แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท.๑๗๗
พอดีเฮา(เรา)มาทำความรู้สึกตัว อย่าไปบังคับมันไม่ให้มันคิด มันยิ่งคิดเรายิ่งรู้กลไกของความคิด อย่าห้าม แต่เฮาเพียงทำความรู้สึกตัวเท่านั้น ให้มันรู้ ให้มันรู้สึกตัวนี้ แต่ให้มันคิด ถ้าไปห้ามความคิดยิ่งยุ่ง มันจิ(จะ)เป็นความรู้ที่ผิดๆ ไป รู้แล้วมันลืมจำบ่(ไม่)ได้ รู้แล้วมันลืมจำบ่(ไม่)ได้
รู้แล้วมันลืม จำได้บ่(ไม่)เกิน 2-3 นาทีนั้น บางคนไปบันทึกไว้ในกระดาษกลัวแต่มันจะลืม เป็นกิเลสแล้วนี่ เพิ่นบ่(ไม่)ให้จดจำ อันนี้มันบ่แม่น(ไม่ใช้)ญาณแล้ว มันเป็นความรู้ของอวิชชา อวิชชาแปลว่าไม่รู้ แต่มันรู้ มันรู้บ่แม่น(ไม่ใช่)ของจริง มันเก็บมารู้ซื่อๆ(เฉยๆ) เป็นความรู้ของอวิชชาแล้ว บ่(ไม่)แม่นความรู้ของวิปัสสนาญาณ
ความรู้ของวิปัสสนาญาณจริงๆ นั้นคือ รู้เรื่องรูปนามนี่แหละ รู้รูปนาม รู้รูปธรรมนามธรรม รู้รูปโรคนามโรค รู้ทุกขัง รู้อนิจจัง รู้อนัตตา รู้สมมุติ รู้ศาสนา รู้พุทธศาสนา อันนี้เป็นญาณของปัญญา ปัญญารู้แท้ รู้แล้วบ่(ไม่)หลงบ่(ไม่)ลืม
ส่วนที่มันรู้แล้วคิด คิดแล้วรู้ รู้แล้วคิด คิดแล้วรู้ อันนั้นเป็นความรู้ของวิปัสสนูอุปกิเลส ที่ผมว่าเอาซื่อๆ(เฉยๆ) ในตำราบ่(ไม่)ค่อยฮู้(รู้)จัก บ่(ไม่)มีครูบาอาจารย์เว้า(พูด)ให้ฟัง ให้มันรู้ไป เรายิ่งเฮด(ทำ)จังหวะทุ่มเทออกไป เหมือนกับน้ำที่เราขุดนำบ่อ
เฮา(เรา)ขุดบ่อน้ำหรือขุดบ่อน้ำลงไปเจอน้ำ น้ำนั้นมันอยู่กับตมกับเลน เฮา(เรา)ต้องเป็นหน้าที่ที่ขุดลงไปลึกๆ แล้วก็ตักน้ำตักกับตมเลนตักไปพร้อมกัน ตมก็ตักน้ำก็ตักออกมาให้หมด เมื่อเฮา(เรา)ตักน้ำตักตมออกไปแล้ว น้ำข้างในมันจิ(จะ)ไหลออกมา ไหลออกมาแล้วน้ำนั้นมันใช้บ่(ไม่)ได้ เฮา(เรา)ก็ต้องตักออก เอาน้ำเข้ามาใหม่ กวนปากบ่อนั้นเข้า น้ำปากบ่อนั้นน้ำออกจากในรู มันจะมาล้างปากบ่อนั้นออก มันเป็นอย่างนั้น เมื่อเฮา(เรา)ล้างหลายเที่ยวแล้ว น้ำค่อยใสขึ้นๆ เฮา(เรา)ตักออกให้หมดแล้วกวนปากบ่อ บ่(ไม่)ขุ่น เมื่อปากบ่อกวนลงไปแล้วบ่(ไม่)ขุ่นแล้วก็ มิหยัง(อะไร)ตกไปที่ก้นบ่อนั้น ก็เห็น
เมื่อเป็นจังซี้(อย่างนี้)แล้ว ก็เลยจิ(จะ) เห็นความคิดเฮา(เรา) อันมันรู้คิดนั้น บ่(ม่)ได้เห็นความคิด มันรู้คิดซื่อๆ(เฉยๆ) พอดีมันคิดปุ๊บ..เห็นปั๊บ คิดปุ๊บ..เห็นปั๊บ คิดปุ๊บ..เห็นปั๊บ เฮา(เรา)เห็นความคิดเฮา(เรา) เมื่อเฮา(เรา)เห็นความคิดเฮา(เรา)แล้ว จึงเกิดญาณปัญญา เป็นญาณปัญญาของวิปัสสนา คือเห็นวัตถุ รู้วัตถุ เห็นปรมัตถ์ รู้ปรมัตถ์ เห็นอาการ รู้อาการ ว่าวัตถุ ปรมัตถ์ อาการ
วัตถุนั้น เฮา(เรา)หมายความกว้าง หมายถึง ต้นไม้ ภูเขา ห้วยหนองคลองบึง ก็เป็นวัตถุ เงินทอง เสื้อผ้า ไร่นาเฮือกสวน(เรือกสวน) ก็เป็นวัตถุ เนื้อหนังเฮา(เรา)ก็เป็นวัตถุ จิตใจที่มันนึกมันคิดก็เป็นวัตถุ เฮา(เรา)ต้องเห็นจังซี่(อย่างนี้) ฮู้จังซี่(รู้อย่างนี้) เข้าใจจังซี่(อย่างนี้) อันนี้เป็นญาณปัญญาของวิปัสสนา รู้ รู้แล้วก็บ่(ไม่)หลงบ่(ไม่)ลืม
ปรมัตถ์หมายถึง สิ่งที่เฮา(เรา)กำลังเห็น กำลังเป็น กำลังมีอยู่นั่นแหละ เอิ้น(เรียก)ปรมัตถ์ อาการสภาพ ความเห็น ความไม่เห็น มันมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่อย่างนั้น เรียกว่าอาการสภาพของมันเป็นอย่างนั้น
เมื่อ รู้ เห็น วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ แล้วก็ เห็น เข้าใจ สัมผัสแนบแน่น คือ โทสะเขาเรียกว่าความโกรธ โมหะเรียกว่าความหลง โลภะเรียกว่าความโลภ เห็น รู้ เข้าใจ เมื่อเห็นรู้เข้าใจอันนี้ อันนี้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เป็นญาณปัญญาของวิปัสสนา รู้ คือความรู้สึกนี่แหละ มันไปไล่ความบ่(ไม่)รู้นั่นเอง เรียกว่าความรู้ของอวิชชาอันนั้นมันก็ลดน้อยลงไป พอดีลดน้อยลงไปอันนี้ก็รู้มากขึ้น เหมือนวิธีบวกกับลบ
เหมือนน้ำอยู่ในขวดเฮา(เรา)ในแก้วเฮา(เรา) เฮาจิ(เราจะ)กินน้ำ น้ำนั้นมันสกปรก พอดีเฮาจิ(เราจะ)เอาน้ำมากินแต่น้ำนั้นมันสกปรก เฮา(เรา)เอาน้ำสะอาดหยดลงไปใส่จัก(สัก)หยดหนึ่งหรือสองหยด พอดีน้ำสะอาดตกลงไปใส่ในขวดนั้น ความสกปรกนั้นก็ละลาย จางไป เป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เมื่อน้ำนั้นมันจางไป เฮา(เรา)รินน้ำหรือเอาน้ำที่สะอาดนั้นเทลงไปในขวดหลายๆ มันก็ยิ่งจางๆ ลงไป มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เมื่อมันจางออกไปๆๆ เฮา(เรา)ก็รู้ เห็น เข้าใจ อย่างที่ว่า วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ โทสะ โมหะ โลภะ นี้มัน เป็นพักๆ ไป
เมื่อเห็นโทสะโมหะโลภะชัดเจนดีแล้ว เฮา(เรา)ก็เลย เห็น รู้ เข้าใจ เพราะอันนั้นมันจางไปแล้ว คือรูป แต่รูปอันนี้เฮา(เรา)รู้มาจากทีแรกพรุ่น(โน่น)แล้ว คือเมื่อเฮา(เรา)รู้รูปนามนั่นแหละ แต่มันกลับเข้ามารู้อันนี้ซื่อๆ(เฉยๆ) รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนาบ่มีทุกข์ แต่รูปอันนี้บ่ได้เอามาว่า
เวทนาไม่ทุกข์ สัญญาไม่ทุกข์ สังขารไม่ทุกข์ วิญญาณไม่ทุกข์ เพราะโทสะ โมหะ โลภะ จางคลายไปแล้ว อันนี้เรียกว่า รูป ๔ บ่(ไม่)แม่นรูป ๕ แล้ว อันนี้บ่(ไม่)ขันธ์ ๕ อันนี้เป็นขันธ์ ๔ คือบ่(ไม่)ได้เอารูปขันธ์มาว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ บัดนี้รูปขันธ์นั้นเฮา(เรา)ว่าแต่ที่รูปนามนั่น
เมื่อมาเห็นอันนี้แล้ว เฮา(เรา)ต้องใช้เวทนาขันธ์ไปเลย เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เรียกว่าขันธ์ ๔ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔ ขันธ์เดียว เฮา(เรา)ว่ากัน เพิ่น(ท่าน)ว่าอันนั้น เมื่อเห็นอันนี้ ฮู้จัก(รู้จัก)อันนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นเทวดาได้ เพราะว่ามีความละอายในใจ อันนี้เป็นปฐมฌาน ที่หลวงพ่อเข้าใจ
ทีแรกหลวงพ่อเข้าใจว่า เรารู้รูปรู้นามนี้ เป็นปฐมฌาน มันเป็นปฐมกฤษ์ซื่อๆ(เฉยๆ)อันนี้ หลวงพ่อเปรียบเทียบแล้วคล้ายๆ คือเฮา(เรา)รำวง เฮาจิ(เราจะ)ตั้งกองรำวงขึ้น ทีแรกนั้นรอบแรกรอบต้นเขาเอิ้น(เรียก)ปฐมฤกษ์ คนไปรำวงไปฟ้อนไปหยังแล้ว แล้วบัดนี้บ่(ไม่)ต้องเสียสตางค์ เข้าไปฟรี รู้ฟรีๆ
อย่างที่ผมว่าให้ฟัง ก็รู้ ตอนที่ รู้วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ โทสะ โมหะ โลภะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี่ ต้องมีบัตรต้องเสียเงินค่าผ่านประตูเข้าไป ตอนนี้ที่ยังเป็นปฐมฌาน อันนั้นเป็นปฐมฤกษ์ซื่อๆ(เฉยๆ) ก็เลยเข้าใจจังซั่น(อย่างนั้น)
พอดีรู้อันนี้แล้วก็ จักพักเดียวเท่านั้นแหละ นึกอึดใจเดียวเท่านั้น ก็เลยเกิดความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ รู้กิเลส ตัณหา อุปทาน กรรม รู้อันนี้แล้วเกิดปีติขึ้นมาบัดนี้ ภูมิิใจ อันนั้นมันเป็นญาณความรู้ อันนี้มันเกิดปิติ
ปีติจึงเป็นอุปสรรค เป็นการขัดแย้ง หรือว่าทำให้เราล่าช้า ทำให้เราบ่(ไม่)ก้าวหน้า จะว่าอย่างนั้นก็ได้ปิตินี้ ตำราเพิ่น(เขา)ว่า ปีติความอิ่มใจ ถูกต้อง เมื่อหลวงพ่อไปปฏิบัติจึงเข้าใจว่า ปีติเป็นอุปสรรค ปิตินี้จึงว่าให้เราพักผ่อนได้ ให้เราภูมิใจในอารมณ์อันนั้น เข้าใจอันนี้ นี่รู้จักเป็นปฐมฌาน เป็นทุติยฌาณ เป็นมรรคเป็นผลไปในตัวมันเอง หลวงพ่อเข้าใจแบบนี้ แต่คนอื่นจะเข้าใจจังได๋(อย่างไร)หลวงพ่อบ่ฮู้(ไม่รุ้)จัก หลวงพ่อเข้าใจจังซี้(อย่างนี้)
พอดีเป็นปิติอันนี้ ก็อย่าไปติด พอดีมันรู้แล้วก็แล้วไป มันคิดแล้วก็แล้วไป มันจิ(จะ)เกิดปิติ มันจิ(จะ)ไปอยู่กับปิติ อย่าให้มันไปอยู่ แต่มันห้ามบ่(ไม่)ได้ ห้ามบ่(ไม่)ได้ เฮา(เรา)ต้องมาทำความรู้สึกให้มาก ทำให้เอาแรงๆ จัก(สัก)หน่อย เพราะเราจะดึงเอาออกจากปิติอันนั้น ให้มารู้สึกอันนี้
ทำช้าๆ ให้มันจังหวะ เป็นจังหวะไป ทำช้าได้ดีมากอันนี้ตอนนี้ ตอนที่เฮา(เรา)รู้รูปนามนั้นมันอยากทำไว แต่ให้มันทำไวอันนั้น เพราะมันจิ(จะ)ไปรู้กับความคิด ที่นำมาเล่าให้ฟังนี่ เพื่อเตือนจิตสะกิดใจเอาไว้ พอดีตอนนี้ทำช้าๆ ให้ว่าโหย่นๆ(โล้ไปมาๆ) ให้มันวางลง รู้ช้าๆ ให้มันรู้สึกตัว พอดีรู้สึกมากเข้า มากเข้า ปิติก็จางไป จางไป เป็นอย่างนั้น ก็เลยมาเป็นปกติ เมื่อเป็นปกติก็เรียกว่า เรามีศีลแล้ว
พอกิเลสอย่างหยาบนี้มันจางคลายไปแล้ว ศีลจึงปรากฏตัวขึ้นมา ศีลก็ว่า ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ บ่แม่น(ไม่ใช่) ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑o ศีล ๒๒๗ อย่างเราเรียนมาจากครูบาอาจารย์นั่น บ่แม่น(ไม่ใช่)อันนั้น อันนี้ศีลขันธ์คือ รูปขันธ์มีศีล เวทนาขันธ์มีศีล สัญญาขันธ์มีศีล สังขารขันธ์มีศีลสำคัญ วิญญาณขันธ์มีศีล
จึงว่า ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างหยาบก็คือ โทสะ โมหะ โลภะ เวทนา สัญญา สังขาร นี้ก็บ่(ไม่)ทุกข์ แล้วกิเลส ตัณหา อุปทาน กรรม นั้นก็เป็นกิเลสอย่างหยาบเข้ามา
บัดนี้ ส่วนปิติก็มาทวงเอาไว้อยู่กับสิ่งเหล่านั้น ว่าเจ้าของรู้เจ้าของเห็น เฮา(เรา)ได้วางแล้ว ได้เห็นศีลนี้ บ่แม่น(ไม่ใช่)อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ท่านมาว่าจังซั่น(อย่างนั้น) ครูบาอาจารย์เพิ่น(ท่าน)สอนจังซั่น(อย่างนั้น) หลวงพ่อก็ได้เฮียน(เรียน)มาได้จำมาจังซั่น(อย่างนั้น) เมื่อปฏิบัติแล้วมันบ่(ไม่)เป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เพิ่น(ท่าน)ว่า ว่าศีลขันธ์นี่
ขันธ์จึงแปล่วาต่อสู้ ขันธ์แปลว่ารองรับ คล้ายๆ คือขันตักน้ำเฮานี้แหละ ถ้าขันดีไปตักน้ำแล้วขันบ่(ไม่)แตก ได้กิน เอาไปตักข้าวใส่บาตรให้เจ้าหัวอ้ายจั่วนี่ก็น่ากินน่าใช้ เอาไปตักอาหารกินก็ได้กิน ขันดี คือ รูปขันธ์ดี เวทนาขันธ์ดี สัญญาขันธ์ดี สังขารขันธ์ดี วิญญาณขันธ์ดี
ถ้าขันแตก ขันแตกตักน้ำก็บ่ได้กิน มันฮั่ว(รั่ว)หนีหมด ถ้าขันสกปรกตักข้าวไปใส่บาตรให้พระให้เณรก็บ่(ไม่)น่ากิน บ่(ไม่)น่าเลื่อมใส ถ้าขันแตกตักอาหารก็บ่(ไม่)ได้กิน มันฮั่ว(รั่ว)หนีหมด อันนี้ก็คือ(เหมือน)กัน คือความบ่(ไม่)รู้นี่เอง คือไปติดอยู่อันใดอันหนึ่ง เฮา(เรา)ลืมตัว จึงว่าอย่าหลงตนอย่าลืมตัว
การปฏิบัติธรรมะแบบนี้ ปฏิบัติง่ายๆ อยู่แต่กับปัจจุบัน แต่ขอให้รู้จริงเท่านั้นซื่อๆ(เฉยๆ) เมื่อรู้ศีลแล้วก็ว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สิกขาแปลว่าธรรม
เหมือนกับครกตำข้าวเฮา(เรา)หรือครกตำแจ่วเฮา(น้ำพริกเรา)นี่ พ่อเปรียบเทียบแล้ว มันเป็นเม็ดเป็นมะขวิดมะเขือ เขาเอามาตำถลุงเข้า ตำเข้ามันหมุ่น(แหลกสลาย)มันแหลก เอามากรองเอาได้แต่ของสำคัญนั้น ของบ่(ไม่)สำคัญก็เป็นแกลบเป็นฮำ(รำ)ไป คล้ายๆ คือ(เหมือน)โรงสี เอาข้าวเปลือกเฮา(เรา)นี้ไปโยนใส่โรงสี โรงสีนั้นจะผลัดผลัดเอาเป็นข้าวเปลือกเป็นข้าวสารเข้ามา แล้วก็เป็นแกลบเป็นข้าวเตียน(ข้าวมีตำหนิ)เป็นหยัง(อะไร)ขึ้นมา บ้านหลวงพ่อเรียกข้าวเตียนข้าวหักข้าวหมุ่น
บัดนี้เฮา(เรา)มาปฏิบัติธรรมะทับมิ่งขวัญนี่ พระก็ดี เณรก็ดี แม่ขาวก็ดี แม่ดำก็ดี พ่อออกก็ดี ให้เป็นข้าวหนึ่ง ข้าวอ้วนข้าวเต็ม ถ้าเป็นข้าวที่หนึ่งข้าวตัวอ้วนข้าวเต็ม แปลว่าข้าวดี ข้าวแก่ดี เอาไปเข้าโรงสีผลัดออกมามันก็บ่(ไม่)หัก คือข้าวที่หนึ่ง
ถ้าข้าวเม็ดใดบ่(ไม่)อ้วนบ่(ไม่)เต็มดี เอาไปเข้าโรงสีแล้วหักครึ่งออกมา เอิ้น(เรียก)ข้าวที่สอง หรือบางคนหักออกมาเอิ้น(เรียก)สามบ้างสี่บ้าง สามท่อนสี่ท่อน เป็นแกลบเป็นฮำ(รำ)ไปหมดก็มี ผู้ที่เป็นแกลบเป็นฮำ(รำ)ไปนั้นแสดงว่าบ่(ไม่)ได้ประโยชน์เท่าที่ควร แกลบไปเผาถ่านก็ได้ เอาไปใส่น้ำผักก็ได้ เอาไปใส่ที่เขาไปชกมวยสนามมวยอันนั้นก็ได้ แต่บ่(ไม่)ได้ประโยชน์เท่าที่ควร บัดนี้ฮำ(รำ) บ้านหลวงพ่อเรียกว่าฮำ(รำ) ทางเพิ่น(ท่าน)เขาเรียกว่ารำ เอาไปให้หมูให้ไก่กินคนกินก็ได้ ถ้าเป็นข้าวหักข้าวหมุ่นข้าวปลายแล้วก็คนกินก็ได้ แต่กินบ่(ไม่)มีรสชาติเท่าใด
อันนี้ก็คือ(เหมือน)กัน ถ้าหากเฮา(เรา)รู้ธรรมะ เห็นธรรมะ เข้าใจธรรมะ จะเลิกละจากความชั่ว ความชั่วทุกประเภทเลิกละให้หมด จึงจะเป็นข้าวที่หนึ่งได้ การฝึกหัดดัดแปลงอย่างนี้จึงว่า ฝึกหัดตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง เมื่อฝึกหัดตัวเอง ดัดแปลงตัวเอง ทำเพื่อตัวเองแล้ว เพื่อนฝูงจะคอยติดตามมา เพราะทุกคนต้องการทำความดีอยู่แล้ว เป็นจังซั่น เมื่อเฮา(เรา)มันลดปีติแล้ว บัดนี้ปีติมันจางไป คล้ายๆ คือว่าให้ฟังนั่นแหละ ออกจากถ้ำ
ถ้ำที่มันมืดอยู่ เฮา(เรา)จะไปไสมาไสต้องใช้ไฟ ครั้นบ่(ไม่)ใช้ไฟก็ตกบ่อตกหยัง(อะไร)ไป เฮา(เรา)ออกจากถ้ำมาแล้ว มาเบิ่ง(ดู) อยู่นอกนี่เบิ่ง(ดู)ปากถ้ำ เบิ่ง(ดู)รูปร่างลักษณะของถ้ำ มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เฮา(เรา)จึงฮู้(รู้)จัก กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง สมมุติเอาซื่อๆ(เฉยๆ) อันว่านี่แหละ
กิเลสอย่างกลาง ก็คือปิตินั่นแหละ ยินดีว่าเจ้าของทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เป็นจังซั่น(อย่างนั้น) หรือว่าอีกอย่างหนึ่ง เรื่องสมถกรรมฐานทำความสงบ แต่ผู้อื่นจะเป็นจังได๋(อย่างไร)นั้นผมบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ผมบ่(ไม่)ได้ว่าผู้นั้นผู้นี้ ความสงบแบบบ่ฮู้(ไม่รู้)นั้นเรียกว่าเป็นปิติ ยินดีในความสงบอันนั้น เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม
แล้วปฏิบัติแบบนี้ บ่(ไม่)ใช่ว่าจิ(จะ)ให้มันสงบเด้(นะ) ให้มันรู้สึกตัวอยู่เสมอ เคลื่อนไหวอยู่เสมอ อันความสงบนั้นมันเป็นผลพลอยได้ซื่อๆ(เฉยๆ) เพราะว่าเฮา(เรา)เคลื่อนเฮาไหว เฮา(เรา)พลิกเองเอนตัว พลิกมือหงายมือ กระพริบตา อ้าปาก หายใจเข้าหายใจออก ก้มเงย เอียงซ้ายเอียงขวา เฮา(เรา)รู้สึกอยู่ ปัญญามันเกิดขึ้น
เพิ่น(ท่าน)จึงว่า คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้ว มันเป็นผลพลอยได้คือความสงบ มันสงบจากโทสะ สงบจากโมหะ สงบจากโลภะ สงบจากกิเลส สงบจากตัณหา สงบจากอุปาทาน สงบจากกรรม สงบจากปิติอันนั้น พวกการเห็นแจ้งอันนี้ นี่มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) จึงว่ามันมีอุปสรรค
จึงว่าอาศัยผู้ที่เคยชำนาญการมาก่อน หรืออาศัยคนที่รู้นั่นแหละ มาระยะนี้มันเป็นจังซี่(อย่างนี้) มาระยะนี้มันเป็นจังซี่(อย่างนี้) เพราะผู้ที่รู้นั้นชำนิชำนาญ อันนี้เรียกว่าเป็นทุติยฌาน ไปจังซั่น(อย่างนั้น)ที่ผมรู้ ปฐมฌาน ทุติยฌาน เข้าใจอย่างนั้น แต่คนอื่นจะเข้าใจหรือบ่(ไม่)เข้าใจนั้นบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ซึ่งผมกล้ายืนยันรับรอง คำพูดของพระพุทธเจ้า หรือตำรับตำราเป็นบางช่วงบางตอน ถ้าหากเฮา(เรา)เห็น เฮา(เรา)รู้ เฮา(เรา)เข้าใจแล้ว รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น)
บัดนี้จตุตถฌาน จตุตถฌานแปลว่าญาณรวบรวม ตติยฌาน ปฐมฌาน ทุติยฌาณ ตติยฌาน มันอยู่นำกัน คือว่า(เหมือนว่า)ปฐมฌานกับทุติยฌาณที่อย่างพ่อว่ามานี้ ตอนนี้มันเป็นตติยฌานมันเป็นจตุตถฌานเข้ามาแล้ว ญาณรวบรวมเข้ามา รวบรวมเข้ามาจึงมา เห็นสภาพการทำดีทำชั่ว ทำผิดทำถูก จิฮู้(จะรู้)จักอันนี้ พอดีฮู้(รู้)จักอันนี้แล้วก็เป็นปัญจมฌาน ญาณ ๕ คือ ญาณของรูป ญาณของเวทนา ญาณของสัญญา ญาณของสังขาร ญาณของวิญาณ นี่ จิ(จะ)มารวบกันเข้าเป็นอันเดียวกัน จึงเป็นปัจมณาณขึ้นมา
ตัดสินลงไปถูกต้องที่ว่า จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว สามารถที่จะมองเห็นอันใดอยู่ในตัวเฮา(เรา)นี้ บ่แม่น(ไม่ใช่)เห็นตับไตไส้ปอดพรุ่นเด๊ะ(นั้นนะ) สามารถที่จะเห็นจิตใจเฮามันนึกมันคิด มันคิดดีมันคิดชั่ว มันคิดจังได๋(อย่างไร) เฮาจิ(เราจะ)เห็น จิรู้จิเข้าใจ(จะรู้จะเข้าใจ)ทั้งหมด
จึงว่า จิตใจของพระพุทธเจ้านั้น มีอยู่ในคนทุกคนบ่ยกเว้น เมื่อทำจังซี่(อย่างนี้)ต้องรู้จังซี่(อย่างนี้) รู้อย่างอื่นบ่(ไม่)ถูก เมื่อเห็น รู้ เข้าใจ อันนี้ ก็รู้สภาพภาวะอาการ เกิดดับ
อย่างผมว่าเมื่อแลง(เย็น)วานนี้ เมื่ออาการเกิดดับตัวนี้มันขาดสูญ มันออกจากกันทั้งหมด ให้คล้ายๆ คือว่า เอาน้ำมันก๊าดน้ำมันเบนซินก็ช่างน้ำมันอะไรก็ช่าง แล้วไปกรอกใส่แก้ว เอาน้ำท่าเข้ากรอกใส่กับน้ำมัน มันจิ(จะ)อยู่คนละส่วนกันโลด(เลย) แต่มันก็อยู่กับน้ำฮั่น(นั่น)ได้ แต่หากมันเป็นคนละมุมกันโลด(เลย) น้ำท่ากับน้ำมันมัน จึงเข้ากันบ่ได้ เฮา(เรา)เห็นอยู่ เอาน้ำมันกรอกใส่แม่น้ำ มันก็อยู่ของมันต่างหากน้ำมัน น้ำท่ามันก็อยู่ใต้ของน้ำมัน มันเข้ากันบ่(ไม่)ได้ มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น)
จึงว่าพระพุทธเจ้านั้นตัดผมครั้งเดียว พระพุทธเจ้ารู้ดี แต่เฮา(เรา)นั้นก็ต้องค่อยๆ รู้ไป มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เมื่อเฮา(เรา)เห็นสภาพนี้ เฮา(เรา)จึงรู้จักสภาพหรือภาวะเฮาจิ(เราจะ)ตายนี่แหละ มันต้องเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) มันต้องเป็นจังซี่(อย่างนี้) ฮู้(รู้)จักวิธีตายทันที แต่ทุกคนก็ต้องมานี่ หนีจากนี้ไปไม่ได้ เพราะทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายเด้(นะ) คนเกิดมาในโลกนี้บ่ตายบ่(ไม่)มีสักคน อันนี้เรียกว่าสัจจะแท้ บ่(ไม่)เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงไปบ่(ไม่)ได้ ถึงจะมีผู้รู้มันก็เป็นจังซั่น(อย่างนั้น)อยู่ บ่(ไม่)มีผู้รู้มันก็เป็นจังซั่น(อย่างนั้น)อยู่
จึงว่า เพิ่น(ท่าน)ว่าไว้ว่า หากมีพระธรรมวินัยอยู่ แล้วมีผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบอยู่ มรรคผลนิพพานบ่(ไม่)ว่างจากโลกนี้ บ่(ไม่)ว่างจากโลก บ่แม่น(ไม่ใช่)บ่(ไม่)ว่างจากดินฟ้าอากาศอันนี้นะ บ่(ไม่)ว่างจากผู้ปฏิบัติธรรม นี่รู้จักมรรคผลนิพพานโลด(เลย) ถ้าหากว่า ภิกษุ หมู่อุบาสก อุบาสิกา อยู่โดยชอบแล้ว พระอรหันต์ก็จิบ่(จะไม่)ว่างจากโลกนี้ เพราะว่าเฮา(เรา)เห็นความคิดพรุ่นเด้(โน่นนะ)
พระอรหันต์นี่บ่แม่น(ไม่ใช่)เห็นตับไตไส้ปอด บ่แม่นเฮา(ไม่ใช่เรา)นั่งอยู่ที่นี่เห็นคนหมุนเลขลอตเตอรี่อยู่กรุงเทพฯ พรุ่น(โน่น)สลากกินแบ่ง บ่แม่น(ไม่ใช่)อันนั้น อย่างพ่อบ่(ไม่)ได้รู้จักอันนั้น เห็นจิตเห็นใจเฮา(เรา)นึกเอาคิดนี่ โอ้..เราไปเข้าใจลึกเกินไป จิ(จะ)ไปเข้าใจนับเม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรพรุ้น(นู้น)ให้ครบทุกเม็ด ก็บ่แม่น(ไม่ใช่)อันนี้ จิ(จะ)ไปเห็นต้นไม้ภูเขาก็บ่แม่น(ไม่ใช่)อันนี้ บ่แม่นแท้ๆ(ไม่ใช่จริงๆ) เฮ็ด(ทำ)อันอื่นบ่แม่น(ไม่ใช่)หมด ผิดหมด
ครั้นถ้าเห็นตัวเฮา(เรา)นี่ กำลังนึกกำลังคิด กำลังทำ กำลังพูดอยู่ ถูกอันนี้ เห็นอันนี้ เห็นจิตใจเฮา(เรา)นี้สะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว อันนี้คือจิตใจของพระพุทธเจ้า บ่แม่น(ไม่ใช่)จิตใจของปุถุชน แต่ปุถุชนก็มีอยู่ หากบ่(ไม่)เห็น บ่(ไม่)สามารถที่จะรู้จิตอันนี้ จึงเอิ้น(เรียก)ว่าปุถุชน ปุถุชนจึงเป็นว่า ผู้หนาแน่นอยู่กับความมืดความหลงอันนี้
พระอริยเจ้านั้นปลดเปลื้องความมืดอันนี้ออกไป ความหนักอกหนักใจนั้น ค่อยๆ ออกไป จึงว่าเห็นอันนี้ เมื่อเห็นมาจุดนี้แล้วก็เลยเข้าใจว่า อาการเกิดดับนั้น เพิ่นว่าจังซี้(ท่านว่าอย่างนี้) เกิดมา ๑oo ปี ชีวิตของคนนั้นเป็นหมัน บัดนี้สู้บุคคลผู้ที่เกิดมามื้อ(วัน)เดียว รู้เห็นธรรมะ อาการเกิดดับอันนี้ ดีกว่ามีประโยชน์กว่าบุคคลที่เกิดมา ๑oo ปี บ่(ไม่)รู้ บ่(ไม่)เห็น บ่(ไม่)เข้าใจ สภาพภาวะเกิดดับอันนี้ เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น)
คนเกิดมามื้อ(วัน)เดียวนี่ แล้วเกิดมามื้อ(วัน)เดียว มันจะเห็นได้บ่(มั้ย) มันจิ(จะ)ทำตัวก็บ่(ไม่)เป็น กินข้าวก็บ่(ไม่)เป็น กินน้ำก็บ่(ไม่)เป็น มันยากเถอะ แต่ขี้มันก็ยังขี้ใส่กับที่ฮั่น(นั่น) นอนกับขี้กับเยี่ยวฮั่น(นั่น) มันจะเป็นจังได๋(อย่างไร) อันเฮา(เรา)มานี่แหละ มาฟังครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้ว่าให้ฟัง เฮา(เรา)มีสติปัญญา สามารถมองถึงจิตใจเฮา(เรา)ทันที เพิ่นว่า(ท่านว่า)
มองเบิ่งจิตใจว่า โอ้..จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ มันจิ(จะ)รู้เพียงแค่นี้ อันจิตใจบริสุทธิ์บ่(ไม่)ทันรู้เทือ(ที) เมื่อได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ว่าให้ฟัง มันจิ(จะ)รู้ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว มันสามารถพูดได้ว่า อีหยัง(อะไร)มันจิ(จะ)สามารถฟังได้ ฮู้(รู้)จักได้อันนี้เพิ่นว่า(ท่านว่า) อาการเกิดดับอันนี้ เมื่อเห็นสภาพอันนี้แล้ว ภาวะที่มันมืดมันบอด มันขาดออกจากกัน หรือที่ว่า ในเนื้อในหนังมันจืดออกไป
ผมเคยเปรียบเคยอุปมาไว้ให้ฟัง เหมือนเฮา(เรา)อุ้มเด็กน้อย เด็กน้อยนี่มันแดง ก้นมันหรือเนื้อหนังมันแดง เฮา(เรา)เอามือเฮา(เรา)ไปจับไปแตะเข้าไป มันจืดทันทีเลย พอดีเฮา(เรา)เอามือเฮา(เรา)ออก เออมันแดงเข้าไปเติม มันไว จึงว่าความไวอันนี้มันไวที่สุด เมื่อเฮา(เรา)เอามือไปจับเข้ามันขาว เมื่อเราเอามือออกเข้ามันแดง มันจิ(จะ)กลับไปกลับมา อันนั้นเป็นปุถุชน
มือของพระพุทธเจ้านี่ พอดีมันแดงจับแล้ว มันขาดออกไปเลย ความแดงมันหมด มีแต่ความขาวความจืดออก มันว่าง อันนี้เป็นธรรมชาติแท้ เป็นของเดิมแท้
แล้วของเดิมแท้นั้นมัน มีอยู่ในเฮา(เรา)หมดทุกคนบ่(ไม่)ยกเว้น ผู้หญิงก็มีผู้ชายก็มี พระสงฆ์องค์เจ้าก็มี คนสาวก็มี คนเฒ่าคนแก่ก็มี ไม่ว่าคนไทยคนจีนคนฝรั่งเศสคนอังกฤษคนอเมริกาคนเขมรคนญานคนลาว ให้ว่าคนนี้มีหมดทุกคน บ่(ไม่)ยกเว้น จิ(จะ)ศาสนาใดก็ตามช่าง นุ่งผ้าสีอะไรก็ตาม ลัทธิใดก็ตามช่าง บวชก็ปฏิบัติได้ บ่(ไม่)บวชก็ปฏิบัติได้เรื่องนี้ รับรองว่ารู้ทุกคน ถ้าเป็นคนจริง ขอให้เป็นคนจริงอย่างเดียว นี่เป็นอย่างนั้น
ในตำราเพิ่น(ท่าน)ว่า ผู้ที่จะเจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างถูกต้อง ให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ อย่างนาน ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างไวที่สุดนั้นนับตั้งแต่มื้อ ๑ ถึง ๗ มื้อ(วัน) หรือ ๑๕ มื้อ(วัน) เพิ่น(ท่าน)ว่า มีอานิสงค์ ๒ ประการนะเพิ่น(ท่าน)ว่า หนึ่งเป็นพระอรหันต์ ถ้าหากบ่(ไม่)ได้เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ต้องเป็นพระอนาคามี แต่ปฏิบัติให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่นะ เพิ่น(ท่าน)ว่า
คำว่าพระอนาคามีน้้น ก็บ่(ไม่)พลาดแน่นอนที่สุด เฮาบ่(เราไม่)รู้จักคุณค่าของพระอนาคามีเด้(นะ) คุณค่าของพระอนาคามีต้องรู้จักมรรคผลนิพพาน รู้จักวิธีปฏิบัติผิดถูกเด้(นะ) อันพระอนาคามีเพิ่น(ท่าน)ว่า จิมาเกิดเที่ยวเดียวเท่านั้น เพิ่น(ท่าน)ว่า
อันวิธีปฏิบัติแบบนี้ เฮา(เรา)กำลังทำอยู่นี้ จังหวะนี้ บ่(ไม่)ว่า อย่างนานบ่(ไม่)เกิน ๓ ปี อย่างกลางให้เวลา ๑ ปี อย่างไวที่สุดให้เวลา ๓ เดือน ๙o มื้อ(วัน) บ่(ไม่)มากก็น้อยความทุกข์นี้จะจืดจางไป แล้วความเข้าใจนั้นก็ต้องเข้าใจบ่(ไม่)มากก็น้อย จะไม่หลงผิดเลย ถ้าเป็นคนจริง ถ้าเป็นคนบ่(ไม่)จริงก็อีกตื่ม(เพิ่ม)ละ
อันนี้ก็จึงว่า ข้าว ถ้าเม็ดใดอ้วนใดเต็มแล้ว เอาไปเข้าโรงสีก็จะเป็นข้าวที่หนึ่ง ราคาก็แพง ถ้าเป็นข้าวที่สองข้าวบ่(ไม่)อ้วนบ่(ไม่)เต็ม เอาไปเข้าโรงสีมันก็หักครึ่งหักกลางออกมา ขายราคาก็บ่(ไม่)แพง ถ้าเป็นข้าวบ่(ไม่)มีใน เอาไปเข้าโรงสีก็เป็นฮำ(รำ)ก็เป็นแกลบออกมาซื่อๆ(เฉยๆ) เพราะมันบ่(ไม่)มีในแล้วเด้(นะ)
อันนี้ก็คือกัน ถ้าหากเฮา(เรา)มีศรัทธาแล้ว ต้องทำให้มันติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ คำว่าติดต่อกันเหมือนลูกโซ่นี่ บ่ได้หมายถึงว่าแต่เฮ็ด(ทำ)จังหวะซื่อๆ(เฉยๆ) มันนึกมันคิด ก็ให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจ ไปไสมาไส(ไปไหนมาไหน) เข้าห้องน้ำห้องส้วม การทำมาหากิน ทุกอย่างนั่นแหละ ให้เฮา(เรา)รู้สึกตัว
อันความรู้สึกอันนี้ มันจิพยายามไปไล่ความบ่(ไม่)รู้นั่นเอง แล้วมันคิดมันก็จิ(จะ)รู้ มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) ความรู้อันนี้จึงว่า ผู้อื่นทำแทนเฮาบ่ได้(เราไม่ได้) พ่อทำให้แม่ก็บ่(ไม่)ได้ แม่ทำให้ลูกก็บ่(ไม่)ได้ ลูกจิ(จะ)ทำให้พ่อให้แม่ก็บ่(ไม่)ได้ ทำรู้ได้เฉพาะตนเอง มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น)
มันสามารถที่จะไปแก้ปัญหาตัวเองได้ แก้ขัดสนจนใจนี่แก้ได้ ที่หลวงพ่อได้ประสบตัวเองมา มันบ่(ไม่)มีการขัดแย้งกับคนอื่น มันมีการขัดแย้งแต่ตัวมันเอง จึงว่า ให้เฮา(เรา)เห็นว่า คนอื่นพูดให้เฮา(เรา)นั้นดีใจเสียใจ บ่แม่นเด้(ไม่ใช่นะ) เฮาจิ(เราจะ)ไปห้ามเพิ่นบ่ได้เด้(ท่านไม่ได้นะ)
เฮา(เรา)มาเบิ่งตัวเฮา(เรา) มันมีการขัดสนอยู่จังซี้(อย่างนี้) มันมีการขัดแย้งอยู่จังซี้(อย่างนี้) คือบ่(ไม่)พอใจ มันขัดแล้ว มันแย้งตัวมัน พอใจนี่ มันขัดในตัวมันแล้ว มันขัดสนอยู่ซึ่(นี่) เหตุมันอยู่ซี่เด้(นี่นะ) ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เพิ่นว่า บ่แม่นเด้ (ท่านว่า ไม่ใช่นะ) ตามันบ่ฮู้(ไม่รู้)จักร้ายบ่ฮู้(ไม่รู้)จักดี หูก็คือกัน ดีใจเสียใจมันบ่(ไม่)ว่าหู ใจต่างหาก พอดีคนว่าปุ๊บ หูมันบ่(ไม่)ใช่จิจำได้เด้ ใจสิมันจำ ตาเห็นปุ๊ป ตามันบ่ฮู้(ไม่รู้)จักว่าดีว่าชั่วหยังเด้(อะไรนะ) ใจนี่มันว่าดีว่าชั่ว
จึงว่าปฏิบัติอันนี้ จึงว่า บ่(ไม่)ให้มีดีใจ บ่(ไม่)ให้มีเสียใจ ให้ปฏิบัติซื่อๆ(เฉยๆ) เฮ็ดซื่อๆ(ทำเฉยๆ) อันความเฮ็ดซื่อๆ(ทำเฉยๆ) มันจิ(จะ)เป็นซื่อๆ(เฉยๆ) มันจิ(จะ)รู้มาอย่างซื่อๆ(เฉยๆ) อันนี้เรียกว่า เป็นญาณของวิปัสสนา รู้มาจังซี้(อย่างนี้) ครั้นถ้ารู้แล้วหลงแล้วลืมนั้น บ่แม่น(ไม่ใช่)
รู้วิปัสสนาอย่างผมว่า จึงว่ามีอารมณ์ อารมณ์บ่(ไม่)แม่นอารมณ์ ๖ คืออย่างเพิ่น(ท่าน)ว่า ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท บ่แม่น(ไม่ใช่)อารมณ์อันนั้น อารมณ์คืออย่างที่ผมว่ามานี้ จึงว่ารู้จักเป็น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยญาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน รู้จักอันนี้
รู้จักขั้นแรกนี่ เฮาจิ(เราจะ)รู้ไปเป็นทางไปซื่อๆ(เฉยๆ) บัดนี้เฮาเทียวไปเทียวมา(เราเดินไปเดินมา) เฮา(เรา)ที่รู้จักว่า ทางเฮา(เรา)นี้มีตอมีหลักมีหนาม เฮาจิฮู้(เราจะรู้)จัก เพราะเฮา(เรา)ชำนาญ จึงว่า เมื่อรู้แล้วจึงพักผ่อนบ่(ไม่)ได้ ต้องทำให้มันชำนิชำนาญ บางคนรู้แล้วล่ะนี่ เลยเซา(หยุด)เลยเลิก เกิดไปทำผิดอีกตื่ม(เพิ่ม) อันนั้นเพิ่น(่ท่าน)ว่า มันมีมานะมันมีทิฐิ
จึงว่า เฮา(เรา)จึงลดน้อยลงไปความมีมานะความมีทิฏฐินี่ ครูบาอาจารย์เพื่อนฝูงตักเตือนได้ เพราะเฮา(เรา)มีความรักความพอใจกันจึงตักเตือนกันได้ ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)มีความรักบ่(ไม่)มีความพอใจแล้ว ก็บ่(ไม่)ตักเตือนกันแล้ว ผิดก็ด่าแล้วถูกก็ด่าแล้ว อันนี้เฮา(เรา)มาหาพรรคพวกเฮา(เรา) ผิดต้องตักเตือนกันได้ว่ากล่าวกันได้ จึงว่าให้รับฟัง รับฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ มันจะรู้ว่า โอ้..อันนั้นมันผิด อันนี้มันถูก เฮา(เรา)จะได้รู้จัก
บ่มีไผจิ(ไม่มีใครจะ)มาบอกเฮา(เรา) เรื่องความรู้อันนี้ ครูบาอาจารย์ก็บอกบ่(ไม่)ได้ ที่สุดพระพุทธเจ้าก็บอกกบ่(ไม่)ได้ บอกได้แต่จำเอาแต่หูซื่อๆ(เฉยๆ) สัญญาอันนั้นสัญญาความจำเด้(นะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)สัญญาเกิดมาจากกฎของธรรมชาติเด้(นะ) เฮา(รา)เคยได้ยินครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า
พระพุทธเจ้าแสดงว่า “อักขาตาโร ตถาคตา” เป็นภาษาบาลีอันนี้ พระตถาคตเป็นแต่เพียงผู้แนะแนววิธีเท่านั้นซื่อๆ(เฉยๆ) บอกวิธีซื่อๆ(เฉยๆ) พระพุทธเจ้า แล้วเป็นหน้าที่ของเธอปฏิบัติ เพิ่น(ท่าน)ว่า เธอต้องปฏิบัติตามที่ว่านี้ พอดีปฏิบัติมันก็ต้องรู้ เธอเองเป็นคนได้รับ ผิดถูกเธอเองเป็นคนได้รับ แล้วผมก็เลยมาว่า
พระพุทธเจ้าว่า “สัตว์ทั้งหลายคือเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเป็นพระตถาคต” คือ(เหมือน)กันเมื่อยังบ่(ไม่)รู้ประจักษ์ บ่(ไม่)รู้จักที่ จับต้นชนปลายบ่(มั้ย) จึงว่าเฮา(เรา)เป็นคนให้รู้จักหน้าที่ของคน บ่(ไม่)ใช่สัตว์เด้(นะ) คน เฮา(เรา)ต้องฮู้(รู้)จักหน้าที่ของคน ก็เลือกคัดจัดหาออกเป็น
เมื่อเป็นคนแล้ว เฮา(เรา)เป็นมนุษย์ได้ทันทีโลด(เลย) เมื่อเป็นมนุษย์แล้วเฮา(เรา)ก็เป็นเทวดาได้ เป็นพระอริยะบุคคลได้ทันที บ่แม่น(ไม่ใช่)จิตตายแล้วจึงไปเป็น บ่แม่น(ไม่ใช่) ตามเท่าที่ผมได้ศึกษาเล่าเรียนมา ผมกล้าพูดกล้าทำกล้าสอนอย่างนี้ แต่คนอื่นจิ(จะ)พูดจิ(จะ)สอนอย่างไรก็บ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)
จึงว่า บทสุดท้ายนี้ พระพุทธเจ้าเพิ่น(ท่าน)ว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็น จะมี อย่างเราตถาคตนี้” เพราะพระพุทธเจ้าไปถึงที่สุดทุกข์
ที่สุดทุกข์คือ อาการเกิดดับ นี่เอง รู้จักวิธีที่จะตาย รู้จักเมื่อจะตาย ตายวิธีนี้ บ่แม่น(ไม่ใช่)ตายเด้(นะ) ตายก็แต่รูปอันนี้ จิตใจมันบ่ตายนำเฮาเด้(ไม่ตายตามเรานะ) มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) จึงว่า บ่แม่นของไผ(ไม่ใช่ของใคร)
รู้แล้วจะสงวนลิขสิทธิ์บ่(ไม่)ได้อันนี้ เมื่อรู้แล้วจิ(จะ)ทำลายก็บ่(ไม่)ได้อันนี้ เพราะมันทำลายบ่(ไม่)ได้ มันเป็นของเฉพาะตัว รู้ได้เฉพาะตน คนอื่นรู้นำเฮาบ่(ตามเราไม่)ได้ รู้แล้วจิบ่(จะไม่)ให้ผู้อื่นรู้ก็บ่(ไม่)ได้ ถ้าหากเฮา(เรา)ทำถูกวิธี เฮา(เรา)จะรู้เอง รู้แล้วที่ทำลายอันนี้ให้มันหมดไปก็บ่(ไม่)ได้ เพราะมันเป็นอยู่จังซั่น(อย่างนั้น)
จึงว่า ธรรมะแท้นั้นคือสิ่งเดียวกัน ธรรมะที่ทำให้พระพุทธเจ้านั้น มันมีอยู่แล้วในคนทุกคน บ่(ไม่)ยกเว้นไผ(ใคร)ทั้งหมด บ่(ไม่)ว่าคนไทยบ่(ไม่)ว่าคนจีนบ่(ไม่)ว่าคนฝรั่งเศสคนอเมริกา ใครก็ตามช่างไหน ให้ชื่อว่าคน นับถือศาสนาใดก็ได้ ถ้าปฏิบัติถูกแล้ว รับรองว่าเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าว่าแท้ๆ
ดังนั้นตอนทำวัตรเช้าวันนี้ ก็เลยมาแนะแนววิธีปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสิ่งที่มีอุปสรรค ตอนสุดท้ายนี้ให้ระวังให้ดี มันจะฟุ้งไปติดความสุข หรือปีตินั่นบ่(ไม่)ว่า มันจิ(จะ)ไปความสุข คือเกิดมาในชีวิตนี้ บ่เคยฮู้บ่เคยเห็น(ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น) บ่เคยเป็นบ่เคยมี(ไม่เคยเป็นไม่เคยมี) มันจิ(จะ)เบาตนเบาตัว มันจิ(จะ)พอใจใน ก็เลยลืมตัว
บัดนี้ ลืมตัวแล้วก็เลยไปติดวิปลาส วิปลาสมันมาเป็นตอนนี้ ที่ว่าเฮา(เรา)หลงตนลืมตัว ก็เลยบ่ฮู้(ไม่รู้)จักทิศบ่ฮู้(ไม่รู้)จักแดน บ่ฮู้(ไม่รู้)จักทำผิดบ่ฮู้(ไม่รู้)จักทำถูก จิ(จะ)ไปแสดงธรรมต่อผีต่อเทวดานั้น ก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ลืมหมด อันผีอันเทวดาอยู่ในเฮา(เรา)นี่ ผีคือทำชั่วพูดชั่วคิดชั่วนั่นเอง เทวดาคือมีความละอายแก่ใจนั่นเอง
ถ้าเฮา(เรา)รู้อยู่ในเกณฑ์อันนี้ รู้ตัวเฮา(เรา)อยู่เสมออันนี้ วิปลาสเข้ามาบ่(ไม่)ได้ เพราะเฮา(เรา)มีความรู้สึกตัวอันนี้ ให้เฮาเบิ่ง(เราดู)สภาพอาการ เกิดดับ นั้นอยู่นี่ เมื่อเดินจงกรม เว้นจังหวะ มีสติ อันนี้คือ ขาดช่วงออกจากกัน อยู่อันนี้ ให้เฮา(เรา)เข้าอยู่ตรงนี้ อันนี้ขาดออกจากกัน อันนี้แล้ว มันจิ(จะ)เข้ามาตอนนี้ เฮา(เรา)จึงเห็น
คล้ายๆ คือเฮาเทียวไปเทียวมา(เราเดินไปเดินมา)นี่แหละ เทียวไปเทียวมา(เดินไปเดินมา) มีหลักมีตอ มีเสี่ยนมีหนามอยู่ เฮาจิ(เราจะ)เห็น เฮาจิฮู้(เราจะรู้) เฮาจิบ่(เราจะไม่)ไปสะดุดไปเตะ บ่(ไม่)ไปเหยียบเอาหลักเอาตออันนั้น เพราะเฮาเทียวไปเทียวมาเด้(เราเดินไปเดินมานะ) ถ้าเฮา(เรา)ไปเที่ยวเดียวนี่ พอกลับคืนมาถึงหญ้าก็ฮก(รก)ทางนั้นแล้ว พอกลับคืนมาแล้วก็เหยียบหลักเหยียบตอนั้นแล้ว ทางมันจิฮก(จะรก)ขึ้นมาตื่มเด้(เพิ่มนะ)
จึงว่าการปฏิบัตินี้ ถ้ารู้จริงแล้วเลิกละบ่(ไม่)ได้ ถอนบ่(ไม่)ได้ มีแต่มีความพอใจในการในงานอันนั้น เรียกว่า รักการรักงานรักหน้าที่ ผู้ที่มาปฏิบัตินี้ต้องรัก รักหน้าที่
คนผู้ใดบ่(ไม่)รักหน้าที่อันนี้ก็ชื่อว่า จางไป หรือจืดไป เพิ่นเอิ้นว่า “กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม ปะริหานะธัมโม อะปะริหานะธัมโม เจตะนาพภัพโพ อะนุรักขะนาภัพโพ” ว่าไว้อภิธรรม ๑o บ่แม่น(ไม่ใช่)ว่าไปสวดให้คนตายเด้(นะ) เพิ่น(ท่าน)ว่า มันณานเสื่อม หรือว่าณานชิบหาย นี่เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) ถ้าหากบ่(ไม่)ถึงแล้วมันชิบหายมันเสื่อมมันทิ้งหมด เป็นจังซั่น(อย่างนั้น)
ที่ผมได้ประสบพบเห็นมา ผมก็ว่านั้น ผมบ่(ไม่)คิดว่าหมู่ที่ว่าจังซั่งจังซี้(อย่างนั้นอย่างนี้) ว่าก็ได้ พูดเหนือนอกไปแล้ว ว่าก็ได้บ่เป็นหยัง(ไม่เป็นไร) ผมบ่(ไม่)ได้คิดว่าคนนั้นจิว่าจังซั่งจังซี้(จะว่าอย่างนั้นอย่างนี้) เพิ่น(ท่าน)ว่าไว้ พูดอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่ไม่มีในตน ขาดจากความเป็นภิกษุ ต้องอาบัติปาราชิก ว่าก็ช่างแล้ว
เฮาบ่(เราไม่)ได้ว่าอวดนี่ ว่ากันจริงสู่กันฟัง เพราะมานี่ต้องการความจริงทุกคนแม่นบ่(ใช่มั้ย) ต้องการความจริงแม่นบ่(ใช่มั้ย) ถ้าต้องการความจริงก็ต้องว่าความจริงให้ฟัง ถ้าบ่(ไม่)ต้องการความจริงก็ต้องว่าของบ่(ไม่)จริงพรุ้น(นั่น)แล้ว เพิ่น(ท่าน)ว่าของจริง คนที่บ่ฮู้(ไม่รู้)นั้นยังมีความติเตียนอยู่ เพิ่น(ท่าน)ว่า
พูดของจริงก็ต้องอนุปัจจุบัน ผู้ที่จะฟังบ่(ไม่)เป็นนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่านั้นเพิ่น(ท่าน)ว่า อยู่ในหนังสือนวโกวาท อันนี้เฮา(เรา)ต้องการของจริงก็ต้องว่าของจริงให้ฟัง เพิ่น(ท่าน)ว่า ถ้าหากว่าผมบ่(ไม่)อยู่วันนี้ ผู้อื่นว่าก็ได้แต่มันจิบ่คือ(จะไม่เหมือน)กันก็ได้ เพราะความเห็นบ่คือกัน(ไม่เหมือนกัน)
แต่ว่าการเลือกครูเลือกอาจารย์นั้นเลือกเอาเอง ให้เฮา(เรา)พอใจเอาเอง เมืองไทยนี้มีหลายคนสอน ประเทศอินเดียก็มีหลายคนสอน มีหลายลัทธิมีหลายนิกาย เพิ่น(ท่าน)ว่า มี ๑o๘ ลัทธิ ๑o๘ ปีกาย ในประเทศอินเดีย ๑o๗ ลัทธิ ๑o๗ นิกายก็จิบ่(จะไม่)เห็นอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็จิบ่(จะไม่)เห็นต่อการประพฤติปฏิบัติของ ๑o๗ ลัทธิ ๑o๗ นิกายนั้น เป็นอย่างนั้น
เมืองไทยก็คือ(เหมือน)กัน ถ้าหากเฮา(เรา)เห็นดีกับผู้ใด ก็ไปศึกษากับผู้นั้น ก็รู้แบบผู้นั้น เพราะว่าครูบาอาจารย์รู้วิธีนั้นก็ต้องสอนวิธีนั้น คนที่ว่าสอนวิธีอื่นก็บ่(ไม่)ค่อยสอนวิธีอื่น วิธีพุทโธ วิธีสัมมาอะระหัง นับ ๑ ๒ ๓ พองยุบ อานาปานสติ ผมก็ได้ทำมา ดี อันนั้นก็ดีอยู่ แต่มันสงบซื่อๆ(เฉยๆ) มันบ่(ไม่)เกิดปัญญา
พอดีมาทำอันนี้ มันเกิดปัญญา เกิดการเห็นแจ้ง เกิดการรู้จริง เมื่อเกิดปัญญา เกิดการเห็นแจ้ง เกิดการรู้จริง ก็เลยจำเอาวิธีที่อันนี้แหละ มาเฮ็ดมาทำ วิธีกราบ วิธีไหว้ วิธีนบ(นอบน้อม) ผมพยายามทำ พยายามให้มันฮู้(รู้)จัก นบต้องเฮ็ดจังซี่(นอบน้อมต้องทำอย่างนี้) วิธีนบต้องเฮ็ดจังซี่(ทำอย่างนี้) กราบ ก็ต้องกราบจังซั่น(อย่างนั้น) เฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น)
แต่ก่อนนั้นเบญจางคประดิษฐ์นี่ แต่ก่อนเอาศอกเอาเข้า เอาหัวเอาศีรษะเรานี่จรดลงพื้นพรุ้น(นู้น) ผมบ่(ไม่)เอา ผมเลิก แต่ผมเฮ็ด(ทำ)เป็นเพราะครูบาอาจารย์สอน บัดนี้เอาคู้เข้าแล้ว แล้วเอาหัวเข่าจองๆ บ่(ไม่)ให้ก้นออกจากพื้นเฮา(เรา) ให้มันติดอยู่ฮั่น(นั่น) ครั้นไปไกลก้นมันเงยขึ้นมา บัดนี้เอาค้อม(ก้มลง)ไปต่ำๆ เอาหัวเข่าเอาเข้าใน เอาศอกค้อม(งอลง)เข้ามา ก้นมันก็บ่(ไม่)เงยขึ้นมา เฮาเฮ็ดเฮาก็เบิ่งตัวเฮา(เราทำเราก็ดูตัวเรา) นี่เพิ่น(ท่าน)ว่าฝึกหัดดัดแปลงตัวเอง
เมื่อฝึกหัดดัดแปลงตัวเองพอใช้ได้ ก็ไปสอนผู้อื่นได้ ถ้าหากมีแต่รู้ บ่(ไม่)ฝึกหัดดัดแปลงตัวเองนั้น ยังบ่(ไม่)ทันถูกต้อง การที่จะฝึกผู้อื่นนั้นต้องฝึกตัวเราก่อน เพิ่น(ท่าน)ว่า การที่จะไปสอนผู้อื่นนั้นต้องสอนตัวเฮา(เรา)ก่อน เพิ่น(ท่าน)ว่า ความรู้ความเห็นความเข้าใจของเฮา(เรา)เป็นจังได๋(อย่างไร) ก็เอาความรู้ความเห็นความเข้าใจของเฮา(เรา)นั้นไปสอนผู้อื่น ให้ผู้อื่นรู้ตามเห็นตาม
ตัวเองนั้น ตัวเองรับประกันคำพูดตัวเอง ตัวเองรับประกันการกระทำตัวเอง มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) จึงว่า เสียสละทรัพย์เพราะรักษาอวัยวะ เพิ่น(ท่าน)ว่า เสียสละอวัยวะเพราะรักษาชีวิต ยอมเสียกระทั่งชีวิตเพราะรักษาความจริง คือรักษาสัจธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไว้ เพิ่น(ท่าน)ว่า
เท่าที่ผมนำมาเล่าสู่ฟังมื้อ(วัน)นี้ ก็เห็นว่าสมควรแล้ว ตอนเช้านี้ก็ว่าให้ฟังแล้ว วิปลาสก็ว่าให้ฟัง ปิติก็ว่าให้ฟัง อย่าไปติดทั้งหมด ให้มาอยู่กับความรู้สึกนี้ ถ้าหากมีความรู้สึกนี้บ่(ไม่)ขาด
ถ้าใครไปติดความรู้เบื้องต้นเป็นวิปัสสนู ถ้าใครไปติดความดีความชอบเป็นปีติ ถ้าใครไปติดความสุขเป็นวิปลาส
ที่มานำมาเล่าให้ฟังมื้อนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายที่สุดนี้ อาตมาพร้อมด้วยพระสงฆ์และญาติโยม มานั่งฟังธรรมะอยู่ ณ สถานที่นี้ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และคุณของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณของพระบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า มาเตือนสะกิดใจของพวกเรา
ให้พวกเราได้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็นจะมี อย่างเราตถาคตนี้” คือไปถึงที่นั้น คือไปถึงที่สุดทุกข์
คำว่าเราทั้งหลายผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น คือพระพุทธเจ้าไปถึงที่สุดทุกข์ ถึงอาการ เกิดดับ นี่เอง แต่เราว่ากันอยู่นี้ก็ว่า ให้ไปถึงที่สุดทุกข์ ถ้าหากว่าไม่ถึงที่สุดทุกข์แล้ว เฮาจิ(เราจะ)เป็นทุกข์เด้(นะ) เป็นวัฏสงสารเด้(นะ) โลกียธรรม โลกุตตรธรรม อยู่นี่ โลกิยธรรมหมายถึง ทำแล้วมันบ่(ไม่)ไปถึง เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่าโลกียธรรม ถ้าหากว่าเราทำถึงที่สุดทุกข์แล้ว เป็นโลกุตตรธรรม
ขอให้ทุกคนทุกคนจงประสบพบเห็นเอา คือจิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว คือจิตใจของพระพุทธเจ้า ขอให้ทุกคนๆ จงประสบพบเห็นเอาในชีวิตนี้ หรือเวลาอันใกล้นี้ จงทุกๆ คนเทอญ.