แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท.๑๗๕ งานทำบุญอุทิศหาลุงฮวน
ที่บ้านของเฮา(เรา) มื้อ(วัน)นี้ทำวัตรเช้าสั้นๆ เพื่อว่าจะได้อบรมทำความเข้าใจกัน มื้อ(วัน)นี้เป็นวันที่ ๔ เป็นวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ที่เฮา(เรา)มาอบรม หรือว่ามาเจริญสติ มาเจริญสมาธิ มาเจริญปัญญา เป็นการทำบุญอุทิศให้ลุงฮวน เฮาบ่(เราไม่)เคยทำกันแบบนี้ ทำกันมาแต่เมื่อลุงหนอมแล้วก็มาถึงลุงฮวน
ทำกันเพื่อเป็นตัวอย่างแบบหนึ่ง เฮาบ่(เราไม่)เคยทำ เพราะเฮาบ่(เราไม่)เคยฮู้(รู้) บ่(ไม่)เคยเห็นบ่(ไม่)เข้าใจ การทำบุญหาคนตายแล้วก็ต้องทำอยู่ที่บ้านที่เฮือนเฮาพุ้น(เรือนเรานู้น) กินเหล้าเล่นการพนัน อันนั้นบ่แม่น(ไม่ใช่) บ่แม่น(ไม่ใช่)ทำบุญแบบนี้ อันนี้ทำบุญแท้ๆ เฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก)ว่า บุญคือหยัง(อะไร) อยู่ไส(ไหน) เฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก)
นึกว่าทำบุญให้ลุงฮวนผู้ตายเพิ่น(ท่าน) บ่แม่นเด้(ไม่ใช่นะ) เลา(เขา)ตายแล้ว ทำบุญให้เฮา(เรา)นี่จึงจะถูกต้อง ผู้เป็นลูกเป็นหลานต้องเข้าใจอย่างซั่น(นั้น) อันทำบุญให้พ่อให้แม่เฮา(เรา)นั้น เฮาบ่(เราไม่)รู้จักเฮาก็เฮ็ด(เราก็ทำ)ไป เรื่องนั้นมันดีแล้ว ดีแต่หากว่าดีแบบนั้น
สมมุติเอาให้เฮา(เรา)เห็นเอา ผู้ที่มีลูกอยู่นี่ผู้ที่มีลูกผู้ที่ยังบ่(ไม่)ทันมีลูกก็อาจจะมีได้ สมมุติว่าลูกเฮา(เรา)บอกยากหรือว่าทะเลาะเถียงกัน เฮาก็บ่(เราก็ไม่)สบายใจ เพราะเฮา(เรา)ยังมีชีวิตอยู่ บัดนี้ถ้าหากลูกบอกเชื่อฟัง ลูกขเจ้าบ่(พวกคุณไม่)ทะเลาะบ่(ไม่)เถียงกัน พ่อแม่ก็สบายใจ
อันว่าความสบายใจพุ้น(นั้น)นะเป็นบุญ อันความทุกข์นั่นเพิ่น(ท่าน)ว่าบ่(ไม่)เป็นบุญ
อันทำบุญหาพ่อหาแม่ พ่อแม่ตายไป ฆ่าหมูฆ่าไก่ฆ่าวัวฆ่าควายนั้นบ่แม่น(ไม่ใช่) ทำบาปแล้วเด้(นะ) เฮา(เรา)ก็ยังว่าทำบุญอยู่ อันนั้นเป็นความเข้าใจแบบแต่ก่อนๆ พุ้น(นู้น) ดังนั้นเฮา(เรา)มานี่เพื่อมาแก้ไขความผิดพลาด ความผิดเป็นครู แต่อย่าทำผิดอีก คนโบราณท่านสอนไว้
ดังนั้นสิ่งใดที่มันผิดไปแล้วก็ต้องแก้ซะ สิ่งใดที่มันถูกต้องเฮา(เรา)ต้องส่งเสริมขึ้น สิ่งใดที่มันคลาดเคลื่อนเล็กๆ น้อยๆ เฮา(เรา)ต้องหามาเพิ่มให้มันดีขึ้นให้มันถูกต้อง ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)พิจารณาหาเหตุหาผลจริงๆ แล้ว การทำบุญนั้นจิ(จะ)ถูกตามประเพณีซื่อๆเด้(เฉยๆนะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)หลักพุทธศาสนา
หลักพุทธศาสนาเพิ่น(ท่าน)สอนปัจจุบัน อดีตที่ผ่านไปแล้วเพิ่นก็บ่(ท่านก็ไม่)เอามาว่า อนาคตที่ยังมาบ่(ไม่)ทันมาถึงเพิ่นก็บ่(ท่านก็ไม่)เอามาว่า เพิ่น(ท่าน)ให้เฮา(เรา)พิจารณาให้เห็นปัจจุบันนี้แหละพระพุทธเจ้า เพิ่น(ท่าน)เป็นพระอรหันต์แล้วพระพุทธเจ้าน่ะ เฮา(เรา)ว่ากัน
ความหมายคำว่าพระอรหันต์นั่น เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ เดินออกมาพบกับอุปกาชีวก ยังบ่(ไม่)ว่าให้อุปกาชีวกเข้าใจ เป็นหยัง(อะไร) มันเข้าใจผิดเรื่องพระอรหันต์ เข้าใจผิด ถ้าหากเป็นพระอรหันต์มองเห็นจิตใจอุปกาชีวกจริงๆ ก็ต้องบอกสิ ให้มันถูกใจกับอุปกาชีวกคนนั้นซิ
อุปกาชีวกถาม ท่านอยู่ที่ใด เป็นลูกศิษย์ของใคร ครูบาอาจารย์ของท่านสอนเรื่องอันใดให้ พระพุทธเจ้าเว้าซื่อๆ(พูดเฉยๆ) เว้าซื่อๆ อุปกาชีวกก็เลย เฮ้ย แบบนี้ลุกหนีเลย เลยบ่(ไม่)ได้รับธรรมะ บ่(ไม่)ได้รับคำสอนจากพระพุทธเจ้าเลย อุปกาชีวกคนนั้น
แต่ความจริงอุปกาชีวกคนนั้น แสวงหาพระพุทธเจ้าอยู่ เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทำไมจึงบ่ฮู้(ไม่รู้)จักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมะให้ฟังซื่อๆ(เฉยๆ) ก็บ่(ไม่)เข้าใจ นี่เรื่องมันมีจังซี่เด้(อย่างนี้นะ)ที่นำมาเล่าให้ฟัง
บัดนี้พระองค์เล็งญาณ เบิ่ง(ดู)พวกครูอาจารย์ทั้งสองว่าตายแล้วว่าซั่น(นั้น) เบิ่ง(ดู)ญาณใส่พวกปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จิ(จะ)เลยมาแสดงธรรมให้พวกปัญจะวัคคีย์ทั้ง ๕ นี่ฟัง
คำว่าตายนี่ เฮาให้ฮู้จัก(เราให้รู้จัก)จริงๆ มันตายเน่าเข้าโลงจริงๆบ่(มั้ย) หรือว่าตายคนมีทิฐิมีมานะ คั้น(ถ้า)ว่าตายแบบคนมีทิฐิมีมานะแล้ว ตายแบบนี้เด้(นะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)ตายแบบหมดลมหายใจ จึงว่าให้เฮา(เรา)เข้าใจจริงๆ คำว่าตายตายนี้ ตายจากคุณความงามก็ได้
อย่างที่ลูกหลานเฮาก็คือกัน(เราก็เหมือนกัน) พ่อแม่บอกบ่(ไม่)เชื่อฟัง เพิ่น(ท่าน)ว่ามันอาจเกี่ยวเวรจิ(จะ)นำตาม บ่แม่น(ไม่ใช่)แล้วเท่าใด อาจจิแม่น(จะใช่)ก็ได้ มีคนแต่สมันก่อนเพิ่น(ท่าน)คำนวณคำนึง ดูกิริยาท่าทางมารยาท อ่านลักษณะจิตใจของคน คำนวณซื่อๆ(เฉยๆ) เพราะเห็นเวรกรรมเพิ่นคำนวณเอาซื่อๆ(เฉยๆ) บ่(ไม่)ได้เห็นจริงดอก
เออ..อีตาคนนี้บอกบ่(ไม่)เชื่อฟัง อาจจิ(จะ)เป็นอย่างซั่น(นั้น)อย่างซี่เด้อ(นี้นะ) มื้ออื่นมื้อฮืนนี้(วันพรุ้งนี้มะรืนนี้)หรือปีนี้ปีหน้านี่มันอาจจิ(จะ)ทำอาจจิ(จะ)เป็นจังซั่นเด้อ(อย่างนั้นนะ) เพิ่นสอนจังซั่น(ท่านสอนอย่างนั้น) ดังนั้นคนเราเดี๋ยวนี้เชื่อน้อยบ่(ไม่)เชื่อหลาย เห็นอยู่แล้วเด้(นะ)เดี๋ยวนี้
บ้านเฮา(เรา)เมืองเฮา(เรา)หรือประเทศของเฮา(เรา)นี่ ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็มีจำนวนมาก บ่แม่นน้อยเด้(ไม่ใช่น้อยนะ) ฆ่าด้วยเอาค้อนไปตีเอาปืนไปยิงเอามีดพร้าไปฟันหัวกันก็มี ฆ่าโดยทำให้พ่อแม่เสียอกเสียใจก็มี นี่ให้เฮาฮู้(เรารู้)จักว่าการฆ่าพ่อฆ่าแม่มันหลายอย่าง
ทำให้พ่อแม่เสียอกเสียใจเพิ่นก็ว่าฆ่าพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์นี่ ลูกทำความชั่วนี่ พ่อแม่เสียใจหลายเพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างซั่น(นั้น) โทษใครจะแล้วดีว่า ลงเฮืยน(เรือน)ไปก็มีคนเว้า(พูด)ลูกเฮาบ่(เราไม่)ดีบ่(ไม่)งาม ลงเฮืยน(เรือน)ไปอีกตื้ม(เพิ่ม)ก็มีคนเว้าลูกบ่(ไม่)ดีอีกตื้ิม(เพิ่ม) โอ้มันตายไปดีล่ะลูกบ่(ไม่)ดี
เรื่องจากความทุกข์นี่เพิ่น(ท่าน)สอน พระพุทธเจ้า อันนี้น่ะเฮา(เรา)เข้าใจว่าทำบุญหาพ่อหาแม่เฮา(เรา) ทำบุญให้ลูกให้ผัวเฮา(เรา) ผู้ตายแล้วก็คือ(เหมือน)กัน ผู้ใดคือกันเด้(ใครก็เหมือนกันนะ) ว่าซื่อๆ การทำบุญนั้นเพิ่น(ท่าน)ว่า ทำให้มันถูกใจ อย่าให้ถูกกิเลส ให้มันถูกสติปัญญาเพิ่น(ท่าน)ว่า
คำว่าพระอรหันต์นั้น ก็บ่(ไม่)ได้หมายถึงตั้งแต่ว่าผู้ดำดินบินบนเหาะเหินเดินดวงอย่างเดียว ให้เข้าใจว่าพระอรหันต์นั้นอยู่ที่ใด อยู่นำ(กับ)ทุกคนนี่แหละพระอรหันต์ เป็นหมดทุกคน
เฮาเข้าไปที่มืด เฮา(เรา)ไม่มีไฟก็มืด บ่(ไม่)มีไม้ขีดมิหยัง(อะไร)ก็มืดอยู่อย่างนั้นแหละ เฮา(เรา)เข้าไปที่มืดเฮา(เรา)เข้าไปในถ้ำ เดี๋ยวนี้เฮา(เรา)อยู่ในถ้ำเข้าไปในถ้า เดี๋ยวนี้เฮา(เรา)อยู่ในถ้ำอยู่ในที่มืด เฮาบ่(เราไม่)มีแสงสว่างเพราะบ่(ไม่)มีคนเว้า(พูด)ให้เฮา(เรา)ฟัง
เฮา(เรา)ไปเชื่อตั้งแต่ตัวหนังสือเขียนไว้พุ้น(นู้น) ในตำรับตำราพุ้น(นู้น) ครูบาอาจารย์ก็เฮียน(เรียน)สืบต่อกันมาอย่างซั่น(นั้น)แล้ว ว่าสู่กันฟังมาแล้วซั่น(นั้น) ความจริงนั้นได้มาจังได๋(อย่างไร) เฮาเฮ็ดมาจังได๋(เราเรียนมาอย่างไร)
ทำบุญบั้งไฟ ทำบุญเข้าพรรษาออกพรรษา ทำบุญเวสสันดร เฮา(เรา)ก็ว่าเฮาเฮ็ด(เราทำ)บุญ แต่กินเหล้า เล่นการพนัน ฆ่าวัวฆ่าควายกัน เฮา(เรา)ก็ว่าเฮาเฮ็ด(เราทำ)บุญอยู่ อันนั้นผิดเด้(นะ) ผิดข้อห้ามของพระพุทธเจ้าอยู่แล้วเด้(นะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)พระพุทธเจ้าว่าเด้(นะ) เป็นการวิวัตน์พัฒนาเพิ่น(ท่าน)ว่า ผิดแล้วแก้เพิ่น(ท่าน)ว่า ผิดแล้วแก้เด้(นะ)เรื่องนี้
คนบาปสร้างขึ้นมาเรื่องศีลนี้ คนบ่(ไม่)มีศีลอยู่ด้วยกันมันลำบาก เขาบ่เอิ้น(ไม่เรียก)ว่าศีล เขาว่าทำบ่(ไม่)ดี แต่เขามีศีล ๔ แต่ก่อนนี่ บ่(ไม่)มีศีล ๕ เพราะหยัง(อะไร) เพราะพ่อว่าให้ฟัง ศีล ๔ นั้นคือว่า เขาบ่(ไม่)ว่าเรื่องปานาฆ่าสัตว์ เขาว่าอย่าลักทรัพย์ของกัน เขาเอิ้น(เรียก)ศีล
มีคนจำนวนหนึ่งอยู่ผู้เดียวมันอยู่บ่(ไม่)ได้ มันต้องมาอยู่หลายคน จำนวน ๑o คนก็ตามช่างเพิ่น(ท่าน)ว่า มาอยู่นำ(ด้วย)กันแล้วมันทำบ่(ไม่)ดี บ่(ไม่)ดีแล้วก็เลยตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นแล้วบัดนี้ อ้าวอยู่นำ(ด้วย)กันนี่ ๑.อย่าลักของกัน ๒.อย่าเที่ยวไปข่มเหงทำลายลูกเมียกัน ๓.อย่าเที่ยวตั่วกัน(โกหกกัน) ๔.บ่(ไม่)ให้กินเครื่องดองของเมา เขาห้ามกันอย่างนั้น ถ้าหากผู้ใดผิด ๔ ข้อนี้ ไล่หนี บ่(ไม่)ให้อยู่นำหมู่(ด้วยกลุ่ม)
มีผู้ใดผู้หนึ่งเกิดขี้ค้าน(ขี้เกียจ)ขึ้น ลักกินของหมู่(กลุ่ม) เขาก็ไล่หนี อยู่ผู้เดียวบ่(ไม่)ได้ พอดีไล่ออกไปแล้วความผิดพลาดเด้(นะ) ไปอยู่ผู้เดียวก็อยู่บ่(ไม่)ได้แล้ว ย่าน(กลัว) เพราะว่าคนอยู่ผู้เดียวนี้ก็เลยมาหาหมู่รับความผิด เขาก็เลยเอิ้น(เรียก)ว่ากฎหมายลหุโทษบ้านเฮา(เรา) อันนั้นเขาบ่เอิ้น(ไม่เรียก)ความผิดพลาด รับสารภาพแล้วว่าบ่เฮ็ด(ไม่ทำ)บ่(ไม่)ทำ ขออยู่นำหมู่นำเพิ่น(ด้วยกลุ่ม)ต่อไป หมู่(กลุ่ม)ก็ให้อภัยมาอยู่ซื่อๆ(เฉยๆ)
ผู้ที่สอง บัดนี้อยากเฮ็ดหยังก็เฮ็ด(ทำอะไรก็ทำ) บ่(ไม่)ว่าลูกไผ(ใคร)เมียไผ(ใคร) ก็เฮ็ดบ่(ก็ทำไม่)เห็นว่าผิดถูก ผิดอกผิดใจกัน เขาก็ไล่หนีอีกตื้ม(เพิ่ม) ไล่หนีก็หนีไปอยู่ผู้เดียว ไปอยู่ผู้เดียวอยู่บ่(ไม่)ได้อีกตื้ม(เพิ่ม) กลับมารับสารภาพหมู่อีก เขาเอิ้น(เรียก)ความผิดพลาด รู้จักความผิดแล้วรับ แก้โลด(เลย) เขาก็รับเอา เขาบ่(ไม่)เอาไปติดคุกติดตะรางเพราะมันบ่(ไม)มีคุกบ่(ไม่)มีตะรางเด้(นะ)แต่ก่อน
แล้วอีกคนหนึ่งขี้ตั่ว(ขี้โกหก) ตั่ว(โกหก)ว่าไปฮั่น(นั่น)มานี่ เห็นอันนั้นอันนี้ เมื่อไปเบิ่ง(ดู)ก็เลยได้หนีอีกตื้ม(เพิ่ม) อีตาคนนี้กะดาย(ก็จริงๆ) อันนี้แหละเขาว่าความผิดพลาด ความผิดเป็นครู แต่อย่าทำผิดอีก คนโบราณเพิ่น(ท่าน)สอนมาอย่างซั่น(นั้น) ก็เลยรับ รับขเจ้า(พวกเขา)ก็ให้อภัย
เฮา(เรา)เคยเห็นกฎหมายที่พ่อแม่ปู่ย่าตาทวดเฮา(เรา)ว่า กฎหมายลหุโทษ ให้อภัย ขอให้สูบัดสมมา(พวกเจ้ามาขอขมา)ว่ากันอันนั้นแหละ เดี๋ยวนี้บ่(ไม่)เป็นจังซั่น(อย่างนั้น)ซิ ขึ้นศาลกำนันผู้ใหญ่บ้าน เอากฎหมายมาว่ากันโลด(เลย)เป็นอย่างซั่น(นั้น) เขาก็ให้อภัยกัน
ต่อมาพากันไปทำมาหากิน ไปพบเอาน้ำหนองอยู่นำกะโหลก(ที่กะลา)ใหม่ พากันไปกิน กินแล้วก็เลยเสีย เสียการเสียงานพากันกินน้ำ ก็เลยมาตกลงกัน เอ้อเลิก น้ำอันนี้บ่(ไม่)กิน เป็นพิษเป็นภัย ก็เลยเลิกกัน เอิ้น(เรียก)ว่าดื่มน้ำเมาเครื่องดองของเมาทุกประเภท
พ่ออย่างพ่อว่านี่(พ่อของหลวงพ่อบอกนี่) แต่เพิ่น(ท่าน)ก็ยังกินอยู่กินเหล้า แม่อย่างพ่อ(แม่ของหลวงพ่อ)ก็เห็นกิน อย่างพ่อ(หลวงพ่อ)เห็น ต้มเหล้าให้พ่อกิน คั้น(หาก)ไปค้าไปขายไปไฮ้(ไร่)มานี่ กองไว้เหล้าไว้กันแล้ว เอาไว้ให้ลูกให้ผัวกิน
ชื่อว่าเว้าซื่อๆ(พูดเฉยๆ) คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักนั่นเขาว่าคนอวดดี คนอวดดีเว้าซื่อๆ(พูดเฉยๆ) คนมีดีแล้วเอามาเว้า(พูด)ให้ฟังอีกอย่างหนึ่ง คนอวดดีเว้า(พูด)อีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นจึงว่า คำว่าพระอรหันต์นี่ให้เฮา(เรา)เข้าใจจริงๆ เฮาจิบ่(เราจะไม่)เข้าใจว่า พระอรหันต์คือหยัง(อะไร) อยู่ที่ใด ก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก อย่างพ่อ(หลวงพ่อ)มาพิจารณาตัวเองต่อเมื่ออายุ ๔๖ ปีมานี่แหละ อย่างพ่อเข้าใจ โอ้..คนนี้มันดีซื่อๆ(เฉยๆ)นี่เด้(นะ) มันบ่(ไม่)เข้าใจ จึงว่าเกิดมานี่มันขาดทุนหรือมันได้กำไร
ทำบุญนี่อย่างพ่อ หมู่(กลุ่มเพื่อน)อย่างพ่อเฮา(เรา)นี้หมู่ก็ฮู้(กลุ่มเพื่อนก็รู้)จักดี อย่างพ่อก็เป็นคนบ้านปากชมนี่ มีหลายคนรุ่นอ้าย(พี่)รุ่นพี่ อย่างพ่อเป็นคนมัก(ชอบ)ทำบุญ ไปฮั่น(นั่น)มานี่มีพี่น้องถามหาอย่างพ่อ บ่แม่นพี่แม่นน้องมิหยัง(ไม่ใช่พี่ใช่น้องอะไร)หรอกหมู่(กลุ่มเพื่อน)นี่ แต่อย่างพ่อเป็นคนไปดีมาดีซื่อสัตย์ต่อพี่ต่อน้อง มาก็เลยเป็นพี่เป็นน้องกันเท่านั้นซื่อๆ(เฉยๆ)
แล้วพี่น้องก็ช่าง ถ้าหากบ่(ไม่)ดีแล้ว เพิ่นก็ว่า(ท่านก็บอก) เว้านำ(พูดกับ)มันก็ลำบาก บัดนี้คนอื่นนี่อันนี้เว้า(พูด)มันดีเด้(นะ) อันนั้นก็ดีอยู่หากบ่(ไม่)ดี ดีอย่างหนึ่งบ่(ไม่)ดีอย่างหนึ่ง พี่น้องนี่ถึงจิฮักจิชัง(จะรักจะเกลียด)กันก็ตามช่างเพิ่น(ท่าน)ว่า ยังมีโอกาสที่จะแก้ไขกันได้ คนอื่นนี่ถ้าหากผิดใจกันแล้วแก้บ่(ไม่)ได้เพิ่น(ท่าน)ว่า
แล้วคนโบราณท่านหนึ่งสอนเอาไว้ ไม่อยู่บ้านเป็นยาไปอยู่นาเป็นพี่น้อง อันนี้ก็สำคัญ ไม่อยู่บ้านเป็นยาไปอยู่นาเป็นพี่น้องก็หมายถึงคนอื่น บัดนี้ถึงจะเป็นชาติเชื้อกันก็ตามช่าง คือเสืออยู่ในป่านี่เพิ่น(ท่าน)ว่า เป็นชาติเป็นเชื้อกันคือ(เหมือน)เสืออยู่ในป่า เข้าไปมองบ่(ไม่)ได้ มันจิ(จะ)กัดจิ(จะ)กินกัน
คนโบราณท่านสอนเอาไว้สั้นๆ ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นก็ช่าง ถ้าหากเอื้อเฟื้อเหมือนเนื้ออยู่ในตีนเรา คั้น(หาก)ถ้าเอาใจใส่แนะนำคำสอนในทางที่ดีเพิ่น(ท่าน)ว่า แต่ก็ดีอยู่ เพิ่น(ท่าน)ว่าพ่อแม่อ้ายน้องกันนี่เหมือนกับเอาไม้ฟันน้ำ เอาไม้ขีดน้ำ หรือเอาผ้าฟันน้ำ มันบ่ขาด(มันไม่ขาด)
อันนี้ก็ให้เฮา(เรา)คิดเอาไว้เรื่องการทำบุญมื้อนี้(วันนี้) ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)คิดจังซี่(อย่างนี้)แล้ว เฮาจิ(เราจะ)ทำไปตามประเพณีซื่อๆ(เฉยๆ) ถ้าหากว่าอ้าย(พี่)น้องเฮา(เรา)ถูกต้องคล้องกันแล้ว พ่อแม่เฮา(เรา)ก็สบายใจ ตัวเฮา(เรา)นี่แหละสบายใจ ถ้าหากพ่อแม่อ้าย(พี่)น้องเฮาหากบ่(เราหากไม่)ถูกต้องคล้องกันแล้วนี้ ตัวเฮา(เรา)นี่แหละอยู่ยาก พ่อแม่เฮา(เรา)ก็อยู่ยาก
อันนี้ชื่อว่าการทำบุญให้พ่อให้แม่เฮา(เรา) ให้เฮา(เรา)เข้าใจอย่างซั่น(นั้น) ผู้ตายไปนั้นก็ตายไปแล้ว แต่ผู้ยังอยู่นี่สิ บัดนี้เฮา(เรา)ได้เนื้อได้หนังได้แข้งได้ขามาแต่ไส(ไหน) ได้มาจากพ่อจากแม่เฮา(เรา) พ่อแม่เฮา(เรา)ตายแล้ว เฮาจิเฮ็ดจังได๋(เราจะทำอย่างไร) จึงจิ(จะ)แก้ไขปัญหาที่เฮามันบ่(เรามันไม่)ดีนั้น เขาจึงว่าความผิดพลาดอันนั้น ต้องแก้
สมมุติว่าอีตาคนนี้จน บอกอย่าเฮ็ดจังซั่นจังซี่(อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้)มันบ่ดี(ไม่ดี) ก็เลิก แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาหาอยู่หากินให้มันอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อเฮา(เมื่อเรา)อยู่เย็นเป็นสุขแล้วเฮา(เรา)ก็สบายใจ ความสบายใจนั่นแหละเป็นบุญ คั้น(ถ้า)หากว่าเฮา(เรา)ทุกข์อยู่นั้นก็บ่(ไม่)มีความสบายใจ เฮ็ด(ทำ)บุญจนหมดเนื้อหมดตัวก็ตามช่าง
อย่างพ่อไปเทศน์หาดใหญ่ มีคนมาถาม ทำบุญกองกฐินหลายกองแล้ว แล้วก็สร้างโบสถ์หลายลูกแล้ว บวชนาคก็หลายคนแล้ว ฉันได้บุญบ่(มั้ย) คนบ่(คนไม่)มีบุญมันจิ(จะ)เห็นบุญบ่(มั้ย) คนบ่ฮู้(คนไม่รู้)จักบุญมันจิ(จะ)เอาบุญได้บ่(มั้ย)
บ่(ไม่)ว่าคนอื่นบ่ดี(ไม่ดี) อย่างพ่อนี่ผู้หนึ่ง หมู่แม่ออก(เพื่อนโยม)แม่เทียนนีฺ่่ฮู้(รู้)จักว่า อย่างพ่อสร้างโบสถ์บ้านบุโฮมนี่ แม่นบ่(ใช่มั้ย) ยังบ่ฮู้(ยังไม่รู้)จักว่าแม่น(ใช่)บุญอยู่นะ เจ้าของตายแล้วจิ(จะ)เอานะบุญนั่น
บุญคือดีใจซื่อๆ(เฉยๆ)นี่ เฮ็ด(ทำ)แล้วมันดีใจซื่อๆ(เฉยๆ) อันความดีใจนั้นแหละบุญ ให้เฮาฮู้(เรารู้)จักว่าเฮาเฮ็ดหยัง(เราทำอะไร)ลงไปแล้ว ดีใจชื่นใจอันนั้นแหละบุญ เฮ็ดหยัง(ทำอะไร)หมดเนื้อหมดตัวไปแล้วบ่แม่นบุญ(ไม่ใช่บุญ) บาปแล้ว บาปนั้นเป็นชื่อของความทุกข์ซื่อๆ(เฉยๆ) มันเป็นชื่อของคนยากคนจน เพิ่นเอิ้น(เขาเรียก)ว่าบาป
คนเฮ็ดหยัง(ทำอะไร)ไปแล้วบ่(ไม่)มีคนตำหนิติฉินนินทานั่น เพิ่นว่า(ท่านว่า) บุญ มันความสบายใจ มันเป็นชื่อของความบ่(ไม่)มีทุกข์ซื่อๆ(เฉยๆ)นี่บุญ เข้าใจไปอย่างซี้(นี้)อย่างพ่อเมื่ออายุ 46 ปีนี้ อย่างพ่อโอ้..บุญนี่มันอยู่ใกล้ๆ นี้เด้(นะ)
เกิดมาแล้วแข้งขาหน้าตามือเท้า บ่(ไม่)เป็นคนบ้าใบ้ บ่(ไม่)เป็นคนวิกลจริต โอ้เป็นบุญแล้วเด้(นะ)อันนี้ แต่เจ้าของจิเฮ็ด(จะทำ)ชั่วหรือเฮ็ด(ทำ)ดีต่อไปซื่อๆ(เฉยๆ) หากเจ้าของสิเฮ็ด(จะทำ)ชั่วนั้นเพิ่น(ท่าน)ว่า ขาดทุน บ่ฮู้(ไม่รู้)จักการแก้ไขตัวเอง ถ้าเจ้าของจิเฮ็ด(จะทำ)ดีแล้วเพิ่น(ท่าน)ว่า ได้กำไร คล้ายๆ คือเฮา(กับเรา)มาค้าขาย
ดังนั้นจึงว่าเอามาเล่าสู่ฟัง ผู้เป็นลูกเป็นหลานอาจจิ(จะ)มานี้ก็ได้หลายคน หรือจิบ่(จะไม่)มานี้ได้หลายคน ก็บ่ฮู้(ก็ไม่รู้)จักอย่างพ่อก็จำบ่(ไม่)ได้เด้(นะ) ลูกๆ หลานๆ ลูกลุงฮวน จึงว่าทุกคนที่มานี่ ให้เข้าใจเอาไว้การทำบุญหาพ่อหาแม่เฮานั่น(เรานั่น) ให้เฮา(ให้เรา)รู้จักว่า เฮา(เรา)ต้องพยายาม ความผิดพลาดมานั้นต้องแก้
อย่าคือว่าดำลงไปอีกตื้ม(เพิ่ม) บ่แม่น(ไม่ใช่) ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)แก้อันนี้แล้ว พ่อแม่เป็นทุกข์เด้(นะ) พ่อแม่เฮาอยู่ไส(เราอยู่ไหน) อยู่กับตัวเฮา(เรา)นี่แหละ แขนพ่อเฮาแม่เฮา(พ่อเราแม่เรา)เพิ่นว่า มดแดงไต่ลงมันเวียนอยู่จังซี้(อย่างนี้) บ่(ไม่)เชื่อข่อย(หลวงพ่อ)นี่ ลองคิดเบิ่ง(ดู)ก็ได้หมู่ขเจ้า(พวกคุณ)
สมมุติว่าลูกหมู่เจ้านี่(พวกคุณนี่ บ่ทันตายเด้(ยังไม่ตายนะ) เขาผิดกันนี่(เขาไม่ถูกกันนี่) แล้วหมู่เจ้าจิ(แล้วพวกคุณจะ)สบายใจบ่(มั้ย)ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ บัดนี้ลูกเจ้า(คุณ)ทุกข์ บัดนี้เจ้าจิ(คุณจะ)สบายใจบ่(มั้ย)ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ลงเฮือน(เรือน)ไปมีแต่คนว่าพื้น(พื้นเพ)ลูกเจ้าบ่(ไม่)ดี เจ้าสบายใจบ่(มั้ย)ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ อย่างพ่อว่าบ่(ไม่)มี พ่อแม่นี่รักลูกเหมือนลูกตาเพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างนั้น
สมมุติเอานี้เด้(นะ)อย่างพ่อว่า ลูกคนเดียวพ่อแม่สองคน เกิดมาตาบอด แล้วมีผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์ก็ว่าได้ผู้จิ(จะ)ว่าจังได๋(อย่างไร)ก็ว่าได้ โอ้อีตาคนนี้มีรูปร่างสวยงามดี เสียแต่ว่าตาบอด ถ้าหากว่าได้ตามาได้สองตานี่ อีตาคนนี้จิ(จะ)เป็นเศรษฐีมีตังค์เป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ พ่อแม่นี่รับรองโลด(เลย)ทีเดียว ต้องเอาตาเจ้า(เธอ)ลูกหนึ่งเอาตาข่อย(ฉัน)ลูกหนึ่งใส่ตาลูก พ่อแม่เสียสละได้ปานนั้น(ขนาดนั้น)
ลูกนี้บ่(ไม่)ยอมเสียสละให้พ่อให้แม่ เพราะหยัง(อะไร) พ่อแม่ว่าบ่(ไม่)ได้เดี๋ยวนี้ สมัยนี้มันเป็นจังซั่นเด้(อย่างนั้นนะ) บ้านเมืองเจริญเด้(นะ)เดี๋ยวนี้ ความเจริญนั่นแหละมันทำให้จิตใจคนเสื่อม คนขาดจากศีลจากธรรม ขาดจากความเคารพนับถือพ่อแม่ สมัยนี้
อย่างพ่อไปเห็นหลายบ้านหลายเมือง มีความเจริญนี้มันทำให้จิตใจคนตกต่ำ ว่าแต่มันเจริญ มันจิ(จะ)เจริญจังได๋(อย่างไร) เจริญอยู่ถนนหนทางวัตถุเงินทองเจริญอยู่ แต่จิตใจมันเสื่อม เฮา(เรา)เห็นกันง่ายๆ เดี๋ยวนี้
อย่างพ่อมาทางบ้านหมู่บ้านปากชมบ้านสง่าบ้านกุดไท ไปแถวนี้อย่างพ่อไป บ่เคยจักเทื่อ(ไม่เคยสักครั้ง) ย่าง(เดิน)ไปมีแต่คนเอิ้น(เรียก)ไปอย่างพ่อ มึงกินข้าวแล้วบ่(มั้ย) ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ เดี๋ยวก็มาแด่หมู่(เพื่อน) เดี๋ยวก็อ้ายๆ(พี่ๆ) แล้วแต่ขเจ้าจิเอิ้นนำ(พวกเขาจะเรียกให้)กินข้าว เดี๋ยวนี้บ่ได้(ไม่ได้)
เดี๋ยวนี้ต้องมีสตางค์ อ้าย(พี่)น้องกันก็บ่เอิ้น(ไม่เรียก)กันกินข้าวเดี๋ยวนี้ ซื้อกันกิน แล้วแม่น(แล้วใช่)จิตใจเจริญหรือจิตใจตกต่ำ มีศีลมีธรรม ลักกัน เอาของวางไว้บ่ได้(ไม่ได้) อันนี้มันถูกแล้วหรือ บ้านเมืองเขาจิเจริญบ่(จะเจริญมั้ย)อย่างนี้ เจริญอยู่เงินทองถนนหนทางเจริญ จิตใจมันต่ำ
นี่แหละเฮาจิ(เราจะ)เห็นผิดเป็นถูก เห็นทุกข์เป็นสุข เห็นนรกเป็นสวรรค์ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเข้าใกล้ๆ อย่างพ่อว่าให้ฟัง อย่างนั้นต้องแก้ไขพวกเฮา(เรา) แต่คนอื่นบ่(ไม่)แก้ไขก็ตามช่าง
ถ้าหากเฮา(เรา)เข้าใจจังซี่(อย่างนี้)แล้ว อ้าย(พี่)น้องเฮา(เรา)พยายามปรับปรุงกัน เพิ่น(ท่าน)ว่าเชื้อชาติตระกูลของเฮา(เรา)ต้องพยายามทำความเข้าใจกัน ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)ทำความเข้าใจกันแล้วจิ(จะ)เดือดร้อนเด้(นะ) จิ(จะ)ทำบุญแล้วก็ยังเดือดร้อนเด้(นะ)
การทำบุญหาผู้ตายนั้น ให้ผู้ยังอยู่นี่เด้(นะ)สบายใจ อันผู้ตายนั้น โอ๊ยตายแล้วเด้(นะ) เอาไปจุดไฟบ่ฮ้อง(ไม่ร้อง) โอ้ย..ฮ้อน(ร้อน) ก็บ่ว่า(ไม่พูด) เอาไปฝังดินเอาขี้ดินกลบหน้าก็ โอ้ย..หายใจฝืดเด้อ(นะ) ก็บ่ว่าเด้(ก็ไม่พูดนะ) มีแต่เฮา(เรา)ยังมีชีวิตอยู่นี่เด้(นะ) ว่ามันทุกข์มันสุข
อันตัวว่าทุกข์ว่าสุข ก็บ่แม่นเนื้อแม่นหนังนี่เด้(นะ) ตัวจิตใจต่างหากเด้(นะ) อย่างพ่อเข้าใจว่า จิตใจต่างหาก อันตัวเนื้อหนังแข็งขามือเท้านี้แท้ อันนี้มันเป็นวัตถุธาตุชนิดหนึ่ง
เพิ่นจึงว่า ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔ ขันธ์ ๑ เหมือนเฮา(เรา)สวดมนต์เฮา(เรา)ทำวัตรนี้ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ขันธ์ ๔ ขันธ์ ขันธ์เดียวขันธ์หนึ่ง กำลังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร กำลังท่องเที่ยวอยู่ภพน้อยภพใหญ่ อันนี้แหละพระอรหันต์ ให้รู้จักจังซี่(อย่างนี้) ถ้าบ่ฮู้(ถ้าไม่รู้)จักจังซี่(อย่างนี้) ก็ว่าซื่อๆ เด้(สวดเฉยๆนะ)
ขันธ์ ๕ ก็ได้แก่หยัง(อะไร) รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันนี้เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียน) ขันธ์ ๕
ุ
ขันธ์ ๔ บัดนี้เพิ่นว่า(ท่านว่า) รูปนี่ทิ้งแล้ว ตาย รูปบ่ว่า(ไม่พูด)รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ วิญญาณเพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่ารู้ บ่แม่น(ไม่ใช่)วิญญาณตายแล้วไปเกิด อันนั้นวิญญาณของพราณหม์พุ่นเด้(นั่นนะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)วิญญาณของพระพุทธเจ้า
วิญญาณพระพุทธเจ้าน่ะ วิญญาณแปลว่ารู้เด้(นะ) หรือว่าจังได๋(อย่างไร) วิญญาณแปลว่าหยัง(อะไร) แปลว่าตายบ่(มั้ย) เนี่ยก็วิญญาณแปลว่ารู้อยู่แล้วนะ แล้วเฮา(เรา)ยังไปเข้าใจอย่างซั่น(นั้น)อยู่ อันนี้แสดงว่าเฮานี่บ่(เรานี่ไม่)เข้าใจ ว่าเป็นซื่อๆ(เฉยๆ)
ปัญญารอบรู้ ปัญญาก็เป็นปัญญาที่ใดอีกตึ้ม(เพิ่ม) วิญญาณกับปัญญานี้ก็คล้ายๆ กัน เพิ่น(ท่าน)ยังให้เจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา ให้มันเกิดขึ้นแท้ๆ เพิ่น(ท่าน)จึงเอิ้น(เรียก)ว่า วิปัสสนาต่างเก่าล่วงภาวะเดิม
บัดนี้ ขันธ์ขันธ์เดียว กำลังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ตัวความคิดนั่นแหละขันธ์ขันธ์เดียว บ่(ไม่)เอาเวทนา บ่(ไม่)เอาสัญญา บ่(ไม่)เอาสังขาร เอาวิญญาณกำลังท่องเที่ยว ตัวทุกข์นั่นแหละ เพิ่น(ท่าน)ยังว่า ให้รู้จักทุกข์ แล้วเพิ่น(ท่าน)สอนจังซี่เด้(อย่างนี้นะ)
ที่เว้า(พูด)ให้ฟังง่ายๆ นี่เด้(นี่นะ) ทุกข์-กำหนดรู้ สมุทัย-ต้องละ มรรค-ต้องเจริญ นิโรธ-ทำให้แจ้ง ว่าซั่น(ว่านั้น) ผู้ที่เรียนหนังสือต้องจำได้
มรรคต้องเจริญ มรรคคืออยู่ไส(ไหน) มรรคก็คือให้เฮา(เรา)รู้สึกตัวนี่แล้ว เฮาบ่(เฮาเราไม่)รู้สึกตัวเฮา(เรา) นี่เฮา(เรา)คิดไปแล้วเฮาบ่(เราไม่)รู้ สมุทัยต้องละ ก็ตัวคิดนั่นแหละตัวสมุทัย
อย่างพ่อเข้าใจจังซี่(อย่างนี้) ใครจิ(จะ)ว่าอะไรก็ตามช่างอย่างพ่อบ่(ไม่)เชื่อคน ตั้งแต่อายุ ๔๖ ปีมานี่อย่างพ่อบ่(ไม่)เชื่อ เป็นนิสัยทิฐิหรือเป็นอะไรก็ตามช่าง เรื่องสมมุตินี่พ่อฮู้(รู้)จักดี อย่างพ่อฮู้จัก(รู้จัก) แต่คน อย่างพ่อบ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)
ทุกข์กำหนดรู้ ทุกข์เพราะการเคลื่อนไหวนี่ เกิดมาแล้วมันทุกข์ เฮา(เรา)ยังไปเอาทุกข์มาอีกตื้ม(เพิ่ม) นี่เคลื่อนไหวกินข้าวกินน้ำ ยังไปกินเหล้าอีกตื้ม(เพิ่ม) ยังไปโอ้ยสิ่งที่ผิดนั่นน่ะฮู้(รู้)จักทุกคน เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ความผิดพลาด ต้องแก้ เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) ความผิดเป็นครู แต่อย่าทำผิด เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านพูดอย่างนั้น)
สมุทัยทำให้ทุกข์เกิด อยู่ไส(ไหน)ตัวสมุทัย ก็ตัวคิดนั่นแหละตัวสมุทัย สมุทัยต้องละ คั้น(หาก)ว่ามันคิดไปแล้วเฮาบ่เห็นเฮาบ่ฮู้(เราไม่เห็นเราไม่รู้) มันก็คิดไปฮัก(รัก)คิดไปชัง คิดไปอยากได้อันนี้อันนั้นแล้ว มันคิดไปแล้ว ผลมันออกมาเฮาบ่(เราไม่)รู้จักมันก็นำทุกข์มาให้เฮา(เรา) เพิ่น(ท่าน)ว่า ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เพราะเฮาเฮ็ดไปนำ(เราทำไปตาม)มันนั่นแล้ว
สมุทัยต้องละ เฮาบ่(ไม่)เห็นมันจิ(จะ)ละได้บ่(มั้ย) มันก็คิดไปบางคนนอนบ่(ไม่)หลับ เป็นบ้าก็มีเรียนมากๆ บางคนมีเงินหลายๆ ฆ่ากันเอาปืนไปยิงฆ่ากันก็มี จ้างเขาไปฆ่ากันก็มี นี่ก็เพราะตัวคิด ตัวสมุทัยนี้แหละทำให้เฮา(เรา)ทุกข์ เมื่อใดเราจิฮู้(จะรู้)จัก มีหมดทุกคน
มรรคต้องเจริญ บ่(ไม่)เห็นจักเทื่อ(ครั้ง) เห็นการเคลื่อนการไหว บ่(ไม่)เห็นจักเทื่อ(ครั้ง) เห็นจิตใจนึกคิด นิโรธทำให้แจ้ง ทำให้มันเห็นตัวคิดนี่แหละ ให้มันเห็นอยู่ทุกขณะจิตนี่แหละ เพิ่นสอนจังซี่(ท่านสอนอย่างนี้)
พระพุทธเจ้าสอน สอนง่ายๆ คั้น(หาก)ว่าง่ายก็ว่า โอ้ย..มันง่าย คั้น(หาก)ว่าง่ายให้ฟังแล้วมันบ่ฮู้(ไม่รู้)จักคน จึงว่าคนอยู่ในที่มืด บอกว่าจุดไฟสิแม้(จุดไฟเถอะ) จุดบ่(ไม่)เป็น
สมมุติเอาคืออย่างศาลานี้ คนบ่(ไม่)เคยใช้ไฟฟ้า มีไฟฟ้าอยู่ มื้อแลง(ตอนเย็น)มาบอกว่าเอาไปเปิดไฟสิ มันก็แล่น(วิ่ง)ไปจับหลอดไฟ มันบ่ฮู้จักมิหยัง(ไม่รู้จักอะไร) หาจนตายแล้วไฟบ่มี(ไม่มี) มันบ่แม่น(ไม่ใช่)สมุฏฐานของไฟเด้(นะ) มันเป็นเพียงความสว่างอันหนึ่งต่างหาก
คนฉลาดบัดนี้ไปเปิดสวิตช์ไฟ เด็กน้อยก็ตามช่างมันเคย มันบ่(ไม่)ไปจับหลอดแล้ว มันไปจับสวิตซ์กดปั๊บไฟมันแล่นไปทำสว่างอยู่พุ้น(โน้น) อันเฮานี้ก็คือกัน(อันเรานี้ก็เหมือนกัน) คนมีปัญญาบอกแล้วก็ฟังเข้าใจโลด(เลย) คนบ่(คนไม่)มีปัญญามันก็บ่(ไม่)รู้จักแล้ว ก็เว้า(ก็พูด)ไปสัพเพเหระไปจังซั่น(อย่างนั้น)
อันนี้แหละพระพุทธเจ้าสอน เพิ่นว่า ให้รู้จักอริยสัจ ๔ ทุกข์-สมุทัย- นิโรธ-มรรค ๔ ข้อเท่านี้เด้(นะ) พระพุทธเจ้าสอน เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านพูดอย่างนั้น) เป็นใจกลางของพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนาอยู่ไส(ไหน) ตัวศาสนาก็เฮา(เรา)ก็ได้เจริญกันแล้ว ก็ตัวคนทุกคนนั่นแหละตัวศาสนา ตัวพุทธศาสนาก็คือ ตัวรู้นั่นแหละ ตัวสติปัญญาตัวคิดเห็นนั่นแหละ อันนี้แหละเพิ่น(ท่าน)ว่า ให้เห็น ให้รู้ เข้าใจ
เห็นตรงนี้แล้วจิ(จะ)เห็นอยู่ไส(ไหน) อยู่ลึกเข้าไป เห็นผี เห็นเทวดา ผีอยู่ไส(ไหน) ผีก็การทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เฮา(เรา)เคยว่ากันบัก(ไอ้)ผีอีผี นี่เฮา(เรา)ว่ากัน ทำบ่ดีเด้นี่(ทำไม่ดีนะนี่) เฮาบ่(เราไม่)มีตาทิพย์แล้วเฮาจิเห็นบ่(เราจะเห็นมั้ย)
เฮา(เรา)ไปเชื่อผีอยู่ในป่าขึ้นมาทำให้เฮา(เรา)เจ็บหัวปวดท้อง ผีมันดีบ่(มั้ย) มันปลูกเฺฮือน(เรือน)อยู่เป็นบ่(มั้ย) มันปลูกบ่(ไม่)เป็นซ้ำ เฮา(เรา)เอาหมูเอาไก่ไปให้กิน มันจิ(มันจะ)กินเป็นบ่(มั้ย) มันกินบ่(ไม่)เป็นซ้ำ ผีกินอายคนอายต่อน(อายตัวเอง) มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) ความจริงเฮาบ่ฮู้จักซื่อๆ(เราไม่รู้จักเฉยๆ) นี่แหละ
เทวดาอยู่ไส(ไหน) อยู่ไสบ่ฮู้(ไหนไม่รู้) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเทวดา ไปไหว้วอน เทวดาคือคนใจดี พูดดี หน้ายิ้มแย้มแจ่มใสนี่ซื่อๆเด้(เฉยๆ นะ) เฮา(รา)ก็ว่า โอ๊ย..อีตานี่อีนางนี่งามคือเทวดาแท้ๆ เฮาคือซื่อๆ(เราเหมือนเฉยๆ) นี่เด้(นะ) เฮาบ่(เราไม่)เห็นจริงเพราะเฮาบ่(เราไม่)มีตาทิพย์
ให้เฮา(ให้เรา)เข้าใจ มาทำบุญหาพ่อหาแม่เฮา(เรา) ให้เฮา(ให้เรา)เข้าใจแท้ๆ(จริงๆ) ถ้าเฮาบ่(ถ้าเราไม่)เข้าใจแล้วเฮาจิเฮ็ด(เราจะทำ)ไปตามประเพณี ก็ดีอยู่อันนั้นอย่างพ่อก็บ่(ไม่)ว่าอันใด แต่มันดีน้อยมันบ่แม่น(ไม่ใช่)ดีหลาย
ถ้าหากว่ามันดีจริงๆ แล้ว เฮา(เรา)ต้องให้มันถูกกันอ้าย(พี่)น้อง พ่อแม่เฮายังบ่(เรายังไม่)ทันตายเด้(นะ) อย่าให้เพิ่น(ท่าน)เสียอกเสียใจ เพิ่นเว้าหยัง(ท่านพูดอะไร)ก็ให้อภัยเพิ่นเเด้(ท่านนะ) แม่ลูกตั้ง ๓ คน ๔ คน พ่อแม่ ๒ คนเลี้ยงได้ บัดนี้พ่อแม่เลี้ยงลูกมาได้ตั้ง ๙ คน ๑o คน พ่อแม่อย่างคนเดียวนี่ลูกตั้ง ๙ คน ๑o คนเลี้ยงบ่(ไม่)ได้ก็มี อย่างพ่อเคยเห็นเด้(นะ)
อย่างพ่อไปเวียงจันทน์ ลูก ๕ คนทำบุญให้แม่ ทำบุญต่ออายุ พ่อตายแล้ว อย่างพ่อผู้หนึ่งเป็นคนไปสวดขเจ้า(ท่าน) แม่ได้อายุ ๗o ปี ขเจ้า(พวกท่าน)พระ ๗ องค์ไปสวด ทำบุญพระธาตุทราย เอาไม้เข้าค้ำเข้าคอคือเฮาเฮ็ด(เหมือนเราทำ)นี่แหละ ทำบุญต่ออายุให้แม่
บัดนี้ทำบุญแล้วก็เลยสวดกัน เพิ่น(ท่าน)ก็เอาหนังสือมาให้เทศน์ เทศน์พร้อมกันโลด(เลย) อย่างพ่อบ่(ไม่)เทศน์ พระ ๖ องค์ก็เทศน์ อย่างพ่อมันฮู้(รู้)จักธรรมะพอสมควรแล้วเด้(นะ) ขเจ้าก็บ่(พวกเข้าก็ไม่)ให้กัณฑ์เด้(นะ) คนขเจ้า(คนพวกเขา)ก็ใจดีอยู่แต่บ่(ไม่)ให้กัณฑ์ อีตาคนนี้บ่(ไม่)เทศน์ อย่างพ่อบ่(ไม่)เทศน์ แล้วพระ ๖ องค์เทศน์ เขาก็ถวายกัณฑ์ ๖ องค์
บัดนี้พอดีพระ ๖ องค์ไปแล้ว อย่างพ่อก็ถาม หมู่เจ้า(พวกคุณ)ทำบุญให้แม่เจ้านี่(คุณนี่) มีความหมายจังได๋(อย่างไร) ขเจ้าก็เว้า(พวกเขาก็พูด)ให้ฟัง ตามเรื่องที่เฮาเฮ็ด(เราทำ)กันนั่นแหละ บ่แม่น(ไม่ใช่)อันนั้น เพิ่น(ท่าน)สวดเมื่อกี้เป็นภาษาบาลีจำได้บ่(มั้ย) ก็บ่ฮู้จัก(ก็ไม่รู้จัก) ว่า “นะโม ตัสสะ” ก็บ่ฮู้จัก(ก็ไม่รู้จัก) ว่าหยังก็บ่รู้จัก(พูดอะไรก็ไม่รู้จัก) โอ้นี่แหละ
แม่เจ้า(แม่คุณ)เจ็บไข้ได้ป่วย เจ้า(คุณ)มาเยี่ยมแม่เจ้าสักเทื่อบ่(แม่คุณสักครั้งมั้ย) ก็นานๆ แล้วค่อยมาเพิ่น(ท่าน)ว่า คนที่อยู่ใกล้ก็ต้องมาทุกมื้อ(วัน) ผู้ที่อยู่นำ(ด้วย)ก็ต้องอยู่นำทุกมื้อ(ด้วยทุกวัน) ชังแม่ซิบางทีชังพ่อก็มีแม่นบ่(ใช่มั้ย) เป็นจังซั่นเด้(เป็นอย่างนั้นนะ) เว้าบ่(พูดไม่)ถูกใจก็ชังก็มีพ่อแม่เป็นอย่างซั่น(นั้น)ลูกนี่ ก็เลยว่าให้ เจ้าอย่าเฮ็ดอย่างซั่น(คุณอย่าทำอย่างนั้น)
อยู่ไกลก็ต้องมา พ่อแม่เลี้ยงเจ้าได้(คุณได้) บัดนี้เมียเจ้า(คุณ)เจ็บไข้ได้ป่วยเจ้า(คุณ)ยังวางของไปไว้ เอาเมียเจ้า(คุณ)ไปโรงพบาบาล แม่แท้ๆ พ่อแท้ๆ เจ้ามาเบิ่งบ่ได้บ่(คุณมาดูแลไม่ได้เหรอ) เป็นหยังจิมาบ่ได้(เป็นอะไรจะมาไม่ได้) มันหากบ่(ไม่)ได้มา มันคล้ายๆ กัน ว่ากันไปกันมาหลายคนแล้ว
อย่างพ่อก็ว่าให้ อธิบายหลายเรื่อง บอกให้กราบแม่ ลูกผู้หญิง ๓ คน ผู้ชาย ๒ คน ผู้ชายบ่กราบ(ไม่กราบ) ลูกผู้หญิงกราบ บอกว่าครั้งที่ ๓ นี่ อย่างพ่อก็เลยแจ้งโลด(เลย) ถ้าหากบ่กราบ(ไม่กราบ) แม่ผู้นี้ตายไปแล้วให้มันตกนรกหมกไหม้ อย่าให้มันมาเกิดเป็นคน ให้มันไปสัตว์เดรัจฉานเป็นหมูเป็นหมาเป็นเป็ดเป็นไก่ อย่างพ่อว่า
อ้าวกราบ บัดนี้กราบแล้ว อย่างพ่อก็กราบนำ กราบผู้แม่นำ กราบแล้วน้ำตาแม่ก็เลยยิ้มออกมาโลด(เลย) มันเกิดปีติ น้ำตาตก บ่(ไม่)เคยเห็นพระมากราบจักเทื่อเพิ่นเล่า(สักทีท่านเล่า) ว่าอย่างพ่อพากราบก็กราบหมดทุกคน ๕ คน บ่แม่นหยังพ่อกราบแม่ออกดอก(ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อโยมผู้หญิงหรอก) อย่างพ่อทำดีให้เบิิ่งซื่อๆ(ดูเฉยๆ)
นี่แหละ กราบตนเองให้เป็น ไหว้ตนเองให้เป็น คนมันบ่(ไม่)กราบตนเอง มันบ่(ไม่)ไหว้ตนเอง
หน้าตาออกมานี่ดีใจหลาย(มาก)ลูกสาว อันนี้แหละทำบุญต่ออายุให้แม่หมู่เจ้า(พวกท่าน) คั้นเฮ็ด(หากทำ)ให้พ่อแม่เสียอกเสียใจ หมู่เจ้า(พวกท่าน)ฆ่าพ่อฆ่าแม่หมู่เจ้า(พวกท่าน) ว่าให้ขเจ้าฟัง(พูดให้พวกเขาฟัง) ขเจ้า(พวกเขา)เข้าใจ หลายเรื่องอย่างพ่อว่า
อันนี้แหละ ทำบุญให้ผู้ตายก็คือ(เหมือน)กันนั่นแหละ ให้เฮา(ให้เรา)เข้าใจใกล้ๆ นี่เสียก่อน อย่างไปเข้าใจเรื่องนรกใต้ดินอย่าไปว่ามันเทื่อ(ที) สวรรค์อยู่บนฟ้าอย่าไปว่ามันเทื่อ(ที) ว่ากันความผิดพลาดอันนี้ซะก่อน แก้ปัญหาตัวนี้ให้มันดีขึ้นมาซะก่อน
ที่นำมาเล่าให้ฟังนี่ หมู่เจ้า(พวกท่าน)ยังหนุ่มยังน้อยก็มีผู้หนุ่มผู้น้อยก็มี ลองเอาไปพิจารณาเบิ่งดู(มองดู) คำสอนของพระพุทธเจ้านี่ ถ้าหากผู้ใดไปใช้ได้แล้ว อย่างพ่อว่าเจริญ ถ้าหากผู้ใดปฏิเสธอย่างพ่อว่าเจริญได้ยาก ถึงเจริญอยู่เงินทองก็เจริญอยู่ แต่หากทุกข์เด้(นะ)
ทุกข์จังได๋(อย่าไร) อย่างพ่อได้ยินอยู่ เดี๋ยวนี้นี่ละไม่ว่าที่ไส(ที่ไหน) คนหนึ่งอยู่จังหวัดประจวบ คือจิ(คือจะ)มีเรื่องคดีฆ่ากัน จ้างกันหมื่นล้านจ้างทนายความ หมื่นล้านนะบ่แม่น(ไม่ใช่)ล้านหนึ่งสองล้าน หมื่นล้านนะมีเงินขนาดนั้นทุกข์บ่(มั้ย) นอนบ่(นอนไม่)หลับแล้ว ย่าน(กลัว)เขามาฆ่าตัวเอง
คนหนึ่งบัดนี่จ้างกันเจ็ดล้าน จ้างกันผู้หมื่นล้านกับผู้เจ็ดล้านจ้างกันสู้คดีกันอยู่ นี่เป็นอย่างนั้น คือว่าเงินเป็นสุขติ(เหรอ) เป็นสุขอยู่ถ้าใช้เป็น มีน้อยก็ใช้สบายใจ ถ้ามีหลาย(มาก)ใช้ในทางที่ทุกข์ก็ทุกข์ ผิดก็ทุกข์ เงินนี้จึงว่าทำลายจิตใจคนได้ ทำให้จิตใจคนต่ำได้
ศีลธรรมนี่แท้ ทำให้จิตใจคนร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ ดังนั้นจึงว่าอยากขอแนะนำพรรคพวกเพื่อนฝูง และพระสงฆ์องค์เณรก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากเฮา(เรา)อยากดีนั้น ต้องเบิ่ง(ต้องมอง)เห็นอยู่ คนที่ชั่วก็เฮ็ด(ทำ)ให้เฮาเห็น(เราเห็น) คนที่ดีก็เฮ็ดให้เฮา(ทำให้เรา)เห็นอยู่ คนขี้เกียจขี้ค้านเป็นคนจน เพิ่น(ท่าน)ว่า
คนขี้ค้านมันบ่ว่าดี(คนขี้เกียจมันไม่ว่าดี) เพิ่น(ท่าน)ว่า เป็นคนอัปรีย์ทุกข์จนหนฮ้าย(ทุกข์ทรมานมาก) ค้านเฮ็ดไฮ้เฮ็ดนา(ขี้เกียจทำไร่ทำนา) เป็นคนอดคนอยาก เป็นคนทุกข์คนยาก เที่ยวหาขอทาน เที่ยวหาขอข้าวสุกข้าวสารบ้านน้อยเมืองใหญ่
เฮ็ดไปใส่(ทำไป)วัดวาอาราม เบิ่งตาเป็นหาบเป็นยาม(มองแล้วก็รู้เลย) ยามมื้อแลงมื้อเช้า(ตอนเย็นตอนเช้า) พระเพิ่น(ท่าน)นั่งฉันข้าว ตัวเพิ่น(เขา)นั่งคอยกิน คั้น(หาก)พระเพิ่น(ท่าน)ยกเอาข้าวออกมาแล้ว เพิ่น(เขา)ก็จะไปค้างเอา(เก็บไว้)แต่บ่(ไม่)ได้หลาย คือคนที่ตายแหละเพิ่น(ท่าน)ว่า
ขเจ้าว่า(พวกท่านบอก)ให้ฟัง อย่าเป็นคนเกียจค้าน ให้เฮา(เรา)ขยันขันแข็ง ตื่นดึกลุกเช้า พ่อแม่อย่างพ่อว่าให้ฟัง หาอยู่หากิน ได้น้อยเก็บให้มาก ได้น้อยใช้มากบ่ดี(ไม่ดี) บ่ฮู้(ไม่รู้)จักหาอีกตืิ้ม(เติม) ก็บ่(ก็ไม่)มีอีกตื้ม(เติม) ฮู้(รู้)จักแต่หาแต่บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเก็บก็บ่(ไม่)มีอีกตื้ม(เพิ่ม)เงิน
ถ้ามีเงินแล้วก็หน้าบาน คั้นถ้าบ่(หากถ้าไม่)มีเงินแล้วก็น่าเศร้า เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) ถ้ามีเงินแล้วมีพี่มีน้อง ถ้าบ่(ถ้าไม่)มีเงินแล้วบ่(ไม่)มีพี่มีน้อง ก็หมดแหละ นี่สำคัญแล้วบัดนี้
อันนี้คนบอกบ่ฟัง(ไม่ฟัง) บ่(ไม่)อยากมีเด้(นะ)เงินนี่ เจ้าของ(ตัวเอง)ใช้แต่อารมณ์เจ้าของ(ตัวเอง) เจ้าของบ่(ตัวเองไม่)เคยมีอยู่แล้วนะ คั้นอ้าย(หากพี่)น้องพ่อแม่แนะนำตักเตือนนี่ ฮือ.. เป็นจังซั่น(อย่างนั้น) อันนั้นก็บ่ดีเด้(ไม่ดีนะ)
หน้าเศร้าอยู่ ไปขอผู้ใดเขาจิ(จะ)ให้ แม่นบ่(ใช่มั้ย) ให้เที่ยวนี้บาทหนึ่งเที่ยวหน้าสองบาท โอ้เขาก็บ่ต่อ(ไม่ต่อ) คนพูดเช่นนั้นก็ปล่อยไปแล้ว เพิ่น(ท่าน)ว่า ถึงก็เป็นชาติเชื้อก็เถอะ อยู่ในป่าพุ้น(โน้น) ก็บ่ฟังเด้(ก็ไม่ฟังนะ) ปล่อยมันไปซะ ให้เข้าใจจริงๆ เรื่องแค่นี้
บัดนี้ ไปอยู่ป่าเป็นยา คนที่แนะนำเฮา(เรา)ในทางที่ดีนี้ คั้น(หาก)บอกเฮา(เรา)ฟัง บอกเฮาฟัง(บอกเราฟัง) เจ้าก็เว้านำ(เขาก็พูดด้วย) คั้นบอกบ่(หากบอกไม่)ฟังแล้วก็ยิ่งไกลเด้(นะ) บอกเที่ยวสองเที่ยวบ่(ไม่)ฟัง ก็ยิ่งไกล
ขเจ้าจิ(พวกเขาจะ)ต้องการเฮา(เรา) ก็ต่อเมื่อขเจ้า(พวกเขา)อยากจิใช้เฮา(จะใช้เรา) คั้นถ้าขเจ้า(หากถ้าพวกเขา)ต้องการอยากใช้เฮา(เรา) ขเจ้าก็ว่านำแด้(พวกเขาก็พูดด้วยนะ) เอาอันนั้นอันนี้ให้ เมื่อได้ใช้แล้วขเจ้า(พวกเขา)ก็ว่าดีแล้ว คั้นว่าบ่(หากว่าไม่)ได้ใช้แล้ว ว่าดีบ่ได้(ว่าไม่ได้)
เรื่องพี่น้องเรื่องพ่อแม่แท้ๆ ถึงจิ(ถึงจะ)ชั่วปานใด(ขนาดไหน)ก็ยังคิดถึงกันอยู่ได้ มันมีเรื่องมันมีนิทานหลายอย่าง ถ้าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง อันนี้พ่ออย่างพ่อ(พ่อของหลวงพ่อ)เล่าให้ฟัง
คนสมัยนี้บ่มีเด้(ไม่มีนะ)เรื่องนิทงนิทาน มีแต่อ่านหนังสือเรื่องการ์ตูนเรื่องสนุกสนาน ลืมเด้(นะ) ลืมเนื้อลืมตัว คนลืมตัวนี่เพิ่น(ท่าน)ว่า เอิ้น(เรียก)คนประมาท คนประมาทนี่เหมือนกับคนตายแล้ว เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านบอกอย่างนั้น)
คนตายนี่มันบ่แม่น(ไม่ใช่)ตายเน่าเข้าโลง มันทำความชั่ว มันทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เพิ่น(ท่าน)ว่า คนมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้วนี่ เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) จึงว่าเฮา(เรา)อย่าเป็นคนมักลืมเนื้อลืมตัว ต้องพยายามฝักใฝ่หาความดีความงาม ให้มีศีลมีธรรม
เฮา(เรา)มาทำบุญให้ลุงฮวนมื้อนี้(วันนี้) ผู้เป็นลูกเป็นหลานก็ต้องพยายามทำให้ถูกต้องคล้องกัน อย่าทะเลาะเถียงกัน ถ้าหากเฮา(เรา)ทะเลาะเถียงกันมื้อใด(วันไหน) ลุงฮวนตกนรกมื้อนั้น(วันนั้น) ลุงฮวนผู้ตายไปแล้วนี้ตกนรกที่ใดเฮาก็บ่ฮู้จัก(เราก็ไม่รู้จัก) เฮา(เรา)ทุกข์นี่แหละ นรกเพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) เรียกว่าความทุกข์
มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง มีมหากษัตริย์คนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียว พ่อตายแล้วยังเหลือแต่แม่ แม่แนะนำให้ลูกเข้าวัดฟังธรรม ลูกบ่(ลูกไม่)อยากเข้าวัดฟังธรรม อยากไปแต่อย่างอื่น บัดนี้แม่ก็มีนโยบาย อ้าวเจ้าไปวัดนะแม่จิ(จะ)ให้เงิน เงินทองพ่อเจ้าหาไว้ใช้บ่(ไม่)หวาดบ่(ไม่)ไหวแล้ว
ก็ไป ไปมื้อหน้าก็เอาเงินมาให้ ไปมื้อเช้า(ตอนเช้า) มื้อแลง(ตอนเย็น)เอาเงินมาให้ ไปวัดก็ไปแต่วัด บ่(ไม่)ได้เห็นมิหยัง(อะไร) ก็เห็นแต่วัดนั่นแหละ ไปวัดซื่อๆ(เฉยๆ) เพราะเฮา(เรา)ไม่ได้สนใจมิหยังเด้(อะไรนะ) แม่ให้เงิน มื้อหน้า(พรุ้งนี้)ต่อไปให้เจ้าไปหาพระเด้(นะ) ไปหาพระก็ไปหาพระซื่อๆ(เฉยๆ)
มื้อหน้า(พรุ้งนี้)ให้เจ้าไปนั่งไปนอนกับพระเด้(นะ) ก็ไปนั่งไปนอนซื่อๆ(เฉยๆ) มื้อหน้า(พรุ่งนี้)ต่อไปหลายมื้อ(วัน) เงินนั้นใช้บ่หมดเด้(ไม่หมดนะ)มหาเศรษฐี ให้เจ้าไปฟังเทศน์กับพระ มันก็ไปฟัง พระเทศน์หยังก็บ่(อะไรก็ไม่)จำเอามา
ต่อไปหลายเที่ยวหลายที มันก็อยากไปบ้านนอกเมืองนา อยากไปค้าไปขาย อยากไปชมประเทศอื่น แม่ห้ามบอกว่าอย่าไปเถอะ อยู่กับแม่นี้ก่อน เชื่อฟังความแม่เถอะ บ่ฟัง(ไม่ฟัง) จิไป(จะไป) ไปก็เลยจัดของใส่กระเป๋า
พ่อเล่าให้ฟังเป็นนิทาน คำว่านิทานนี้เป็นปรัมปราเด้(นะ) จริงๆก็ได้ บ่(ไม่)จริงก็ได้ ก็เลยลุกขึ้นจัดกระเป๋า แม่ก็จับเสื้อผ้าไว้ ศอกก็ใส่ผู้แม่ แม่ก็ล้มตูมลงไปโลด(เลย) พอดีจับกระเป๋าแล้วก็วิ่งเเล่นไป ไปฮอด(ถึง)นายสำเภากำลังปลดสมอ กำลังจิ(จะ)เอาเรือออก กำลังแก้เชือก บ้านเฮา(เรา)เรียกว่าแก้เชือกอยู่ โตน(กระโดด)เข้าเรือแล้วก็เรือก็พุ่งออกไปมีเครื่องจักร
พุ่งออกไปจนกลางมหาสมุทรที่ได๋บ่ฮู้(ที่ไหนไม่รู้)แล้ว พอดีไปถึงมหาสมุทรก็เลยบ่อน(บริเวณ)น้ำลึกแล้ว มองบ่(มองไม่)เห็นฟ้าเห็นแดนบ่(ไม่)เห็นดินแล้ว ก็เลยติดอยู่ที่นั่นเลย ไปบ่ได้(ไปไม่ได้) บัดนี้นายสำเภาก็เลย เออ..คงจะเป็นคนกาลกิณีเข้ามาในเรือเราแล้ว เขียนฉลากให้จับ
คนใดที่เป็นกาลกิณีให้ถูกจับใบนี้ คนใดบ่(ไม่)เป็นกาลกิณีก็บ่(ไม่)ต้องถูกฉลาก อีตาคนนั้นก็ถูกฉลากกาลกิณีแล้ว ทีนี้พอดีถูกฉลากกาลกิณี ทีนี้แล้วนายสำเภาเฮ็ดจังได๋(ทำอย่างไร) ให้เฮาเว้า(เราพูด)กันฮู้(รู้)จักเรื่องอันนี้ คนภาคกลางคนภาคใต้บ่ฮู้(ไม่รู้)จักเรื่อง ขเจ้า(พวกเขา)ก็เลยไปเฮ็ด(ทำ)แพให้
บัดนี้เฮ็ด(ทำ)แพ ตัดเอาไม้นำสำเภานำเรือนั่น เฮ็ด(ทำ)แพให้ เฮ็ด(ทำ)แพให้แล้วก็ให้เลา(เขา)ลงเรือ แล้วก็เอาของอยู่ของกินให้เจ้า(เธอ)กิน เอาอันนี้ไปแล้วเจ้าจิไปไสเจ้า(เธอจะไปไหนเธอ)ก็ไปแล้ว คั้นถ้าเจ้าบ่(หากถ้าเธอไม่)ออกนี้ เรือข้าก็บ่(ไม่)ไปแล้ว ก็ลงอีตาคนนั้นก็ลงแพ พอดีอีตานั้นลงแพแล้วก็พุ่งไปโลด(เลย)บัดเดียว อีตาคนนั้นก็เลยเข้าแพไปผู้เดียว
แพมันก็ไหลไปผู้เดียว ก็มองบ่(ไม่)เห็นกันแล้วมันไกลๆ กัน ก็เลยได้ยินเสียงสัตว์นรกฮ้อง(ร้อง)อยู่ มันเข้าใจว่าเป็นเสียงดนตรีเสียงระนาดคาดฆ้องเสียงปี่เสียงแคน เสียงนั้นม่วน(ไพเราะ)หูมัน มันก็เลยชี้มือ มันเป็นผู้มีอิทธิพลแล้วบัดนี้ ไปที่ตรงนี้ กูจิ(จะ)ไปฟังนำ(ด้วย) บ่ฮู้(ไม่รู้)มันเป็นมิหยัง(อะไร) มันม่วนหู(มันไพเราะหู)
แพก็ได้ไหลไปตามกระแสที่เลา(เขา)ส่งไปนั่นแหละ ไปก็เลยไปฮอด(ถึง)ตามฝั่ง ไปฮอด(ไปถึง)ตามฝั่งแพมันเข้าไปจอด จอดก็แล่นขึ้นไป แล้วไปเห็นสัตว์นรกกำลังกงจักรพันหัวอยู่ ให้หมุนอยู่ศีรษะเลานี้(เขานี้) เลือดมันย่อยออกมาเป็นเต็มเนื้อเต็มตัว
อีตาคนนั้นก็เข้าใจว่า ปัดโธ่มันงามแท้น้อนี่ เข้าใจว่าทองคำเป็นด้วยเครื่องประดับเป็นเพชรเป็นนิลพุ้นนี่(โน่นนี่) บัดนี้อยากประดับเด้(นะ) บัดนี้ท่านผู้เจริญ ท่านเสวยมาแล้วให้ผมเสวยบ้างเถอะ มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น)แล้ว
เห็นผิดเป็นถูก เห็นนรกเป็นสวรรค์ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นทุกข์เป็นสุข มันมาใกล้ๆ เพิ่น(ท่าน)ว่า แต่เพิ่นก็ว่าเพิ่นก็จิบ่(แต่ท่านก็ว่าท่านก็จะไม่)รู้จักดอก อย่างพ่อก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จักแต่ก่อน โอ้อันความจริงมันมีอยู่ในเฮา(เรา)นี่จริงๆ
บัดนี้ก็เลยยังบ่ให้เทื่อ(ไม่ให้สักที) อีตาคนนั้นก็เครียดแล้วบัดนี้ เขาจิ(จะ)เอาทุกข์ให้ เขาบ่(ไม่)ให้ทุกข์ เจ้าของมันเครียดอีกตื้ม(เพิ่ม) เครียดนี่จ่ม(บ่น)มาหลุบปุ๊บปั๊บ ไปหาไปตื้ม(เพิ่ม)เพราะมันอยากได้หลาย หมดกรรมหมดเวรอีตาคนนี้แล้ว บัดนี้ก็ร้องขึ้นมา ท่านผู้เจริญรีบมาประดับเครื่องท่านเถอะ
แล่นไปโลด(วิ่งไปเลย)อีตาคนนี้ แล่นเอากงจักรออกจากหัวเจ้าของ(ตัวเอง)นั่นแหละ ไปใส่หัวอีตาคนนั้นอีกตื้ม(เติม) กงจักรก็ปั้ปเสียบเข้าโลด(เลย)แล้ว เฮา(เรา)ก็เห็นอยู่นี้ ปาน(เหมือน)เอาหอกแทงหัวอยู่สัตว์นรก แม่นบ่(ใช่มั้ย)เคยเห็นอยู่ ปั๊บแล้วก็พันเข้าไปโลด(เลย)บัดเดียว พันเข้าไปแล้วก็ออกบ่(ไม่)ได้แล้วมันมีเกลียวเข้าไปเด้(นะ)
ฮ้อง(ร้อง)ขึ้นแล้ว โอ๊ยๆ ท่านผู้เจริญมารับเอาของท่านเถิด บ่แม่น(ไม่ใช่)ของผมแล้ว ของท่านแล้วบัดนี้ เสวยไปเถอะ นี่อันนี้แหละ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เพิ่น(ท่าน)ว่า อย่าเห็นผิดเป็นถูก ให้เห็นทุกข์เป็นทุกข์ ให้เห็นสุขเป็นสุข เพิ่น(ท่าน)ว่า
เนื่องจากบ่(ไม่)ฟังความพ่อความแม่ บ่(ไม่)ฟังความคนที่ฉลาด คนฉลาดนี่เขาเบิ่ง(มอง) เพิ่น(ท่าน)ว่าขุนนางแต่ก่อนนี่ เพิ่น(ท่าน)ว่ามองด้วยสายตา คนนี้สิทุกข์สิจนนี่เพิ่น(ท่าน)คาดคะเนไว้ บ่(ไม่)อย่างค่อยผิดน้อ เฮา(เรา)ว่าอีตาคนนี้มันบ่ค่อยดีเด้(ไม่ค่อยดีนะ) ก็แน่แท้ๆเด้(จริงๆนะ) เพิ่น(ท่าน)อ่านลักษณะการกระทำ เพิ่น(ท่าน)ว่าอย่างซั่น(นั้น)
อันนี้ว่าธรรมะก็แม่นเด้(ใช่นะ)เนี่ย ว่าให้ฟังก็แม่นเด้(ใช่นะ)เนี่ย ดังนั้นจึงว่า ให้ฮู้จัก(ให้รู้จัก) ให้ศึกษา เรื่องศีลธรรมนี่บ่(ไม่)ค่อยพาคนไปชั่วปานใด เรื่องความชั่วนั้นให้ฟังโดยเหตุโดยผล ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)ฟังโดยเหตุโดยผล แล้วจะใช้ตั้งแต่อำนาจของตัวเองนั้น อย่าว่าแต่เจ้าของถูกเด้(นะ)
คนมันเข้าข้างตัวอยู่เสมอ ว่าแต่กูเนี่ยถูก คนอื่นผิดทั้งนั้น นี่มันเป็นอย่างซั่น(นั้น) แต่เราบ่รู้จักเด้(ไม่รู้จักนะ) บางทีเพิ่น(ท่าน)อาจจะผู้อยู่ข้างในนี้ ว่าแต่เจ้าของเฮ็ด(ทำ)ถูกผู้เดียว บางทีเจ้าของผิดเต็มเนื้อเต็มตัวไปแล้ว คนอื่นเตือนบ่(ไม่)ได้ก็มีนะเรื่องนี้
ดังนั้นจึงว่า มีพรรคมีพวกที่ดีมีหมู่เพื่อนที่ดี ช่วยกันแก้ไขได้ ถ้าหากพรรคพวกที่ชั่วแล้ว แก้ไขบ่ได้(ไม่ได้) เพิ่น(ท่าน)จึงว่าเขาอาศัยพระ หรือเขาอาศัยนักปราชญ์ คำว่านักปราชญ์เฮา(เรา)จะไปเห็นแต่เจ้าหัวอ้ายจั่ว(พระเณร) นั่นก็บ่แม่นซื่อๆ(ไม่ใช่เฉยๆ) อันนั้นบ่แม่น(ไม่ใช่)อยู่
คนที่บวชแล้วก็สึก พระอาจารย์เพ็ญนี่บวชแล้วก็สึกนี่ขเจ้าแม่นบ่(ใช่มั้ยท่าน) มันเป็นสมมุติ ให้เฮา(เรา)รู้จักสมมติจริงๆ พระหมายถึงผู้สอนคน ให้เข้าใจว่าผู้ใดสอนคนในทางที่ถูกต้อง เขาเอิ้น(เรียก)พระ
พระจึงแปลว่าผู้ประเสริฐ พระคือผู้สอนคน คนที่เฮ็ด(ทำ)ผิดน่ะ ไปแนะนำคำสอน เขาเอิ้น(เรียก)พระ ให้เข้าใจอย่างซั่น(นั้น) เพิ่น(ท่าน)จึงว่าพระโสดาบันบุคคลนั้นยังมีผัวมีเมียอยู่ เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านบอกอย่างนั้น) แต่หากบ่(ไม่)ตกนรก เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านบอกอย่างนั้น) คั้น(หาก)คนยังตกนรกอยู่นั้นบ่เอิ้นว่าพระ เพิ่นบ่เอิ้น(ไม่เรียก)ว่าพระ
ให้เข้าใจง่ายๆ ที่อย่างพ่อว่า การทำบุญหาพ่อหาแม่เฮา(เรา) ถ้าเฮ็ดบ่(ทำไม่)เป็นแล้วฆ่าวัวฆ่าควายนั้นชิบหายเด้(นะ) เงินทองมันหมดเด้(นะ) คั้น(หาก)ถ้าจะทำบุญหาพ่อหาแม่ อย่างที่อย่างพ่อว่าให้หมู่เจ้าหัวอ้ายจัว(พระเณร) แล้วสู(แล้วคุณ)จะทำบุญหาพ่อ สู(คุณ)ก็พิมพ์หนังสือจัก(สัก)น้อย แล้วก็เอาหมู่มาเจริญวิปัสสนานี่
อาจจิ(อาจจะ)ดีกว่าเฮา(เรา)ไปฆ่ามัวฆ่าควาย เอาเหล้ามากินเล่นเบี้ยเล่นไพ่ ขเจ้าก็เฮ็ด(พวกเขาก็ทำ)ไปตามซื่อๆ(เฉยๆ) บางทีจิเฮ็ด(จะทำ)ด้วยความจำเป็นอย่างที่พ่อว่านี่ก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก อย่างพ่อบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ว่าซื่อๆ(เฉยๆ)
หมู่อันเจ้าเฮ็ดนี้จะ(พวกท่านทำนี้จะ)คิดเอาเองก็บ่ฮู้จักเด้(ไม่รู้จักนะ) อย่างพ่อบ่(ไม่)ได้ชวน ขเจ้า(พวกเขา)ชวนไปหาก็เลยว่าให้ซื่อๆ(เฉยๆ) ต้องพิมพ์หนังสือให้คนได้อ่าน เพราะคนบ่(ไม่)ได้อ่านหนังสือ อ่านแต่เรื่องหนังสือการ์ตูน
หนังสือธรรมะบ่(ไม่)ได้อ่าน แล้วจะเป็นเนื้อในใจคนที่มาสอนให้คนดีนี้บ่มี(ไม่มี) มีแต่เรื่องข่าวนั้นนางนี้ เรื่องคนเป็นเสือนั้นเสือนี้ไปซะโน่น เรื่องเจริญนี่ว่าซั่น(นั่น) คนนั้นรูปโป๊รูปเป้ไป ขเจ้า(พวกเขา)เขียนมาให้อ่าน แล้วเด็กน้อยสมัยนี้มันก็อ่านหนังสือได้ มันก็อ่านแล้วก็ติดไป
จึงว่าเอาหนังสือธรรมะมาพิมพ์แฝงๆ ขึ้นมา ให้ขเจ้า(พวกท่าน)ได้อ่าน อาจจิ(อาจจะ)พอสู้กันได้ ถ้าหากเราจะไหลไปตั้งแต่โลด(เลย) บ่(ไม่)เจริญแล้ว บ่(ไม่)ทันนานพึบเดียวก็เป็นไฟขึ้นมาแล้ว มันจิ(จะ)ไหม้เฮา(เรา)
อันนี้แหละการทำบุญ ให้เข้าใจจริงๆ ถ้าหากบ่(ไม่)เข้าใจแล้ว มีแต่กี่คนมาหลอกมาล่อเฮา(เรา) ให้เฮาเฮ็ด(เราทำ)เสียเงินเสียทองเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แล้วบ่(ไม่)ได้ประโยชน์มิหยัง(อะไร)
อย่างพ่อไปอยู่วัดสวนแก้ว คนหนึ่งมีลูกชายคนเดียว บวช ๑๕ มื้อ อย่างพ่อว่าให้ โอ๊ยบวชก็ได้พ่อออกบ่เป็นหยังแม่ออก(ไม่เป็นอะไรโยม) เฮ็ดบ่(ทำไม่)สมหน้าสมตาเพิ่น(ท่าน)ว่า บวช ๑๕ มื้อหมดเงิน ๓o,ooo เพิ่น(ท่าน)ว่า โอ๊ยสมน้ำหน้ามันเด้(นะ)คิดอยู่ในใจ เจ้าของกะดาย(เถอะ)บอกบ่(ไม่)ฟังความ
บวช ๑๕ มื้อหมดเงิน ๓o,ooo เอาข้าวเตี๋ยวพร้อม นี่ขายข้าวเตี๋ยวเอาให้คนที่มี เป็นหนี้ใช้ก็บ่(ไม่)ทันซ้ำ บวชสึกออกไปแล้วลูกน่ะ มันได้ประโยชน์มิหยัง(อะไร) ให้เฮา(เรา)เข้าใจ จิเฮ็ดหยัง(จะทำอะไร)กัน ถ้าบ่(ไม่)เข้าใจแล้วมันจิ(จะ)ฉิบหาย อย่าเที่ยวไปเอาหน้าเอาตาเอาชื่อเอาเสียง เพิ่น(ท่าน)ว่า
น้ำหยดใส่ไห คั้นโอ่งคั้น(หากโอ่งหาก)ไหดีแล้ว น้ำหยดปั๊บหนึ่งมันก็อยู่ คั้น(หาก)น้ำฝนตกจ๊ากๆ คั้น(หาก)โอ่งไหก้นมันแตก บ่(ไม่)เก็บอยู่เด้(นะ) มันจิ(มันจะ)อยู่จังได๋(อย่างไร)ก้นมันฮั่วเด้(รั่วนะ)
เงินทองคือกัน(เหมือนกัน) คั้นบ่ฮู้(หากไม่รู้)จักใช้ มันหมด ถ้าฮู้(ถ้ารู้)จักใช้แล้ว มันเก็บอยู่ได้ มีเงินแล้วก็หน้าบานเพิ่น(ท่าน)ว่า คั้น(หาก)ไม่มีเงินแล้วก็น่าเศร้า อย่างพ่อว่า พี่น้องก็บ่(ไม่)มี ถ้ามีเงินแล้วลงเงินไปแล้วพี่น้องก็มี อย่างพ่อเว้าซื่อๆ(พูดเฉยๆ)
นี่หมู่(นี่กลุ่มเพื่อน)อย่างพ่อเทียนอย่างแม่เทียนนี่แหละ บ่แม่นพี่แม่นน้องแม่ออก(ไม่ใช่พี่ใช่น้องโยม)แล้ว อย่างพ่อไปมาดีแล้วคนบ้านแถวนี้ฮู้(รู้)จักอย่างพ่อ อย่างพ่อเคยซื้อเคยขายนี่ แล้วขเจ้าก็เอิ้น(พวกเขาก็เรียก)ว่าลูกว่าหลานว่าพี่ว่าน้อง พี่น้องนี่เพราะมีเงิน ถ้าหากบ่(ไม่)มีเงินแล้วหน้า เศร้าไปหาไผก็บ่(ใครก็ไม่)อยากเอิ้น(เรียก)พี่เอิ้น(เรียก)น้อง เป็นอย่างซั่นล่ะ(นั้นล่)ะ
อันนี้นำความจริงมาเล่าให้ฟัง อันนี้แหละการทำบุญหาพ่อหาแม่เฮา ให้เฮา(เรา)รู้จัก อย่าเพิ่งโอ๊ย..มันบ่แม่น(มันไม่ใช่)ธรรมะหรอก บางทีอาจจิแม่น(จะใช่) นี่แหละพระอรหันต์
ให้มองเห็นว่า โอ้..ผีเกิดขึ้นมาในจิตใจแล้วเด้(นะ)เดี๋ยวนี้นี่ ให้เห็นอันนี้ ผีก็อยู่นี่ เทวดาก็อยู่นี่ พระอรหันต์จึงมองเห็นตัวเอง อย่าไปมองเห็นคนอื่น ถ้าหากเราดีแล้วจิ(จะ)ดีมีพี่มีน้อง ถ้าหากชั่วลงไปแล้วพี่น้องจิบ่(จะไม่)มี คิดแต่ชั่วนั้นมีแต่ผีเกิดขึ้น จิตใจนี่แหละเพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่ามันเป็นผี
เพิ่นจึงว่า ตัวทุกข์คือตัวสมุทัยทำให้ทุกข์เกิด ตัวคิดนี้แหละมันทาบจิตไป เพิ่น(ท่าน)ว่าทุกข์ สมุทัยต้องละ มรรคต้องเจริญ ต้องเบิ่งจิตเบิ่งใจเฮานี่(ต้องดูจิตดูใจเรานี่) นิโรธทำให้แจ้ง เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอยางนั้น) พระพุทธเจ้าเพิ่น(ท่าน)ว่า
ทำให้แจ้ง คือทำให้รู้จักจิตใจอันนี้ มันคิดเข้าแต่ส่วนตัวเอง มันแก้ปัญหาบ่ได้(ไม่ได้) เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่าสัตว์นรก เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านบอกอย่างนั้น) นรกมันอยู่นี่ซะก่อน บ่แม่น(ไม่ใช่)นรกอยู่ใต้ดิน มันเห็นซะก่อน มันเห็นอยู่นี่ซะก่อน ถ้าบ่(ไม่)เห็นอยู่นี่แล้วโอ้ย..หนีนรกบ่ได้(ไม่ได้)
ที่นำมาเล่าให้ฟังนี่ เข้าใจ ถ้าบ่(ไม่)เข้าใจจังซี่(อย่างนี้)แล้ว เฮาจิ(เราจะ)ทำบุญก็จิ(จะ)พลาดผิด เดี๋ยวนี้นี่มีแต่อยากได้บุญแม่นบ่(ใช่มั้ย) เจ้าหัว(พระ)ก็อยากได้บุญ อ้ายจั่ว(เณร)ก็อยากได้บุญ โยมก็อยากได้บุญ แล้วมีแต่พากันหาบุญ อยู่ไส(อยู่ไน)บุญนั่นน่ะ ใครเฮ็ดแด้(ทำนะ)เอามาให้เฮาจักเทื่อ(เราสักที)
อย่างพ่อเฮ็ดแล้ว(ทำแล้ว) เฮ็ด(ทำ)กองบวช หมู่พี่น้องไปบ้านปากชมไปบ้านบุโฮมโน่น เฮ็ด(ทำ)กองกฐินไปกัน หาบของมาลุ่มตุ้มตั้มกันไป แล้วไปอยู่ไส(ไหน) บ่(ไม่)เห็นเอาบุญให้กันจักเทื่อ(สักที) ไปหาบของไปหาบปูหาบปลาไปจังซี่(อย่างนี้) เอาปลาแห้งไปไปช่วยเฮ็ดบุญ
อย่างพ่อเฮ็ดอย่างซั่น(ทำอย่างนั้น) แล้วก็บ่(ไม่)เห็นเอาบุญให้กันจักเทื่อ(สักที) อย่างดีก็แต่ไปเบิ่ง(ดู)เอาหมอลำเท่านั้นล่ะ แล้วก็อ้าปากกลับคืนมาหน้าแห้งคือเก่า เพราะเฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จักบุญยังว่า
บุญนี้ให้เฮา(เรา)สบายใจเนี่ย ไปมาหากันหน้าชื่นหน้าบานเนี่ย คั้น(หาก)หน้าแห้งหน้าเศร้าแล้วมันเป็นบาปอันนั้นน่ะ ให้เข้าใจใกล้ๆ ซะก่อน
นี่ที่อย่างพ่อนำมาเล่าให้ฟังนี่ การทำบุญหาพ่อหาแม่เฮา(เรา) ก็ให้เฮา(เรา)ถูกต้องคล้องกัน ผู้ใดทุกข์ใดจนก็ต้องแนะนำ มึงอย่าเฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น) มึงอย่าเฮ็ดจังซี่(ทำอย่างนี้) หรือเจ้าเฮ็ด(หรือเธอทำ)อย่างซั่น(นั้น)อย่างซี่(นี้) มันบ่ดี(ไม่ดี)
อย่างพ่อว่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ แม่ออกอันนั้นอายุ 70 ปีแล้ว บอกให้กราบพ่อกราบแม่ก็กราบบ่ได้(ไม่ได้) มันก็ทุกข์ พอดีอย่างพ่อพากราบ แล้วมันก็หน้าบานขึ้นมา น้ำตามันก็ยิ้มออกมา น้ำตาใสๆ บ่แม่น(ไม่ใช่)ตาขุ่น เกิดปีติ
นั่นแหละเพิ่น(ท่าน)ว่า ปีติต่ออายุพ่อแม่สบายใจ บุญนั่นแหละ ความสบายใจ ดีอกดีใจ อันนั้นแหละต่ออายุให้แม่บ่(ไม่)ตายง่าย ต่ออายุให้พ่อบ่(ไม่)ตายง่าย
ถ้าหากทำอย่างใดพ่อแม่ก็บ่ฟัง(ไม่ฟัง) มันเสียอกเสียใจ มันตายง่าย อันตายง่ายนั้น เพิ่นเอิ้น(ท่ารเรียก)ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เดี๋ยวนี้บ่แม่น(ไม่ใช่)แต่ว่าให้เสียใจซื่อๆ(เฉยๆ) เอาปืนไปยิงก็มีอย่างพ่อเห็น เอาปืนไปยิงพ่อตายก็มีน่ะ นี่ขนาดนั้นแหละจิตใจมันโหดร้ายปานนั้น(ขนาดนั้น)
ที่นำมาเล่าให้ฟังมื้อ(วัน)นี้ก็เจ็บนะเนี่ย อย่างพ่อเจ็บท้อง ความจริงถ้าบ่แม่น(ไม่ใช่)งานลุงฮวนนี่อย่างพ่อบ่(ไม่)ได้มาง่าย อย่างพ่อไปตรวจโรงหมอเขาอยากให้อย่างพ่อเข้าโรงพยาบาล เขาว่าอย่างพ่อนี่ถ้าหากปล่อยไว้แล้วจิ(จะ)ตายง่ายๆ ขเจ้าว่า(พวกเขาว่า)
อย่างพ่อว่านี่ก็เจ็บท้องอยู่เด้(นะ) แต่จำเป็นถ้าหากว่าบ่มาก็บ่ได้(ไม่มาก็ไม่ได้) จึงมาว่าให้ฟังซื่อๆ(เฉยๆ) เพราะว่าอย่างพ่อนี้ก็จิ(จะ)กลับไปไว จิ(จะ)กลับไปเข้าโรงพยาบาล ไปนอนโรงพยาบาลหมอเขานัด ไปพุ้น(โน้น)ก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลอีกตื้ม(เพิ่ม)อย่างพ่อ หมดหน้าที่แล้ว หน้าที่ตายแล้วล่ะ
แต่ว่าได้มาเว้า(พูด)ให้ลูกให้หลานให้พี่ให้น้องฟัง ก็เพื่อตั้งอกตั้งใจมาว่าให้ฟัง การทำบุญนั้นดีแล้ว อย่างพ่อบ่(ไม่)ตำหนิดอก(หรอก) แต่ให้มีปัญญาคิดขึ้น ก่อนที่จะเกิดปัญญาอย่างนี้ อย่างพ่อได้เจริญสติ ความรู้สึกตัวนี่แหละ เรียกว่าวิปัสสนา อย่างพ่อเกิดความรู้ความเห็นเข้าใจจังซี้(อย่างนี้) นิพพานก็อยู่ที่นี่
นิพพานนั้นคือว่า เราบ่(ไม่)สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้ตัวเอง แล้วก็รู้จักเมื่อเจ้าของจิ(ตัวเองจะ)ตายนี้ แต่ทุกคนต้องแน่ที่สุด เอ้า..จิเว้า(จะเล่า)เรื่องนี้นิพพานให้ฟังบัดนี้ เพราะว่าจวนจะเซา(เลิก)แล้ว
นิพพานนั้นคือความตาย นิพพานคือความหมดกิเลส นิพพานนั้นว่าคือดับทุกข์ มันเว้าซื่อๆ(พูดเฉยๆ) นั่นแหละ ตายแล้วนั่น ตายแล้วคน ยังเหลือแต่พระ
บ่แม่น(ไม่ใช่)ตายหมดลมหายใจเด้(นะ) ตายแล้วคน คนหมายถึงสับสนวุ่นวาย ก่อแต่ความเดือดร้อนเพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)คน คนเฮาเอิ้นโสเหล่(เราเรียกจับกลุ่มคุยกัน) โอ้อีตานี้เว้า(พูด)ยากแท้น้อนี่ โสเหล่บักบ้าอีบ้านี่(คุยกันเรื่องบ้าๆ บอนี่)
อันคนนั้นมันหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในใจเฮานี้(เรานี้) ให้ฮู้(รู้)จักอันนี้ คนนั้นมันโสเหล่(จับกลุ่มคุยกัน) มันตายแล้ว มันมีแต่พระ พระนั้นเป็นหยัง(อย่างไร) เพราะการวิวัฒน์พัฒนาขึ้นมาๆ พระแปลว่าผู้ประเสริฐ ยังแต่จิตใจล้วนๆ ยังแต่สติปัญญาล้วนๆ เพิ่นเอื้น(ท่านเรียก)พระ
อันนี้แหละคำว่านิพพาน ให้มันอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าหากเฮาบ่(เราไม่)เข้าใจอย่างซั่น(นั้น) เฮาจิ(เราจะ)สอบผ่านนิพพานบ่พอเด้(ไม่พอนะ) บ่(ไม่)พอแท้ๆ จึงว่าให้คนมันตายซะ ให้มันเหลือแต่พระซะ ให้มันรู้จักจังซั่น(อย่างนั้น)
การทำอย่างนี้เหมือนเข้าไปในถ้ำ เมื่อเฮา(เรา)อยู่ในถ้ำนี่มันมืด มีบุคคลผู้ฉลาดขึ้นมา ไม้ขีดอยู่ในมือเจ้า(เธอ)แล้วเทียนไขอยู่ในมือเจ้า(เธอ)แล้ว จุดเอาแม๊(หน่อย)ต่อยเอาแม๊(ตีเอาหน่อย) จุดเทียนความมืดมันหายไปโลด(เลย)
บาปกรรมก็ตามช่าง ถ้าหากเฮา(เรา)รู้สึกดีแล้ว หายเลย เฮามืดเฮาจิ(เรามืดเราจะ)สว่างขึ้นมาได้ทันที เฮา(เรา)เคยได้ยิน บางคนอาจจิ(จะ)ไม่ได้ยิน จำไว้ได้ องคุลิมาลฆ่าคนมาตั้ง ๙๙๙ คนเป็นพันคนพุ้น(โน้น)แน่ะ ฆ่าคนนี้บาปไหม เมื่อไปพบพระพุทธเจ้าแล้ว จิ(จะ)ฆ่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงว่า องคุลิมาล เอ่อ..องคุลิมาลเอิ้น(พูด)เสียก่อน สมณโคดมไม่กลัวตายจะเดินไปทำไม เราไม่ได้เดิน องคุลิมาลเดินคนเดียว อย่ามาตั๋ว(โกหก) นี่คนมันต้องเห็นไปด้วยตาซื่อๆ(เฉยๆ)
พระพุทธเจ้าคนมีปัญญา เราไม่ได้เดิน องคุลีมาลเดินคนเดียว อย่าตั๋ว(โกหก) เราไม่ตั๋ว(โกหก) เราหยุดแล้ว หยุดทำไมย่างไป(เดินไป) เราหยุดจากการทำชั่ว นี่ เราหยุดการพูดชั่ว เราหยุดจากการคิดชั่ว โอ้..กูนี้ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่วเด้(นะ) จึงหยุดทันที
อันนี้แหละ บ่(ไม่)เห็นตัวสมุททัยน่ะ ตัวสมุทัยทำให้ทุกข์เกิด ตัวสมุทัยทำให้ทุกข์เกิด องคุลิมาลก็จิ(จะ)ฆ่าคนเพราะไปเชื่อคำคนอื่น คนอื่นน่ะย่านเฮาดีคือกัน(กลัวเราดีเหมือนกัน) ลูกศิษย์ย่าน(กลัว)องคุลีมาลดีเกิน
เพราะองคุลิมาลเป็นคนพูดจริงทำจริง แนะนำนี้อาจารย์เพ็ญเคยได้ยินบ่(มั้ย) เออนี่แหละ ให้ส่งเสริมครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็เป็นคนบ่ดี(ไม่ดี) พยายามแจ้งให้องคุลิมาลไปฆ่าคน จึงว่าคนต้อง ๙ คน ๑o คนต้องฆ่าองคุลิมาลได้ นี่เป็นอย่างซั่น(นั้น)
พอดีไปพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่า หยุดนะ องคุลิมาลก็เลยหยุดจากการทำชั่วพูดชั่ว แล้วก็ได้เป็นพระอริยบุคคล
เอาแหละมื้อ(วัน)นี้ได้นำธรรมะมาเล่าให้ฟัง พ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายที่สุดนี้ อาตมาพร้อมด้วยพระสงฆ์และญาติโยมที่มานั่งฟังธรรมะอยู่ ณ สถานที่นี้ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณพระบรรดาสงฆ์สาวกพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า
มาเตือนจิตใจพวกเรา ให้พวกเราได้เจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา ให้ตัดตัวสมุทัยให้ได้ ให้ฆ่าตัวสมุทัยให้ได้ มรรคต้องเจริญ นิโรธทำให้แจ้ง
ขอให้พวกเราทุกคนๆ จงพบเอากับชีวิตจิตใจของเฮา(เรา)ที่มันบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบอยู่ในตัวเฮา(เรา)นี้ในชีวิตนี้ จงทุกท่านทุกคนเทอญ.
…………
ตั้งใจ รับประทานอาหารไปพร้อม แล้วก็อย่างพ่อจิ(จะ)ว่าให้ฟังไปพร้อม เป็นการให้พร แต่ก่อนเฮา(เรา)ไปเอาบุญ ฟังเอาพระ “ยะถา สัพพี” จิ(จะ)ได้บุญ อันนั้นได้อยู่ แต่บุญแบบนั้นมันบุญแบบหนึ่ง บุญแบบอย่างพ่อว่านี่มันบุญแบบหนึ่ง ให้พรแบบอย่างพ่อว่านี่มันให้พรแบบหนึ่ง
ให้พรแบบภาษาบาลีนี้มันเป็นแบบหนึ่ง เฮา(เรา)เป็นคนไทย แล้วฟังภาษาบาลีมันบ่(ไม่)ออก คั้นเฮาบ่(หากเราไม่)แปลมันบ่(ไม่)ออก มันต้องแปล “นะโม ตัสสะ” นี่ก็ยังว่าอยู่จนตาย หลายชั่วคนที่ตายมา ไปบ้านใดเมืองใดก็ว่า “นะโม ตัสสะ” เป็นหมดทุกคน
แล้วมีความหมายจังได๋(อย่างไร) “นะโม ตัสสะ” “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” ถามเด็กน้อยเขาก็ว่าได้ อันนั้นเขาว่าเมืองคนดี แต่เป็นคนไม่ดี ว่าดีซื่อๆ(เฉยๆ) แต่บ่ฮู้(แต่ไม่รู้)จักมันเลยบ่ดี(ไม่ดี) เพิ่น(ท่าน)ว่า
เมืองคนดี กลับเป็นคนไม่ดี เฮือนเฮาคือ(เรือนเราเหมือน)กันบ้านเฮาคือ(เราเหมือน)กัน บ้านดีเฮือน(เรือน)ดี แต่เป็นคนบ่(ไม่)ดีอยู่ บัดนี้ตัวเฮา(เรา)นี่ดี แข้งขาหน้าตามือเท้าดี แต่อันความคิดมันบ่(ไม่)ดี็ก็มีอยู่นี่ เมืองคนดีแต่เป็นคนไม่ดี
บัดนี้เฮา(เรา)เป็นเมืองคนดี ให้เป็นคนดีเข้าไปอยู่ ร่างกายเฮา(เรา)แข้งขาเฮาบ่หักบ่ห้าม(เราไม่ขัดข้อง) ให้มีจิตใจดีเข้าไปอยู่เพิ่น(ท่าน)ว่า เพิ่น(ท่าน)จึงว่า “นะโม ตัสสะ” นี่ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” นั้นเป็นภาษาบาลี เว้า(พูด)จนตายก็บ่(ไม่)รู้จักแปลว่าจังได๋(อย่างไร)
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” แปลว่าขอนบน้อม นบจังได๋(ไหว้อย่างไร) น้อมจังได๋(อย่างไร) ให้เฮาฮู้จัก(ให้เราจัก)
“อะระหะโต” อันนี่ก็เป็นภาษาบาลี เว้า(พูด)จนตายก็บ่ฮู้(ไม่รู้)จัก บัดนี้เฮา(เรา)เป็นผู้ไกลจากข้าศึก ไกลจากอันตราย ไกลจากกิเลสพุ้น(โน้น) ก็แม่น(ก็ใช่) ข้าศึกอยู่ที่ใด คนทะเลาะเถียงกันนั่นแหละข้าศึก
อันตรายก็เพราะว่าเมืองคนมันบ่(ไม่)ดีนั่นแหละมันอยู่ ตัวคนบ่(ไม่)ดีมาอยู่เมืองคนดีนี้ อันตัวจิตใจบ่ดีนั่นแหละเพิ่น(ท่าน)ว่า เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ว่ากิเลส ไกลจากอันตราย คั้น(หาก)มันมีกิเลสแล้วมันมีอันตรายอยู่ฮั่นโลด(นั่นเลย) เพิ่น(ท่าน)ว่า
“สัมมาสัมพุทธัสสะ” พระพุทธเจ้าเพิ่น(ท่าน)รู้เองเห็นเอง แล้วเพิ่น(ท่าน)จึงนำมาสอน เพิ่น(ท่าน)ยังว่า “สัตว์ทั้งหลายคือเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต” คือกัน(เหมือนกัน) มีแข้งมีขามีตามีมือคือ(เหมือน)กันหมด แต่เมื่อยังบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ก็มืด คือ(เหมือน)คนอยู่ในถ้ำ บ่ฮู้จักมิหยัง(ไม่รู้จักอะไร) เฮา(เรา)ลุกขึ้นก็ไปชนหลักชนตอตกบ่อตกเหวไป
อย่างเฮาเฮ็ดทุกมื้อ(อย่างเราทำทุกวัน)นี่ ก็คือกัน(ก็เหมือนกัน) ผิดๆ ถูกๆ ผิดๆ ถูกๆ คั้น(หาก)ผิดแด่ถูกแด่มันจิ(จะ)มีประโยชน์บ่ บ่(ไม่)มีประโยชน์แล้วมันผิดนำถูกนำ(ผิดด้วยถูกด้วย)นี่ ถูกน้อย บางเทื่อ(ที)ผิดหลาย บางเทื่อ(บางที)ถูกหลายผิดน้อย เพิ่น(ท่าน)จึงว่ามันเป็นวิธีบวกลบ
บัดนี้ถ้าเฮาฮู้(เรารู้)จักแล้วเด้(นะ) มันก็บ่(ไม่)ผิดแล้ว เฮ็ดก็บ่(ทำก็ไม่)ผิด มีแต่ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นจึงว่าควรศึกษาและควรปฏิบัติ เพิ่นว่า(ท่านว่า) ให้เป็นเมืองคนดี เมืองคนดีก็ให้มีคนดีไปอยู่ฮั่น(นั่น) เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น)
คั้น(หาก)ว่าเมืองคนดีแต่มีคนบ่(ไม่)ดีไปอยู่ มันก็บ่ดีเด้(ไม่ดีนะ) บางเมืองนั้นก็บ่ดี(ไม่ดี) ตัวเฮานี่คือกัน(ตัวเรานี่เหมือนกัน) แข้งขาหน้าตามือเท้าดีแล้ว แต่จิตใจบ่ดี(ไม่ดี) ก็บ่มี(ก็ไม่มี)แล้วดี มันจะมีดีจังได๋(อย่างไร) มันบ่ดี(ไม่ดี) จึงว่าให้เฮารู้(เรารู้)จัก ศึกษารอบด้าน
เบิ่งกัน(ดูกัน) ผู้นั้นเฮ็ดดี(ทำดี) ผู้นี้เฮ็ดบ่ดี(ทำไม่ดี)เฮาฮู้จักเด้(เรารู้จักนะ) คนเฮ็ดบ่ดีจิ(ทำไม่ดีจะ)มาเอาเป็นตัวอย่างเด้(นะ) มันก็บ่ดีเด้เฮ็ดบ่ดี(ไม่ดีนะทำไม่ดี) คนเฮ็ด(ทำ)ดีแล้วนี่ เฮ็ดดีเฮาก็เบิ่ง(ทำดีเราก็ดู) เฮา(เรา)เคยเห็นก็เอามาเป็นตัวอย่าง เฮาว่าจิ(เราว่าจะ)ปฏิบัตินำเพิ่น(ตามท่าน)
จึงว่า พระพุทธเจ้าเพิ่นว่า(ท่านว่า) เมื่อยังบ่ทันรู้บ่ทันเห็น(ไม่ทันรู้ไม่ทันเห็น) ก็เฮ็ดไป(ก็ทำไป)
บัดนี้เพิ่น(ท่าน)ยังมาว่า “สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายทำอย่างเราตถาคตนี้” เฮ็ด(ท่าน)อย่างพระพุทธเจ้า ทำอย่างพระพุทธเจ้า แล้วก็จะฮู้(รู้) จะเห็น จะเป็น จะมี คือ(เหมือน)พระพุทธเจ้า เพิ่น(ท่าน)ว่า
อันพระพุทธเจ้านั้น ก็บ่แม่น(ไม่ใช่)รูปเจ้าชายสิทธัตถะกุมาร บ่แม่น(ไม่ใช่) ตายเป็นนี่ ถามพระวักกลินี่ เพิ่น(ท่าน)ว่า พระวักกลิเข้าใจว่ารูปงามอันนี้เป็นพระพุทธเจ้า จิ(จะ)คนธรรมดาปุถุชนก็ต้องเห็นด้วยตาก็ว่าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่าจังซั่น(อย่างนั้น)แล้ว ข้าน้อยหรือพระเจ้าขาหรือข้ารับ เอ้าก็แล้วแต่จิว่า(จะพูด) บ่แม่น(ไม่ใช่)
พระวักกลิตายเป็นบ่(มั้ย)..ตายเป็น เน่าเป็นบ่(มั้ย)..เน่าเป็น เหม็นเป็นบ่(มั้ย)..เหม็นเป็น พระวักกลิว่า พระพุทธเจ้าตายเป็นบ่(มั้ย) ตายเป็น เน่าเป็น เหม็นเป็น อ้าวคั้น(หาก)ว่าตายเป็นเน่าเป็นเหม็นเป็น จิแม่น(จะใช่)พระพุทธเจ้าจังได๋(อย่างไร) บ่แม่น(ไม่ใช่)
พระวักกลิเกิดมีปัญญาขึ้นโลด คอยเบิ่ง(มอง) พระพุทธเจ้าก็เลยว่า พระพุทธเจ้าแท้ๆ นั้น บ่แม่น(ไม่ใช่)อันนี้ คั้น(หาก)พระวักกลิเบิ่ง(มอง)พระพุทธเจ้านั้น อย่ามาเบิ่ง(มอง)อันนี้ เบิ่งจิตเบิ่งใจเจ้าของพุ้น(ดูจิตดูใจตัวเองนู้น)
พระวักกลิก็เลยเกิดมีความคิด เกิดมีสติปัญญา เบิ่งจิต(ดูจิต) เบิ่งใจ(ดูใจ)ตัวเองพุ้น(นู้น) เออ..อันจิตใจสะอาด สว่าง สงบ นี่เด้(นะ)เป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยเห็นพระพุทธเจ้าเลย พระวักกลิก็เป็นพระพุทธเจ้าได้
เพิ่น(ท่าน)จึงว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้เราเป็นตถาคตนี้ แต่เฮา(เรา)ว่าพระพุทธเจ้า “ผู้เราว่าเป็นตถาคตนี้ไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย” นำไปฮอดผู้ได๋(ถึงใคร) บ่แม่น(ไม่ใช่)ขึ้นเครื่องบินไป บ่แม่น(ไม่ใช่)ขึ้นรถยนต์ไป บ่แม่น(ไม่ใช่)ขี่สี่ล้อขี่เกวียนมิหยัง(อะไร) บ่ได้ย่างไปไส(ไม่ได้เดินไปไหน)
พระพุทธเจ้านั่งอยู่ต้นโพธิ์ แล้วก็เลยเห็นจิตเห็นใจเพิ่น(ท่าน) เฮา(เรา)ก็มีจิตมีใจคือเพิ่น(เหมือนท่าน)นั่นแล้ว เฮาก็เบิิงจิตเบิ่งใจเฮานี่(เราก็ดูจิตดูใจเรานี่) ก็เลยฮู้จักว่า ทุกคนเฮ็ด(ทำ)ได้อันนี้
ถือศาสนาคริสต์ก็เฮ็ดได้(ทำได้) ถือศาสนาพุทธก็เฮ็ดได้(ทำได้) ถือศาสนาพราหมณ์ศาสนาอะไรก็ตามช่างเฮ็ดได้(ทำได้) ชื่อว่าคนเฮ็ด(ทำ)ได้หมด แล้วเฮา(เรา)ไปเข้าใจว่า คนถือศาสนาคริสต์นั้นบ่(ไม่)มีนรกสวรรค์ ว่าถือศาสนาพุทธมีนรกสวรรค์ บ่แม่น(ไม่ใช่)ทั้งหมด
ถ้าหากว่าศาสนาคริสต์บ่(ไม่)มีบาปบ่มีบุญ บ่(ไม่)มีนรกบ่(ไม่)มีสวรรค์ เฮา(เรา)จิไปนับถือหัวมันหยังศาสนาพุทธ เฮา(เรา)อยากไปตกนรกเหรอ เฮา(เรา)ก็ไปถือศาสนาคริสต์พุ่นเด้(นู้นนะ) ศาสนาคริสต์นั้นก็มีคือกันเด้(เหมือนกันนะ) เขาเอิ้น(เรียก)พระผู้เป็นเจ้า เฮาบ่(เราไม่)เห็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ไส(ไหน) นรกอยู่ไส(ไหน) เฮาบ่เห็น(เราไม่เห็น)
อันนี้แหละเพิ่นว่า ให้เฮา(เรา)มีตาทิพย์มีหูทิพย์ พระพุทธเจ้าก็คือจิตใจ คือตัวมีสติ มีปัญญา นั่นแหละพระพุทธเจ้า ให้เฮา(เรา)เห็นจังซั่น(อย่างนั้น)
ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา เห็นจิตเห็นใจมันอยู่ซื่อๆ(เฉยๆ) พุ่นเด้(นั้นนะ) อันนั้นเพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)พระอรหันต์ เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)พระพุทธเจ้า ให้เฮา(เรา)เข้าใจ ถ้าเฮาบ่(ถ้าเราไม่)เข้าใจแล้ว อยู่กับศาสนาพุทธก็บ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)
อันตกนรกอยู่ไส นรกก็คือความทุกข์นั่นแหละ ว่าให้ฟังมื้อเช้านี้(ตอนเช้านี้) คนไปติดคุกติดตะรางนั่นน่ะ จิ(จะ)มาว่ามีความสุขบ่(มั้ย) บ่(ไม่)มีความสุขแล้ว มีความทุกข์แล้วเด้(นะ) ผิดกฎหมายบ้านเมืองแล้วเด้(นะ)
บัดนี้เฮาย่าง(เราเดิน)ไปตามถนนหนทางหมู่หนึ่ง คั้นเฮาเฮ็ดผิดเฮา(หากเราทำผิดเรา)ได้ยินเสียงคนว่านี่ ระหวาดระแวงใจขึ้นมาโลด(เลย) นี่ก็ทุกข์คือ(เหมือน)กัน แล้วบัดนี้เว้าอีหยัง(พูดอะไร) ให้เฮาเบิ่ง(เรามอง)
เฮาเบิ่งหน้าขเจ้า(เรามองหน้าเขา) เฮา(เรา)ก็โกรธก็เกลียดก็ชังขเจ้า(เขา) เฮาบ่ดีเด้ขเจ้ายังว่า(เราไม่ดีนะเขาจึงว่า) คั้นเฮา(หากเรา)ดีแล้ว ขเจ้าเบิ่งก็เบิ่งซื่อๆ(เขามองก็มองเฉยๆ) เบิ่ง(มอง)ในฐานะที่ดี คั้นเบิ่ง(หากมอง)ในฐานะที่บ่(ไม่)ดีแล้ว เฮาเฮ็ดชั่ว(เราทำชั่ว)
ดังนั้นจึงว่า มาทำบุญนึกว่าจะมีคนหลาย(มาก) บ่หลาย(ไม่มาก) ได้ยินพ่อบักพนมกับแม่บักพนมว่าให้ฟังว่าจิ(จะ)มีคนหลาย อย่างพ่อก็เลยมาเบิ่ง(ดู) มาเบิ่ง(ดู) แล้วบ่(ไม่)มีคนหลาย คั้นบ่(หากไม่)มีคนหลายเฉพาะมีแต่เฮา(เรา) ก็เฮ็ดแต่เฮา(ก็ทำแต่เรา)นี้ลูกๆ หลานๆ พี่ๆ น้องๆ ผู้ใดสนใจก็มาเฮ็ดโลด(ทำเลย)
มาเจริญสติ มาเจริญสมาธิ มาเจริญปัญญานี้ อันนี้แหละเป็นทางที่จะเฮ็ดให้เฮา(ทำให้เรา)ไปพ้นจากความทุกข์ ผู้เป็นลูกเป็นหลานก็เบิ่ง(ดู)ตัวอย่างเลา(เขา) ในทางที่ผู้ที่เฮ็ด(ทำ)ดีนั้น ผู้ที่เฮ็ดบ่(ทำไม่)ดีอย่าไปเฮ็ดนำ(ทำตาม) คั้นไปเฮ็ดนำคนบ่ดี(หากไปทำตามไม่ดี) มันก็บ่(ไม่)ดีแล้ว มันไปเบิ่ง(ดู)แต่คนบ่ดี(ไม่ดี)
ดังนั้นจึงว่า ผู้เสมอเฮา(เรา)ก็เป็นครูของเฮา(เรา) ผู้ต่ำกว่าเฮา(เรา)ก็เป็นครูของเฮา(เรา) ผู้ดีกว่าเฮา(เรา)ก็เป็นครูของเฮา(เรา) นี่เพิ่นว่าจังซี่(ท่านพูดอย่างนี้) ให้รู้จักว่าเป็นครูจังได๋(อย่างไร)
เฮาก็เบิ่ง(เราก็ดู)ว่า โอ้มันบ่(ไม่)ดี ต่ำกว่าเฮา(เรา)อันนี้อย่าเฮ็ด(ทำ) ผู้ดีกว่าเฮา(เรา)ก็สูงกว่าเฮา(เรา) เฮาก็เฮ็ด(เราก็ทำ)แบบผู้ดีกว่าเฮาพุ้น(เรานู้น) ผู้เสมอเฮา(เรา)กำลังย่าง(เดิน)อยู่นี่เด้(นะ) นั่งเบิ่ง(ดู)อยู่นี่ เฮา(เรา)ก็เสมอกันกับเพิ่น(ท่าน)นั้น เฮา(เรา)ก็เฮ็ด(ทำ)ดีกัน เป็นจังซั่น(อย่างนั้น)
จึงว่าอย่างนั้น เป็นครูของเฮา(เรา)หมด เว้าฮ้าย(พูดร้าย)ก็เป็นครูของเฮา(เรา) เว้าดี(พูดดี)ก็เป็นครูของเฮา(เรา) คนทุกข์ก็เป็นครูของเฮา(เรา) คนรวยก็เป็นครูของเฮา(เรา) เสมอเฮา(เรา)ก็เป็นครูของเฮา(เรา) คั้น(หาก)คนมีปัญญาเบิ่ง(ดู) ต้องเบิ่งจังซั่น(ดูอย่างนั้น)
อันนี้แหละเพิ่น(ท่าน)ว่า เป็นการคาดคิดมา หากเพราะเห็นเวรกรรม คนโบราณเพิ่น(ท่าน) เป็นการคาดคิดหากเพราะเห็นเวรกรรม อีตานี้มันเป็นจังซี่เด้(อย่างนี้นะ) เชื้อชาตินี้พ่อแม่ดีลูกมันยังบ่ดี(ไม่ดี) โอ้คนบ่(ไม่)ดีมันเป็นจังซี้(อย่างนี้) เพิ่น(ท่าน)คาดคิดไว้
คนทำแบบนี้เดี๋ยวก็ทุกข์ พ่อแม่มีเงินมีทองก็จิ(จะ)ใช้เงินพ่อแม่หมด จิ(จะ)ทุกข์เด้ เพิ่น(ท่าน)คิดอย่างซี่(นี้) เป็นการคาดคิดเพราะเป็นเวรกรรม ให้เฮา(เรา)เข้าใจ บ่แม่น(ไม่ใช่)เพราะตั้งแต่ชาติที่แล้วพุ้น(นู้น) บ่แม่น(ไม่ใช่)กรรมตั้งแต่ชาติแล้ว
กรรม คือการกระทำพุ้นเด้(นู้นนะ) มันจึงไล่ตามเฮาทัน(เราทัน) คั้น(หาก)หมดเงินหมดทองแล้วก็บ่(ไม่)ดีแล้ว พ่อแม่มีเงินมีทอง ลูกบ่(ลูกไม่)มีเงินมีทองเพราะหยัง(อะไร) ขเจ้าเบิ่ง(พวกเขามอง)สังเกตการณ์คนพุ้น(นั่น)น่ะ บอกบ่ลอนสอนบ่ได้(บอกไม่คิดสอนไม่ได้) เพิ่นเอิ้น(ทานเรียก)ว่าอันนี้มันบ่(ไม่)ดีแล้ว
มันบ่(ไม่)ได้ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติตระกูลมิหยัง(อะไร) ขึ้นอยู่กับคนทำดีกับคนทำชั่วเท่านั้น คนทำดีกับคนชั่วอาจจะได้เป็นคนดีก็ได้ คนทำชั่วกับคนดีอาจจะชั่วก็ได้ เพิ่น(ท่าน)ยังว่า หมอโหนหมอดูเพิ่น(ท่าน)คำนวณจังซั่น(อย่างนั้น)
เฮา(เรา)ก็เลยจ้างเขามาดูเลขให้ มาจ้างเขาเบิ่ง(ดู)ลายมือให้ เอ้าไปเบิ่ง(ดู)อะไรจังซั่น(อย่างนั้น) มันเฮ็ดหยัง(ทำอะไร)ให้เฮา(เรา) เฮาเฮ็ดเอาซื่อๆ(เราทำเอาเฉยๆ)นี่นะ แล้วคนฉลาดก็เดาใส่ เบิ่ง(มองดู)หน้าตาแข้งขา เบิ่ง(มอง) เขาอ่านเบิ่ง(ดู)ตั้งแต่เฮานั่งพุ้น(เรานั่งนู้น)แหละหมอเลขหมอดู อ่านเบิ่งจิ(ดูจะ)ให้มาหาเขา อ่านเบิ่ง(ดู)ใบหน้าใบตาพุ่นน่ะ(นู้นนะ)
อันนั้นเขาว่าเอิ้น(เรียก)คนคาดคิด สังเกตการณ์ เพราะเห็นเวรกรรมมันจิเป็นจังซั่น(จะเป็นอย่างนั้น) คนจังซั่น(อย่างนั้น)มันจะเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เขาว่าจังซั่น(อย่างนั้น) เฮา(เรา)มันบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก เอิ้น(เรียก)ว่าโง่ก็เครียด คั้น(หาก)ว่าโง่ให้เจ้าของ(ตัวเอง)
ความจริงมันบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก มันบ่ฮู้(ไม่รู้)จักว่าเครียด อีกทีว่ากูก็ฮู้(รู้)จักนะ มันฮู้(รู้)จักแบบนั้น คนแบบนั้นมันก็ฮู้(รู้)จักแบบนั้น เขาว่ามันแบบปุถุชน ปุถุเขาเอิ้น(เรียก)ว่าเป็นคนหนาปุถุชน คนฉลาดเขาเอิ้น(เรียก)คนปัญญา
ดังนั้นเฮา(เรา)มาทำบุญแจกข้าวก็แม่น(ใช่) มาทำบุญเจริญสติเจริญปัญญาเจริญวิปัสสนาก็แม่น(ใช่) ให้เฮาเฮ็ด(เราทำ)ให้มันเกิดสติปัญญา เห็นแจ้งรู้จริงตามความเป็นจริง ความจริงเป็นจังได๋(อย่างไร)มันเป็นจังซั่นเด้(อย่างนั้นนะ)
ถ้าหากเฮาเฮ็ด(เราทำ)แล้ว มันบ่(ไม่)จริงมันบ่(ไม่)ได้ผลเด้(นะ) เฮ็ดซื่อๆ(ทำเฉยๆ) มันบ่(ไม่)ได้ผล มันจิ(จะ)ได้ผลมิหยัง(อะไร)เจ้าของเฮ็ดซื่อๆ(ทำเฉยๆ) เฮ็ดบ่(ทำไม่)ได้พิจารณาหาเหตุหาผล เขาเรียกว่า เหตุการณ์ เหตุผล
เหตุการณ์ เหตุผล ประสบการณ์ เพิ่น(ท่าน)ว่าให้แก้ ให้พิจารณา กับแก้มันฮ้องอยู่นำ(ตุ๊กแกมันร้องอยู่ด้วย)แอ๊บแอเฮือนเฮา(เรือนเรา)นั่นน่ะ มันก็มาสอนเฮา(เรา) กับแกๆ(ตุ๊กแกๆ) เฮาบ่แก้จักเทื่อ(เราไม่แก้สักที) เฮ็ด(ทำ)ผิดก็ผิดอยู่จังซั่น(อย่างนั้น)ก็เลยบ่แก้จักเทื่อ(ไม่แก้สักที)
ตัวกับแก้(ตุ๊กแก)แท้ๆ มันก็ยังมาสอนคนเป็น มันผิดแล้วอันนั้น แก้ซะ แก้ซะ เพิ่น(ท่าน)จึงว่ากับแก้มัน เอิ้นว่ากั๊บแกๆ(เรียกว่าตุ๊กแกๆ) บางคนไปตีเป็นตัวเลขก็มีอย่างพ่อได้ยิน มันฮ้องจักเทื่อ(ร้องกี่ครั้ง)มันจิ(จะ)ออกเลขจัก(กี่)ตัว อย่างซั่น(นั้น)มันก็คิดไป ปุถุชนมันก็คิดไปอย่างซั่น(นั้น)
คนมีปัญญาฟังแล้ว โอ้กูนี่ผิดแล้วเด้อ(นะ) กับแก้มันฮ้องกับแก้ๆ(ตุ๊กแกมันร้องตุ๊กแกๆ) กูจิ(จะ)แก้ตัวก่อน เซาเด้(พักนะ) ตนมีปัญญาเขาเอิ้น(เรียก)กัลยาณชน เอิ้น(เรียก)บัณฑิต เอิ้น(เรียก)นักปราชญ์ อันปุถุชนฟังอันใดก็มีแต่อยากลาภอยากรวย แต่ขี้เกียจขี้ค้าน หาทางผิดมันจิ(จะ)รวยจักเทื่อเด้(สักทีนะ) มันจิ(จะ)รวย จังซั่น(อย่างนั้น)
พระพุทธเจ้าท่านห้ามแล้ว เล่นการพนัน คบคนชั่ว เที่ยวกลางคืน เกียจค้านการงาน นักเลงผู้หญิง นี่ผู้หญิงก็คือกัน คั้นมัก(หากชอบ)เจอผู้บ่าวเป็นนักเลงผู้ชาย คั้น(หาก)ผู้ชายก็มัก(ชอบ)ผู้หญิงคนรวยคนสวยนี่นักเลงผู้หญิง อย่าเป็นอย่างซั่นเพิ่นว่า(นั้นท่านว่า)
ให้รู้จักพอ เพิ่น(ท่าน)ว่า กับแก้ๆ(ตุ๊กแก) เพิ่น(ท่าน)ว่าแก้ตัวซะ เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) ให้รู้จักความผิดพลาด ความผิดมันเป็นครู อย่าทำผิด เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ความผิดพลาด
ก่อนที่จะแก้ความผิดพลาด ก่อนที่จะแก้นิสัยใจคอความหลงผิด ต้องเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา ให้เห็นจริงตามความเป็นจริง อย่าเห็นผิดเป็นถูก อย่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่าเห็นชั่วว่าเป็นดี เพิ่นว่าจังซั่น(ท่านบอกอย่างนั้น)
คนโบราณสอน สอนดีๆ นี่แหละ เฮาก็บ่(เราก็ไม่)รู้จักความหมาย คั้น(หาก)เห็นผิดแล้วมันจะถูกบ่(ไม่) มันก็บ่(ไม่)ถูกแล้ว ก็ผิดไปเรื่อยๆ เพิ่น(ท่าน)ว่าเซา(หยุด)ซะมันผิด เพิ่น(ท่าน)ว่ากับแก้(ตุ๊กแก)มันยังกับแก้ แก้ซะ คั้น(หาก)มัดเข้าทุกมื้อ(วัน)นี่แหละ ยิ่งแล้วก็ยิ่งมัด
เฮาเห็นบ่(เราเห็นมั้ย) เฮา(เรา)เคยเลี้ยงหม่อนเลี้ยงไหมนี่ แต่ก่อนอย่างพ่อเคยเลี้ยง ตัวหม่อนตัวไหม มันเป็นตัวหม่อนน้อยๆ กินมอนเข้า(กินใบหม่อนเข้า) กินมอนเข้า(กินใบหม่อนเข้า) ใหญ่เข้ามาแล้วก็สุก สุกเข้ามาแล้วก็ดิ้นบัดนี้ ดิ้นชักใยพันเข้าพันเข้า ผลที่สุดเป็นดักแด้อยู่ในลังลอกพุ้น(นู้น) เขาเอาไปต้ม ตายซ้ำ
เพราะมันเฮ็ดผิด(ทำผิด) ชักใยพันตัวเอง เลยเป็นดักแด้ แต่เฮา(แต่เรา)เอาไปเฮ็ดไหม(ทำไหม) เฮา(เรา)เอามาเฮ็ด(ทำ)เป็นครู เฮา(เรา)สอนได้หมดทุกอย่าง ถ้าคนมีปัญญา คนบ่(คนไม่)มีปัญญาก็ โอย..เบิ่ง(ดู)ไปเป็นดักแด้แซ่บเด้(อร่อยนะ) จิว่าจังซั่น(จะบอกอย่างนั้น) แต่ความจริงเพิ่น(ท่าน)ให้พิจารณาอย่างซั่น(นั้น)
บัดนี้คนตาย เฮา(เรา)ข้าวตอกแตกไปหว่าน มันบ่แม่น(ไม่ใช่) คนบ่(คนไม่)รู้จักอาย ให้มันแตกออกจากความมืดนั่นซะ ให้มันคือข้าวตอกแตก ให้มันฮู้(รู้)จักอายซะ เพิ่น(ท่าน)ว่า คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักอาย คือข้าวเปลือกหุ้มห่ออยู่จังซั่น(อย่างนั้น)แล้ว
แต่เม็ดดีมันมีอยู่ในข้าวเปลือกนั่นแหละ เอาไปใส่ไฟแล้วบัดนี้คั่วไปซะ ข้าวตอกแตกมันแตกออกมา เนี่ยมันออกจากความชั่วได้ คนบ่ฮู้(คนไม่รู้)จักชั่ว มันจิ(มันจะ)ออกชั่วได้เหรอ
ดังนั้นเฮามาเฮ็ด(เรามาทำ)บุญหาพ่อหาแม่หาอ้ายหาน้องเฮา(เรา) ต้องละความชั่ว อย่าเอาชั่วมาเป็นครูเป็นอาจารย์ มันบ่ดี(มันไม่ดี) พี่ให้เป็นพี่ น้องให้เป็นน้อง พ่อให้เป็นพ่อ แม่ให้เป็นแม่ ให้ฮู้(ให้รู้)จักเคารพนับถือกัน
คนบ่ฮู้(คนไม่รู้)จักเคารพนับถือกัน แล้วใครจิ(จะ)เคารพนับถือ ในตระกูลของเฮาบ่(เราไม่)เคารพนับถือกันแล้ว คนอื่นเขาก็ดูถูกกันน่ะ เว้า(พูด)ง่ายๆ เขาจิ(จะ)มาฆ่าเฮา(เรา)ก็ง่ายนะ เฮา(เรา)อยู่ผู้เดียวนี่
ถ้าหากเฮา(เรา)มีคู่เขาจะมาฆ่าเฮา(เรา) เอ้ยระวังคู่มันเด้ ถ้าหากเฮา(เรา)พี่น้องหลายคนเด้(นะ)บัดนี้ ระวังนะพวกผู้นั้นอยู่บ้านนั้นเด้(นะ) พวกนี้อยู่บ้านนี้เด้(นะ) เขาจิเว้า(เขาจะพูด)อย่างนั้น เขาต้องระมัดระวัง คนมีปัญญามันต้องเป็นจังซั่น(อย่างนั้น)
อันนี้เราบ่(ไม่)ล่ะ มีพี่น้องอย่ามาเว้านำ(พูดกับ)กู กูดีแล้ว เดี๋ยวก็ตายแล้วคนแบบนี้ เพิ้น(ท่าน)ว่าคนอวดดี คนบ่(คนไม่)มีดี คนมีดีมันต้องพิจารณา คนชั่วก็มาเป็นเพื่อนเฮา(เรา)ได้ อย่างพ่อว่า คนดีก็มาเป็นเพื่อนเฮา(เรา)ได้ คนเสมอเฮา(เรา)ก็เป็นเพื่อนเฮาได้(เราได้)
เป็นเพื่อนเฮา(เรา)ได้หมด เพราะเฮา(เพราะเรา)มีปัญญา ผู้ดีกว่าเฮา(เรา)ก็เป็นเพื่อนเป็นครูเฮา(เรา)ได้ ผู้ชั่วกว่าเฮา(เรา)ก็เป็นครูเฮา(เรา)ได้ ผู้เสมอเฮา(เรา)ก็เป็นครูเฮา(เรา)ได้ ถ้าหากเฮาฮู้(เรารู้)จักเอามาใช้
ถ้าคนปุถุชนแล้วบ่ฮู้(ไม่รู้)จักแล้ว โอ้มันชั่วกว่ากูอันนี้ พี่อันนี้มันบ่(ไม่)เท่ากูหรอก เนียมันถือว่ามันดีแล้ว อันนั้นเขาเอิ้น(เรียก)ปุถุชน คนบ่(ไม่)มีปัญญา คั้น(หาก)ดีกว่าเฮา(เรา)แล้วบัดนี้ โอ้ดีของเขานั้นบ่(ไม่)ดีเท่าตัวเรา นี่มันคิดอย่างซั่น(นั้น) มีแต่คนบ่(ไม่)ดีมันคิดอย่างซั่น(นั้น)
คั้น(หาก)คนดีนี่ ใครเว้า(ใครพูด)ให้ฟังนี่ น้อมฟังเอามาเฮ็ด(ทำ)เหตุผลอันนั้น เหตุผลมันมาแก้ทุกข์ได้ ประสบการณ์มันไปเบิ่ง(ดู)เขา โอ้เขาจังซั่นนะ(อย่างนั้นนะ) เขาดีจังซั่น(อย่างนั้น) บ่(ไม่)ไปมองมุนอื่น เขาจึงเอิ้น(เรียก)ประสบการณ์ ให้เฮา(ให้เรา)รู้จักเอามาใช้
คั้นเฮาบ่(หากเราไม่)รู้จักเอามาใช้แล้ว บ่ฮู้(ไม่รู้)จักทั้งหมดเลย มันจิว่า(มันจะว่า) บาปตายแล้วยังจิ(จะ)ไปตกนรกพุ่นเด้(นู้นนะ) บุญตายแล้วจิ(จะ)ไปขึ้นสวรรค์ มันจิเว้าพุ่นเด้(จะพูดนู้นนะ) มันเป็นอยู่เด้(นะ)บ้านเฮา(เรา)เดี๋ยวนี้นี่ อันนี้ว่าเฮาเฮ็ดหลง(เราทำหลง) บ่แม่นหลงเด้(ไม่ใช่หลงนะ) เฮาบ่ฮู้จัก(เราไม่รู้จัก)
คั้นเฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จัก กับ หลงนี่ อันใดจะดีกว่ากัน หลงไปก็ยังแทนได้เด้(พอแทนกันได้นะ) อันบ่ฮู้จัก(ไม่รู้จัก)จักน้อย(สักหน่อย)นี่มันเต็มที่เด้(นะ) อย่างพ่อนี่เป็นถูกมาแล้วเด้(นะ)
เป็นมาแล้วถูกมาแล้ว บ่ฮู้(ไม่รู้)จักบุญอย่างพ่อ บ่ฮู้จักแท้ๆ(ไม่รู้จักจริงๆ)บุญ นึกว่าเฮ็ดบุญหลายๆ(ทำบุญมากๆ) ตายแล้วชาติหน้ายังจิ(จะ)ได้บุญ อย่างพ่อนี่มีเงินนะ จนหมดเงินนะ อย่างพ่อสร้างบุญ
มีคำน้อย(คำพูดหน่อย)เดียวอย่างพ่อ ผู้ได๋บ่ฮู้(ใครไม่รู้) แม่ออก(โยม)แม่เทียนหรือแม่เฒ่า(โยมแม่ยาย) ว่ามึงอย่าเอาไปเฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น) เจ้าของนึกว่าเอาไปทำไปทั้งชวิต แล้วตายไปข้างหน้านี่จิ(จะ)ได้ไปขึ้นสวรรค์ ไปเกิดเป็นเทวดา แล้วจิ(จะ)ได้มาเอาถุงเงินถุงคำนี่มา กองขี้น่ะ มันจิ(จะ)ไปได้จังได๋(อย่างไร) เจ้าของ(ตัวเอง)มันโง่ขนาดนั้นพุ่นนะ(นั่นนะ)
แล้วบัดนี้เจ้าของ(ตัวเอง)ขยันหามัน แล้วมี เอาไปทิ้งใส่กองอุจจาระไปเป็นส้วมเป็นทาน แล้วมันจิได้มิหยัง(จะได้อะไร) ก็ไปเป็นส้วมเป็นทานแล้ว แล้วไปคิดจังซั่น(อย่างนั้น)มันคิดผิด คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักมันคาดคิดเอานั้น เพิ่น(ท่าน)ว่าทาน มันหากินกับคนที่มันบ่ฉลาด(ไม่ฉลาด)
ทาน เขาเอิ้น(เรียก)คนฉลาด คนฉลาดต้องทำงานทำนาใส่บนหลังคนโง่ พอเจ้าไปคิดว่าอย่างที่คนฉลาดมันต้องซื้อขายกัน บ่แม่น(ไม่ใช่) ซื้อขายมันต้องขยันอยากได้กำไร อันคนฉลาดเฮ็ด(ทำ)นาใส่บนหลังคนโง่นั้น เบิ่งบ่(มองไม่)ออกเด้(นะ)อย่างพ่อแต่ก่อน
ขเจ้าหัวอ้ายจั่วนี่บ่(พวกท่านพระเณรนี่ใช่มั้ย)คนฉลาด บ่แม่น(ไม่ใช่)คนฉลาด บวชเข้ามาแล้วสึก มันยังทำชั่วอยู่นี่ แล้วก็มาหลอกมาล่อให้เฮ็ด(ทำ)ตามซื่อๆ(เฉยๆ) บ่แม่น(ไม่ใช่)มาหลอกมาล่อ มันหลงมาแล้วนี่เด้(นะ) เพิ่น(ท่าน)ว่ามันบ่รู้จัก(ไม่รู้จัก) นึกว่าพระแล้วไปทานจิ(จะ)ได้บุญ บ่แม่นเด้(มันไม่ใช่นะ)
บางทีคนไปลักของเขาไปเป็นนักปล้นนักจี้ กลับมาบวชมื้อนี้เฮาจิ(วันนี้เราจะ)ไปเคารพอย่างซั่น(นั้น) บ่แม่นเด้(ไม่ใช่นะ) อันนั้นจิตใจมันเป็นผีอยู่แล้วเด้(นะ) บ่แม่น(ไม่ใช่)จิตใจเป็นพระเด้(นะ) ให้เฮา(เรา)รู้จักเลือกเอาพระมาไว้แท้ๆเด้(จริงๆนะ) อย่าไปเชื่อเอาจังซั่น(อย่างนั้น)พระ
พระนั้นให้ถือเอาว่า ผู้ใดสอนดีพูดดีนั้น ให้ชื่อว่าผู้นั้นเป็นพระ จึงว่าต้นโพธิ์ตัวห่ม เฮา(เรา)ว่ากัน เฮาจิ(เราจะ)เอาลูกเอาผัวเอาเมีย บ้านเฮา(เรา)ไปเอาผู้เฒ่าผู้แก่มาบอกมาสอนเฮา(เรา) อันผู้เฒ่าผู้แก่นั้นเพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก) ต้นโพธิ์ตัวห่ม
อันผู้เฒ่าผู้แก่ขึ้นมา ก็กินแต่เหล้ากินแต่เนื้อ โอ๊ย..จิ(จะ)เอามาให้มันหมดของเฮาซื่อๆ(เราเฉยๆ) มันบ่(มันไม่)มีประโยชน์แด่นั่น(เถอะนั่น)
อันคนที่เอามาสอนเฮานี่(เรานี่) ผู้น้อย(เด็ก)ก็ช่างผู้ใหญ่ก็ตาม อันต้นโพธิ์มันมีใบดกใบหนา แปลว่าคนมีปัญญามาสอนเฮา(เรา) เฮาจิดี(เราจะดี) เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)ต้นโพธิ์ตัวห่ม ไม้แก่นหล่อน(ไม้เปลือกหลุดเหลือแต่แก่น)มันจะมีห่มบ่(มั้ย) มันจิ(จะ)หล่นใส่หัวเราซ้ำ มันดกนี่
คนผู้ที่บ่มีมิหยังนี่(ไม่มีอะไรนี่) มาสอนเฮา(เรา) มันจิรู้มิหยัง(จะรู้อะไร) มันก็มากินข้าวเฮา(เรา)หมด ซื้อหมูซื้อไก่มามันก็กินของเฮา(เรา) หมดแล้วก็แล้วซื่อๆ(หมดเฉยๆ)นั่นแหละ เฮาจิ(เราจะ)ได้ความฮู้มิหยัง(รู้อะไร)กับคนอย่างซั่น(นั้น) เว้ากันซื่อๆ(พูดกันเฉยๆ) นี่แหละ
คั้นเว้าจังซี่(หากพูดอย่างนี้) โอ๊ย..หลวงพ่อนี่มาลบล้างขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว เอ้า..ก็ยังว่า ให้ฮู้(รู้)จักแก้ ก็ยังว่า ให้ฮู้(รู้)จักปลดเปลื้องความผิด มาเว้า(พูด)ให้ฟังซื่อๆ(เฉยๆ) นี่นะอันนี้ เลิกซะความชั่วน่ะ เฮา(เรา)พากันสร้างความดีนี้ขึ้น ให้บ้านเมืองเฮา(เรา)อยู่เย็นเป็นสุข
ช่วยกันแก้ไขปัญหา เอาความชั่วนั้นออก เอาความดีเข้ามา บ่อน(ที่)ใดมันบกพร่อง ถามหาเพิ่มเติมขึ้น ให้มันดี อย่าชั่ว ให้มันดีตั้งแต่บ้านนอกพุ่น(นู้น) บ้านในก็ให้มันดี อย่าให้มันดีแต่เสื้อแต่ผ้าทันสมัย จิตใจเลวทราม มันจิ(จะ)ใช้ได้บ่(มั้ย)อย่างซั่น(นั้น) อย่างพ่อเบิ่ง(ดู)คนทุกมื้อ(วัน) เดี๋ยวนี้บ่คือ(ไม่เหมือน)คนแต่เก่า
คนแต่เก่านั้นคนซื่อๆ(เฉยๆ) หากดี ไปไสมาไส(ไปไหนมาไหน) บ่ลักบ่(ไม่ลักไม่)ขโมยกัน สิ่งของตามท้องไฮ้(ไร)ท้องนา ไปเบิ่งมื้อเช้ามื้อแลงยังคือเก่า(ไปดูตอนเช้าตอนเย็นยังเหมือนเดิม) กล้วยมัดไว้นำไฮ้นำนาเฮา(ที่ไร่ที่นาเรา) ไปเบิ่งยังคือเก่า(ไปดูยังเหมือนเดิม)
เดี๋ยวนี้มัดบ่ได้(ไม่ได้) มัดไว้นำไฮ้นำนา(ตามไร่ตามนา) สิ่งของดีๆ เอาไว้บ่(ไม่)ได้ในไฮ้(ไร่)ในนาเฮา(เรา) หมด ควายนี้คันบ่(หากไม่)ล้อมฮั้ว(รั้ว)ดีๆ ก็มาลักเอาซ้ำ เฮา(เรา)ว่าเจริญเป็นจังซี่(อย่างนี้) จิตใจคนมันเลวทราม จิตใจมันต่ำช้า จิตใจมันบ่(ไม่)ดี อย่าไปเชื่อจังซั่น(อย่างนั้น) เนี่ยว่าเมืองคนดีแต่เป็นคนบ่ดี(ไม่ดี)
เมืองไทยเนี่ยเป็นเมืองคนดีเด้(นะ) เมืองพุทธนี้เด้(นะ) แต่บ่(แต่ไม่)เป็นชาวพุทธแล้วบัดนี้ ฆ่าฟันกันทุกมื้อ(วัน) มื้อใดบ่มี(วันไหนไม่มี) มื้อคนบ่ตาย(วันคนไม่ตาย) เบิ่งแม๊(ดูซิ)ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ มีทุกมื้อ(วัน)ฆ่ากันตีกัน ดีบ่จังซั่น(ดีมั้ยอย่างนั้น) บ่(ไม่)ดีแล้วจังซั่น(อย่างนั้น)
พระพุทธเจ้าเพิ่น(ท่าน)สอนว่า มันบ่ดี(มันไม่ดี) มันเดือดร้อน นักปราชญ์บัณฑิตเพิ่น(ท่าน)ยังหาวิธีมาแก้ เขาเอิ้น(เขาเรียก)คนฉลาด มาแก้ปัญหาสิ่งที่มันเลวร้ายออกไป เพิ่น(ท่าน)ว่า
ดังนั้นบ้านเมืองเฮาทุกมื้อ(เราทุกวัน)เดี๋ยวนี้ การศึกษาเล่าเรียนก็ดี อันใดก็ดี แต่สำคัญเรื่องจิตใจมันเลวทราม เรียกว่าบ่ดี(ไม่ดี) เพราะมันคบเอาแต่คนบ่ดี(ไม่ดี) เจ้าบ่ดี(เธอไม่ดี)) ข้าก็บ่(ฉันก็ไม่)ดีเหมือนกัน ไปอยู่นำกันในสิ่งอันบ่(ไม่)ดีนั้น
ดังนั้นการเข้าหาพระเจ้าพระสงฆ์ ฟังให้มันเกิดสติปัญญา บ่แม่น(ไม่ใช่)ไปกราบเอาบุญซื่อๆ(เฉยๆ) อันบุญนั้นมันดีแล้ว เฮา(เรา)ใจดีนั่นแหละบุญเฮา(เรา) เฮา(เรา)ไปกราบพระเจ้าพระสงฆ์ กำลังสบายใจแล้วนั่นแหละบุญเฮา(เรา)
ถ้าหากเฮาใจบ่(เราใจไม่ดี) ไปกราบพระเจ้าพระสงฆ์ก็อย่างฆ้อนตีหัวนี่ มันจิ(จะ)ไปกราบพระบ่(มั้ย) มันบ่ดี(มันไม่ดี) เพิ่น(ท่าน)ยังว่าเมืองคนดีแต่เป็นคนไม่ดี บัดนี้เมือง ก็ให้มันเป็นเมืองคนดี คน ก็ให้เป็นคนดี หน้าตาแข้งขามือเท้าเฮา(เรา)ดีแล้ว ให้เอาจิตใจดี สร้างดี
ดังนั้นไปฟังเทศน์นำพระเจ้าพระสงฆ์ ให้ฟังเอาเหตุเอาผล เหตุมันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) ผลมันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) เพิ่น(ท่าน)ว่าฟังเอาเหตุเอาผล ประสบการณ์ ไปเบิ่ง(ไปดู)แล้ววัดนั้นเฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น) วัดนั้นเฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น)
บางคนนะบางวัดนะ สร้างโบสถ์อย่างเดียวบ่แล้วจักเทื่อ(ไม่เสร็จสักทีฉ มันจิแล้วง่ายบ่(จะเสร็จได้มั้ย) คั้นมันจิแล้ว(หากมันจะเสร็จ)ง่ายมันก็บ่(ไม่)ได้เงินญาติโยม จิว่าจังได๋(จะบอกอย่างไร) มันก็สร้างอันนั้นแด้(นะ) เอาเงินญาติโยมไปเฮ็ด(ทำ)อันนั้น เอาเงิน ผลที่สุดเงินพระบ่(ไม่)มี เอาแต่เงินโยมไปสร้าง แล้วแม่นจังได๋จังซั่น(ใช่อะไรอย่างนั้น)
ก็แม่นเฮา(ก็ใช่เรา)เป็นผู้สร้าง สร้างเอายศฐาบรรดาศักดิ์ของเพิ่น(ท่าน)ซิ มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) ให้เฮา(เรา)เข้าใจเรื่องแค่นี้ คั้นบ่(หากไม่)เข้าใจเรื่องแค่นี้แล้ว โอียเฮาก็บ่(เราก็ไม่)ได้แก้จักเทื่อ(สักที)แล้ว ความผิดพลาดมันก็เต็มเข้าๆๆ ไป
บัดนี้คั้น(หาก)ถ้าสร้างก็พระแท้ๆ เด้(นะ) คั้น(หาก)สร้างก็เป็นพระแท้ๆ แต่มันบ่(ไม่)สร้างจังซั่น(อย่างนั้น)แล้ว ว่ามันควักเอาเงินเข้ากระเป๋าก็มีเด้(นะ)คน มันเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) นี่ให้เฺฮา(เรา)พิจารณาดีๆ สร้างโบสถ์อย่างเดียวเป็น ๙ ปี ๑o ปี ๒o ปี ก็บ่แล้ว(ไม่เสร็จ) มันจิแล้วเด้(จะเสร็จหรือ)ก็อยากได้เงิน อ้าวเดี๋ยวเฮ็ด(ทำ)อันนั้น บัดเดี๋ยวก็เฮ็ด(ทำ)อันนี้ ก็เขาเอาเงินไปเฮ็ด(ทำ)อันอื่นพุ่น(นู้น)
คั้น(หาก)ตั้งใจว่าจิ(จะ)สร้างโบสถ์หลังเดียว โอ๊ย..บัดเดียวก็แล้ว(ไม่นานก็เสร็จ) เงินญาติโยมพอแฮง(แรง)แล้วไปสร้าง แล้วบ่(ไม่)ใช่เงินพระเด้(นะ)ไปสร้าง เงินโยมเด้(นะ)มาสร้าง คั้น(หาก)ว่าได้ชื่อเสียงยศฐาบรรดาศักดิ์พระเพิ่น(ท่าน)ผู้ได้ เฮาบ่รู้จักเด้(เราไม่รู้จักนะ)อันนี้
อันนี้แหละเพิ่น(ท่าน)ว่า เจริญวิปัสสนา ให้ฮู้(รู้)จักทุกแง่ทุกมุม ทุกทิศทุกทาง ให้ฮู้จักจังซั่น(รู้จักอย่างนั้น) อย่างพ่อว่าอยู่ คั้น(หาก)ว่าเอาดีแต่ตัวเอง เอ้า..บ่(ไม่)เอาดีแต่ตัวเอง อย่างพิมพ์หนังสือมาแจกหมู่เจ้า(พวกคุณ)นี่
เพราะหมู่เจ้า(พวกคุณ) คั้น(หาก)ว่าโง่หมู่เจ้าจิ(พวกคุณจะ)เครียด แต่ความจริงก็โง่กับบ่ฮู้(ไม่รู้)จัก ก็แม่น(ใช่)อันเดียวกันแหละ คนโง่ก็เฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น) คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักก็เฮ็ดจังซั่น(ทำอย่างนั้น) อันคนโง่ถ้าฮู้(รู้)จักมันอ่านหนังสือแล้วบัดนี้ เอ้อ..หนังสือว่าจังซั่นเด้(บอกอย่างนั้นนะ)
จิ(จะ)อ่านแต่เล่มเก่าอยู่นั่นแหละ “โย บุคโลอันวา บุคลาผู้ใด สร้างกองกฐิน สร้างศาลา สร้างพระพุทธรูป ได้ไปเกิดเมืองสวรรค์ อ้าวดับจิตมีรถรับ จุติวับสวรรค์เลย ทำบุญกับพวกฉันไม่มีตกนรกเลย” นี่ไปฟังแต่คำเดียวเท่านั้นนี่หมู่เจ้า(พวกคุณ) มันจิ(มันจะ)เข้าใจจังได๋อย่างซั่น(อะไรอย่างนั้น)
มันก็ต้องอ่านหนังสือหลายเล่มสิ เบิ่ง(ดู)หลายคนสิ ฟังมันให้ฮู้(รู้)จักสิ เฮ้อ..ของเจ้าของ(ตัวเอง)ทำบุญแล้วอยากไปเกิดในสวรรค์ มีแต่หนังสือเล่มเดียวเท่านั้น เจ้าก็เบิ่ง(ดู)แต่คนผู้เดียวแหละ ก็ว่าอยู่ในบ้านของตัวเองอัดตัวอยู่ในห้องพุ้นเด้อ(นู้นนะ) บ่(ไม่)เห็นคนย่าง(เดิน)ไปย่าง(เดิน)มา คนผู้นั้นจิ(จะ)ฉลาดบ่(มั้ย) โอ๊ย..จิ(จะ)ฉลาดตายจังได๋(อย่างไร)คนแบบนั้น สอนมันก็บ่(ไม่)เอา
แล้วคนที่ฉลาดนี่ เบิ่ง(ดู)เอา อ่านหนังสือหลายเล่ม โอ้หนังสือเล่มนั้นว่าจังซั่น(บอกอย่างนั้น) หนังสือเล่มนี้ว่าจังซี่(บอกอย่างนี้) คนผู้ฮั่น(นั้น)กลายไปจังซั่น(อย่างนั้น ว่าจังซั่น(บอกอย่างนั้น) คนผู้ฮั่น(นั้น)กลายไปจังซี่(อย่างนี้) ว่าจังซี่(บอกอย่างนี้) มันก็เห็นหลายคนเด้(นะ) ก็เอามาพิจารณา ก็ว่าเหตุผล ประสบการณ์ ก็ว่าแก้ความผิดพลาดกูมีแล้ว กูผิดมาแล้วต้องแก้
อันนี้บ่(ไม่)ยอมแก้ คั้น(หาก)บอกให้ โอ้ยบ่แม่น(ไม่ใช่) เอ้าเจ้าของแม่นที่ได๋(ตัวเองใช่ที่ไหน) ไปเอามาสอนจังได๋(อย่างไร)คนแบบนั้น ที่อย่างพ่อเว้า(พูด)ให้ฟัง เว้าซื่อๆ(พูดเฉยๆ)นี้เด่(นะ) บ่แม่นสิว่าฟังข่อยเด้(ไม่ใช่บอกว่าฟังฉันนะ) เชื่ออย่างพ่อเด้(นะ) บ่แม่น(ไม่ใช่) บ่แม่น(ไม่ใช่)อย่างพ่อบอกให้เชื่อ อย่างพ่อเว้า(พูด)ให้ฟังซื่อๆ(เฉยๆ)
ตายแล้วไปเกิดสวรรค์ โอ้ขเจ้าอยากจิ(จะ)ไปสวรรค์ ขเจ้าจิ(พวกกขาจะ)มาเอิ้นหมู่(เรียกเพื่อน)ไป ขเจ้าบ่(พวกเขาไม่)ไปผู้เดียวสิเจ้า คั้น(หาก)ว่าได้บุญบ่เฮ็ด(ไม่ทำ)เอาให้มันหลายเจ้า อย่าไปเอิ้น(เรียก)เอาผู้อื่นมาเฮ็ด(ทำ) นี่ลองคิดเบิ่ง(มอง)ดูหมู่เจ้า
คั้นว่าเฮ็ด(หากว่าทำ)บุญ แล้วไปแล่น(วิ่ง)เอาผู้นั้นมาเฮ็ด(ทำ)แล่น(วิ่ง)เอาผู้นี้มาเฮ็ด(ทำ) ตัวเองสิบ่(ไม่)เอาผู้เดียว แล้วอยากได้มิหยัง(อะไร)ก็ได้ผู้เดียว นั่นแหละเพราะว่าเฮาบ่ฮู้(เราไม่รู้)จักบุญ อันบุญนั้นเฮ็ด(ทำ)เอาผู้เดียวก็ได้ อยู่ให้มันสบายใจนี่น่ะ บุญ
อย่างเพิ่น(ท่าน)ว่า “ตายแล้วผู้นั้นจิ(จะ)ไปเกิดเมืองสวรรค์ จุติวับเลย มาทำบุญกับพวกฉันไม่มีตกนรกเลย” เพิ่น(ท่าน)ว่า “ขายนามาไวๆ สร้างกุฏิุใหญ่มโหฬาร” เพิิ่น(ท่าน)ว่า มีไปก็อยากไปพวกเจ้าว่าอยากไปเมืองสวรรค์ มีไปก็อยากไปคนฉลาดหมู่เจ้าจิบ่(จะไม่)ได้ไปตกนรก นี่มันตรงกันอยู่จังซั่น(อย่างนั้น)
นี่ให้ฮู้จัก(รู้จัก) คั้น(หาก)คนตายแล้วก็เอาแล้ว เฮ็ดจังซั่นเฮ็ดจังซี่(ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้) เอาเครื่องมาประดับประดา โอ้ประดับประดาหยัง(อะไร) คนตายมันจิมาเฮ็ดหยังให้เฮา(จะมาทำอะไรให้เรา)
นี่ก็ว่าหน้าลาบานใจโข(หน้าบานใจพองโต) หน้าหล่าบานใจ(หน้าซึด)แล้วเจ้าของ(ตัวเอง)นี่ตัวคนตาย หน้าลาบานใจโข(หน้าบานใจพองโต) ตัวคนตายหน้าหล่า(หน้าซีด)แล้ว หมดเงินแล้วบัดนี้ตัวคนตาย ก็หน้าบานแล้ว บัดนี้เขามาหลอกเอาเงินแล้ว แล้วมันโง่ขนาดไหนเฮา(เรา)เดี๋ยวนี้
อย่างพ่อหาเรื่องมาเล่าให้ฟังซื่อๆ(เฉยๆ) แล้วจิ(จะ)ว่าอย่างพ่อโง่ก็แม่น(ใช่)โง่หมู่ขเจ้า(พวกเจ้า)อยู่ แต่ว่าอย่างพ่อก็เอาแบบนั้น อย่างพ่อบอกซื่อๆ(เฉยๆ) เฮา(เรา)มีศรัทธานี่มันหลง มันเฮ็ด(ทำ)มาตามแบบ มันก็ดีอันนั้น บ่แม่น(ไม่ใช่)มันบ่(ไม่)ดี
ให้ฮู้จัก(ให้รู้จัก) พ่อแม่ตายไปแล้วให้เฮา(เรา)ประหยัด ให้เฮาเฮ็ดจังได๋(ให้เราทำอย่างไร)มันจึงจิดี(จะดี) เข้าไปทานเอา(ทำทาน) จะเอามาเท่านั้น มันก็หมดเงินเฮา(เรา)แล้ว ทุกข์มันก็ทุกข์ลงไปแล้ว แล้วก็หน้าบานแล้ว บัดนี้ได้หน้าได้ตาเพิ่น(ท่าน)นี่.