่าชั้นปัญญา ไม่ใช่ชั้นคนไม่มีปัญญา ดังนั้นเราต้องเลือกคัดจัดหาเอาที่มันตรง 

     

    อย่างที่หลวงพ่อพูดนี่ก็ไม่ให้เชื่อ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “อย่าเชื่อถือโดยเขาพูดตามกันมา อย่าเชื่อถือโดยเขาเล่าลือกันมา อย่าเชื่อถือเห็นว่าทำตามกันมา อย่าเชื่อถือเห็นว่ามันมีอยู่ในตำราหรือมีอยู่ในคัมภีร์ ๑o ข้อด้วยกัน” พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เราจะไปเชื่อทำไมเชื่อคน 

     

    ดังนั้นฟังแล้วเชื่อทันทีก็เชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะว่ามันมีตัวอย่างฟังแล้วเชื่อทันที อย่างที่องคุลิมาลเชื่ออาจารย์ อาจารย์จะสอนวิชาดีๆ ให้ ถ้าฆ่าคนมาสักพันคนแล้วอาจารย์จะสอนคาถาหายตัวได้ดำดินได้บินบนได้ นี่องคุลิมาลเป็นคนใจถึง คนอยากดีจริงๆ ก็จะไปฆ่าคนเป็นอย่างนั้น อันนั้นก็แสดงว่าฟังแล้วเชื่อทันที ไม่ได้ผล แต่โชคดีมีพระพุทธเจ้า 

     

    พระพุทธเจ้าไปขวางหน้าไว้ หรือว่าไปทวนกระแสขององคุลิมาลไว้ องคุลิมาลจะไปฆ่าแม่ตัวเอง เพราะไปที่ไหนทางไหนก็คนตื่น ดังแล้วลือไปว่าองคุลิมาลเป็นมหาโจรฆ่าคนไปต้องพันคนนั้น ว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไปต้อนหรือไปขวางหน้าเอาไว้ องคุลิมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็เลยเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าแม่ตัวเอง ก็คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า 

     

    พอดีเห็นพระพุทธเจ้าก็จับดาบวิ่งเข้าจะไปฆ่าพระพุทธเจ้า แล่น(วิ่ง)ไป บ้านหลวงพ่อเรียกว่าแล่น(วิ่ง)ไป แล่น(วิ่ง)ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เฉย เดินไป เดินไป องคุลิมาลวิ่งไป วิ่งเหนื่อยแล้วก็ถาม สมณโคดมไม่กลัวตายจะวิ่งไปทำไม จะเดินไปทำไม พูดอย่างนั้น 

     

    พระพุทธเจ้าของเราก็ว่า “เราไม่ได้วิ่ง เราไม่ได้เดิน” องคุลิมาลก็บอกว่า ทำไมไม่ได้วิ่ง ทำไมไม่ได้เดิน อย่าโกหก “เราไม่โกหก เราไม่ได้วิ่ง เราไม่ได้เดิน องคุลิมาลคนเดียววิ่งเดิน” อย่าโกหก “ไม่โกหก เราหยุดแล้ว” หยุดทำไมเดินอยู่ที่ตรงนั้น 

     

    “เราหยุดการทำชั่ว หยุดการพูดชั่ว หยุดการคิดชั่ว” พูดเท่านั้นเอง องคุลิมาลก็เลยเกิดได้ความคิดขึ้นมา อ้าว..นี่เราทำชั่วแล้วนี่ เราพูดชั่วแล้วนี่เ ราคิดชั่วแล้วนี่ ฆ่าคน องคุลิมาลก็เลยหยุดความคิดได้ 

     

    อันนี้แหละเรียกว่าหยุดความคิดให้ได้ ถ้าหยุดความคิดไม่ได้เขาเรียกว่า วัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับบุคคลผู้ที่ไม่รู้ธรรม วัฏสงสารสำหรับบุคคลผู้ที่รู้ธรรมแป๊บเดียวเท่านั้นเอง หยุดได้ อันนี้แสดงว่า การฟังธรรมะนั้นฟังแล้วจะเชื่อทันทีก็ไม่ได้ ฟังแล้วไม่เชื่อถือก็ไม่ได้ 

     

    มันมีตัวอย่าง ฟังแล้วไม่เชื่อ ก็อย่างอุปกาชีวกคนหนึ่ง แสวงหาพระพุทธเจ้า ต้องการธรรมะจากพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ออกมาใหม่ๆ จะไปโปรดพวกปัญจวัคคีย์ เดินมาก็พบนักบวชคนนี้แหละคนแรกที่สุด เรียกว่าพราหมณ์อุปกาชีวกคนนี้แหละ 

     

    พอดีเจอพระพุทธเจ้าเข้า พระพุทธเจ้ามีกิริยามารยาทหน้าตาแข้งขามือเท้าสวยงามดี เดินไประมัดระวัง เป็นอย่างนั้นก็ถาม ท่านอยู่สำนักไหน เป็นลูกศิษย์ของใคร ใครเป็นครูเป็นบาอาจารย์ของท่าน ครูบาอาจารย์ของท่านสอนธรรมะหมวดไหน น่าเริ่มใสน่านับถือ นี่ถามพระพุทธเจ้า 

     

    พระพุทธเจ้าก็ตอบให้ว่า “เราไม่ได้เป็นศิษย์ของใคร ไม่อยู่ที่สำนักไหน ไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ เรารู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง ตรัสรู้โดยชอบ” พูดอย่างนี้ให้ฟัง พอดีพูดให้ฟังพราหมณ์คนนั้นก็ไม่เชื่อเลย เพราะไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟังคนพูดอย่างนี้ แลบลิ้นให้หันหลังให้ คนไม่มีครูไม่มีอาจารย์จะรู้ได้อย่างไร นี่เข้าใจอย่างนี้ 

     

    ดังนั้นใครจะรู้แทนเราไม่ได้ อย่างญาติโยมหรือเพื่อนภิกษุสามเณรพระสงฆ์องค์เจ้า ฟังผมพูดอยู่เดี๋ยวนี้หรือหลวงพ่อพูดอยู่ในขณะนี้ ท่านดูความคิดของท่าน หลวงพ่อไม่รู้หลวงพ่อไม่เห็นความคิดของท่าน หลวงพ่อเห็นหลวงพ่อรู้ความคิดของหลวงพ่อ 

     

    คนอื่นจะเห็นจะรู้ดีเหนือตัวเองรู้ตัวเองไม่ได้ ดังนั้นคนโบราณท่านจึงสอนว่า ตำหนิแผลที่ลี้ลับอยู่ที่ไหนก็ตาม คนอื่นจะรู้ดีกว่าตัวเราไม่ได้ ตัวเราเองรู้ดีกว่าคนอื่นทั้งนั้น ท่านสอนอย่างนั้น 

     

    ดังนั้นการปฏิบัติธรรมะ ก็ตัวเราเองเป็นคนรู้ ตัวเราเองเป็นคนเห็น ตัวเราเองเป็นคนเข้าใจ ท่านเรียกว่าอารมณ์ คำว่าอารมณ์นี่ เราให้รู้จักว่า อารมณ์คือมันนึกมันคิดนั่นแหละเรียกว่าอารมณ์ ถ้าหากว่าเราไม่มีอารมณ์ มันคิดเราก็เห็น มันคิดเราก็รู้ อันนี้แหละเรียกว่าเราปฏิบัติธรรมะ 

     

    อันธรรมะแบบนี้นั่นน่ะ มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้า มันเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นของใคร ไม่ใช่เป็นของเจ๊กไม่ใช่เป็นของจีนไม่ใช่เป็นของคนไทย เป็นของทุกคน เป็นธรรมะประจำชาติเรียกว่าธรรมะสากล ปฏิบัติได้ทุกคน อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ 

     

    ปฏิบัติทำไม ปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา แก้การขัดแย้ง แก้ความสับสนวุ่นวาย แก้ทุกข์ แก้เซ็ง จะว่ายังไงก็ได้ เพราะมันมีการขัดแย้งอยู่ในจิตใจของเรา 

     

    เมื่อเรามีการขัดแย้งอยู่ในภายในจิตใจของเราแล้วก็ว่า คนนั้นทำผิด คนนี้ทำถูก คนนั้นทำดี คนนี้ทำไม่ดี มันเกิดการขัดแย้งอยู่ภายในจิตใจเราเอง ไม่รู้ว่าใครเป็นครู ไม่รู้ว่าใครเป็นศิษย์ ครูทำผิด ลูกศิษย์ทำผิด ครูทำถูก ลูกศิษย์ทำถูก นี่มันเป็นอย่างนั้น เพราะมันมีการขัดแย้งในตัวมันเอง อันนั้นแหละท่านว่าทุกข์ 

     

    ดังนั้น คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องปฏิบัติธรรมะ เพื่อให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าจะไปเชื่อว่าครูบาอาจารย์ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นไม่ต้องเชื่ออย่างนั้น ผมเคยเชื่อมาแล้วเคยทำมาแล้วกับครูอาจารย์ ครูอาจารย์สอน ธรรมะมันต้องเป็นอย่างนั้น ธรรมะมันต้องเป็นอย่างนี้นี่

     

    นั่งภาวนา ธรรมะต้องเข้ามาในทางรูจมูก หรือเข้ามาทางรูหู หรือเข้ามาทางไหนก็ตาม นี่เป็นอย่างนั้น หรือเห็นสีเห็นแสง เห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ แม้จะมีปัญญานับเม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทะเลครบทุกเม็ดก็ตาม ดีอยู่แล้วอันที่มันเห็นมันเป็น สิ่งเหล่านั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่มันแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ แก้การขัดแย้งตัวเองไม่ได้ 

     

    เมื่อแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ แก้การขัดแย้งของตัวเองไม่ได้ มันก็มีปัญหา มันก็เป็นการขัดแย้งขึ้นภายในสังคม เมื่อมีปัญหามีการขัดแย้งเกิดขึ้นภายในสังคมแล้ว นั่นแหละทำให้ปัญหาเกิดขึ้น ให้เป็นความขัดแย้งเกิดขึ้นสับสนวุ่นวาย เราไม่เคยดูจิตดูใจ ไม่เคยดูความนึกความคิดของเรา ท่านเรียกว่า วัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับบุคคลผู้ที่ไม่รู้ธรรม 

     

    คนที่รู้ธรรม มันคิด..เห็นปุ๊บ ตัดกระแสของความคิด ตัดกระแสของวัฏฏะ เพราะความคิดมันเป็นวัฏฏะอยู่แล้ว เขาจึงว่าวัฏสงสารมันเป็นอย่างนั้น ดังนั้นการตัดความคิดนั้นมันจึงมีประโยชน์มีค่ามีคุณมาก แต่ทำได้ทุกคน 

     

    ดังนั้นธรรมะนั้นจะเข้าวัดก็ได้ ไม่เข้าวัดก็ได้ จะบวชเป็นพระเป็นเณรก็ได้ ไม่ต้องบวชเป็นพระเป็นเณรก็ได้ จะรับศีลก็ได้ ไม่รับศีลก็ได้ จึงว่าเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง คือธรรมะ 

     

    เมื่อเห็น เมื่อเป็น เมื่อมีนั้น จิตใจคนนั้นมันจึงว่า จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อันนั้นท่านจึงว่าจิตใจของพระพุทธเจ้า แต่จิตใจอันนั้นมันก็มีอยู่ในคนทุกคน ไม่ยกเว้น 

     

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึง สอนคนที่ไม่รู้ให้เขารู้ สอนคนที่มีทุกข์ให้เขาไม่มีทุกข์ สอนคนที่ยังโง่ว่าอย่างนั้นก็ได้ให้เขาฉลาดขึ้นมา ไม่ใช่จะไปสอนคนที่ยังโง่ให้มันโง่ดักดานลงไป ไม่ใช่ว่าสอนคนที่มีทุกข์ให้เขาทุกข์ลงไป ไม่ใช่จะสอนคนที่ทำผิดให้เขาทำผิดลงไป ไม่ได้คิดอย่างนั้น 

     

    ดังนั้นพวกเรามาที่นี่ มาปฏิบัติธรรมมะก็ตาม มาฟังก็ตาม มาอะไรก็ตาม ตั้งจิตตั้งใจให้มีความรู้สึกตัว การรู้สึกตัว การเคลื่อนการไหวภายนอก เช่น กำมือ เหยียดมือ พลิกมือ คว่ำมือ เดินหน้า ถอยหลัง อย่างที่คนอื่นมองเห็น เช่น กระพริบตา หายใจ ที่คนอื่นมองเห็น 

     

    แต่จิตใจที่มันนึกมันคิดนั้น คนอื่นไม่เห็น แต่ตัวเองก็ยิ่งไม่เห็นยิ่งไม่รู้ยิ่งไม่เข้าใจ ท่านว่าเป็นคนหลงตนลืมตัว คนหลงตนลืมตัวนี้ ถ้าจะมีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับคนตายแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น เพราะมันทำผิด พูดผิด คิดผิดนั่นเอง 

     

    คนใดรู้ตัว ตื่นตัว รู้ใจ ตื่นใจ รู้ความคิดของเรามันนึกมันคิด เห็น รู้ เท่าทันเหตุการณ์ นั่นแหละคือเป็นบุญเป็นกุศลอย่างมหาศาล คนรักษาศีลกินเจอยู่ก็ตาม ถ้าหากยังไม่รู้ความคิดของตัวเอง ไม่เข้าใจความคิดของตัวเอง นั่นก็ห่างไกลจากพระพุทธเจ้า ห่างไกลจากศาสนา 

     

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าคนใดไม่เข้าวัดไม่รักษาศีลไม่กินเจไม่อะไรก็ตาม แต่รู้ความคิด เข้าใจความคิด หยุดความคิดได้ เห็น รู้ เข้าใจ จิตใจมันว่างๆ ไม่ใช่จิตใจเศร้าหมอง ไม่ใช่จิตใจขุ่นมัว ไม่ใช่จิตใจสกปรก อันนั้นมันผิดปกติไปแล้ว 

     

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอน ให้คนรู้จักปกติ เมื่อรู้เห็นปกติแล้ว เข้าใจปกติแล้ว นั่นแหละคนมีศีล ศีลจึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิจึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญาจึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด 

     

    กิเลสอย่างหยาบคืออะไร พูดตามภาษาที่บ้านของเราคือ โทสะ โมหะ โลภะ นี่เองกิเลสอย่างหยาบ ขั้นต่อไปก็คือ กิเลส ตัณหา อุปทานนี้เท่านั้นเอง เมื่อโทสะโมหะโลภะลดน้อยเบาบางลงไป กิเลสตัณหาอุปทานลดน้อยเบาบางลงไป ศีลก็มีแล้ว ปรากฏขึ้นมาเอง เพราะกิเลสเหล่านี้ลดน้อยถอยไป หรือเบาบางไปแล้ว ศีลเหล่านี้จึงปรากฏขึ้นมา 

     

    ดังนั้นศีล ศีลจึงว่าปกติ เราควรศึกษาและควรปฏิบัติให้รู้คำว่าปกตินี่เอง ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เพราะมันมีอยู่แล้ว เรียกว่าปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจ ตัวปกตินั่นแหละคือไม่ต้องทำอะไรกับมัน มันมีแล้วในคนทุกคน อันนั้นแหละคือทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า คือปกตินั่นเอง 

     

    ดังนั้นควรศึกษาและควรปฏิบัติ ให้รู้ตัวปกตินี่เอง คนนี่ผิดปกติไปทางดีก็ช่างชั่วก็ตาม เขาเรียกว่าผิดปกติ คนผิดปกตินั้นท่านเรียกว่าบ้า เป็นอย่างนั้น ดีใจสุดขีด เสียใจสุดขีด ท่านว่าบ้าทั้งนั้น ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นปกติ การทำการพูดการคิด ทำไปตามหน้าที่ พูดไปตามหน้าที่ 

     

    แม้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ทำงานจึงมากกว่าปุถุชนคนธรรมดา เพราะท่านมีปกตินี่เอง ถ้าจะพูดไปให้กว้างๆ ท่านก็เป็นนิพพานก็ได้ เป็นพระอรหันต์ก็ได้ อันความปกตินี้ เพราะมันสามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ทุกอย่างในตัว ไม่ใช่จะไปรู้คนนั้น ไม่ใช่จะไปรู้คนนี้ ไม่ใช่จะไปรู้ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่ไหนกัน 

     

    ดังนั้นการปฏิบัติธรรมะ ต้องเอามาใช้คู่ครองกับชีวิตของเรา ชีวิตของเรามันมีค่ามากที่สุด มีค่ามากที่สุดซื้อไม่ได้ขายไม่ได้ คนทำบุญมากๆ หมดเงินเป็นล้านโกรธเป็นไหม โกรธเป็น ถ้าโกรธไปแล้วมันจะได้เรื่องอะไร แต่มันก็ดี โกรธนานๆ โกรธเป็นไหม โกรธเป็น ถ้าโกรธเป็นแล้วมันจะได้เรื่องอะไร แต่มันก็ดี อันนั้นเรียกว่าสมมุติ 

     

    ท่านจึงศึกษาให้รู้สมมติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ อัตถะบัญญัติ อริยะบัญญัติ ให้รู้จริงๆ มันสมมุติพูดกันขึ้นมา มันเป็นจริงๆ โดยสมมุติ จริงโดยปรมัตถ์จริง จริงโดยอัตถะ ท่านสอนอย่างนั้น 

     

    ที่ผมหรือหลวงพ่อได้มาให้ข้อคิด เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจในวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว.

     

    ……………………………

     

    ทุกท่านทุกคนตั้งใจฟัง ถ้าหากไม่ตั้งใจฟังแล้วจะไม่เข้าใจหรือจดจำไม่ได้ เมื่อไม่เข้าใจจดจำไม่ได้ การฟังมันก็ไม่ได้มีประโยชน์ มันไม่มีค่ามันไม่มีคุณอะไรกัน ดังนั้นวิธีปฏิบัติธรรมมะที่ผมหรืออาตมาจะนำมาเล่าสู่ฟังในวันนี้ มันเป็นธรรมะอึดใจเดียว มันเป็นธรรมะที่จะเอาไปใช้กับชีวิตของเราได้ มันจึงไม่ขึ้นอยู่กับใครทั้งหมด มันไม่ขึ้นอยู่กับตำรับตำรา มันไม่ขึ้นอยู่กับครูอาจารย์ 

     

    มันขึ้นอยู่กับตัวการกระทำ หรือวิธีทำเท่านั้นเอง การกระทำวิธีทำนั้นไม่เหมือนกับที่เราเคยเข้าใจว่า ต้องไปทำกรรมฐาน ไปนั่งสมาธิแบบนั้นไปนั่งสมาธิแบบนี้ มันไม่เป็นอย่างนั้น อันนั้นดีแล้ว ที่ตัวของผมตัวของอาตมาเคยทำมาแล้วสิ่งเหล่านั้น นั่งหลับตาขัดสมาธิเพชร ภาวนาพุทโธ หายใจเข้าหายใจออก ทำมาแล้วมันก็ดี แต่มันไม่ดีเพราะว่าเราไม่มองเห็นอะไร 

     

    โดยมากคนไปนั่งสมาธิต้องไปหลับตา หาว่าลืมตามันยังว่อกแว่กมันจึงไม่สงบอย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจอย่างนั้นเราก็ไปเจาะเอาลูกตาเราออกเสีย ไม่ต้องให้มันมีลูกตามันจะดีกว่า มันจะไม่ได้มองเห็นอะไร แต่จิตใจนั้น มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับลูกตา มันนึกมันคิดขึ้นมา เป็นธรรมชาติของมัน 

     

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเอาไว้ว่า ให้มีสติ กำหนดรู้ในอีริยาบถทั้ง ๔ ยืนก็ให้มีสติรู้ เดินก็ให้มีสติรู้ นั่งก็ให้มีสติรู้ นอนก็ให้มีสติรู้ นี่ท่านสอนอย่างนั้น แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ ท่านยังสอนให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ในอิริยาบถย่อย คู้ เหยียด เคลื่อนไหว โดยวิธีใดก็ตาม 

     

    ท่านสอนให้มีสติรู้อย่างนี้นี่เอง จึงมีวิธีทำ เพราะคนเราระดับสติปัญญาไม่เหมือนกัน การกระทำแบบนี้คนแก่ก็ทำได้ พ่อบ้านแม่เรือนก็ทำได้ คนหนุ่มคนสาวก็ทำได้ เด็กนักเรียนก็ทำได้ เพียงเรานั่งเก้าอี้ก็ได้ นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ ที่สุดนอนก็ทำได้ 

     

    เราพลิกมือขึ้น รู้สึกตัว มีจังหวะท่าที่ทำ คว่ำมือลง ให้รู้สึกตัว แต่ไม่ใช่รู้พลิกมือคว่ำมือ ไม่ใช่รู้อย่างนั้น เพียงเอารู้น้อยๆ ว่า เราพลิกมือขึ้น..รู้..มันไหวขึ้นไป คว่ำมือลง..มันรู้..ไหวขึ้นไป ให้มันรู้เหมือนพริบตา รู้เหมือนหายใจ เราพริบตาเราหายใจมันเป็นอย่างนี้ตลอดมา เราไม่เคยรู้มัน และการเคลื่อนการไหวของภายนอกนี่ มันเคลื่อนไหวไปมาอยู่อย่างนั้น เราไม่เคยรู้มัน 

     

    ดังนั้นจึงว่า กลับมาศึกษาที่ตัวจริงของมัน เป็นธรรมชาติ ศึกษาธรรมะกับธรรมชาติของมันจริงๆ จึงมีวิธีทำมีวิธีสร้างจังหวะขึ้น พลิกมือขึ้น..รู้สึกตัว ยกมือขึ้น..รู้สึกตัว เอามือขึ้นเข้ามาหาสะดือของเรา..รู้สึกตัว เลื่อนมือขึ้นที่สะดือมาไว้ที่หน้าอก..รู้สึกตัว เอามือออกจากหน้าอกไปไว้ตรงข้าง..รู้สึกตัว ลดมือลงที่ขาเราหรือเอาไว้ที่ไหนก็ตามถึงที่..เราก็รู้สึก..คว่ำลง 

     

    ทำกันอยู่อย่างนั้น เรื่องนี้ไม่นาน ถ้าทำจริงทำจังแล้วไม่เกิน ๓ ปี เพราะได้ตำรามีอยู่ว่า ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างถูกต้องให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ ท่านว่าอย่างนาน ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็วที่สุดนับตั้งแต่ ๑ วันถึง ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน 

     

    มีอานิสงส์สองประการ หนึ่ง เป็นพระอรหันต์ได้ในปัจจุบันชาตินี้หรือพรุ่งนี้ ท่านว่าอย่างนั้น สอง ถ้าหากไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ต้องได้เป็นพระอนาคามีแน่นอนที่สุด ท่านว่าอย่างนั้น 

     

    แต่ทีนี้ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเป็นพระอนาคามี ทุกข์นั้นจะลดน้อยไป ความสงสัยกังวลใจจะลดน้อยไป ความขัดแย้งทางจิตใจก็จะลดน้อยไป ปัญหาต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เอาเพียงอานิสงส์อย่างนี้ 

     

    ดังนั้นการกระทำอย่างนี้ จึงไม่ขึ้นอยู่กับใครทั้งหมด จึงว่ารับรองได้อย่างนาน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุดนับตั้งแต่ ๑ วันถึง ๙o วัน รับรองได้ นี่ความจริงมันต้องรับรองได้ 

     

    ถ้าคนรู้จริง เห็นจริง ทำจริง มันต้องรู้สึกได้ นี่ศึกษากับธรรมชาติเพราะการเคลื่อนการไหววิธีใด..ก็ต้องรู้ อย่าไปฝืนธรรมชาติมัน ธรรมดาตามันอยากมองให้มันมอง..แต่ให้รู้ มันมองมันพริบตามันเหลือบซ้ายมันแลขวา..ให้รู้ มันอยากเหลียวหน้าเหลียวหลัง..ก็ให้รู้ ท่านว่าอย่างนั้น 

     

    คนโบราณท่านจึงสอนว่า ไปไหนมาไหน ต้องมองหน้ามองหลัง อย่าไปมองแต่ข้างหน้าอย่างเดียวท่ายว่าอย่างนั้น อันนี้เราไม่ฟัง เราแก้ปัญหาตรงนี้แหละไม่ได้ ฟังคำพูดเหล่านี้แหละไม่เป็น คำว่าเหลียวหน้าเหลียวหลังก็ต้องหมายถึง มองไปข้างหน้ามองไปข้างหลัง..ให้มันเห็น แล้วก็มาดูตัวเอง..ให้มันเห็น ท่านว่าอย่างนั้น 

     

    อันนี้เรามองไปแต่ข้างหน้า คิดไปแต่ข้างหน้า คิดไปเรื่องทำดี คิดไปเรื่องทำไม่ดี คิดไปเรื่องสวรรค์ คิดเป็นเรื่องนิพพาน เราคิดไปอย่างนั้น อันสวรรค์นิพพานนั้นมันอยู่ในกำมือของเรานี่เอง ถ้าหากเราไม่รู้จะเรียกว่าสวรรค์มันก็ไม่รู้ จะเรียกว่านิพพานมันก็ไม่รู้ 

     

    ถ้าเรารู้แล้ว มันเอื้อมมือเดียวเท่านั้นเอง เพราะมันอยู่ในตัวเรา คนโบราณท่านจึงสอนเอาไว้ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจนี่ มันอยู่ที่ใจทั้งนั้น 

     

    เมื่อใดจิตใจหมกมุ่นหดหู่หมักดองอยู่กับสิ่งที่สกปรก จิตใจเศร้าหมองจิตใจหดหู่จิตใจหงอยแงจิตใจขุ่นมัวจิตใจเเฉี่อยชา ในขณะนั้นเรียกว่าจิตใจเป็นทุกข์ จิตใจผิดปกติ ท่านสอนให้เรารู้อย่างนี้ อันนั้นมันเป็นหน้าที่ของคนหรือเป็นหน้าที่ของสัตว์ แต่หน้าตาแข้งขามือเท้าเป็นคน แต่จิตใจมันทำเป็นได้เหมือนสัตว์ เป็นอย่างนั้น ดังนั้นสัตว์กับคนมันจึงอยู่ในตระกูลเดียวกัน 

     

    สวรรค์กับนรกมันอยู่ในตระกูลเดียวกัน เขาเรียกว่า โลกิยธรรม โลกุตรธรรมก็ได้ สวรรค์นิพพานก็ได้ แล้วแต่จะสมมุติพูดขึ้นมาให้มันรู้เรื่องกันเท่านั้นเอง สวรรค์กับนิพพานมันไปสายเดียวกัน สวรรค์คือเรายังไกล ห่างไกลจากนิพพาน แต่มันจะไปนิพพานเราไปติดวิธีนั้นไปติดวิธีนี้ เราไม่ตั้งใจเดินไปหานิพพาน เอาสมมตินั้นไปใช้ 

     

    เราอยู่บ้านเรา เราจะเดินทางไปจังหวัดไหนก็ตาม เราไม่ตั้งใจเราจะไปแวะที่นั่นไปแวะที่นี่ ผลที่สุดไม่ถึงจังหวัดนั้น เขาเรียกว่าเอิ้น(เรียก)โลกิยธรรม แต่ตั้งใจไปแต่ไปไม่ถึง เขาเอิ้น(เรียก)โลกียธรรม คือตั้งใจทำการทำงานอะไรก็ตามแหละ แต่ตั้งใจว่าจะทำให้มันเสร็จ มันทำไม่เสร็จ นั้นเขาเรียกว่าโลกียธรรม 

     

    บัดนี้คนหนึ่งตั้งใจจะไปอำเภอนั้นตำบลนี้หรือจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ตั้งใจลงเรือนเราไป ไปให้ถึงจังหวัดนั้นอำเภอนี้ตำบลนั้นตำบลนี้ เห็นผู้คนลักษณะกิจกระทำงานของตำบลนั้นอำเภอนั้นจังหวัดนั้น อันนั้นเขาเรียกว่าไปถึงจุดหมายปลายทาง เรียกว่าโลกุตตรธรรม หรือจะว่านิพพานก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น 

     

    แต่เราไม่เข้าใจในคำพูดคำสอนเหล่านั้น เพราะมันเป็นศัพท์เป็นแสง คำพูดของคนอินเดีย มันไม่ได้เป็นคำพูดของคนไทย แต่คนไทยแท้ๆ อย่างที่ผมหรือหลวงพ่อพูดนี่ก็ยังไม่เข้าใจบางคน พูดให้ฟังมาหลายครั้งหลายหนแล้ว อย่างที่เราเคยทำบุญเคยอุทิศอะไรต่างๆ 

     

    เราว่า “สุุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ” ข้าพเจ้าทั้งหลายยินดีในทานการถวายของข้าพเจ้านี่ จงถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวะกองกิเลส กองกิเลสนี้สำคัญเครื่องดองสันดาน ท่านกล่าวว่า “พระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้านู่นเทอญ” แต่เราไม่ยอมเสียสละ ไม่ละกิเลสที่มันปกคลุมหรือห่อหุ้มดวงใจหรือดวงสติดวงปัญญาของเรา เราไม่ยอมเบิกยอมถางเหล่านี้ เรียกว่าเป็นโลกิยธรรม 

     

    ให้ว่าทำประกอบด้วยโลก ทำอยู่กับโลก แม้จะทำดีเท่าใดก็ทำอยู่กับโลก มันไปนิพพานไม่ได้ มันไปโลกุตระธรรมไม่ได้ ดังนั้นคำพูดคำสอนนี้มันจึงสำคัญ ให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจแล้วเราจะไปติดคำพูดคำสอนศัพท์แสงเหล่านั้น ดังนั้นคำว่าสวรรค์ สวรรค์เนี่ยถ้าเราอยู่ดีกินดีนอนดีไปดีสบายดี แต่ไปให้มันถึงที่สุดนี้ 

     

    คำว่าไปให้มันถึงที่สุดนี่ไปที่ไหน เราก็ดูใจเรา จิตใจเรามันคิดสับสนวุ่นวาย โอ๊ยไม่ได้ ผิดปกติแล้วนี่ ถ้ามันอยู่เฉยๆ ลักษณะเฉยๆ นี่ไม่ต้องไปทำอะไรมัน ไม่ต้องไปทำให้มันยุ่งขึ้นมา มันมีอยู่แล้ว ว่าเฉยๆ มันคิดขึ้นมาเราก็ทำความรู้สึกตัว รู้สึกใจ ความคิดมันถูกหยุดไปเอง ก็เฉยๆ ลักษณะเฉยๆ นั่นท่านว่าเป็นปกติ 

     

    ปกติ มันมีอยู่อย่างนั้นทุกคน อันเฉยๆ นี่ ผู้หญิงก็มีเฉยๆ ผู้ชายก็มีเฉยๆ พระสงฆ์องค์เจ้าก็มีเฉยๆ คนเฒ่าคนแก่ก็มีเฉยๆ คนหนุ่มคนสาวก็มีเฉยๆ ลักษณะเฉยๆ อันนั้นเรียกว่าถ้าพูดเป็นศัพท์แสงธรรมะนั้นท่านว่าเอิ้น(เรียก) อุเบกขาก็เอิ้น เรียกว่าอุเบกขาวางเฉยก็เอิ้น เรียกว่าสงบก็เอิ้น 

     

    ท่านจึงว่า สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี ความสงบนั่นแหละท่านเรียกว่า นิพพาน อันเฉยๆ นั่นแหละท่านเรียกว่าสงบ ไม่ใช่ไปนั่งสงบ มันเฉยๆ มันสงบ ทำการทำงานด้วยความสงบ ตากแดดตากฝนตากลมทำการทำงานด้วยความสงบ 

     

    นั่นแหละท่านเรียกว่า สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี แต่เราต้องไปนั่งให้มันสงบ อันนั้นมันก็ดีแต่มันไม่เข้าใจ ความไม่เข้าใจนั่นแหละท่านว่าเป็นโทษอย่างหนัก เป็นโทษอย่างมหันต์ ท่านว่าอย่างนั้น 


    แต่ในทางตรงกันข้าม ความเข้าใจ ความรู้ ความเห็น ฟังแล้วเข้าอกเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติตาม นั่นแหละท่านว่า เป็นบุญเป็นกุศล เป็นมหาศาลหาอะไรจะเปรียบปานหรือเท่าเทียมไม่ได้ เพราะความรู้สึกอันนี้นี่เอง ดังนั้นจึงไม่ต้องทำอะไร ศึกษากับธรรมชาติ ถ้าผิดธรรมชาติก็ผิดปกติ ถ้าผิดปกติก็ผิดธรรมชาติ 

     

    ดังนั้นศึกษาธรรมะศึกษากับธรรมชาติ ให้รู้ธรรมชาติมันจริงๆ คนเราต้องมีการกิน มีการนอน มีการไป มีการมา มีการอาบน้ำ มีการล้างหน้าแปรงฟัน มีการเข้าห้องน้ำห้องส้วม มีการเข้าไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มันเป็นไปตามหน้าที่ของมัน จึงศึกษาให้รู้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ สอนคนให้รู้จักเรื่องทุกข์ 

     

    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะที่ไหน ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่มีเงินไม่มีทองหรือเจ็บหัวปวดท้อง ไม่ได้หมายถึงทุกข์เหล่านี้ ทุกข์ที่หลวงพ่อหรืออาตมาพูดนี่ ทุกข์หมายถึงความคิดมันถูกปรุงแต่ง มันคิดสับสนวุ่นวาย คิดมาแล้วหยุดไม่ได้ คน นักเรียนนักศึกษาเรียนมากๆ คิดๆๆ หยุดไม่เป็น เป็นบ้าไปก็มี นี่มันเป็นอย่างนั้น 

     

    อันนี้แหละจึงว่า ความคิดนี่มันสำคัญที่สุด เราต้องศึกษาต้องปฏิบัติให้รู้ให้เข้าใจ มันคิดแล้วต้องทิ้ง อย่าเข้าไปในความคิด ความคิดนี่เหมือนกับกระแสน้ำ เหมือนกับกระแสน้ำ เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว 

     

    พระพุทธเจ้าก่อนที่จะได้ตรัสรู้ จับเอาถาดหรือขัน นางสุชาดาเอาข้าวไปถวายพระพุทธเจ้านึกว่าเป็นเทวดา พระพุทธเจ้าได้กินข้าวในขันของนางสุชาดาแล้วถามนางสุชาดาว่า จะถวายแต่ข้าวหรือว่าจะถวายทั้งหมด ถามนางสุชาดา นางสุชาดาก็ว่าถวายทั้งหมด ไม่เอาอะไรกลับคืนเลย 

     

    พระองค์ก็จับถาดหรือขันอันนั้นแหละลงไปริมแม่น้ำ เอาไปนั่งอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆ่ากิเลสตาย คายกิเลสหลุด เอาชนะทุกข์ได้ วางถาดหรือขันใบนี้แหละลงบนผิวน้ำนี่ ให้ถาดหรือขันใบนี้แหละ ทวนกระแสน้ำขึ้นไปถึงต้นน้ำโน่น 

     

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากจะไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ฆ่ากิเลสไม่ตาย คายกิเลสไม่หลุด เอาชนะทุกข์ไม่ได้ วางถาดและขันใบนี้ลงไปบนผิวน้ำนี่ ให้มันไหลไปตามกระแสของน้ำ ว่าอย่างนั้น พอดีพูดจบแล้วก็เลยวางถาดอันนั้นลงไป 

     

    ถาดขันอันนั้นก็ทวนกระแสของน้ำขึ้นไปถึงต้นน้ำ ก็ไปจมลงที่ตรงพญานาคนอนหลับอยู่ ไปซ้อนเข้าเป็นหมอนให้พญานาคนอน อันนั้นมันเป็นบุคลาธิษฐาน อันนั้นมันเป็นบุคลาธิษฐานให้เข้าใจ 

     

    จึงว่าธรรมาธิษฐานบุคลาธิษฐานนี่ ธรรมาธิษฐานท่านเว้า(พูด)เรื่องธรรมะ ตัวไปตีเป็นบุคคลขึ้นมา อันพญานาคนอนหลับนี่คือว่า เหมือนเรานี่แหละนอนหลับทับสิทธิ์ หลงตนลืมตัว ไม่คิดถึงใจ เรียกว่านอนหลับทับสิทธิ์ 

     

    ดังนั้นทวนกระแสของน้ำคือ ทวนกระแสของความคิด มันคิดอยากไป เราก็ไม่ต้องไป มันคิดอยากขับรำทำเพลง เราก็ไม่ต้องขับรำทำเพลง มันอยากดื่มสุรา เราก็ต้องไม่ดื่มสุรา มันอยากใช้สิ่งของอะไรต่างๆ แบบทันสมัยเขา ก็ไม่ต้องไปอย่างนั้น 

     

    ให้ใช้ชีวิตเป็นธรรมดา เป็นธรรมดา ใช้ชีวิตเป็นธรรมดา เป็นธรรมดา ธรรมะจึงเป็นธรรมดา ผิดธรรมดาไปแล้วไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นอธรรม ท่านว่าอย่างนั้น 

     

    ดังนั้นการพูดการสอน และผู้ฟังกับผู้สอน ให้เข้าใจกัน แม้จะเรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉานก็ตาม ถ้าหากไม่ทำ จะไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ได้เรียนหนังสือเขียนไม่ได้อ่านไม่เป็น แต่ทำ ก็ต้องรู้เช่นเดียวกัน 

     

    ดังนั้นคนโบราณท่านจึงสอนเอาไว้ การพูดนั้นดีแล้ว พูดร้อยคำพันคำหมื่นคำแสนคำล้านคำก็ตาม สู้การกระทำครั้งเดียวไม่ได้ การกระทำนั้นทำอย่างไหน ทำให้รู้สึกตัวตื่นตัว ทำให้รู้สึกใจตื่นใจ คนโบราณท่านจึงสอนเอาไว้ว่า อย่าหลงตน อย่าลืมตัว อย่าหลงกาย อย่าลืมใจ นี่ท่านสอนเอาไว้ 

     

    แต่เรามันหลงตนลืมตัว หลงกายลืมใจ ไม่ได้รู้เท่าทันของความคิด มันเป็นกลเป็นไกความคิดนี้ คนโบราณท่านจึงสอนเอาไว้ว่า ความคิดคนนี้เหมือนกับลิง ท่านว่าอย่างนั้น ความคิดมันเกาะจับได้ไว ความคิดคนเหมือนกับลิง ลิงนี้มันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เราก็เอาไม้ไปแหย่มัน มันก็โดดโลดเต้นจับโน่นจับนี่ มันเป็นอย่างนั้น 

     

    ความคิดก็เหมือนกันท่านว่า “ความคิดของคนนี้จึงกลอกกลับได้ไว ดุจมีลานไขในตน เราท่านควรบังคับกล ให้จิตยนต์หมุนมาแต่ในทางข้างดี เพราะปล่อยให้จิตหมุนไปในทางข้างกลี ธรรมที่มีก็จักหนีจักหน่ายหายสูญ อธรรมเข้าครอบงำ ความระยำสมบูรณ์ก็ปลิ้นปลอกหลอกตน” นี่มันหลอกเรา 

     

    ดังนั้นทำกรรมฐาน ไปนั่งภาวนาแล้วเห็นเลขเห็นบัตรเห็นเบอร์ เพราะไม่เห็นจิตใจนี่เอง เพราะไปฝึกกรรมฐาน มันไม่ได้ฝึกตัวเอง มันไปฝึกนั่งหลับตาไปฝึกอะไรต่างๆ มันเลยผิดธรรมชาติผิดธรรมดา เมื่อผิดธรรมชาติผิดธรรมดาก็แสดงว่า ไม่รู้ธรรมชาติ ไม่รู้ธรรมดา มันก็หลอกเราเอาเสีย นี่มันเป็นอย่างนี้ 

     

    ดังนั้นจึงศึกษากับธรรมชาติ ศึกษากับธรรมดา ไม่ให้มันหลอกเรา เรารู้เท่าทันกลไกหรือมายาของจิตใจ นี่มันเป็นอย่างนี้ ธรรมที่มีก็จักหนีจักหน่ายหายสูญ เพราะเราไม่รู้นี่เอง อันความไม่รู้นั้นภาษาธรรมะเรียกว่า โมหะ ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า หลงตนลืมตัว หลงกายลืมใจ ไม่รู้ตัว ไม่รู้กาย ไม่รู้ใจ ท่านว่าอย่างนั้น 

     

    ดังนั้นจึงศึกษาหาของจริง จริงไหม มองเห็นต้นไม้ มองเห็นคนเดินไป มองเห็นคนนั่ง มองเห็นคนนอน อันนี้จริงไหม นั่นแหละตาหน้าที่ของดู หูจึงเป็นหน้าที่ของฟัง แต่ตาดูตามันไม่รู้ หูฟังหูมันไม่รู้ คือตัวใจมันรู้ มันเป็นทาง มันเป็นทางเดินของจิตของใจ มันเป็นทางเดินของกิเลส มันเป็นทางเดินของอวิชชา คือความไม่รู้ มันเทียวเข้าเทียวออก เดินไปเดินมาเราไม่รู้ 

     

    บัดนี้เรามาศึกษากับธรรมชาติ เราไปไหนมาไหน มันนึกมันคิด เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ พอดีมันถูก..เห็น ความคิดมันถูกหยุดทันที 

     

    เหมือนเราขุดบ่อน้ำอุปมาให้ฟัง เราขุดหาน้ำ ถึงจะขุดสูงๆ ก็ตาม ขุดเนินภูก็ตาม แล้วขุดที่ลุ่มที่ดอนขุดที่ไหนก็ตาม แต่พื้นดินต้องมีน้ำทุกหนทุกแห่ง ขุดลงไปลึกๆ ไปเจอน้ำแล้ว น้ำกับตมกับเลนนั้นมันอยู่ด้วยกัน เมื่อไปเจอน้ำแล้วขุดลึกๆ ลงไป เราก็เป็นหน้าที่ตัดตมตัดเลนออกทิ้ง น้ำอยู่ข้างในมันจะไล่ตะกอนออกมา มันจะไล่ออกมาให้หมดเลย 

     

    เราก็เป็นหน้าที่ตักตมตักเลนออกให้หมด ตักออกๆ วิดออกๆ ตักกับวิดเป็นอันเดียวกันนะ ตักออกตมเลนออกหมดแล้ว น้ำมันไล่ตะกอนออกมา แต่มันยังขุ่นยังมัวยังสกปรก น้ำนั้นยังใช้ไม่ได้ กวนปากบ่อเข้า ให้มันล้างตมล้างเลนล้างตะกอนเหล่านั้นออก ตักออกๆ เมื่อตักออกหลายหนล้างหลายครั้งหลายหน น้ำก็สะอาดขึ้นมา เมื่อน้ำสะอาดแล้วเอาไปใช้อะไรก็ได้ 

     

    ดังนั้น จิตใจที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ ท่านว่าอย่างนั้น จิตใจไม่ต้องฝึกมัน ฝึกกิเลส ฝึกตัวนึกตัวคิดนี่แหละ มันเทียวมา เราเห็นเรารู้ ถ้าเราไม่เห็นเราไม่รู้ก็แสดงว่าเราไม่ได้ฝึกกิเลส แต่จิตใจนั้นมันดีแล้วไม่ต้องไปฝึกมัน จะไปฝึกมันทำไมจิตใจมันเป็นปกติอย่างนั้น เกิดมาแล้วมันก็มีปกติอยู่อย่างนั้น 

     

    ปกตินี่แหละท่านว่า มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดา มันเป็นอยู่อย่างนั้น จะทำการทำงาน พูด คิด ความปกตินั้นก็มี หรือเปรียบอุปมาหลายอย่าง ที่นำมาเล่าให้ฟังหลายครั้งหลายหน 

     

    สมมุติเอาอย่างดวงอาทิตย์หรือพระอาทิตย์หรือตะเวน(ตะวัน) เราสมมุติขึ้นให้ บางคนว่าตะเวนหม่นหรือฟ้าหม่นดวงอาทิตย์หม่น นี่เราว่าอย่างนั้น แต่ความจริงตะเวนไม่หม่นดวงอาทิตย์ไม่หม่นฟ้าไม่หม่น มีเมฆหรือฟ้าหรือเฟื่อบ้านเรา เมฆมันลอยไปตามลมมันไปบังเอาดวงนั้น แต่ดวงอาทิตย์หรือตะเวนนั่นมันทำความสว่างมันเต็มดวง แต่เมื่อมีอะไรไปปกคลุมมันไว้ มันก็เลยทำความสว่างอยู่ใกล้ๆ แต่มันทำออกไปไกลๆ 

     

    อันตัวปกติของเรา มันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่นั่น แต่คนไม่เคยรู้ ไม่เคยดู ไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าใจปกติอันนี้ เมื่อไม่เข้าใจปกติอันนี้ก็เลยไปหาธรรมะ ไปหาธรรมะก็เลยว่า ธรรมะคืออะไร อยู่ที่ไหนไม่รู้เลย แสดงว่าศึกษาธรรมะไม่เข้าหลัก ไม่ว่าคนอื่นแหละตัวเองก็เคยทำอย่างนั้น จึงว่ามันศึกษาไม่ถูกไม่ตรง 

     

    ดังนั้นการเลือกหาครูบาอาจารย์นั้น ต้องเลือกหาครูบาอาจารย์ผู้สอนของจริง คนมีดีแล้วเอามาพูดให้เราฟัง เอาของดีนั่นแหละ มีในตัวคนนั่นแหละมาพูดให้คนฟัง ดังนั้น เมื่อเรารู้ตัวเรา เห็นตัวเรา เข้าใจตัวเรา รู้จิตรู้ใจ รู้ชีวิตของเราจริงๆ แล้วยกมือไหว้ตัวเองก็ยังได้ เพราะเราไม่นึกไม่ฝันว่า เรามีดีขนาดนี้ 

     

    เมื่อเรามาเห็นของดีมีในตัวเราแล้วก็ เรายกมือไหว้ตัวเองได้ การยกมือไหว้คนอื่นนั้นร้อยครั้งพันหน สู้ยกมือไหว้ตัวเองครั้งเดียวไม่ได้ นี่มันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันจึงมีค่ามีคุณมากยกมือไหว้ตัวเองนี่ เมื่อไหว้ตัวเองแล้วก็เป็นการไหว้คนอื่นได้ เพราะเราทำดี เราพูดดี เราคิดดี คนอื่นทุกคนไปต้องการทำดีต้องการพูดดีต้องการคิดดี 

     

    ดังนั้นคนใดยกมือไหว้ตัวเองแล้ว นั่นแหละเรียกว่าเป็นคนดี ไม่ใช่ว่ายกมือไหว้คนอื่น เรา..เห็น..ตัวเรากำลังยกมือไหว้ เรา..เห็นจิตเห็นใจ..กำลังอ่อนน้อมถ่อมตน..ยกมือไหว้คนนั้นคนนี้ อันนั้นแหละท่านว่าเป็นคนดี 

     

    อันนี้เราไม่เคยเห็นจิตเห็นใจ เห็นเขายกมือไหว้ก็ยกมือไหว้ไปตามเขา ไม่เห็นจิตเห็นใจ บางทีคนยกมือไหว้คนอื่นจิตใจคิดอยากไปทำร้ายเขาก็มีนะ มันเป็นอย่างนั้น อันนี้แสดงว่ามันมีการขัดแย้งอยู่ในตัวมันเอง เมื่อมันมีการขัดแย้งอยู่ในตัวมันเองก็มีความสับสนวุ่นวาย เมื่อมีความสับสนวุ่นวายปัญหาก็เกิดขึ้นที่ตรงนั้น จึงคนมันไม่รู้จักหน้าที่ของคน 

     

    ดังนั้นคนเราต้องศึกษาให้รู้จักความเป็นคน ให้รู้จักว่าหน้าที่ของคน ให้รู้จักว่าปฏิบัติหน้าที่ของคน เมื่อไม่รู้จักความเป็นคน ไม่รู้จักหน้าที่ของคนไม่รู้จักปฏิบัติ.  

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service