PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
  • ท.๑๗๖
ท.๑๗๖ รูปภาพ 1
  • Title
    ท.๑๗๖
  • เสียง
  • 14530 ท.๑๗๖ /lp-cittasubho/2025-10-21-10-52-39.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 21 ตุลาคม 2568
ชุด
เสียงภาษาไทยกลาง
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ท.๑๗๖

     

    ภิกษุสามเณร และเจริญพรญาติโยมทุกๆ ท่าน ตั้งใจฟัง เมื่อทำวัตรเช้าจบแล้วก็มาแนะแนวเวิธีปฏิบัติ ได้ทบทวนความรู้ที่เรามาปฏิบัติธรรม ให้พวกเราได้เข้าใจ 

     

    การปฏิบัติธรรมที่ให้เรารู้แจ้งรู้จริงตามความเป็นจริงนั้น ไม่ได้รู้มากมายอย่างที่เราคิดว่า เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระพุทธเจ้าต้องรู้มากๆ รู้เม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทะเลนั้น หรือรู้จิตใจของคน หรือรู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ไม่ได้รู้อย่างนั้นหรอก รู้เฉพาะแต่ว่า แก้ปัญหาตัวเองไม่ให้มันทุกข์เกิดขึ้น 

     

    นั้นว่า รู้แจ้ง รู้จริงคือรู้อันนี้ อันรู้เม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทะเลนั้นครบทุกเม็ด ถ้าหากแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ ความรู้อันนั้นก็ดี แต่มันใช้ประโยชน์กับชีวิตของเราไม่ได้ผล แม้จะรู้จิตใจของคนทุกคน แล้วแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ ก็ยังไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรกับชิวิตของตัวเอง เป็นอย่างนั้น 

     

    แม้จะรู้อะไรทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดก็ตาม ถ้าแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ ก็ชื่อว่าความรู้อันนั้นยังไม่คุ้มค่ากับชีวิตของเรา ชีวิตของเรานี้คือไม่ต้องการความทุกข์ ทุกคนเกิดมาแล้วไม่ต้องการความทุกข์ทั้งนั้น แต่ว่าความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราลืมตัวเราเท่านั้นเอง 

     

    จึงว่า พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรา มีสติ รู้เนื้อรู้ตัว รู้การเคลื่อนการไหว ท่านบอกสั้นๆ รวบรัดเอาไว้ว่า “ให้มีสติ รู้ในอิริยาบถทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน และให้มีสติรู้กับ คู้ เหยียด เคลื่อนไหว โดยวิธีใดๆ ก็ให้รู้” รู้ในตัวเราเท่านี้เอง 

     

    ทำไมจึงสอนให้รู้อย่างนั้น เพราะว่าในอิริยาบถทุกประเภท แม้จะเป็นคนสวยรวยทรัพย์ก็มีอริยบถเหมือนกัน คนยากจนก็มีอิริยาบถเหมือนกัน แม้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณก็มีอิริยาบถนี่เหมือนกัน เป็นผู้มีความรู้มากก็มีอิริยาบถอันนี้เหมือนกัน เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ก็มีอิริยาบถอันนี้เหมือนกัน จึงสอนให้รู้ของจริง 

     

    มีเหมือนกัน มีลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน แม้ไม่เฉพาะแต่คน สัตว์เดรัจฉานก็มีเหมือนกัน เป็นอย่างนั้น จึงว่าสอนให้รู้อันนี้ อันนี้มันเป็นของจริง จริงทุกคน ว่าในเคลื่อนไหวมันเคลื่อนไหวไปมา มันเป็นทุกข์ เพิ่น(ท่าน)สอนให้เห็นทุกข์อันนี้ เมื่อเห็นทุกข์อันนี้แล้วก็ เห็นทุกข์ภัยภายในทางจิตใจ มันนึกมันคิด 

     

    ความคิดมันเป็นทุกข์ เพราะเฮา(เรา)ไม่อยากให้ทุกข์เกิดขึ้น เมื่อไม่อยากให้ทุกข์เกิดขึ้นเราจะทำอย่างไร มันพัฒนาไม่ได้ร่างกายนี้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แม้สัตว์ก็ตายเป็น คนก็ตายเป็น ต้นไม้ก็ตายเป็น แม้ทุกสิ่งทุกอย่างตายเป็น แต่เรื่องจิตใจนั้นมันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น จึงว่า พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารู้ถึงจิตใจ 

     

    การรู้เรื่องจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่สำคัญทุกคนรู้ได้เรื่องนี้ แม้จะเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณก็รู้ได้เหมือนกัน เป็นคนรวยก็รู้ได้เหมือนกัน เป็นคนจนก็รู้ได้เหมือนกัน คนที่เรียนหนังสือก็รู้ได้ คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือก็รู้ได้ เรื่องจิตใจ เพราะมันมีในคนทุกคน จึงว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญเรื่องจิตใจ ให้รู้สองเรื่องนี้แหละ เป็นเพียงลัดๆ บัดนี้ได้รู้สองเรื่องแล้วขึ้นไป 

     

    แล้วรู้มากเข้าๆๆ มันเป็นการทบทวนอารมณ์ เขาเรียกว่า รู้รูปรู้นาม รู้รูปรู้นามแล้วก็รู้รูปธรรมรู้นามธรรม รูปอันนี้มันทำแล้วใจมันทำจึงเรียกว่า รูปธรรมนามธรรม รูปโรคนามโรค รูปอันนี้เกิดขึ้นมาก็เป็นโรค ใจก็ไม่สบาย บัดนี้ รูปโรคนามโรคอีกอย่างหนึ่ง รูปก็สบายแต่จิตใจมันคิด พอใจไม่พอใจ อันนี้จิตวิญญาณเป็นโรค อันนี้เป็นการทบทวนอารมณ์ รู้อย่างนี้ 

     

    เมื่อจิตใจเป็นโรคแล้วก็มีทุกข์ เรียกว่าทุกข์ขัง ทุกข์ขังมันติดอยู่กับรูปอันนี้ อนิจจังมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไป อนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ มันเป็นไปตามธรรมชาติมันบังคับไม่ได้ อันนี้จึงว่า ส่วนจิตใจนั้นพัฒนาได้ รู้จักทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา อันนี้แล้วก็ รู้จักสมมุติ 

     

    ส่วนที่สมมุติผี สมมุติเทวดา เรียกว่าสมมุติทุกสิ่งทุกอย่าง ต้นไม้ ภูเขา ห้วยหนองคลองบึง แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสมมุติขึ้น รู้ให้ครบให้จบให้ทั่ว รู้ว่าสิ่งที่เป็นสมมุติ อย่างที่เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ หรือว่าเป็นอันใดก็ตามแหละเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณก็ตาม อันนี้เป็นสมมติ แต่เป็นสมมุติบัญญัติ 

     

    แล้วเป็นปรมัตถ์อยู่ที่ไหน ปรมัตถ์ก็มีอยู่ในนั้น เรียกว่าเราเลื่อนชั้นกันขึ้นมา เลื่อนชั้นทางจิตใจ อันนี้เราเลื่อนชั้นกัน เลื่อนด้วยความรู้ เราไปเรียนแล้วเราสอบได้ก็เลื่อนชั้นกัน ให้เป็นเจ้าคุณหรือเป็นพระครูอะไร บัดนี้เป็นทางข้าราชการก็ต้องเป็นตำรวจเป็นทหารเป็นสิบตรีสิบโทเป็นนายร้อยนายพัน เลื่อนชั้นทางนี้ อันนี้มันเป็นทางสมมุติ 

     

    แต่เรื่องทางปรมัตถ์นั้น เลื่อนชั้นทางจิตใจ เลื่อนชั้นทางความรู้ แต่ไม่ใช่รู้ที่อื่นนะ ไม่ใช่รู้เม็ดหินเม็ดทราย เลื่อนชั้นในทางความรู้ทุกข์นี่เรียกว่าสมมุติ จึงว่าสมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ ปรมัตถ์แปลว่าของจริง สมมุติคือว่า ตำรวจทหารผู้ใหญ่บ้านกำนันครูสิบตรีสิบโทสิบเอก นั่นเป็นสมมติเป็นบัญญัติขึ้น ก็เรียกสมมุติบัญญัติ เป็นปรมัตถ์ในตัวมัน เพราะจริงโดยสมมุติว่าสมมุติบัญญัติ 

     

    ปรมัตถ์บัญญัติ ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเรื่องรูปเรื่องนาม บัดนี้เรามาทำความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ เกิดปัญญาเลื่อนชั้นขึ้นมา มันรู้เรื่องรูปนามนี้ขึ้นมา เรื่องสมมุติขึ้นมา นี่เลื่อนชั้นทางปรมัตถ์ เรียกว่าปรมัตถ์บัญญัติ 

     

    อัตถะบัญญัติ เรียกว่าลึกลับซับซ้อน ยากบุคคลที่จะรู้เรื่องอัตถะบัญญัติ อริยะบัญญัติเพิ่น(ท่าน)ว่าจัดเป็นอริยะบัญญัติอันนี้เพิ่น(ท่าน)ว่าอริยะบุคคล อริ แปลว่าข้าศึก ยะ แปลว่าพ้นไป บัดนี้พ้นไปจากความทุกข์ จึงเรียกว่าเป็นการเลื่อนชั้นทางปัญญา ไม่ใช่ปัญญามีปัญญาการศึกษาเล่าเรียนจากตำรับตำรา รู้จักอย่างนี้จึงเรียกว่า สมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ อัตถะบัญญัติ 

     

    บัดนี้เมื่อรู้จักสมมุติดีแล้ว ก็รู้จักศาสนา ตามอารมณ์ที่หลวงพ่อรู้มา ศาสนาแปลว่าคำสั่งสอนของท่านผู้รู้ สอนคน สอนเข้าให้ตาเห็น ดู ตาเห็น หูฟัง แล้วก็สอนการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง สอนให้คนละจากการทำชั่ว และทำดี นี่ว่าตั้งอยู่ในความดี เลิกละจากการทำชั่ว อันนี้เรียกว่าศาสนา ยังไม่เป็นพุทธศาสนา 

     

    พุทธศาสนา บัดนี้ตัวเลื่อนชั้นคือตัวเรารู้เอง พุทธะจึงแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ศาสนาก็แปลว่าที่พึ่ง บางคนสอนให้พึ่งผี สอนให้พึ่งเทวดา ฤกษ์งามยามดีเสียเคราะห์เสียเข็น อันนั้นเรียกว่าศาสนาสอนให้ละชั่วทำดี 

     

    พุทธศาสนาไม่ต้องพึ่งใคร พุทธะจึงว่าแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ศาสนาแปลว่าที่พึ่ง เราพึ่งอันใด เราพึ่งได้จริงไหม ถ้าพึ่งได้จริงก็เรียกว่าเป็นพระพุทธศาสนา ถ้าพึ่งได้พอชั่วครู่ชั่วคราวเรียกว่าศาสนา ศาสนาจึงแปลว่าที่พึ่ง 

     

    พุทธศาสนาแปลว่าที่พึ่งได้จริง พึ่งแล้วก็ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เรียกว่ามั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน เรียกว่าพุทธศาสนา มันสลับซับซ้อน มันสลับซับซ้อนจึงเรียกว่าลึกซึ้ง ความรู้อันนี้จึงเรียกว่าเลื่อนชั้นไป ตามขั้นตอนขึ้นไป 

     

    เมื่อรู้พุทธศาสนาดีแล้วก็ รู้บาป รู้บุญ บาปก็คือมืด คือไม่รู้นั่นเอง บุญก็คือสว่างทางจิตใจ คือรู้ รู้แล้วก็ดีใจ ไม่ทุกข์ อันนี้เป็นเริ่มแรกเบื้องต้นการพัฒนาทางจิตใจ อันนี้เรียกว่าพัฒนารูปนาม 

     

    บัดนี้เมื่อรู้อันนี้แล้ว มันเกิดความรู้ขึ้นมา มันเป็นอุปสรรค อันนี้พูดให้ฟังตามความจริง เรียกว่า วิปัสสะนูปกิเลส ๑๖ ประการ หรือแล้วแต่จะพูดว่าอย่างไร ตามตำราพูดไว้ แต่มันเป็นปีติ มันเลยดีใจ ลักษณะดีใจไม่เป็นลักษณะใจดี ดีใจว่าตัวรู้อันนั้นรู้อันนี้ แต่มันมีทิฐิในตัว เป็นมานะในตัว 

     

    คือมันอยากพูดอยากสอน อยากพูดอยากคุย นี่อันนี้เป็นอารมณ์ของกิเลส เป็นอารมณ์ของวิปัสสนู เราเลิก อย่าไปติด พอดีมันคิด เราต้องมาทำความรู้สึกตัว เรียกว่ามีสติ ให้เรามารู้สึกตัว มันก็วางความรู้อันนั้น เมื่อมันวางความรู้อันนั้น เราก็รู้สึกตัว ทำความรู้สึกตัวให้มากขึ้นๆ 

     

    หลวงพ่อเคยสมมุติให้ฟัง เหมือนแมวกับหนู ทีแรกนั้นน่ะหนูมันตัวอ้วนตัวโต แมวมันตัวเล็กๆ เพราะมันรู้น้อย รู้เรื่องรูปนามเป็นความรู้ยังน้อยแต่แมวตัวน้อย บัดนี้ความรู้มันมากขึ้น มันแรงมันดึงไป ดึงความรู้ไป ดึงตัวรู้สึกตัวสติตัวความรู้นี่ดึงเอาเข้าไปในความรู้อันนั้น มันเลยเข้าไปในความรู้อันนั้น 

     

    เราจึงมาทำความรู้สึกตัวอันนี้ ให้มันหนีจากความรู้อันนั้น ให้มาอยู่กับความรู้สึกตัวอันนี้ มันเป็นการแก้ปัญหาไปในตัวของมัน มันเป็นการแก้ตัวมันไปเอง เมื่อเรารู้สึกตัวนี้ ความรู้อันนั้นมันก็เลยหยุด มารู้สึกตัวอันนี้ ความรู้อันหนึ่งเข้าไปในความรู้ มันก็เลยหยุด 

     

    อันนี้สมมุติว่า เอาอาหารให้แมวกิน แมวมันอ้วนขึ้นมา พอดีมีความรู้สึกอันนี้มากขึ้นๆ พอดีมันคิดปุ๊บ เราก็เห็นปั๊บ หยุดได้ทันที อันนี้แสดงว่าแมวมีกำลัง หนูมันน้อยลงหรือมันอ้วนตามมันอ้วนทีก็ตามมัน แต่แมวมันมีกำลังมาก พอดีมันคิดปุ๊บ แมวมันจับปั๊บทันที นี่มันเป็นอย่างนั้น 

     

    พอดี มันคิดปุ๊บมันจับปั๊บ เราก็มาดูที่ตรงนี้ คอยดูแต่ว่าไม่ให้เพ่ง แต่ถ้าเพ่งมันจะวิน(เวียน)หัวหรือมึนศีรษะ หรือมันจะอาเจียน มันเป็นอย่างไรก็ตาม มันค่อยๆ ถอยลงมา เราค่อยๆ ดู นี่เป็นการเตือนและทบทวน แสดงว่าความจริงมันเป็นอย่างนั้น พอดีเราดูเข้า รู้สึกตัวเข้า มันคิด เรารู้สึกตัวเข้า เราจะเกิดญาณปัญญา 

     

    บัดนี้เป็นปัญญาญาณ เป็นญาณปัญญาบัดนี้ อันนี้ต้องแสดงว่าน้ำหนักของตัวเรา ๑oo กิโล ที่เคยถามมาหลายคนว่า อย่างน้อยที่สุดต้อง ๓o หรือ ๔o กิโล หยุดไปแล้ว แต่สำหรับตัวหลวงพ่อเคยพูดว่า หลวงพ่อต้องสลัดทิ้งทันทีเลย ๘o กิโลกรัม ยังเหลืออยู่ ๒o กิโล แต่มันมีอารมณ์นะ 

     

    ตอนนี้ พอดีจิตใจมันจะสลัดออกจากกัน เรียกว่าจิตใจสูง จิตใจสูงกว่าเดิม เรียกว่าจิตใจหลุดพ้นไปก็ว่าได้ เรียกว่าจิตใจสูงก็ว่าได้ หรือว่าญาณปัญญาเกิดขึ้นไปก็ว่าได้ มันเป็นเรื่องสมมุติพูดขึ้นมา อันนี้เรียกว่าเป็นปรมัตถ์ เห็นวัตถุ 

     

    วัตถุนี่หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกหรือมีอยู่ในตัวเรา แล้วปรมัตถ์กำลังเห็นอยู่ เป็นอยู่ มีอยู่ กำลังสัมผัสอยู่ นั้นเรียกว่าเป็นปรมัตถ์ อาการหมายถึง สภาพความเปลี่ยนแปลง เรียกว่าได้ต้นทางที่ตรงนี้ ได้กระแสพระนิพพานที่ตรงนี้ 

     

    ทางไม่ใช่ทางที่เราจะเดินไปอย่างนี้นะ เป็นทาง ทางจิตใจ จิตใจมันรู้ จิตใจมันเห็น จิตใจมันเข้าใจ จิตใจมันสัมผัสได้ เมื่อเห็นอาการแล้วก็ รู้ เห็น เข้าใจ สัมผัสแนบแน่น โทสะ โมหะ โลภะ มันจะแสดงอาการอย่างไร ก็รู้เท่ารู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ รู้จักเอาชนะโทสะ เอาชนะโมหะ เอาชนะโลภะได้ 

     

    เมื่อเอาชนะได้ก็หมายถึงว่า คนหนึ่งมันน้อยคนหนึ่งมันผู้ใหญ่ หรือมันสูงคนหนึ่งมันต่ำ คนที่ต่ำจะตีจะชกคนที่สูงก็ชกยาก คนที่สูงจะตีจะชกคนที่ต่ำก็สบาย ทีแรกเราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยสัมผัสสิ่งเหล่านี้ บัดนี้เรารู้ เราเห็น เราเข้าใจ เราสัมผัสแนบแน่น กับสิ่งเหล่านี้ 

     

    หลวงพ่อก็เลยเปรียบเอาไว้ว่า มีเก้าอี้ใบเดียว มีสองคนที่จะเข้าไปแย่งนั่งเก้าอี้ใบนี้ เรียกว่าในร่างกายเรานี้เอง ถ้าคนใดมีกำลังอ้วนพีเข้าไปเร็วก็ได้นั่งเก้าอี้ใบนั้น คนใดไม่มีกำลังไปทีหลังก็ไม่ได้นั่ง 

     

    ทีแรกเราไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ มีแต่ความไม่รู้ มีแต่โทสะโมหะโลภะไปเป็นเจ้าของ บัดนี้เราฝึกความรู้สึกตัวนี่แหละ ทำให้เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงแล้ว 

     

    บัดนี้ ตัวรู้สึกเข้าไปก่อน เรียกว่าตัวสติก็ว่าได้ หรือว่าตัวปัญญาก็ว่าได้ จะว่าอย่างไรก็ว่าได้ ตัวนี้เข้าไปก่อน ตัวนั้นก็เลยเข้าไปไม่ได้ เมื่อตัวนั้นเข้าไปไม่ได้ เวทนาก็ไม่ทุกข์ สัญญาก็ไม่ทุกข์ สังขารก็ไม่ทุกข์ วิญญาณก็ไม่ทุกข์ เมื่อไม่ทุกข์แล้วเป็นอย่างไร ก็เป็นปกติ ก็สบาย อันนี้เรียกว่ามีศีล 

     

    ศีล จึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด ตำราท่านว่าอย่างนั้น แต่บัดนี้เราก็มาทบทวนดูว่า เราทำมันนี่ถูกต้องแล้วหรือยัง เราทำนี่ตามแบบพระพุทธเจ้าทำแล้วหรือยัง 

     

    เราจะได้ทบทวนว่า พระพุทธเจ้าสอนบอกว่า สอนคนที่กำลังยังไม่รู้ ให้รู้ สอนคนที่กำลังทำผิด ให้มาทำให้ถูกต้อง สอนคนที่มีทุกข์ ทำให้หมดทุกข์ไป ตะกี้เราไม่รู้ มาทำอย่างนี้เรารู้ แต่ก่อนนั้นเราทำถูกและผิดเราไม่รู้ แสดงว่าเราทำยังไม่ตรงมันยังไม่รู้ บัดนี้เรามาทำอย่างนี้มันรู้ ก็แสดงว่าเราทำถูกต้อง

     

    บัดนี้แต่ก่อนเรามันมีทุกข์ เพราะโทสะโมหะโลภะมารบกวน บัดนี้เรามารู้ เรามาเข้าใจ มาสัมผัสแนบแน่นกับสิ่งเหล่านี้ โทสะโมหะโลภะไม่เข้ามารบกวนเรา ก็แสดงว่าเราไม่มีทุกข์ ไม่ต้องเรียนอะไรมาก ไม่ต้องเรียนไปรู้วิธีนับเม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรท้องทะเล ไม่ต้องเรียนไปนับเม็ดเห็นเม็ดทราย 

     

    ไม่ต้องไปเรียนอะไรมาก ความรู้มากๆ อย่างที่เรารู้ว่า เป็นพระอริยเจ้าหรือเป็นพระอรหันต์เป็นอะไรๆ ก็ตาม ต้องเรียนรู้มากๆ ให้แตกฉานทางปัญญา อันนั้นมันก็ดี แต่ว่ามันแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ อันนี้มันแก้ปัญหาตัวเองได้ อันนี้เป็นพักหนึ่ง เรียกว่าพักต้น รู้เรื่องรูปนาม 

     

    พักที่สอง นี่ก็แปลว่าแสดงว่า เราไม่ทุกข์ อันนี้เป็นนามรูป เรื่องรู้รูปนามนั้นเป็นรูปนาม เรื่องเวทนาไม่ทุกข์ สัญญาไม่ทุกข์ สังขารไม่ทุกข์ วิญญาณไม่ทุกข์ อันนี้เป็นนามรูป เข้าใจอย่างนี้ว่า ได้ต้นทาง ได้กระแสพระนิพพาน 

     

    ได้ต้นทางคือ เรารู้จักทางไปหาพระพุทธเจ้า ได้กระแสพระนิพพานคือ เป็นวิธีที่จะดับความร้อนให้มันเย็นลง หรือดับความทุกข์ให้มันน้อยไป เรียกว่านิพพานคือไม่มีทุกข์ ท่านเรียกว่าได้กระแสพระนิพพาน ท่านว่าอย่างนั้น เรียกว่าได้ดวงตาเห็นธรรม 

     

    แล้วที่จะพูดมันเป็นเรื่องสมมุติ ที่หลวงพ่อมาทบทวนและมาแนะแนววิธีปฏิบัติ ที่หลวงพ่อได้ศึกษาเล่าเรียนมา รู้น้อยๆ เมื่อรู้พักนี้จบแล้วก็เลย มันก็เกิดปีติขึ้นมา ปีติตัวนี้ก็เป็นอุปสรรค เป็นสิ่งที่ขัดขวาง แต่ทางตำราบอกปีติและความอิ่มใจ หลวงพ่อก็เลยมาว่าอันนี้เรียกว่าเป็นจินตญาณ ลักษณะใจดีอันนี้ไม่ใช่ดีใจ ใจดีแล้วบัดนี้ แต่ว่ายังไม่เป็นปกติ แต่เพียงว่ารู้น้อยๆ ยังน้อย 

     

    แต่พอดีมันคิดขึ้นมา ยินดีกับความรู้ตัวเอง ต้องถอนตัวออกมาอยู่ความรู้สึก มันดีใจก็ไม่เอา เสียใจก็ไม่เอา ใจดีก็ไม่เอา เอาที่มันความรู้สึก เมื่อทำความรู้สึกให้มากขึ้นๆ เราจะก็จะรวบความยึดมั่นถือมั่นที่ว่าเป็นปีติ มันปีติมันจึงยึดมั่น มันจึงดีใจ เรียกว่าจินตญาณ เรียกว่ามันดีใจมันใจดี ภูมิใจว่าตัวรู้อันนี้ ไม่ต้องอยู่กับอันนั้น มาเอาเพียงความรู้สึก 

     

    เมื่อรู้สึกมากขึ้นๆ ก็รู้จักว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม สี่ข้อนี้ เหมือนกันกับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันอยู่ใกล้ๆ กัน จิตใจจะเปลี่ยนเป็นคนละตอนกันทันที อันนี้จิตใจเลื่อนชั้นขึ้น เป็นปรมัตถธรรม เป็นอัตถะบัญญัติ เป็นอริยะบัญญัติ ถูกสมมติขึ้นมา เรียกว่าเป็นอริยะบัญญัติ เป็นอัตถะบัญญัติ  

     

    อัตถะแปลว่ามรรค ๘ ท่านว่าอย่างนั้น อัตถะแปลว่าลึกลับซับซ้อน ยากบุคคลที่จะรู้ ท่านว่าอย่างนั้น จึงว่าเราไม่ต้องรู้มาก รู้เพียงแค่นี้ เป็นขั้นเป็นตอนไป เมื่อรู้กิเลส ตัณหา อุปทาน กรรม แล้วก็เป็นปกติขึ้นมาแล้วบัดนี้ นี่ภาคที่สอง 

     

    พอดีเป็นปกติขึ้นมา จิตใจมันคิดก็รู้ทันที หรืออะไรมากระทบก็เรารู้สึกทันที อันนี้เรียกว่า ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดอย่างละเอียด มันมาอยู่ที่ตรงนี้ แต่อันนั้นมันเป็นคำพูด บัดนี้ทางตำราท่านบอกว่า เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน ท่านพูดไว้อย่างนั้นตำรา 

     

    ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือมี วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ทุติยฌานบางทีมีองค์ ๔ บางทีมีองค์ ๓ ทางตำราท่านว่าอย่างนั้น ถ้าองค์ ๓ ก็มี ปีติ สุข เอกัคคตาถ้าองค์ ๓ ถ้าองค์ ๔ ก็มีวิจารณ์ มีปีติ มีสุข มีเอกัคคตาถ้าองค์ ๔ มันเป็นอย่างนั้น ถ้ามีองค์ ๒ ก็ว่า มีสุข มีเอกัคคตา ตอนนี้สองครั้งองค์ ๒ นี่ มีสุขกับมีอุเบกขา ท่านว่าอย่างนั้นตำรา 

     

    แต่ว่าเรามาปฏิบัติมันก็ถูกกับตำรา แต่เราต้องรู้จักว่า อ้อ..รู้ทีแรก รู้เรื่องขันธ์ ๕ รู้มาขั้นที่สองนี่ รู้เรื่องนามรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็ กิเลส ตัณหา อุปาทาน มันมีองค์ ๔ ด้วยกัน มันเป็นอย่างนั้น บัดนี้รู้เข้ามาขั้นปกติแล้วก็ รู้ศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ บัดนี้องค์ ๓ 

     

    องค์ ๓ ศีลขันธ์ สมาธิขัน ปัญญาขันธ์ บัดนี้ขันธ์เราจึงว่าขันธ์อันใดก็ได้ จะว่าขันธ์ ๕ ก็ได้ จะว่าขันธ์ ๔ ก็ได้ จะว่าขันธ์เดียวก็ได้ มันมาแย้งกัน คำพูดมันมากแต่เมื่อเรามาปฏิบัติแล้วนี่นิดเดียวเท่านี้เอง 

     

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับภิกษุคราวหนึ่งว่า เดินไปในป่าท่านว่าอย่างนั้น ภิกษุกับพระองค์เดินไปในป่าว่า ใบไม้แห้งตกอยู่บนพื้นดินนี่ พระองค์จับขึ้นมาแล้วก็มาถามภิกษุที่เดินตามพระพุทธเจ้า บอกว่า “ใบไม้ในป่ากับใบไม้แห้งในกำมือของเราตถาคตนี่ มาเปรียบเทียบแล้วอันใดจะมากน้อยกว่ากัน” 

     

    ภิกษุที่เดินตามไปกับพระองค์นั้นบอกว่า ใบไม้ในป่ามีมาก แต่ใบไม้แห้งในกำมือของพระองค์นี่มีนิดเดียว จะมาเปรียบเทียบกันนั้นหามิได้เลย “ความรู้ที่เรารู้เราศึกษาแล้วเราเรียนมานั้น มันมีมาก แต่ที่จะนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย เท่ากับใบไม้แห้งในกำมือของเราตถาคตนี่เอง” 

     

    หรือว่าคนเจ็บคนไข้คนป่วยนั่น ใบไม้ในป่าเป็นยาทั้งหมด แต่จะเลือกมารักษาเฉพาะเป็นยารักษาโรคให้หาย เฉพาะเท่ากับใบไม้แห้งในกำมือของเราตถาคตนี่เอง จะรักษาโรคให้มันหายได้ 

     

    อันนี้ก็เหมือนกัน การเราทำมานั้น ทำดีมามากแล้ว แต่แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ เรียนรู้มามากแล้ว รู้พระไตรปิฎกจนจบก็ยังแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ ก็แสดงว่าอันนั้นยังไม่ถูกต้องญาณปัญญา ยังไม่ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าท่านสอน 

     

    ความรู้อย่างที่หลวงพ่อพูดมานี้ เป็นความรู้ที่แก้ปัญหาตัวเองได้ ไม่ต้องรู้มาก รู้น้อยๆ แต่มันแก้ได้ มันเป็นยา หรือว่ามันเป็นเพชรหรือเป็นอะไรที่ว่ามันตัดหน้ากระจกได้ ตัดไปแล้วมันเป็นรอยร้าวไปเลย รู้อันนี้แหละ แต่ว่ารู้แล้วมันแนบแน่นอยู่ในจิตใจ มั่นคงถาวร ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้ามั่นคง 

     

    แม้เราจะสร้างกุฏิหารสร้างโบสถ์สร้างอะไรก็ตาม ถ้าหากว่ายังไม่รู้อันนี้ หลักพระพุทธศาสนาก็ยังมั่นคงไม่ได้ มันมั่นคงทางวัตถุมันเจริญทางวัตถุ ถ้ารู้อันนี้แล้วทำให้หลักพระพุทธศาสนามั่นคงได้ ทำให้หลักพุทธศาสนาเจริญได้ ไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปรผัน มั่นคงถาวร 

     

    เมื่อตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปรผันมั่นคงถาวรแล้ว ก็นำไปสอนคนอื่น ให้คนอื่นได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจนำ(ตาม) เรียกว่าฟื้นฟูหลักพุทธศาสนา ทำบุญต่ออายุของตัวเอง ทำบุญต่ออายุของพระพุทธศาสนา อันนี้แปลว่าเป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถ์แปลว่าของจริง แปลว่าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถูกสมมติขึ้นมา ให้มันเป็นสมมุติพูดให้กันฟังเท่านั้นเอง 

     

    ที่หลวงพ่อมาแนะนำมาทบทวน ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจกับพวกเราวันนี้ มาเพียงให้รู้จักว่า ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ ขันแปลว่ารองรับ ขันแปลว่าต่อสู้ จะว่าขันธ์ ๕ ก็ได้ จะว่าขันธ์ ๔ ก็ได้ จะว่าขันธ์ ๓ ก็ได้ จะว่าขันธ์ ๒ ก็ได้ จะว่าขันธ์เดียวก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น 

     

    แต่ว่าที่นำมาเล่าให้ฟังวันนี้ ตอนเช้าทำวัตรเช้าจบแล้ว จะทำสั้นๆ เพื่อมาตักเตือนพวกเรา ไม่ให้พูดให้คุยกันมาก ว่าตั้งใจทำเพื่อให้ญาณปัญญาเกิดขึ้น รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง 

     

    อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “สัตว์ทั้งหลายคือเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเป็นตถาคต” สามข้อนี้จำไว้เลยว่า ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ 

     

    ข้อสุดท้ายท่านว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้นแล้ว จึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็น จะมี อย่างเราตถาคตนี้” ท่านสอนอันนี้ เป็นคำมั่นสัญญาของพระองค์ เป็นคำประพันธ์เป็นคำรับรองของพระพุทธเจ้า 

     

    เราต้องทำตามพระพุทธเจ้า ทำลงไปแล้วมันเกิดญาณปัญญา มันเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น แสดงว่าเราได้ต้นทาง เราได้ทางพระพุทธเจ้า เราเห็นพระพุทธเจ้า เราจะไปหาพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ไปหาพระพุทธเจ้าเจ้าชายสิทธัตถะกุมารนะ ที่หลวงพ่อพูดนี้

     

    พระพุทธเจ้าคือ ตัวจิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว สามารถมองเห็นอะไรที่จะมารบกวนชีวิตของเรา รู้เท่ารู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ อันนั้นแหละคือจิตใจของพระพุทธเจ้า มีแล้วในคนทุกคน จะถือศาสนาไหนก็ตาม นุ่งผ้าสีอะไรก็ตาม ศึกษาได้ทุกคน 

     

    เอาแหละ ที่หลวงพ่อได้มาให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตใจในวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว

    …..

     

    ทำวัตรเย็นจบแล้ว ทำสั้นๆ พอเป็นพิธี แล้วก็มาเล่าเรื่องปฏิบัติธรรมะ เป็นการทบทวนคำพูดที่เว้า(พูด)ให้ฟังตอนเช้านี้ว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ตำราว่าอย่างนั้น แต่เมื่อหลวงพ่อเข้าใจว่า ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ จึงว่าขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔ ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ขันธ์ ๑ ว่าซั่น(นั่น) เพิ่น(ท่าน)ว่าขันธ์ 

     

    บัดนี้ก็เลยมาพูดให้พวกเราเข้าใจ เมื่อมีศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ เกิดขึ้นแล้ว เราก็เป็นปกติ ที่เฮา(เรา)ว่า จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจปกติ มันเป็นปกติ เมื่อมีปกติแล้วสิ่งใดมาเกิดขึ้นมารบกวน เราก็รู้ เราก็เห็น เราก็เข้าใจ สิ่งที่เราไม่รู้เราไม่เห็นเราไม่เข้าใจ เราสงบอยู่นั้นเรียกว่าเราไปทำให้มันสงบ มันฝืนธรรมชาติ 

     

    แต่บ่ได้เว้า(ไม่ได้พูด)เรื่องคนอื่น เว้า(พูด)เรื่องเฉพาะตัวเองได้ศึกษาได้เล่าเรียนได้ปฏิบัติมา อันไปทำให้มันสงบนั้น เรียกว่าสมถกรรมฐาน บ่แม่น(ไม่ใช่)วิปัสสนา ตัวเองน่ะเข้าใจเอาผู้เดียวว่าเอาผู้เดียว ครั้นว่าเอาผู้เดียวนั้นมันจิถูกบ่(จะถูกไหม) ถูกหรือบ่(ไม่)ถูกก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จักแล้ว แต่ว่เราเข้าใจจังซั่น(อย่างนั้น) 

     

    สำหรับตำรับตำรานั้นดีแล้ว แต่ว่าเราเข้าใจดีแล้วหรือตำรา พระพุทธเจ้าตายไปแล้วหรือจะว่าไปนิพพานไปแล้ว ๔๕o ปียังได้มาทรงจำพระธรรมวินัยขึ้นมา ตั้งสังคยานาอีกครั้งที่ ๕ นี่ยังได้มาจากพระธรรมวินัยไว้ 

     

    เคยได้ถามหลายคนแล้วว่า ชั่วระยะเกิดมาอายุ ๒o ปี ๓o ปี ๒o ปีนี้ยังน้อยอยู่ ๓o ปี ๔o ปี ๕o ปี ถามตั้งแต่ ๑o ปีที่แล้วขึ้นไป พ่อแม่บอกอันใดจำได้บ่ นั่งหรือนอน จำบ่(ไม่)ได้จั๊กคน(สักคน) ถามมาหลายคนแล้ว ลืม 

     

    บัดนี้พระพุทธเจ้าตายไปแล้วบัดนี้ ๔๕o ปี แล้วคนที่เขียนพระธรรมวินัยจารึกขึ้นมานี้ จะเป็นพระอรหันต์หรือเป็นปุถุชนธรรมดาอย่างเรานี้ก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก เพิ่น(ท่าน)ว่า ต้องจารึกพระธรรมวินัยนี้ไว้ ถ้าหากบ่(ไม่)จารึกหรือบ่(ไม่)เขียนไว้ จิบ่(จะไม่)มีผู้ทรงจำนั้น แล้วก็บ่(ไม่)มีผู้ทรงจำแท้ๆ(จริงๆ) แล้วก็ดาย เพิ่น(ท่าน)จึงเขียนไว้

     

    บัดนี้มาคิดชั่วระยะชั่ว ๔๕o ปี สักชั่วคน เอาชั่วคนเพียง ๖o ปีหรือ ๘o ปี เอาอายุ ๘o ปีซะ แปดหนึ่งแปด แปดสองสินหก แปดสามยี่สิบสี่ แปดสี่สามสินสอง แปดห้าสี่สิบ นี่ ๕ ชั่วคน แล้ว ๔๕o ปีบัดนี้ แล้วเฮาสิ(เราจะ)จำได้บ่(ไม่)พ่อเขาสอนจังได๋(อย่างไร) พ่อของพ่อสอนจังได๋(อย่างไร) พ่อของพ่อสอนมาจังได๋(อย่างไร) 

     

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า อย่าเชื่อถือที่เฮา(เรา)พูดตามกันมา ในหนังสือกาลามสูตรบอกไว้จังซั่น(อย่างนั้น) ว่าก็อย่าเชื่อถือเห็นเขาตามกันมา ๑o ข้อพรุ่น(นู้น) แล้วก็อย่าเชื่อถือเห็นว่ามันมีอยู่ในตำราคัมภีร์ แล้วก็อย่าเชื่อถือผู้พูดผู้สอนว่าน่าเชื่อถือ แม้ครูผู้สอนเท้ๆ เพิ่น(ท่าน)ก็บ่(ไม่)ให้เชื่อถือ ให้เชื่อบ่อน(ที่)ตัวเราเข้าใจ บ่อน(ที่)เห็นแจ้ง บ่อน(ที่)รู้จริง 

     

    อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้นั้นว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนให้พวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็น จะมี อย่างเราตถาคตนี้” อันนี้เป็นคำรับรอง เป็นคำประกันของพระพุทธเจ้า 

     

    เฮา(เรา)ก็เลยว่า พระพุทธเจ้านั้น จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจบริสุทธิ์แปลว่าจิตใจปกติ จิตใจผ่องใสนั่น ผ่องใสแปลว่าเห็นแจ้ง รู้จริง บ่(ไม่)มีสิ่งใดจิ(จะ)ปิดบัง จิตใจว่องไวสามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง นี่เพิ่น(ท่าน)ว่า จิตใจของพระพุทธเจ้า 

     

    เฮา(เรา)ก็ต้องปฏิบัติลองเบิ่ง(ลองดู) อันนี้แหละว่า เมื่อศีลเกิดขึ้นแล้วเรียกว่า ศีลขันธ์ คือขันธ์มีศีล คือขันธ์ ๕ มีศีล ขันธ์ ๔ มีศีล ขันธ์ ๓ มีศีล ขันธ์ ๓ นี่อาจจะเข้าใจกันน้อยคน ๑. กาย ๒. คำพูด ๓. ใจ เรียกว่าขันธ์ ๓ ก็ได้ หรือว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ก็ได้ 

     

    ขันธ์ ๒ บัดนี้เพิ่น(ท่าน)ว่าไว้ กายหนึ่ง ใจหนึ่ง เพิ่น(ท่าน)ว่าไว้มันเป็นอย่างซั่น(นั้น) เพิ่น(ท่าน)จึงว่า ปฐมฌานมีองค์ ๕ ทุติยฌานมีองค์ ๔ ตติยฌานมีองค์ ๓ จตุตถฌานมีองค์ ๒ ปัญจะมฌานก็มีองค์ ๒ เพิ่น(ท่าน)ว่าตำราเพิ่น(ท่าน)ว่า ตำราเด้(นะ)อันนั้น แต่การเห็นแจ้งของเรานี้มันจิ(จะ)จริงหรือบ่(ไม่)จริง เราต้องปฏิบัติลองเบิ่ง(ลองดู) 

     

    อันนี้ที่หลวงพ่อพูดว่า เมื่อศีลเกิดขึ้นแล้วนี่ รู้จักแล้วบัดนี้ ความสงบจึงมีอยู่ ๒ อย่าง สงบแบบบ่(ไม่)รู้อันหนึ่ง สงบแบบรู้อันหนึ่ง  สงบแบบบ่(ไม่)รู้เพิ่น(ท่าน)ว่าเอิ้น(เรียก)ว่าสมถะกรรมฐาน 

     

    สงบแบบรู้เพิ่น(ท่าน)ว่า สงบแบบการเห็นแจ้ง หยุดการศึกษา หยุดการเล่าเรียน หยุดการแสวงหาวิธีการปฏิบัติ หยุดหาครูหยุดหาอาจารย์ หยุดหาตำรา เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่าสงบ หยุดทุกอย่าง ครั้นว่าไปเถอะ หยุดฮอด(คิดถึง)ความโลภ ความโกรธ ความหลง พรุ่นละเด้(นั่นละนะ) หยุดหมด เพิ่น(ท่าน)ว่าหยุด อันนี้เพิ่น(ท่าน)ว่าสงบ สงบเพราะหยุด 

     

    ครั้นถ้าเฮา(เรา)ยังบ่หยุด(ไม่หยุด) สงบบ่ได้(ไม่ได้) นี่เข้าใจแบบนั้น จึงว่า ให้เฮา(เรา)ศึกษาและปฏิบัติจริงๆ มาปฏิบัติเที่ยวนี้ก็ว่า ได้ยินคุณสัมพันธ์ว่าให้ฟัง จำนวนคนมาปฏิบัตินี้ ๖o กว่าคนนี่หลวงพ่อ จำนวน ๖o กว่าคนนี่ ถ้าหากเฮา(เรา)ปฏิบัติรู้น้อย เฮา(เรา)ก็สอนกันน้อยได้ ได้สมาชิกผู้หนึ่ง ๖o คนก็ได้ ๖o คนก็ได้ ๑๒o คน ถ้าหากเฮา(เรา)ตั้งใจกันอีกหนึ่งปีต่อไป ๑๒o คนมาปฏิบัติอีกตึ้ม(เพิ่ม)ก็จะมีความรู้เพิ่มเติมกันขึ้นอีกตึ้ม(เพิ่ม) ก็ได้ ๒oo ขึ้นไป ได้ ๔oo ขึ้นไป ได้ ๘oo ขึ้นไป เป็นพันขึ้นมา  

     

    ดังนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านว่า เฮา(เรา)สวดทำวัตรเช้า พระธรรมของพระศาสดาสว่างแบบดวงประทีป มันริบหรี่ริบหรี่อยู่คอยจิจะมอด เฮา(เรา)มาปฏิบัตินี่ก็คือ การถอยหน้าถอยหลัง คานแด่มันแด่ คานแด่มันแด่ มันเป็นอย่างนั้น ว่าตั้งใจปฏิบัติ  การปฏิบัติเที่ยวนี้จึงเรียกว่าเข้มข้นกัน พูดก็บ่(ไม่)พูดหลาย พูดเอาแต่เนื้อในใจความอันแท้ๆ 

     

    เมื่อรู้ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์แล้ว รู้สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน รู้ทันที รู้ที่ตรงนี้ เมื่อรู้สมถกรรมฐานแล้วก็ วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น เรียกว่าเป็นปกติ แต่เมื่อยังเป็นสมถะอยู่ก็บ่(ไม่)เป็นปกติ มันจิตใจหวั่นไหวสะทกสะท้านอย่างนั้นอย่างนี้ บ่(ไม่)เป็นปกติอย่างอันพ่ออันนี้ ผู้อื่นอาจจิ(จะ)เป็นปกติก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก 

     

    เมื่อศีลอันนี้ปรากฏขึ้นแล้ว ปกติแท้ๆ ทุกคนต้องมี อันนี้เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)เป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์แปลว่าของจริงของแท้ ของบ่(ไม่)เปลี่ยนแปลงบ่(ไม่)ได้แปรผัน บ่(ไม่)ได้สมมุติอย่างที่เฮา(เรา)สมมุติว่า ครูบาอาจารย์นั้นครูบานี้ สมเด็จนั้นสมเด็จนี้ บ้านอย่างพ่อเอิ้น(เรียก)สมเด็จเจ้าหัวซานั้นเจ้าหัวซานี้ อย่างที่เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่าเจ้าคุณพระครูพระเทพพระราชนั้นว่าเพิ่น(ท่าน)เลื่อนชั้น อันนั้นมันเป็นสมมุติ 

     

    ก็เอาอันนั้นแหละมาว่าอันนี้ เอาอันนี้ไปว่าอันนั้น จึงว่ามันสมมุติ จึงให้เรารู้จักสมมติจริงๆ ถ้าบ่(ไม่)รู้จักสมมติแล้วก็ปฏิบัติแล้วก็เก้อเขิน สงสัยว่าอันใดน้อถูกอันใดน้อผิด มันสงสัย เมื่อเฮา(เรา)เห็นแจ้งรู้จริงแล้ว ความสงสัยกังวลใจบ่(ไม่)มี เมื่อความสงสัยกังวลใจบ่(ไม่)มี แก้ปัญหาตัวเองได้ ทุกข์ก็เรียกว่าหมดไป เพิ่น(ท่าน)ว่า ให้หมดทุกข์

     

    เดี๋ยวนี้นี่เฮา(เรา)มีความสงสัย ทำบุญหลายๆ นี่เข้าใจจังซั่น(อย่างนั้น) นึกว่าสิ(จะ)ได้บุญหลาย อย่างพ่ออันนี้ตายแล้วจะมีเทวดามาเสกมางัน(ฉลอง) เอาดวงจิตวิญญาณลอยขึ้นไปบนสวรรค์ เข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อันนั้นเฮา(เรา)ยึดเฮา(เรา)ถือ อย่ายึดมั่นถือมั่นเพิ่น(ท่าน)ว่า 

     

    แต่เฮา(เรา)ยึดเฮา(เรา)ถือ ยึดมั่นในศีลก็ผิด เพิ่น(ท่าน)ว่ายึดมั่นในทานก็ผิด ยึดมั่นในสมถกรรมฐานก็ผิด ยึดมั่นในวิปัสสนาก็ผิด เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) อุปทานยึดมั่นถือมั่น 

     

    บัดนี้เฮา(เรา)มาทำ บ่(ไม่)ให้ยึดให้ถือมิหยั่ง(อะไร) เอาแต่เพียรรู้สึกตัว มันเคลื่อนไหวก็ให้รู้ มันคิดก็ให้รู้ ให้รู้เพื่อหยั่ง(อะไร) รู้เพื่อให้มันเท่าทันเหตุการณ์ของความคิด รู้ให้มันเท่าทันเหตุการณ์ของจิตใจนึกคิด ให้รู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ รู้จักเอาชนะมันได้ เมื่อรู้จักอันนี้แล้วก็ ปัญญาเกิดขึ้น เพิ่นว่า(ท่านว่า) 

     

    ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างกลางนั้นเฮา(เรา)ติดเด้(นะ) เฮา(เรา)ติดดี เฮา(เรา)ติดความสงบ เฮา(เรา)ไปปฏิบัติธรรมะอยากให้มันสงบ เฮา(เรา)เป็นอุปทานแล้วนะ เฮาบ่(เราไม่)รู้จัก อย่างพ่อบ่ฮู้(ไม่รู้)จักอุปทาน 

     

    ไปรับศีล ยินดีในศีล ศีลนั้นรักษามาตั้งแต่เป็นหนุ่ม อย่างพ่อรักษาศีลอุโบสถ์มา มันก็บ่เซา(ไม่เลิก)ใจหาย ผู้ใดมาว่าให้ มันก็ยังมีดีใจเสียใจอยู่ บ่(ไม่)มีศีลที่กำจัดกิเลสอย่างหยาบ มันศีลสังคม ให้ฮู้(รู้)จักว่าสมมุติ สมมุตินี้ทิ้งบ่(ไม่)ได้ สังคมนี้อยู่กับสมมุติ จึงว่าให้เฮา(เรา)รู้จักจริงๆ ถ้าหากเฮา(เรา)รู้จักจริงๆ แล้ว แสดงว่าเฮา(เรา)เข้าถึงพระพุทธเจ้า เฮา(เรา)เข้าถึงพระธรรม เฮา(เรา)เข้าถึงพระสงฆ์ 

     

    พระพุทธเจ้าก็คือว่าให้ฟังนั่นแหละ อยู่ไส อยู่บนจิตใจสะอาด อยู่บนจิตใจสว่าง อยู่บนจิตใจสงบ บ่อน(ที่)จิตใจของบริสุทธิ์ บ่อน(ที่)จิตใจผ่อง จิตใสว่องไว สามารถอันใดมาผ่าน ใจเฮาคิดนี่แหละมันผ่าน เรียกว่ามันผ่านเฮา(เรา) เฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จักให้มันผ่านไปผ่านมา ใจมันหวั่นไหวเฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จัก 

     

    ถ้าหากใครใจเฮา(เรา)เป็นปกติ ใจผ่องใส ใจว่องไวแล้ว สามารถมองเห็นทุกอย่างทุกแง่ทุกมุม อันนั้นชื่อว่าจิตใจของพระพุทธเจ้า เฮา(เรา)ก็เลยเอิ้น(เรียก) พระอรหันต์ ว่านั้น 

     

    แต่เฮา(เรา)เข้าใจว่าอยากดี พระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์มีเดชนี่ เข้าใจอย่างซั่น(นั้น) มันเข้าใจผิดกันกับคำพูดความจริงเด้(นะ) เฮา(เรา)อยากดีอยากมีฤทธิ์มีเดช อยากมีอิทธิฤทธ์ปาฏิหาริย์ อันนั้นเป็นอุปทานทั้งหมด ที่อย่างพ่อว่านี่นะ แต่คนอื่นจิ(จะ)เป็นหรือบ่เป็นก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก อย่างพ่ออยากเป็นอย่างนั้น 

     

    แต่ก่อนอย่างพ่ออยากเป็นพระฤาษีเตาไฟ เพราะอย่างพ่อเป็นเณรน้อยบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ครูบาบอก ตื่นมามื้อเช้า(ตอนเช้า)ก็ไปมืมตา(ลืมตา)ตั้งตะเว็นพรุ่น(ดวงอาทิตย์นุ่น) มืมตา(ลืมตา)ซิ บ่(ไม่)พัก ครั้นบัดแสงตะเว็น(ดวงอาทิตย์)ขึ้นมาหลายๆ แล้วมืมตา(ลืมตา)ซิ บัดนี้ก็ไปมืมตา(ลืมตา)ใส่คนแล้ว มันจะเป็นไฟไหม้ไปหมด อยากเป็นอย่างพ่อนี่ 

     

    ความยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นแหละมันเป็นอุปสรรค มันเป็นสิ่งที่ขัดขวาง บ่(ไม่)ให้เรารู้ธรรมะได้ จึงว่าเลิกได้ ทำลงไปแล้ว สิ่งใดบ่(ไม่)เกิดปัญญา บ่(ไม่)เห็นแจ้งบ่(ไม่)รู้จริง เลิกได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเลิกได้ ทำสิ่งใดลงไปแล้ว มันเกิดสติ เกิดปัญญา เกิดการเห็นแจ้งเรู้จริงแล้ว ทำไปแล้วบ่(ไม่)ผิด 

     

    อย่างพ่อนี่ก็เลยบ่(ไม่)ได้เลิกทำ บ่(ไม่)รู้จักเด้(นะ) บัดนี้ตะเว็น(อาทิตย์)แสงมันแก่ขึ้นๆ ครั้นพวยหน้า(ล้างหน้า)ออกมาสิมันมืดตึ๊บ(งง) ล้มไปก็มีทุกเทื่อ(ครั้ง)นี้ แล้วมันก็ได้มืนตาเบิ่ง(ลืมตาดู)คนก็ยังบ่(ไม่)เห็นใครล้มจัก(สัก)คนปานนี้ นี่เป็นจังซั่น(อย่างนั้น) 

     

    มนต์คมม์(ท่องคาถา)ใส่หนังบังควันวัวธนูครูหน้าน้อย อย่างพ่อเฮียน(เรียน)มาหมด เพราะว่าหลวงน้าเป็นครูสอน ไปปฏิบัติธรรมะนี่ อย่างพ่อเลิกได้ อย่างพ่อฮู้(รู้)จัก คำมนต์(คาถา)อย่างพ่อยังจำได้อยู่เด้(นะ)บางคำ แต่ว่าอย่างพ่อว่าดีแล้ว อันเครื่องลางของขลังกระตุกมนต์ยันต์นั้นดีแล้ว ดีสำหรับคนผู้ที่ยังอ่อนปัญญาครั้นว่ายังโง่เครียดคน 

     

    ครั้นแสดงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นว่า พระพุทธเจ้าสอนคนที่ยัง ครั้นว่าตามความจริงนั้น สอนคนที่ยังโง่นี่แหละให้ฉลาดขึ้นมา มันยังโง่ มันยังเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) สอนคนที่ยังทำผิดอยู่ ให้มาทำถูก เพื่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) สอนคนที่ยังมีทุกข์อยู่นั่นแหละ ให้เขาหมดทุกข์ไป 

     

    แล้วเฮา(เรา)สอนกันทุกมื้อ(วัน)นี้ สอนให้ฉลาดหรือสอนให้โง่ก็บ่(ไม่)รู้จักอย่างพ่อนี่ แต่ว่าเฮียนนำเพิ่น(เรียนตามท่าน) เพิ่น(ท่าน)ก็สอน องทุลีทุลี คอกูมีแผ่นทองขั้นคา บัดนี้ฮู้(รู้)จักแล้วเบิ่ง(ดู)คอนี่ บ่(ไม่)มีแผ่นเหล็กแผ่นทองมิหยัง(อะไร)อย่างพ่อ ตกใจว้าบหนึ่ง โอ้ยจะตายแล้วอย่างพ่อว่า เขาฟันคอก็ตายแล้ว อย่างพ่อบ่ฮู้(ไม่รู)จัก โอ้..สำหรับสอนคนผู้จิตใจยังต่ำ ดังนั้นคาถามนต์ยันต์ผีสางนางไม้ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างพ่อว่า อย่างพ่อรู้จักเรื่องสมมุติดี อย่างพ่อจึงบ่ย่านบ่กลัวมิหยัง(ไม่กลัวอะไร) 

     

    อย่างพ่อเชื่อว่า ทำดีมันดี ทำชั่วมันชั่ว เท่านั้นซื่อๆ(เฉยๆ) อย่างพ่อจึงเชื่อมั่นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านี่ สอนของจริง สอนจริงสอนโดยทุกคนทำได้ สอนสิ่งที่บ่(ไม่)จริงนั้นบ่แม่น(ไม่ใช่)คำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเฮามาทำนี้จึงมาทำซื่อๆ(เฉยๆ) เฮ็ดซื่อๆ(ทำเฉยๆ) เฮ็ด(ทำ)บูชาพระพุทธเจ้า เฮ็ด(ทำ)บูชาพระธรรม เฮ็ด(ทำ)บูชาพระสงฆ์ 

     

    พระพุทธเจ้า เฮา(เรา)เคยว่ากันพ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนว่า กราบพระพุทธอย่าให้ไปทุกข์ทองคำ กราบพระธรรมอย่าให้ไปทุกข์ใบลาน กราบพระสงฆ์อย่าให้ทุกข์ลูกทุกข์หลาน ทุกข์ชาวบ้านทุกข์ลูกชาวบ้าน เพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างนั้น แต่เฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักว่า 

     

    พอดีรู้อย่างนี้แล้วอย่างพ่อ ตอนเช้าอย่างพ่อรู้ ยกมือไหว้ตัวเองขึ้นโลด(เลย) มีดีปานดีเด้(นะ)คนนี่ความเป็นคน จึงฮู้(รู้)จักความเป็นคน เกิดเป็นคนมันก็เป็นคนแล้ว แต่ว่าความเป็นคนอยู่ไสฮู้จักแล้วบ่(อยู่ไหนรู้จักแล้วมั้ย) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักแล้วแต่ก่อน เมื่อฮู้(รู้)จักความเป็นคน อายุ 40 ปีจึงฮู้(รู้)จัก เรื่องของคน บัดนี้เรื่องของคนมันคิดสับสนวุ่นวาย หน้าที่ของคนนี่ หน้าที่ของคนต้องปฏิบัติ ต้องปฏิบัติให้มันถูกต้อง เลือกเอา 

     

    ดังนั้นการสอนกรรมฐานก็ดี การสอนวิปัสสนากรรมฐานก็ดี มีหลายครูหลายอาจารย์ เฮา(เรา)ต้องเลือกคัดจัดหาเอา เฮา(เรา)เป็นคนต้องเลือกเอาได้ มีสิทธิ์เต็มที่ บ่(ไม่)มีผู้ใดสิมาขัดขวางเฮา(เรา)ด้ เฮา(เรา)ต้องการไปหาครูบาอาจารย์องค์ใดสอนเฮา(เรา)ได้สอน ไปหาเพิ่นโลด(ไปหาท่านเลย)ทีเดียว 

     

    ในประเทศอินเดียก็มีหลายลัทธิหลายอาจารย์ เพิ่น(ท่าน)ว่า เมืองไทยก็มีตั้งหลายร้อยวัดหลายพันวัด แล้วครูสอนกรรมฐานสอนวิปัสสนาก็มีหลายร้อยคนหลายพันคน แล้วเฮา(เรา)ชอบเฮา(เรา)ต้องไปหาเอาไปศึกษาเอา เลือกเอาได้เต็มที่ จึงว่าเป็นคนเป็นมนุษย์แท้ๆ บ่(ไม่)ถูกหลอกถูกลวง บ่(ไม่)ถูกต้มถูกแกง 

     

    การให้ทานการรักษาศีลนั้นดีแล้ว ทานมากๆ นี่แล้วทำให้เฮาพ้นทุกข์ได้บ่(มั้ย) พ้นบ่(ไม่)ได้ ก็ดีแล้วอันนั้นเป็นสังคม ถ้าหากบ่เฮ็ด(ไม่ทำ)อย่างนั้นแล้วเดือดร้อนบ้านเฮา(เรา) จึงให้ฮู้(รู้)จักสังคมจริงๆ ให้เฮาฮู้จัก(เรารู้จัก)สมมุติจริงๆ เมื่อรู้ฮู้จักสมถกรรมฐานดีแล้ว รู้จักวิปัสสนา ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด ว่าซั่น(ว่านั้น) 

     

    กิเลสอย่างละเอียดคือหยังเด้(อะไรนะ) ฮู้รู้จักบ่(รู้จักมั้น) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักแต่ก่อน บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ความสงบก็เป็นกิเลส อยากได้บุญก็เป็นกิเลส ไปนั่งสมาธิก็เป็นกิเลส โอ๊ยกิเลสหลายอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง เลยฮู้จักกิเลสอย่างละเอียด เว้า(พูด)สรุปสั้นๆ เพราะว่าเวลามันจิ(จะ)ไล่เข้ามา 

     

    อย่างพ่อเข้าใจว่า เลือดทุกหยด อย่างพ่อเคยว่ายังซี้(อย่างนี้) มีดบาดเรานี่ผ้าบาดหรือมิหยัง(อะไร)บาด ตามปกติเลือดมันจะพุ่งออกมาปากบาด พอดีมีดบาดเฮา(เรา)แล้ว เลือดมันจิ(จะ)กลับคืนหมดทุกหยด นี่กิเลสอย่างละเอียด พอฮู้จักจังซี่(รู้จักอย่างนี้)แล้วก็ นี่แหละคือความบ่(ไม่)มีทุกข์แท้ๆ หมดทุกข์แท้ๆ เพราะบ่(ไม่)มีสิ่งใดจิ(จะ)ศึกษา หมดเท่านั้นเรื่องชีวิตของคน จึงว่า ตายแล้วเกิดก็ผิด ตายแล้วสูญก็ผิด 

    ลักษณะจิตใจมันเปลี่ยนไปเป็นขั้นเป็นตอนไป จึงว่า ปฐมฌาณมีองค์ ๕ เพิ่น(ท่าน)ว่า ทุติยฌานมีองค์ ๔ ตติยฌานมีองค์ ๓ จตุตถฌานมีองค์ ๒ ปัญจมฌานก็มีองค์ ๒ เพิ่น(ท่าน)ว่า ปฐมฌานมีองค์ 5 คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ปฐมฌาน ทุติยฌานนั้นมี วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ตติยฌานมี สุข มีเอกัคคตา จตุตถฌาน ปัญจมฌาน ก็มีสุข มีอุเบกขา เพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างซั่น(นั้น)ตำรา 

     

    อย่างพ่อว่า มันบ่ได้เป็นจังซั่นสิ(อย่างนั้นซิ)บัดนี้ ปฐมฌานนั้นรู้เรื่องขันธ์ 5 ว่านั้น ทุติยฌานรู้เรื่องขันธ์ 4 ว่านั้น หลวงพ่อเข้าใจอย่างซั่น(นั้น) ตติยฌานมานี่รู้เรื่องขันธ์ 3 ขันธ์ 2 มา แล้วเข้าใจไหมขันธ์ 2 นี่แปลว่าขันธ์ 5 บ่(ไม่)ได้ถูกปรุง นี่ตอนจิ(จะ)จบนี่ เลือดทุกหยดบ่(ไม่)ออกจากปากบาด แปลว่าบ่(ไม่)ถูกปรุง เพราะเรารู้เท่าทันเหตุการณ์ของความคิด 

     

    ดังนั้นทุกคนทำได้อย่างพ่อว่านี่ แต่ว่าทำอย่างอื่นอย่างพ่อบ่(ไม่)รู้จัก ก่อนจิฮู้จักจิเข้าใจนี้(จะรู้จักจะเข้าใจนี้) ทำความรู้สึกตัวนี้เอง พลิกมือขึ้น ก็รู้สึกตัว คว่ำมือลง ก็รู้สึกตัว เอียงซ้ายเอียงขวา ก็รู้สึกตัว ก้มเงย รู้สึกตัว ความรู้สึกตัวนี่เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) มีสติ ความรู้สึกตัวนี่เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) ตื่นตัว ความรู้ใจคิดนี่เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) ตื่นใจ รู้สึกตัวรู้สึกใจ ตื่นตัวตื่นใจ เพิ่นว่าอย่างซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) พ่อแม่สอน 

     

    ทางธรรมะเพิ่น(ท่าน)ว่า มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ส่วนปัญญานั้นมันเกิดขึ้นมาพร้อมกัน จึงว่าเป็นปัญญาบารมี หลวงพ่อเข้าใจ ปัญญาบารมีนี่เขาบอกกันว่า “ปัญญายุเปโต สุคะโต วีตะราตัง ภะเสยยะเฉโก ปัญญา ยะธะโร” ไปอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วมันแปลไม่ได้ 

     

    เมื่อหลวงพ่อไปปฏิบัติ ปัญญามีแล้ว ปาระแปลว่าพร้อม มีหมดทุกคน ปาระแปลว่าพร้อมที่จะรู้ได้หมดทุกคน จึงว่า ถ้าหากเฮา(เรา)รู้จริงแล้วต้องกล้ารับรองคำพูดคำสอนของพระพุทธเจ้า บ่(ไม่)ต้องหวั่นไหว บ่(ไม่)ต้องสะทกสะท้าน เพราะเรารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ทุกคนปฏิบัติได้จริงๆ บ่แม่นได้เด้(ไม่ใช่ได้นะ) ปฏิบัติรู้เด้(นะ) 

     

    รู้แล้วเป็นจังได๋ จิตใจมันจิ(จะ)หดเข้า มันหดเข้าคืออย่างปลิง อย่างพ่อว่า เอาน้ำยาใส่เอาน้ำปูนไปใส่ปลิงมันจิ(จะ)กลัว มันจิเป็นจังซั่น(เป็นอย่างนั้น) กลัวอันใด กลัวสิ่งที่มันบ่(ไม่)ถูกต้อง กลัวสิ่งที่มันผิด เพิ่น(ท่าน)ว่า 

     

    กลัวกิเลสก็ได้ กลัวตัณหาก็ว่าได้ กลัวความมืดก็ว่าได้ กลัวความหนักก็ว่าได้ จักจิว่าจังได๋(ไม่รู้จะว่าอย่างไร) มันเรื่องสมมุติ สมมุติจึงมีมาเท่ากับใบไม้ในป่า อันตัวปรมัตถ์จริงๆ นั่น เท่ากับใบไม้แห้งกำมือเดียว ท่านว่าจังซั่นจึงว่า มาปฏิบัติธรรมมะเที่ยวนี้ เว้า(พูด)เข้มข้น เว้า(พูด)เข้มข้นเพราะเป็นการทบทวน ให้ทุกคนจำแล้วเอาไปปฏิบัติ 

     

    รู้อย่างอื่นแก้ไขปัญหาบ่ได้ อย่างพ่อรู้มาหลายอย่างเฮียน(เรียน)ก็หลายปี ได้เฮียนนำเพิ่มเด้(เรียนกับท่านนะ)ครูบาอาจารย์ เฮียน(เรียน)ปีหกเดือน ทั้งทำกรรมฐานทั้งเฮียน(เรียน)หนังสือ เป็นอย่างซั่น(นั้น) ครูบาต้องเฆี่ยนต้องตีได้ แต่ได้ตั้งแต่ วันทิตวากับลาสะโต แต่ก่อนมันเฮียนไปจังซั่น(เรียนไปอย่างนั้น) แต่ได้เพราะครูบาเป็นผู้บังคับเด้(นะ) 

     

    ครูบาเพิ่นเฮียนหมู่(เรียนพวก)กระจายไปจากจังหวัดอุบล บ่(ไม่)มีลูกศิษย์ลูกหา เพิ่น(่ท่าน)ก็เอาหลวงพ่อไปเป็นเณรน้อยไปบวชนำ เพิ่น(่ท่าน)ก็บังคับเอาแล้วเอาหลานนี่ โอ้ยทุกข์หลายอย่างพ่อ นั่งขัดสมาธิอยู่นั่นแหละ พทุโธๆ หายใจเข้าพุธหายใจออกโท เอาพระพุทธเจ้ามาไว้หัวใจนี่ ให้เฮ็ด(ทำ)อยู่อย่างซั่น(นั้น)อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นอย่างซั่น(นั้น) แล้วมันจิ(จะ)เข้ามาจังได๋(อย่างไร)พระพุทธเจ้านั้น แต่เพิ้น(ท่าน)ก็ดี 

     

    จึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างดีแล้ว ครูบาอาจารย์สอน บัดนี้เอาไว้เสียก่อนความดีนั้น อย่าไปยึดไปถือ อย่างที่อย่างพ่อว่านี่บ่แม้น(ไม่ใช่)ว่าให้เลิกให้เซาเด้(หยุดนะ) อย่าไปยึดไปถือ ลองเฮ็ด(ทำ)อันนี้ลองเบิ่ง(ดู)ซะก่อน อย่างนานบ่(ไม่)เกิน ๓ ปีรับรองจริงๆ เรื่องนี้บ่(ไม่)มากก็น้อย อย่างกลางให้เวลา ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด ๙o วัน 

     

    อานิสงส์บ่ต้องพูดเลย เรื่องโทสะ โมหะ โลภะนี่ มันจิ(จะ)จางไปโลดทีเดียวล่ะ จางไปโลด(เลย)ทีเดียว ถ้ามันมี ๑oo% อย่างน้อยที่สุดมันจิ(จะ)ลดไปแล้วสัก ๖o% จิ(จะ)เหลืออยู่ ๔o% อย่างมากบางที่อาจจิ(จะ)แห้งไปก็ได้ แต่มันบ่(ไม่)แห้งดอก อย่างที่อย่างพ่อว่านี่แหละมันสมมุติ 

     

    สมมุติผู้น้อยมันจิ(จะ)ยื้อชกผู้ใหญ่นี้ บ่(ไม่)ถึง พอดีผู้น้อยจิ(จะ)ลุกขึ้นมา ผู้ใหญ่กดหัวไว้โลด(เลย) มันก็ขึ้นบ่ได้ เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่าพ้นไป เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่า จิตหลุดพ้นแล้ว จิตพ้นไปจากความทุกข์ จิตพ้นแล้วญาณย่อมมี เพิ่นว่า(ท่านว่า) 

     

    เมื่อเฮา(เรา)จิตเฮา(เรา)พ้นไปอันใดต้องเห็นอันนั้น จิตพ้นไปอันใดก็ต้องเห็นอันนั้น พ้นโทสะก็ต้องเห็นโทสะ พ้นโมหะก็ต้องเห็นโมหะ พ้นโลภะก็ต้องเห็นโลภะ พ้นกิเลสต้องเห็นกิเลส สิ่งที่พ้นไปแล้วนั้นกลับมาปิดบังบ่(ไม่)ได้ เพิ่นเอิ้นว่า(ท่านเรียกว่า) จิตสะอาด จิตสว่าง จิตสงบ จิตบริสุทธิ์ จิตผ่องใส จิตว่องไว เพิ่น(ท่าน)ว่ามันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) 

     

    ความจริงนะ ที่หลวงพ่อมาเว้า(พูด)สู่กันนี่ ความจริงมีหมดทุกคน บ่(ไม่)ยกเว้น ถือศาสนาใดก็มี ผู้หญิงก็มีผู้ชายก็มี พระสงฆ์องค์เจ้าก็มี ผู้เรียนหนังสือมากๆ ก็มี ผู้บ่(ไม่)ได้เรียนหนังสือก็มี เพราะมันมีชีวิตคือกัน ทุกคนจึงยกเว้นบ่(ไม่)ได้ พุทธศาสนิกจึงว่าบ่แม่นของไผ(ไม่ใช่ของใคร) เป็นของกลางๆ เป็นของผู้ปฏิบัติ รู้แล้วเข้าใจ แล้วนำมาเผยแพร่ ทำให้พุทธศาสนาเจริญได้ 

     

    อันเฮา(เรา)สร้างโบสถ์นั้นเจริญอยู่ เจริญทางวัตถุ แต่จิตใจบ่(ไม่)เจริญ อันนี้เฮา(เรา)มาสร้างอันนี้ บัดนี้จิตใจมันเจริญ สมมติเอานะ เฮา(เรา)มาสร้างโบสถ์หลังหนึ่งหมดเงินเป็นล้าน เฮา(เรา)มาสร้างกุฏิน้อยๆ นี่นะเงินล้านหนึ่งมันจิ(จะ)ได้จักหลัง ลองมาคิดเบิ่งดู บัดนี้แล้วให้คนมาอยู่ปฏิบัติธรรมะนี่ อย่างพ่อว่ามันมีประโยชน์ 

     

    สร้างโบสถ์หลังหนึ่ง บางทีจิ(จะ)ได้มีผู้ไปบวชนั้น เป็นพระอริยบุคคลได้บ่จัก(ได้มั้ยสัก) ๑o คน อย่างมาก สร้างกุฏิหลังน้อยๆ นี่อย่างพ่อว่า ถ้าหากมีความสามารถสอนกันแล้วปีละคนหนึ่งนี่ มี ๑o หลังก็ได้ ๑o คนแล้วทีเดียว บัดนี้ทำให้คนให้เป็นอริยะบุคคลนนั้นกับสร้างวัตถุนั้น อันใดจิ(จะ)ดีกว่ากัน เราต้องคิดให้มันดี 

     

    ถ้าหากเราเป็นชาวพุทธจริงๆ แล้ว พุทธศาสนาสอนเรื่องอันใด เราจิ(จะ)ได้รับรองเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เข้าใกล้กับพระพุทธเจ้าจริงๆ จึงว่า ผู้ใดรู้ธรรมผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดบ่(ไม่)รู้ธรรมก็บ่(ไม่)เห็นธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว รู้ธรรมเราจิ(จะ)ไปเห็นพระพุทธเจ้านั่นบ่(มั้ย) บ่แม่น(ไม่ใช่) อย่างพ่อเว้า(พูด)นี่ พ่อตามใจตัวเอง ใครจะมาคัดค้านก็คัดค้านไป ก็บ่เป็นหยัง(ไม่เป็นไร) อย่างพ่อเว้า(พูด)ตามอุดมการณ์อย่างพ่อ 

     

    เห็นพระพุทธเจ้าแล้วคือเห็นตัวเฮา(เรา)นี้บัดเดียว เห็นตัวเฮา(เรา)นี่ตัวเฮา(เรา)เป็นพระทุทธเจ้านี่ บ่แม่น(ไม่ใช่) เฮา(เรา)ว่าอยู่แล้วเด้(นะ) “พุทธานุพุทธัง สามะสีละทิฏฐิง” ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน มีศีลคือ(เหมือน)พระพุทธเจ้า มีทิฐิคือ(เหมือน)พระพุทธเจ้า มีความเห็นคือ(เหมือน)พระพุทธเจ้า นี่จึงเป็นสาวกพุทธะ เพิ่นว่า(ท่านว่า) 

     

    อันนี้เฮา(เรา)ว่า เฮา(เรา)เป็นทาสของพระพุทธเจ้า เป็นทาสของพระธรรม เป็นทาสของพระสงฆ์ ว่านั้น เฮา(เรา)ว่ากันทำวัตรเช้าวัดเย็น เป็นทาสจังได๋(อย่างไร) ครั้นว่าไปไหว้ ไปไหว้หมู่อื่นพรุ่น(อันอื่นนู้น) บ่(ไม่)ได้ไหว้พระพุทธเจ้าจักเทื่อนี่(สักทีนี่) ไหว้พระพุทธเจ้าจึงว่าไปถูกแต่ทองคำพรุ่น(นู้น) ไหว้พระธรรมก็ไปถูกแต่คำภีร์หนังสือพรุ่น(นู้น) ไหว้พระสงฆ์ ก็ครั้นผู้ใดเอาผ้าเหลืองมาใส่ก็ไหว้ไปโลด(เลย) บ่(ไม่)ได้ไหว้จริงๆ สักเทื่อ(สักที) 

     

    บัดนี้พวกเฮา(เรา)มาปฏิบัติธรรมะนี่ ไหว้จริงๆ กราบตัวเราจริงๆ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” บ่แม่น(ไม่ใช่)เครื่องรางของขลังมิหยัง(อะไร) อย่างพ่อได้ฝึกมาแล้ว ฝึกตัวเอง ๓ มื้อ(วัน)อย่างพ่อฝึก “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” แปลว่าขอนบน้อม ว่านั้น “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” 

     

    “อะระหะโต” เมื่อเฮียน(เรียน)เมื่อเป็นเณรนั่นว่า โชคดี ว่าซั่น(นั้น) เดี๋ยวนี้ “อะระหะโต” แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส เพิ่น(ท่าน)ว่า “สัมมาสัมพุทธัสสะ” พระพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว แล้วเฮา(เรา)กราบตัวเฮาเป็นแล้วบ่(มั้ย) เฮา(เรา)นบเป็นแล้วบ่(มั้ย) กราบเฮดจังได๋(ทำอย่างไร) ไหว้เฮดจังได๋(ทำอย่างไร) อย่างดีก็ไปกราบเบญจางคประดิษฐ์นี่ 

     

    อย่างพ่อเฮ็็ด(ทำ)แล้ว เอาหัวเข่ากับศอกใส่กัน แล้วก็หัวจู้ลงที่ดินพรุ่น(นู้น) กราบเบญจางคประดิษฐ์ อันนั้นถูกแล้วดีแล้ว เพิ่น(ท่าน)ว่า เบญจางคประดิษฐ์นั่นพร้อมด้วยองค์ทั้งห้า เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) กราบให้เป็น นบให้เป็น ไหว้ให้เป็น จึงมี 5 จังหวะด้วยกันการกราบการไหว้ อันนี้เว้า(พูด)เองนะ จิ(จะ)ถูกับตำราหรือบ่(ไม่)ถูกกับตำราก็บ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก) 

     

    แต่ว่า นะโม ตัสสะ บอกอย่างซั่น(นั้น) นะโม ตัสสะ แปลว่าขอนบน้อม นบเฮ็ดจังได๋(ทำอย่างไร) น้อมเฮ็ดจังได๋(ทำอย่างไร) กราบเฮ็ดจังได๋(ทำอย่างไร) เราควรศึกษาและควรปฏิบัติให้รู้และให้เข้าใจจริงๆ 

     

    ถ้าเรารู้ตามพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็ต้องรับรองพระพุทธเจ้าจริงๆ จึงว่าบ่(ไม่)หมดยุคบ่หมดสมัย พระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกเม็ดหินเม็ดทราย ถ้าปฏิบัติถูกแล้ว ถ้าปฏิบัติบ่(ไม่)ถูกแล้ว ไกล อยู่ไสก็บ่มองเห็นสักเทื่อ(อยู่ไหนก็มองไม่เห็นสักที) 

     

    ดังนั้น (ทำอย่างไร)มาปฏิบัติธรรมะครั้งนี้ ต้องขุ่นเคี่ยวกันจริงๆ เอาจริงเอาจัง เมื่อคนใดเอาจริงเอาจังแล้วก็ต้องเห็นจริงเห็นจัง จึงว่าบ่แม่น(ไม่ใช่)มานั่งอยู่นี่ แล้วใจคิดไปร้อยอันพันอย่าง บ่เห็นใจเจ้าของสักเทื่อ(ไม่เห็นใจตัวเองสักที) อ้นนั้นก็เดินจงกรมจนเท้าแตกก็บ่(ไม่)ได้เรื่องหยัง(อะไร) บ่(ไม่)ได้เรื่องมิหยัง(อะไร) 

     

    บัดนี้เฮ็ด(ทำ)อย่างรู้สึกตัว เอียงซ้ายก็รู้เอียงขวาก็รู้ ก้มเงยก็รู้บัดนี้ กระพริบตาก็รู้ หายใจก็รู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นแหละเป็นการปฏิบัติธรรมแท้ๆ มันคิดแล้วรู้เด้(นะ) ก็จิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว คือ(เหมือน)พระพุทธเจ้าแล้วบัดนี้ 

     

    อันนั้นแหละคือตัวการปฏิบัติธรรมแท้ๆ ปฏิบัติให้ละเด้(นะ) บ่แม่นให้ยึดเด้(ไม่ใช่ให้ยึดนะ) เดี๋ยวนี้เฮา(เรา)ยึด เฮา(เรา)อยากดี เฮา(เรา)อยากมีเกียรติ อยากมีชื่ออยากมีเสียงนี่ มันเข้าใจอย่างซั่น(นั้น) 

     

    ที่อย่างพ่อมาให้ข้อคิดเตือนจิตใจวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายที่สุดนี้ อาตมาขออ้างเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณของพระบรรดาสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเตือนจิตใจของพวกเรา.   

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service