PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
  • ท.๑๗๔ กว่าจะเป็นหลวงพ่อเทียน
ท.๑๗๔ กว่าจะเป็นหลวงพ่อเทียน รูปภาพ 1
  • Title
    ท.๑๗๔ กว่าจะเป็นหลวงพ่อเทียน
  • เสียง
  • 14528 ท.๑๗๔ กว่าจะเป็นหลวงพ่อเทียน /lp-cittasubho/2025-10-21-10-46-47.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 21 ตุลาคม 2568
ชุด
เสียงภาษาไทยกลาง
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ท.๑๗๔ กว่าจะเป็นหลวงพ่อเทียน

     

    …ตามวิธีเราก็ต้องมีขันดอกไม้ไว้ขึ้นบูชา เดินกลับมาทั้งทางนี้ก็ต้องว่าอีกแล้วก็มีขันดอกไม้ขึ้นบูชา ทำอย่างนี้อยู่เป็นเวลา ๒ พรรษา รวมเป็นปีหกเดือน แล้วจากนั้นผมก็สึกออกมา ผมยังเป็นห่วงในการปฏิบัติธรรม 

     

    จากนั้นมาก็มีอาจารย์อีกคนหนึ่งมาแต่ทางเชียงใหม่ ท่านบอกว่าเฮ็ด(ทำ)อย่างนั้นมันผิด ท่านเลยมาสอนวิธีอะระหังให้ ผมก็เลยรับทำตามกับท่าน วิธีอะระหัง อะระหัง สัมมาอะระหังนี่ทำมา ในระหว่างนั้นผมอายุในเกณฑ์ ๑๘ ปี พอดีอายุ ๒o ปีผมก็กลับเข้าไปบวชอีก 

     

    เมื่อบวชแล้วผมก็เข้าอยู่ในศีลเลย เพราะเจ้าของเคยทำกรรมฐานมา วิธีพุธเข้า โธออก ว่าเจ้าของเคยชำนาญทำกับครูบาอาจารย์มา ทำเป็นฉันข้าวเอกาคือฉันข้าวเที่ยวเดียว ดังนั้นผลการปฏิบัติธรรมะนั้นทำมาอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ มา บวชอยู่เป็นเวลา ๖ เดือนผมก็สึก 

     

    สึกออกมาผมยังคิดในการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ จนกระทั่งมามีครอบครัว เมื่อมีครอบครัวแล้วผมก็ยังคิดในผลการปฏิบัติธรรม ต่อมาผมได้ตำราวิธีพองยุบไปจากจังหวัดอุดรธานี ผมก็เลยไปทำวิธีพองยุบอยู่จังหวัดอุดรธานีนี่ 

     

    ทำวิธีพองหนอยุบหนอคืออย่างที่เราทำกันนี่แหละ ว่าซ้ายย่าง ขวาย่าง แล้วต่อไปก็ว่าซ้ายยกหนอ ยกส้นหนอ ไปหนอ ลงหนอ ถูกหนอ ปลดหนอ อย่างนี้แหละ ทำกันอย่างนี้เป็นเวลาอยู่ ๘ ปี ทำอย่างนี้ ก็ดีอยู่อย่างเดียวกัน แต่ผมยังไม่มีรส คือยังไม่มีปัญญาว่าอย่างนี้ 

     

    ต่อมาผมได้ยินวิธีท่านอาจารย์ปานว่า วิธีตีนนิ่ง ผมได้ยินอย่างนี้ผมก็เลยไปฟังเทศน์กับท่านอาจารย์มหาศรีจันทร์เนี่ย ฟังตั้งแต่ ๖ โมงแลง(เย็น) ถึง ๖ โมงเช้า ข้อสงสัยบกพร่องอันใดผมถามเอาอย่างให้มันหมดสงสัยเลย ท่านก็เลยสุดท้ายว่า ถ้าอยากรู้ต้องมาปฏิบัติเอา จะสอนกันนี่บ่(ไม่)เข้าใจ ท่านว่าอย่างนี้ เมื่อรับฟังโอวาทของท่านแล้ว ผมไปนึกเอานี่อยู่เป็นเวลาปีหนึ่ง 

     

    ผมคิดอยู่ คิดหาความสุขในการปฏิบัติธรรมะนี้เป็นห่วงอยู่บ่เซา ในขณะนั้นผมคิดอยู่ ผมก็เลยลงมาปฏิบัติที่สำนักวัดรังษีมุกดาราม ที่อำเภอศรีเชียงใหม่นั่นแหละ เมื่อมาถึงแล้วท่านอาจารย์มหาศรีจันทร์ก็เลยบอกว่า ปีนี้จะขึ้นไปจำพรรษาหลวงพระบาง จะได้ให้หลวงพ่อวันทองมาเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่ตรงนี้ 

     

    ผมก็เลยได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อวันทองมาปฏิบัติธรรมะ เมื่อมาปฏิบัติธรรมะอยู่นั่นท่านให้มีกรรมฐานการออก ขอเข้าขอออกอย่างนี้ ผมก็เลยทำกับท่านบ้าง ขอกรรมฐาน เมื่อขอกรรมฐานแล้วท่านก็เลยบอกว่าให้ไปภาวนาตาย ตายอย่างนี้แหละ 

     

    เมื่อผมมานึกอยู่ในห้องกรรมฐานของผมแล้ว ว่าเอ๊ะ..ภาวนาตายนี่เราเฮ็ด(ทำ)มาหลายปีแล้ว มันยังบ่เป็นมิหยัง(ไม่เป็นอะไร)ทั้งนั้น ผมคิดจังซี่(อย่างนี้) ผมก็เลยมาทำจังหวะอย่างที่ท่านหลวงพ่อวันทองสอนให้ ตีนนิ่งๆๆ อย่างนี้ ท่านสอนให้ยกเป็นจังหวะ เมื่อมันหยุดท่านก็ให้เรานิ่ง เมื่อมันตีนท่านก็ให้เราตีน ผมทำอยู่ในขณะนั้นประมาณสักชั่วโมงหนึ่ง 

     

    ผมก็เลยนึกโอ๊ย..จะเว้าอีหยัง(ว่าอะไร)ว่า ตีนนิ่งก็ดาย(นี่นะ) มันเป็นการบริกรรม ถ้าหากว่าเราเว้าจังซี่(อย่างนี้)อยู่ก็เป็นการบริกรรม เราก็จิ(จะ)ไปติดอยู่แบบเราว่าพุทโธ พุทโธ อย่างซี้(นี้)คือ(อย่าง)เก่านั่นว่า ผมคิดจังซี้(อย่างนี้) ทำวันนั้นเลยบ่(ไม่)ได้ผล นอน ตื่นเช้ามามื้อ(วัน)หน้ากูจะเอามันคักๆ(จริงๆ)แล้วว้า ตื่นมาก็ทำกันโลด(เลย)อีก 

     

    มื้อ(ตอน)เช้าก็ทำอีกตื่ม(เพิ่ม)ทำอย่างนั้น พอดีมาตอนตี ๕ นี่ ผมลุกเดินจงกรมอยู่ เป็นแสงออกมาตัวผมนี่คือแสงแมงหิ่งห้อย ผมก็เลยเข้าใจว่าโอ้..ธรรมะเกิดขึ้นกับเราแล้วบัดนี้ว่านั้น พอนึกไปนึกมาผมได้อ่านหนังสือปฐมสมโภชน์ อ้าวเป็นนิมิตแล้วว่า อันนี้ก็หายไป 

     

    ผมก็เดินจงกรมอยู่ ไม่นานก็เกิดขึ้นมาอีกตื่ม(เพิ่ม) มันพุ่งเป็นแสงสว่างออกจากตัวผมนี่ คล้ายๆ คือไต้กระบอง(ที่จุดไฟ) หรือคือแสงตะเกียงเจ้าพายุนี่แหละ ออกจากมือผม ผมได้เอามือทั้งสองมือมาแลกันไว้ว่า โอ้..แสงธรรมะนี้เป็นจังซี่เน๊าะว่าซั่น(อย่างนี้นะว่าอยางนั้น) ผมเข้าใจว่าแม่น(ใช่)ธรรมะอันนี้ก็ดาย 

     

    ผมเลยไปนึกคิดว่า อ้าวเราอ่านหนังสือปฐมสมโภชน์นี่เป็นนิมิตแล้วอันนี้ว่าซั่น(นั้น) ก็เลยหายไปอีกตื่ม(เพิ่มอีก) ผมก็เดินจงกรมอยู่ เดินไปเดินมาเดินห้องแคบๆ เมื่อเดินไปเดินมาเมื่อยแล้วผมก็ลงมานั่ง นั่ง มีมอดตัวหนึ่งตกลงมาตั้งแต่บน ตกใส่ขาผมนี่ 

     

    ผมก็เลยพิจารณา เอ๊ะ..นั่งเบิ่ง(มอง)แมงมอดตกใส่ มันก็บ่(ไม่)ตอดผม มันก็เลยอยู่กับขาผมนั่น เอ๊ะ..รูปนี้มันบ่เฮ็ดหยัง(ไม่ทำอะไร)ให้กันเด้(นะ) ผมเลยเข้าใจอย่างซี้โลด(อย่างนี้เลย) ขาเราก็เป็นรูป แมงมอดก็เป็นรูป ขาเราก็เป็นรูปนาม แมงมอดก็เป็นรูปนาม 

     

    โอ้..มันเป็นรูปนามคือกัน(เหมือนกัน)หมดทั้งสองอย่างนี่เด้(นะ) ส่วนมันทำลายกันนี่ มันฮ้าย(ร้าย)มันตอดนี่มันแม่นมิหยัง(ใช่อะไร) มันแม่น(ใช่)นามอันหนึ่งบังคับให้รูปทำ ผมก็เลยนึกได้ว่า โอ้..รูปนามนี่มันอาศัยซึ่งกันและกัน มันเกี่ยวเนื่องกันเด้(นะ) 

     

    สำหรับรูปนี้บ่ทำหยังเป็น(ทำอะไรไม่เป็น) นามนี่บังคับให้รูปทำ รูปกับนามนี่จึงติดกันอยู่บ่เซาจักเทื่อ(ไม่ห่างสักครั้ง) ผมก็เลยเข้าใจเรื่องรูปนามชัดว่า ตีน ก็เป็น รูปเป็นนาม ว่าซั่น(นั่น) ผมเข้าใจจังซี่(อย่างนี้) 

     

    แล้วผมก็เลยเอาไม้มาให้แมงมอดไต่ออกจากขาผม ผมก็เอาแมงมอดออกไปวางไว้ พอดีแมงมอดนั้นออกไปวางไว้ทางนอกพุ่น(โน่น)แล้ว ผมก็เลยมาทำอีกตื่ม(เพิ่มอีก) 

     

    ผมก็เลยปรากฏขึ้นมาว่า เอ๊ะ..รูปนามนี่เป็นทุกข์เด้(นะ) การเคลื่อนไหวทุกส่วนเป็นทุกข์ แม้สัตว์เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นทุกข์ จะเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็เป็นทุกข์ 

     

    โอ้..เพิ่น(ท่าน)ว่า ทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา นี่แม่น(ใช่)การเคลื่อนไหว พริบตา หายใจ คิดนึก ทุกส่วนนี้แม่นทุกข์ขังเด้(ใช่เป็นทุกข์นะ) 

     

    อนิจจังนี้แปลว่า เราจะนั่งอยู่จัก(สัก)ช่วงโมงหนึ่งนี่ บ่(ไม่)ให้เหนื่อยให้ติดจักน้อย(สักหน่อย) นี่ก็ทนบ่ได้(ไม่ได้) โอ้..อันนี้มันเป็นอนิจจังเด้(นะ) ผมเลยเข้าใจไปจังซี่(อย่างนี้) 

     

    ส่วนอนัตตา นั่นแหละบังคับบ่ได้(ไม่ได้) อย่าพริบตาเบิ่งดู(มองดู) อย่าหายใจเบิ่งดู(มองดู) อย่านึกอย่าคิดเบิ่งดู(มองดู) สักชั่วโมงหนึ่ง บ่ได้(ไม่ได้) 

     

    ผมเลยเข้าใจว่า โอ้..ทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดดับ นี่ลงอยู่สภาพเดียวกันเด้(นะ) เพราะมันบ่(ไม่)ได้อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาผู้ได๋ ผมก็เลยคิดอย่างนี้ 

     

    เมื่อคิดถึงมาแค่นี้แหละ น้ำตาผมเลยพัง(ร่วง/ไหล)ออก บ่แม่นพัง(ไม่ใช่ร่วง)มากครับ มันไหลออกมาซื่อวๆ น้ำตามันไหลออกมา ผมน่าสมเพชรน่าสงสาร ที่ผมเคยทำมา ทำให้มันเสียเวลามาเป็นเวลาหลายอย่าง น้ำตานี่ไหลลงอยู่อย่างนั้น 

     

    ต่อมานี่ผมมาคิดถึงสภาพทุกข์ ผมเคยเป็นคนติดบุหรี่ครับ ผมสูบบุหรี่นี้ บ่ได้(ไม่ได้) ให้ผมเซา(เลิก)บุหรี่ อย่างผมเว้า(พูด)กับหลวงปู่ทองมานี่ ให้เฮาเซา(ให้ฉันเลิก)บุหรี่นี่ให้ตายซะ ผมก็คิดปานนั้นคือกัน(อย่างนั้นเหมือนกัน) ผมมีบุหรี่กับไม้ขีดติดอยู่ฮั่น(นั่น)ข้างของฮั่น(นั่น) 

     

    ผมก็เลยว่า ฮู้จัก(รู้จัก)ทุกข์ หายใจเข้าก็เป็นทุกข์ หายใจออกก็เป็นทุกข์ กลืนน้ำลายลงก็เป็นทุกข์ บัดนี้มึงสูบบุหรี่นี่จะเป็นทุกข์บ่(มั้ย) ทุกข์ว่าซั่น(นั่น) สูบดูมึงสูบได้บ่(มั้ย) ผมถามผมเองนี่ สูบบ่(ไม่)ได้แล้ว คั้นบ่เฮ็ด(ถ้าไม่ให้)สูบก็สูบบ่(ไม่)ได้แล้วว่าซั่น(นั่น) เอ้า..สูบเบิ่งดูว่าซั่น(สูบลองดู ว่านั่น) สูบบ่ได้(สูบไม่ได้) 

     

    อนุญาต กูจะอนุญาตให้มึงไปจับเอาบุหรี่นั่นเอาไป เอาไปแปะไว้มือเดียวมันก็จับบ่ขึ้น(ไม่ขึ้น) อ้าว..เอาขึ้นมาแม๊(ซิ) เอาขึ้นบ่ได้(ไม่ได้) คั้นบ่(หากไม่)อนุญาตให้ซะก่อน ผมก็อนุญาตให้มัน อ้าวจับขึ้นมาบัดนี้ จับขึ้นมา ถอดบุหรี่ออกจากซองมันถอดบ่ออกเด้(ไม่ออกนะ)มือเดียว คั้น(หาก)ให้จับเอามือเดียวก็ถอดบ่ออก(ไม่ออก) คั้นบ่(หากไม่)ให้จับเอาสองมือก็ถอดบ่ได้(ไม่ได้) 

     

    ผมก็อนุญาตให้ เอ้าถอดออกมาเบิ่งดู เอามาจ่อใส่ปากผมเนี่ย เอ้า..เบิ่งดู(ลองดู)มึงเอาได้บ่(มั้ย) เอาบ่(ไม่)ได้ครับ บ่(ไม่)อนุญาตให้อ้าปากขึ้นเสียก่อน ว่าซั่น(นั่น) มันจะเป็นในตัวมันเด้(นะ)ครับ เว้านี่(พูดนี่) ผมก็อนุญาตแล้ว อ้าปากเบิ่งดู(ลองดู) อ้าปากก็เอาบุหรี่สูบยัดใส่ปากนี่บัดนี้ 

     

    บัดนี้บุหรี่นั้นบ่(ไม่)มีไฟบัดนี้ สูบบ่ได้ธรรมดาไฟบ่(ไม่)ไหม้ บัดนี้ก็อ้าวสูบเบิ่งดู(ลองดู) สูบบ่(ไม่)ได้ คั้นบ่(หากไม่)เอาไฟมาใส่ เอ้าเอาก็คีบเบิ่งดู(ลองดู) มันจับมือเดียว จับมือเดียวมาต่อย(จุด)ก็คีบบ่(ไม่)เป็นแล้วบัดนี้ คั้นบ่(หากไม่)อนุญาตให้จับสองมือก็บ่(ไม่)ได้แล้วว่าซั่น(นั่น) 

     

    ผมก็อ้าวอนุญาตให้มันจับสองมือ จับจับเข้ามาไขออก ไขจับแล้วก็คีบซื่อๆ(เฉยๆ) แล้วบัดนี้ต่อยบ่เป็นอีกตื่ม(จุดไม่เป็นเพิ่มอีก) บ่(ไม่)อนุญาตให้ก็ต่อยบ่(จุดไม่)ได้แล้วว่าซั่น(นั่น) เอ้าต่อยเบิ่ง(ลอดจุดดู) ว่าซั่น(ว่านั่น)บัดนี้ ต่อยต่อย(จุดจุด)มาจี่ใส่ จี่ใส่มันก็สูบเข้าบัดนี้ 

     

    นี่เป็นปัญหาที่ให้ผมสะท้อน เรื่องการเห็นทุกข์ เป็นพิษเป็นภัยแก่ผม ผมก็เลย เอ้า..มึงสูบเบิ่งดูสิ(ลองดูสิ) มันให้ประโยชน์หยังแด๊(อะไรนะ) มีแต่การทำลายร่างกายเท่านั้น นำเชื้อโรคเข้ามา เหม็นสาบเหม็นคาว มึงฮู้จักบ่(มึงรู้จักมั้ยย)ความพินาศชิบหาย ผมมาว่าให้ผมเอง ชาติชั่วชาติโง่ มึงนี่บัก(ไอ้)พินาศชิบหายอย่างนั้นอย่างนี้ 

     

    โอ้สารพัดมันว่าให้ผม ผมว่าให้ผมเอง ตั้งแต่มื้อ(วัน)นั้นมาผมก็เลยหยุดสูบบุหรี่ เลยบ่สูบจักเทื่อ(ไม่สูบสักครั้ง) เท่า(จนถึง)เดี๋ยวนี้แหละเรื่องการสูบบุหรี่ แต่น้ำตานั้นไหลอยู่บ่เซา(ไม่หยุด) เป็นอยู่ฮั่นก็ดาย(นั่นก็นะ) 

     

    ต่อมามีแม่ออกเอาข้าวต้มไปให้ แม่ออกเอาข้าวต้มไปให้ผมยังไห้อยู่(ร้องไห้อยู่) เป็นหยังว่าซั่น(เป็นอะไร ว่านั่น) ผมน่าสมเพชน่าสงสาร เมื่อผมบ่(ไม่)ได้เข้ามาในสำนักนี้ผมจิบ่(จะไม่)ได้รู้ธรรมะอันนี้ และน่าสมเพชน่าสงสารผม บ่(ไม่)มีผู้บอกให้ผม ผมว่าให้เซา(หยุด) อย่าไห้(อย่าร้องไห้)ว่านั้น มันก็อดบ่ได้(ไม่ได้) 

     

    พอเวลาฉันจังหันแล้วนี่(อาหารเสร็จนี่) ท่านหลวงพ่อวันทองนี่ไปหาผมบัดนี้ เพิ่น(ท่าน)ไปสอบอารมณ์ เพิ่น(ท่าน)ไปเห็นผมไห้(ร้อยไห้)อยู่ สมน้ำหน้าบ่(มั้ย) เพิ่นว่า(ท่านว่า) ว่าซั่น(ว่านั่น) 

     

    ผมก็คิดใจใหม่ขึ้นมาว่า โอ้คนเนี่ยมา ไห้(ร้องไห้)อยู่อย่างซี่(นี้)ก็ยังมาสมน้ำหน้าน้ำตากัน เราเห็นธรรมะอย่างซี่(นี้) ก็น่าที่จะมาปลอบโยนกันอย่างซั่นอย่างซี้(อย่างนั้นอย่างนี้) ผมก็คิดไป โอ้หลวงพ่อนี่ คล้ายๆ คือบ่(ไม่)มีธรรมะแท้ๆ มาสมน้ำหน้าน้ำตากันจังซี่(อย่างนี้) เลยน้ำตามันก็เลยเซา(หยุด) 

     

    มันเป็นปีติขึ้น เพราะการเห็นรูปนามนี่ขั้นแรก หรือว่าผมดีใจก็แม่น(ใช่) เป็นปีติก็แม่น(ใช่) ยินดีเพราะผมได้รู้รูปรู้นาม รูปธรรมนามธรรม รูปโรคนามโรค รู้ทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา รู้สมมุติ รู้ไปหมดในขณะนั้น บ่(ไม่)มีการหยุดยั้ง

     

    พอดีออกจากรูปมื้อนี้อย่างพ่อวันทองว่า น้ำตาท่านก็หายไป เพิ่นไปให้อารมณ์อีกตื่ม ตั้งสติให้มันดีเพิ่นว่า ครับ ผมก็อย่างซี้ เพิ่นเลยบอกว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นเรือ สติเป็นหางเสือ ปัญญาเป็นคนพาย” เข้าใจบ่ เข้าใจครับ ตั้งใจนะเพิ่นว่า ครับ ผมก็เลยตั้งใจกระทำกันอีกไป 

     

    ทำกันอีกไป ในขณะนั้นเย็นจนมื้อแลง(ตอนเย็น)แหละว่าไปทำ เพิ่น(ท่าน)ก็ว่าทำไปอยู่อย่างนั้น จนมื้อแลง(จนตอนเย็น)ในขณะอยู่ในเกณฑ์ทุ่มหนึ่งนี่แหละ ผมก็เลยปรากฏขึ้นอีกตื่ม(อีกครั้ง) ฮู้จัก(รู้จัก) การคิดการนึกนี้เป็นทุกข์ถนัด แม้การคิดทุกส่วนถนัด ผมก็เลยตั้งสติเบิ่ง(ดู) เอ้า..ตัวทุกข์ตัวนี้มันเป็นละเอียดที่สุด 

     

    ผมเอามือผมมาแก้จังซี่แหละ(อย่างนี่แหละ) นี่มันหยาบนี่ว่าซั่น(นั่น) แล้วผมขยับเข้ามาพริบตา(กระพริบตา)นี่มันละเอียดเข้ามา หายใจนี่คนอื่นยังมองเห็นได้อยู่ ส่วนจิตใจคิดนี่คนอื่นมองเห็นบ่ได้(ไม่ได้) ปัดโธ่ตัวนี่เด้(นะ) มันละเอียดกว่าหมู่ ว่าซั่น(กว่าทั้งหมด ว่านั่น)

     

    ผมก็เลย เอาสติมามองดูจิตใจนี่แหละครับอยู่ บ่มีไผบอกไผสอน(ไม่มีใครบอกใครสอน)เรื่องนี้ แต่ครูบาอาจารย์ก็บ่ได้แนะนำ เพิ่น(ท่าน)บอกเพียงว่า เอาดีๆ นะ จิตเป็นนาย กายเป็นเรือ สติเป็นหางเสือ ปัญญาเป็นคนพาย เพิ่น(ท่าน)ไปให้แต่เพียงแค่นั้น 

     

    ผมก็เลยมาตั้งท่า กูจิเบิ่ง(กูจะดู)จิตมันคิดมันนึกนี่หนา ว่าซั่น(ว่านั่น) มันเป็นอย่างได๋(ไร) มันคิดมาจากไส(ไหน) ผมมามองข้ามลมหายใจนิดเดียวครับ ตัวคิดนี่อยู่ข้างนอก อยู่นอกลมหายใจนิดเดียว มองข้ามอยู่ที่ตรงนี้แหละ พอดีมองข้ามที่ตรงนี้ 

     

    ผมก็เลยปรากฏเข้า ฮู้(รู้)จักปรมัตถ์ เมื่อรู้จักปรมัตถ์นี้ จิตใจผมน้ำหนักตัวผมนี่นะ ๑๒ กิโลว่าซั่น(นั่น) คล้ายๆ คือมันเบาขึ้นมาอีกตื่ม(เพิ่ม) ในราวอย่างน้อยที่สุดเหลือ ๖ กิโลบัดนี้ ส่วนความบ่(ไม่)ดีนี่ ผมฮู้(รู้)จักปรมัตถ์แล้ว ผมเดินจงกรมไปอยู่ เดิน ทางมันบ่(ไม่)ยาวครับ 

     

    เดินไปเดินมาอยู่ ประมาณจัก(สัก) ๕ นาทีเป็นอีกตึ่ม(เพิ่ม) ทำให้จิตใจผมเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิมอีกตื่ม(เพิ่ม) ส่วน ๖ กิโลนั่นแหละออกไปตื่ม(เพิ่ม) เหลืออยู่ประมาณจัก(สัก) ๔ กิโล ปัดโธ่..จิตใจนี้มันเปลี่ยนเป็นระดับเป็นอย่างซี่เด้(นี่นะ) 

     

    ผมได้ไปหวนคิดหาอันเพิ่นว่า(ท่านว่า) ปฐมฌาน ทุติยฌาน นี่มันเป็นอย่างซี่บ่น้อ(อย่างนี้มั้ยนะ) ผมคิดจังซี่แหละ(อย่างนี้แหละ) 

     

    ผมก็เลยเดินไปเดินมาอยู่ ปรากฏขึ้นมาอีกตื่ม(เพิ่ม) ระดับจิตใจนี่เปลี่ยนขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่ ๓ นี้ครับ มีอารมณ์เป็นตอนๆ ไป น้ำหนักที่เหลืออยู่ประมาณ ๒ กิโล ตกไปอีก ๒ กิโลครับครั้งนี้ โอ้เป็นจังซึ่(อย่างนี้) เราเกิดมาเราบ่(ไม่)เคยเป็นอย่างนี้จักเทื่อ(สักครั้ง) แม่น(ใช่) แม่น(ใช่)ทางปฏิบัติแท้ๆ(จริงๆ) บัดนี้ 

     

    มาอยู่ตรงนี้พักหนึ่ง คิดหาพ่อหาแม่ คิดหาอ้าย(พี่)หาน้อง คิดหาในตระกูล คิดหมดโลกบัดนี้ โอ้..คนนี้ต้องการธรรมะหมดทุกคน บ่(ไม่)เข้าใจเด้(นะ) ว่าซั่น(ว่านั่น) มันพรรณาออกไปนอกเสียก่อนบัดนี้ 

     

    พรรณาออกไป เอ๊ะ..มันคิดไปส่วนนอกนี่ มันบ่แม่นล่ะว้า ผมเข้าใจว่าวิปลาศ มันออกไปนอกพุ่น(นู้น) อันส่วนที่รู้รูปนานที่เราพรรณาอยู่่เราคิดนั่นคิดนี่ เป็นวิปัสสนูอันนี้ ผมเลยเข้าใจ 

     

    ต่อไปก็เบิ่ง(ดู)จิตคิดนึกตัวนี้ต่อไปตื่ม(เพิ่ม) เบิ่ง(ดู)ไปตามประสาว่า บ่(ไม่)มีครูบาอาจารย์ที่แนะนำ แต่มีอยู่ เพิ่น(ท่าน)แนะนำอยู่ แต่เพิ่น(ท่าน)หากบ่(ไม่)ไปหา เพราะว่ามันเป็นเวลาที่ใกล้กันนี่ว่าอย่างซั่น(นั่น) ผมก็เดินจงกรมอยู่ เดินไปเดินมา เลยได้เอามาพักตอนนั้น มานอน นอนตื่นมาก็ประมาณตี ๔ นี่หรือจิ(จะ)เป็นตี ๓ นี่แหละ ผมตื่นขึ้นมา 

     

    ตื่นขึ้นมามาทำอีกตื่ม(เพิ่ม) ทำอยู่ประมาณสักชั่วโมงหนึ่งบัดนี้ครับ ปรากฏขึ้นมาอีกตื่ม(เพิ่ม)เสียแล้วบัดนี้ ปรากฏผมว่า โอ้ลักษณะนี้เป็นอย่างซั่น(นั้น) ลักษณะนี้เป็นอย่างซั่น(นั้น) ไล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อผมฮู้(รู้)จักรูปนาม ไล่ขึ้นมา ไล่ขึ้นมา จิตใจมันเปลี่ยนขึ้นมาบัดนี้ เบิ่ง(ดู)อยู่บัดนี้ ผมเลยรู้จักว่า เรื่องวิมุตินี่นะครับ 

     

    วิมุต ว่าซั่น(ว่านั่น) คือความหลุดพ้น วิมุติเป็นเหตุ เจโตวิมุติเป็นผล เจโตวิมุตนี้คือผลที่ได้รับเด้(นะ) ผมคิดอย่างซี้(นี้)ขึ้นมา คิดอย่างซี้(นี้) อารมณ์ที่เกิดผ่านมานั้นก็จำมา จำมาจนเท่าทุกวันนี้ อารมณ์ที่ผมจำได้บ่หลง(ไม่หลง) บ่หลงจักข้อ(ไม่หลงสักข้อ) เท่าทุกวันนี้เดี๋ยวนี้ที่ผมนำมาเล่าสู่หมู่ฟัง 

     

    บัดนี้เบิ่ง(ดู)ไป ผมฮุ้(รู้)จักว่าอกุศลทางกาย ทำบาปด้วยกายนี้ว่าอกุศล ตายไปแล้วเป็นหยัง(อะไร) บัดนี้อกุศลทางวาจาว่าตั้งแต่ปากซื่อๆ(เฉยๆ) ร่างกายบ่ทำ(ไม่ทำ) ตายไปแล้วบาปเป็นหยัง(อะไร) ว่าซัั่น(นั่น) อกุศลด้วยใจคิดอิจฉาเบียดเบียนผู้อื่นซื่อๆ(เฉยๆ) แต่บ่ด่า(ไม่ว่า)กายก็บ่ทำ(ไม่ทำ) ตายไปแล้วเป็นหยัง(อะไร) ว่าซั่น(นั้น) ผมถามตัวเองผมเด้นี่(นะนี่) มันคิดผู้เดียวมันถามผู้เดียว 

     

    บัดนี้ทั้งสามอย่างนี้แหละ บัดนี้อกุศลทางกายนี่ กายก็กระทำ ปากก็เว้าอีกตื่ม(พูดเพิ่มอีก)ทีหนึ่ง ใจก็ยังคิดอิจฉาริษยาเขาอยู่อีกทีหนึ่ง สามอันนี้มารวมเข้ากันนี่ มันตายไปแล้วมันจิเป็นหยัง(จะเป็นอะไร) ว่าซั่น(นั้น) รวมเป็นสี่ข้อด้วยกันมาบวกกันนี่ 

     

    บัดนี้กุศลด้วยกาย เอาแต่กายทำบุญซื่อๆ(เฉยๆ) ส่วนวาจานั้นบ่ปากบ่เว้า(ไม่พูดไม่จา) ทำตั้งแต่กาย ตายไปแล้วจะเกิดเป็นหยัง(อะไร) บุญอันเดียวนั้น 

     

    บัดนี้กุศลทางวาจา เว้า(พูด)ตั้งแต่ชวนหมู่ทำบุญทำทานนี่ ตายไปแล้วไปเกิดเป็นหยัง(อะไร) ว่านั้น 

     

    บัดนี้กุศลทางใจ มีแต่ใจคิดซื่อๆ(เฉยๆ) ส่วนร่างกายนี้บ่ทำ(ไม่ทำ) ปากก็บ่เว้า(ไม่พูด) ตายไปแล้วไปเกิดเป็นหยัง(อะไร) คิดจังซี้(อย่างนี้) 

     

    บัดนี้กุศลด้วยกาย กายก็ทำ ทำบุญนี่ทำดีนี่ วาจาก็ทำ ใจก็ทำ ทำดีทั้งสามนี้อย่างนี้มาบวกเขากันแล้ว ตายแล้วจิ(จะ)ไปเกิดเป็นหยัง(อะไร) 

     

    พอดีเบิ่ง(ดู)มาเท่านี้ล่ะครับ คล้ายๆ คือฟ้านี่ผ่าปั๊บ แล้วจิตใจคือกระโดดขึ้นรถครับ จิตใจผมที่ขาดออกจากกัน แต่บ่แม่น ขาดก็แม่น ก็เห็นเรื่องจิตใจขาดนี่ ขาดแป๊บหนึ่ง กระโดดขึ้นรถครับผมนี่ 

     

    ผมเดินจงกรมอยู่นี่ เดินไปเดินมา ผมก็คิดว่า โอ้..ความสุขในหลักพุทธศาสนาอันนี้ พระพุทธเจ้าสอนมา ๘๔,ooo พระธรรมขันธ์นี่ รวมลงมาสู่จุดเดียวนี้เด้(นะ) ผมเลยเข้าใจอย่างซี่โลด(อย่างนี้เลย) แต่ผมก็เกือบพลาดอีกตื่ม(เพิ่ม) ทิ้งอารมณ์ครับ 

     

    เลยมาทิ้งอารมณ์ที่ผมเห็น เล่ามาน่ะ เรื่องอกุศลด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจ ผู้อยู่ไปสบายโลดเกินไปจัก(สัก)ประมาณชั่วโมงหนึ่งนี่แหละครับ เดินไปเดินมา เบาหมดเลย ส่วนการที่มันหนักแน่นอยู่นำตัวคนนั่น หมด ว่าซั่น(ว่านั่น) ผมว่า หมด ไม่มีอะไรเหลือเสียแล้วบัดนี้ สบายหลาย 

     

    สบายหลาย มันคิดติดแต่ความสุขครับ อ้าวบ่(ไม่)เป็นท่าเด้(นะ) เพิ่นว่า(ท่านว่า) คั้น(หาก)ว่าติดแต่ความสุขนี่ มันจะลืมหลักฐานนี้ ว่าซั่น(ว่านั่น) ผมคิดขึ้นมาอีกตื่ม(เพ่ิ่ม) ผมกลับเข้ามาทวนอารมณ์ผมอีกตื่มหนึ่ง(เพิ่มอีกครั้งหนึ่ง) 

     

    เมื่อกลับเข้ามาทวนอารมณ์ผมแล้ว ผมก็นึกได้ว่า โอ้..อันนี้เปรียบดังไม้ มีคลองอันหนึ่ง เราเอาไม้มาพาดไว้จังซี่(อย่างนี้) ถ้าเราเดินไปที่ไม้ลำเดียวเราเหยียบไม้ลำเดียว พลิกแล้วตก ตกลงแล้วก็เป็นอันถูกดิน แล้วบัดเดี๋ยว ตาย บ่ได้ว่าซั่น(ไม่ได้ว่านั่น) 

     

    บัดนี้ถ้ามีไม้พลาด แล้วก็มีไม้อีกตื่ม(เพิ่มอีก)ลำหนึ่งจับ ให้เราเดินไปได้สบาย เมื่อเราเซเราจิ(จะ)ได้จับไม้อันนี้เป็นกำลังแรงไว้ โอ้..อารมณ์นี่มาช่วยให้เป็นกำลังแรง บ่(ไม่)ให้เราลืมตัว นี่แม่น(นี่ใช่)อารมณ์นี่เด้(นะ) ว่าซั่น(ว่านั่น) ลักษณะความเป็นจังซี้(อย่างนี้) 

     

    ผมจึงเชื่อแน่ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านี่มีเท่านี้หนอ นี่มันเป็นจังซี่(อย่างนี้) ผมปฏิบัติธรรมะมาจิ(่จะ)เล่าให้ฟังแต่เพียงย่อๆ ต่อจากนั้นมาผมก็เลยปฏิบัติมาจังซี้(อย่างนี้) 

     

    ก็อยู่มาแล้วก็ปีนั้นมันเป็น ๘ สองหน คั้น(หาก)ถ้าเป็นมื้อ(วัน) มันเป็น ๑๔ ของพวกเรา กับมื้อ(วัน) ๑๔ ของเมืองลาวนั้น มันบ่ถูกกัน(มันไม่ตรงกัน) ท่านอาจารย์ปานก็เลยมาตกมื้อ ๑๕ ของพวกเฮา(เรา) มาท่านก็เลยมาถาม เอาผมไปถาม 

     

    เพิ่นสอบนักปฏิบัติเหมือนกันเด้(นะ) เพิ่น(ท่าน)สอบทีละคนๆ ครับ บ่คือ(ไม่เหมือน)พวกเรา ให้ไปหาทีละคน บ่(ไม่)ได้ไปพร้อมกัน มีนักปฏิบัติพระจำนวน ๒๓ องค์ ๒๓ รูปให้ว่าอย่างซั่น(นั้น) ก็มีโยมผู้หญิงผู้ชายก็มี ๕ คน ปฏิบัติด้วยกัน หมู่นั้นไปหมดแล้ว บัดนี้ก็แม่น(ใช่)ผมไป 

     

    มื้อ(วัน)นั้นมันแดดผมเป็นซาละมาดไป(เพลียไป) เมื่อย ไปฮอดแล้ว(ไปถึงแล้ว) เพิ่น(ท่าน)ก็ถาม เป็นอย่างไรว่าซั่น(นั่น) เพิ่นถาม(ท่านถาม) เมื่อยครับว่า เจ้าของ(ตัวเอง)คนเมื่อยก็รู้จักสิ เมื่อย ใครจิบ่ฮู้จัก(จะไม่รู้จัก) หมู่เพิ่นก็จิฮู้(เพีื่อนก็จะรู้)จักทุกคนเมื่อย คั้น(หาก)ทำงานเมื่อยนี่ แม่นบ่(ใช่มั้ย) เออก็ฮู้จัก(รู้จัก) 

     

    ผมก็เลยตอบว่าเมื่อยครับ ฮู้จักบ่(รู้จักมั้ย)เมื่อย ฮู้(รู้)จักครับว่า ผมก็ตอบจังซี้(อย่างนี้) ตอบซื่อๆ อันนี้ท่านก็เลยว่านั่น นั่งอยู่ฮั่น(นั่น)มีสติบ่(มั้ย) มีครับว่า สติอยู่ไส(ไหน) ว่าอยู่กับผมนี่แล้วครับว่า เพิ่น(ท่าน)ก็เลยบอกว่า กลับเข้าห้องกรรมฐานอีกตื่มไปว่าซั่น(นั่น) เพิ่นบอก(ท่านบอก) 

     

    ปัดโธ่..ว่าอาจารย์นี่ จิ(จะ)มาแก้ปัญหาถามปัญหากูแล้วเด้(นะ) บัดนี้ว่าซั่น(นั่น) ผมก็เลยย่างไปจงกรมมา โอ้ย..เมื่อได๋(เมื่อไร กูจะได้แก้ปัญหาท่านอาจารย์นี้เน้อ ผมคิดอย่างซี้(นี้)อยู่ เอาละบ่แม่นมื้อ(ไม่ใช่วัน)หนึ่งก็วันหนึ่งละ เพิ่นจิ(ท่านจะ)มาสอบอารมณ์กู ผมใจกล้าหาญอยู่อย่างนั้นครับ เรื่องอารมณ์นี่กล้าอยู่ 

     

    บัดนี้ก็ตกลงมา มื้อหน้าเพิ่น(พรุ่งนี้ท่าน)ก็มาอีกตื่ม(ครั้ง)แล้วครับ มาสอบอารมณ์ มื้อหน้าบ่แม่น(พรุ่งนี้ไม่ใช่)ติดกันครับ ระยะห่างกัน ๒ มื้อ(วัน) เพิ่นมา(ท่านมา) มาก็เลยเอานักปฏิบัติจำนวน ๒๓ คนนั้นไปสอบก่อน ผู้ชายผู้หญิงอันที่ปฏิบัตินำกัน(ด้วยกัน)ไปสอบก่อนหมดทุกคน แล้วก็ผมเป็นคนสุดท้ายอีกตื่ม(ครั้ง)บัดนี้ 

     

    เพิ่นว่า(ท่านว่า) อ้าวพ่อออกเชียงคานมาเด้(นะ) เพิ่น(ท่าน)ก็นั่งอยู่โต๊ะคือจังซี่แหละ(อย่างนี้แหละ) ผมก็นั่งคือเพิ่น(ท่าน)อาจารย์นี่แล้ว เพิ่น(ท่าน)มีหมอนท้าวคือ(เหมือน)หมอนท้าวใหญ่ขเจ้า(พวกคุณ)มาถวายเฮา(เรา)นี่แหละ นั่งพิงอยู่ เพิ่น(ท่าน)ก็ถาม ผมไปฮอด(ถึง)แล้ว 

     

    เป็นอย่างไรพ่อออกเชียงคานว่าซั่น(นั่น) บ่เป็นหยัง(ไม่เป็นอะไร)ครับ ฮะ ว่าซั่นเพิ่นว่า(ว่านั่นท่านว่า) เพิ่น(ท่าน)ตะคอกเพิ่น(ท่าน)ขู่ให้ว่าไป ใจนี้วาบ มันย่าน(มันกลัว)ขึ้นบัดนี้ เอ้า..มึงย่านอย่างได๋(กลัวอะไร) มึงบ่(ไม่)เจ็บบ่ไข้บ่หนาวบ่เป็นมิหยัง(อะไร) มึงย่านอย่างได๋(กลัวอะไร) ว่าซั่น(ว่านั่น) 

     

    ใจเกิดขึ้นอีกตื่ม(เพิ่ม)หมู่หนึ่ง คล้ายๆ คือมีคู่บัดเดี๋ยว บ่แม่น(ไม่ใช่)คู่นั่งอยู่ข้างๆ นี่ครับ จิตใจมันกล้าขึ้นใหม่ตื่มหนึ่ง(เพิ่มขึ้น) คล้ายๆ คือว่าบ่ย่าน(เหมือนว่าไม่กลัว) ใจกล้าหาญสามารถว่าได้บัดนี้ ใจนี่โธ่..มึงย่าน(กลัว)นี่เมื่อกี้ ย่าน(กลัว)ทำไม ว่าซั่น(นั่น) เราจิเว้า(เราจะพูด)ไปอย่างกงไปกงมามื้อนี้(ตรงไปตรงมาวันนี้) ถ้าหากเป็นปัญหาก็ต้องแก้ปัญหาว่าซั่น(นั่น) คิดอยู่ในใจบัดนี้

     

    เฮ้อ..เพิ่น(ท่าน)ก็เลยถาม ถามว่าพ่อออกเป็นอย่างได๋(ไร) ฮู้จักหยังแด้(รู้จักอะไรบ้าง) ฮู้จัก(รู้จัก) ว่านั้นตอบบัดนี้ ฮู้จักอันได๋(รู้จักอะไร) ฮู้(รู้)จักตัวผมนี่แล้ว ว่านั้นตอบเพิ่น(ท่าน) ฮู้จักอันได๋(รู้จักอะไร) ฮู้จักตัวพ่อออกนี่(รู้จักตัวโยมนี้) 

     

    ฮู้(รู้)จักรูปธรรมนามธรรม ฮู้(รู้)จักรูปนาม ฮู้(รู้)จักสมมุติ ฮู้(รู้)จักศาสนา ฮู้(รู้)จักพุทธศาสนานี่แล้ว เฮ้ย..คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักรูปบ่ฮู้(ไม่รู้)จักนาม บ่ฮู้(ไม่รู้)จักรูปธรรมนามธรรม บ่ฮู้(ไม่รู้)จักศาสนา ก็บ้าแล้ว นั้นคือคนตายแล้วเท่านั้น เพิ่นว่า(ท่านว่า) 

     

    แม่นครับ ผมตายแท้ๆ แต่ก่อนผมเป็นคนตายแล้วครับว่า ผมเกิดใหม่เด้(นะ)เดี๋ยวนี้ครับว่า อ้าว..เพิ่งเกิดใหม่สิมาหยังสิได้(จะมาอย่างไรได้) เพิ่น(ท่าน)ถาม มันเด็กน้อยมันจิมายังซี้ได้จังได๋(จะมาอย่างนี้ได้อย่างไร) เพิ่นว่า เพิ่นขู่ก็แม่น เพิ่นว่าซื่อๆ ก็แม่น(ก็ใช่) 

     

    บ่แม่น(ไม่ใช่)เกิดใหม้อย่างซั่นว่า(ว่านั่น) ผมเกิดใหม่นี่ได้ หมายถีงบ่(ไม่)เกิดจากท้องแม่นี่ครับว่า ผมเกิดปัญญาอันหนึ่งนี้ขึ้นมาในตัวผมนี้ซื่อๆ นี่ด้วยครับว่า 

     

    โอ้ย..คนนี้ เพิ่นว่า(ท่านว่า) คั่นบ่ฮู้(หากไม่รู้)จักรูปบ่ฮู้(ไม่รู้)จักนามแล้ว คือ(เหมือน)คนตายแล้วซื่อๆ นี่เพิ่น(นี่ท่าน)ว่าสองเทื่อ(ครั้ง)ครับ บ่ฮู้(ไม่รู้)จักแท้ๆ ครับแต่ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้ผมฮู้(รู้)จักเดี๋ยวนี้ครับ 

     

    ฮู้(รู้)จักมันเป็นจังได๋(อยางไร)พ่อออก เชื่อแท้บ่(มั้ย) เชื่อครับว่า ผู้อื่นว่าบ่แม่น(ไม่ใช่) จิว่าแม่นบ่(จะว่าใช่มั้ย) แม่นครับว่า(ว่าใช่ครับ) อาจารย์นี้ว่าบ่แม่น(ไม่ใช่)จะเชื่อบ่(มั้ย) บ่(ไม่)เชื่อครับ เชื่อผมเองว่าซั่น(นั้น) เพิ่น(ท่าน)ก็เลยมานั่งกรองความคิดอยู่ เพิ่นจิ(ท่านจะ)หาข้อมาถามผม 

     

    นั่งประมาณอยู่บ่นานครับ คั้น(หาก)นานก็ประมาณจัก(สัก) ๕ นาทีระหว่างนี้น่ะ เพิ่น(ท่าน)เลยถามผม พ่อออกเกลือเค็มไหมเพิ่น(ท่าน)ถาม โอ๊ย..อันจังซี่ก็จิ(เรื่องอย่างนี้ก็จะ)มาถามกันละหน้อว่าซั่น(นั่น) ปัญหาเด็กน้อยแล้วบัดเดียวผมเข้าใจอย่างซี้(นี้)ครับ เป็นปัญหาเด็กน้อย ผมคิดอยู่ มาถามจังซี้(อย่างนี้)มาถามปัญหาเด็กน้อยนั่นแล้ว 

     

    เลยตอบเพิ่น(ท่าน) เกลือนั้นมันบ่(ไม่)เค็มครับ มันอยู่กะพอกพุ้น(กะลานู้น) มันบ่(ไม่)ได้อยู่ลิ้นผมนี่ ผมบ่ฮู้(ไม่รู้)จักว่าเกลือเค็มเพราะเกลือบ่(ไม่)อยู่ในลิ้นผม ถ้ามันเค็มมันก็เค็มอยู่พุ่น(นู้น) มันบ่(ไม่)เค็มอยู่ในลิ้นผมนี้ ผมว่าเกลือบ่(ไม่)เค็มเดี๋ยวนี้นี่ครับว่า ก็บอกจังซี่โลด(อย่างนี้เลย) เพิ่น(ท่าน)ก็เลยว่า อ้าวเกลือเขามันเค็มที่ได๋(ไหน) ว่าฮั่น(ว่านั่น) บ่(ไม่)เค็มครับ เกลือบ่(ไม่)อยู่ในลิ้นผม เพิ่น(ท่าน)ก็เลยแล้วไป 

     

    เพื่น(ท่าน)ก็นั่งไปประมาณอีกตื่มจัก(อีกสัก) ๕ นาที เพิ่น(ท่าน)หาวิธีมาถาม เพิ่น(ท่าน)กลับมาถามว่า พ่อออกบักพริกเผ็ดบ่(มั้ย) ผมก็ตอบตื่มว่า(อีกว่า) บักพริกบ่(ไม่)ได้อยู่ที่ลิ้นผมนี่มันจิเผ็ดจังได๋(จะเผ็ดอย่างไร)ครับ ผมบ่ฮู้(ไม่รู้)จักบักพริกเผ็ดซ้ำ บักพริกมันบ่(ไม่)ได้อยู่ในลิ้นผม ถ้าบักพริกมันอยู่ในลิ้นผมนี่มันเผ็ดผมจิ(จะ)ได้รู้จัก เดี๋ยวนี้บักพริกบ่(ไม่)ได้อยู่ลิ้นผม ผมบ่(ไม่)เผ็ดเดี๋ยวนี้นี่ครับ ตอบไปจังซี่(อย่างนี้) 

     

    เพื่น(ท่าน)ก็นั่งคราวหนึ่งประมาณจัก(สัก) ๕ นาทีนี้แหละ แต่เพื่นจิ(ท่านจะ)ถามแต่ละครั้งๆ นี่ เพื่น(ท่าน)ต้องคิดเสียก่อน ท่านอาจารย์ปานนี่เพื่น(ท่าน)ต้องคิด บัดนี้เพื่น(ท่าน)ถามว่า 

     

    พ่อออกนี่สมมุติ ณ บัดนี้ เพิ่นว่า คำว่าดำสิ่งอันใดดำหลายเพื่น(ท่าน)ว่า โอ้ยนี่ท่านอาจารย์ปานนี่ว่าจังซี่น้อ(อย่างนี้นะ) ผมคิดอยู่ คำว่าดำนี่มันเหมือนกับดำฺฺฮั่น(นั่น)แล้ว อันใดดำเหนือจากดำไปบ่(ไม่)มีหรอกครับว่า เพื่น(ท่าน)ก็เลยเซา(หยุด)ไป 

     

    กลับมาถามอีกตื่ม(เพิ่มอีก)บัดนี้ ขาวเด้(นะ)อันใดขาวแรงกว่ากัน คำว่าขาวก็หมดกับขาวเท่านั้น ขาวเหนือขาวไปไม่มีบ่(ไม่)ว่าอันใดครับ ก็เลยตอบเพื่น(ท่าน)ล่วงไปโลด(เลย)บัดนี้ว่า 

     

    ดำก็คือ(เหมือน)กันเหนือดำไปไม่มี ขาวคือ(เหมือน)กันเหนือขาวไปไม่มี ซิ่ว(เขียว)คือกันเหนือซิ่ว(เขียว)ไปไม่มี แดงอย่างเดียวกันครับเหนือแดงไปไม่มี เหลืองคือ(เหมือน)กันเหนือเหลืองไปไม่มี สุดตรงนั้นครับว่า เรื่องนี้มันสุดกับเรื่องของมันซื่อๆ(เฉยๆ) ผมก็ตอบจังซี้(อย่างนี้) 

     

    เพื่นจิ(ท่านจะ)ถามหาจุดว่า ที่สุดของทุกข์ทำเพียงแค่ไหน ผมเข้าใจไปอย่างซี้(นี้) ความหมายของเพิ่น(ท่าน)อาจารย์ปานถามผม ถามปัญหาเด็กน้อยผมเข้าใจไปในทางนั้น อย่างผมว่านี่ 

     

    ผมเข้าใจว่าเพื่นจิ(ท่านจ)ถามหาที่สุดว่า การปฏิบัติธรรมนี่มันจะสุดแค่ได๋ เพื่นจิ(ท่านจะ)มีความหมายไปอย่างนั้น ผมก็เลยแก้ไปอย่างซั่นไปโลดบัดเดียว(นั้นเลยทีเดียว) 

     

    บัดนี้เพื่น(ท่าน)ก็เลยมานั่ง โยม ว่านั้น ครับว่า สมมุติว่าวัดรังษีมุตตารามนี่แหละเป็นป่า แล้วออกไปฮั่น(นั่น)ก็เป็นป่าพบอีกดอนหนึ่ง แล้วมีโยมคนหนึ่งออกจากนี่ไปแบกปืนไปว่าซั่น เพื่น(ท่าน)ว่า แล้วไปเห็นเสือตัวหนึ่งยิงเสือใส่ทิ้งไว้ที่ดอนฮั่น(นั่น) 

     

    แล้วโยมคนนั้นเขาก็ไปบอก ให้โยมมาหาอาจารย์ จิมาบ่ว่าซั่น(จะมามั้ย ว่าอย่างนั้น) ผมก็เลยตอบเพื่น(ท่าน) ก็มาแล้ว ท่านอาจารย์สั่งมาก็มาแล้วฮั่น(นั่น) แล้วจิบ่(จะไม่)มาหาอย่างได๋(ไร)ครูบาอาจารย์สั่งมา คั้นมาฮั่น(หากมานั่น)เสือใส่กัด เพื่น(ท่าน)ว่า 

     

    อ้าว..จิกัดจังได๋(จะกัดอย่างไร)ครับ เสือบ่(ไม่)ทันเห็นแท้ๆ จิเฮ็ดอย่างได๋(จะทำอย่างไร)มาก็ต้องหลีกแล้วเพื่น(ท่าน)ว่า บ่(ไม่)หลีกครับ ผมจิย่างมานำทางฮั่นมาซื่อๆ(ผมจะเดินมาตามทางมาเฉยๆ) คั้น(หาก)มานำทางเสือใส่กัดแท้ๆเอา เพื่น(ท่าน)ว่า บ่(ไม่)ครับผมบ่(ไม่)หลีก เพื่น(ท่าน)จูงไปในทางที่ให้ผมหลบครับ 

     

    ผมนึกได้โอ้ยเพิ่น(ท่าน)อาจารย์นี่ มาถามวิปลาสเรานี่แล้วอันนี้ว่าซั่น ผมเข้าใจอย่างซี้(นี้) คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักวิปลาส ปฏิบัติวิปัสสนามันจิ(จะ)รู้จักจุดหมายไปทางอย่างได๋(ไหน) มันก็เฮ็ด(ทำ)ไปทั่วทิศทั่วแดนนั่นแหละบ่(มั้ย) ผมเข้าใจไปจังซี้(อย่างนี้) 

     

    ผมบ่(ไม่)หลีกทางดอก(หรอก)ครับ ต่อเมื่อเห็นเสือเมื่อใดผมจิ(จะ)หลีกเมื่อนั้น ถ้าหากผมบ่(ไม่)เห็นเสือเมื่อใดแล้วผมบ่(ไม่)หลีก บางทีผมเอาชนะเสือก็เป็นได้ ผมก็เลยตอบจังซี่(อย่างนี้) 

     

    พอดีตอบอย่างซี้(นี้) จริงบ่(มั้ย)พ่อออก เพื่น(ท่าน)ถาม ครับว่า มีความสามารถอย่างซั่นสิ(นั้นเหรอ) สามารถจังซี้(อย่างนี้)แหละครับว่า พันหนึ่งจำนวนคนปฏิบัติอย่างนี้ผู้หนึ่ง ขออนุโมทนาบุญด้วยเน้อโยม ว่านั้น ผมก็บ่ดีใจบ่(ไม่)เสียใจหยัง(อะไร) เพิ่นว่าพอปานนั้น(ท่านพูดขนาดนั้น) 

     

    ผมมีการปฏิบัติอยู่นำสำนักหลวงพ่อวันทองเป็นเวลา ๓ เดือน เมื่อครบกำหนด ๓ เดือนแล้ว บัดนี้ผมก็เลยนิมนต์พระจำนวน ๒๓ รูปนั่นแหละ ไปทำความเข้าใจกับท่านอาจารย์ปานอยู่วัดสบปอหลวง ไปคารวะเพื่น(ท่าน)นั่นแหละ 

     

    ซื้อผ้าสบง ๒๓ ผืนไปอีกด้วย ไปคารวะเพื่น(ท่าน)อาจารย์ปานอยู่วัดสบปอหลวง เหมารถไป เหมาเรือไปก่อนบ่แม่น(ไม่ใช่)เหมารถเทื่อ(ครั้ง) เหมาเรือข้ามฟากไป พอดีขึ้นตกเวียงจันทน์แล้วก็เหมารถไปโลด(เลย) 

     

    ขึ้นไปเข้าไปหาสำนักอาจารย์ปานนี่แหละ อยู่วัดสบปอหลวง ไปทำความเข้าใจกับเพื่น(ท่าน) ไปคารวะเพื่น(ท่าน) เมื่อกลับมาถึงวัดรังษีมุกดาราม ก็เอาผ้าจำนวน ๒๓ ผืนนี้ไปถวายทุกองค์ๆ ไปคารวะเพื่น(ท่าน)หมดทุกองค์ 

     

    ผมก็ขึ้นมาบัดนี้ ขึ้นมาถึงบ้านผมก็เลยมาแวะบ้านบุโฮมฮั่น(นั่น) ปกติบ้านผมวันพระผู้เฒ่าผู้แก่ต้องไปจำศีล มื้อนั้นมาฮอด(ถึง)ก็เป็นวันพระ ผู้เฒ่าผู้แก่ไปจำศีลอยู่ฮั่น(นั่น)จำศีล แล้วผมก็เลยไปนอน ขเจ้าบ่(พวกท่านไม่)ขึ้นมาถึงเชียงคาน นอนฮั่น(นั้น)ก็เลยเพื่น(ท่าน)ก็ถามไป ท่านพ่อเสริฐนี่เป็นจังได๋ว่าฮั่น(อย่างไร ว่านั่น) เจียนให้พวกเราว่า 

     

    แม่น(ใช่)แล้วลุงบัดนี้ ข่อย(ผม)ตัดสินใจแล้วว่าแม่นแล้วเด้อ(ใช่แล้วครับ) แม่นแท้ๆบ่(ใช่จริงๆมั้ย) แม่นว่า(ใช่ครับ) ก็เลยมาสอนจังหวะให้ขเจ้า(พวกท่าน)เมื่อนั้น เดินจงกรม เฮ็ด(ทำ)จังหวะกันอยู่ฮั่น(นั่น)แหละมื้อ(วัน)นั้น 

     

    พอดีตื่นรุ่งเช้านี้จิเว้า(จะพูด)ธรรมะว่านั้น ก็เลยมาว่า พ่อแม่พี่น้องพวกเรานี่พากันจำศีลอยู่วัดนี้ มาสักพวกมากมาจุ๊บๆ จิ๊บๆ มีแต่กองข้าวหมาก แล้วก็บุหรี่ผู้ชายดูดกองอยู่ข้าง มีแต่กองขี้บุหรี่ มาจำศีลมาเอาบุญจำศีลจังซี่ แม้บุญเส้นขนเดียวก็บ่(ไม่)ได้หรอกว่า 

     

    ที่ผมว่านี่ เครียดพรึบพับขึ้นมาโลด(เลย)ครับคน โอ้ว่าซั่น(นั่น) มาดูถูกดูหมิ่นดูแคลนนี้ ขเจ้า(พวกท่าน)ว่าให้ แต่ผู้ฮัก(คนรัก)ก็ยังมีอยู่นี่วัด อันนี้เรื่องความจริงนี่เฮา(เรา)ไปบอกกงๆ(ตรงๆ) นี่แม๊มันปัดโธ่ มันเครียดแท้ๆ นี่ครับ เรื่องสูบบุหรี่นี่เป็นเหตุแท้ๆ เคี้ยวหมากนี่เป็นเหตุแท้ๆ เป็นเหตุเป็นทุกข์เป็นภัยแท้ๆ ผมก็เลยเด็ดขาด 

     

    ก็เลยพยายาม บัดนี้จิ(จะ)หาวิธีตั้งสำนัก แต่เลยจิบ่ว่า(จะไม่บอก)เรื่องตั้งสำนักนี่ คั่นสิเว้า(หากจะบอก)เรื่องตั้งสำนักมันจิ(จะ)นาน ก็เลยจิบ่ว่ามื้อนี้(จะไม่บอกวันนี้) พยายามอยากพูดธรรมะนี้แหละครับ พยายามสอนธรรมะอยู่ ตั้งสำนักน้อยๆ สอนอยู่เป็นเวลา ๒ ปีกับ ๘ เดือน กับออกสอนอยู่อย่างนั้นแหละ ไปเป็นโยมสอนเว้าธรรมะบ้านนั้นบ้านนี้ 

     

    แล้วสำนักเจ้าของก็เปิดแล้ว แล้วบ่ได้เว้าเด้อ(ไม่ได้บอกนะ)วิธีการเปิดสำนักนี่ เพราะมันจิยาวคั้นถ้าเว้าไป(จะยางหากถ้าบอกไป) เปิดสำนักแล้วก็สอนอยู่นั่นเป็นเวลา ๒ ปี ๘ เดือน มีคนเข้าใจธรรมะนำผม คือ พี่อ้าย(ผู้ชาย)เขยผมผู้หนึ่ง พี่เอื้อย(ผู้หญิง)ผมผู้หนึ่ง แล้วก็หมู่เพื่อนก็มีประมาณจัก ๔ - ๕ คนเข้าใจธรรมะ 

     

    อยู่มาก็มาว่า(บอก)กับลูกเลยบัดนี้ แหม..ว่าการประกาศธรรมะนี้ เป็นโยมนี่มันบ่(ไม่)กว้างขวางแล้ว ได้ไปแต่เพียงแค่ม้อๆ(เรียบๆไม่กว้าง) คั้น(หาก)ถ้ากูบวชแล้วจะไปประกาศธรรมะกว้างขวางคือจิ(จะ)สนุกแท้ๆ ว่า คั้น(หาก)หลักพุทธศาสนาคือจิ(จะ)เจริญขึ้น คนทุกคนต้องการความสุขในหลักพุทธศาสนานี่แม้หมดทั้งโลก ว่าซั่น(นั่น) คนคิดจังซี่(อย่างนี้) 

     

    โลกนี่จะเป็นโลกใดก็ตามช่าง ต้องการธรรมะ ต้องการคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ก็เลยมาขอผู้แม่ออก(โยมผู้หญิง)นี่แหละ ขอสองเทื่อ(ครั้ง)สามเทื่อ(ครั้ง)แล้วบ่ป่ะ(ไม่พูด) ให้เลาก็บ่ว่า(ให้เขาก็ไม่บอก) บ่ให้เลาก็บ่ว่า(ไม่ให้เขาก็ไม่บอก) 

     

    ก็เลยเรียกลูกมา ลูกผมมี ๒ คนมาถาม ลูกก็เลยบอกว่าเจ้า(พ่อ)อยากบวชก็บวชพ่อว่านั้น ขเจ้าว่า(พวกเขาบอก) เจ้าของ(ผม)ก็ภูมิใจเลยบัดเดียว พอดีลูกให้อภัยมาแล้ว 

     

    ผู้แม่ออก(โยมผู้หญิง)ก็ว่าก็เอาแต่ใจแล้ว ว่าซั่น(นั่น) คั้น(หาก)ว่านั้นแล้วก็บัดนี้ ก็เลยตกลงตัดสินใจว่าจิ(จะ)บวช ออกมาประกาศธรรมะ เลาก็เลยบอกว่า คั้นจิไปแท้ๆ(หากจะไปจริงๆ) ก็ไป ไปนครพนมซะก่อนว่าซั่น(นั่น) ผู้แม่ออก(โยมผู้หญิง)นี่ว่า ไปก็ไป 

     

    ไป ก็มาไปนครพนมนี่ ไปแล้วก็โง(เลี้ยว)ขึ้นมาฮอด(ถึง)อุดรธานี ไปนครพนมพุ้น(นู้น)ก่อนเด้ครับ(นะครับ) โง(เลี้ยว)ขึ้นมาทางอุดรธาเนี่ย มาก็มาซื้อของอุดรแล้วมานอนขอนแก่นนี่บัดนี้ มานอนขอนแก่นนี่คืนหนึ่งหรือสองคืนนี้ล่ะครับ 

     

    เลาบ่อยากเมื่อยเทื่อ(เขาไม่เมื่อยเลยสักครั้ง) พาเลา(เขา)เล่นอยู่นี่แหละ พาเลาย่างไปย่างมา(พาเขาเดินไปเดินมา) ขึ้นรถคันนั้นคันนี้ พาเลา(เขา)เที่ยวไปเมืองขอนแก่นนี่ ให้เลา(เขา)รู้จัก ก็เลยไปฮอด(ถึง)เชียงคาน 

     

    กลับคืนบ้านไปฮอด(ถึง)เชียงคานนี่ก็บอกให้เลา(เขา) เจ้า(เธอ)ไปบ้านไป ไปบอกพี่บอกน้อง ข่อยจิ(ผมจะ)นอนบ้านเชียงคานนี่แหละ เลา(เขา)ก็กลับคืนไปบอกพี่บอกน้องเลา(เขา) อย่างพ่อก็นอนเชียงคาน เลยไม่ไปนอนบ้านเจ้าของ(ตัวเอง)บัดนี้ ก็เลยขอนอนวัดนำเพิ่น(ท่าน)หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอเชียงคานนี่แหละ นอนฮั่น(นั่น) นอน 

     

    แต่รุ่งเช้ามาเจ้าของจิ(ผมจะ)บวชอยู่แล้ว บวชให้ผมซะเถอะครับว่าซี่(นี่) นอนตื่นมาก็ถามบวช ไปบวชบ่(ไม่)มีอาจารย์สวด มีอาจารย์ผู้เดียวอาจารย์ตูนนี่ คั้นจิ(หากจะ)บวชก็ไปนิมนต์เอาเพื่น(ท่าน)อาจารย์ตูนมาสิ ก็เลยไปนิมนต์เอาเพิ่น(ท่าน)อาจารย์ตูนมาเป็นพระอาจารย์สวดให้ อาจารย์ตูนก็เลยมาพระนั่งหัตถบาสผมนั้นบ่(ไม่)มากครับ มีเพียง ๔ รูป อาจารย์ตูนผู้เดียวสวด 

     

    พอดีบวชเสร็จแล้วได้ ๔ มื้อ วัดโพนชัยอยากเปิดสำนักวิปัสสนาอีกเสียแล้วบัดนี้ เพิ่น(ท่าน)หลวงพ่อก็เลยให้ไปสอน ไปสอนอยู่ก็บ่นาน แล้วก็มีพระไปจากจังหวัดอุดรนี้ไปสอนวิปัสสนาให้บ้านนาน้ำมัน น้องสาวเพิ่น(ท่าน)นี่แหละเป็นตัวแข็ง เพิ่น(ท่าน)ก็เลยเอิ้น(เรียก)ผมมาถามว่า 

     

    หลวงพ่อ คนเข้าวิปัสสนานี่เป็นตัวแข็งหลวงพ่อฺฮู้จักบ่(รู้จักมั้ย) โอ้ยก็ฮู้(รู้)จักนั่นแล้วครับ วิธีตัวเข้าตัวแข็งมันจิยากมิหยัง(จะยากอะไร) ผมเฮ็ด(ทำ)ก็เป็นครับ ก็เลยบอกจังซี่(อย่างนี้) คั้น(หาก)ท่านไปเถอะไปแก้เถอะ ไปก็ได้แต่ผมบ่ฮู้(ไม่รู้)จักทางครับ คั้น(หาก)หลวงพ่อพาไปผมก็ไปได้ว่า เพิ่น(ท่าน)ก็เลยไป ไปทำพิธีเปิดอีกตื่มล่ะ(อีกครั้งละ) 

     

    อันสำนักวิปัสสนานั่นมีตั้งแต่เปิดหมด บัดเดียวก็มีแต่เปิดฮั่น(นั่น)เปิดนี่อยู่กันสำนักวิปัสสนานี่ จักคนเว้า(กี่คนพูด) เพิ่น(ท่าน)หาวิธีสวดสยันโตสวดวิปัสสนานี้ก็ดาย ก็เลยเอาน้องสาวเพิ่น(ท่าน)มาเข้า เข้าก็เลยไปนั่งใกล้ผมฮั่น(นั่น) ผู้น้องสาวก็นั่งต่อหน้าฮั่น(นั่น) ผมก็คอยเบิ่ง(ดู)ลมหายใจ มันน้อยเข้าๆ ลมหายใจธรรมดาคนที่เป็นตัวแข็งนี่ ต้องสะกดนะ 

     

    ถ้าไผ(ใคร)ต้องการเรียนนี่ ผมได้ไปเว้า(พูด)อยู่บ้านหนองบัว ต้องการเรียนเรื่องที่เข้าตัวแข็งนี่ไม่ให้เกิน ๓o วัน ผมจะสอนให้ได้เพราะผมชำนาญ ผมได้บอกจังซี่(อย่างนี้)ถามพ่อพันธ์ก็ได้ พ่อทองตุนว่าจิ(จะ)เอาลูกมาเข้า เอามาไม่ให้เกิน ๓o วันจิ(จะ)สอนให้จริงๆ ว่าผมท้าอย่างนี้แหละ นี่เว้า(พูด)ข้ามไปเสียก่อน 

     

    พอดีมันหายใจเร็วเข้า น้อยเข้า มันจิ(จะ)กั้นนะ มันจิ(จะ)เข้าตัวแข็ง ผมก็เลยบอกหลวงพ่อว่า จิ(จะ)เข้าตัวแข็งแล้วเรียกมา เพิ่นก็เอิ้น(ท่านก็เรียก) เอิ้น(เรียก)น้องสาวเพิ่น(ท่าน) มันก็ตื่นขึ้นมาบัดนี้ ก็เลยหายไป หายไปแล้วก็อ้าว ทำอีกตื่ม(เพิ่มอีก) ทำไปทำไป มันก็นั่ง 

     

    เบิ่ง(ดู)ลมหายใจมันก็น้อยเข้าๆ มันก็จิ(จะ)เป็นอีกตื่ม(เพิ่ม) ผมก็บอกเลยบอกว่ามันจิ(จะ)เป็นอีกแล้วครับหลวงพ่อว่า เพิ่นก็เอิ้นอีกตื่ม(ท่านก็เรียกเพิ่มอีก) เรียกชื่อ ก็เลยบ่(ไม่)เป็น  ผลที่สุดคนก็เป็นตัวแข็งนั้นก็เลยหาย เรียกรถให้เอิ้น(เรียก)รถ คั้น(หาก)พอดีเอิ้น(เรียก)แล้วหายเลยคนบ่(ไม่)รู้สึกตัว 

     

    วิธีเข้าตัวแข็งนี่ผมคำนวณว่า ถ้าเข้าถึงตัวแข็งเข้าทุกมื้อๆ ๓ ปีแล้ว ต้องเสียสติโลด(เลย)แน่บัดเดียว ผมได้ทดลองมาแล้วเรื่องเข้าตัวแข็งเป็นอย่างซี้(นี้) ก็มากันเลยกลับคืนมาวันนี้ กลับคืนมาสู่เมืองเชียงคานตามเดิม 

     

    มาจำพรรษาตามเพิ่น(ท่าน)หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน ๒ พรรษา จำพรรษาอยู่ฮั่น(นั่น) ก็เลยบัดนี้ก็มาเว้า(พูด)ธรรมะ แล้วก็มาเว้า(พูด)ธรรมะบ้านบุโฮมนี่แหละ มาเว้า(พูด)ธรรมะบ้านบุโฮมนี่เล็กๆ น้อยๆ พรรษาที่ ๒ มันก็เลยมาจำพรรษาอยู่บ้านผาแดด กลับคืนไปเว้า(พูด)ธรรมะบ้านบุโฮม 

     

    บัดนี้พอดีเว้า(พูด)ธรรมะความจริงนี่ เจ้าคณะตำบลบ้านบุโฮมนี่แต่ความจริงบ้านผาแดด เพิ่นบ่(ไม่)พอใจแท้ๆ บัดนี้ เพิ่น(ท่าน)เครียด เครียดหลายผมเว้า(พูด)ธรรมะความจริง 

     

    เซา(หยุด) อย่างพ่ออย่าเว้า(พูด)อย่างซั่น(นั้น) มันจิ(จะ)ขาดความเลื่อมใสของคน เพิ่น(ท่าน)ว่านั้น เว้ามันจังซี่(พูดอย่างนี้)มันหมดศรัทธาความเชื่อ มันเป็นการทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าซั่น(นั่น) เเพิ่น(ท่าน)ห้าม นี่ผู้ใหญ่เพิ่น(ท่าน)มีอำนาจ  

     

    โยมที่ฮู้(รู้)จักธรรมะนำผมนั่น ประมาณจาก ๑o กว่าคนครับ ไปฟังอยู่ฮั่น(นั่น) ขเจ้า(พวกเขา)ก็เลยหมดศรัทธา หมดศรัทธาจากหลวงพ่อเด้(นะ) บ่(ไม่)ได้หมดจากผมครับ หมดศรัทธากับหลวงพ่อที่เว้าอย่างซั่น(พูดอย่างนั้น) เพิ่น(ท่าน)เป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นพระผู้หลักผู้ใหญ่มาห้ามผม ขเจ้า(พวกเขา)กำลังจุใจการเว้า(พูด) 

     

    แต่ผมเทศน์บ่(ไม่)ป็นหรอก จิ(จะ)เทศน์เป็นตายหยัง(อะไร) เฮาบ่ได้เฮียน(เราไม่ได้)หนังสือไทย ที่ว่าตัวไทยกับตัวลาวเนี่ยจิ(จะ)ผมเขียนได้อ่านได้ 

    ต่อมาขเจ้า(พวกเขา)ก็เลยมาเฮ็ดบุญ(ทำบุญ) เฮ็ด(ทำ)บุญมหาชาตินี่ เพิ่น(ท่าน)เลยไปนั่งอยู่ต้นบักม่วง ไปนิมนต์เเพิ่น(ท่าน)มา ไม้ค้อนตกมาแท้ๆ ตกให้ใส่หัวเพิ่นนี่ แตกหัวเพิ่น(ท่าน)น่่ะ แถวบ้านบุโฮมหาว่าผมมีฤทธิ์มีเดชแล้วบัดนี้ ว่าโอ๊ยหลวงพ่อนี่มีฤทธิ์มีเดชมีบุญหลาย ว่าซั่น(นั่น) 

     

    เบิ่ง(มอง)ดูหลวงพ่อ เจ้าคณะตำบลด่าเพิ่น(ท่าน) เมื่อเพิ่น(ท่าน)เว้าธรรมะให้เฮา(เรา)ฟังนั่นแหละ คนตั้งหลายคนด่าเพิ่น(ท่าน)ประนามเพิ่น(ท่าน) บาปอันนั้นล่ะบ่(มั้ย)ตกใส่หัวเพิ่น(ท่าน) หมู่อยู่ฮั่น(นั่น)ตั้งหลายคนยังบ่ตก(ไม่ตก) ตกใส่หัวเพิ่น(ท่าน)น ว่าซั่น(นั่น) มันตกมาแท้ๆ มันก็แตกแล้วหัว 

     

    แต่คนธรรมดานี่ ผู้เป็นการจะเข้าใจผิดไปทั้งนั้นครับ ผู้มีฤทธิ์มีเดชตายหรือยัง ไม้มันค้างอยู่พุ้น(นั้น)ล่ะ เมื่อบ่(ไม่)มีอันเกาะมันก็ตกลงมาถูกผู้ได๋(ใคร) มันก็แตกใส่หัว นี่มันเป็นอย่างซั่น(นั้น) ความคิดของคนการเข้าใจผิดนี่มันเป็นอย่างซั่น(นั้น) 

     

    ต่อมาก็เลยมา มาอยู่บ้านน้าอ้อบัดนี้ จิ(จะ)เล่าลัดให้โลด มาอยู่บ้านนาอ้อนี่ เพิ่น(ท่าน)อาจารย์มหาบัวทองออกจากถ้ำ ไปอยู่ถ้ำผาปู่ มาบิณฑบาตรสวนกันอยู่บ้านนาอ้อ สวนกันไปกันมา เพิ่นก็บ่ฮู้(ท่านก็ไม่รู้)จักผม ผมก็บ่ฮู้จักเพิ่น(ไม่รู้จักท่าน) มื้อ(วัน)หนึ่งเพิ่น(ท่าน)เพิ่น(ท่าน)ก็ออกมา เมื่อใดก็บ่(ไม่)รู้จักแล้วผมก็บ่จดบ่จำเด้(ไม่จดไม่จำนะ)เนี่ย 

     

    ออกมาเพิ่นมาลม(ท่านมาพูดคุยกัน)หลวงพ่อเพชรอยู่ ผมก็เลยไปลมนำเพิ่น(พูดคุยกับท่าน) ลมนำเพิ่น(พูดคุยกับท่าน) ผมก็เลยถูกขเจ้านิมนต์ไปบ้านนาโคก ไปเทศน์บ้านนาโคก พอดีไปเทศน์บ้านนาโคกกลับคืนมา ก็มาลมเพิ่นอีกตื่ม(ก็มาพูดคุยกับท่านเพิ่มอีก) มาลมเพิ่น(มาพูดคุยกับท่าน) ผมถามเพิ่น(ท่าน) 

     

    ท่านอาจารย์เคยศึกษาปริยัติบ่(มัั้ย) เพิ่นนี่ก็บ่(ท่านก็ไม่)บอกความจริงอีกตื่มละ ปิดๆไว้ ได้เรียนมาแด้เล็กๆ น้อยๆ จบหลักสูตรบ่(มั้น)ครับ เพิ่นก็บ่(ท่านก็ไม่)บอก ได้เรียนมาแด้(บ้าง)เล็กๆ น้อยๆ ว่าซั่น(นั้น) มีจุดประสงค์อย่างได้จิ(จะ)หาปฏิบัติธรรมะ เฮ็ด(ทำ)นำกันเล่นๆ อยู่นี่ก็ได้ครับ 

     

    ปฏิบัติอยู่นำ(กับ)ผมนี่ก็ได้ว่านั้น เฮ็ด(ทำ)เล่นๆ กัน บ่แม่นเฮ็ด(ไม่ใช่ทำ)เอาจริงเอาจังหรอก ก็เว้าพอปานนี้(ก็พูดอย่างนี้)แหละ เพิ่น(ท่าน)ก็เลยตอบว่า ผมบ่(ไม่)เคยอยู่สำนักน้อยจักเทื่อ(สักครั้ง) เพิ่น(ท่าน)ว่า คั้น(หาก)ถ้าอยู่สำนักน้อยๆ นี่ บ่(ไม่)เกิน ๓ มื้อ(วัน) อยู่มา ๓ มื้อ(วัน)ก็ดีครับ ปฏิบัติเล่นอยู่นี่แหละ ว่าซั่น(นั่น) ผมก็เลยบอกจังหวะให้เพิ่น(่ท่าน) เพิ่น(ท่าน)ก็เลยเฮ็ด(ทำ)จังหวะ 

     

    ผมก็เลยบอกว่า บ่(ไม่)ต้องไปบิณฑบาตดอก(หรอก)ครับ ผมจะไปบิณฑบาตมาเลี้ยงภายใน ๓ มื้อ(วัน)นี้ ผมคิดในใจผมคิดถึงสภาพผมว่าไปปฏิบัติธรรมะ ว่าถ้ามันตั้งใจจริงๆ แล้ว มันไม่นานว่าซี้(นี้) ถ้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ผมคิดย้อนถึงอดีตของผม 

     

    วันนี้พอดีตอนเช้ามาผมจิ(จะ)ไปบิณฑบาต ผมไปคิดจังได๋อีกตื่มก็บ่ฮู้(อย่างไรอีกทก็ไม่รู้) ก็เลยกลับไปหาเพิ่นอีกตื่ม(ท่านอีกครั้ง)เสียก่อน ว่าจิบ่(จะไม่)ไปหาเพิ่น(ท่าน) แต่ก็กลับไปถามเพื่น(ท่าน) เป็นจังได๋(อย่างไร)ครับ ว่าซั่น(นั่น) ฮู้จักรูปนามบ่ที่ผมถาม ฮู้(รู้)จัก เพิ่น(ท่าน)ว่านะ เป็นอย่างไรรูปนามว่าซั่น(นั่น) เรานี้เป็นตาหัวนี่ก็ดาย คล้ายๆ คือคนบ้าเนาะ คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักก็ว่ารู้ รู้จักน้อนี่ก็ดาย 

     

    เพิ่น(ท่าน)ก็ว่า ผมก็เห็นรูปผมไปนั่งจ่อค้ออยู่อย่างนั้น ห่มผ้าสีกลัดนี่แล้ว บ่เห็นหัวเพิ่น(ท่าน)ว่า ผมบ่(ไม่)มีหัว ว่าซั่น(นั่น) เห็นแต่รูปตัวของผมห่มผ้าสีกลัดตัวนี้แล้วครับอยู่พุ้น(นู้น) นั่งอยู่พุ้น(นู้น) 

     

    อ้าวนี่เบิ่งดูครับ เฮ็ด(ทำ)จังหวะเบิ่งดูว่าซั่น เพิ่น(ท่าน)ก็เลยเฮ็ดจังหวะ ฮั่น(นั่น)แล้วรูปนามครับ เพิ่น(ท่าน)ก็เลยรู้จักโลด(เลย) เพิ่น(ท่าน)เพิ่น(ท่าน)เรียนนี่เพิ่นรู้จักไว เพิ่น(ท่าน)มีแผนที่ไป เพิ่น(ท่าน)ก็กลับฮู้จักรูปนามกับฺฮั่นเลยบัดเดียว 

     

    พอดีฮู้(รู้)จักรูปนามไปแล้ว ผมก็เลยเว้าเพิ่น(พูดกับท่าน)เท่านนั้น ผมก็ไปบิณฑบาตร ไปบิณฑบาตแล้วกลับคืนมาฉันจังหัน(อาหาร) ฉันจังหันแล้วผมก็กลับไปถามอีกตื่ม อยู่นำกันนานเติบ พยายามเว้ากันอยู่ฮั่น เพิ่น(ท่าน)ก็ เข้าใจแต่รูปนามครับ เลยสอนกันอยู่เพียงแค่รูปนามเท่านั้นล่ะ เอากันอยู่พอปานนั้น ก็เลยหนีมา ผมจะมาบ้านนี่บัดนี้ครับ 

     

    บัดนี้ผมจิ(จะ)มาบ้าน ผมก็เลยมา มาก็เลยบ่(ไม่)มีเงิน มีคนบ้านปากหมากตาย ขเจ้า(พวกเขา)ก็เลยไปนิมนต์ ไปนิมนต์ก็เลยไปสวดมนต์ สวดมนต์นำกัน(ด้วยกัน)ก็เลยได้เงินมา ได้เงินมาเพิ่น(ท่าน)ก็ตามมา มาฮอด(มาถถึง)บ้านบุโฮมขึ้นมาปฏิบัติธรรมะอยู่นี่แล้วครับ เพิ่น(ท่าน)เลยมาเข้าใจธรรมะอยู่นี่แล้วบัดนี้ มาเข้าใจธรรมะ เพิ่น(ท่าน)ว่าเอาล่ะบัดนี้ ว่าซั่น(นั่น) 

     

    หลวงพ่อว่าซั่น(นั่น) เสือมาก็สู้เสือ ผีมาก็สู้ผีบัดนี้ว่าซั่น ผมก็นึกได้บัดเดียวว่า โห้เราได้ระเบิดลูกหนึ่งแล้วบัดนี้ จิโยนระเบิดให้มันแตกพังไปแล้วเด้อบัดนี้ ผมคิดจังซี่อยู่(อย่างนี้อยู่) 

     

    นี่ผมเล่าประวัติอันนี้มา เล่าประวัติเรี่อวนี้เป็นเช้าๆ เสียก่อน บัดนี้จะย้อนไปหาถึงเรื่องอาจารย์ บัดนี้ จะย้อนกลับหลังมาเล่าประวัติเรื่องอาจารย์มหาเพียงแค่ไว้นี้ก่อน 

     

    เมื่อผมอยู่นำเจ้าคณะอำเภอเชียงคานนี่ ปรากฏพระผู้ใหญ่เกลียดผมที่สุดผมเว้า(พูด)ธรรมะ เป็นตัวการก็คือเจ้าคณะตำบลกำนันผู้ใหญ่บ้านสิบเอ็ดสมศักดิ์หมู่นี้แหละว่า บ่(ไม่)พอใจ บ่พอใจเขาก็หาวิธีฟ้องร้อง แล้วก็พระหลายพันอีกตื่ม ผู้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอก็บ่พอใจอีกเสียด้วยบัดนี้ แล้วอาจารย์ก็หลายคน อาจารย์คู่สวดผมนี่ก็บ่พอใจอีกตึ้ม 

     

    ที่ผมเว้าไปเว้ามานี่(พูดไปพูดมานี่) คั้นสิเว้า(ถ้าจะพูด)ก็สาธุ ครูบาอาจารย์บ่เป็นหยัง(อะไร) เพิ่นเพิ่น(ท่าน)ก็เลยมาติดต่อท่านอาจารย์มหาศรีจันทร์นี่แหละขึ้นไป เป็นอาจารย์เดิม อาจารย์ผู้เทศน์ให้ฟังเสียขั้นแรก แต่ผมเลยบ่เว้า(ไม่พูด)เรื่องการฟังเทศน์มื้อนี้ เพราะว่าผมเล่ามื้อเช้านี้มันยาวโพด ผมตัดเอาสั้นๆ 

     

    บัดนี้ ขึ้นไปผมก็เลยไปหาเพิ่น(ท่าน) ไปหาเพิ่น(ท่าน)เพิ่น(ท่าน)ก็ถามเป็นแต่อย่างใดปฏิบัติธรรมะ เป็นอย่างซั่น(นั้น)เป็นอย่างซี้(นี้) มันบ่แม่นดอก(มันไม่ใช่หรอก) ว่าซั่น(นั่น) หลวงพ่อว่านั้น 

     

    แม่นแล้วครับมันบ่แม่นคือเพิ่น(ท่าน)ว่าแท้ๆ ครับ ผมบ่แม่นเพิ่นเด้(ไม่ใช่ท่านนะ)ครับ ผมก็เลยตอบจังซี่(อย่างนี้) บ่แม่นของเพิ่น(ไม่ใช่ของท่าน)ครับ บ่แม่นแท้ๆ ผมมันผิดเพิ่น(ท่าน)แท้ๆ  มันผิด ขเจ้าเว้าจังซั่น(ท่านว่าอย่างนั้น) เพิ่น(ท่าน)ว่านะ ผิดเพิ่น(ท่าน)แท้ๆ ครับผมรับรองว่าเชื่อแน่ผมผิดเเพิ่น(ท่าน)แท้ๆ ครับ ผมก็เลยตอบไปจังซี่แล้ว(อย่างนี้แล้ว) 

     

    โอ๊ยเว้าจังซั่น(พูดอย่างนี้)ต้องไปเรียนปริยัติซะก่อน ว่านั้น จะไปเรียนมาเฮ็ดหยัง(ทำอะไร)ปริยัตินี้ครับ ผมเรียนมาพอแล้วครับท่าน คั้น(หาก)ไปเรียนก็ไปเรียนซื่อๆ นี่แหละว่าอย่างนั้น เว้า(พูด)อย่างนั้นมันผิด ว่าซั่น เพิ่น(ท่าน)ก็ตอบอยู่ตรงนี้ 

     

    ผิดครับ ผมรับรองว่าผมผิดเพิ่น(ท่าน)อาจารย์แท้ๆ ก็อย่างผมผิดเพิ่น(ท่าน)นะ เดี๋ยวนี้นี่ว่า ผมก็ตอบ มีหลักสำคัญอยู่จุดเดียวผมว่า เรื่องอาการเกิดดับ ที่ผมเคยพูดมาให้ฟังกันมาบ่อยๆ 

     

    ผลที่สุดอาจารย์ก็เลยเกลียด แต่ผมบ่เกลียดเพิ่น(ท่าน) เพิ่นบ่(ท่านไม่)ไปหาจากจักเทื่อ โยมที่ฮู้ธรรมะไปนำผมนั้นขเจ้า(พวกเขา)ก็หมดศรัทธามื้อนั้น(วันนั้น) หมดกับท่านอาจารย์ จนกระทั่งมื้อนี้บ่(วันนี้ไม่)ได้ไปหาเพิ่นจักเทื่อ(ท่านสักครั้ง)ผมก็ดาย บ่ได้ไปหาเพิ่น(ท่าน) 

     

    แต่จิบ่เว้า(จะไม่พูด)เรื่องประวัติ เพิ่นร้อง(ท่านเรียก)ไปบ้านเพิ่น(ท่าน) เพิ่น(ท่าน)กลับไปนำลูกชายผม ลูกชายผมเอาเงินนำเพิ่น(ท่าน) ลูกชายผมมันเครียด เพิ่น(ท่าน)ด่าเพิ่น(ท่าน)ประนามผม มันเครียดธรรมดาเล็กน้อย ธรรมดาปกติท่านอาจารย์มหาศรีจันทร์นี้ไปมานำผม บ่(ไม่)เก็บเงินจักเทื่อ(สักครั้ง) แต่สมัยก่อนเป็นโยมอยู่ก็ดาย 

     

    มานำลูกชายผมเขาเทียวอยู่ เขาก็บ่เก็บเงินจักเทื่อ มื้อนั้นเฉพาะออกไปนำลูกชายผมอีกตื่ม(เพิ่มอีก) มันตักเอาเงิน ๘o บาท ก็เลยไปเว้า(พูด)อยู่ที่บ้านวังนั้นอีกตื่ม(เพิ่มอีก) เขาเลยเอิ้น(เรียก) เอิ้น(เรียก)ชื่อลูกชายผมนี่ พวกไทยเฮือ(เรือ)น่ะ พ่อว่า ลูกผมมันเป็นเจ้าของเรือให้ว่าไป มันเป็นคนเก็บเงิน แต่เพิ่นบ่(ท่านไม่)รู้จักว่าเป็นเรือคือลูกผม 

     

    เพิ่น(ท่าน)ไปนั้น เพิ่นเอิ้น(ท่านเรียก)เทียนว่านั้น มันเลยเข้าหูเพิ่นโลด(ท่านเลย) เอ้าบักเทียนนี่บ่แม่น(ไม่ใช่)ลูกหลวงพ่อเทียนนี่บ่(มั้ย) เพิ่น(ท่าน)ประณามผมไปเนี่ยครับ ไปนำเเฮือ(ไปกับเรือ) เพิ่น(ท่าน)ก็ประณามไป 

     

    เพิ่น(ท่าน)ก็เลยคิดจังได๋ฮู้(อย่างไรไม่รู้) อ้อคงจิ(จะ)เป็นลูกหลวงพ่อเทียนเสียแล้วบัดนี้ เพิ่น(ท่าน)ก็เลยเอิ้น(เรียก) เหมือนไปปลอบ บอกให้หลวงพี่บอกให้หลวงพ่อไปหาอาจารย์ด้วยเด้อ(นะ) เพิ่น(ท่าน)สั่งลูกผม 

     

    หลวงพ่อที่ได๋(ไหน) มันก็พูดตลกเป็นไอ้นี่ก็ดาย หลวงพ่อที่ได๋(ไหน) ว่าซั่น(นั่น) หลวงพ่อพ่อตัวนั่นแหละ พ่อตัวที่ไหนว่านั่น มันตลกเพิ่น(ท่าน)อันนี้ก็ดาย เอ้าหลวงพ่อพ่อตัวนั่นแหละหลวงพ่อเทียนนั่นน่ะ หลวงพ่อเทียนนี่ก็เป็นพี่ๆ อ้าย(พี่)อาจารย์นี่แล้ว 

     

    หลวงพ่อเทียนที่ไหนครับ มันจะตลกอยู่ฮั่น เอ้าพ่อตัวนั่นแหละ พ่อตัวที่ไหน ผมบ่มีพ่อว่าซั่นมันว่าไป เอ้าก็หลวงพ่อเทียนนั่นแหละ เป็นพี่อ้าย(พี่ชาย)ของมหาศรีจันทร์ ให้เพิ่น(ท่าน)กลับมาเรียนปริยัติเด้อ(นะ) มันก็ว่า คั้น(หาก)ถ้าผมบ่(ไม่)ลืมผมก็จิ(จะ)บอก คั้น(หาก)ผมลืมแล้วมันก็แล้ว ว่าซั่น(นั่น) มันก็เลยบอกไปจังซื่(อย่างนี้) นี่เป็นจังซี่(อย่างนี้) เรื่องผลการปฏิบัติการกระทำของผม 

     

    บัดนี้จิ(จะ)กลับมาเล่าเรื่องอาจารย์มหาอยู่ต่อมาอีกตื่ม(เพิ่มอีก) เรื่องอาจารย์มหา อาจารย์เดิมนะเล่าให้ฟังแล้วนี่เรื่องที่อาจารย์บ่(ไม่)ไว้ใจเฮาทุกมื้อ(เราทุกวัน)เดี๋ยวนี้แหละ เพราะว่าผมเว้าเป็นคนต่างหมู่(พูดไม่เหมือนกลุ่ม) ผมเชื่อแน่ในการปฏิบัติที่ผมได้ประสบกับอาการสิ่งเหล่านี้มา ผมอยากเอาธรรมะสิ่งเหล่านี้ออกมาเผยแผ่ จึงได้เล่าเป็นประวัติให้ฟัง 

     

    เมื่อเพิ่น(ท่าน)อาจารย์มหามาอยู่นำนี่แหละ พอดีปฏิบัติธรรมะรู้จักปรมัตถ์เล็กๆ น้อยๆ แล้ว เพิ่น(ท่าน)ก็ว่าอย่างซั่น(นั่น)แล้ว ปัดโธ่บัดนี้ก็ต้องเอาไปเทศน์ในบ้านบัดนี้ วันนี้ก็ไปเอาไปเทศน์เฮือน(เรือน)นั้นวันนั้นก็เอาไปเทศน์เฮือน(เรือน)นี้ เทศน์กันอยู่นั่น เทศน์กันอยู่เรื่อยๆ ทีเดียว 

     

    ผมมีพี่น้องอยู่ในบ้านบุโฮม ดังนั้นเพิ่น(ท่าน)อาจารย์มหานี่เพิ่น(ท่าน)เลยเป็นควายตู้ บ่(ไม่)ได้มีการปฏิบัติธรรมะอย่างเข้มแข็ง ปฏิบัติธรรมะแล้วก็จิ(จะ)เร่งๆ เข้ามา จำเป็นจิ(จะ)ต้องอยากเอาไปเทศน์ ผมก็อยากให้มีผู้ฟื้นฟูช่วย เพราะผมบ่(ไม่)มีปริยัติ บ่มีมิหยัง(ไม่มีอะไร) ผมบ่(ไม่)เคยได้เฮียน(เรียน)หนังสือ มีแต่ได้ประสบการณ์ต่างๆ มาเท่านั้น 

     

    เอาไปเทศน์ฮั่น(นั่น)เทศน์นี่ แผ่นดินไหวบ้านบุโฮม บ่แม่น(ไม่ใช่)แผ่นดินไหวคือต้นไม้ไหวนี้แด้ คนเกิดคึกคักขึ้น เจ้านายเขาก็สั่งเพิ่นแด้สั่งผมแด้(สั่งท่านบ้างสั่งผมบ้าง) ไปตรวจใบสุทธิอย่างที่เพิ่น(ท่าน)เล่าให้หมู่แม่ออก(โยมผู้หญิง)ฟังนั่นแหละ เล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังนั่นแหละ เป็นอย่างซั่นมา ต่อมาๆ ก็มีหมู่คุณคำพันธ์นี้เข้าไปอยู่นำ มาปฏิบัตินำ มาอยู่บ้านน้าอ้อนี่ก็หลายคนปฏิบัติมา 

     

    ผมแสวงหาการผู้ที่จิมัก(จะรัก)ธรรมมะปฏิบัติธรรมะนี่ ผมมาบวชนี่ผมมีจุดประสงค์อยากมาพูดธรรมะ อยากมาฟื้นฟูในหลักการการปฏิบัติธรรมะอันนี้ ถ้าหากผมบ่(ไม่)มีจุดประสงค์อย่างนั้น ผมบ่(ไม่)มาบวช 

     

    นึกว่าทุกคน จะเป็นฝรั่งอังกฤษก็ช่าง เป็นเจ๊กเป็นแจวก็ตาม จะบวชก็ตามบ่บวชก็ตาม ปฏิบัติธรรมะได้แน่บัดเดียว ผมรับรองเชื่อแน่ว่าพระพุทธเจ้าบ่โกหกใครทั้งหมด เป็นผู้หญิงผู้ชายปฏิบัติได้มรรคผลนิพพานเนี่ยเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ ถ้าตายแล้วจึงเอานั้นบ่แม่น(ไม่ใช่) ผิดไป 

     

    การปฏิบัติธรรมะนี้ ถ้าปฏิบัติติดต่อกันบ่ให้ขาดสายจักเทื่อ(สักที)นี้ ๓ เดือนนี้ผมรับรองได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ๖o% จิตใจคนต้องเปลี่ยนโลด(เลย)อย่างช้าอย่างไวนี่ครับ ถ้าอย่างช้าที่สุดนี่แหละตำราเขาบอกว่า ๗ ปี ว่าซั่น(นั่น) 

     

    แต่ผมจะพยายามพยายามเข้าอีกตื่ม(เพิ่มอีก) ถ้าอย่างช้าที่สุดนี่ ปฏิบัติติดต่อกันไม่ให้ขาดสายจักเทื่อนี่(สักทีนี่) ผมว่าคงจะไม่เกิน ๓ ปี จะได้ประสบเอาความสุขอย่างแท้จริงในหลักพุทธศาสนา 

     

    แม้จะมีเงินร้อยเงินพันเงินหมื่นเงินแสน เอาไปซื้อความสุขอันนี้ก็บ่ได้ครับ ความสุขประเภทนี้บ่มีตลาดขาย ขายให้กันบ่(ไม่)เป็น และเอาให้กันก็บ่(ไม่)ได้ มีแต่เพียงการแนะนำเท่านั้น ถ้าหากคนแนะนำนั้นให้ไปสู่จุด อาจจะไปจุดได้ 

     

    บัดนี้จะกลับมาเล่าเรื่องเพิ่น(ท่าน) ประวัติเพิ่น(ท่าน)อาจารย์มหาอีกตื่ม ที่ได้เล่ามาแล้วนี่ พวกเพิ่น(ท่าน)ก็เลยถามผมบัดนี้ อันปฏิบัติธรรมะนี้จุดสำคัญมันคืออันใด เพิ่น(ท่าน)ว่านะ สมัยอยู่บ้านนาอ้อ ณ บัดนี้ กระผมมันคนโง่ครับบ่(ไม่)ได้เรียนหนังสือจำเป็นก็ต้องบอกซื่อๆ 

     

    มีเพิ่น(ท่าน)อาจารย์มหากับทิดสิตนี่แหละบวชเป็นพระหนุ่มกับหลวงปู่กล้าหลวงปู่วัน ๔ คน แล้วก็ผมนี่อยู่นำกัน ถาม มันมีจุดสำคัญอย่างได๋ นีี่ว่าอันเฮาว่ากัน(เราพูดกัน) พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวนี้ ยาวสองข้อมือนี้ บ่ยาวตื่มจักเทื่อ(ไม่ยาวเพิ่มสักที)นี้ บ่ใช่แม่น(ไม่ใช่)ความจริงเด้(นะ)ครับ อันนี้เด้เป็นตัวสำคัญน่ะ ผมคนนี่มันต้องมีการยาวตื่ม(เพิ่ม)เนี่ยครับ 

     

    ผมเข้าใจโลดว่าเท่านี้ก็ดาย พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวนี่ เว้า(พูด)เท่านี้แหละ มันเป็นอันนั้นพุ่นเด้(นู้นนะ)ครับ จึงว่าให้เพิ่น(จึงบอกให้ท่าน) ก็ธรรมดาคนถามกัน คนบ่ฮู้(ไม่รู้)จักตำราผมเนี่ยบอกซื่อๆ นี่แหละให้ว่าไป มันอันนั้นคือต่างหากเด้(นะ)ครับ มันขาด ขาดออกจากกันซื่อๆ(เฉยๆ) นี่แหละ เพิ่น(ท่าน)เลยเข้าใจ 

     

    เข้าใจ เพิ่น(ท่าน)เลยจับเอาเรื่องอันนี้แหละ ผมก็ได้ยินเพิ่นเล่าให้ฟัง จะไปถามเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน เนี่ยมันสามารถที่เป็นอย่างซั่นแท้ๆบ่(นั้นจริงๆมั้ย) ปฏิบัติธรรมะนี้ ว่าซั่น(นั่น) เพิ่น(ท่าน)ก็ยังบ่(ไม่)เอาไว้ใจอยู่บ่(มั้ย) ก็บ่ฮู้จักเพิ่น(ก็ไม่รู้จักท่าน)แล้ว 

     

    เหลือจากนั้น เพิ่น(ท่าน)ยังจับเรื่องอันนี้มาถามเจ้าคณะจังหวัดเลยอีกตื่ม(เพิ่มอีก) มันเป็นจังซั่นแท้ๆบ่(อย่างนั้นจริงๆมั้ย) ว่านั้น เพิ่น(ท่าน)ยังเอาเรื่องของเพิ่น(ท่าน)ไปวิพากษ์วิจารณ์ เล่าประวัติของเพิ่น(ท่าน)แทนซื่อๆ อันเนี่ย

     

    ดังนั้นการปฏิบัติธรรมะนั้น ผมจึงได้เคยพูดกันว่า เรื่องโลภ โกรธ หลง เนี่ยมันยังบ่แม่นสิ่งสำคัญ ถ้าหากผู้ใดว่าโลภโกรธหลงเป็นสิ่งสำคัญนั้น ถูกอยู่ แต่มันถูกผิวนอกๆ บ่แม่น(ไม่ใช่)มันถูกผิวใน ผมเลยเข้าใจเรื่องนี้แหละการปฏิบัติธรรมะ 

     

    ผมไปอ่านหนังสือตำราหลักสูตรนักธรรมชั้นโทเนี่ยว่า พระโสดาบันจะมาเกิดในมนุษย์อีกชาติหนึ่ง คือเอกพีซี ผมเลยนึกได้ว่า โอ้..พระโสดาบันก็จะมาทำงานบ่อนนี้เด้ตื่ม(ที่นี่เพิ่มนะ)เที่ยวนี้ เพราะงานมันบ่แล้ว(ไม่เสร็จ) ว่าซั่น(นั่น) 

     

    พระโสดาบันจะมาเกิดในมนุษย์อีก ๖ ชาติ โอ้..พระโสดาบันก็จะได้มาทำงานอันนี้ตื่มเด้(เพิ่มนะ) ๖ เทื่อ(ครั้ง) ยังจะเสร็จงาน ว่าซั่น(นั่น) ผมคิดผู้เดียวผม 

     

    บัดนี้พระโสดาบันว่าซั่น จะมาเกิดในมนุษย์อีก ๗ ชาติ โอ้..พระโสดาบันจะได้มาเกิดในมนุษย์อีก ๗ ชาตินี้ จะมาทำงานอันนี้อีก ๗ เทื่อเด้(นะ) งานนี้จึงจะสำเร็จไปได้ ผมนึกอันนี้ขึ้นมา 

     

    ฉะนั้นเรื่องกับเรื่องการเรื่องวิพากษ์วิจารณ์หมู่นี้ ผลปรากฏว่า หมด สิ้นที่ว่าเรื่องการทำบุญให้ทานนั้น มันเป็นเหยื่อล่อซื่อๆ เรื่องการทำบุญให้ทานรักษาศีลอย่างใดๆ ก็ตามเป็นเหยื่อล่อ เพราะให้คนติดเราซะก่อน เมื่อติดเราแล้วเราจะยั่วเขาได้หรือว่าบอกเขาได้ทำได้คิดได้ อย่างที่เขาอยากจะให้เฮ็ดนำเลา(ทำตามเลา)ได้ 

     

    ปัญหามันมีเพียงแค่เดียวว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวยาวแค่สองข้อมือ และไม่ยาวอีกต่อไป และไม่สั้นอีกต่อไป เท่าเดิมเสมอตัว นี่ปัญหามันจุดนี้นี่แหละ 

     

    ขอให้เข้าใจไว้เรื่องอาการเกิดดับ บ่ใช่แม่นว่า(ไม่ใช่ว่า) คิดนี้มันเกิดนี้มันดับนี้ หูได้ยินมันเกิด มันส่งเข้าไปในจิตใจมันดับ อันนั้นเขาสอนกันอยู่ก่อนแล้วเรื่องนี้ เขาสอนกันอยู่ก่อน บ่แม่น(ไม่ใช่)จุดพระพุทธเจ้าชี้จุด อาจารย์องค์อื่นชี้มา ถ้าหากผู้ใดไปซักไปกล่าวเอาคำสอนอาการเกิดดับที่แท้จริงนั้นมาว่าเป็นจุดนี้นั้น ผมว่าผู้นี้ก็ชี้เป้าหมายผิด 

     

    และอีกต่อไปนี้หากพวกเราทุกคนมาฟังธรรมะ ไปตีเป็นเลขเป็นบัตรเป็นเบอร์นั้น ผมว่าคงเป็นคนฆ่าผมอีกเสียด้วย หรือฆ่าพระพุทธเจ้าไปอีกเสียด้วยคั้นหากพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ เพราะผมบ่(ไม่)ได้เจตนาว่าจิ(จะ)บอกเลขบอกบัตรบอกเบอร์ของไผทั้งหมด

     

    ผมมีความจงรักภักดี จะมาเว้า(พูด)ธรรมะอันนี้อย่างเดียวเท่านั้น มีจุดหมายปลายทาง อยากให้คนเข้าใจธรรมะ ได้รับความสุขที่ว่าเราเป็นชาวพุทธเท่านั้น ฉะนั้นที่ผมเคยได้เตือนเพื่อนๆ มา อย่าบอกเถอะเรื่องเลขเรื่องบัตรเรื่องเบอร์นี้ มันบ่แม่นคำจริง มันบ่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า 

     

    ผมก็เลยเตือนมากระทั่งผมเอง ผมก็บ่เคยเว้าจักเทื่อ(ไม่เคยพูดสักครั้ง) เรื่องเลขเรื่องบัตรเรื่องเบอร์นี่ แต่เว้า(พูด)เล่นไปซื่อๆ คนมาโดยมากผมมาอยู่ขอนแก่นนี่ มาจับเอาคั้น(หาก)ผมเว้า(พูด)อันนั้นอันนี้ ไปจับไปตีเอาเป็นเลขเป็นบัตรเป็นเบอร์ไป อ้าวหลายคนก็ถูกตื่ม(เพิ่ม)ไปเสียแล้ว 

     

    หลายคนคิด คั้น(หาก)ถูกแล้วหาว่าผมบอกเลข เพิ่น(ท่าน)ว่า ผีตายหัวคนนี้ยังว่า ความจริงผมบ่(ไม่)ได้เจตนาต้องการจักเทื่อ(สักครั้ง) ตั้งแต่เกิดมาผมบ่(ไม่)ได้คิดเจตนา 

     

    แม้ผมมาบวชนี่ผมมีเจตนาอยู่อย่างเดียว จิมาเว้า(จะมาพูด)ธรรมะอันนี้เท่านั้นฝังอยู่ในใจผมเนี่ย ถามเพิ่นอาจารย์มหาก็ได้ ถามผู้ที่เคยอยู่นำผมนานๆ ปีมาก็ได้ 

     

    ผมนึกอยู่แล้วว่า ถ้าหากเว้า(พูด)เรื่องพระพุทธศาสนาเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย เมืองไทยนี้เข้าใจธรรมะดีกันแล้ว ผมยังอยากเรียนภาษาอังกฤษอยู่เท่าทุกมื้อ(วัน)เดี๋ยวนี้ ผมอยากไปเว้า(พูด)กับฝรั่ง ผมได้เว้า(พูด)เรื่องนี้อยู่บ่เซา(ไม่หยุด) 

     

    ผมจิ(จะ)ไปนุ่งกางเกงบักดำๆ นั่นแหละเสื้อดำๆ นั้นไปเว้า(พุด)กับอเมริกากับฝรั่งเนี่ย ให้พูดภาษาปฏิบัติธรรมะ ผมจะชี้เข้าไปจุดเดียวเท่านี้ ไปทำงานกับอันนี้เท่านั้น ผมคิดอยู่ เพราะพวกนั้นเป็นนักปัญญาชนความคิดมาก ผมว่าคงจะเข้าใจ 

     

    เมื่อฝรั่งเข้าใจแล้ว ผมยังจิ(จะ)สึกอีกตื่มหนึ่ง(อีกครั้งหนึ่ง) ละเพศนั้น จะไปสอนเด็ก ว่าซั่น(นั่น)บัดนี้ ไปสอนคนจีน ว่าซั่น(นั่น)บัดนี้ จิ(จะ)บวชเป็นพระจีนว่าซั่น ว่าบ่เชื่อถามหมู่ หมู่ผมที่ได้เคยไปอยู่นำผม ผมได้ตั้งสังเกตจังซี่อยู่บ่เซาจักเทื่อ(อย่างนี้อยู่ไม่หยุดสักที) 

     

    เรื่องการบวชการสึกนี้ยังบ่(ไม่)สำคัญเทื่อได๋(เท่าไร)ครับ การบวชการสึกนี้บ่(ไม่)สำคัญ เห็นว่าเจ้าของ(ตัวเอง)บวชมาจังซี้(อย่างนี้) เจ้าของ(ตัวเอง)ได้ปฏิบัติหลักพุทธศาสนาอย่างทุกต้องแล้วนั้น ถูกอยู่ ถูกเพียงแค่สมมุติ บ่แม่น(ไม่ใช่)ถูกเนื้อแท้ 

     

    ปัญหามันมีเพียงแค่นี้ครับ เท่าที่ผมคิดมาเป็นเวลาหลายมื้อ(วัน) หลายวันหลายปีหลายเดือนที่มาอยู่ร่วมกันเนี่ย เรื่องการประสบกับการปฏิบัติธรรมะเนี่ย เล่าให้ครูบาอาจารย์หรือว่าพ่อออกแม่ออกหมู่เณรฟัง มื้อนี้ก็นึกว่าพอสมควร ต่อไปนี้ก็จิ(จะ)ได้เล่าเรื่องอารมณ์การปฏิบัติธรรมะต่อไป 

     

    ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมะเบื้องแรก จำเป็นต้องเฮ็ด(ทำ)จังหวะ เฮ็ด(ทำ)มือเข้าเอามือออก เดินจงกรม ให้รู้จักรูปนามเบื้องแรก รูปนามมันติดกันอยู่เสมอไป ให้รู้จักรูปนาม 

     

    แล้วก็ต้องรู้จักรูปธรรมนามธรรม รูปโรคนามโรค เมื่อรู้จักรูปธรรมนามธรรม รู้จักรูปโรคนามโรคแล้ว ให้รู้จักทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดดับ 

     

    เมื่อรู้จักทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดดับแล้ว ให้รู้จักสมมติ สิ่งที่สมมติขึ้นในโลกที่เราติดกันอยู่โดยวัตถุทุกวันนี้แหละ สิ่งที่สมมุติทุกอย่างให้รู้จักให้ทั่วถึง เมื่อรู้จักสมมติอย่างทั่วถึงแล้ว ให้รู้จักหลักพระพุทธศาสนากับศาสนา 

     

    ศาสนาคือหยัง(อะไร) พุทธศาสนาคือหยัง(อะไร) และให้รู้จักบาปบุญเท่านี้แหละ เมื่อรู้จักจุดนี้แล้ว เราต้องแนะกันให้เบิ่งคิด(ดูคิด) ตีเข้าไปหาคิดเลยบัดเดียว มันคิดฮ้าย(ร้าย)ก็ช่างคิดดีก็ตาม มันคิดเรื่อยๆ มันกำลังคิด 

     

    เมื่อรู้รูปนามใหม่ๆ นี่กำลังคิด ความคิดอันนี้ฟุ้งขึ้นเลย ฮู้(รู้)นั้นฮู้(รู้)นี้ คิดบ่หยุดบ่(ไม่)ถอย แม้มีความรู้สามารถจะถกเถียงคนนั้นคนนี้ได้ นี่เป็นความรู้ของวิปัสสนู เป็นปัญญาของวิปัสสนูเกิดขึ้นกับที่ใจของเรา บ่แม่น(ไม่ใช่)ตัวจริง 

     

    ตัวจริงแท้ๆ นั้นเพียงแต่ว่า ปัญญาของวิปัสสนานั้น รู้รูปนาม ทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา พริบตา หายใจ คิดนึก เหล่านี้เป็นรูปเป็นนาม เป็นทุกขังเป็นอนิจจังเป็นอนัตตา เป็นเกิดเป็นเรา รูปธรรมนามธรรม รูปโรคนามโรค รู้สมมติ จังซี่(อย่างนี้)

     

    ฉะนั้นทุกคนจึงเป็นธรรมะ เมื่อด่ากันก็ด่าธรรมะ เมื่อด่ากันก็ต้องด่าพระพุทธเจ้า เมื่อด่ากันก็ต้องด่าพระสงฆ์ ฉะนั้นผมจึงว่าบ่(ไม่)อยากด่าใครทั้งหมดทุกมื้อ(วัน)เดี๋ยวนี้ คั้น(หาก)ผมด่าผมก็ด่าพระพุทธเจ้าโลด(เลย) 

     

    ทุกคนนี้สามารถมีพืชหรือมีเชื้ออยู่ ถ้าหากทำจริงๆ แล้วสามารถที่จะประสบเอาแท้ๆ ความสุขที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั้นเรียกว่าสัจจะ สัจจะของพวกเรานี้ว่า กับสัจจะของพระพุทธเจ้านั้น ต่างกัน 

     

    สัจจะของพวกเรานั้น คั้น(หาก)ที่จะไปบ้านฮันโปงมื้อนี้(วันนี้) คั้นบ่ไปย่าน(หากไม่ไปกลัว)เสียสัตย์ จำเป็นต้องไป อันนี้สัจจะของสมมุติสัจจะของพวกเรา คั้นบ่(หากไม่)ไปเสียศีล ว่าซั่น(นั่น) สัจจะของไทยเฮา(เรา)ต้องเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) มื้อ(วัน)นี้สิไปบ้านหัวทุ่ง คั้นบ่ได้ไปบ้านหัวทุ่งนี่เสียสัตย์จึงเสียศีลว่าซั่น(นั่น) นี่สัจจะของพวกเราต้องเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) 

     

    ความจริงสัจจะของพระพุทธเจ้าบ่ได้เป็นจังซั่น(อย่างนั้น) พระพุทธเจ้านี่เมื่อเรายังไม่บรรลุถึงมรรคผลนิพพานเมื่อใด เราจะไม่ท้อถอยต่อการกระทำหรือต่อการปฏิบัติของเรา ถึงจะตายก็ตามช่างมัน พระพุทธเจ้ามีสัจจะอย่างซี้(นี้) ฉะนั้นสัจจะของพวกเฮา(เรา)นี้กับสัจจะของพระพุทธเจ้ามันจึงต่างกัน 

     

    ผลการกระทำของพวกเราก็เช่นเดียวกัน พระเณร และแม่ขาว แม่ออกพ่อออกที่อยู่ร่วมกันนี้ การปฏิบัติธรรมะก็บ่(ไม่)เหมือนกัน ผมก็สังเกตเบิ่งอยู่(ดูอยู่) บางคนก็เอาแด้(บ้าง) บางคนก็พอไปพอมา บางคนก็รู้สึกว่าเหนื่อยหลายว่า เฮ็ดหลายบ่ได้(ทำมากไม่ได้) เมื่อย เป็นโรคอันนั้นเป็นโรคอันนี้เพิ่นว่า(ท่านว่า) เป็นอย่างซั่น(นั้น) 

     

    ต่อไปนี้นะ เมื่อเอาจิตดูจิตเข้าไปนี้ เราไปประสบเอากับปรมัตถ์ บัดนี้ จิตใจเราจะสบายขึ้นมา ถ้าหากเรามีอารมณ์อยู่นั่นให้จับอารมณ์นั้นไว้โลด(เลย) คั้น(หาก)เมื่อไปทิ่มอารมณ์นั้นจิตวิปลาสไปอีกตื่ม(เพิ่มอีก) อันนี้บทหนึ่ง วิปลาสมีอยู่ ๒ บท 

     

    บ่อนจิตใจจิ(จะ)เปลี่ยนจากความเป็นปุถุชนิเข้าไปสู่เขตแดนให้จิตใจเปลี่ยนเนี่ย นี่ก็มีวิปลาส ผมเข้าใจอย่างซี้ ต่อไปเมื่ออาการเกิดดับของเราจิ(จะ)ได้ไปประสบที่ผมว่าเมื่อกี้นี้ว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวไม่ยาวอีก นี่ก็ต้องมีวิปลาส มีวิปลาสอยู่ ๒ อย่าง แต่อย่างหนักนั้นแค่ตัวสุดท้าย อย่างตัวเข้าไปเบิ่ง(ดูอ)แรกนี้บ่(ไม่)หนักปานใด(เท่าไร) 

     

    เรื่องวิปัสสนูนั้น เมื่อรู้รูปนามนี้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนู ฉะนั้นผมได้ฟังธรรมะครูบาอาจารย์ทุกองค์ๆ เคยได้ไปสู่สำนักหลายสำนักไปศึกษาตามอาจารย์ต่างๆ เมื่อผมเข้าใจธรรมะนี้แล้วนะแต่ผมบวชมาแล้วเด้อ(นะ)บัดนี้ ฟังดูเพราะหูทุกองค์ แม่น(ใช่)ทุกองค์ บ่ผิดจักองค์(ไม่ผิดสักองค์) 

     

    แล้วแต่นิสัยใครจะสอนไป ใครมีความรู้อย่างได๋(ไร)ต้องสอนไปอย่างนั้น ใครถนัดอย่างได๋(ไร)ต้องสอนไปอย่างนั้น แต่ผมนั้นวิธีพุทโธผมก็ได้ทำมา วิธีอะระหังผมก็ทำมา วิธีพองยุบผมก็ทำมา 

     

    เพราะมาทำวิธี ตีนนิ่ง นี่แหละ ผมก็เลยมาตัดความเว้า(พูด)ของอาจารย์ออก เฮ็ดซื่อๆ(ทำเฉยๆ) เพียงเอาความรู้สึก เมื่อรู้อันนี้แล้วมันรัดกุมหมด ว่าซั่น(นั่น) 

     

    ผมเข้าใจอย่างซี้(นี้) จึงผมบ่ได้นำเรื่องวิธีพุทโธมาสอน และบ่(ไม่)ได้นำเรื่องอะระหังมาสอน และบ่(ไม่)ได้นำเรื่องพองยุบมาสอน ผมอยากแนะนำแต่อย่างเดียวเท่านี้ เพราะว่ามันรัดกุมที่เดียว มันสั้นที่สุด อย่างกะทัดรัดว่าซั่น ทุกคนต้องประสบเอาได้จริงๆ ว่าซั่น(นั่น) 

     

    จะเปรียบบัดนี้ เหมือนดำดินไปเนี่ยโผล่ขึ้นกรุงเทพฯ โลด(เลย)บัดเดียว นี่ผมคิดอย่างซั่น(นั้น) หรือที่เปรียบเทียบอย่างหนึ่งก็ เราขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนี่ ไปลงปุ๊บสนามบินที่กรุงเทพฯ ดอนเมืองนู้นบัดเดียวว่าซัน มันเร็วไปจังซี้(อย่างนี้) 

     

    ฉะนั้นจึงผมอยากเว้า(พูด)แต่เรื่องนี้ ถ้าให้ผมเว้า(พูด)เรื่องนี้ บ่เมื่อย ถ้าเว้าเรื่องอื่น ผมเหนื่อย ถ้าเว้าเรื่องนี้ให้ผมเว้า(พูด)เท่าได๋(ไร)ก็ได้เพราะผมชอบผมมัก(รัก) จะมีเงินมีทองนั้นก็ดีอยู่ บ่(ไม่)ได้คัดค้าน แต่ความสุขประเภทเรื่องเงินเรื่องทองนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

     

    แต่ความสุขเรื่องนี้น่ะมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจะคิดน้ำหนักมีเงินล้านบาทมาซื้อเอาความสุขประเภทนี้ ขายซะเอาซะ โอ้ยแล้วเท่านนั้นแหละ ผมบ่(ไม่)เอาแล้ว จะเอามาเฮ็ดหยัง(ทำอะไร)เงินล้านบาทนี่ ความสุขประเภทนี้ผมว่ามันเหนือเงินล้านบาท 

     

    ชีวิตของผมนี้ผมว่าผมได้ประสบความสุขอันนี้ ผมจึงว่าบ่เชื่อไผ(ใคร)ทั้งหมด แต่ผมรับฟังครูบาอาจารย์สอนอย่างได๋(ไร)ผมรับฟังหมดทุกคน แม้จะเป็นเด็กๆ น้อยๆ มาสอนผมก็รับฟัง แต่ความจริงนั้นกลเม็ดเว้านั้น ผิดหรือถูกผมฟังซื่อๆ ผมรับฟังซื่อๆ แต่ผมบ่ค้าน ผิดถูกเป็นเรื่องของเพิ่นเว้า(ท่านพูด) 

     

    ถ้าหากเราโง่นั้นเราก็บ่ต้องศึกษา ตามปกติความโง่นี้ต้องมาก่อนหมดทุกคน ความฉลาดมันจึงมาตามหลัง เมื่อหากความโง่บ่เกิดขึ้นเสียแล้วความฉลาดบ่มี(ไม่มี) ผมนึกได้อย่างซี้(นี้) เพราะว่าสมัยผมเป็นเณร ครูบาอาจารย์สอนให้เฮ็ด(ทำ)ไปหมดทุกอย่าง ถ้าหากผมฉลาดแล้วผมบ่ไปงมเฮ็ด(ทำ)อย่างนั้น ผมเฮ็ด(ทำ)ตั้งแต่สมัยผมเป็นเณร 

     

    เฮ็ด(ทำ)แบบนี้โลด(เลย) โอ๊ยผมจิเลยบ่ได้(จะเลยไม่ได้)สึกเข้าปานนี้ ผมจิ(จะ)ได้เป็นพระเถระผู้ใหญ่ แหมบางทีอาจจิ(จะ)ได้เป็นเจ้าคณะตำบลเหมือนเข้าก็เป็นได้ บางทีผมจะได้เรียนนักธรรมตรีธรรมโทธรรมเอกสอบเปรียณได้อย่างหมู่เพิ่นท่านอาจารย์มหานี้ก็จิ(จะ)ได้เด้(นะ)ครับ แม่นบ่(ใช่มั้ย) คั้น(หาก)ถ้าผมบวชตั้งแต่พุ่น(นู้น)ไม่สึกเข้าป่านนี้  

     

    นี่แหละความโง่ของคนมันต้องมาก่อนทุกคนๆ ไป ความฉลาดจึงมาตามหลัง ความผิดมาก่อนว่าซั่น(นั้น)เป็นได้ ความถูกต้องจึงมาตามหลัง เมื่อคนเรารู้จักความผิดเสียแล้ว ความถูกต้องไม่มี เมื่อรู้จักทั้งความผิดและความถูกต้องทั้งสองอย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทา 

     

    มัชฌิมาปฏิปทานั้น เดินทางเข้าไปสู่จุดบอกว่า รู้จักจุดนี่แหละมัชฌิมาปฏิปทา เดินทางสายกลาง รู้จักจุดที่สุดของมันนั่นแหละ เห็นจุดนี้แหละเป็นมัชฌิมา ว่าซั่น จึงว่าบ่ผิดบ่ถูก(ไม่ผิดไม่ถูก) อาจารย์องค์ใดสอนก็บ่ผิดบ่ถูก(ไม่ผิดไม่ถูก) 

     

    คำว่ามัชฌิมาปฏิปทานี้แปลว่าความเว้าของผมเด้(นะ)เนี่ย ผมบ่ได้เว้า(ผมไม้ได้พูด)ของผู้อื่นเด้(นะ)เนี่ย ผมบ่ได้รู้ปริยัติ เมื่อไปถึงจุดอาการเกิดดับนี่แหละ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา บอกว่าโอ้เดินเข้ามานี่แล้ว ถูกปุ๊บเอานี่โลดเน๊าะ(เลยนะ) ว่าซั่น(นั่น) 

     

    นี่เน๊าะจุดเดียวเท่านี้เน๊าะ ๘๔,ooo พระธรรมขันธ์ รวมลงมาสู่จุดเดียวเท่านี้ แม้จะเรียนหนังสือได้ก็มาสู่จุดนี้ เรียนหนังสือบ่(ไม่)ได้ก็มาสู่จุดนี้ เขียนหนังสือได้อย่างคล่องแคล่วก็จะมาทำงานอันนี้ เขียนหนังสือบ่เป็นจั๊ก(สัก)ตัวก็จะมาทำงานสู่จุดเดียวเท่านั้น ว่าซั่น(นั้น) นี่ปัญหาของมัน 

     

    ฉะนั้นนักปฏิบัติทุกคนจงพยายามให้รู้รูปนาม แล้วก็ต้องมองจิตใจ มันคิดนึกอย่างใดก็อย่าเอาเป็นอารมณ์ ต้องปล่อยไป แล้วเอาสติดูจิตอยู่เสมอๆ ไป จนทั่วที่จะเข้าใจปรมัตถ์ได้ 

     

    เมื่อเราเข้าใจปรมัตุ์แล้ว จิตใจของเราจะเปลี่ยนเองดอก บ่(ไม่)ได้บอกใครดอก เมื่อมันจิตใจเปลี่ยนแล้วผมจะไปถาม ผมเคยถามท่านอาจารย์หลายท่าน และตลอดถึงสามเณรและโยมผู้ที่ปฏิบัติธรรมะด้วยกัน 

     

    เมื่อจิตใจเปลี่ยนเข้าไปถึงปรมัตถ์ขั้นแรก ผมได้ถามว่าเป็นอย่างใด เข้าใจปรมัติบ่(มั้ย) เข้าใจ จิตใจเปลี่ยนแปลงไปบ่(มั้ย) เปลี่ยนแปลง น้ำหนักของตัวเจ้ามี ๑o กิโลนี่ จะเอาทิ้งจัก(สัก)กิโล  บางคนก็บอกทิ้งไปแล้ว ๕ กิโล บางคนก็ทิ้งไป ๔ กิโล 

     

    ผมถามเป็นวิธีการอันนี้ครับ เป็นพระได้บ่(มั้ย) เป็นได้ เป็นเทวดาได้บ่(มั้ย) เป็นได้ ถูกบ่ผลการปฏิบัติน่ะ ถูก คำว่าถูกนี่รับรองได้อย่างใด ถูกเพราะผมบ่(ไม่)เคยเป็นอย่างซี่จักเทื่อ(นี้สักครั้ง) จิตใจผมเป็นแต่รูปร่างท่าทีนี้บ่(ไม่)เป็นได้ 

     

    นี่จึงว่า การเป็นพระนั้นนุ่งเหลืองห่มเหลืองนี่เป็นพระสมมุติ แต่อย่าถูกทิ้ง เอาไว้ คั้น(หาก)ถ้าเราทิ้งอันนี้ไปแล้วเหมือนกับเราทิ้งข้าวเปลือก ต่อไปสิบ่(จะไม่)มีข้าวเปลือกไปให้เฮ็ด(ทำ)ข้าวปลูก คั้นจิไปคอยกินข้าวสุกบัดเดียวนั้น บ่(ไม่)มีข้าวเปลือกแล้วปีหน้านี้เฮ็ดนาบ่(ทำนาไม่)ได้แล้ว 

     

    ุถูกฟ้าแล้งก็ช่างฝนตกหลายๆ ก็ตาม บ่(ไม่)มีข้าวเปลือกแล้ว แล้วกันบ่(ไม่)มีข้าวสุกกินจ้อยซ้ำ กินข้าวสุกหมดแล้วก็บ่(ไม่)มีข้าวเปลือกแล้ว กินข้าวเปลือกแล้วตายซ้ำบัดนี้นี่ ปัญหาอันนี้ให้ฝากไว้หมดทุกคน 

     

    ที่มาเล่าธรรมะให้ฟังมื้อนี้นั้น เล่าประวัติที่การปฏิบัติธรรมะมาแด่ แล้วก็มาเว้า(พูด)เรื่องวิปัสสนู วิปลาส ให้ฟังทุกคน ทุกคนจงพยายามตั้งหน้าตั้งตาเป็นเวลาของเราจิ(จะ)ได้ปฏิบัติธรรมะตื่มนั้นเพียง ๔ วันเท่านั้นแหละ วันที่ ๕ นั้นพวกเราก็จะได้เลิกลากันไป 

     

    ถ้าหากผู้ใดยังมีศรัทธาอยู่เชื่อมั่นนั้น ปฏิบัตินำกันไปก็บ่(ไม่)เป็นหยัง(อะไร) ผู้ที่พาการปฏิบัติอยู่นี้หมดทุกคนบ่(ไม่)เลิกละเอา ปฏิบัติครั้งเมื่อตายแล้วก็สาธุอนุโมทนาด้วย เอาแหละเท่าที่เล่ากันมาวันนี้ก็นึกว่าพอสมควรจะเหน็ดเหนื่อยไปเท่านั้น. 

     

    ………………………………..

     

    (คำสอนของครูบาอาจารย์ท่านอื่น) 

     

    ขอพูดอีหยังจักน้อย(อะไรสักหน่อย)หนึ่งครับ รบกวนเวลามาหลายพอสมควรแล้ว ก็พวกเฮา(เรา)มันโชคดีหน่อยหนึ่ง คือว่าในการที่หลวงพ่อเพิ่นได้เว้า(ท่านได้เล่า)ประวัตินี่ ผมกับเพิ่น(ท่าน)อาจารย์มหาบัวทองแล้วก็คณะครูบาอาจารย์ ได้พยายามขอร้องให้เพิ่น(ท่าน)หลวงพ่อได้เว้า(เล่า)ประวัติ ให้พวกนักปฏิบัติเฮา(เรา)ได้ทราบอย่างแจ่มแจ้งแหน่(หน่อย) 

     

    เมื่อเช้านี้ก็เว้ามาเเหน่(เล่ามาหน่อย)แล้ว แต่ว่ามันก็เพิ่นบ่(ท่านไม่)ได้เตรียมตัวก็เลยบันทึกเทปไว้ก็มีการขาดๆ ตกๆ แล้วก็อยากให้เพิ่น(ท่าน)เน้นหนักเรื่องการปฏิบัติของเพิ่น(ท่าน) ตกลงเพิ่น(ท่าน)ก็เลยรับปากว่าจิเว้าอีกตอนแลง(เย็น) เพราะฉะนั้นการพูดนี่บ่แม่น(ไม่ใช่)เป็นการโอ้อวด ให้เข้าใจแบบนั้น 

     

    ด้วยเหตุที่ว่าเพิ่น(ท่าน)มีความเมตตาต่อนักปฏิบัติ อยากให้รู้อยากให้เข้าใจ ว่าการปฏิบัตินั้นมันบ่เลือกบุคคล มันบ่(ไม่)เลือกเฉพาะว่าจะเป็นฆราวาสญาติโยม หรือจะเป็นพระเป็นเณร มีสิทธิ์จิเข้าถึงธรรมะคือกัน อ่านหนังสือบ่ออกอ่านหนังสือบ่(มั้ย)ได้ก็สามารถเห็นแจ้งในธรรมะคือกัน(เหมือนกัน) 

     

    หรือว่าผู้ได๋จิ(ใครจะ)ไปคิดว่าเพิ่นจิ(ท่านจะปเป็นการโอ้อวด หรือจิอวดอุตริมนุสสธรรมอย่างนี้ เพิ่น(ท่าน)ก็ท้าพิสูจน์คือกัน เพราะหลักของธรรมะนั้นเรียกว่าเป็น เอหิปัสสิโก คือการท้าให้พิสูจน์ การท้าให้พิสูจน์นี่บ่ได้หมายถึงว่าเป็นการท้าทาย แต่ว่าผู้ต้องการอยากพิสูจน์ ผู้จิมาโจษผู้ใดผู้หนึ่งนั่นต้องเป็นผู้ที่เห็นแจ้งด้วยนะ 

     

    ถ้ามิฉะนั้นก็เข้ามาปฏิบัติด้วยตนเอง ตามคำแนะนำของเพิ่น(ท่าน) อย่างน้อยๆ ๓ เดือนเพิ่น(ท่าน)ว่ารับรองผล โดยเฉพาะของตัวผู้ปฏิบัติเองจะเห็นเองเข้าใจเองแล้วฮู้(รู้)เอง อันนี้ก็ขอสนับสนุนคำพูดของหลวงพ่อ ซึ่งแต่ก่อนเพิ่น(ท่าน)เพิ่น(ท่าน)เคยพูดกับกระผมหรือญาติโยมทั้งหลายก็จิบ่(จะไม่)ทราบ โดยเฉพาะนั้นเพิ่น(ท่าน)เคยพูดเป็นส่วนตัว เคยคุยกันฟังบ่อยที่สุด 

     

    หลังจากนี้ตอนที่ได้ในพรรษานี้ผมได้มาปฏิบัติอยู่นี่ ๓ เทื่อ(ครั้ง)ด้วยกัน ตอนสุดท้ายนั้นผมมาเองมาปฏิบัติอยู่นำเพิ่น(อยู่กับท่าน) แต่ก่อนนี้ก็บ่ฮู้(ไม่รู้)หน้าฮู้(รู้)หลังอยู่หรอก ฮู้(รู้)งูๆ ปลาๆ ปีกลายนี่ก็มาเว้า(พูด)ธรรมะเด้งหน้าเด้งหลังอยู่กับหมู่นี่แหละ เป็นเวลาอยู่ ๗ - ๘ มื้อ แล้วก็ไปเป็นจังซั่น(อย่างนั้น) จักเว้าอีหยัง(ไม่รู้จะพูดอะไร)ไปสอนขเจ้าก็ดาย(พวกเขาก็นะ) หากเอาไปเฉพาะปานนั้น(อย่างนั้น) ไปซักลากเอาแนวคนตาบอดสอนลูกหรือคนอวดดี มันก็เลยไปกันเรื่อยๆ ก็ยังบ่(ไม่)ทันเห็นดาวเห็นเดือน 

     

    ก็มานี่คือกัน(เหมือนกัน)นั่นแหละ เว้า(พูด)ค่อยหมู่ฟังจังซั้นจังซี่(อย่างนั้นอย่างนี้) อย่างสวรรค์นิพพานอีกอย่างก็คือกัน(เหมือนกัน) ก็คนอยู่บนดินก็ไปอธิบายดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า จั๊กว่ามันจะมีรูปพันธุ์สัณฐานอยู่เป็นแบบใด จะอธิบายให้กันฟัง ตัวเองก็ยังบ่(ไม่)ทันขึ้นไปเหยียบดาวจักเทื่อ(สักครั้ง) แต่ว่าหากอยากเว้า(พูด)เพราะนิสัยของคนมักเว้า(ชอบพูด)มันเป็นอย่างซั่น(นั้น) จึงขอให้เข้าใจ 

     

    เมื่อหลังจากได้มาทำความเข้าใจปฏิบัติธรรมะนำหลวงพ่อได้เป็นเวลา ๖ มื้อในพรรษา เพราะว่าสัตตาหะมา ส่งพระมาส่งเณรมาในพรรษา มา ๓ ชุด มาชุดละ ๔ ชุดละ ๕ ภายในมีอุดมการณ์อยู่ว่า พระเณรในวัดทำเสนารามทุกรูป ต้องผ่านการปฏิบัติจากสำนักวิปัสสนาโมกขวนารามนี้ทุกรูป เพราะฉะนั้นบ่(ไม่)รับเข้าสำนัก อันนี้มีอุดมการณ์ไว้แบบนั้นถือว่าเป็นอันเดียวกัน 

     

    ก่อนที่จะเป็นอันเดียวกันนี่ก็เพราะว่าความติดต่อกัน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานกัน ชื่อเพิ่น(ท่าน)พระมหาบัวทองเคยอยู่นำกัน(ด้วยกัน)ทำงานนำกัน(ด้วยกัน)สมัยอยู่จังหวัดเลย แล้วก็ติดต่อให้การสนับสนุนอยู่เรื่อย กระผมเองก็บ่ได้ทราบว่าเพิ่น(ท่าน)เป็นธรรมะ เพราะว่าอยู่นำกันกพอปานนั้นแหละ หมดปีหมดชาติบ่ฮู้รื่องอิหยัง(ไม่รู้เรื่องอะไร) อยู่จังหวัดเลย ๑ ปีมี ๑๔ วัน เพิ่น(ท่าน)ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ 

     

    ผมเองก็ย้ายไปทำงานอยู่สระบุรีอีก ๘ เดือน ออกจากสระบุรีก็ย้ายมาหนองคายได้อีก ๒ เดือนก็มี ๑๓ วัน จากหนองคายก็ย้ายมาอยู่อุดร ๗ เดือน ค้านว่าวาจะย้ายไปไหนต่ออีกคือกัน(เหมือนกัน) เพราะว่าตั้งแต่ตอนบวชมานี่อยู่บ่อนได๋บ่(อยู่ที่ไหนไม่)เกิน ๑ พรรษา แต่ก็พยายามว่าอยู่จังหวัดอุดรธานีนี้ให้มันได้พอ ๒ พรรษาเสียก่อน คั้นหากว่าบ่(ไม่)ทัน ๒ พรรษาก็บ่ทันได้ย้าย เพราะชีวิตมันชอบย้ายอยู่เรื่อยๆ 

     

    แต่ว่าความตั้งใจนั้น ถ้าหากว่าได้เป็นสำนักปฏิบัติแล้วคือจิ(จะ)ย้ายยาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้กำลังหัดนักปฏิบัติหลาย เห็นแม่ออกญาติโยมสนใจการปฏิบัติ เห็นพระเณรสนใจการปฏิบัติก็รู้สึกดีอกดีใจนำเป็นกุศลนำ ส่วนเรื่องปริยัตินั้นเฮียน(เรียน)มาก็จนหัวผุ คือว่าเฮียน(เรียน)แล้วก็เลยให้เจ้าของโง่อยู่เรื่อยไป 

     

    ที่ขอร้องให้หลวงพ่อเพิ่น(ท่าน)ว่าขึ้นมานี่ ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นศรัทธาของนักปฏิบัติ ผู้มีศรัทธาอยู่แล้วให้เพิ่มฉันทะ วิริยะ อุตสาหะของเฮานี้ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามลำดับ เฮาสิบ่(เราจะไม่)สามารถเรียกร้องเอาคืนมาได้ 

     

    ถ้าหากว่าหลวงพ่อตายแล้วก็ดี หรือว่าคณะครูบาอาจารย์ผู้ให้การอบรมหมู่นี่ตายไปก็ดี หรือว่านักปฏิบัติที่มาสู่นี่สู่โรคภัยไข้เจ็บหรือว่าขันธมารมันรังควาน สามารถต่อสู้ไปได้นี่สังขารปฏิบัติตนถึงฝั่งถึงฝาได้ 

     

    ก็ขอให้เป็นอุปนิสัย อย่าประมาท อย่าอาศัยความเกียจค้าน อย่าอาศัยความเป็นคนว่ายากสอนยาก ถ้าอยากเป็นคนดื้อด้านและอย่าเป็นคนดื้อดึง เฮา(เรา)ต้องทำตนเป็นบุคคลที่ต้องเอาชนะกับสิ่งที่เราต้องการให้ได้ 

     

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัตินี่ ขอชี้แจงอย่างหนึ่งคือว่า เฮา(เรา)มักมีอันตราย คนปฏิบัติธรรมะนี่มีอันตรายแท้ๆ บ่(ไม่)ได้หมายถึงว่าอันตรายจะเกิดมีคนที่อยู่นอกศีลนอกธรรมเท่านั้นเด้(นะ) คนอยู่ในศีลในธรรมก็มีอันตรายคือกัน(เหมือนกัน) โดยเฉพาะอันตรายข้อแรกที่สุดคือ กิเลสอันตรายะ หมายถึงกิเลสเป็นอันตราย 

     

    กิเลสเป็นอันตรายนี่นับตั้งแต่ความง่วงเหงาหาวนอน ความหิว ความอยาก ความอวดดี ความเป็นคนมักเว้ามักคุยมักสนทนา มักเป็นคนโอ้อวดต่างๆ นี่ห รือว่าเป็นคนฉุนเฉียวอารมณ์ โกรธง่าย บ่รู้จักการปล่อยวางอย่างต่างๆ นี่ ถือว่าเป็นกิเลสอันตรายะ กิเลสเป็นอันตราย 

     

    บางทีมาปฏิบัติแล้วก็ เกิดลังเลสงสัยในตัวครูบาอาจารย์ จริงบ่น้อจังซั่นจังซี่(จริงมั้ยนะอย่างนั้นอย่างนี้) เรามาปฏิบัติเสียเวล่ำเวลา อยู่บ้านอยู่ช่องเฮ็ดนั่นเฮ็ดนี่(ทำนั่นทำนี่)สิได้เงิน ๙ บาท ๑o บาท หรือว่าเป็นพระสงฆ์ก็บวชนาคบ่(มั้ย) หรือว่าไปเป็นกรรมฐานบ่ ก็สิได้ ๕ บาท ๑o บาทก็จิ(จะ)พอผสมผเสไป ความลาภห่วงในลาภสักการะก็มี ความลังเลสงสัยก็มี นี่มันเป็นนิวรณ์เข้าครอบงำจิตกั้นกันจิตบ่ให้บรรลุความดี 

     

    แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ เดี๋ยวก็หงุดหงิดใจ เดี๋ยวก็รำคาญผู้นั้น เดี๋ยวเขาก็ไปพอเขา เจ้าของ(ตัวเอง)น่ะไปคือชัง(เกลียด)เขาอยู่ปานนั้น(อย่างนั้น) อันเรื่องนี้นี่แย่ นี่เรียกว่าอุทธัจจะกุกกุจจะ หงุดหงิด แม้กระทั่งได้ยินเสียงใครเว้าอีหยัง(พูดอะไร)ก็รำคาญ อันนี้เฮาต้องฮู้(เราต้องรู้)ให้ทัน 

     

    เมื่อฮู้ให้ทันแล้วพยายามใช้จิตดูจิต เอาสติเบิ่ง(ดู)จิตแล้ว อารมณ์ต่างๆ มันก็หายไป พยายามตามมันมาให้ทัน เฮา(เรา)สู้ทุกข์สู้ยากสู่ลำบากมาแล้วเรื่องรูป หรือว่าแทบจิ(จะ)เอาชีวิตบ่รอดมาแล้วกับชีวิตนั่น เฮาเป็นหยังบ่ไปสู่(เราเป็นอะไรไม่ไปหา) ไปเฮ็ดไฮ่เฮ็ดนา(ไปทำไรทำนา) มันบ่ตายบ่(มันไม่ตายมั้ย) บ่ลำบากบ่(ไม่ลำบากมั้ย) มันก็ตายคือกัน(เหมือน) มันก็เสี่ยงต่ออันตรายคือกันย่าง(เหมือนกันเดิน)ไปนา.



logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service