แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท.๑๗๘
วันนี้เป็นวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๑ ตรงกับวันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ วันนี้เรามาพูดกันถึงการปฏิบัติธรรมะ เป็นสิ่งที่จำเป็นกับชีวิตทุกชีวิตทีเดียว ชีวิตของเรานั้นถือว่ามีค่ามีราคามาก แต่คนเราส่วนมากไม่เคยสนใจเรื่องชีวิตจริงๆ แต่ไปสนใจเรื่องเงินเรื่องยศสถาบันดาศักดิ์ บางคนถึงกับเอาชีวิตไปแลกเอาเงินหรือยศฐาบรรดาศักดิ์เหล่านั้น จึงว่า ไม่เข้าใจเรื่องชีวิตจริงๆ
เมื่อมาพิจารณาถึงเหตุผลทางชีวิตแล้ว ทุกคนควรศึกษาและควรสนใจกันจริงๆ เรื่องชีวิต เพราะว่าไม่มีใครที่ไหนซื้อขายชีวิตกันได้ มีเงินมากจัก(จะ)ร้อยล้านพันล้าน ซื้อก็ไม่ได้ เรียนหนังสือจบปริญญาเอกดอกเตอร์ จบปริญญาเอกก็ซื้อไม่ได้ เอามาแลกเอาชีวิตไม่ได้ แม้เรียนทางธรรมะจบประโยค ๙ แล้ว ก็เอามาทำแลกชีวิตของเราไม่ได้
นี่จึงว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็น มีค่ามากที่สุด แต่ทำไมจึงไม่สนใจเรื่องชีวิต จึงไปสนใจเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศ บางคนถึงกับไม่เข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นอุปสรรคชีวิตถ้าหากเราไม่เข้าใจ แต่เมื่อเรามาศึกษาเรื่องชีวิตจริงๆ กันเสียแล้วว่า ชีวิตนี้ความตายอยู่เบื้องหน้า หรือในขณะนี้ก็ได้
ท่านคนเฒ่าคนแก่ปู่ย่าตายายเคยเล่าไว้ว่า การเกิดเป็นคนแสนยาก เมื่อเกิดมาแล้วอย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นคน อย่าให้ความตายมาถึงเข้า ถ้าความตายมาถึงเข้าแล้ว ก็จะเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาทีเดียว พูดกันไว้อย่างนี้
แต่ว่าเรายังมีการปรารถนาอ้อนวอนขอร้อง แต่ทุกคนส่วนมากตัวผมเองก็เช่นเดียวกันเพราะไม่รู้ เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจก็พูดไปว่า การทำบุญบาทหนึ่งก็ตามสองบาทร้อยพันเท่าใดก็ตาม ปรารถนาเอาสวรรค์เอานิพพานอยู่เบื้องหน้า แต่ในขณะปัจจุบันนี้ ไม่เอา เพราะความไม่รู้นี่เอง
ดังนั้นคนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า วัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับคนผู้ที่ไม่รู้ธรรม กลางวันนานค่ำกลางคืนนานแจ้งสำหรับบุคคลผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยนอนไม่หลับ เพราะนอนไม่หลับนี่มันก็นานค่ำนานแจ้ง ถ้าเป็นกลางคืนนอนไม่หลับก็ปานใด(เมื่อไร)จะแจ้งขึ้นมาหนอ ถ้าเป็นกลางวันก็ปานใด(เมื่อไร)จะค่ำมาหนอ คอยอยู่อย่างนั้น ความจริงแล้วมี ๑๒ ชั่วโมงเหมือนกัน
ทางยาวไกลสำหรับบุคคลผู้ที่เดินทางเมื่อยล้าและหาบของหนักอีกด้วย ทางใดจะถึงที่พักที่บ้านของเรา สมมุติเอาอย่างที่เราไปไหนมาไหนก็ตาม ไปบ้านเราทางประมาณเพียง ๑o กิโลหรือ ๒o กิโล ถ้าเหนื่อยหาบของหนักก็เหมือนกับ ๑oo กิโลโน้้น แต่ความจริงก็เท่าเดิม
สมมุติเอาอย่างที่บ้านผาแดงของเรากับบ้านบุโฮมเรานี่ เดินไปความจริงระยะทางเพียง ๔ กิโลว่าอย่างนั้น หาบของหนักเดินทางเมื่อยล้าก็นานฮอด(ถึง)นานถึง เหมือนทางมันยืดยาวออกไป อันนี้สำหรับคนที่ไม่รู้ธรรม ไม่รู้สวรรค์ ไม่รู้นิพพาน ว่ามันอยู่เบื้องหน้า ดังนั้นคนที่ปรารถนาเอาความสุขเพียงแต่ความนึกคิดความคาดฝันเท่านั้น จึงไม่รู้ของจริง
เมื่อมาปฏิบัติธรรมะ ที่ผมทำ เขาเรียกว่าทิฐิคือความเห็น ทิฐิก็ไม่เหมือนกัน เราเคยได้ยินได้ฟังกันมานานแล้ว หรือหลายครูหลายอาจารย์พูดสอนกันมาเรื่องนี้ว่า ใครจะปฏิบัติอย่างไหนก็รู้จุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน ว่าอย่างนั้น จะปฏิบัติพุทโธ ธัมโม อะระหัง พองยุบ นับนิ้ว ๑ ๒ ๓ ก็ตาม เข้าถึงจุดหมายปลายทางอันสูงสุดเช่นเดียวกัน เพราะนิสัยจริตไม่เหมือนกัน ว่าอย่างนั้น
แต่สำหรับผมไม่เป็นอย่างนั้น ผมเคยทำได้ทำ พุทโธ หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ นึกเอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในหัวใจ อันนี้ก็วิธีที่ผมได้ทำมา แต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะยังไม่มีปัญญา หรือว่าญาณปัญญายังไม่เกิดขึ้น จากนั้นผมก็มาทำสัมมาอะระหัง นับ ๑ ๒ ๓ หายใจเข้าพองหายใจออกยุบ หรือหายใจเข้าลมหยาบลมละเอียด อันนี้เคยได้ทำมา ลมสั้นยาว อย่างนี้เคยได้ทำมา
ถือว่าได้ทำมามากพอสมควร เพราะยังไม่เข้าใจ ไม่ซาบซึ้ง เพราะจิตใจมันไม่รับรู้ หรือชีวิตของตัวเองนี่แหละยังไม่เปิดประตู มันมืดตื้ออยู่ภายในจิตใจ เพราะมันปิดประตูไว้นี่
ดังนั้นการเปิดอบรมวิปัสสนากรรมฐาน หรือเปิดอบรมวิปัสสนาภาวนา ก็มีหลายคนเปิดทุกที่ทุกทาง คำว่าเปิดก็หมายถึง ไขของที่ปิดไว้ เปิดออกมาให้คนเห็น หรือว่าของที่คว่ำ หงายขึ้นให้คนมองเห็นได้ ก็เรียกว่าเปิดเช่นเดียวกัน คือไม่ต้องปิดบังทิฐิของใครของเรา ไม่ต้องปิดบังความเห็นความรู้ความเข้าใจของใครของเรา
พูดความจริง ก็ต้องพูดเอายกเอาเรื่องที่ตัวประสบพบเห็นได้ศึกษาและปฏิบัติมา ก็ต้องพูดความจริงอย่างนั้น เรียกว่าสัจจะคือของจริง อันนี้จริงโดยบุคคล ผมเข้าใจอย่างนี้ แต่วิธีทำนั้น ก็ต้องนั่ง แต่ไม่ต้องหลับตา อันนี้มีวิธีทำ นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้
ทำความรู้สึก พลิกมือขึ้น แต่ใครจะถนัดเบื้องซ้ายหรือเบื้องขวาไม่เหมือนกัน คนมีกำลังหรือแฮง(แรง) บ้านผมเรียกว่าแฮงซ้ายแฮงขวา ถ้าเรามีกำลังแรงเบื้องขวาก็พลิกมือขวาตะแคงขึ้น ทำช้าๆ ให้รู้สึก ไม่ใช่คิดมือขวาอันนั้นมากเกินไป เพียงแต่ว่าให้รู้สึกเท่านั้นเอง
พลิกมือขึ้น..ให้รู้สึก หยุดไว้ ยกมือขึ้..ให้รู้สึก ให้มันหยุดก่อน ถ้ามันหยุดมันไหวไป ให้รู้ ขึ้นครึ่งตัว ให้มันรู้ แล้วก็เอามาที่สะดือ อันนี้มีจังหวะซ้ายขวาเป็น ๖ จังหวะ เวลาเอามือออกมา ก็ซ้ายขวารวมกันเข้ามี ๘ จังหวะ อันนี้เป็นจังหวะ เป็นจังหวะ
คล้ายๆ คือกันกับ ที่พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ในอิริยาบถทั้ง ๔ ยืน..ก็ให้มีสติรู้ เดิน..ก็ให้มีสติรู้ นั่ง..ก็ให้มีสติรู้ นอน..ก็ให้มีสติเข้าไปรู้ ท่านว่าเรียกว่า เจริญสติ
และท่านยังแนะนำให้ว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ในอิริยาบถย่อย คู้ เหยียด เคลื่อนไหว โดยวิธีใดก็ตาม ท่านว่า ให้มีสติ อันนี้ก็เพียง รู้ อันนั้นเรียกว่า สติ คำว่าสติกับความรู้ คล้ายๆ กัน ก่อนที่จะอบรมมองเห็นได้ผู้ที่มีปัญญา
อันนี้เมื่อทำอย่างนี้แหละ เวลาลุกขึ้นมี ๗ จังหวะวิธีลุก เวลานั่งลงมี ๘ จังหวะวิธีนั่ง แต่วิธีนอนตะแคงซ้ายตะแคงขวาหรือนอนหงาย ลุกทางซ้ายลุกทางขวาลุกทางหงาย อันนั้นก็มีจังหวะเช่นเดียวกัน
หรือจังหวะกราบ เราเคยกราบเบญจางคประดิษฐ์ อันนั้นก็ดีแล้ว ที่ครูบาอาจารย์สอนมาอย่างนั้น ดี แต่เมื่อผมมาเข้าใจว่า เบญจางคประดิษฐ์หมายถึง ๕ จังหวะ เมื่อรู้จักแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเอง ไหว้ตัวเองก็มี ๕ จังหวะเช่นเดียวกัน เป็นอย่างนั้น
จึงว่า ของดีมีในตนทุกคน ซึ่งจะสมกับที่ครูบาอาจารย์สอนว่าหรือพระพุทธเจ้าสอนว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน” คนอื่นใครหนอจะพึ่งได้ พึ่งไม่ได้ ตำรับตำราก็พึ่งไม่ได้ พึ่งได้เพราะการกระทำเรื่องนี้ จึงว่า ชีวิตนี้มีค่าที่สุด จึงได้ยกมือไหว้ตัวเองตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะว่าความดีความงามในตัวของเราเกิดขึ้นเรียกว่า ญาณปัญญา หรือว่า วิปัสสนาญาณ
คำว่าวิปัสสนาญาณนี่มันเป็นชื่อเท่านั้นเอง ตัวรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงนั่นแหละ เรียกว่าวิปัสสนา วิปัสสนาจึงแปลว่า รู้แจ้ง เห็นจริง ตามความเป็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ ต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ตอนนี้แหละ ตอนต่างเก่าล่วงภาวะเดิม แต่ก่อนไม่รู้เรื่องรูปเรื่องนาม แต่รู้ตำรา แต่จิตใจมันยังมืด มันยังไม่เปิด มันยังไม่รับ
พอดีมาทำอย่างนี้แหละไม่นาน ผมทำรู้ตอนเช้า เรื่องรูปเรื่องนาม รูปธรรมนามธรรม รูปโรคนามโรค รูปโรคนามโรคมี ๒ อย่าง โรคทางเนื้อหนัง โรคทางจิตใจ เมื่อรู้อันนี้ ก็รู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แต่ตำรับตำรานั้นเรียนมาแต่ไม่ซาบซึ้ง เมื่อรู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ครบจบถ้วนแล้ว ก็รู้สมมุติขึ้นมาทันที
เรียกว่าสมมุติน่ะมีมาก สมมุติเงินทอง เสื้อผ้า ไร่นาเรือกสวน หรือว่าผู้ใหญ่บ้านกำนัน ตำรวจทหาร ครู เหล่านี้เป็นสมมุติขึ้นมาจริงๆ จึงว่ามีสมมุติบัญญัติ มีปรมัตถ์บัญญัติ มีอรรถบัญญะ และมีอริยะบัญญัติ
สมมุติจึงมีมาก สมมุติผี สมมุติเทวดา แต่สมมติมันก็จริงๆ โดยสมมุติบางอย่าง บางอย่างสมมุติจริงโดยปรมัตถ์ แต่ปรมัตถ์ก็สมมุติพูดขึ้นมา เรียกว่าอรรถะ แปลว่าลึก ยากบุคคลที่จะรู้ เพราะมันมองข้ามตัวเองไป อริยะบัญญัติเป็นอริยบุคคคแล้วก็พูดสมมุติขึ้นมา พูดกันเท่านั้นเอง
เมื่อรู้จักอย่างนี้ ผมก็เลย รู้ เห็น เข้าใจ อย่างแจ่มแจ้งว่า รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง รู้เรื่องศาสนากับพุทธศาสนา
โดยมากคนแยกศาสนาไม่ได้ เป็นศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฮินดู เหล่านี้ หรือศาสนามันมีหลายคำว่าศาสนา ศาสนาท่านว่าแปลว่าทรงไว้ หรือธรรมะก็แปลว่าทรงไว้ ศาสนาก็แปลว่าคำสั่งสอน ธรรมะก็แปลว่าคำสั่งสอน นี่มันมาก
บัดนี้พุทธศาสนา พุทธะก็แปลว่าผู้รู้ธรรม ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม ว่ารู้ธรรมจริงๆ ธรรมะนั้นจึงว่า มีอยู่ในคนแล้ว หรือคือตัวคนนั้นแหละธรรมะ ท่านว่า เห็นคนใจดีเขาเรียกว่าพระธรรม ใจดีคือพระธรรม เห็นคนใดโกรธน่าขยะแขยงว่าใจร้าย คือผีหรือเหมือนผี แต่เราพูดได้ แต่เราไม่รู้จัก
คำพูดเหล่านี้มันลึกลับซับซ้อน ดังนั้นจึงว่าอาศัยการกระทำ การพูดนั้นไม่สำคัญ ที่ผมพูดทิฐิของผมได้ปฏิบัติมา ทิฐิผมเองอันนี้ ไม่ใช่ว่าสัมมาทิฏฐิอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมพูด พูดเป็นเรื่องทิฐิ ใครจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบมันเป็นธรรมดา
ทิฐิจึงแปลว่าความเห็นเมื่อประกอบด้วย โมหะ โลภะ โทสะ ก็เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ทิฐิแปลว่าความเห็นเมื่อประกอบด้วย สติ สมาธิ ปัญญา เรียกว่าเป็นสัมมาทิฐิ คือความเห็นที่ถูกต้อง ว่าอย่างนั้น
เมื่อรู้พุทธศาสนา ก็รู้บาป รู้บุญ เห็น เข้าใจ สัมผัสแนบแน่นกับสิ่งเหล่านี้ จึงว่าเป็นอารมณ์ อันนี้เบื้องต้นที่สุด รู้อันนี้แหละตอนเช้าผมรู้อย่างนี้ ซึ่งผมไม่หวาดไหวไม่กลัว ใครจะพูดยังไงก็เป็นเรื่องทิฐิของคนนั้น ทิฐิของเรานี่เราต้องยืนหยัดว่า เชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ก็เลยเข้าใจเรื่องนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ รู้ถึงบาปบุญแล้ว เกิดความรู้ชนิดหนึ่ง เกิดปีตีความพอใจ ปีติจึงเป็นอุปสรรค ว่าปีติความยินดี ปีตีความพอใจ ปิติเรียกว่ามีในคนทุกคน อันนี้บางคนก็มีปิติแล้วยังเกิดก็มี บางคนเกิดแล้วจึงมีปิติก็มี มันชักให้เราหนีจากรูปนามนี่เอง
เมื่อตอนเย็นมา ผมจึงรู้ มันเป็นวิปัสสนู ความรู้แบบนี้มันแก้ไขปัญหาการขัดแย้งภายในจิตใจตัวเองไม่ได้ เป็นตั้งแต่เช้าจนตกเย็นผมเป็น ผมไม่ได้เคยรู้ความคิด ที่แรกมันรู้ อันความรู้เรื่องรูปนามนี่ ไม่ได้เห็นความคิด มันรู้คิด อันนี้เป็นปัญญาเบื้องต้นที่สุด นี่เข้าใจอย่างนี้ ที่ผมพูดนี่ ผมพูดด้วยทิฐิ
บัดนี้เมื่อมารู้ความคิด จึงว่า ให้รู้สึกตัว อย่าให้หนีออกจากตัว เพราะมันมีความรู้เรื่องอื่นแปลกๆ ขึ้นมาก็ตาม เรามาทำความรู้สึกตัว ความคิดความรู้นั้นจะหายไปทันที อันนี้ท่านสอนเอาไว้ ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ มรรคต้องเจริญ นิโรธทำให้แจ้ง ท่านว่าอย่างนั้น
ทุกข์ต้องกำหนดรู้ ทุกข์จึงมี ๒ อย่าง ทุกข์การเคลื่อนการไหว กระพริบตา หายใจ อ้าปาก นี่ก็เป็นทุกข์ บัดนี้ทุกข์นึกทุกข์คิดก็เป็นทุกข์ จึงว่าทุกข์มี ๒ อย่าง ทุกข์คือกำหนดรู้ กำหนดที่รูปเป็นวัตถุ
สมุทัยต้องละ ตัวสมุทัยก็เป็นตัวนึกตัวคิดนั่นเอง สมุทัยทำให้เกิด ครูบาอาจารย์พ่อแม่ก็เคยสอนมา จะเป็นคำพูดคำเตือนของพระพุทธเจ้าสอนไว้ เราก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้า แต่ว่ารับรองได้ว่า คำพูดเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ลึกล้ำ เรียกว่า เส้นผมบังภูเขา ขนตาบังเรา เพียงขนตาเล็กๆ บังตัวเราไม่ให้มองเห็นถึงจิตถึงใจได้
บัดนี้ผมมาทำความรู้สึกตัว มันคิด..ก็รู้ มันไม่คิด..เราก็รู้ เรียกว่ามรรคต้องเจริญ นิโรธทำให้แจ้ง ทำวิธีอื่นไม่รู้ ผมทำ แต่คนอื่นอาจจะรู้ ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องคนอื่น และผมก็ไม่ได้รับรองเรื่องวิธีคนอื่น ผมรับรองเรื่อง ความรู้สึกตัว การทำ การพูด การคิด ให้รู้สึกตัว
เมื่อรู้อันนี้แหละ ก็เลยเข้าใจซาบซึ้งเรื่องปรมัตถ์ขึ้นมา เพราะความรู้มันหายไป มีแต่การรู้ บัดนี้มันเห็น การเห็นแจ้งชัดขึ้นมาภายในจิตใจ ความรู้ที่มันรู้ออกนอกตัวเราไป รู้นอกตัวไปรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ มันรู้ ก็เลยหายไป
มีแต่ความรู้สึก การเคลื่อนการไหว มันคิดมา..รู้สึก อันนี้นี่เอง ก็เลย รู้ เห็น เข้าใจ เรียกว่าปัญญาชนิดนี้ลึกเข้าไปแล้วนี่ ไม่เหมือนกับปัญญาที่รู้รูปนาม เห็น รู้ เข้าใจ อันนี้เรียกว่า รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง
คำว่าวัตถุ ปรมัตถ์ อาการ ไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟัง ครูบาอาจารย์ก็ไม่กระซิบหูเลย พ่อแม่ก็ไม่กระซิบหูเลย ให้ทานรักษาศีลมาไม่กระซิบหูเลยเรื่องนี้ เห็น รู้ เข้าใจ สัมผัสแนบแน่นอยู่กับสิ่งนี้ เรียกว่า รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง อันนี้เป็นชั้นที่สองเข้ามาก็ได้ หรือเป็นอีกชั้นหนึ่งก็ว่าได้ เมื่อเห็นอันนี้แหละ ชัดเจนขึ้นมาแล้ว
วัตถุหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลก ปรมัตถ์ก็หมายถึงเอาสัมผัสได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวเรา อาการเรียกว่ามีความเปลี่ยนแปลง โลกนี้มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง แล้วบัดนี้รูปที่เป็นวัตถุนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลง จิตใจของเราก็มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อ เห็น รู้ อย่างนี้ เข้าใจเรื่องโทสะ โมหะ โลภะ เห็น รู้ เข้าใจ เรียกว่าอันนี้แหละมันเป็นหน้าที่ที่สำคัญ เมื่อรู้อันนี้แล้วก็ รู้ เห็น เข้าใจ สัมผัสแนบแน่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณจึงแปลว่ารู้ ไม่ใช่วิญญาณตายแล้วล่องลอยไปอย่างนั้นอย่างนี้ อันนั้นวิญญาณอีกเรื่องหนึ่ง วิญญาณที่ผมพูดนี้วิญญาณแปลว่า เข้าไปรู้ ว่าเป็นญาณปัญญาก็ว่าได้
เมื่อรู้อันนี้แหละ ผมเดินกลับไปกลับมา ทำความรู้สึกตัว น้ำหนักตัวของผมเอง ๑oo กิโล เบาขึ้นทันทีเลยอย่างน้อยที่สุด ๖o กิโลครับ ถ้าพูดเต็มตามอัตราที่ผม เห็น เป็น มี ในขณะที่ผมสัมผัสอยู่ถึงกับปัจจุบันนี้เอง ๘o กิโล ไปแล้วความหนักอกหนักใจ ไปแล้ว เข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แสดงขึ้นมาภายในจิตใจ อ้อ..เราเป็นพระได้แล้วนี่
คำว่า พระ แบบนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงการโกนผมตัดเล็บนุ่งเหลืองห่มเหลือง พระแบบนี้นี่แหละที่เราแสวงหา พระจึงแปลว่าผู้ประเสริฐ พระจึงแปลว่าผู้สอนคน นี่เข้าใจอย่างนี้ ประเสริฐมากที่สุด ความดีความงาม ความรู้สึกตัวนี่ ทำให้ผมเกิดความเข้าใจอย่างนี้
พอดีเป็นอย่างนี้ ใจมันเบา มีความสว่าง เห็น ใจมันเห็น ใจมันรู้เป็นทางไป แต่ไม่ใช่เป็นทางอย่างที่ทางรถยนต์นี่นะครับ แต่มันเป็นทางไป แต่ใจมันเป็น ใจมันเห็น ใจมันรู้ทางเดินไปหาพระพุทธเจ้า นี่เข้าใจอย่างนั้น
บัดนี้เมื่อเป็นเช่นนั้น มันเกิดปีติอีก ปีติตัวนี้แรงกว่าที่ทีแรก มันดีใจมันใจดี ทีแรกมันดีใจแต่ใจดีไม่ค่อยมี อันนี้มีทั้งดีใจและมีทั้งใจดี มีสองอย่าง ที่พูดนี่ให้เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้ พอดีปฏิบัติอย่างนี้ ในขณะเดียวกันนั้น ผมพูดตามทิฐิความเห็นผมเข้าใจ ใจผมเปลี่ยนสองพัก
พอดีเปลี่ยนพักนี้ก็เห็น กิเลส ตัณหา อุปทาน นี่กิเลส เราไม่เคยรู้ว่ากิเลสเป็นอุปสรรคต่อชีวิต ผมเลยเลิกบุหรี่ ผมนึกว่าเป็นของสดสวยงดงามหรือเป็นของดี ถือว่าชีวิตของเราต้องการอย่างนั้น คนจึงถึงกลับเอาชีวิตเอาไปแลกเข้ากับเงินหรือชื่อเสียงเกียรติยศ
คนเราต้องการเงิน เอาชีวิตไปแลกกับเงิน ยอมเสียสละเพื่อเงิน มันเป็นอย่างนั้น จึงว่าไม่ควรที่จะคิดอย่างนั้น ผมเองก็เคยคิดเหมือนกันอยากได้เงินมาก มาบัดนี้เงินทองดี แต่ยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องชีวิต ชีวิตจึงเป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ คนไม่เป็นทุกข์ทำการทำงานอะไรได้ทุกอย่าง
ดังนั้นพระอริยะบุคคลแบบที่ผมพูดนี่ ไม่ยกเว้น ใครจะถือศาสนาไหน นุ่งผ้าสีอะไรก็ตาม จะเป็นผู้ชายผู้หญิงก็ตาม เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าก็ตาม เด็กผู้ใหญ่ ไม่ยกเว้นใครทั้งหมด มีแล้วในคนทุกคน จึงกล้ารับรองว่าจะพูดอย่างนี้ และแนะนำวิธีนี้ เพราะตัวเองได้สัมผัสอย่างนี้ และกระทำอย่างนี้จึงเป็นอย่างนี้
เคยสอนคนมาแล้วเป็นจำนวนหลายสิบคน ถ้าหากพูดตามอัตราความเห็นอันนี้สอนคนมา อย่างน้อยผมคิดว่าผมได้ทำให้ชีวิตของคนพ้นไปจากความทุกข์จำนวนสักร้อยคนหรืออาจจะถึงพันคนก็ได้ ผมได้ทำธุระหน้าที่อันนี้เองที่ว่า ให้รู้จักความเป็นคน คนเกิดจากคนมันต้องเป็นคน แข้งขาหน้าตามือเท้าเป็นคน แต่จิตใจไม่ใช่คน ผมเข้าใจอย่างนี้จริงๆ
บัดนี้ศึกษาและปฏิบัติอย่างนี้แหละ ความรู้สึกอันนี้แหละ คนหมายถึงบุคคลผู้ที่มีปัญญาเรียกว่าเป็นบุคคล ถ้าหากคนรู้อันนี้เป็นพระอริยบุคคล ถ้าหากพระสงฆ์องค์เจ้าเรียกว่าเป็นพระอริยสงฆ์ คนผู้ที่มีปัญญาแก้ปัญหาการขัดแย้งภายในจิตใจตัวเองได้จึงเรียกว่าเป็นคน นี่เข้าใจอย่างนี้ เลยมีความกระจ่างแจ้งขึ้นภายในจิตใจ เรื่องของคนอย่างนี้
เรื่องของคนมันมีดีมีชั่ว สูบบุหรี่บ้าง ดื่มสุราบ้าง เล่นการพนันบ้าง ถือว่าอันนั้นเป็นกิจสำคัญเป็นสิ่งสำคัญ ต้องการอาหารดีๆ ต้องการเงินทองเสื้อผ้าดีๆ ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น มันเข้าใจอย่างนี้
บัดนี้เมื่อมาเข้าใจอย่างนี้ เรื่องอาหารการกินก็ยังไม่จำเป็น บุหรี่สุราเที่ยวกลางคืนไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เรื่องเหล่านี้ แม้ที่สุดเงินทองที่เราต้องการเอาชีวิตเข้าไปแลกเอาก็ไม่จำเป็น เพราะชีวิตนี้มันจึงมีค่ามากที่สุด ผมเข้าใจอย่างนี้ จึงว่ารู้จักเรื่องของคน มันทำไปอย่างนั้นแหละ แต่เรามารู้จักความเป็นคน เรื่องของคนหน้าที่ของคน
หน้าที่ของเราถ้าพูดกันว่า เช่น บิดามารดาต้องรู้จักหน้าที่ ผู้ใหญ่บ้านกำนันต้องรู้จักหน้าที่ ตำรวจทหารต้องรู้จักหน้าที่ ครูโรงเรียนต้องรู้จักหน้าที่ หมอรักษาโรคก็ต้องรู้จักหน้าที่ พระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องรู้จักหน้าที่ พูดมันมาก มันเป็นเรื่องๆ ไป หน้าที่ของเราจริงๆ ควรปฏิบัติเอามรรคผลเบื้องสูง มาไว้ที่เนื้อที่ตัวของเรา
จึงว่าวัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับบุคคลผู้ที่ไม่รู้ธรรม คือไม่รู้ธรรมจึงปรารถนาเอา อ้อนวอนเอา ต่อหลังจากการตายแล้ว ทำบุญร้อยพันหมื่นแสนก็ต้องการสวรรค์นิพพานหลังจากการตายแล้ว แต่ความจริงสวรรค์นิพพานมันอยู่เฉพาะหน้าเรานี่เอง
เรื่องสำคัญ เรื่องอดีตเรื่องอนาคตนี่แหละ อนาคตอดีตนี่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หรือพระพุทธเจ้าก็สอนว่า อดีตอนาคตแก้ปัญหาไม่ได้ จะแก้ปัญหาได้แต่เฉพาะปัจจุบัน เราต้องควรเอาอนาคตอดีตมาไว้กับปัจจุบันให้ได้ ชาติหน้าหมายถึงตายแล้วก็ได้ หรือหมายถึง จิตใจมันเปลี่ยนแปลงเรียกว่าอาการก็ได้
ปรมัตถ์ซึ่งมันมีอยู่เฉพาะหน้านี่เอง เลยเข้าใจเรื่องอดีตอนาคต ให้มาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราเห็น เรารู้ปัจจุบันแล้ว เรียกว่า เรามีปกติ
เมื่อเรามีปกติแล้ว เรียกว่า เรามีศีล ศีลจึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิจึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญาจึงเป็นเครื่องขจัดกิเลสอย่างละเอียด ผมเข้าใจอย่างนี้
บัดนี้พอดีผมมานอน ตื่นตอนเช้ามา ผมก็เลยมาล้างหน้าแปรงฟันตามปกตินี่แหละ แล้วก็มาทำเดินจงกรม คราวนั้นมันไม่มีไฟฟ้าที่นั่น เอาเทียนไขไปตั้งข้างโน้นข้างนี้สองทาง มีตะขาบบ้านผมเรียกว่าขี้เข็บตัวหนึ่งแล่น(วิ่ง)ขวากๆ ออกมา มันดังเสียงมันผ่านใบไม้มา ผมเห็นผมก็เลยไปเอาเทียนไขตาม เพราะว่าขี้เข็บกัดแล้วมันเจ็บ ผมเคยถูกขี้เข็บกัดครั้งหนึ่ง ตามไปก็เลยไม่เห็น ไม่เห็นก็เลยเอาเทียนไขกลับไปไว้ที่เดิม
มาเดินตอนนี้แหละ ผมก็เลยรู้ กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด แล้วคนมีปกติ จึงจะรู้ ทำอย่างอื่นผมไม่รู้ อันนี้เรียกว่ามีปีติ เรียกว่า จินตญาณเกิดขึ้นในช่วงนั้น บัดนี้ปีติก็หายไป เป็นปกติ ความคิดก็เป็นปกติ มีแต่ใจดี ความดีใจไม่มี มีแต่ใจดีใจเย็นนี่แหละ
เราเห็นคนเฒ่าคนแก่เคยพูดว่า ใจดีคือพระธรรม พระธรรมในตัวคนนั่นไม่ใช่พระ ใจมันเป็นพระ พระทำการพระทำงาน คนใจดีทำการทำงานเขาเรียกว่าพระธรรม พระกินข้าวก็พระธรรม พระเข้าห้องน้ำห้องส้วมก็พระธรรม พระซักผ้าก็พระธรรม พระซักเสื้อผ้าก็พระธรรม พระถูบ้านล้างจานก็พระธรรม เอาพระธรรม ไปไหนมาไหนก็เอาพระธรรมไปด้วย จึงว่าพระธรรม
เราไม่เคยเห็นอันนี้จึงว่า ถ้าพูดตามอุดมการณ์แล้ว ทิฐิของคนที่ว่า มีตาทิพย์มีหูทิพย์ หรือจะเรียกว่าเป็นพระอริยะบุคคล หรือเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ก็ว่าได้ ถ้าผิดปกติไป มีปีติ ดีใจ เสียใจ เรียกว่าบ้าบ้านผม พ่อแม่เคยพูดเคยสอนไว้ว่า คนนี้ผิดปกติ จะผิดปกติข้างดีก็ตามข้างชั่วก็ตาม เรียกว่าบ้าทั้งนั้น หรือถ้าไปดูคนเจ็บไข้ป่วยหนัก ผิดปกติเรียกว่าตาย ใกล้จะตายแล้วว่าอย่างนั้น
ดังนั้น ความปกตินั้น จึงมีแต่คนทุกคน ผมก็เลยยืนหยัดเอาปกติอันนี้มาไว้ที่เนื้อที่ตัว แต่ไม่ต้องเอามาหรอก มันมีแล้ว คนเราไม่เคยเห็นปกติ ไปสมาทานศีลกับพระ อันนั้นดีแล้ว แต่ว่าไม่ใช่เป็นศีลกำจัดกิเลสอย่างหยาบอย่างกลางอย่างละเอียด อันนั้นมันเป็นศีลสังคม ศีล ๕ ศีล ๘ ถึง ๑o ศีล ๒oo ๓oo เป็นศีลสังคม
เป็นสังคมศีล จะรักษาเคร่งครัดขนาดไหนก็ตาม ผมเคยรักษามาเรื่องนี้ได้รักษามาแล้ว รักษาศีลมาตั้งแต่เมื่อเป็นหนุ่มรักษาอุโบสถศีล ไม่เคยรู้เลยเรื่องนี้ แล้วก็บวชเป็นพระหนุ่มก็รักษาศีล 227 มีการปลงอาบัติ สัพพา ตา กันเช้าเย็น ทานอาหารก็ต้องปลงอาบัติ เป็นอย่างนั้น เพราะเป็นอาบัติ อาบัติหมายถึงความติเตียน ถ้าหากคนไม่ติเตียนไม่เป็นอาบัติ
เมื่อมาปฏิบัติอย่างนี้ บัดนี้คนพาลสรรเสริญสักพันคน แต่ถ้าหากบัณฑิตตำหนิคนเดียวก็เป็นอาบัติ บัดนี้คนพาลตำหนิร้อยคนพันคนก็ตาม บัณฑิตสรรเสริญคนเดียวก็ได้
เรียกว่า “อะเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง” อันนี้เราพูด คำว่าอะเสวนาจะพาลานัง หมายถึงพาลาและคนพาล ปัณฑิตตานัญจะเสวนา ปูชาจะปูชะนียานัง เรียกว่าหมายถึง บัณฑิตผู้ที่รู้ธรรมเป็นธรรม คำว่าคนพาลในที่นี้ก็หมายถึง โมหะ โทสะ โลภะ
เราอยู่ด้วยโมหะโทสะโลภะ หรือ เราอยู่ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา นี่ที่ว่าทิฐิเป็นการเห็น การรู้ การเข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้แหละ ผมก็เลยเข้าใจซาบซึ้ง เรื่องสมถะกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐาน มันเป็นคนละทางกัน มันเป็นคนละเรื่องกันจริงๆ
ทำให้ผมเข้าใจอันนี้แหละ รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง มันเป็นอารมณ์มา มันเป็นพักๆๆ ระดับจิตใจมันสูงขึ้นเป็นพักๆ ขึ้นมา แต่เรามองไม่เห็น อันนี้แหละที่ผมกล้ายืนยันรับรองว่า ทุกคนต้องประสบเรื่องนี้ คำว่าประสบเรื่องนี้จุดสำคัญ ก็เลยมาพูดกันทำความเข้าใจกัน เพราะว่าเวลาปฏิบัติธรรมะทุกคนหมายถึงจุดสูงสุด
คำว่าจุดสูงสุดนั้น ตอนเช้าผมรู้ กำลังเดิน เดินไปเดินมา คล้ายๆ คือเสื้อผ้ากางเกงอะไรก็ตาม มันหลุดไปทั้งหมดเลย พอดีมันหลุด มันเกิดความสุขขึ้นมาชนิดหนึ่ง ผิดปกติแล้วผมคิดแบบนั้น นี่ปัญหามัยที่ผมจะนำมาเล่าสู่ฟัง ที่สูงสุดจุดสุดท้ายอันนี้
ทางตำรับตำราครูบาอาจารย์เคยพูดเคยสอนว่า อาการเกิดดับ คนเกิดมาร้อยวันพันปี ถ้าหากไม่รู้สภาพภาวะอาการเกิดดับนั้น ชีวิตของบุคคลนั้นเป็นหมันเลย บุคคลเกิดมาเป็นเพียงวันเดียว รู้เห็นสภาพภาวะอาการเกิดดับนั้น ชีวิตบุคคลนี้มีค่ามีราคามาก จึงว่าชีวิตจึงมีราคามาก จึงว่าการปฏิบัติต้องพยายามทำให้เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้
บัดนี้การบวชก็เช่นเดียวกัน บวชมาตั้งร้อยพรรษา ถ้าหากไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจสภาพภาวะอาการเกิดดับอันนี้ การบวชของผู้นั้นอานิสงส์การบวชเป็นหมันเป็นโมฆะ ท่านว่าอย่างนั้น
บัดนี้บุคคลที่บวชมาเพียงวันเดียว รู้เห็นสภาพภาวะอาการเกิดดับอันนี้ บุคคลเกิดมาเพียงวันเดียวนั้นบวชเพียงวันเดียวนั้น มีประโยชน์มีค่ามากมีราคามาก เพราะชีวิตไม่เป็นทุกข์เลยนี่ อันนี้แหละวิปลาศเกิดขึ้นที่ตรงนี้
จึงว่าให้อยู่กับปกติ ให้รู้ เมื่อจิตใจของเรามันเปลี่ยนไป เรียกว่าอาการ เปลี่ยนไป เรียกว่าอาการ เปลี่ยนไปจนถึงที่สุดของทุกข์ตัวนี้แหละ ตัวนี้แหละธรรมชาติ เรียกว่าสภาพภาวะเดิมของเรา มันจะหดเข้าทันทีเลย
เหมือนกับปลิงถูกยา เอายาจุดให้ปลิงให้ทาก ที่บ้านผมเคยมีทาก ผมไปเมืองลาวเอาปูนกับยาดีดให้ทากให้ปลิง มันหดตัวเข้า มันจืดเข้า คนทุกคนจะตายต้องเป็นอย่างนั้น
หรืออุปมาอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับมีดพร้าที่บาดเราบาดเนื้อเรา ตามปกติเลือดมันออกมาจากปากบาด มันออกจากปากบาดมันรวมตัวเข้ามา พอดีมันเห็นอันนี้ เลือดมันจะกลับหวนเข้าไปสู่สภาพเดิมของมันจริงๆ มันจะหดตัวเข้าจริงๆ
ผมก็เลยมาอุปมาหรือเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนเอาเชือกไนล่อนนี่เอง มาผูกข้างนั้นข้างนี้ ตัดตรงกลาง ดึงไม่ถึงกันเลย อันนี้แหละจุดสูงสุด ไม่เคยพบไม่เคยเห็นไม่เคยเป็นไม่เคยมี แม้ครูบาอาจารย์ก็ไม่เคยสอนเรื่องอย่างนี้
เมื่อมาทำความรู้สึกตัวตื่นตัว รู้สึกใจนึกคิด รู้ เป็นปกติ มันสามารถพาให้เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ นี่เรียกว่าทางเดินไปคนเดียว เป็นทางเอก ทางๆ นี้ไม่ซ้ำรอยใคร รู้แล้วจะสงวนลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้ รู้แล้วจะทำลายก็ไม่ได้
ความรู้ ความเห็น ความเป็น อันนี้เป็นคำพูดคำเตือน เป็นคำกล่าวคำสอนของท่านผู้รู้ ใครรู้เรื่องนี้ต้องนำเรื่องนี้มาสอน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องให้ทานรักษาศีลกินเจอะไรทั้งหมด มันเกี่ยวข้องกับ ทำความรู้สึกตัว มันเกี่ยวข้องกับ ความเป็นปกติ นี่เอง
เมื่อรู้สึกตัวอยู่เป็นปกติ เมื่อเกิดในขณะไหนเวลาใดผิดปกติ ผิดปกติไปข้างดีก็ตามข้างชั่วก็ตาม ไม่ใช่ผิดปกติอย่างคนบ้านนะ ผิดปกติข้างดีข้างชั่วก็ตาม พระกรรมฐานเจริญวิปัสสนาก็ตาม เรืยกว่าบ้าทั้งนั้น บ้าอันนี้บ้าธรรมะ บ้าคนไม่รู้จักธรรมะ หรือบ้าคนรู้ธรรมะ รู้แล้วก็เลยลืมปกติ รู้แล้วก็เลยลืม ไม่สัมผัสไม่แนบแน่นอยู่กับอารมณ์ มันจึงเป็นอารมณ์
เมื่อเรามีความสุข หวนเข้ามาปกติ เมื่อเรารู้ปกติ ก็ทวนอารมณ์ตั้งแต่ต้น อารมณ์รูปนาม มาจนถึงอาการเกิดดับ กลับไปกลับมา ให้อารมณ์สว่างขึ้นภายในจิตใจแจ่มชัด เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นภายในแจ่มชัดดีแล้ว ความปกติก็มั่นคงขึ้นมา อันนี้สภาพภาวะอาการเกิดดับ
การแก้ไขปัญหาเรื่องภาวะขัดแย้งในใจ ก็เลยเข้าใจเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ อันนี้เรียกว่าสัจจะแท้ ของจริงแท้ ไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปรผัน ธรรมะอันนี้จึงมีก่อนพระพุทธเจ้า มันมีอยู่แล้วความปกตินี่
พระพุทธเจ้าของเราค้นพบในประเทศอินเดีย แล้วก็เลยสอนคนอินเดีย คนอินเดียผู้ที่มีศรัทธาเหลื่อมใสในพระองค์หรือในพระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติตาม คนใดไม่เลื่อมใสไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า มันมีหลายสำนักหลายครูบาอาจารย์การสอนวิปัสสนา
บ้านของเราทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน มีหลายสำนักมีหลายครูหลายอาจารย์ ทิฐิจึงไม่เหมือนกัน ทิฐิของผมเห็นอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ จะสอนให้คนเข้าใจเรื่องนี้ เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องความจุติ เรียกว่าความตาย แต่ความตายเรื่องนี้ ตายเสียก่อนตายแต่เมื่อยังมีลมหายใจ
ธรรมะอันนี้มันจึงมีมาก่อนพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าค้นพบแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ว่าอย่างนั้น อันนี้แหละทิฐิที่เรียกว่า เห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทิฐิตัวเอง แต่คนอื่นนั้นจะเห็นชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเรื่องของคนอื่น จะเห็นว่าพูดผิดก็เป็นเรื่องของคนอื่น
แต่ตัวเองมั่นใจว่า จะสอนเรื่องนี้จะพูดเรื่องนี้ให้คนผู้ที่มีปัญญาฟัง คนที่ปัญญายังอ่อนก็เป็นธรรมดา คนที่ผู้มีปัญญาเข้มแข็งก็สามารถที่จะรู้เรื่องนี้ได้ หากไม่รู้ในขณะนี้ จวนจะตายหรือหมดลมหายใจต้องประสบเรื่องนี้จริงๆ แต่เรารู้ไว้วันนี้มันจะดีกว่าบ้างไหม
อันนี้แหละ จึงเอาอดีตอนาคตมาไว้กับปัจจุบัน อนาคตข้างหน้าก็ต้องมารวมอยู่ในปัจจุบัน อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ต้องมารวมอยู่ในปัจจุบัน การแก้ปัญหาการขัดแย้งภายในจิตใจนั้น แก้ปัจจุบัน
คำว่าหยุดหรือสงบ มันเป็นคำเดียวกัน ความสงบก็แปลว่าหยุด ความหยุดก็แปลว่าสงบ สงบก็แปลว่า เราเห็นแจ้ง รู้จริง เข้าใจจริง จึงจะหยุดการศึกษาเล่าเรียนได้ หยุดแล้วก็สงบ ต้องการครูอาจารย์ใครจะพูดเรื่องไหนเราฟังได้ เรียกว่าฟังให้เป็น ทำให้เป็น ถ้าฟังไม่เป็นทำไม่เป็น มันยาก
ดังนั้นพ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยสอนเอาไว้ว่า ฟังความพระเสียซะเสียทราย เสียเงินเสียทอง เสียเวลงเสียเวลา เสียไปอย่างนั้น กรรมฐานกรรมทอกกรรมลอกเอาเงิน อันนี้ก็เหมือนกัน พระกรรมฐานก็มีตะกรุดบ้างมีลอดบ้างมีพระน้อยๆ ปลุกเสกขึ้นมา อันสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเรื่องสมมุติ อันปลุกจิตปลุกใจนี่มันยังได้ เรียกว่ามีแต่เพียงพูด ทำไม่จริง แต่จริงของเขา แต่ไม่จริงของเรา
สัมมาทิฏฐิของเขา ไม่ใช่เป็นสัมมาทิฐิของเรา เป็นมิจฉาทิฏฐิของเขา ไม่ใช่เป็นมิจฉาทิฐิของเรา เราต้องเอาสัมมาทิฏฐิของเรา เอามิจฉาทิฏฐิของเรา เอาสัมมาทิฏฐิของเรามาพูดกันจริงๆ สำหรับการพูดธรรมะมันต้องกล้ายืนยันรับรองได้
เหมือนกันกับพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “สัตว์ทั้งหลายคือเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเป็นตถาคต” แต่ไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้า เราเคยได้ยินได้ฟังสวดกันแล้วว่า “พุทธานุพุทธัง สะมะสีละทิฏฐิง” เป็นภาษาบาลี และเป็นภาษาไทยว่า ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีศีลและทิฐิเสมอกัน มีเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า
ข้อสุดท้ายท่านว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วอย่างนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็น จะมี อย่างเราตถาคตนี้” รู้ เห็น เป็น มี เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า
จึงว่าเป็นสากล เป็นกลางๆ ไม่เป็นของใคร เป็นสมบัติของบุคคลผู้ที่รู้ คนใด รู้ ก็ต้องเป็นของคนนั้น จะเป็นของคนอื่นไม่ได้ เรื่องนี้จึงกล้ายืนยันรับรองได้ คำพูดคำเตือนของพระองค์ไม่พลาดเลย ถ้าหากเรารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงแล้ว ต้องนำมากล่าวมาเตือนกัน ให้ทุกคนเอามาใช้กับชีวิต
เคยสอนมาแล้วเรื่องทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ รับรองตัวเองได้ เด็กอายุ ๙ ปี ถึง ๑๓ ปี เด็กรู้เร็วกว่าคนแก่ เพราะเขาไม่มีอารมณ์ บอกว่าทำช้าๆ ทำจังหวะช้าๆ เขาก็ทำช้าๆ ให้รู้สึกตัวนะ เขาก็รู้สึกตัวอยู่เท่านั้นเอง ไม่เกิน ๓o วัน เด็กนั้นทำให้จิตใจเขาเปลี่ยนแปลงจากสภาพความมืดตื้ออยู่ภายในใจ ถามเขาว่าน้ำหนักร้อยกิโลจะเบาขึ้น บางคนก็ ๔o กิโล ๕o กิโลนี่แหละ พูดอย่างนี้ ถามว่าเป็นพระได้ไหม เป็นพระได้แล้วบัดนี้ อันนี้เป็นคำมั่นสัญญาของบุคคลผู้ที่รู้
แต่คนแก่นี่นาน ใช้เวลานานเป็น ๓ เดือน ๔ เดือน เป็นปีก็มีบางคนนะ เป็นอย่างนั้น เพราะมันไปติดอยู่เรื่องอดีตอนาคต ปัจจุบันมีน้อย บัดนี้เด็กๆ มันเอาอดีตอนาคตมารวมไว้กับปัจจุบัน มันก็เลยเข้าใจเร็วเรื่องนี้ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นจุดสำคัญ เรื่องสัจธรรมนี่ คำว่าสัจจะนี่ มันมาก มันมาก
คำว่าสัจธรรม มันมาก สัจจะแปลว่าของจริงของแท้ ไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปผัน อันนี้ก็เป็นสัจจะ ที่ผมพูดชี้ทางมานี้ก็เป็นสัจจะเช่นเดียวกัน แต่ผมว่าเป็นทิฐิ อันนี้เป็นสัจจะที่การเห็นแจ้ง การรู้จริง รู้จัก รู้จำ รู้แจ้งเห็นจริงเรียกว่าวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น เรียกว่ามหาญาณก็ว่าได้ ญาณอันนี้เป็นพาหนะขนให้คนพ้นไปจากความทุกข์ ชี้ทางให้คนออกจากที่มืด
พระพุทธเจ้าท่านสอนคน สอนคนที่กำลังทำผิดอยู่นั่นแหละ ให้หวนกลับคืนมาทำให้ถูกต้อง สอนคนที่ยังไม่ฉลาดยังไม่รู้ ให้เขาฉลาดให้เขารู้ขึ้นมา สอนคนที่มีทุกข์ ให้ทุกข์นั้นลดน้อยไปหรือหมดไป เป็นอย่างนั้น ดังนั้นชีวิตจึงมีค่ามากที่สุด ซื้อไม่ได้ขายไม่ได้ เมื่อผมรู้อย่างนี้ ผมว่าผมมีกำไรชีวิต
คำว่ากำไรชีวิตนั่น เราพูดได้ คือ ทำให้คนอื่นได้รู้ ได้เห็น ได้เป็น ได้มีอย่างเรานั่นแหละ เรียกว่ากำไรชีวิต ชีวิตของเรานั่นมันไม่ได้กำไรหรอก แต่ว่ากำไรได้จากคนอื่นรู้ตามเห็นตาม เรียกว่ากำไรชีวิต อันที่ว่ากำไรชีวิตนี่ โดยมากมีคนพูดคนสอนเรื่องกำไรชีวิต
ที่ผมพูดนี่ กำไรชีวิต คือ เรารู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว มันเป็นทางพ้นออกจากทุกข์จริงๆ เรื่องนี้ ก็นำไปสอนคนอื่น ให้คนอื่นได้เดินทางตามไป เป็นกำไรชีวิตของเรา เราได้เพื่อนก็ว่าได้ เพราะคนนั้นก็จะพ้นทุกข์ไปเช่นเดียวกัน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนแต่ของจริง ของไม่จริงไม่เอามาสอน
ดังนั้น การถือศาสนา ต้องเลือกคัดจัดหาเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตจริงๆ ถ้าหากไม่เลือกคัดจัดหาเอากับชีวิตจริงๆ แล้ว เราจะไม่รู้เรื่องศาสนา ศาสนาผีศาสนาพราหมณ์ศาสนาเทวดา คนไหว้ผีก็เอาผีเป็นที่พึ่ง คนไหว้เทวดาก็เอาเทวดาเป็นที่พึ่ง มันศาสนาเก่าแก่ ศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไรมันมากเรื่องศาสนา
แต่ว่าศาสนาที่ผมคือ ตัวคนตัวศาสนา ตัวทุกคนนั้นเป็นตัวศาสนา ตัวพุทธศาสนาคือตัวรู้แจ้งเห็นจริง เป็นพุทธศาสนา เป็นอย่างนั้น ดังนั้น ที่ผมได้นำธรรมะมาเล่าสู่ฟังในวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ อาตมา พร้อมด้วยพระสงฆ์ และญาติโยมมานั่งฟังธรรมะอยู่ ณ สถานที่นี้ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณของบรรดาพระสาวกของพระพุทธเจ้า มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา ให้พวกเราได้เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า บอกว่า
อันจิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจปกติ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง อันนั้นแหละคือจิตใจของพระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกก็ต้องให้ได้รู้ตามเห็นตามเข้าใจตามพระพุทธเจ้า เรียกว่าสาวกพุทธะ เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าเรียกว่าสาวกพุทธะ
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะกัมปะติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง” กิจ ๔ อย่างนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ท่านว่าอย่างนั้น มนุษย์และเทวดา ผู้ใดทำแล้ว ให้มีแล้ว ไว้ในใจแล้ว ไปไหนมาไหนโดยไม่มีทุกข์
ท่านจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็น จะมี อย่างเราตถาคตนี้” ต้อง รู้ เห็น เป็น มี เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า
อันนี้แต่ผมไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า แต่ผมเห็นภายในจิตใจว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ๆๆ จึงว่าพ่อแม่เคยสอนเคยพูดให้ฟัง มันต้องเข้าสู่สภาพเหมือนกับดักแด้ มันหดตัวเข้าในรังมันในใยพันตัวมันไว้ เอามาลวกน้ำร้อนมันหด ตัวมันห่อ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน มันจะหดตัวเข้าสู่สภาพเดิมของมันจริงๆ
อันนี้แหละสูงสุด ควรให้รู้ ให้เห็น ให้เป็น ให้มี อันนี้แหละเรียกว่า ตายเสียก่อนตายยังเมื่อมีลมหายใจ เรียกว่าเข้าทางตายก็ได้ พระอริยสาวกทุกองค์ผมเข้าใจว่าต้องรู้เรื่องนี้ ถ้าหากผิดไปจากนี้แล้วเรียกว่าผิดปกติ ผิดปกติก็เรียกว่าบ้า แต่บ้านั้นมันหลายบ้า.