แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท.๑๗๙
ตั้งไจฟังธรรม ญาติโยมก็ต้องตั้งไจฟัง หลังจากทำวัตรเช้าแล้วก็ต้องมีการอบรม หรือมีการแนะนำชี้ทางให้กัน วันนี้ก็มาพูดกันเรื่องความเป็นคนและคุณค่าของคน คนเรานี่เกิดขึ้นมาแล้ว เป็นคน แข้งขาหน้าตาเป็นคน แต่จิตใจนั้นอาจจะบ่(ไม่)เป็นคนก็ได้หรือเป็นคนก็ได้ ว่ามีลักษณะอยู่บ่เหมือนกัน
คนเรา บางคนนั้นก็พูดง่าย บางคนก็พูดยาก บางคนก็เข้าใจง่ายๆ บางคนก็บ่(ไม่)อยากเข้าใจ ลักษณะของคนมันบ่คือ(ไม่เหมือน)กัน เฮาจิ(เราจะ)ได้เห็นด้วยสายตาง่ายๆ บางคนสูงบางคนต่ำ บางคนก็ดำบางคนก็ขาว เป็นอย่างนั้น หน้าตาแข้งขานั้นแท้คือกัน(เหมือนกัน) มีคือกัน(เหมือนกัน)
ลูกพ่อเดียวแม่เดียวนี้ก็คือกัน(เหมือนกัน) บางคนก็ว่ายาก บางคนก็ว่าง่าย บางคนก็ดี บางคนก็เลว บางคนก็เป็นคนรวย บางคนก็เป็นคนจน เพราะว่าลักษณะจิตใจบ่คือกัน คนเฮา(เรา) จึงว่าให้รู้จักคนจริงๆ แล้วก็ให้รู้จักคุณค่าของคนจริงๆ
คนนี่เกิดมาเป็นคนมันต้องธรรมชาติ เกิดกับคนก็ต้องเป็นลูกคน มันก็ต้องเป็นคน แต่จิตใจนั้นเลวทราม บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ทุกคนนี่ว่าคนเราเกิดขึ้นมาต้องรู้จักความเป็นคน เมื่อรู้จักความเป็นคนแล้วให้รู้จักหน้าที่ของคน
รู้จักหน้าที่ของคนแล้วก็รู้จักเคารพ รู้จักเคารพคน รู้จักบุญรู้จักคุณ รู้จักบุญคุณของตัวเราก่อน ตัวเราเป็นคนก็ต้องรู้จักบุญคุณของตัวเราก่อน เมื่อเราบ่(ไม่)รู้จักบุญคุณก็บ่(ไม่)รู้จักตัวเรา เมื่อเรารู้จักตัวเราก็รู้จักบุญคุณของพ่อของแม่ เมื่อรู้จักบุญคุณของพ่อของแม่แล้วก็ตอบบุญแทนคุณของพ่อของแม่
เมื่อรู้จักตอบบุญแทนคุณของพ่อของแม่แล้ว ก็รู้จักบุญคุณของประเทศชาติบ้านเมือง หรือคุณเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ แล้วหยังจิ(ยังไงจะ)ว่าไปนั้น เราเกิดในเมืองไทย เป็นคนไทย เป็นชาติไทย สัญชาติไทย ประเทศชาติบ้านเมือง เราก็ต้องรู้จักบุญคุณ ก็รู้จักตอบแทน ท่านจึงว่าเป็นคน
บัดนี้เราเกิดมามีศาสนาพุทธ บางคนก็มาบวชเป็นเณรเป็นพระ บางคนก็เข้าวัดจำศีล รักษาศีล ให้ทาน ท่านว่าให้รู้จักคุณค่าของพระพุทธเจ้า ถ้าหากเราบ่ฮู้(ไม่รู้)จักคุณค่าของพระพุทธเจ้า เราก็บ่(ไม่)ได้ตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าเราบ่ฮู้(ไม่รู้)บุญคุณของเราก่อน มันก็บ่ฮู้(ไม่รู้)
รู้จักบุญคุณของเราก่อน คนมันบ่(ไม่)ใช่สวยใช่งาม ย้อน(เป็นเพราะ)แข้งขาหน้าตามันเท้ามิหยัง(อะไร) แต่แข้งขาหน้าตามือเท้านั้นงามก็มี บ่(ไม่)งามก็มี เพิ่น(เขา)เอาจิตใจ จิตใจดีจิตใจงามเพิ่น(เขา)ว่าเป็นคน บางคนนั้นหน้าตาแข็งขางามสดสวยดีแต่จิตใจเลวทรามก็มี นี่เพิ่น(เขา)จึงว่าให้รู้จักคน การเบิ่ง(ดู)คน ก็ต้องดูคนให้เห็นคน ให้ฮู้(รู้)จักคน เพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างนั้น
แต่ว่าเฺฮา(เรา)มาบวชเป็นเณรเป็นพระ หรือมาจำศีลมาปฎิบัติธรรม ต้องรู้จัก คนนี่ต้องรู้จัก รู้จักคน แล้วก็ต้องรู้จักหน้าที่ของคน รู้จักปฏิบัติตัวของตัวนี้ให้เป็นคน คนจึงเลือกคัดจัดหาเอาได้ ถ้าหากเลือกเอาบ่(ไม่)ได้ จัดเอาบ่(ไม่)ได้ ก็บ่(ไม่)ใช่คน บ่แม่น(ไม่ใช่)คน จิตใจยังบ่(ไม่)เลือกเอา บ่(ไม่)ได้เลยเด้ ยังบ่ฮู้(ไม่รู้)จักดีฮู้(รู้)จักชั่ว ครั้นฮู้(รู้)จักแต่ดีอันเดียวก็บ่แม่น(ไม่ใช่) ฮู้จักแต่ชั่วอันเดียวก็บ่แม่น(ไม่ใช่) เพิ่น(ท่าน)ว่า ให้ฮู้(รู้)จักทั้งดีและชั่ว
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านว่า เฮา(เรา)ตื่นมา เฮา(เรา)ไปนั่นมานี่ ให้เหลียวหน้าเหลียวหลัง เหลียวซ้ายเหลียวขวา อันนี้มันเป็นคำพูด เหลียวหน้าเหลียวหลังก็เหลียวไปข้างหน้าเหลียวไปข้างหลัง เหลียวซ้ายเหลียวขวาก็เหลียวเบิ้ง(ดู)ตัวเฮา(เรา) เหลียวเบิ้ง(ดู)ตระกลูของ เพิ่น(ท่าน) ว่าอย่างนั้น เหลียวซ้ายเหลียวขวา เหลียวหน้าเหลียวหลัง เหลียวไปเบิ่ง(ดู)หลังเฮา(เรา)ทำดีมาแล้วหรือทำชั่วมาแล้ว เฮา(เรา)จึงฮู้จักว่าเฮา(เรา)เหลียวหลัง
เฮา(เรา)เกิดมา เฮาเฮ็ดจั๋งใด๋(เราทำยังไง) รู้จัก เหลียวไปข้างหน้าก็มีแต่มองไปข้างหน้า อยากได้ดี บ่(ไม่)ได้เห็นความชั่วของเฮา(เรา) บ่(ไม่)ได้เห็นความผิดของเฮา(เรา) เฮา(เรา)ก็เลยบ่ฮู้(ไม่รู้จัก บ่(ไม่)ได้แก้ปัญหา เหลียวซ้ายเหลียวขวาเหลียวเบิ่ง(ดู)คนกำลังมีอยู่เป็นอยู่ กำลังเราเฮ็ด(ทำ)เราทำอยู่ มันทำผิดทำถูกทำดีทำชั่ว เราจะได้ฮู้(รู้)จัก เหลียวซ้ายเลี้ยวขวาเหลียวเบิ่ง(ดู)ตัวเรา
เมื่อฮู้จักแล้วก็เป็นคนเลือกทำแต่ที่มันดี ที่มันบ่(ไม่)ดีก็บ่บ่(ไม่)ทำ ท่านว่าเอิ้น(เรียก)คน แล้วก็รู้จักความเป็นคน รู้จักหน้าที่ของคน รู้จักปฎิบัติหน้าที่ของคน รู้จักแล้วก็ตอบแทนตัวเรา ตัวเรานี้ตอบแทนตัวเราเด้(นะ) บ่(ไม่)ใช่ว่าผีบ่(ไม่)ใช่ว่าเทวดา บ่(ไม่)ใช่มิหยัง(อะไร) บัดนี้เมื่อฮู้(รู้)จักก็บุญคุณของพ่อของแม่ ของอ้าย(พี่)ของน้อง ของหมู่ของเพื่อน
พ่อแม่นี่รักลูก เพิ่น(เขา)ว่าเหมือนกับลูกตา สมมุติเอาซื่อๆ(เฉยๆ) มีลูกผู้เดียว พ่อแม่สองคนมีตาสี่ตา ลูกผู้เดียวมีตาสองตาเกิดขึ้นมาแล้วตาบอด โอ้ลูกเจ้านี่ถ้ามีตามาใส่สองตาจิได้เป็นเจ้าฟ้ามาหากษัตริย์ จิ(จะ)ดีจิ(จะ)งามด้วยนะ พ่อแม่นี่ควักตาให้เลย เอาตาพ่อตาหนึ่งเอาตาแม่ตาหนึ่งมาใส่ตาลูกสองตา พ่อแม่ก็ต้องมีตาเดียว เพราะรักลูกอยากให้ลูกดี
แต่ลูกนี่เกิดมา บางคนพ่อแม่สอนบ่(ไม่)ได้ เป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น) บ่(ไม่)ฟัง นี่หาว่าพ่อแม่บ่(ไม่)รักบ่(ไม่)แทนตัวเอง เข้าใจผิดเด้(นะ) อันนี้บ่(ไม่)ใช่คนเด้ บ่แม่นคน แต่คนอยู่แต่บ่(ไม่)ใช่คน บ่(ไม่)จักเคารพนับถือพ่อแม่ พ่อแม่นี่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนเฒ่าจนแก่จนตายจากกันไปว่านั้น แล้วตายแล้วเพิ่น(ท่าน)ยังจะไปเฮ็ด(ทำ)บุญหาพ่อหาแม่ อันเมื่อยังเป็นๆ อยู่เด้ บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเคารพบ่ฮู้(ไม่รู้)จักนับถือมิหยัง(อะไร) อันนี้บ่แม่น(ไม่ใช่)คนเด้(นะ) แต่ว่าเกิดเป็นคนก็จริง บ่(ไม่)ใช่คน บ่(ไม่)รู้จักเคารพนับถือกันเด้(นะ) นี่เพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างนั้น บ่(ไม่)รู้จักคน
เมื่อรู้จักเคารพนับถือพ่อแม่ ก็รู้จักเคารพนับถือครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์พูดแนะนำให้ความฮู้(รู้)ความเห็นความฉลาด ทั้ง…จึงบ่(ไม่)รู้จักบุญคุณคน ดังนั้นคนสมัยนี้จึงว่าบ่(ไม่)ค่อยรู้จักบุญคุณ บ่(ไม่)รู้จักคุณค่าของความเป็นคน รู้จักอยู่แต่หากว่าแต่เว้า(พูด) บ่(ไม่)ได้ว่าปฏิบัติตาม อันนี้เอามาเล่าสู่กันฟัง คนต้องรู้จักเคารพนับถือ
เคารพนับถือตัวเฮา(เรา)นี่แหละ บ่แม่น(ไม่ใช่)เคารพนับถือพ่อแม่มิหยัง(อย่างไร) เฮา(เรา)ทำหน้าที่ของเฮา(เรา)นี่ เป็นการเคารพพ่อแม่เฮา(เรา)ซื่อๆ(เฉยๆ) นี่เด้(นี่นะ) เคารพเพื่อนฝูงฮา(เรา)ซื่อๆ(เฉยๆ) นี่เด้(นี่นะ) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักความเป็นคน รู้จักหน้าที่ของคน และรู้จักปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เพิ่น(เขา)ว่า เมื่อรู้จักอย่างนั้นเพิ่นก็เอิ่น(ท่านก็เรียก)คน รู้จักคัดเลือกเอาได้
บัดนี้รู้จักบุญคุณของประเทศชาติบ้านเมือง ประเทศเฮา(เรา)นี่มันมีเจ้ามีนาย อยู่ผู้(คน)เดียวบ่(ไม่)ได้ แล้วก็มีฟ้ามีน้ำ ครั้นถ้าเฮาบ่(เราไม่)รู้จักแล้วก็บ่(ไม่)ใช่คนแล้ว รู้จักบุญคุณของประเทศชาติบ้านเมืองนี้ เราบ่(ไม่)รู้จัก เดี๋ยวนี้สมัยนี้ผมว่ารู้จักน้อย รู้จักแต่อยากได้เงิน อยากได้ชื่ออยากได้เสียงอยากได้เกรียติอยากได้ยศ
อันชื่อเสียงเกียรติยศนั้นดีแล้ว อันเงินทองนั้นได้ก็ดีแล้ว แต่ถ้าหากบ่(ไม่)รู้จักแล้ว ก็ตัดไม้ในป่านี้หมด แห้งแร้ง น้ำก็บ่มี นี่แสดงว่าเฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จักประเทศชาติบ้านเมืองเฮามิหยัง(เรายังไง) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเคารพกฎหมายมิหยัง(อย่างไร) กฎหมายบอกไว้แล้วยังบ่(ไม่)เคารพบ่(ไม่)นับถือ นี่แสดงว่าเป็นคน บ่แม่น(ไม่ใช่)คน นี่แสดงว่ารักชาติรักศาสนารักพระมหากษัตริย์ บ่แม่น(ไม่ใช้) ว่าซื่อๆ(เฉยๆ)
คนรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ รักประเทศชาติบ้านเมืองของเฮา(เรา) ต้องฮู้จักเด้(รู้จักนะ) กฎหมายว่าจั๋งได๋(อย่างไร) เฮาเฮ็ดจั๋งได๋(เราทำอย่างไร) เฮา(เรา)ก็ต้องรู้จักเคารพ เสียภาษีอากรจั๋งได๋(อย่างไร) เราก็ต้องรู้จักเพิ่น(ท่าน)ว่า เพราะหน้าที่มันมีจั๋งซั่นดิ(อย่างนั้นซิ) อันนี้เฮาบ่ฮู้จักจั๋งซั่น(เราไม่รู้จักอย่างนั้น) มีแต่อารัดเเอาเปรียบกัน มีแต่ความอิจฉาริษยากัน ยื้อแย้งแข่งดีกัน ก็เลยเดือดร้อน
เมื่อเดือดร้อนแล้วบ่เดือดร้อนแต่เฮาเด้(เรานะ) เดือดร้อนผู้อื่นเด้(นะ) บัดนี้คนนี่มันบ่(ไม่)รู้จัก จึงทำให้สังคมนี้เดือดร้อน น้อยที่สุดเพราะคุณค่าของคมบ่มี คุณค่าของธรรมะบ่มีในใจ รักแต่สวยแต่งาม รักแต่เงินแต่ทอง รักแต่ชื่อแต่เสียง รักแต่เกียรติแต่ยศ แล้วบ่ได้คิดถึงว่าเราทำนี่มันถูกบ่(ไม่) มันผิดบ่(ไม่) บ่(ไม่) บ่ได้เบิ่ง(ไม่ได้ดู) มันเป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น) คนมันนี่มันบ่(ไม่)เข้าใจ
เมื่อบ่เข้าใจ ก็ทำผิด พูดผิด คิดผิด นำความสับสนวุ่นวายความเดือดร้อนมาให้ตัวเฮา(เรา) เมื่อมีความสับสนวุ่นวายความเดือดร้อนมาให้ตัวเฮา(เรา)แล้ว การขัดแย้งตัวเฮา(เรา)ก็มีแล้ว มันมีขัดแย้งอยู่ภายในจิตใจเราพรุ่นเด้(โน่นนะ) เฮ็ดจั๋งซั่นดีเฮ็ดจั๋งซี่ดีชั่ว(ทำอย่างนั้นดีทำอย่างนี้ชั่ว) เฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จัก เฮาเฮ็ดได้ดีซื่อๆ(เราทำได้ดีเฉยๆ) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักชั่ว อันนี้เพิ่นว่า คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักประเทศชาติบ้านเมือง บ่ฮู้(ไม่รู้)จักคุณค่าของประเทศชาติบ้านเมือง บ่ฮู้(ไม่รู้)จักคุณค่าของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเคารพนับถือ อันนี้ก็บ่แม่น(ไม่ใช่)คน
คนมันต้องรู้จัก จั๋ง(อย่าง)ว่าคนมันบ่คือ(ไม่เหมือน)กัน พ่อเดียวแม่เดียวกันบ่คือ(ไม่เหมือน)กัน เฮา(เรา)เห็นด้วยตาเฮา(เรา) บางคนก็ดี บางคนก็บ่(ไม่)ดี บางคนก็ว่ายาก บางคนก็ว่าง่าย บางคนก็ฉลาด นี่มันบ่คือ(ไม่เหมือน)กัน คุณค่าของคนนี่มีบ่(ไม่)เหมือนกัน อยากให้เฮาฮู้(เรารู้)จักศึกษาตัวเฮา(เรา)จริงๆ
บัดนี้คุณค่าของพระพุทธเจ้า เฮ็ดจั๋งใด๋(ทำอย่างไร)จึงได้ตอบบุญแทนคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าในประเทศอินเดียพรุ่นเด้(โน่นนะ) คนอินเดียเด้พระพุทธเจ้าบ่แม่น(ไม่ใช่)คนไทยเด้(นะ) ครั้นถ้าเรารู้จักคุณค่าของพระพุทธเจ้า เราต้องเคารพพระพุทธเจ้า เพิ่น(ท่าน)ว่า
พระพุทธเจ้าสอนหยังเเด(อะไรเหรอ) สอนให้ฮู้จักตัวเรา สอนให้ฮู้(รู้)จักว่าพ่อเราแม่เรา สอนให้ฮู้(รู้)จักว่าประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ต้องรักต้องแทน(ตอบแทน) คร้้นรักครั้นแทน(ตอบแทน) เราเฮ็ดหยังจั๋งได๋(ทำอย่างไร) เฮาเฮ็ดหรือบ่เฮ็ด(เราทำหรือไม่ทำ) บ่เฮ็ด(ไม่ทำ)ก็แสดงว่าเฮา(เรา)เป็นคนอกตัญญู คนเนรคุณคน คนบ่(ไม่)รู้จักเคารพนับถือคน
คนเรานี้จึงว่า เฮ็ด(ทำ)ไปตามอารมณ์ซื่อๆ(เฉยๆ) มัก(ชอบ)อะไรก็เฮ็ด(ทำ)ไป กินเหล้า ผิดที่กินเหล้านี่เพิ่น(ท่าน)ว่า ผิดตรงสุรานี่เพิ่น(ท่าน)ว่า เล่นการพนัน ดูการเล่น เที่ยวกลางคืน ชอบผู้หญิง ผู้หญิงก็ชอบผู้ชาย ผิดเด้(นะ) เพิ่น(ท่าน)ว่าไว้เด้(นะ) ในหนังสือว่า นักเลงผู้หญิงนักเลงสุรานักเลงเที่ยวกลางคืนนักเลง..โอ้หลายข้อ
หลักสูตรนักธรรมชั้นตรี เพิ่น(ท่าน)ว่า เฮาเฮียน(เราเรียน)หนังสือ บวชเป็นเณรเป็นพระ เฮียน(เรียน)แล้วสึกออกไป แล้วก็กินเหล้าเล่นการพนัน โอ้หลายอย่าง ทีนี้เฮา(เรา)รักพระพุทธเจ้าบ่(มั้ย) บ่แม่น(ไม่ใช่)
อันคุณค่าของผ้าเหลืองนี่มีมากที่สุด แม้เป็นผู้ใหญ่บ้านกำนันก็ยกมือไหว้ พ่อแม่เฮา(เรา)ก็ยกมือไหว้ ยกมือไหว้ผ้าเหลือง บ่(ไม่)ว่าตั้งแต่พ่อแต่แม่เด้(นะ) เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ สมมุติเอาซื่อๆ(เฉยๆ) อย่างสมมุติว่าในหลวงก็ได้พระเจ้าแผ่นดินก็ได้ยกมือไหว้ ยกมือไหว้ผ้าเหลือง คุณค่าของผ้าเหลืองจึงมีมาก คุณค่าของพระพุทธเจ้าจึงมีมาก
ผ้าเหลืองซื่อๆ(เฉยๆ) ขะเจ้าบ่(พวกเขาไม่)ได้ยกมือไหว้ บ่แม่น(ไม่ใช่)อยู่ตามถนนหนทางอยู่ตามตลาดนี่ เจ็กจีนขะเจ้าบ่รู้(พวกเขาไม่รู้) คนไทยก็ช่าง ขายผ้าเหลืองขะเจ้าบ่(พวกเขาไม่)ได้ยกเด้(นะ) ขะเจ้า(พวกเขา)ยกมาให้ซื่อๆ(เฉยๆ) พอมาแปะคนแล้ว ขะเจ้า(พวกเขา)ยกมือไหว้เลย แล้วเฮา(เรา)ได้ทำหน้าที่ของเฮา(เรา) ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)ได้ทำหน้าที่ของเฮา(เรา) ก็แสดงว่าเฮา(เรา)ยังบ่ฮู้(ไม่รู้)จักคุณค่าของพระพุทธเจ้า เฮา(เรา)ต้องศึกษาเล่าเรียนให้ฮู้(รู้)จักคุณค่าของพระพุทธเจ้าจริงๆ
ถ้าหากทุกคนรู้จักคุณค่าของพระพุทธเจ้า คุณค่าของพ่อของแม่ คุณค่าของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์แล้ว เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่ามีธรรมะครองใจเพิ่น(ท่าน)ว่า ถ้าหากเฮา(เรา)มีธรรมะครองใจแล้วอยู่ไส(อยู่ไหน)ก็บ่(ก็ไม่)เดือดร้อน บ่(ไม่)มีความทุกข์
ความทุกข์ความเดือดร้อนนั้นเพราะเฮาบ่ฮู้จักตัวเฮานี่เด้(เราไม่รู้จักตัวเรานะ) บ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)คุณค่าของคน คนบ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)คุณค่าของความเป็นคน บ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)หน้าที่ของคนที่จะเอาไปปฏิบัตินั่นเอง เพิ่น(ท่าน)จึงว่า คนนี่เป็นสัตว์ก็ได้ เป็นคนก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้ เป็นพระอริยบุคคลก็ได้ คนนี่แหละ
อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจึงเกิดในประเทศอินเดียพรุ่น(โน้น) เกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดินนี้เอง เฮา(เรา)เข้าใจบ่(มั้ย) บ่(ไม่)ได้ไปเกิดในเมืองสวรรค์ชั้นฟ้ามิหยัง(อะไร) บ่(ไม่)ได้ไปตายในเมืองสวรรค์ชั้นฟ้ามิหยัง(อะไร) นิพพานก็บ่ได้อยู่สวรรค์ชั้นฟ้ามิหยัง(อะไร) อยู่นำ(ใน)ตัวเฮา(เรา)นี่เอง
พ่อแม่เคยว่าให้ฟัง ความทุกข์ความสุขอยู่ในตัวเฮา(เรา)นี่เอง บุญบาปอยู่ในตัวเฮา(เรา)นี่เอง แต่เฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก) เพิ่น(ท่าน)ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจ เฮาก็บ่ฮู้จัก(เราก็ไม่รู้จัก) เมื่อเฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก) แล้วเฮาจิ(เราจะ)ปฏิบัติถูกบ่ บ่(ไม่)ถูกแล้วก็เฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก)
เพิ่น(ท่าน)ว่า โลกุตระ โลกิยะ เพิ่น(ท่าน)ว่า สวรรค์ นิพาน มันเป็นคำเดียวกันเด้(นะ) สวรรค์ก็คือความสุขกายสุขใจ อยู่ดีกินดี เพิ่น(ท่าน)ว่าสวรรค์ แต่ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
นรกก็คือความทุกข์นั่นแล้ว ความเดือดร้อนความสับสนวุ่นวาย คิดแล้วมีแต่ทุกข์เข้ามาทับถมจิตใจเฮา(เรา) เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)นรก
นิพานเหมือนกัน นิพพานคือความเห็นแจ้งรู้จริง แก้ไขปัญหาตัวเองได้ แก้การขัดแย้งในใจ เฮาเบิ่งจิตเบิ่งใจเฮา(เราดูจิตดูใจเรา) นี่มันเป็นนิพพานอยู่ที่นี่ นิพพานคือความดับทุกข์นะ เพิ่นว่า(ท่านว่า)
คนบ่รู้จักจั๋งซั่นมันก็บ่แม่นคน(คนไม่รู้จักอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่คน) มันก็มาค้ามันก็ขาดทุน คนเกิดเป็นคนนี่ คล้ายๆ คือเฮา(เหมือนเรา)มาค้ามาขาย คนบางคนค้าขายเป็นได้กำไร คนบางคนค้าขายบ่(ไม่)เป็นก็ขาดทุน ดังนั้นเค้าจ้างผู้มีสติมีปัญญามีความฮู้(รู้)ไปเป็นผู้จัดการบริษัทห้างร้าน บริษัทห้างร้านบางคนก็ขาดทุนยับเยินไปหมด บริษัทห้างร้านบางคนก็ได้กำไรไป เป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น)
จั๋งว่าเฮา(อย่างว่าเรา)มาบวชนี่ให้ฮู้(รู้)จักจริงๆ ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)จริงๆ แล้วลำบากเด้(นะ) ลำบากที่สุด เพราะว่าเฮาจิ(เราจะ)เป็นคนเนรคุณ เป็นคนอกตัญญู เฮาจึงบ่ฮู้จัก(เราจึงไม่รู้จัก)คุณค่าของคน เฮา(เรา)มาบวชเป็นเณรเป็นพระเวลาโอกาสมันดีแล้ว เฮา(เรา)ศึกษาดีแล้ว จะได้ให้รู้จักปฏิบัติให้รู้จัก บ่แม่นสิ(ไม่ใช่จะ)มาเรียนนักธรรมตรีนักธรรมโทนักธรรมเอก เรียนเป็นมหงมหาแล้ว เฮาจึงบ่ฮู้จัก(เราจึงไม่รู้จัก)พุทธศาสนา บ่แม่นเด้ บ่แม่น(ไม่ใช่นะ ไม่ใช่)
เรียนฝ่ายโลก เรียน ป. 1 ป. 2 ป. 6 หรืออย่างใดผมบ่(ไม่)เคยเข้าโรงเรียนเรียนผมบ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก) เรียนได้เป็นมัธยม 1 มัธยม 2 จนได้เป็นปริญญาพรุ่นละ(โน่นละ) ปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอกพรุ่นละ(โน่นละ) อันนั้นเรียนเรียนรู้ซื่อๆ เด้(รู้เฉยๆ นะ) ยังบ่(ไม่)ได้เอามาใช้เด้(นะ) บางคนเรียนมากแล้วคิดบ่ฮู้(ไม่รู้)จักหยุด เป็นบ้าเพราะคิดก็มีเด้ ความคิดนี่มันทั้งดีชั่ว
จึงว่าเฮา(เรา)มาอยู่ที่นี่ มาปฏิบัติธรรมะ ต้องปฏิบัติตัวเฮา(เรา)จริงๆ ต้องเอาไปใช้กับชีวิตเฮา(เรา)จริงๆ อย่างญาติโยมก็คือกัน(เหมือนกัน) มาปฎิบัติธรรมะ อยากฮู้นั่นฮู้นี่(รู้นั่นรู้นี่) ฮู้(รู้)แล้วก็บ่(ไม่)ปฏิบัติมันจิ(จะ)มีประโยชน์มิหยัง(อะไร) ฮู้(รู้)แล้วก็บ่(ไม่)เอามาใช้ มันก็บ่(ไม่)มีประโยชน์มิหยัง(อะไร)แล้ว บ่แม่นฮู้(ไม่ใช่รู้)แล้วดีเด้(นะ) ฮู้(รู้)แล้วบ่(ไม่)ปฏิบัติบ่(ไม่)ได้ประโยชน์มิหยัง(อย่างไร)
ได้ยินครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง พระตุจโฉโปฐิระ เรียนรู้พระไตรปิฎกแตกฉานในพระไตรปิฎก มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นร้อยเป็นพัน ไปแสดงธรรมที่ใดคนยกย่องสรรเสริญหมด ถ้าหากพระตุจโฉโปฐิระนี้ว่าผิดก็บ่(ไม่)กล้าคัดค้าน เพราะว่าย่าน(กลัว)คำพูดของขะเจ้า(เขา)
ไปสอนลูกศิษย์ลูกหาได้เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาก็มี เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันก็มี แต่ตัวเองนั้นบ่(ไม่)ได้เป็นมิหยัง(อะไร) มีแต่ฮู้(รู้)เทศน์สอนซื่อๆ(เฉยๆ) ไปเทศน์คนได้ยินชื่อเสียงมาก็ว่าเคารพนับถือหมด ว่าเป็นผู้รู้ผู้แตกฉาน บ่(ไม่)มีผู้ใดจะสามารถโต้เถียงได้ สมัยนั้นเพิ่น(ท่าน)ว่าให้ฟัง
บัดนี้ก็ได้ยินพระพุทธเจ้านี่ ก็จะไปหาพระพุทธเจ้า คิดว่าจืไปโต้เถียงพระพุทธเจ้านั่นแหละ จิไปแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ความรู้กับพระพุทธเจ้า พอดีไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าออกมารับตามธรรมดา แล้วก็กราบ ตามปกติพระสงฆ์เฮาฮู้(เรารู้)จักกราบฮู้(รู้)จักไหว้เด้(นะ) กราบ กราบปั๊บปั๊บเลย
พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า มาแล้วหรือใบลานเปล่า ใบลานบ่(ไม่)มีตัวหนังสือ ใบลานเปล่า ก็เลยคิดว่า เอ๊ะทำไมเรามากราบมาไหว้ทำไมเอิ้น(เรียก)ใบลานเปล่าให้เราน้อ ก็เลยบ่(ไม่)ได้ถามพระพุทธเจ้า ก็เลยว่ากันรมกันคุยกันสนทนาไปเรื่องอื่น บ่(ไม่)ได้สนทนาเรื่องธรรมะเลย เพราะว่าเลยบ่(ไม่)มีปัญญาจิถามพระพุทธเจ้า เลยคิดไปแต่เรื่องอื่น จิ(จะ)ถามเรื่องใดก็คิดวน
บัดนี้ถึงตอนเย็นก็เลยจิ(จะ)กลับวัด ก็กราบพระพุทธเจ้า กราบจิ(จะ)กลับวัด จะกลับแล้วหรือคัมภีร์เปล่า เมื่อไปเอิ้น(เรียก)คำว่าใบลานเปล่า จะกลับคืนมาเอิ้น(เรียก)คัมภีร์เปล่า บ่(ไม่)มีตัวหนังสือ บ่(ไม่)มีคุณค่ามิหยัง(อะไร) เรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉานบ่บ่(ไม่)มีคุณค่ามิหยัง(อะไร) เพิ่น(ท่าน)ว่า จึงว่าคุณค่าของคนบ่(ไม่)ได้อยู่กับความรู้ อยู่กับการกระทำพรุ่น(โน่น) ก็เลยกลับคืนมา
กลับคืนมาก็มาถามลูกศิษย์ลูกหา อยากเรียนกรรมฐาน อยากปฏิบัติกรรมฐาน ถามไปหมด ผู้เป็นพระอรหันต์ก็มี บ่(ไม่)สามารถที่จิ(จะ)สอน เมื่อไปพบเอากับเณรน้อย บ่แม่น(ไม่ใช่)ไปพบลูกศิษย์ของท่านนั่นเอง ถามไป ถามไป เณรสอนกรรมฐานอาจารย์ได้บ่(มั้ย) สอนได้ครับ ถ้าอาจารย์จิ(จะ)เชื่อฟังความผม ลดมานะลดทิฐิ
ครั้นถ้าอาจารย์ลดมานะลดทิฐิ ผมสอนได้ เอออาจารย์จิ(จะ)ลดมานะลดทิฐิทั้งหมด แต่ว่าเณรจะสอนให้อาจารย์ได้จะใด(อย่างไร) สอนได้ แต่ผมว่าอันใดให้อาจารย์เชื่อฟัง ต้องปฏิบัติตามคำของผมด้วยครับ เออเอา เณรน้อยก็สอนให้ แต่บ่(ไม่)ไปได้สอนในขณะนั้น จะได้มื้อหน้ามื้อหลังก็จิ(จะ)สอนให้ก็บ่ได้ฮู้(รู้)จัก แต่เพียงครูบาอาจารย์เพิ่น(ท่าน)เล่าให้ฟัง
พระตุจโฉโปฐิระ ที่เฮาเอิ้น(เราเรียก)ว่าพระโปฐิระใบลานเปล่า เพิ่น(ท่าน)ว่าโปฐิระใบลานเปล่า ชื่อจริงแท้ พระตุจโฉโปฐิระ เพิ่นเพิ้น(ท่าน)ว่าอย่างนั้น พระตุจโฉโปฐิระ บัดนี้ก็เลยไปหาเณรมื้อหน้ามา เณรก็บอกว่าให้คุมเสื้อคลุมผ้าใส่สังฆาจีวรให้ครบชุดไป ไปหาเณร
เณรก็เลยบอกว่า อ้าว อาจารย์ลงไปบนน้ำ คล้ายๆ คือว่าที่ของเฮา(เรา)นี้แหละติดอยู่ในแม่น้ำ ลงไป ที่เป็นตมเป็นเลนลงไป ก็ได้ยังหนาวเด้(นะ) ก็บ่ฮู้จัก ลงไปก็ลงไป ลงไปก็เปียกแล้ว จิ(จะ)ย่นผ้าขึ้น บ่(ไม่)ต้องย่นครับ ก็บ่(ไม่)ย่นแล้วเพราะว่าได้เว้า(พูด)กับเณรแล้ว จะลดมานะลดทิฐิ
เณรบอกแล้วก็จะปฏิบัติตามคำเณร ก็ลงไป ลงไปผ้าก็เปียก เปียกแล้วก็พอแล้วบ่(ไม่)เณร ยังบ่(ไม่)พอ ลงไปต่อ ลงไป เปียกขี้นมาแล้วก็บ่(ไม่)อยากลงแล้ว ใจมันขัดอยู่เด้(นะ) บ่อยากลงแล้วเด้(นะ) เณรก็บอกว่าลงไป ลงไปจนน้ำท่วม ท่วมถึงคอจนเปียกหมด เป็นตมเป็นเปียกแล้วขึ้นมา พอแล้วเด้อเณร พอแล้วขึ้นมาครับ
เณรบอกให้ขึ้นมาจึงขึ้น เณรบ่(ไม่)บอกให้ขึ้นก็บ่(ไม่)ขึ้น เณรบอกขึ้นมาแล้วก็มา เอ้าเณรสอนเลย สอนกรรมฐาน จิ(จะ)สอนผมก็บ่(ไม่) บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก จิ(จะ)บอกให้ครูบาอาจารย์ไปผลัดเสื้อผลัดผ้าก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก เพียงเพิ่น(ท่าน)ว่าให้ฟัง อาจจิ(จะ)บอกว่าให้ผลัดเสื้อผลัดผ้าก่อนเพราะมันเปียก แล้วสอน
สอนคนชั้นปัญญาจะสอนทันทีก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จักแล้ว เพราะเพิ่น(ท่าน)ว่าให้ฟัง ก็เลยไปผลัดเสื้อผลัดผ้า สมมุติว่าไปผลัดเสื้อผลัดผ้า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามา ก็มา เอ้าสอนเณร
เณรก็เลยบอกว่า อาจารย์ สมมุติกลุ่มโคกลุ่มหนึ่ง มีหูอยู่ห้าหู แล้วก็มีเหี้ยอยู่กลุ่มโคนี้ตัวหนึ่ง แล้วจะให้อาจารย์จับเหี้ยนี่ จะจับได้โดยวิธีใด เพราะว่าเรียนรู้แตกฉานมาแล้วเด้(นะ) หากบ่ฮู้จักซื่อๆ(ไม่รู้จักเฉยๆ) โอ้ยเณร จิยากอีหยัง(จะยากอะไร) เฮ็ดจั๋งใดครับ(ทำอย่างไรครับ)
อัดหูหรืออุดหูแน่นๆ ทั้งห้าหู ตัวเหี้ยนี่มันต้องออกมาหายใจข้างนอกนี่ ครั้นเราอัดหูแล้วมันบ่(ไม่)ออกมาบ่(ไม่)ได้ ครั้นมันอกมาบ่ได้มันก็บ่(ไม่)ออกแล้ว อัดไว้ห้าหู แล้วก็มานั่งอยู่ปากหูนั้น แล้วก็เอาค้อนตี หรือบ่(ไม่)ออกมาก็จับเอาก็ได้ มันก็นั่งอยู่ปากหูแล้วบ่(ไม่)ออกมา ครั้นบ่(ไม่)ค้อนตีก็ค้อนตีโลด(เลย) ครั้นบ่(ไม่)ค้อนตีก็จับเอาโลด(เลย)
อันนี้ก็คือกัน(เหมือนกัน)แล้วครับ บ่(ไม่)ต้องไปว่ามัน เรื่องอายตนะ 12 ตา หู จมูก ลิ้น กาย รักษาใจที่เดียว ใจมันคิด ใจมันเป็นผู้คิด ใจมันเป็นผู้รู้ โอ้อย่างนั้นเอง ว่าตอนนั้นได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเลย เพราะอาจารย์แตกฉานในปัญญา นี้เพิ่น(เขา)ว่า การฟังต้องฟังให้เป็น แล้วก็นำไปปฏิบัติ บ่แม่น(ไม่ใช่)ฟังแล้วเด้แล้วทิ้งเอาซื่อๆ(เฉยๆ) นี่บ่แม่น(ไม่ใช่)
เฮา(เรา)ต้องเลิกละจากการทำชั่วทุกประเภท เมื่อเฮา(เรา)ยังบ่(ไม่)เลิกละจากการทำชั่วทุกประเภทแล้ว คล้ายๆ คือเอาขี้เป็ดมาล้างขี้ไก่นี่แล้ว เอาขี้เป็ดมาล้างขี้ไก่มันจิดีบ่(มั้ย) มันก็เหม็นเพิ่มเหม็น เพิ่น(ท่าน)ว่า ทำดีแล้วทำชั่ว ทำชั่วแล้วทำดี ทำดีทำชั่วอยู่ มันบ่(ไม่)ดี ทำแต่ดีอันเดียวซื่อๆ นี่ เอาแต่น้ำไปล้างของชั่วซื่อๆ มันก็สะอาดขึ้นมา
จิตใจมันก็คือกัน(เหมือนกัน) เดี๋ยวนี้ใจมันคิดไปร้อยอันพันอย่าง เฮาบ่(เราไม่)เคยเห็นจิตเห็นใจเฮา(เรา) แต่เฮา(เรา)อยากดี แต่เฮาบ่รู้จัก(เราไม่รู้จัก)ว่าดีนั่นคือหยัง(อะไร) เฮาบ่รู้จัก(เราไม่รู้จัก) มันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นการทำวัตรสวดมนต์ ตอนเช้าตอนเย็นก็คือกันคือกัน(เหมือนกัน) เฮา(เรา)มาพยายามอบรมกัน ทำความเข้าใจกัน ที่มาให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนใจสะกิดใจตอนเช้ามื้อนี้(วันนี้) ก็คิดว่าสมควรแล้ว เพราะว่าทุกคนต้องทำดี อย่าไปทำชั่ว
รู้จักเคารพนับถือพ่อแม่ รู้จักเคารพนับถือครูบาอาจารย์ รู้จักเคารพนับถือประเทศชาติบ้านเมือง รู้จักเคารพนับถือคุณค่าของพระพุทธเจ้า จึงจะเป็นคนเป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพระอริยบุคคลได้ เพิ่นว่า(ท่านว่า)
เอาแหละ ที่ผมมาให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจมา ในบัดนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายนี้ที่สุดนี้ พวกเราทุกคนมานั่งอยู่นี่ ขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และขออ้างอิงเอาคุณของพระธรรม และขออ้างอิงเอาคุณของพระสงฆ์ มาเป็นเครื่องเตือนจิตใจสะกิดใจของพวกเรา
ให้พวกเราได้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ให้คุณค่าของธรรมะครองใจของเราอยู่ กำจัดทุกข์นี้ออกไปให้หมด อย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นภายในจิตใจ รูปร่างหน้าตาแข้งขามือเท้านี้บ่สวยบ่(ไม่)งามก็ตาม ให้จิตใจมันสวยมันงาม ให้จิตใจมันดี คนนี่แข้งขาหน้าตามือเท้าสวยงามจิตใจเน่าเหม็นเปรียบเป็น เพิ่นว่า(ท่านว่า) ยิ่งร้ายไปกว่ากองอุจจาระ ความชั่วของคน
ขอให้ทุกคนๆ จงประสบพบเห็นเอา จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเอาในชีวิตนี้จงทุกๆ คน.
…………..
ฟังให้มันจดจำได้ ทำวัตรเย็นก็ทำสั้นๆ เพื่อเป็นวิธีที่จะมาเล่าหรือมาเว้าธรรมะให้พวกเราฟัง ธรรมะนั้นบางคนบ่เข้าใจ บางคนก็เข้าใจ เพราะเราบ่ศึกษาตัวเรา เราบ่ฮู้(ไม่รู้)จักการควบคุมตัวเรา ศึกษาตัวเรา ให้รู้จักตัวเรา ควบคุมตัวเรา ควบคุมที่ไหน ควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมจิตใจ
ปฏิบัติธรรมะต้องให้รู้จักกาย รู้จักวาจา รู้จักจิตใจ เพิ่นว่า(ท่านว่า) แต่การควบคุมนั้นคือควบคุมร่างกาย รูปเจ็บหัวปวดท้อง โรคทางเนื้อหนังนี่เฮาจิ(เราจะ)ควบคุมมันได้ยาก หรือว่าอาจบ่(ไม่)ได้ก็ได้ มันต้องอาศัยหมอ เรื่องจิตใจนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ควบคุมจิตใจนั้นควบคุมได้
ร่างกายนี้ถ้าหากว่ามันต้องการ มันหิว ร่างกายมันหิว บ่แม่น(ไม่ใช่)ใจหิว ใจหิวกับร่างกายหิวมันคนละเรื่องกัน ร่างกายหิวนี่อ่อนเพลียไป ใจหิวมันอีกเรื่องหนึ่ง ใจหิวคือใจมันอยาก ใจมันอยาก อยากกินอันนั้นกินอันนี้ ใจมันหิว เมื่อใจมันหิวเฮาบ่รู้จัก(เราไม่รู้จัก) มันจิ(จะ)ไปตามอารมณ์ไปก็ควบคุมบ่(ไม่)ได้
ดังนั้นเฮา(เรา)ต้องปฏิบัติให้มันรู้จัก ถ้าหากเฮา(เรา)ควบคุมจิตใจเฮาบ่(เราไม่)ได้ จึงเว้า(พูด)ไปสัพเพเหระไป ทำไปทุกสิ่งทุกอย่างไปนั่นแหละ เค้าเรียกว่าบ้า ควบคุมบ่(ไม่)ได้ก็บ้า เพราะใจมันทำไปแล้วใจมันคิดไปเด้(นะ) อันนั้นก็ว่าบ่รู้จักการควบคุมตัวเอง บ่(ไม่)รู้จักการควบคุมจิตใจตัวเอง
ร่างกายนี้ควบคุมมันได้ บางอย่างมันอยากไปฆ่าไปชกไปต่อยไปตี มันอยากเว้าทางใด๋ สิ่งที่บ่ควรเว้าแหละเพิ่นว่า(ท่านว่า) มันต้องควบคุมได้
มันอ่อนเพลียมันหิวน้ำหิวข้าว ปวดอุจจาระปัสสาวะ นี่ควบคุมบ่(ไม่)ได้ มันต้องปล่อยไปตามหน้าที่ มันหิวต้องหาให้มันกิน เป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น) ถ้ามันปวดท้องอุจจาระต้องไป บ่บ่(ไม่)ไปบ่(ไม่)ได้ อันนี้ก็ควบคุมบ่(ไม่)ได้ ถ้าเป็นโรคเจ็บหัวปวดท้องอันนี้ก็ควบคุมบ่บ่(ไม่)ได้ ครั้นถ้าบ่แม่น(ไม่ใช่)เอายามาให้รักษา ยาหมอ หมอต้องมีความรู้ ถ้าหมอบ่(ไม่)ดีก็บ่(ไม่)หาย ถ้าหมอดี หาย
ผมนี้บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ผมเป็นโรคอันหนึ่งควบคุมบ่(ไม่)ได้ เพราะว่าอาศัยหมอ ผมไปหาหมอตรวจเช็คร่างกาย บางคนก็บอกให้สึก สึกเถอะหลวงพ่อไปอยู่กับลูกกับหลานดีกว่า เฒ่าแล้ว หมอบอกอย่างนั้นแสดงว่าหมอก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จักทำ ถ้าหมอรู้จักทำก็บอกว่าเป็นโรคอันนั้นก็ต้องให้ยาทันที ผมก็ปล่อยไปให้จนเป็นโรค
ทีแรกมันอาจจะเป็นโรคกระเพาะหรือเป็นโรคหยั่งบ่ฮู้จัก(โรคอะไรก็ไม่รู้จัก) เพราะเราบ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก) จนมันเป็นมะเร็งขึ้นภายในกระเพาะผม เป็นอย่างนั้น ผมไปอยู่สิงคโปร์ แต่บ้านเฮา(เรา)ก็ควบคุมบ่(ไม่)ได้หลายเทื่อ(ครั้ง)อยู่ครับ ไปสิงคโปร์กับหมู่อาจารย์ทวีวัฒน์อาจารย์โกวิท ผมนั่งกินหยั่งบ่ได้เลย(กินอะไรไม่ได้เลย) นอนซม อาเจียน กินน้ำก็อาเจียนออกหมด บ่มีหยั่งจิ(ไม่มีอะไรจะ)ต้านทานมันได้ ควบคุมบ่(ไม่)ได้
จำเป็นต้องหมอควบคุมมันได้ ผมนอน หาหยัง(อะไร)มากินก็กินบ่บ่(ไม่)ได้ เป็นอย่างนั้น หิวก็กินบ่(ไม่)ได้ จนทั้งหมอเขาให้ยากิน จนผ่าตัด มันเป็นอย่างนั้น นี่ให้เฮาฮู้(เรารู้)จักศึกษาที่ตัวเรา ปฏิบัติที่ตัวเรา อันความเจ็บความปวดเป็นธรรมดา เฮา(เรา)ก็ต้องรู้จัก สิ่งที่มันจะแก้ไขต้องแก้ไข สิ่งที่บ่แก้ไขได้ก็มีเป็นธรรมดา ต่อมาผมมาผ่าตัดในครั้งที่สามนี่แหละครับ อันนี้ก็พักการงาน
ครั้งแรกนี่หมู่คุณสมบุญหมู่หลายคนแล้ว นั่งกินข้าวผู้เดียวบ่ได้(คนเดียวไม่ได้) ควบคุมบ่(ไม่)ได้ ต้องมีคนตีอยู่เรื่อยลูบอยู่เรื่อย กินข้าวมันเป็นลม มันกินบ่(ไม่)ได้มันแคนข้าว(ข้าวติดคอ) เรียกว่าแคนข้าวบ้านผม กลืนบ่(ไม่)ลง ลมมันดันขึ้นมา กินบ่(ไม่)ลง ต้องมีคนรักษา ต้องสองคนตีทั้งหน้าทั้งหลังเป็นอย่างนั้น อยู่วัดสนามในคุณสมบุญนี่พยายามทำ นี่แสดงว่าควบคุมบ่(ไม่)ได้
ร่างกายมันเป็นอย่ายนั้น มันต้องอาศัยคนอื่น อาศัยอาหาร อาศัยการกิน เรื่องจิตใจมันคิดฟุ้งซ่านรำคาญนี่ เราก็คุมได้ เรื่องจิตใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องร่างกายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ต่อมาเมื่อไม่กี่วันนี่ แม่เนียมาอยู่ที่นี่แล้ว มื้อ(วัน)หนึ่งผม แม่รัตน์เอาขนมปังกับโอวัลตินมากิน แน่นหน้าอกเลย กินแล้วก็อยู่บ่ได้ ร้อนขึ้นมา แน่นขึ้นมา ออกมาหาคนที่ไปหายามาแก้ มันควบคุมบ่(ไม่)ได้ ก็เลยมาหา เข้ามานี่เห็นคุณกานต์เข้ามา กานต์ไปซื้อเอาเป๊ปซี่กับน้ำแข็งมากิน กินเป๊ปซี่กับน้ำแข็งมาระบายออกเลย มันแก้ไข ต้องหาวิธีแก้ไข
แต่เรื่องจิตใจนี่เฮา(เรา)อย่าไปเดือดร้อง มันคิดมันทุกข์ได้ ก็ฮู้(รู้)จักมันทุกข์ไป มันเจ็บก็ฮู้(รู้)จักมันเจ็บไป ก็ควบคุมทางใจ ควบคุมทางร่างกาย ร่างกายต้องหาหมอ เลือกหาวิธีแก้
ดังนั้นการศึกษาการปฎิบัติ ต้องฝึกหัดไว้ตั้งแต่ต้นมือ ถ้าบ่(ไม่)ฝึกหัดไว้ต้นมือแล้ว คนจิ(จะ)ตายแล้วบ่แม่น(ไม่ใช่) รู้จักเทศจากแดนบางคนร้องห่มร้องไห้ดิ้นรน อันนั้นควบคุมบ่(ไม่)ได้ทางจิตใจ ควบคุมจิตใจได้ ใจนี่มันเจ็บมันเป็นร่างกายมันจิ(จะ)ตายแล้ว มันบ่ฮู้(ไม่รู้)ร่างกาย ตายแล้วก็บ่ฮู้(ไม่รู้) แต่ว่าในขณะนี้ต้องควบคุม ต้องช่วยมันซะก่อน เราก็ช่วยได้ต้องช่วย ต้องฮู้(รู้)จักทำ
ดังนั้นจึงว่าตั้งใจปฏิบัติธรรมะ ถ้าหากเฮาจิบ่(เราจะไม่)ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ มันบ่รู้เด้(ไม่รู้นะ) มันก็เพียงแต่ว่ารู้แล้วซื่อๆ นี่เด้(รู้เฉยๆ นี่นะ) มันบ่รู้เด้(ไม่รู้นะ) นี่จึงว่า เบิ่ง(ดู)นี่นักศึกษานักเรียน เรียนมาคิดมาก ควบคุมบ่(ไม่)ได้จิตใจ เป็นบ้าก็มี เรื่องเป็นบ้านี้ควบคุมจิตใจบ่(ไม่)ได้ บ่แม่น(ไม่ใช่)ควบคุมร่างกาย ต้องควบคุมจิตใจ จิตใจมันฟุ้งซ่านมันก็ไปตามความคิด ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์บ่เจ็บบ่เป็นอิหยังขะเจ้า(พวกเขาไม่เจ็บไม่เป็นอะไร) ก็เลยคุมมันบ่(ไม่)ได้ เพิ่น(ท่าน)ว่า คนบ่(ไม่)รู้จักวิธีควบคุม
ดังนั้นการฟัง ต้องตั้งใจฟัง บ่แม่นคือ(ไม่ใช่ว่เหมือน)ฟังหมอลำดนตรีเด้(นะ) ฟังอย่างพ่อว่า ฟังแล้วเอาไปแก้ไขปัญหาตัวเองพรุ่นเด้(โน้นนะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)ฟังแล้วทิ้งไว้ที่นี่ บ่แม่น(ไม่ใช่) ฟังแล้วบอกต้องฟังต้องแก้ไขตัวเอง บอกว่าอย่าเฮ็ด(ทำ) บ่เฮ็ด(ไม่ทำ) อย่างนั้นจึงจะแก้ไขได้ บอกว่าอย่าเฮ็ด(ทำ)ยังเฮ็ด(ทำ)อยู่ มันก็แก้ไขบ่(ไม่)ได้แล้ว แก้ไขบ่(ไม่)ได้ ฟังซื่อๆ(เฉยๆ) นั่น
แล้วคนจะดีจะชั่วต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม ตาเห็น หูได้ยินได้ฟัง เพิ่น(ท่าน)ว่า ตาเห็น เป็นอย่างใดตาเห็น คนทำดีก็มีความชั่วก็มี หูฟัง คนพูดดีก็มีพูดชั่วก็มี จึงว่าให้เราศึกษาลงไปที่ใจ
การเคลื่อนไหวของรูปกายภายนอก ให้เรารู้จัก เมื่อเรารู้จักการเคลื่อนไหวของรูปกายภายนอก จิตใจมันคิด เรื่องจิตใจคิดกับเรื่องร่างกายนี้มันคนละเรื่องกัน ให้ฮู้(รู้)จัก เห็นอยู่เด้(นะ) ผมเห็นด้วยตาผมมาหลายคนแล้ว ผมประสบมา
บางคนเรียนจบปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอกก็มี ควบคุมบ่(ไม่)ได้ เป็นหมอแท้ๆ ก็ควบคุมบ่(ไม่)ได้ก็มีนะบางคน คิด คิด คิด คิดสับสนวุ่นวาย คิดแล้วก็เลยเอาแล้วที่นี้ เกิดมีการขัดแย้งในตัวเพิ่น(ท่าน) คิดดีบ่(มั้ย) บ่ดี(ไม่ดี) คิดบ่ดีบ่(คิดไม่ดีมั้ย) ดีบ่(ดีมั้ย) นี่มันเป็นจั๋งซั่นอยู่บ่เซา(อย่างนั้นอยู่ไม่หยุด) แต่ว่าเราบ่(ไม่)มีกำลังใจ หรือว่าบ่ฮู้(ไม่รู้)จักจิตใจตัวเอง เป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น)
จั๋งว่า(อย่างว่า)มาที่นี่ ที่เรามาฝึกหัดกัน พระคือกัน(เหมือนกัน) โยมคือกัน(เหมือนกัน) ต้องปฏิบัติแบบเดียวกันนั้น ปฏิบัติให้รู้ใจเฮาพรุ่นเด้(เราโน่นนะ) ใจมันคิดให้รู้จัก ใจมันขี้เกียจขี้ค้านให้รู้จัก ใจมันขยันขันแข็งให้รู้จัก ใจมันอยู่ซื่อๆ(เฉยๆ) ให้มันรู้จัก ใจมันคิดโกรธคิดโลภคิดหลงให้รู้จัก รู้จักแล้วก็เอามาใช้กับเฮา(เรา)นี้ ใจคิดโกรธเฮา(เรา)ก็บ่(ไม่)โกรธ เฮา(เรา)ก็เห็นมันเด้(นะ) เฮา(เรา)ก็อยู่ซื่อๆ(เฉยๆ) ว่าซื่อๆ(เฉยๆ) ว่าหน้าที่ของเฮา(เรา)
จึงว่า พ่อแม่ให้รู้จักหน้าที่ของพ่อแม่ ลูกให้รู้จักหน้าที่ของลูก ครูให้รู้จักหน้าที่ของครู ครูสอน นักเรียนไปเรียนหนังสือก็รู้จักหน้าที่ของตัวเอง นักศึกษาก็รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
นักศึกษานี่ผมถาม เรียน ป. 1 ถึง ป. 6 เรียนมัธยม 6 ขึ้นไปยังเป็นนักเรียนอยู่ ยังได้ให้มีครูมีอาจารย์ควบคุม ตกลงเป็นนักศึกษาเรียนปริญญาแล้วบ่(ไม่)ได้ควบคุม รักษาตัวเองได้ควบคุมตัวเองได้ บ่ได้เด้ผมเบิ่ง(ไม่ได้นะผมดู) จิได้เด้(จะได้เหรอ)ยังเป็นบ้าอยู่เด้(นะ) จิได้ควบคุมตัวเองได้บ่ นั้นแหละพราะว่าบ่(ไม่)มาแก้เองสักเทื่อ(ครั้ง) ฝึกหัดไว้ พวกเฮา(เรา)อย่าเป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น)
คนน่ะต้องรู้จัก ผมก็คือกัน(เหมือนกัน)แต่ก่อนบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก เฮ็ดก็เฮ็ด(ทำก็ทำ)ว่าแต่มันดีอยู่เรื่อยๆ เฮ็ดหยัง(ทำอะไร)ก็ว่ามันดีอยู่เรื่อยๆ มันเข้าข้างตัวอยู่เสมอ มันบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก บ่(ไม่)เห็น จิตใจมันโลภมันโกรธมันหลง บ่(ไม่)เห็น มันเข้าข้างตัวอยู่เรื่อย เฮ็ด(ทำ)นี่ว่าดีแล้ว เฮ็ด(ทำ)แล้วดีแล้ว มันคิดว่าแต่ดีอยู่เรื่อย ชั่วนี่บ่(ไม่)เห็น บ่(ไม่)เห็นใจเห็นตัว เราคิดว่าแต่ดีซื่อๆ(เฉยๆ)
คนโบราณพ่อแม่ปู่ย่าตายายเพิ่น(ท่าน)ว่า ย่าง(เดิน)ไปตามทาง ต้องเหลียวหน้าเหลียวหลัง เหลียวซ้ายเหลียวขวา เหลียวเบิ่ง(ดู)ตัวเองบ้าง
เหลียวหน้าคือ เบิ่ง(ดู)ให้ว่าเหลียวไปแต่ข้างหน้าแล้วเราจิเฮ็ด(จะทำ)อันนี้ มันจิดีบ่(จะดีมั้ย) เหลียวไปข้างหลังนี่เราเฮ็ด(ทำ)อันใดมาแล้ว มันดีบ่(มั้ย) มันชั่วบ่(มั้ย) เจ้าของต้องฮู้จัก(รู้จัก)เหลียวหน้าเหลียวหลัง
เหลียวข้างซ้ายข้างขวานี่ เหลียวเบิ้ง(ดู)หมู่เบิ้ง(ดู)เพื่อน หมู่เพื่อนเฮ็ดจังได๋(ทำอย่างไร) เขาดีหรือเขาบ่(ไม่)ดีเขาเฮ็ด(ทำ)กัน เพิ่น(ท่าน)ว่า เหลียวเบิ้ง(ดู)ตัวเองบัดนี้กำลังนึกกำลังคิดอยู่นี่ เพิ่น(ท่าน)ว่า ให้พวกควบคุมตัวเฮา(เรา)ไว้ได้ ควบคุมรูปอันนี้ ถ้าหากมันดิ้นรนเกินไปควบคุมมันได้ ใจมันคิดขึ้นมาบัดนี้ควบคุมมันได้ เพิ่น(ท่าน)ว่าดีแล้ว
การศึกษาหลักพุทธศาสนา บาปบุญศึกษาลงไปที่ตรงนี้ บ่แม่น(ไม่ใช่)ผีมาช่วย บ่แม่น(ไม่ใช่)เทวดามาช่วย คนทุกข์เพราะหยั่ง(อะไร) ทุกข์เพราะบ่ฮู้(ไม่รู้)จักกิน บ่ฮู้(ไม่รู้)จักใช้ บ่ฮู้(ไม่รู้)รู้จักหา บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเก็บ เพิ่น(ท่าน)ว่า คนดีเพราะหยั่ง(อะไร) มีเงินมีทองเพราะรู้จักหา รู้จักใช้ รู้จักเก็บ เพิ่น(ท่าน)ว่า รู้จักแท้ๆ บ่แม่นรู้จักแล้วว่าซื่อๆ เด้(เฉยๆ นะ)
ผมนี่เคยติดบุหรี่ สูบบุหรี่มา สูบมาตั้งแต่น้อยพรุ่นเด้(โน้นนะ) พ่อแม่ฝึกหัด พ่อแม่ถือว่าบ่ฮู้(ไม่รู่)จักฮักลูกใช้บ่(ไม่)เป็น เอาบุหรี่ให้ลูกไปไต้ไปจุดไฟ ไปจุดไฟให้พ่อเด้ไป ต้องไป ไปต้องสูบ อันนี้แสดงว่าใช่ลูกบ่(ไม่)เขาเรื่อง ใช้ลูกบ่(ไม่)เป็น เป็นอย่างนั้น ก็เลยสูบยาเป็น สูบแล้วบ่(ไม่)ออกเป็นเด้(นะ)
จนฟ่าว(รีบ)ไปปฎิบัติธรรมะ ผมอายุ 46 ปี บ่ฮอต(ไม่ถึง) 46 ปีเด้(นะ) เพราะผมเกิดเดือน 10 ปีกุน เดือน 10 ผมไปปฎิบัติธรรมะผมฮู้(รู้)จักเดือน 8 กว่า เดือน 9 เดือน 10 เพราะเดือน 10 ผม 46 ปี แต่ผมอยู่ปฏิบัติตัวของผมจนฮอต(ถึง)เดือน 11 ยังได้ออกพรรษา ผมไปปฎิบัติธรรมะพรรษาหนึ่ง
ผมฮู้(รู้)จักธรรมะตั้งแต่เดือน 8 เลย ฮู้(รู้)จักแล้วผมเลิกได้ ความชั่วทุกประเภทผมเลิกได้ สูบบุหรี่ผมเลิกได้ ไปดูการเล่น เล่นการพนัน ฟังดนตรี ฟังขับรำทำเพลง ผมเลิกเล่นหมด ไหว้ผีไหว้เทวดาผมเลิกได้หมด
ทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเห็น ผมรู้ ผมเข้าใจอย่างนี้ จึงว่าเอามาพูดเอามาสอน เอามาแนะนำมาตักเตือนกัน เรียกว่าฝึกหัดให้มันรู้ดีๆ จะให้ผีมาควบคุมเฮา(เรา) มันจิ(จะ)มาควบคุมจังได๋(อย่างไร) ผีมันก็บ่มีเด้(ไม่มีนะ) จะให้เทวดามาควบคุมเฮา เทวดาที่ไหนมันบ่มี(ไม่มี)
ผืคือคนทำชั่วพูดชั่วหน้าดื้อหน้าด้านนั่นแหละ เคยได้ยินมั้ยว่าบักผี(ไอ้ผี) ก็มันเว้า(พูด)ยากแหละ เคยได้ยินบ่(มั้ย) ได้ยินว่า เออเนี่ยเคยได้ยิน บัดนีี้พระเณรเนี่ย เอ้าพระอค์งนี้เณรองค์นี้มันคือผี มันต้องคือซื่อๆ(เหมือนเฉยๆ) นี้เด้ บ่(ไม่)เห็นจิตเห็นใจ บ่แม่น(ไม่ใช่)ร่างกายเป็นนี่เป็นผี ใจนี้เป็นผี มันเป็นจั๋งซี้(อย่างนี้) เว้า(พูด)ว่าบักผี(ไอ้ผี) อีผีนี่ พระผีเณรผีนี่เด้ มันเว้า(พูด)ยาก คนเว้า(พูด)ยากเค้าเอิ้น(เรียก)ผี ผีหงผีห่าผีหยัง(อะไร)สารพัด มันเป็นจั๋งซั่น(อย่างนั้น)
เทวดานี่ คนเว้า(พูด)ดี เว้าง่ายสอนง่าย เว้าง่ายคือเทวดาเนาะ นี่เพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างนั้น เทวดาก็บ่(ไม่)มีตนบ่(ไม่)มีตัว ตัวคนเว้า(พูด)ง่าย เว้า(พูด)ง่ายเข้าใจง่าย เพิ่น(ท่าน)จึงว่า
หิริคือความละอายแก่ใจ ละอายใจพรุ่นเด้(โน่นนะ) เห็นใจพรุ่นเด้(โน่นนะ) โอตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป บาปคือมันมืด มันบ่ฮู้(ไม่รู้)จักจิตฮู้(รู้)จักใจ เพิ่น(ท่าน)จึงว่า สอนให้เบิ่ง(ดู)จิตเบิ่ง(ดู)ใจ อันเทวดาก็คือ คนทำดี พูดดี คิดดี เมืองสวรรค์ก็คืออยู่ดีกินดีอารมณ์ดี บ่(ไม่)ทุกข์บ่(ไม่)ยาก บ่(ไม่)เดือดร้อนปานใด เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)เมืองสวรรค์
นิพพานนี่ นิพพานคือความบ่(ไม่)สับสน บ่(ไม่)วุ่นวาย บ่(ไม่)เดือดร้อน เพิ่นว่าอย่างนี้ ว่านิพพานคือมันบ่(ไม่)มารบกวนเฮา(เรา) เฮา(เรา)เห็น รู้เท่า รู้ทัน รู้ถึงเหตุการณ์ของมัน เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)นิพพาน เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) โลกิยธรรม โลกุตรธรรม
โลกิยธรรมนั้นคือว่า คิดอยู่กับโลก บ่(ไม่)วางโลกได้ คำว่าโลกิยธรรม ผู้ห่างไกลนี่ ผู้ยังอยู่ไกล ไกลจากนิพพาน เมื่อจิ(จะ)ไปนิพพานสมมุติเอาว่าเฮา(เรา)อยู่บ้านเฮา(เรา) เฮาจิ(เราจะ)ไปกรุงเทพ สมมุติว่ากรุงเทพนี่เป็นนิพาน บ้านเฮา(เรา)นี่เป็นโลกิยธรรม เฮาจิ(เราจะ)ไปกรุงเทพ แล้วไปฮอต(ถึง)ขอนแก่น ไปฮอต(ถึง)แล้วไปลงรถลงหยั่ง(อะไร)เล่นอย่างนั้น ต่อบ่(ไม่)ไปต่อแล้วตายครึ่งทาง เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)โลกิยะ
บัดนี้เพิ่น(ท่าน)ตั้งใจไป แล้วไปฮอต(ถึง)กรุงเทพแท้ๆ(จริงๆ) ไปเบิ่ง(ดู)สนามหลวง ไปเบิ่งทุกตรอกทุกซอยทุกมุม โอ้ลักษณะของคนกรุงเทพ การทำมาหากินเป็นอย่างนี้เนาะ ฮู้จัก(รู้จัก) อนาคตก็โลกุตรธรรม ขะเจ้า(พวกเขา)ว่านิพพาน เพราะเฮา(เรา)ไปฮู้(รู้)จักนิพพาน
คนทุกคนต้องตาย นี่พ่อว่าให้ฟัง ยกเว้นบ่(ไม่)ได้ นี่เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)สัจธรรม ตายแท้ๆ ผู้น้อยก็ตาย ผู้ใหญ่ก็ตาย เจ้าหัวอ้ายตัวตายหมดทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเพศ ทุกวัย ที่อย่างพ่อว่านี่ คนไทยก็ตายเป็น คนจีนก็ตายเป็น คนฝรั่งเศสคนอังกฤษคนอเมริกาคนเขมรคนญวนคนลาวตายเป็นหมด นี่เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) สัจธรรม
สัจจะเป็นแปลว่าของจริง เปลี่ยนแปลงบ่ได้ เพิ่นว่าจั๋งซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) แต่เฮาจิไปฮู้จัก(เราจะไปรู้จัก)สัจจะอย่างที่ บ่(ม่)ได้ไปบ่(ม่)ไป ผิดสัจจะ บ่(ม่)ได้ทำบ่(ม่)ทำผิด อันนั้นจริงอยู่เขาเอิ้น(เรียก)โลกิยธรรม คำว่าสัจจะหมายถึงความตายนี่แหละ เฮาจิ(เราจะ)ศึกษาให้ฮู้(รู้)จักความตายนี่แหละ จิตายด้วยความทุกข์ หรือจิ(จะ)ตายด้วยความบ่(ม่)มีทุกข์
ครั้นตายด้วยความทุกข์ เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) โลกิยธรรม ตายด้วยความบ่(ม่)มีทุกข์ เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) โลกุตรธรรม ตายด้วยความทุกข์ เพิ่นว่า(ท่านว่า) ตายด้วยความบ่(ม่)มีสติ โดยบ่(ม่)รู้สึกตัว ตายด้วยบ่(ม่)มีทุกข์นั่นคือ ตายด้วยสติ ตายด้วยรู้สึกตัว เพิ่นว่า(ท่านว่า)อย่างนั้น
ให้ศึกษาให้ปฏิบัติ เพิ่นว่า(ท่านว่า) มีเงินร้อยล้านก็ตาย บ่(ม่)มีเงินก็ตาย เรียนหนังสือจบปริญญาเอกก็ตาย บ่(ม่)ได้เรียนหนังสือก็ตาย บวชก็ตาย เรียนหนังสือทางธรรมะจบประโยคเก้าก็ตาย บ่(ม่)ได้เรียนหนังสือก็ตาย เรียกว่าความตายเรียกว่าแน่นอนที่สุด เฮาจิ(เราจะ)สร้างความดี หรือจิ(จะ)สร้างความชั่ว มันมีสองอย่างเท่านั้นเอง
จะสร้างความชั่วหรือไปเฮ็ด(ทำ)ชั่วลงไปแล้ว ใครจิเฮ็ดให้เฮา(ใครจะทำให้เรา) สร้างความดีลงไปแล้วก็เลิกความชั่วแล้ว เลิกความชั่วแล้วความชั่วก็หนีมาซื่อๆ(เฉยๆ) นี่ คืออย่างผมว่านี่อย่างพ่อว่า อย่างพ่อเลิกสูบยา เลิกซื่อๆ นี่นะ มันบ่มารบกวนมิหยังความชั่วนี่ เลิกไปเล่นเบี้ยเล่นไพ่เบิ้ง(ดู)
ขะเจ้าเล่นเบี้ยเล่นไพ่เบิ้ง(ดู)มหรสพคบงันดูหนังกลางแปลงซื่อๆ(เฉยๆ)นี่นะ มันบ่เฮ็ดหยั่งให้เฮา(ไม่ทำอะไรให้เรา) เฮาฮู้(เรารู้)นี่ อันใจมันคิดอยากไปให้ดูจิตดูใจ ใจมันอยากไปหักห้ามมันได้ นี่เพิ่นว่า(ท่านว่า) ใจมันอยากเฮ็ดหักห้ามมันได้ นี่เพิ่นว่า(ท่านว่า) ดูจิตดูใจ บ่แม่น(ไม่ใช่)ว่าดูเพิ่นว่า(ท่านว่า) นี่เด้ อันนี้เจ้าของดูซื่อๆ มันอยากไปก็ไป บอกว่าฮู้(รู้)จักใจ บ่แม่นเด้(ไม่ใช่นะ) ควบคุมบ่ได้เด้(ไม่ได้นะ) ควบคุมกายบ่(ไม่)ได้ ควบคุมจิตใจบ่(ไม่)ได้
ดังนั้นจึงว่าให้เข้าใจ ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถ้าบ่(ไม่)ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติแล้วบ่ได้เด้(ไม่ได้นะ) นี่แหละสัจจะแท้ๆ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระสาวกทุกพระองค์ ต้องรู้จักวิธีตาย แล้วเฮานี่ทุกคนฮู้จักหมด ถ้าฝึกหัดมัน เพราะดีบ่(ไม่)พ้นความตาย อย่างพ่อเข้าใจอย่างนั้น อย่างพ่ออายุ 46 ปี กำลังย่างไปย่างมาตอนเช้า ให้มันตายซะก่อนแม้จะฮู้จัก ความตายนี่มันบ่(ไม่)ได้ตายเด้(นะ) มันหมดซื่อๆ นี่เด้ หมดเนื้อหมดหนังหมดเลือดหมดยางหมดทุกอย่าง จิว่าคือตาย
สมมุติเอาให้ฟัง มีดบาดมีแผลตัดปุ๊บเลือดมันจิ(จะ)มารวมตัวที่บาดนี้ บัดนี้พอดีเฮาฮู้(เรารู้)จัก ตัดปุ๊บลงไปมียาทิงเจอร์ใส่เลย เลือดจิบ่(จะไม่)มาที่บาด มันจิ(จะ)กลับคืนไปทางพรุ่น(โน่น) มันจิ(จะ)กลับคืนไปทางพรุ่น(โน่น) มันบ่ออกทางนี้ มันจิเป็นจั๋งซั่นเด้(จะเป็นอย่านนั้นนะ) เฮาจิตายเด้(เราจะตายนะ)
อย่างพ่อเคยว่าให้ฟัง เอามือไปเเตะผู้น้อย(เด็กน้อย)มันขาว พอเอามือออกแล้วมันแดง ก้นผู้น้อยมันแดงแข้งขามันแดง เอามือกดไปมันขาว มันจิเป็นจั๋งซั่น(จะเป็นอย่างนั้น) จิเป็นจั๋งซั่น(จะเป็นอย่างนั้น)หมดทุกคนนี่นะ จิ(จะ)ประสบอันนี้ทุกคนนี่นะ บ่(ไม่)ยกเว้นหมดเลย ฮู้(รู้)ก็ตาย บ่ฮู้(ไม่รู้)ก็ตาย ฮู้(รู้)ก็เป็น บ่ฮู้(ไม่รู้)ก็เป็น
จึงว่าศึกษาให้รู้จัก อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าหากบ่ฮู้(ไม่รู้)จักจุดนี้แล้ว เฮาก็บ่(ไม่)ใช่คนแล้ว บ่แม่น(ไม่ใช่)คน คนอยู่หน้าตาแข้งขามือเท้าคนอยู่ เพราะเกิดนำ(กับ)คนเด้(นะ)เป็นลูกคนเด้(นะ) ครั้นถ้าหากคนก็ต้องเลือกคัดจัดหาเอาได้ เลือกเอาอันใดเหมาะสมก็เอา อันใดบ่เหมาะสมก็บ่(ไม่)เอา เพิ่นว่าจั๋งซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น)
จั๋งว่า(อย่างว่า)ให้ตั้งอกตั้งใจเวลามันน้อย มื้อ(วัน)หนึ่งก็ 12 ชั่วโมงบัดนี้ เฮามีเวียกจั่งใด๋(เรามีงานอะไร) เฮา(เรา)มาบวชนี่ฮามีเวียกจั่งใด๋(เรามีงานอะไร) เฮา(เรา)มาปฎิบัติธรรมะนี่ ต้องปฏิบัติการงานสิ่งที่มันมีไปเฮ็ด(ทำ) อันนี้บ่เฮ็ดหยัง(ไม่ทำอะไร) ปฏิบัติก็บ่(ไม่)เอา การงานก็บ่(ไม่)เอา ก็เสียหลักแล้วเนี่ย เฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จักบุญคุณของเฮา(เรา)ที่มาเกิดเป็นคนนี่แล้ว มาเกิดเป็นคนนี่ยากเด้(นะ)
บ่(ไม่)ยากก็แต่เฮาเบิ่ง(เราดู)นี้ เกิดเป็นคนบางคนมาเกิดเป็นคนตั้งแต่เข้าท้องแม่มาแล้ว ตั้งท้องขึ้นมาแท้งออกมาเลย บ่(ไม่)ทันได้เกิดเป็นคนก็ตายแล้ว บางคนเกิดมาได้เดือนหนึ่งตายก็มีบางคน บางคนเกิดมาเป็นหนุ่มเป็นสาวตายก็มี บ่(ไม่)ทันได้เข้าวัดฟังธรรม บ่ทันฮู้จักมิหยัง(ไม่ทันรู้จักอะไร) อันนี้แหละเพิ่น(ท่าน)ว่า เหลียวหน้าเหลียวหลัง บางคนเป็นพ่อบ้านแม่เรือนตายก็มี บ่ฮู้จักผิดถูกมิหยัง(ไม่รู้จักผิดถูกอะไร)
นี่เพิ่นว่า(ท่านว่า) ย่าง(เดิน)ไปเหลียวหน้าเหลียวหลัง เหลียวซ้ายเหลียวขวา เฮา(เรา)มีชีวิตอยู่นี่รีบเฮ็ดรีบทำ มาทำวัตรเช้าวัตรเย็น ทำกัน อบรมกันให้มันดี ให้ตื่นดึกลุกเช้า ไหว้พระสวดมนต์ พ่อแม่สอน อันนี้เฮาค้านเฮ็ด(เราขี้เกียจทำ) มันก็บ่(ไม่)เป็นนิสัยทางที่ดีแล้ว มันขี้ค้านก็บ่อยากเฮ็ด(ขี้เกียจทำก็ไม่อยากทำ)แล้วบัดนี้ เพิ่นว่า(ท่านว่า)
อันนี้อย่างพ่อไปเทศน์ที่ชัยภูมิ พระเทศน์ให้ฟัง เทศน์แล้วขะเจ้า(พวกเขา)ช่วย คนขี้ค้าน(ขี้เกียจ)มันบ่(ไม่)ดี เป็นคนอัปรีย์ทุกข์จนหนฮ้าย(ร้าย) ค้านเฮ็ดไห่เฮ็ดนา(ขี้เกียจทำไร่ทำนา)เป็นคนทุกข์คนยาก เป็นคนทุกข์คนยากเที่ยวหาขอทาน เที่ยวหาขอข้าวสุกข้าวสาร เป็นไปใช้วัดวาอารามเป็นห้าเป็นหาบ ยามมื้อแลง(มื้อเย็น)ก็นั่งคอยจุก ถ้าเพิ่น(ท่าน)อิ่มแล้วก็ยกกับข้าวออกมา ฟ่าวพูดฟ่าวฟัง(รีบพูดรีบฟัง)อย่างพ่อว่าบ่ได้หลาย(ไม่ได้มาก) คือคนที่ตายเรียกคุณพ่อนี่แหละ พระเพิ่น(ท่าน)มาเว้า(พูด)ให้พ่อฟัง อย่างพ่อพยายามจำเอาได้ นี่ทานบ่ดี คนนี่ขะเจ้า(พวกเขา)มีกินมีใช้ขะเจ้าบ่ทานเด้(พวกเขาไม่ให้ทานนะ)
ปลูกต้นไม้ต้นตอก ผลมันออกมาได้กิน ดูดใส่ฟันขวดบ่หกเปลี่ยนแปลง แล้วก็หาเงินหาทองให้หยังก็บ่จน(ยังไงก็ไม่จะ)แล้วผู้นั้น รู้จักเก็บรู้จักหารู้จักใช้
บัดนี้คนบ่(ไม่)รู้จักหา บ่(ไม่)รู้จักเก็บ บ่(ไม่)รู้จักใช้ รู้จักแต่หาซื่อๆ(เฉยๆ) ครั้นบ่(ไม่)รู้จักเก็บก็บ่(ไม่)ได้ มีคนมาว่าให้พ่อฟัง ว่าเฮ็ดจั๋งซั่นจิ(ทำอย่างนั้นจะ)ดีนะลูกหลาน อย่างพ่อว่าดีเด้ โอ๊ยดีบ่(มั้ย) บ่(ไม่)ดีดอกเพราะบ่(ไม่)เก็บนี่ แต่แกไปเฮ็ดรถเฮ็ดหยั่ง(ทำรถทำอะไร)นี่คิดทุกครั้ง อ้าวคนบ่(ไม่)รู้จักเก็บมันจิได้บ่(จะได้มั้ย) มันก็บ่(ไม่)ดีแล้ว ต้องรู้จักเก็บรู้จักหารู้จักใช้
พวกเฮา(เรา)ให้รู้จักเล็กๆ น้อยๆ มาอยู่นี่คือกัน(เหมือนกัน) ต้องทำวัตรเช้าวัตรเย็นอย่าขาด ฝึกหัดตัวเฮา(เรา) เฮาจิ(เราจะ)เป็นคนดี ความดีของเฮา(เรา)นี่ไปอยู่ไสเฮาจิ(เราจะ)บ่ความขัดแย้งกับหมู่กับเพื่อน มันขัดแย้งตัวเฮาขี้ค้าน(เราขี้เกียจ)ไปทำวัตร ขี้ค้าน(ขึ้เกียจ)ไป บ่เห็นตัวขัดแย้ง ใจนี้มันขัดแย้ง บ่เแม่นรูปเฮา(ไม่ใช่รูปเรา)นี่เด้ ใจนี่มันเป็น
บัดนี้เราไปอยู่ไส(ไหน) ผู้นั้นจิเฮ็ดบ่ดีผู้นี้จิเฮ็ดบ่ดี(คนนั้นจะทำไม่ดีคนนี้จะทำไม่ดี) มันจิ(จะ)ขัดแย้งตัวหมู่นี่เด้ เฮาจิเฮ็ดบ่ได้(เราจะทำไม่ได้) เฮาจิ(เราจะ)เสียสละบ่ได้เด้(ไม่ได้นะ) เพิ่น(ท่าน)จึงว่า เสียสละให้หมู่ซะ เฮาจิเฮ็ดดีๆ ซื่อๆ(เราจะทำดีๆ เฉยๆ) คนนั้นมันอยากดีมันก็ดีเอง ใครบ่(ไม่)อยากดีก็ช่างมันแล้ว เป็นจั๋งซั่นเด้(เป็นอย่านนั้นนะ)
เพิ่น(ท่าน)จึงว่า ฝึกหัดการทำวัตรสวดมนต์เป็นหน้าที่ มาอยู่ที่นี่ทุกคนอย่างพ่อว่า เป็นหน้าที่ทุกคนต้องทำ เป็นหน้าที่ทุกคนเด้ พระสงฆ์องค์เจ้าก็เป็นหน้าที่เป็นการฝึกหัด ฝึกหัดก็จิเป็นนิสัย อย่างพ่อนี่เคยเป็นนิสัยตอนที่เป็นเณร ครูบาเฆี่ยนตีให้ลุกเดืน นอนก็นอนหลังครูบาอาจารย์
แต่อย่างพ่อบ่เฮ็ด(ไม่ทำ)อย่างนั้น ถึงเวลานอนต้องนอน แต่ต้องตื่น ถึงเวลานั้นมันจะตื่นพอดี คนกรุงเทพก็บ่คือคนบ้านเฮา(เรา) ขะเจ้า(พวกเขา)หกทุ่มบ่(ไม่)ได้นอน ตีสองจึงได้นอน ไปตื่นเอาพรุ่น 6 โมงเช้าหรือ 7 โมงเช้า ขะเจ้า(พวกเขา)รีบไปทำงาน เฮาจิ(เราจะ)เอาแบบนั้นบ่ได้ บ้านเฮาบ่ได้(บ้านเราไม่ได้) เฮา(เรา)ต้องศึกษาต้องปฏิบัติความจริงอย่างพ่อว่า ตื่นดึก ลุกเช้า
เรียนหนังสือต้องตั้งไจเรียน สอบไล่ได้ มีประวัติให้มันดี ถ้าเรียนบ่(ไม่)ดีประวัติบ่(ไม่)ดี ไปสมัครเค้าก็บ่(ไม่)ค่อยเอาเด้ อย่างพ่อถามนี่ รับสมัครจักสิบคนนี่จะเอาสิบคนนี่ เป็นพันๆ อย่างพ่อถามขะเจ้า(พวกเขา)
อย่างพ่อไปเทศน์โรงพยาบาลอำเภอพระพุทธบาท เค้าเอาคนร้อยกว่าคน สมัครมาเป็นหมื่นพรุ่นนะ(โน่นนะ) นี่จะไปหวังแต่เป็นเจ้าเป็นนายกินเงินเดือนหมด ต้องทำการทำงานนำแนะ สมัครบ่(ไม่)ได้ก็บ่(ไม่)ได้แล้ว ก่อนเข้าจิ(จะ)เอาเขาต้องสืบประวัติ ประวัติเบื้องหลังดีเรื่องใดชั่วเรื่องใด อย่างเค้าต้องรู้จัก
อย่างพ่อเอามาเล่าให้ฟังนี่ เป็นวิธีที่ควบคุมหาตัวเฮา(เรา) หักห้ามตัวให้มันได้ ถ้าเฮา(เรา)หักห้ามตัวเฮาบ่ได้(ตัวเราไม่ได้)มันก็เต็มทีเด้(นะ) เกิดเป็นคนเสียความเป็นคนเด้ ที่หลวงพ่อได้ให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจมานี่ ก็เห็นว่าสมควรแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ อาตมาพร้อมด้วยพระสงฆ์และญาติโยม มานั่งฟังธรรมะอยู่ ณ สถานที่นี้ หรือเดี๋ยวนี้นี่แหละ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณของพระสาวกของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา
ให้พวกเราได้รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั้นว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้จะเห็นจะเป็นจะมีอย่างเราตถาคตนี้”
ตถาคนั้นคือมิหยัง(อะไร) คือ จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว จิตใจเฮา(เรา)นี่สามารถว่องไวเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อันนั้นคือจิตใจของพระพุทธเจ้า
บ่แม่น(ไม่ใช่)ตัวแข้งตัวขาตัวเนื้อตัวหนัง เป็นตัวจิตใจมันเป็น ตัวสามารถฮู้(รู้)จักนั้นมันเป็น เพิ่นเอิ้น(่ท่านว่า)จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว ตัดสินลงไปแล้วบ่(ไม่)ขาด เรียกว่าจิตใจเห็นแจ้งจิตใจรู้จริงพรุ่นนะ(โน่นนะ)
วิปัสสนาเรียกว่า ต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ต่างเก่าแท้ๆ ลองเฮ็ดเบิ่ง(ทำดู) มันจิ(จะ)เป็นแบบนี้
อย่างพ่อฮู้(รู้)จักอันนี้จึงว่า นำมาบอกมาสอนพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน อยากให้ทุกคนพ้นไปจากความทุกข์อันนี้ เกิดมาชาติหนึ่งก็ตายหนึ่ง เกิดมาสองชาติก็ตายสองชาติ เกิดมาสิบชาติตายสิบเถือก อันนี้เพิ่น(ท่าน)ว่าเห็นผิดเป็นถูก คนเกิดมาแล้วบ่อยากตาย มันจิ(จะ)ทนได้บ่(มั้ย) บ่(ไม่)ตาย นี่เพิ่น(ท่าน)ว่าเห็นผิด เกิดมาต้องตาย
พระพุทธเจ้าจึงสอนบ่(ไม่)ให้เราอยากเกิด ขะเจ้า(พวกเขา)เห็นพิษเห็นภัยมันเกิดนี่เด้(นะ) ตัวจิตใจนี้คุมมันได้ อย่างพ่อว่า คุมให้มันบ่(ไม่)เกิดเด้(นะ) นี่แหละ ขอให้ทุกคนทุกคนจงประสบพบเห็นเอาในชวิตนี้ หรือในเวลาอันใกล้นี้ จงทุกๆ คน.