แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสมาชิกผู้สนใจในนิเวศวิทยาทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการที่เราได้มาประชุมหรือพบกันที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เกี่ยวกับเรื่องนิเวศวิทยา โดยเฉพาะเวลานี้ เรามาพูดกันเวลาหัวรุ่งอย่างนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด คือเป็นเวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วย จิตใจเหมาะสมที่จะถกกันกับเรื่องอันละเอียด เวลาที่น้ำชาล้นถ้วยก็เถียงกันดังได้ยินเป็นกิโล เดี๋ยวนี้เราก็มีจิตใจที่สงบ น้ำชายังไม่ล้นถ้วย เป็นเวลาที่จิตพร้อมที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ละเอียด ในทางที่จะรับเข้ามา จิตของเราก็ยังเหมือนกระดาษที่ยังไม่ได้เขียนอะไร มันจึงรับได้ดี พระพุทธองค์ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ เข้าใจว่าพระศาสดาองค์อื่นๆ ศาสนาอื่นก็น่าจะมีหลักการอย่างนี้เหมือนกัน คือตรัสรู้ในเวลาที่สงบสงัดที่สุดของธรรมชาติ เมื่อพูดในทางส่งออก มันก็เป็นเวลาที่ดี เป็นเวลาที่ดอกไม้โดยมากมันบานแล้วก็ส่งกลิ่นออก ความคิดหรือสติปัญญาจะส่งออกมาได้ดีทำงานได้ดี ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะแล้วที่จะพูดกันถึงเรื่องนี้
อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะกับนิเวศวิทยา ใจความสำคัญที่จะต้องทราบกันก่อนก็คือว่า ธรรมะเป็นนิเวศวิทยาของจิตร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยธรรมชาติจัดให้และก็ได้เป็นมาโดยธรรมชาติ จิตที่มีธรรมะมันก็มีความหมายของนิเวศวิทยาในทางฝ่ายจิตทางฝ่ายวิญญาณ มีความสด มีความสวย มีความสงบ มีความสุข เอากันกับ ๔ ส. ก็พอ มีความสด มีความสวย มีความสงบ มีความสุข จิตมีลักษณะอย่างนี้โดยธรรมชาติ
สดก็หมายความว่าไม่แห้งแล้ง มันไม่แห้งแล้ง สวยก็หมายความว่างดงามในด้านจิต ด้านวิญญาณ ด้านธรรมะ ไม่ใช่สวยด้วยการระบายสี แล้วมันก็สงบเพราะไม่มีอะไรกวน วิเวก,หนึ่งที่สุด วิเวกแปลว่าหนึ่งที่สุด คือไม่มีอะไรกวน แล้วก็เป็นสุขชนิดสุขเย็น สุขที่ถูกต้องตามความหมาย เป็นสุขเย็น ไม่ใช่สุขร้อน ถ้ากิเลสไม่ได้เกิดขึ้นรบกวน จิตของเราก็สมบูรณ์ด้วยนิเวศวิทยาภาวะนี้ แต่พอกิเลสเกิดขึ้นรบกวน มันก็สูญเสียไปหมด จงดูที่กิเลส ซึ่งเป็นเหมือนผีร้าย เป็นมารร้าย รบกวนจิตให้สูญเสียภาวะปรกติของจิต
ทีนี้เราก็ควรจะนึกดูในข้อที่ว่า นิเวศวิทยาทางฝ่ายกายฝ่ายวัตถุซึ่งเป็นภายนอกนี้ มันก็มีอาการคล้ายกันแหละ ถ้าอย่ามีผีบ้ามารบกวน มันก็จะมีอาการที่เป็นที่น่าพอใจ แต่เดี๋ยวนี้มันมีอะไรรบกวน ก็ใครล่ะ ก็มนุษย์นั่นแหละรบกวนโดยไม่รู้สึกตัว มันมีกิเลสสิงมนุษย์ มนุษย์ก็ทำลายสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว ได้ยินคำเก่าแก่ไม่ทราบใครพูด ก็น่าฟังที่สุดว่า พระเจ้าสร้าง แล้วมนุษย์ก็ทำลาย มันมีแต่อย่างนี้ตลอดมา พระเจ้าสร้างไว้ดีแล้ว มนุษย์ก็ทำลายเรื่อยมา หมายความว่าธรรมชาติให้มาดีแล้ว ทีนี้มนุษย์ก็ทำลาย,ทำลาย,ทำลาย เสียเรื่อยมา กิเลสเกิดออกมาแล้วก็มาทำลายแม้วัตถุ,แม้ธาตุวัตถุ กิเลสตัวเดียวกัน,กิเลสตัวเดียวกัน และเรียกชื่อระบุไปยังกิเลสที่ชื่อว่าตัณหา ที่ทำลายนิเวศวิทยาภายในของจิตหมดแล้วก็ออกมาทำลายนิเวศวิทยาทางกายทางวัตถุของคนต่อไปอีก กิเลสตัวเดียวกันชื่อว่าตัณหา
เราควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าตัณหานั้นกันให้ดีๆ คือให้ถูกต้อง ตัณหามันหมายถึงความอยากที่โง่เขลา,ความอยากที่โง่เขลา คือมาจากอวิชชา ตามศาลาวัดเขามักจะสอนกันว่า ถ้าอยากแล้วเป็นตัณหาหมด อย่างนี้ไม่ไหว มันไม่ถูก เฉพาะที่มันอยากด้วยความโง่นั้นจึงจะเรียกว่าตัณหา ถ้าความต้องการด้วยความฉลาด ท่านเรียกกันว่าสังกัปโป สังกัปปะ สังกัปปะนั้นความประสงค์ความต้องการด้วยอำนาจของสติปัญญา ตัณหามันอยากอย่างโง่ เรียกว่า desire,craving อะไรก็ตามเถิด แต่ว่าถ้ามันอยากด้วยสติปัญญามันจะต้องเรียกอย่างอื่น เช่น aspiration อะไรทำนองนี้เป็นต้น ขอให้ระวังคำว่าตัณหาๆ ไว้ให้ดีๆ
ตัณหานั่นแหละ มันทำลายนิเวศวิทยาหมดทั้งทางฝ่ายจิตทั้งฝ่ายกาย จะแยกให้เป็น ๓ อย่างมากกว่านั้นก็ได้ ว่าทาง physical ทาง mental ทาง spiritual ทางฝ่ายกาย ทางฝ่ายจิต ทางฝ่ายวิญญาณ ตัณหาทำลายหมด แม้แต่เป็นเรื่องทางวัตถุในปัจจุบันนี้ก็ตัณหาของมนุษย์ ความอยากอันมาจากความโง่เขลาทำลายหมด ตัณหามีเท่าไหร่ก็ทำลายนิเวศวิทยามากเท่านั้นแหละ ถ้าตัณหามันเป็นถึงขนาดอุตสาหกรรมแล้วมันก็ทำลายนิเวศวิทยากันอย่างขนาดอุตสาหกรรมทีเดียว ทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกายนี้เป็นอันดับแรก เราหมายถึงเรื่องทางกายที่เนื่องกันอยู่กับวัตถุ แม้กายมันก็เป็นวัตถุ มีวัตถุที่เนื่องกับกาย เรียกว่าระบบกาย เราก็มีตัณหานี้เป็นเครื่องทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมา
ทีนี้ชั้นที่สอง,ระดับที่สอง คือระบบจิตล้วนๆ จิตล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา เป็นระบบ psychic หรือ mental อะไรก็แล้วแต่ เป็นจิตล้วนๆ ถ้าอย่ามีตัณหารบกวน จิตนี้จะมีความงามตามลักษณะของจิต จิตจะทำหน้าที่ของจิตคือการก่อให้เกิดสิ่งใหม่ คำว่าจิตนี้มันก็แปลว่าคิดนึก คือเป็นการก่อสิ่งใหม่นั่นเอง แล้วความหมายพิเศษมีว่าวิจิตร วิจิตรคืองดงาม ถ้าอย่ามีตัณหาสกปรกเข้าไปครอบงำจิต จิตก็ทำหน้าที่อย่างถูกต้องและก็งดงาม นี้เรียกว่าระบบจิตล้วนๆ ยังไม่เกี่ยวกับสติปัญหา ก็ถูกตัณหาทำลายเสีย
มาถึงระดับที่สาม คือระบบสติปัญญา ซึ่งไม่ทราบจะเรียกว่าอะไรดี อาตมาเรียกว่าระบบวิญญาณ เพื่อตรงกับคำว่า spirituality ระบบวิญญาณ นี้หมายถึงทิฏฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ อุดมคติอะไรต่างๆ มันรวมอยู่ที่ระบบนี้ ถ้ามันถูกต้องมันก็วิเศษที่สุดแหละระบบสติปัญญานี้ เมื่อสูงสุดไปถึงสัมมาทิฏฐิ สามารถจะขจัดปัญหาทั้งปวงได้โดยสิ้นเชิง เดี๋ยวนี้ตัณหาก็รบกวนและทำลายเสียแม้ระบบสติปัญญาสุดท้าย ตัณหาทำลายระบบแรก ระบบกาย,ระบบวัตถุนั่น คือมันทำให้อยาก อยากอย่างโง่เขลา แล้วมันก็อยากมากจนเกินความพอดี เกินความถูกต้องพอดี มันก็กลายเป็นโทษขึ้นมาทันที มันทำให้ในบ้านเรือนของเรามันรกเต็มไปด้วยสิ่งไม่จำเป็น ข้างล่างก็เต็มไปด้วยสิ่งไม่จำเป็น บนเรือนก็เต็มไปด้วยสิ่งไม่จำเป็น แล้วก็เป็นปัญหา เป็นภาระ เป็นยุ่งยาก ระบบต่อสู้แย่งชิงแข่งขันกันในทางฝ่ายวัตถุ ความวินาศหรือความสงบ,ความวินาศก็ทำลายความสงบฝ่ายวัตถุเสียสิ้น นี่ตัณหาทำลายนิเวศวิทยาฝ่ายกาย ไปสำรวจดูในบ้านเรือนของท่าน,ในบ้านเรือนของท่าน มันมีสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีสักกี่อย่าง ที่จำเป็นจะต้องมีแท้ๆ จำเป็นแท้ๆ สักกี่อย่าง และบางบ้านเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จำเป็น อาตมาฟังวิทยุว่า ฝรั่งเขาซื้อกรงนกเขาชวา ทำอย่างสุดฝีไม้ลายมือราคาตั้งหมื่น กรงนกนี้ เปล่าๆ นี้ราคาตั้งหมื่น ผัวซื้อไปกรงหนึ่ง เมียก็ซื้อไปกรงหนึ่ง แล้วถามว่าเอาไปทำอะไร เขาว่าจะเอาไปทำโป๊ะไฟฟ้า คิดดูสิ นี่มันจะไปเพิ่มสิ่งไม่จำเป็นขึ้นในบ้านในเรือนนั้นมากน้อยเท่าไหร่ มันทำลายความปรกติ ความถูกต้อง ความพอดีกันสักเท่าไหร่ หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับเต็มไปด้วยโฆษณาสินค้าพรึบไปหมด อาตมาเอามาดู,เอามาดู ค้นแล้วค้นอีกจนเวียนหัว หาไม่พบสิ่งที่ตัวเองควรจะซื้อสักสิ่งไม่มี นี่การโฆษณานั้นทำให้คนต้องซื้อ แล้วก็ผลิตออกมาอย่างอุตสาหกรรม มันจึงมีมาโฆษณากันถึงขนาดนั้น ฉะนั้นอุตสาหกรรม,ระบบอุตสาหกรรมมันทำลายความพอดี ความถูกต้องความพอดีของนิเวศวิทยาในบ้านเรือน
คำว่าตัณหานี้มันมีความหมายกว้างได้ถึง ๓ ทิศทาง คืออยากจะได้,อยากจะได้เอาวัตถุนั้นมา นี้อย่างหนึ่ง แล้วอยากจะเป็น,เป็น,เป็น เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ นี่ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็อยากไม่ให้เป็น ไม่ให้เป็น ไม่ให้มี ไม่ให้ได้ ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น นี้อีกอย่างหนึ่ง มันเป็น ๓ อย่าง ดังนั้นมันจึงมีทางรบกวนจิตใจมาก,จึงมีทางรบกวนจิตใจมาก
ทีนี้ตัณหาก็รบกวนระบบจิตระบบที่สอง เรียกกันว่านิวรณ์ เป็นเครื่องรบกวน,รบกวนอย่างยิ่ง แม้จะไม่ถึงตายแต่มันก็รบกวนเสียความสงบสุข เหมือนกับแมลงหวี่ตัวเล็กๆ มารบกวนที่ตา ที่หู ที่จมูก เราก็เหลือที่จะทนได้ ก็บันดาลโทสะ นิวรณ์ก็รบกวนจิตขนาดนี้ไม่ถึงตาย แต่ก็เหลือประมาณ ทนไม่ได้ เป็นการรบกวน ระบบจิตล้วนๆ ก็เสียไป นิวรณ์พวกหนึ่งพวกแรกก็มาในรูปของกามารมณ์เกี่ยวกับกามารมณ์ ความรู้สึกใคร่ไปในทางกามารมณ์ เพียงแต่ความรู้สึกก็รบกวนเหลือประมาณ ตัณหาพวกหนึ่งรู้สึกไปในทางตรงกันข้ามคือไม่ชอบ,ขัดใจ,ไม่ต้องการ เป็นระบบโทสะ ทีนี้ก็ระบบโง่ ทำให้มึนชา ง่วงซึม หู่ หดเหี่ยวบ้าง ตรงกันข้าม ฟุ้งซ่านๆ ไม่สงบบ้าง ในที่สุดก็สงสัยๆ ลังเลในชีวิตไปเสียทุกเรื่องๆ เป็นลังเลในชีวิตประจำวัน นี้ก็ทำลายความสงบสุขหมดสิ้นไม่มีเหลือในทางฝ่ายจิตล้วนๆ ทางกามารมณ์ ทางตรงกันข้ามคือไม่ชอบ แล้วก็ทางหดหู่ลดลงไป แล้วก็ทางฟุ้งซ่านขึ้นมา แล้วก็ทางสงสัยไม่แน่ใจ นี่นิเวศวิทยาของจิตสูญเสียไปหมดเลยไม่มีอะไรเหลือสักนิด ทางบวกคือกามารมณ์ ทางลบคือไม่ชอบใจนี้ยังรบกวนน้อยนะ ทางโมหะทางโง่ของความเป็นบวกและความเป็นลบนั้นรบกวนมาก คือความสงสัยหรือความไม่แน่ใจ doubt,hesitation นั่นแหละ มันสงสัยและมันก็ไม่แน่ใจ จะว่ามีอยู่ตลอดเวลาก็ได้ แต่มันชินชากันไปเสียจนไม่รู้สึก มันถูกรบกวนอยู่ด้วยความไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจในความปลอดภัย ไม่แน่ใจในความถูกต้อง ไม่แน่ใจในชีวิต ไม่แน่ใจนี้อยู่ด้วยความชินชา นี่รบกวนความปรกติสุขของจิตไปเสียหมด นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ถึงกับว่าทำลาย นิเวศวิทยาของจิตถูกพังทลายลงไปด้วยนิวรณ์ข้อนี้
ความสงสัยที่เต็มสำนึกก็รบกวน แต่ก็ไม่เท่าไหร่ เราเขี่ยออกไปได้ง่ายๆ แต่มันมีความสงสัยที่กึ่งสำนึก semi-conscious หรือใต้สำนึก subconscious นี้ตลอดเวลา แต่เราก็ไม่รู้สึก มันก็รบกวน รบกวนอย่างที่ไม่รู้สึก แต่จิตก็สูญเสียความเป็นปรกติ ฉะนั้นบางเวลาเราจึงไม่รู้ว่า เอ๊ะ,นี่ทำไมมันจึงไม่สบายใจ อะไรรบกวนก็ไม่รู้ ความสงสัยที่เป็นกึ่งสำนึกและใต้สำนึกนั้นรบกวนเหลือประมาณ รบกวนอยู่ก้นบึ้งของจิต ถ้าหมดความสงสัยโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นพระอรหันต์นะ ขอให้ทราบไว้ หมดความสงสัยโดยสิ้นเชิงนั้นเป็นพระอรหันต์ เราเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารแล้ว แต่เรายังอดสงสัยไม่ได้ว่าธนาคารอาจจะล้ม อาจจะล้มด้วยเหตุอะไร แล้วเราจะต้องทำอย่างไร เราจะได้ปลอดภัยอย่างไร นี่คิดดูเถิด มันมีความระแวง ความสงสัย ความไม่แน่ใจหลายอย่างหลายร้อยหลายพันอย่างที่มันซ่อนอยู่ใต้สำนึกหรือครึ่งสำนึก นี่เรียกว่าทำลายนิเวศวิทยาของจิตลึกถึงสุดท้ายเลย ความสงสัยความไม่แน่ใจมันก็นำมาซึ่งความกลัว ความกลัวมาเมื่อไหร่ มันทำลายความสงบสุขหมดไม่มีเหลือ แล้วเรื่องที่จะต้องกลัวนั้นในโลกนี้มากขึ้นทุกทีนะ ในโลกนี้ยิ่งเจริญทางวัตถุเท่าไหร่ เหตุให้เกิดความกลัวก็ยิ่งมากขึ้นๆ มันก็กลายเป็นโลกแห่งความกลัวไปเสีย หาความสงบสุขไม่ได้ นี่สูญเสีย,สูญเสียนิเวศวิทยาทางจิตยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ยิ่งกว่าทางวัตถุที่จะเปรียบกันไม่ได้
ทีนี้ก็มาถึงระบบที่สามหรือระดับที่สาม คือทางวิญญาณนั้น มันจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ความคิดเห็นอย่างถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็ถูกรบกวนสูญเสียไปหมดด้วยกิเลสตัณหา นี้เรียกว่าเมื่อความถูกต้องทางจิตทางวิญญาณไม่มีแล้ว ความถูกต้องทางอื่นก็สูญเสียหมดไม่มีเหลือ แต่เราก็ยังไม่สามารถจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ต้องขอระบุลงไปตรงๆ ว่าการศึกษาในโลกของเรามันไม่พอที่จะสร้างสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เราก็สูญเสียความสงบสุขในระดับที่สามคือทางสติปัญญานี้เรื่อยไป สติปัญญาของเราถูกรบกวนถูกทำลายไปถึงขนาดที่เรียกว่าตรงกันข้ามจนไม่เป็นสติปัญญา
สรุปความแล้วก็คือเราไม่มีความถูกต้องในทางวัตถุหรือร่างกาย,นี้หนึ่ง เราไม่มีความถูกต้องทางจิต,นี้หนึ่ง เราไม่มีความถูกต้องทางวิญญาณหรือทางสติปัญญา,นี้หนึ่ง ไม่มีความถูกต้องกันอยู่ครบทั้งสามทาง แล้วจะมีอะไรเหลือล่ะ ขอให้คิดดู จะพูดถึงนิเวศวิทยาส่วนไหนกันเล่า ถ้ามันไม่มีความถูกต้องแม้แต่ทางเดียวในสามทางนี้ ความรู้และการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เกิดคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งสูงสุด วิเศษสุด ประเสริฐสุด เป็นอมตะที่สุด คือประโยคที่ว่า the fittest of the survival, the fittest of the survival เหมาะ,สิ่งที่เหมาะเท่านั้นแหละ สิ่งนั้นจะอยู่ คือจะรอดชีวิต ไม่เหมาะ,ตาย ฉะนั้นเราจะต้องสนใจถึงคำว่าเหมาะ,เหมาะ เหมาะที่สุดในที่นี้คือความถูกต้อง,ความถูกต้อง ถูกต้องตามอะไร ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา,กฎของอิทัปปัจจยตา ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาจะเกิดความเหมาะสมที่สุดที่จะอยู่รอด ฉะนั้นขอให้พิจารณาข้อนี้กันให้มากว่า the fittest of the survival
ภาวะ fittest, the fittest นั้น นั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนาหรืออริยมรรคมีองค์แปด อริยมรรคมีองค์แปดนั้นแหละคือthe fittest of the survival ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นวิทยาศาสตร์หรือเป็นยอดวิทยาศาสตร์ the fittest นี้ไม่ใช่ positive ไม่ใช่เป็นฝ่ายบวก positive นี้ไม่ใช่ the fittest มันเป็นฝ่ายบ้า เดี๋ยวนี้เราบ้าบวกกันทั้งโลก บ้า positive กันทั้งโลก เราก็ไม่พบ the fittest นี่ขอให้คิดดู เรายังไปหลง positive ไปหลง negative แล้วเราไม่มีทางจะพบ the fittest ซึ่งเป็นมัชฌิมาปฏิปทา โลกของเรากำลังบ้าบวก จนใช้อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือ ถ้าขืนบ้าบวกอย่างนี้ คือเจริญในทางวัตถุอย่างนี้ ก็นำไปสู่ความวินาศ เพราะมันไม่ใช่ the fittest มันไม่พอดี มันไม่ถูกต้อง มันไม่พอดี ขอให้คิดกันเสียใหม่ อย่าไปหลง positive อย่าไปหลงพึ่งอุตสาหกรรม จึงสร้างเหยื่อของกิเลสทั้งนั้น ธรรมชาติเขาจัดมาดีแล้วที่จะเหมาะสม เหมาะสมอย่างไร แต่เราละทิ้งธรรมชาติ ดูถูกธรรมชาติ หมิ่นต่อธรรมชาติ ไม่เอาตามธรรมชาติ เราก็ดัดแปลงไปตามกิเลสตัณหา มันก็ไม่พบความถูกต้อง ไม่พบความเหมาะสมที่จะรักษาไว้ได้ซึ่งความปรกติของธรรมชาติ
ขอเวลายกตัวอย่างเรื่องที่จะให้ความเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี ที่ชุมพร น้องชายอาตมาเขาเลี้ยงลิง คือลิงประเภทลิงกังหน้าแดงก้นแดง หางสั้นนิดเดียวเอง เป็นลิงที่ดีที่สุดสำหรับจะขึ้นมะพร้าว ไม่มีลิงพันธุ์ไหนสู้ได้ แล้วเขาทำที่ให้มันนอนอยู่ที่ต้นมะพร้าว เป็นชั้นออกมาเท่านั้นแหละ เป็นชั้นออกมาเท่านั้นสำหรับลิงไปนั่งบนนี้ได้ ไม่ทำหลังคาให้ ไม่ทำเป็นกุฏิเป็นหลังคาให้ อาตมาถามเขาว่า นี่ทำไมทุเรศทารุณต่อลิงนัก ไม่ทำหลังคาให้เขาสักหน่อย เขาจะได้กันฝน น้องชายก็หัวเราะๆ แล้วบอกว่า ผมเคยทำหลังคาอย่างนี้ แล้วมันขึ้นไปนอนบนหลังคาโน่น ฝนตกมันยังขึ้นไปอยู่บนหลังคา ฝนตกแท้ๆ มันขึ้นไปอยู่บนหลังคา นี่คิดดูเถิดว่า ความเหมาะสมของธรรมชาตินั้นมันเป็นอย่างนี้นะ เราอย่าเอาบวก เอาความรู้สึกฝ่ายบวกไปยัดให้กับความถูกต้อง จงพิจารณาดูตามธรรมชาติให้ดีๆ
ทีนี้มาดูกันในชาดก ในคัมภีร์ชาดกทางพุทธศาสนาของเราบ้าง คือโพธิสัตว์ หมายถึงผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ในเรื่องชาดกก็ต้องมีทุกเรื่อง,โพธิสัตว์ นกตัวหนึ่ง เขาหัวเราะเยาะลิง ฝนตกหนาว ลิงหนาวตัวสั่น เขาหัวเราะเยาะลิงหาว่าลิงโง่ ทำไมไม่ทำรังอยู่เหมือนกับเรา นกเขาทำรังอยู่สบาย ทีนี้ลิงมันก็บอกว่า โอ้,นั่นมันบ้า ไม่ต้องมีรัง ไม่ต้องมีรัง ไม่ต้องมีรัง ลิงโกรธขึ้นมาแล้วก็ฉีกรังนกหมด ฉีกรังนกเสียหมด นกก็เลยไม่มีรังจะอยู่เพราะว่าปากมันไม่ดีนี่ ปากมันไปสอน Ecology ให้แก่ลิง ลิงมันไม่ต้องการอย่างนั้น นี่ชาดก,ในชาดกก็ยังมีอย่างนี้ โพธิสัตว์ซึ่งเป็นเทวดาก็หัวเราะใหญ่ ที่นกปากไม่ดีไปสอนลิงให้ทำรัง นี่เราไปสอนนิเวศวิทยาให้แก่ลิง
นี้ขอให้สนใจว่า ความถูกต้องมันอยู่ที่ไหน ความถูกต้องสำหรับลิงนั้นมันเป็นอย่างไร ความถูกต้องสำหรับนกนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วเราก็จะพบว่า ความถูกต้องของมนุษย์นั้นมันเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้เราสร้างตึกคอนกรีตระฟ้ากันจะเต็มโลกอยู่แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ได้ยินเขาว่า อาตมาไม่ได้ยินจากตัวผู้พูดเอง เขาว่า มหาตมะ คานธี เป็นผู้พูดว่า อยู่กันอย่างระบบหมู่บ้าน village อยู่กันอย่าง village อย่าอยู่กันอย่างระบบ city คือนคร,มหานคร เราอยู่กันอย่างหมู่บ้าน อย่าอยู่กันอย่างมหานคร เราจะไม่มีปัญหาเรื่องนิเวศวิทยา เราผ่านระบบหมู่บ้านมาไกลแล้ว ใครจะกลับ ย้อนกลับไปหาระบบหมู่บ้านกันไหวล่ะ นี่ระบบนคร,ระบบมหานคร,บรมมหานครมันเข้ามานี่ ใครเคยคิดจะไปหาระบบหมู่บ้าน จะคิดไหวไหม จะกลับไปไหวไหม ลองคิดดู เราก็เผชิญกับปัญหามหาศาลเกี่ยวกับนิเวศวิทยา ไหนๆ เราก็ทิ้งระบบหมู่บ้านมาจนเป็นระบบมหานครแล้ว เราก็ต้องยินดีเผชิญหน้ากับปัญหาอันมหาศาลปัญหาอันใหญ่หลวงเกี่ยวกับนิเวศวิทยาระบบมหานคร แต่อาตมาเชื่อว่าถึงอย่างไรก็ตามเถิด มันทิ้งระบบของธรรมชาติไปไม่ได้ ขอให้หันไปหาระบบธรรมชาติคือความถูกต้องๆ พอดีๆ ถูกต้องต่อกฎอิทัปปัจจยตา เอาตัวอย่างเรื่องลิงกับเรื่องนกนั้นมาเป็นอุปมา แล้วก็แสวงหาความถูกต้องของระบบนิเวศวิทยาในระบบมหานครให้จนได้ มันก็คงจะมีทางเหมือนกันแหละ
ทีนี้มันก็มาถึงปัญหาใหญ่อีกอันหนึ่งคือเกี่ยวกับอำนาจ เราจะมีอำนาจอะไรมาบังคับให้ช่วยกันจัดระบบนิเวศวิทยานี้ให้มันถูกต้อง ยิ่งเราเป็นประชาธิปไตยแล้วเราจะอำนาจอะไรมาบังคับ มันจำเป็น มนุษย์ปุถุชนมนุษย์ธรรมดาสามัญมันมีกิเลสตัณหา ถ้าไม่มีอะไรบังคับมันก็ไม่เอาอีก ต้องบังคับแม้แต่ให้ช่วยตัวเอง บังคับให้ช่วยตัวเอง มันน่าเราะน่าสงสาร มันไม่ช่วยแม้แต่ตัวเอง นี่ปัญหามันอยู่ที่อำนาจ เราจะใช้อำนาจอะไรบังคับ เมื่อเรามีอำนาจทางอาชญา เราก็ใช้อำนาจทางทำความเข้าใจเกลี้ยกล่อมกันเหมือนที่ท่านทั้งหลายมาประชุมกันที่นี่ เราจะแสวงหาอำนาจความเข้าใจถูกต้องระหว่างกันและกัน แล้วเราอาจจะได้ใช้อำนาจนี้บังคับ จึงขออนุโมทนาด้วยที่พยายามแสวงหาความเข้าใจอันถูกต้องแล้วมาช่วยกันดำเนินกิจการอันนี้
ข้อนี้ทำให้ความคิดย้อนกลับไปหาประโยชน์อะไรบางอย่างของระบบราชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ระบบทุรราชย์นะ ระบบราชาธิปไตยที่ถูกต้องก็มีอำนาจบังคับ เช่น พระเจ้าอโศกเป็นตัวอย่าง บังคับใช้ บังคับเก็บค่าที่ แต่ละบ้านต้องปลูกต้นมะม่วง ต้องปลูกต้นพิกุล,พิกุลดอกหอม ต้องปลูกขนุน คือว่าปลูกทั้งไม้อาหารและไม้ที่ทำให้งดงาม แล้วก็ขอร้องเรื่องว่าไม่ทำลายสัตว์ พระเจ้าอโศกต่อรองว่า แม้ในวัง,ในราชวังนี้ วันหนึ่งฆ่านกยูงเพียงตัวเดียว ฆ่านกยูงเพียงตัวเดียวเท่านั้น เพื่อเห็นแก่สัตว์ ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายอย่าทำลายชีวิตสัตว์ นี่อะไรทำนองอย่างนี้ หลายๆ อย่างปรากฏอยู่ในจารึกพระเจ้าอโศก แต่ถึงอย่างไรก็ดี ก็ยังไม่พ้นที่จะพยายามหาความเข้าใจถูกต้อง ความไม่บังคับ คือการเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนมีจิตใจดี เชื่อกันว่าจารึกตามภูเขาเพื่อจะน้อมใจประชาชน อาตมาค้นคว้าดูเพื่อจะหามาทำภาพตัวอย่างหินสลักนี้ พบว่าเวสสันดรชาดกถูกนำมาจารึกมาสลักหน้าผานั้นมากที่สุด อาศัยเวสสันดรชาดกน้อมนำจิตใจของประชาชนให้เป็นไปในทางเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือเสียสละ นี่ระบบราชาธิปไตยแล้วก็ยังไม่พ้นที่จะต้องมีระบบใช้ความรัก ความทำความเข้าใจ ความสมัครใจ นี่อำนาจ,อำนาจจะต้องมีมาทั้งอำนาจอาชญาและอำนาจความรัก ความพอใจ ความสมัครใจ ปัญหาเรื่องอำนาจ ในวังนี่จะมีการฆ่านกยูงได้วันหนึ่งเพียงตัวเดียว เขาให้ทำลายชีวิตสัตว์น้อยที่สุด คนอื่นไม่ต้องฆ่า หรือไม่ต้องฆ่าสัตว์ ต่อรองว่าแม้ในวังอันมหาศาลนี้ก็ฆ่านกยูงได้ตัวเดียว
ทีนี้ใกล้ๆ เรา สั้นๆ รัชกาลที่ ๕ ยังเป็นระบบราชาธิปไตย เรื่องพระยารัษฎาเป็นจีน(พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี-คอซิมบี้ ณ ระนอง) ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นพระสมุหเทศาภิบาล ก็ยังใช้ระบบที่น่าดูอยู่คือบังคับนี้ พระยารัษฎาเป็นเรื่องที่ไม่ควรลืม จำๆ ไว้ พระยารัษฎาจะบังคับประชาชนว่า นี่,ไปดูแล้ว ที่ทางอย่างนี้ แกต้องปลูกอ้อยกี่กอ ปลูกมะละกอกี่ต้น เลี้ยงไก่กี่ตัว เลี้ยงหมูกี่ตัว บังคับชัดเลย ให้ทำ เดี๋ยววันหลังมาดู วันหลังมาดู อ้าว,ไม่ได้ทำ บางอย่างไม่ทำ ก็ตีหัวด้วยกล้อง กล้องยาว กล้องสูบยาแดง ตีหัว,ตีหัวแตกเลย นี่มันก็เรียบร้อยหมดเลย แล้วคนหนึ่งก็บอกว่า โอ้,นี่ผมจะขุดอย่างไร นี้มันปลวกนี่ มันศักดิ์สิทธิ์นี่ ผมจะขุดดินตรงนี้ได้อย่างไร เอ้า,ไม่ต้องๆ กูขึ้นไปเยี่ยว,กูขึ้นไปเยี่ยว เยี่ยวรดๆ จอมปลวก แล้วมึงขุดเดี๋ยวนี้ๆ นี่เอากับราชาธิปไตยสิ อำนาจบังคับอย่างนี้มันก็ยังมีประโยชน์อยู่นะ เพราะฉะนั้นเราก็อย่าลืมเสียทีเดียว แต่เอาล่ะ,เมื่อเราทำไม่ได้ในระบบประชาธิปไตย ก็ทำความเข้าใจมาทำความเข้าใจกันให้ดีในระหว่างมนุษย์เถิด มันก็คงจะแก้ปัญหานิเวศวิทยาได้ไม่น้อยเหมือนกันแหละ
ไหนๆ เล่าแล้ว ก็เล่าไปอีกเรื่องให้หมด มันเรื่องเผด็จการของพระยารัษฎา กำลังประชุมกันอยู่ ผู้ใหญ่บ้าน หรือข้าราชการ เขาเอาโทรเลขมาส่ง เจ้าหน้าที่เอาโทรเลขมาส่ง ฉีกแล้วอ่านที่นี่ ไม่รู้หนังสือไทยนี่ อ่านเอาหัวลง ถือโทรเลขอ่านเอาหัวลงแล้วก็อ่าน คนนั้นมันโง่ มันปากไว นั่นหัวลงครับ,หัวลงครับ กูอ่านได้ เอากล้องยาวฟาดหัวเลย หัวลงกูก็อ่านได้ นี่เรียกว่ามัน บางทีมันก็จะต้องมีอำนาจมีอะไรพอที่จะบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปได้ อย่าลืม,อย่าลืมเสียทีเดียว อย่าลืมเสียทีเดียว
เอาล่ะ,มาพูดกันเรื่องทำความเข้าใจระหว่างกันและกัน หาอำนาจมาปฏิวัตินิเวศวิทยาให้จนได้ เราจะเอาอำนาจอย่างนั้นมาจากไหนอีกต่อไปแล้วในโลกปัจจุบันนี้ แต่ก็น่าจะคำนวณดูบ้าง คำนวณดูก็แล้วกันว่า ถ้ามันมีอำนาจอันนี้มันจะง่ายสักเท่าไหร่ มันจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่ ฉะนั้นเราอย่าได้บ้าหลงประชาธิปไตยให้มันมากไปนัก ขอให้นึกถึงอำนาจที่ต้องมีใช้สำหรับปุถุชนคนโง่เขลากันบ้าง คนโง่เขลายังต้องใช้อำนาจอย่างนี้
ที่พุมเรียง,ตำบลพุมเรียง ไปจากนี้สิบกิโล ไปทางชายทะเล มีอนุสาวรีย์เหลืออยู่คือโบสถ์แบบมาตรฐาน แบบชั้นดีชั้นเลิศอย่างที่สร้างกันในกรุงเทพฯ แบบมาตรฐานและก็ใหญ่โตที่สุด ซึ่งธรรมดาต้องสร้างสามปี ที่พุมเรียง,เจ้าพระยาบุนนาคที่เป็นเหมือนกับผู้มีอำนาจทางภาคใต้นั้น เขาสร้าง ๓ เดือน ไปดูสิ น่าจะไปดู มันสร้าง ๓ เดือนสำหรับโบสถ์ที่เขาสร้างกัน ๓ ปี นี้ก็ประโยชน์ของอำนาจของเผด็จการของราชาธิปไตย ก็อย่าลืมเสียทีเดียว หาโอกาสใช้กันบ้างกับประชาชนชั้นที่โง่เขลา แต่เอาล่ะ,เราไม่เอาแล้ว หาทางออกไปตายดาบหน้า ไปหาความรักความเข้าใจซึ่งกันและกันมาแก้ไขปัญหานี้เอา เลิกห่วงเผด็จการไปหาประชาธิปไตยกันต่อไป
แต่ก็น่าแปลกที่ว่า เผด็จการหรือราชาธิปไตยนั้นสร้างโบสถ์หลังนั้นแหละ เขาไม่ได้มีการฆ่าใครแม้แต่สักคนเดียว เมื่ออาตมายังเด็กๆ ยังหนุ่มๆ ก่อนบวช ยังหนุ่มนั้น ยังทันเห็นคนสุดท้ายคนหนึ่งที่ถูกลงโทษชื่อตานุด ให้ดูที่หลังมีรอยแฉกๆ สองสามรอย อย่างมากก็เพียงเฆี่ยนหลังเท่านั้นแหละ แล้วก็ไม่กี่คนหรอก ไม่มีใครฆ่าใครให้ตายเลย แล้วก็ไม่กี่คนที่ถูกเฆี่ยนหลัง ก็นิรมิตโบสถ์หลังนั้นเสร็จ วัดนั้นถูกเปลี่ยนชื่อจากวัดเดิมมาเป็นวัดสมุหนิรมิต สมุหะ- พระคลัง+นิรมิต ก็น่าพิจารณาว่า แม้จะใช้ระบบเผด็จการก็ไม่ต้องฆ่าใครหรอก มันทำด้วยความศรัทธา ทุกคนมาร่วมศรัทธา เพราะมันสร้างโบสถ์นี่ ถึงแม้จะถูกเกณฑ์มามันก็ยังมีศรัทธาอยู่ส่วนหนึ่ง มันก็สร้างกันได้ เสร็จภายในสามเดือนแทนสามปี แม้ในจิตใจของเขาก็ยังมีระบบนิเวศวิทยาอยู่มาก คณะใหญ่ของเจ้าอาวาสนั้นสร้างล้อมเป็นวงอยู่ แต่ตรงกลางเป็นที่ว่าง ปลูกส้มเต็มไปหมด ทางคณะนั้นปลูกต้นส้มคล้ายกับสวนส้ม เรายังทันเห็น ทำจำลอง ไปเอาหินมาจากทะเลมาจำลองเป็นธรรมชาติ เป็นถ้ำตามธรรมชาติเพื่อให้นั่งวิปัสสนา ไปจำลอง ทำถ้ำนั่งวิปัสสนา เอาหินมามากมาย แล้วหินชนวนแผ่นใหญ่ยาวตั้งสามเมตรด้วย นั่นแหละเป็นแท่นนั่งวิปัสสนา รักนิเวศวิทยา
วัดนี้ได้รวบรวมมะม่วงทุกชนิดมาปลูกไว้ เป็นพิพิธภัณฑ์เลย และดอกจำปาทุกชนิด ซึ่งท่านคงจะไม่เคยเห็นคือดอกจำปาสีครั่ง ม่วงๆ สีม่วงสดเลย อาตมายังทันเห็นเป็นบุญตาว่าดอกจำปาก็มีสีม่วง มันไปเอามาทุกชนิดของดอกจำปา จำปีไม่ต้องพูด แล้วทำสระใหญ่ ไปเอาเต่ามาจากสงขลาโน่นมาปล่อยไว้ในสระนี้ อาตมาต้องไปเสมอ เป็นเด็กๆ ชอบไปดูเต่า คนที่กล้าหน่อยก็ลงไปขี่หลังก็ได้ จัดต้นไม้ ต้นกรรณิการ์นี้เต็มไปหมด บางทีจะเป็นต้นกรรณิการ์แรกที่นำมาสู่เมืองไชยา ดอกไม้เหล่านี้สารพัดอย่าง เพราะฉะนั้นในหัวใจผู้ที่นิยมเผด็จการนั้นมันก็ยังมีความรักธรรมชาติ มีนิเวศวิทยาอยู่มากเหมือนกัน อย่าแยกขาดกันเสียทีเดียว อย่ารังเกียจเลย สรุปแล้ว วัดนี้ก็เป็นสวรรค์ สวรรค์หรือวนอุทยานของเด็กๆ ไปตามมีตามเกิด เด็กๆ จะหนีไปเล่นที่วัดนั้น แทนไปวัดอื่น เป็นสวรรค์ของเด็กๆ วัดนี้
ฉะนั้นขอให้นึกถึงประโยชน์หรือว่าความจำเป็นของเผด็จการ จึงขอยกเว้นว่าภายในครอบครัวรั้วบ้านของเรา ถ้าเรายังจะใช้เผด็จการได้บ้างก็จะดี ในครอบครัวรั้วบ้านของเรานั้นขอให้ใช้เผด็จการตามส่วนเถิด สิ่งของวัตถุบุคคล ถ้าเผด็จการได้ให้มีความถูกต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้านเรือนของเรา ถ้าเราทำนอกบ้านไม่ได้ ก็ควรจะนำมาใช้บ้างในครอบครัวของเรา มันก็มีประโยชน์นะ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ ระบบการใช้อาชญานี้
เวลาที่เหลืออยู่น้อยนี้ก็จะขอพูดสักคำหนึ่งว่า เอาเรื่องอาชญาบังคับเผด็จการไปไว้เสียอีกฝ่ายเถิด มาพูดกันถึงเรื่องระบบเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเป็นมนุษย์นี้เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ช่วยกันสร้างโลกให้งดงาม มาพูดถึงในแง่นี้กันสักที ลูกจ้าง เสมียน พนักงาน คนงานของบริษัทโอเรียนเต็ล โฮเต็ล ของบีกริม เขามากันที่นี่เสมอ ขอให้บรรยายธรรมะ อาตมาก็ยกเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ว่า เรามายึดหลักว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้แก่นายจ้างของเรา เราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเป็นสหกรณ์กับนายจ้างของเรา สร้างโลกนี้ให้งดงาม เราไม่เป็นลูกจ้าง เราไม่ถือว่าค่าจ้าง เราถือว่าค่าใช้สอย นายจ้างเขาให้เราเป็นค่าใช้สอยสำหรับมาร่วมมือกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม ไม่ต้องพูดลูกจ้าง นายจ้าง ไม่มีๆ มีแต่เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่เราจะสร้างนิเวศวิทยาได้น่าดู เพราะเราทำกันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถ้าเรายังมีระบบนายจ้าง-ลูกจ้าง นายทุน-ชนกรรมาชีพ เราก็ต้องทะเลาะกันเรื่อยไป เราจะต้องทะเลาะกันเรื่อยไป เราจะมีเวลาไหนมาจัดระบบนิเวศวิทยา เลิก เลิก เลิก ไม่มีลูกจ้าง ไม่มีนายจ้าง ไม่มีนายทุน ไม่มีชนกรรมาชีพ มีแต่เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เป็นระบบสหกรณ์ใหญ่ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม เราจะคิดอย่างนี้ นายจ้างจะคิดอย่างไรก็ตามใจ ช่างหัวนายจ้าง ฉันไม่เป็นลูกจ้าง แต่ว่าฉันก็จะเป็นเพื่อนสร้างโลกนี้ให้งดงาม เงินที่ให้มาเป็นค่าใช้สอยไม่ใช่ค่าจ้าง เราลูกจ้างคิดอย่างนี้ นายจ้างจะคิดอย่างไรก็ช่างหัวนายจ้าง เราต้องบูชาระบบสหกรณ์ ดูสิ จักรวาล cosmic,cosmos ทั้งจักรวาลนี้มันอยู่กันอย่างสหกรณ์ ระหว่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ โลกจักรวาลทั้งหมดมันอยู่กันอย่างสหกรณ์ มันเนื่องกันและกัน มันสัมพันธ์กันและกัน มันจึงอยู่ได้
ทีนี้ในโลก,โลกเดียวนี้ มันต้องมีการอยู่กันอย่างสหกรณ์กับมนุษย์ กับสัตว์เดรัจฉาน กับต้นไม้ต้นไร่ กับแผ่นดิน มันอยู่กันอย่างประสานงานเป็นสหกรณ์ ร่างกายนี้ ทุกส่วนแห่งอวัยวะ มันทำงานกันอย่างสหกรณ์ มือ ตีน แขน ขา มันทำงานอย่างสหกรณ์ ชีวิตจึงรอดได้ ขอให้ระบบสหกรณ์กลับมาในฐานะเป็นระบบเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันเถิด เราจะมีเวลาสร้างสรรค์นิเวศวิทยาให้ดีที่สุด นกกับต้นไม้นี้สหกรณ์ อาตมานั่งดูแต่ละวันๆ นกกินหนอนไม่รู้กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน เพียงแต่ไม่มีนก ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้ ตายหมด ระบบสหกรณ์มันช่วยกันอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้นึกถึงใจความ,ความหมายของคำว่าสหกรณ์ เราต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ ไม่มีสหกรณ์เราก็ตายกันหมด
เมื่อเราแรกมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เราไม่มีไก่นะ ได้รับความลำบากที่สุด กลางคืนเราจะลงมาเดินไม่ได้เหมือนอย่างที่ท่านมาเดินนี้ มันมีปลวกชนิดหนึ่งซึ่งท่านจะไม่เคยเห็นจะไม่รู้จัก มันเป็นปลวกตัวใหญ่ ยาวสักเกือบเซนหนึ่ง แล้วก็ปากแข็ง นี่กัดแล้วเลือดไหลตุ้บๆ ได้แผลเลย นี่ปลวกอย่างนี้อยู่เต็มไปหมด ลงมาเดินกลางคืนไม่ได้ แล้วมันก็จะรีบลงรูหนีลงไปก่อนสว่าง ที่เหลืออยู่ก็มี พอมีไก่แล้ว ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเรื่องปลวก มันหายไปเอง นี่สหกรณ์ เราอยู่ด้วยไก่ มีไก่เป็นสหกรณ์ สามารถที่จะเดินได้โดยไม่ถูกปลวกกัด เดี๋ยวนี้ก็ยังมี ถ้าจอมปลวกอันไหนที่สูงสามสี่เมตร วงรอบหลายๆ เมตร นั่นคือปลวกชนิดนี้ ตรงนั้นก็มีอยู่อัน ตรงโน้นก็มีอยู่อัน แต่ไม่กล้าออกมา,ไม่กล้าออกมา จะออกมาแต่เวลาที่ไม่มีคน นี่สหกรณ์ของไก่
ไปข้าศึกดีกว่า ข้าศึก,ข้าศึกของสหกรณ์ ขอลัดไปยังข้าศึกของสหกรณ์ ความเห็นแก่ตัว-Selfishness Selfishnessนี้เป็นข้าศึกของสหกรณ์ สหกรณ์ในเมืองไทยล้มไปกี่สิบกี่ร้อยสหกรณ์แล้วก็ไม่รู้เพราะความเห็นแก่ตัวของสมาชิก ทั้งโลกก็เหมือนกันแหละ สหกรณ์จะล้มก็ต้องด้วยความเห็นแก่ตัว ขอให้มุ่งไปยังความเห็นแก่ตัวนี้ ข้าศึกของความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เห็นแก่ตัวเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันไม่ได้ ฉะนั้นเราแก้ปัญหานี้ไม่สำเร็จ เราจะมุ่งทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว แล้วเราก็จะมีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย,เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ขอเพียงความไม่เห็นแก่ตัว non-selfish,non-selfishness ไม่ถึงกับ senseless อันนั้นมันมากเกินไป senseless มันไปเป็นพระอรหันต์ มันมากเกินไป อย่าเพิ่งพูด เอาเพียง non-selfish นี้ เรารีบมี รีบสร้าง รีบทำกัน อย่าเห็นแก่ตัว แล้วจะมีสังคมเพื่อนเกิด แก่เจ็บตาย แล้วการแก้ปัญหานิเวศวิทยาจะง่ายนิดเดียว,ง่ายนิดเดียว ถ้าเรามีสมาคมเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย โลกกำลังเป็นโลกของความเห็นแก่ตัว หรือความเห็นแก่ตัวกำลังครอบครองโลก มันสร้างปัญหาทุกชนิด ไม่เฉพาะปัญหานิเวศวิทยาหรอก ปัญหาทุกชนิดแหละ เราต้องสร้างเพิ่มเรือนจำ เพิ่มตำรวจ เพิ่มศาล เพิ่มโรงพยาบาลบ้า เพิ่มจนไม่มีเงินจะสร้างอยู่แล้วนั่น ความเห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้ช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัว
ขออภัยนะ ต้องขออภัย ไม่ใช่พูดหยาบคาย เราจะต้องพูดว่า เรามี UNO United Nation Organization คือ UNO เราก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะที่ UNO มันเป็นที่ประชุมแห่งการทะเลาะกันของผู้เห็นแก่ตัว เป็นที่ประชุมเพื่อทะเลาะกันของผู้เห็นแก่ตัว UNO จึงแก้ปัญหาไม่ได้ เราจึงแก้ปัญหานิเวศวิทยาใดๆ ไม่ได้ ขอให้เราสร้าง URO ขึ้นมาแทน ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา มี United Religion Organization-URO เอามาแทน UNO เราจะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเราจะมีทั้งสองอย่าง เราต้องให้ URO ควบคุม UNO ฉะนั้นเรามีทั้งสองอย่าง ให้ URO ควบคุม UNO แต่ถ้าให้มีเพียงอย่างเดียวเราขอเลือกเอา URO รีบทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เพราะว่าทุกๆ ศาสนาไม่ยกเว้นศาสนาไหนสอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว ต้องการให้มนุษย์ไม่เห็นแก่ตัว เอาทุกศาสนามารวมกันก็จะเกิดศาสนาเดียวคือศาสนาไม่เห็นแก่ตัว มันก็จะมี URO เกิดขึ้นได้
เป็นที่น่าเสียใจเสียดายหรือน่าสงสารที่ว่า ยังมีศาสนาหรือว่าเจ้าหน้าที่ศาสนาบางศาสนาเป็นผู้เห็นแก่ตัวเสียเอง นี้น่าเศร้าที่สุด ศาสนาต้องกำจัดความเห็นแก่ตัวออกไป นี่ขอให้ตั้งความปรารถนากันใหม่ ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา กำจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดไปจากโลก แล้วปัญหาใดๆ แม้ปัญหานิเวศวิทยาจะไม่มีเหลือ จะไม่มีเหลือเป็นปัญหา เราจงหันหน้าไปคืนดี คืนดีกับพระเจ้า,พระเป็นเจ้าหรือธรรมชาติ ไปคืนดี คือว่าไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นขบถ เป็นข้าศึกต่อพระเจ้า ต่อธรรมชาติ เรามาเลิกละความเห็นแก่ตัว ไปคืนดีกับพระเจ้าหรือว่ากฎของธรรมชาติ หรือกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วปัญหาจะหมดสิ้น เพราะว่าโลกหมดความเห็นแก่ตัว
ในที่สุดนี้ขอแสดงความยินดีอนุโมทนา ในการที่ท่านทั้งหลายได้มาประชุมกันที่นี่ เพื่อจะสะสางปัญหาใหญ่ ปัญหานิเวศวิทยาของโลก ขอให้มองเห็นจุดของปัญหาต้นตอของปัญหาว่ามันมาจากความเห็นแก่ตัว เรามาปรึกษาหารือกันให้ดีที่สุดที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว เราจะมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะเกิดความรักซึ่งกันและกัน เราจะมีเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เราจะมีระบบการเมืองใหม่เรียกว่า ธัมมิกโซเชียลลิซึ่ม (Dharmmic Socialism) แล้วปัญหาก็หมด ปัญหาก็หมด
ขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ในการที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ฟังที่ดีตลอดเวลากว่าสองชั่วโมง ขออภัยที่ทำให้ท่านทนลำบากกว่าสองชั่วโมง แต่ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกของเรา ขอให้เราแก้ปัญหาอันนี้ให้สำเร็จ อย่ามีปัญหาใดๆ เหลืออยู่เลย ขอขอบพระคุณเป็นผู้ฟังที่ดี ขอโทษที่ทำให้ต้องทนฟังตั้งกว่าสองชั่วโมง ขอยุติการบรรยาย ขอแถมพกอีกอย่างหนึ่งว่า ต่อไปนี้ถ้าท่านจะมีการประชุมกันแล้ว ก็ขอให้ใช้เวลาหัวรุ่งไว้ เพราะเวลานั้นน้ำชาไม่ล้นถ้วย พูดกันรู้เรื่อง