แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือ แสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปใช้ประกอบในหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียนหรือการงานอะไรก็ตามเถอะ เมื่อมีธรรมะเข้าไปมีส่วนกำกับแล้วมันก็เป็นไปด้วยดี การศึกษาก็ดี การทำการงานก็ดี การดำเนินชีวิตในประจำวันก็ดี การสังคมอะไรก็ดี เมื่อมีธรรมะเข้าไปมีส่วนแล้วมันก็เป็นผลดี เพราะมันพูดได้อย่างกำปั้นทุบดินว่า ธรรมะนี่มันคือความถูต้องตามที่ควรจะเป็น คำว่าถูกต้องในภาษาธรรมะนั้น ง่ายๆ คือมันมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ไม่เป็นอันตรายแก่ฝ่ายใด ถ้าไปพูดกันทางฟิลอซอฟี่ลอจิกอะไรทำนองนั้นแล้ว มันไม่รู้ว่าถูกต้องกันตรงไหน มันมีเหตุผลเบ็ดเตล็ดที่เถียงกันได้เรื่อย มันเป็นยุติไม่ค่อยจะได้ว่าความถูกต้องนี้มันคืออะไร ถูกต้องโดยเหตุผล ถูกต้องทางนั้นทางนี้ทางโน้น มันยุ่งไปหมด เราไม่เอาล่ะไอ้เรื่องอย่างนั้น เรื่องมันยุ่ง เอาแต่ว่าถ้ามันถูกต้องแล้วมันไม่เป็นโทษแก่ใคร มันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย นี่ความถูกต้องตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา นั้นความถูกต้องจึงใช้ได้อย่างปลอดภัย อย่างไม่ต้องมีปัญหา เรามาพูดกันในเวลาอย่างนี้ซึ่งโดยมากเขานิยมนอนสบายอยู่ นี่ก็น่าจะวินิจฉัยว่ามันถูกต้องหรือไม่ เวลาหัวรุ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการศึกษา เพราะว่ามันเป็นเวลาที่พร้อมที่จะตื่นโดยธรรมชาติน่ะ ธรรมชาติมันพร้อมที่จะตื่น ดอกไม้ตามธรรมชาติโดยทั่วๆไปก็พร้อมที่จะบานเนี่ย พระศาสดาตรัสรู้เวลาหัวรุ่งอย่างนี้ นี่ขอให้เราใช้ให้มันเป็นประโยชน์ มองดูให้ดีว่ามันเป็นโลกอีกโลกหนึ่งน่ะ มันต่างกัน ถ้านอนหลับเสียก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร ไม่ได้ชิมว่าโลกนั้นมันเป็นอย่างไร มันพยายามที่จะตื่นออกมาสัมผัสหรือชิมไอ้โลกในเวลาอย่างนี้น่ะ มันก็ได้ความรู้ที่แท้ออกไปว่ามันมีว่ามันมี ถ้าได้ความรู้เพิ่มขึ้นก็ยิ่งดี เนี่ยขอให้ใช้เวลาอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์ เพราะมันผิดกับเวลาอย่างอื่นที่ตื่นกันตามธรรมดา แต่ถ้าคนเห็นแก่นอนมันก็ โอ้ ไม่ไหว ไม่ยอมสละ แสวงหาความสุขจากการนอน มันก็จริงของเค้าเหมือนกันแหละ มันเป็นเวลาที่นอนสบายถึงที่สุด แต่เราเอามาใช้เป็นเวลาสำหรับศึกษาเสีย ก็ต้องได้รับประโยชน์ต่างกันในระหว่างคน 2 พวกนี้ คือ พวกที่จะใช้เวลาอย่างนี้เป็นเวลานอนให้สบายที่สุด กับอีกพวกหนึ่งจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ในทางการศึกษาให้มันมากที่สุด เพราะมันเป็นเวลาที่เหมาะสม จิตใจของเรายังเกลี้ยง เพราะมันนอนนอนมาๆๆนานพอ มันยังไม่มีอะไรบรรจุเข้าไปให้รบกวน เราพูดกันด้วยสำนวนว่า มันชา มันยังไม่ล้นถ้วย มันยังจะเติมลงไปได้อีกเนี่ย แต่ (6.14) ความพยายามใช้โอกาสนี้ให้สำเร็จประโยชน์ยังกับอุปมาอันนี้
แล้วทีนี้ก็มาถึงหัวข้อที่จะบรรยาย ท่านได้ขอร้อง เอ่อ ระบุมาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับความเป็นนิคส์ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องการเมือง แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมะนั่นแหละ มันไม่มีอะไรสักเรื่องเดียวแหละที่ไม่ใช่ธรรมะ เพราะธรรมะมันหมายถึงทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร เรียน (7.03) การเมือง การเศรษฐกิจ การสงคราม การอะไรมันก็เลยเป็นธรรมะอย่างหนึ่งอย่างหนึ่งไป เรามาทำความเข้าใจกันว่ามันเป็นเรื่องธรรมะ เราก็จะพูดกันอย่างเรื่องธรรมะ ไม่ได้พูดกันอย่างเรื่องการเมือง การเศรษฐกิจ ซึ่งอาตมาไม่ๆค่อยจะสนใจ หรือไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก แต่ว่าถ้าจะให้พูดโดยเกี่ยวข้องกับธรรมะแล้ว ก็พอจะพูดได้บ้าง หัวข้อที่กำท่านกำหนดให้ว่า เราจะอยู่กันอย่างไรเมื่อสังคมหรือประเทศชาติเป็นนิคส์ โดยเฉพาะพุทธบริษัทจะอยู่กันอย่างไรเมื่อสังคมมันเป็นนิคส์ นั่นแหละคือหัวข้อ เราจะลองแยกแยะติดตามไปดู เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่จะต้องถึงเข้าโดยแน่นอนโดยแน่นอน สังคมอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โดยธรรมชาติมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์มันเจริญ หรือวิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อยทางสติปัญญา ทิ้งสัตว์เดรัจฉานไปไกลลิบลับอย่างมองไม่เห็น
เมื่อมีวิวัฒนาการเรื่อยไป มันก็ต้องพบไอ้สิ่งแปลก หรือสิ่งใหม่ หรือทำให้มันเกิดขึ้นมา นี่เราจึงมีระบบอะไรที่ไม่เคยมี แล้วก็มีขึ้นมาตามความเจริญหรือความเปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์ตามธรรมชาติ จึงไม่ควรเห็นว่าเป็นของแปลก มันแปลกเพราะยังไม่เคยเห็นน่ะ นี่เป็นเรื่องจริงที่ว่าท่านทั้งหลายจะเห็นเป็นของแปลกออกไป ไม่เคยเห็น แต่ขอบอกว่า พระอรหันต์ไม่มีของแปลก ทั้งที่ไม่เคยเห็น ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็ยังต้องแปลกไปก่อนซิ คนธรรมดายิ่งโง่เท่าไรจะยิ่งเห็นมีของแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น อะไรนิดหนึ่งก็ประหลาด อะไรนิดหนึ่งก็สะดุ้ง อะไรนิดหนึ่งก็ตาเหลือก แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว แม้สิ่งนั้นยังไม่เคยมีเลย โผล่ออกมาอย่างที่เรียกกันว่าแปลกประหลาด ท่านก็ไม่แปลกประหลาด ไม่มีอะไรแปลกสำหรับพระอรหันต์ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาอย่างนั้น ดังนั้น ปัญหาของพระอรหันต์จึงไม่มี เนี่ย พระอรหันต์เป็นผู้อยู่เหนือปัญหาทุกชนิดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร ทีนี้ก็ได้กล่าวแล้วว่าระบบต่างๆที่มันแปลกๆขึ้นมานี่ มันต้องมีโดยธรรมชาติ เพราะว่ามนุษย์มันมีวิวัฒนาการเรื่อยไป มันยิ่งขืนวิวัฒนาการไปเท่าไร ไอ้ของแปลกมันก็ยิ่งมีมากก็ๆขึ้นมาเท่านั้น ลองนึกเทียบเคียงสมัยคนป่า ผ้าก็ไม่นุ่งเอ้า แต่พอเกิดนุ่งผ้าขึ้นมา ผ้ามันก็เป็นของแปลก ทำอะไรไปตามประสาคนป่า มันก็มีการก้าวหน้า ก็เป็นของแปลกขึ้นมาทีละนิดทีละนิดตามประสาคนป่า แต่อย่าลืมว่าคนป่านั้นก็บรรพบุรุษของคนปัจจุบัน เค้าก็ค่อยๆมีอะไรเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น อย่างว่าไม่เคยรู้จักทำนาทำไร่ มันก็ต้องทำ แต่ก่อนนี้คนป่าก็เก็บของที่มีอยู่ตามป่ากินนี่ ข้อความในพระบาลีเค้ามีว่าอย่างนี้ มนุษย์เก็บของที่มีอยู่ในป่ากิน พอแล้วแต่ว่ามันจะกินอะไร จะกินไอ้เมล็ดสาร (12.02) ของไอ้ข้าวต่างๆ หรือกินผลไม้ กินเห็ดกินอะไรตามธรรมชาติมันก็มี แต่พอมันมากเข้ามากเข้า มันก็ไม่ค่อยพอ พอมีคนมีความคิดดี เก็บมากักตุนเสีย ไม่ไปเอามากินเป็นประจำวันแล้ว เอามากักตุนเสีย มันก็เกิดเรื่อง มันก็ยุ่งยาก กักตุนกันมากเข้ามากเข้า มันก็ยิ่งไม่มีในป่า ก็เลยต้องทำไร่ ต้องทำนา ต้องเลี้ยงสัตว์ ต้องทำทุกอย่างเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ล้วนแต่ไม่เคยทำ มันก็เป็นของแปลกสำหรับคนเหล่านั้น
เดี๋ยวนี้ที่พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า ให้ท่านทั้งหลายหยุดยั้ง ระงับ ไอ้ความตื่นเต้นหรือความประหลาดใจน่ะ เอาไว้ทีก่อน ตามรอยพระอรหันต์ มันไม่มีอะไรเป็นของแปลก ไอ้แปลกเพราะว่าเหตุปัจจัยมันบังคับให้เกิดขึ้นใหม่เกิดขึ้นใหม่เกิดขึ้นใหม่นี่ ไม่เป็นของแปลก เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง มันมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จนกระทั่งว่าการค้าขายเกิดขึ้น การแลกเปลี่ยนเปลี่ยนทางการค้าขาย การค้าขาย เอ้อ หรือ เอ้อ การประกอบผลิตผลต่างๆมันก็อาจต้องมีมากขึ้นมีมากขึ้นนี่ มันก็นำมาซึ่งระบบเรียกว่าอุตสาหกรรม คือ การผลิตด้วยการทุ่นแรงและคนมาก แล้วก็ได้รับประโยชน์เป็นการกอบโกยเหลือประมาณ ก็เรียกว่ามันมีมาเรื่อยๆแหละ สิ่งที่เรียกว่าอุตสาหกรรมน่ะ มันมีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่น้อยๆแล้วก็มากขึ้นมากขึ้น อุตสาหกรรมในครอบครัว ก็ของหมู่บ้าน ของประเทศชาติ มันจะรบกันทางเศรษฐกิจ จะชนะจะครองโลก ก็ใช้ (14.35) ระบบอุตสาหกรรมกันทั้งนั้น คือ แรงงานของเครื่องจักร มันจะนำมาซึ่งผลอันมากมาย วัตถุดิบป้อนเข้าไปทางปาก แล้วถ่ายออกมาเป็นผลิตผลอย่างนั้นอย่างนี้มหาศาล ในที่สุดมันก็เฟ้อมันก็เฟ้อไปเรื่อยเฟ้อ แต่มนุษย์ก็ใช้การเฟ้อนั่นแหละ เป็นเครื่องมือหาความร่ำรวยต่อไป พวกที่ร่ำรวยปัจจุบันนี้ก็ใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำหรับการกอบโกยดูดีๆ แปลกใหม่ก็น่ากลัว แต่เห็นเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดานี้มันก็อย่างก็อย่างหนึ่ง เพราะคนมันก็ต้องดีกว่าสัตว์ ที่มันฉลาดในทางกระตุ้นหรือกอบโกยกอบโกยกอบโกยมากขึ้น นั้นดูก็ไม่น่ากลัว หรือไม่น่าแปลกประหลาดอะไร แต่ถ้าเรามองกันตื้นๆมันก็หวั่นไหว มันก็วิตกกังวลต่างๆนานา เดี๋ยวนี้อุตสาหกรรมมันก็ได้เกิดขึ้นแล้วในโลก อุตสาหกรรมใหญ่หลวงมหาศาล อุตสาหกรรมกลางๆ อุตสาหกรรมเล็กๆ กระทั่งอุตสาหกรรมในครัวเรือนในบ้านเรือน การใช้วิธีลัดผลิตมากๆให้ต้นทุนมันน้อย แล้วก็ขายได้กำไรมาก มันก็เกิดขึ้นทุกๆระบบงาน ไม่ว่าเรื่องอะไรที่มนุษย์จะต้องมี จะต้องกิน จะต้องใช้ เค้าก็จับใส่เข้าไปในระบบอุตสาหกรรมหมด ก็เป็นมาอย่างนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่หลีกไม่พ้น เป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ตามกิเลสตัณหาซึ่งเป็นไปตามกฎทีทับปัตจญัตตานี่ (16.58) นี่จำไว้ คำแม้มันจะแปลกไปหน่อย มันก็ประหยัดมากน่ะ
ทีทับปัตจญัตตา (17.04) แปลว่ามันเป็นไปตามปัจจัย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มันช่วยไม่ได้ในการที่จะไม่ให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทีนี้กิเลสตัณหามันเข้ามาเป็นเจ้ากี้เจ้าการ มันก็ผลิตขึ้นมาเรื่อย วิวัฒนาการไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา นั้นวิญญาณของอุตสาหกรรม มันก็คือวิญญาณแห่งความเห็นแก่ตัว พูดอย่างนี้ก็คล้ายกับด่านักอุตสาหกรรม ด่าไม่ด่าไม่รู้น่ะ แต่เราพูดกันตรงๆว่าระบบอุตสาหกรรมมันเกิดขึ้นมาจากการเห็นแก่ตัวเกินกว่าธรรมดา มีความคิดวางแผนการอะไรต่างๆนานา เพื่อจะผลิตให้มาก ผลิตให้ชนะ กอบโกยให้มาก มีอำนาจในทางการเงินการซื้อนี่ให้มาก แล้วมันก็ชนะน่ะ วิญญาณอุตสาหกรรมก็คือวิญญาณแห่งความเห็นแก่ตัว หากแต่ว่าควบคุมไว้ได้หน่อย คือ ไม่ปล่อยอย่างอันธพาลตามกลาง (18.24) ถนน แต่ก็มีความเป็นอันธพาลอยู่อย่างลึกซึ้งอย่างลีกซึ้ง อย่างมองเห็นยาก อย่างซ่อนเร้น ซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกยากจนพวกยากจน ระบุตรงๆก็ว่าของพวกยากจนแบบคอมมิวนิสต์นี่ มันก็มุ่งหมายจะเอาชนะพวกนายทุนที่มีอุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือ แล้วก็ยืดเยื้อเรื้อรังกันมาเท่าไรก็ลองคิดดูเอง ก็ลองคิดดูเอง มันจะไม่มีที่สิ้นสุดน่ะ สงครามระหว่างคนยากจนกับคนมั่งมีนี่ ดูไม่มีทางจะสิ้นสุด ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งเลวร้ายผิดหลักพระศาสนา แต่ก็มีคนใช้มันอย่างยิ่ง ใช้อย่างเลวก็ใช้อย่างที่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน เห็นแก่ตัวแล้วเบียดเบียน เห็นแก่ตัวแล้วเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวแล้วอิจฉาริษยา กระทั่งเป็นบ้า กระทั่งฆ่าตัวเองตาย อีกทางหนึ่งก็มีการใช้อยู่อย่างเร้นลับ อย่างเร้นลับ อย่างที่เป็นเครื่องมือลึกลับ สำหรับแสวงหาในลักษณะที่เรียกว่าเป็นการกอบโกย มันออกมาจากความเห็นแก่ตัวของกู ฉลาดสามารถหรือมีทุนทรัพย์ มันก็สูบเลือดคนโง่ผู้เห็นแก่ตัวอีกเหมือนกัน คนโง่อยากจะกินดีเกินจำเป็น อยากจะนุ่งห่มเกินจำเป็น อยากจะอยู่เกินจำเป็น มีอะไรอะไรมันเกินจำเป็นเกินจำเป็น นั้นมันก็เห็นแก่ความโง่นั้นแหละ เรียกว่ามันเห็นแก่ตัวเหมือนกัน เจ้าของชะตากรรม (20.51)เห็นแก่ตัว ผลิตผลออกมาก็เพื่อสูบเลือดคนเห็นแก่ตัวที่โง่ๆ มันก็หลงตัวด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย มันก็สร้างสังคมที่เห็นแก่ตัว ทั้งโลกทั้งโลกมันก็เห็นแก่ตัว มหาเศรษฐีก็เห็นแก่ตัว คนขอทานก็เห็นแก่ตัว คนระหว่างนั้นก็เห็นแก่ตัว แล้วอะไรมันจะเหลือล่ะ คุณลองคิดดูสิว่าความเห็นแก่ตัวมันกำลังครอบงำโลกอย่างไร ถูกแล้วนี่ปัญหาล่ะนี่ปัญหาปัญหาที่น่าเกลียดและน่ากลัว กลายเป็นปัญหาทางธรรมะน่ะ ที่ว่าจะกำจัดความเห็นแก่ตัวออกไปได้อย่างไร
ทีนี้มาดูกันต่อไปถึงข้อที่ว่าจะต้อนรับสถานการณ์หรือเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้กันอย่างไรนี้กันอย่างไร ตอบอย่างกำปั้นทุบดินนะ ก็ตอบว่าในสิ่งตรงกันข้ามนั้นน่ะ จะแก้ปัญหาใดมันก็ต้องมีสิ่งตรงกันข้ามกับปัญหานั้น เป็นเครื่องมือสำหรับจะต่อสู้ สิ่งที่ตรงกันข้ามมันก็คือความไม่เห็นแก่ตัว ขอให้เราตั้งใจต่อสู้ความเห็นแก่ตัวด้วยความไม่เห็นแก่ตัว อย่าเพิ่งกลัว อย่าเพิ่งตกใจ อย่าเพิ่งคิดว่าจะเสียเปรียบเสียเปรียบที่ไม่มีที่อยู่ คนเห็นแก่ตัวมันฉลาดๆเท่าไร ไอ้คนที่ไม่เห็นแก่ตัวก็จะฉลาดๆให้มันทันกัน นั่นน่ะมันจะสามารถต่อสู้ต่อสู้ นี่เราเล่าเรียนศึกษาให้มีความฉลาดในการที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ คือจะมีความไม่เห็นแก่ตัวที่ฉลาด เรียกว่าเอาเปรียบกันไม่ได้นะ จะสามารถอยู่ได้ ต่อสู้ได้ เอากันง่ายๆเอากันง่ายๆเฉพาะปัญหาเบื้องต้นก่อนนะ ปัญหาเบื้องต้นแก้แก้ไขต่อสู้ด้วยธรรมะเบื้องต้นเรียกว่าขั้นต้นๆกันเลย เราไม่เห็นแก่ตัว ก็คือไม่เห็นแก่กิเลส เพราะคำพูดอย่างนี้คำว่าตัวมันหมายถึงกิเลสน่ะ เห็นแก่ตัวคือเห็นแก่กิเลส เราก็จะไม่เห็นแก่กิเลส มันธรรมะติดเป็นเครื่องกำจัดกิเลส ก็ต้องนำมาใช้ต้องนำมาใช้ เช่น สิ่งที่เรียกว่าสันโดษสันโดษ เราก็ไม่ปล่อยให้มันเกิน ไม่ให้มันมีอะไรเกิน ไม่กินเกิน ไม่ใช้เกิน ไม่เป็นอยู่เกิน ไม่ทำอะไรอะไรที่มันเป็นของเกินจากความจำเป็น เอาแต่ให้พอดีถูกต้อง พอดีถูกต้องพอดี อย่างนี้เรียกว่าสันโดษ
คำว่าสันโดษนั้นไม่ๆได้หมายความว่าไม่ทำอะไรไม่ทำอะไร นอนๆไม่ทำอะไร นั่นๆมันสันโดษบ้า สันโดษของคนบ้า สันโดษของผู้มีปัญญาก็ทำให้มันถูกต้องพอดี แล้วก็ไม่ต้องมีการเกินให้มันลำบาก ปัจจัยทั้ง 4 คือ อาหารก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยก็ดี หยูกยาบำบัดโรคก็ดี ให้มันเป็นไปในทางถูกต้อง คือ ไม่เกิน เดี๋ยวนี้มันมีกินเกินนี่ มันมีแต่งตัวเกินนี่ เครื่องใช้ไม้สอยบ้านเรือนเกิน หยูกยามันก็เกิน แทนที่จะมีหยูกยาในการบำบัดโรค มันกลายเป็นมีหยูกยาในการเสริมสวยโน่น มันเป็นเสียอย่างนั้น จะเรียกว่าเกินกันกี่มากน้อยก็ลองคิดดูเอง นี้ด้วยความสันโดษยินดีเท่าที่มันเหมาะสมหรือสมควร เราไม่ใช้คำว่ากินดีอยู่ดี แต่เราจะใช้คำว่ากินอยู่แต่พอดี ฟังแล้วมันคล้ายกันมาก มันปนกันได้ มันปนกันได้ กินดีอยู่ดี กินดีอยู่ดี มันไม่มีขอบเขต แต่ถ้ากินอยู่แต่พอดี นี่มันมีขอบเขตขนาบ (26.22) มันปลอดภัย กินอยู่แต่พอดีนั้นสันโดษ ทีนี้เราก็ระวังไอ้คำว่าไอ้กิเลสฝ่ายจิตอย่างหนึ่งที่เรียกในทางศาสนาว่า กามะสุขันลิตานุโยค (26.43) ประกอบตนพัวพันอยู่ในกาม กามคือความใคร่ไปตามอำนาจของกิเลส หลงใหลมัวเมาไปตามอำนาจของกาม เรียกว่า กามะสุขันลิตานุโยค (27.01) เราไม่เอา เราไม่เอา คือเราไม่มีกามะสุขันลิตานุโยค (27.06)
(27.06-27.32 เป็นช่วงการปรับแต่งเครื่องเสียง)
หลักธรรมะสำคัญมี 2 สองหัวข้อ คือ ความเฟ้อหรือความสุดโต่ง เกินไปในทางบวก บ้าสวย บ้างาม บ้าเอร็ดอร่อยสนุกสนาน นี่มันเกินไปในทางบวก เรียกว่า กามะสุขันลิตานุโยค (27.50) ฝ่ายหนึ่งมันเกินไปในทางลบ คือมันฝืดเคืองขาดแคลน หรือกับถึงกับแกล้งจน แกล้งทรมาน แกล้งกำจัดมัน จะโดยไม่มีเหตุผลก็มีก็มีอีกส่วนหนึ่งนี่ เรียกว่า เกินไปในทางฝ่ายลบ เราจะไม่มีการทำผิดที่สุดโต่งไปในทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบ แต่ว่าสุดโต่งในฝ่ายลบไม่ค่อยมีไม่ค่อยมีปัญหากับการต่อสู้เรื่องอุตสาหกรรม เราจะไม่เกินในฝ่ายบวกนี่ คือ จะไม่ตามใจกิเลสนี่ เราจะอาจสามารถต่อสู้กับปัญหาทางอุตสาหกรรม ทีนี้ทางหนึ่งเราก็มีลัทธิธรรมะขั้นพื้นฐานหรือรากฐาน ซึ่งเป็นหลักของพระศาสนาเกือบจะทุกศาสนาก็ว่าได้ หรือว่าทุกศาสนาก็ว่าได้ถ้าว่ายอมให้ทั้งโดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง เรื่องลัทธิ (29.13) ที่ว่าเราอยู่ร่วมกันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเป็นเพื่อนมนุษย์ของกันและกันนั้น หมายความว่าเราเป็นเพื่อนกันในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราช่วยกันแก้ปัญหานี้ เรามีความกรุณาเมตตาสงสารแก่กันและกัน เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย แล้วมันก็จะไม่หลงใหลในเรื่องเฟ้อของอุตสาหกรรม แล้วผู้เจ้าของอุตสาหกรรมก็จะไม่ละโมบโลภลาภจนเกินไป จนเรียกว่าสูบเลือดกันเลย ถ้าอยู่กันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย
นี่ในที่สุดท้ายก็สรุปความว่า เราเห็นเป็นของธรรมดาแห่งยุค ฟังดู ธรรมดาแห่งยุค ยุคแต่ละยุคแต่ละยุคมันก็มีอะไรที่เป็นของธรรมดา พอดีกับยุค เหมาะสมกับยุค ยุคนี้อุตสาหกรรมนั่นแหละ มันเจอะ (30.40) ประหลาดหรือว่าวิเศษวิโสอะไรก็จัดเป็นของธรรมดาแห่งยุค ธรรมดาแห่งยุค เพราะว่ายุคนี้มันจำเป็นที่จะต้องเกิด สติปัญญาของมนุษย์มันมาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ต้องเกิด มันก็ต้องเกิด มันก็ควบคุมไม่ได้ มันก็เห็นแก่ตัว กิเลสก็เข้าครอบครอง มันจึงทำไปทั้งที่ว่ามันเป็นการทำลายสันติภาพ อุตสาหกรรมที่เป็นกระทำกระทำกันอยู่นี่ มันๆไม่ได้ทำเพื่อส่งเสริมสันติภาพ มันทำเพื่อการกอบโกย แล้วมันก็เป็นการทำลาย ทำลายสันติภาพ นับตั้งแต่มันทำลายทรัพยากรของธรรมชาติ มันไม่มันไม่มันไม่ให้เป็น มันไม่ได้รักไอ้ทรัพยากรของธรรมชาติ อย่างว่าเราเป็นเจ้าของนี่ มันเห็นว่าเราจะต้องเอามาใช้เป็นประโยชน์แก่เราให้ได้เปรียบคนอื่น ก่อนคนอื่นนี่ การทำลายธรรมชาติมันจึงมีมากขึ้น เกินส่วนที่จำเป็นจนเรียกว่าเป็นการทำลายธรรมชาติเสียมากกว่า นั้นป่าไม้ก็ดี แร่ธาตุก็ดี อะไรก็ดี ในธรรมชาติ ของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ มันถูกทำลาย มันถูกเก็บหามาสร้างความร่ำรวย นี่มันก็เป็นธรรมดาแห่งยุค ลองเทียบดูกับคนป่า คนป่าจึงจะเก็บอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติกินไปวันๆ นี่เดี๋ยวนี้เรามันไม่อย่างนั้น มันทำลายไอ้วัตถุตามธรรมชาติลึกซึ้ง เอามากินกันอย่างกับแข่งกับพวกเทวดา ทำบ้านเรือนเป็นอยู่สะดวกสบาย แข่งกับพวกเทวดา เราพูดกันว่าบ้านเรือนบางๆบ้านราคามันสิบๆล้านน่ะ สิบๆล้าน ชั้นเลิศมันก็เป็นร้อยล้านพันล้านบ้านเรือนเค้าจะอยู่กัน มีคำ พูดที่อาตมาฟังแล้วไม่อยากให้เชื่อว่าห้องส้วมของคฤหาสน์บางแห่งราคา 3 ล้านนะ เฉพาะสิ่งที่ต้องใช้ในห้องส้วม เกี่ยวกับห้องส้วมราคา 3 ล้าน ไม่อยากจะเชื่อ แต่เค้าก็ยืนยันยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คิดดูเถอะว่ามันจะอะไรบ้านหลังมันจะสักเท่าไร มันจะแข่งกับเทวดา จนเทวดายอมแพ้มัน ในเมืองสวรรค์มันไม่ได้สร้างส้วมราคาล้านๆ นี่ๆเรียกว่ามนุษย์เค้ามันเก่งถึงขนาดนี้ แล้วต่อไปข้างหน้ามันจะมากกว่านั้น บ้าน เอ้อ ส้วมมันจะราคาร้อยล้านมั๊ย นี่เรียกว่าธรรมดาแห่งยุค ธรรมดาแห่งยุค ต้อนรับมันให้ถูกต้อง เรียกว่า ฟันต่อฟันตาต่อตา เอาเกลือจิ้มเกลือ มันมาเท่าไรก็ให้สวนกลับไปเท่านั้น ความเกินความไม่พอดีมีเท่าไร ก็สวนกลับไปเท่านั้น ไม่มีเหลือ ต้อนรับมันด้วย เอ้อ ไม่เอา เอ้อ ไม่ๆๆยอมใช้ส่วนเกิน ไม่เป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ไม่เห็นแก่ตัว เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้ไม่หลงใหลในกาม ที่เรียกว่ากามะสุขันลิตานุโยค (35.13) นึกว่ามา (35.17) ใคร่ครวญว่าเรามันเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก หัวอกเดียวกันทั้งโลกล่ะ มนุษย์นี่มันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย บีบบังคับอยู่ทุกคน ถ้าเห็นความจริงข้อนี้ก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็ทำลายกันไม่ลง
เอ้า ทีนี้ก็จะขอย้อนไปพูดถึงไอ้คำว่า ทีฆับปัจจะญัตตา ทีฆับปัจจะญัตตา (35.48) อีกทีหนึ่ง แม้จะเป็นคำที่ฟังยาก ก็ขอให้พยายามทำความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย แล้วจะต้องเป็นไปตามเหตูตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ นี่เป็นไอ้แอ (36.19) ตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติ สิ่งที่มันเป็นปรากฏการณ์ มีปรากฏการณ์ปรากฏให้เห็น และเกี่ยวข้องกันอยู่กับมนุษย์ นี่ก็เรียกว่าเป็นของธรรมดา มีเหตุมีปัจจัยโดยเฉพาะที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา ในลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้โดยเฉพาะ แล้วมันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ เมื่อเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยขั้นต้น มีผลขึ้นมาอย่างไรแล้ว มันก็กลายเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดสิ่งที่ยากลำบาก ยุ่งยากลึกลับกว่าแต่ก่อนยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป มันมีเหตุปัจจัยที่ซ้อนเหตุปัจจัย ความเป็นไปตามทีฆับปัจจะญัตตา (37.26) มันจึงละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ นับไม่ไหว ก็เรียกว่าทีฆับปัจจะญัตตา (37.35) ทั้งนั้น ในเรื่องทางวัตถุทางวัตถุมันก็มีหรือเป็นทีฆับปัจจะญัตตา (37.44) ในเรื่องเนื้อหนังร่างกายของเรานี่ ก็มีหรือเป็นทีฆับปัจจะญัตตา (37.50) ในเรื่องจิตใจจิตใจของเรา สติปัญญาของเรามันก็เป็นทีฆับปัจจะญัตตา (38.03) มันเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำนั้นๆ เช่น คุณเป็นนักเรียน คุณศึกษาแล้วคุณก็ได้ความรู้มา ความสามารถมา นี่ก็เป็นทีฆับปัจจะญัตตา (38.16) ในส่วนจิตใจก็เป็นความรู้หรือสติปัญญา มันไม่มีอะไรที่ไม่เป็นทีฆับปัจจะญัตตา (38.26) ไม่ๆเป็นไปตามกฎทีฆับปัจจะญัตตา (38.29) ยกเว้นสิ่งซึ่งตรงกันข้ามเพียงสิ่งเดียว คือ สิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง จึงเรียกว่านิพพาน หรือสิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งใดๆก็ตาม นั้นน่ะจะไม่มีทีฆับปัจจะญัตตา (38.52) นั้นเรารู้จักไอ้สิ่งๆนี้ไว้ให้ดี มันจะสามารถป้องกันเหตุร้ายได้ทุกอย่างน่ะ ทุกระดับน่ะ ในทางวัตถุมันก็มีพวกแร่ธาตุที่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันก็เป็นของที่เป็นไปตามทีฆับปัจจะญัตตา (39.28) กรวด หิน ดิน ทราย ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรนี่ เป็นไปตามทีฆับปัจจะญัตตา (39.36) เปลี่ยนแปลงยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้ ก็สามารถผลิตสิ่งใหม่ๆขึ้นหลอกลวงเพื่อนมนุษย์ คือ ล้วงกระเป๋าเพื่อนมนุษย์ได้โดยสะดวก เพราะเค้ามีความรู้ในเรื่องเหตุปัจจัย หรือทีฆับปัจจะญัตตา (39.59) ของวัตถุเหล่านั้น เขาจึงสามารถผลิตไอ้สิ่งที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นมา ทีนี้ที่คนป่าเค้าใช้ไม่ได้ คนป่าไม่มีความรู้ หรือไม่เคยเห็นรถยนต์ ไม่เคยเห็นไอ้วิทยุ ไม่เคยไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์อะไร ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้มันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เพราะมันมีความรู้สูงสุด ในส่วนทีฆับปัจจะญัตตา (40.31) ของวัตถุธาตุทั้งหลาย ทีนี้ก็มาถึงในส่วนร่างกาย มันก็เป็นไปตามกฎของทีฆับปัจจะญัตตา (40.47) เราบำรุงบำเรอร่างกายให้เป็นไปทางที่เราต้องการ โดยเฉพาะคนธรรมดาสามัญก็เป็นไปทางกามารมณ์ เป็นไปในทางเรื่องอันเกี่ยวกับเพศ จึงกลายเป็นต้นเหตุแห่งอาชญากรรมไปทั้งนั้น (41.08) คือมันเกินเลยไป แต่แม้ที่ยังไม่เป็นอาชญากรรม มันก็เป็นไอ้ความทุกข์ทรมานอยู่เบื้องๆลึก เรียกว่าอาชญากรรมทางวิญญาณก็ได้ อาชญากรรมทางวัตถุก็มีผลเห็นชัดทางร่างกายทางวัตถุ แต่ทางวิญญาณล่ะยากที่จะมองเห็น แล้วก็ไม่มองเห็นเป็นอาชญากรรม ก็เลยยังได้รับทุกข์ทรมานอยู่โดยไม่ต้องรู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัว คือทีนี้ทางจิตใจนี่ร้ายกาจ ร้ายกาจที่สุดน่ะ พอมันเดินผิดทาง มันก็เกิดมิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิ ความรู้ความเข้าใจที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง เป็นมิจฉาทิฐิ แต่ว่ามันให้ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานแก่บุคคลเหล่านั้น บุคคลมิจฉาทิฐิเหล่านั้นจึงหลงใหลไปในเรื่องนั้นๆ คือเรื่องมิจฉาทิฐิของเขา มิจฉาทิฐิต่ำๆนี่ก็มี กลางๆก็มี สูงสุดก็มี ล้วนแต่มีปัญหาทั้งนั้นน่ะ คนมีมิจฉาทิฐิแล้วก็ทำผิด ทำสิ่งเลวร้ายได้ทุกชนิด เพื่อนฝูงก็พลอยลำบากกันไปทั้งๆๆบ้านทั้งเมืองหรือทั้งโลก แม้อุตสาหกรรมนี่ก็ต้องจัดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน คือ มันทำไปด้วยความเห็นแก่ตัว มันต้องการที่จะสูบเงินในกระเป๋าของคนอื่น เพื่อความร่ำรวยของตน นี่ก็ต้องจัดเป็นมิจฉาทิฐิ แต่มันเป็นกันมากแล้ว มันก็เลยไม่มองกันในรูปนั้น เพราะเห็นเป็นเครื่องมือแข่งขันกันไป ไอ้ผู้ที่ซื้อก็เห็นประโยชน์ที่ได้รับตามที่กิเลสต้องการแล้ว ก็ไม่เห็นเป็นอันตรายอะไร เนี่ยอุตสาหกรรมในโลกนี้มันจึงเจริญขึ้น หรือลอยนวลลอยนวลอยู่ได้ แพร่หลายอยู่ได้ และก็จะมากยิ่งขึ้นไปทุกที
นั้นเราจะต้องมีทีฆับปัจจะญัตตา (43.43) ฝ่ายตรงกันข้ามคือฝ่ายที่ถูกต้อง ไม่มีมิจฉาทิฐิ แล้วก็ไม่ทำผิดพลาดในส่วนจิต ในส่วนร่างกาย ในส่วนวัตถุ นี่คือความถูกต้อง ขอให้ช่วยจำไว้ดีๆเถอะ มันเป็นหัวข้อสำหรับการคิดอย่างง่ายๆ และ เอ้อ มีผลมาก ถูกต้องในทางวัตถุและถูกต้องในทางร่างกาย แล้วก็ถูกต้องในทางจิต แล้วถูกต้องในทางวิญญาณ มันเป็น 4 คำ อยู่นั่น ไม่ใช่เรื่องเดียวกันน่ะ ทางวัตถุหมายความว่าสิ่งที่ไม่มีชีวิต เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านเรือนนี้ เป็นเรื่องทางวัตถุ ให้มันถูกต้อง ทางเนื้อหนังร่างกายโดยตรงนี่ ร่างกายซึ่งเป็นที่ตั้งชีวิตนี่ขอให้มันถูกต้อง ให้มันถูกต้อง แล้วตัวจิต จิตต้องถูกต้องต้องสมประกอบคือไม่เป็นบ้านั่นแหละ ทีนี้ทางสติปัญญาหรือทางวิญญาณ มันก็ต้องถูกต้อง เพราะว่าคนที่ไม่เป็นบ้า คนปกตินี่เป็นมิจฉาทิฐิก็ได้นะ มันลึกละเอียดจนไม่ๆถือกันว่าเป็นบ้า นี่ถ้าสติปัญญามันไม่ถูกต้องมันก็เป็นมิจฉาทิษฐิน่ะ คือไม่ถูกต้องทางสติปัญญา ทางวัตถุทางแมททีเรียลน่ะทางวัตถุ ทางร่างกายทางฟิสิคัล และทางจิตทางเมนทัล ทางสติปัญญาคือทางสปิริตช่วลสปิริตช่วล เข้าใจว่าคุณคงเข้าใจคำพูด เอ้อ 4 คำ นี่อยู่แล้วเป็นอย่างดี ถ้าไม่เข้าใจก็เข้าใจเสียเถอะ ว่ามันมีระดับหรือลำดับเป็นชั้นๆกันอยู่อย่างนี้ว่า ทางวัตถุแมททีเรียล ทางร่างกายทางฟิสิคัล ทางจิตโดยเฉพาะคือทางเมนทัล และก็ทางสติปัญญาทางวิญญาณอันละเอียดนั่นละทางสปิริตช่วล เราจะมีความถูกต้องทั้งทางวัตถุ ทั้งทางร่างกาย ทั้งทางจิต และทั้งทางสติปัญญา ความไม่ถูกต้องใน 4 ทางนี้ ล้วนแต่เป็นปัญหา ล้วนแต่ทำให้เกิดความทุกข์ ความยุ่งยาก ความลำบาก ความเสื่อมเสีย
ขอพูดกลับกันอีกทีหนึ่งว่า เราจะไม่โง่ในทางวัตถุ เราจะไม่โง่ในทางร่างกาย เราจะไม่โง่ในทางจิต โดยเฉพาะไม่โง่ในทางสติปัญญาหรือทางวิญญาณ ถ้าโง่ทางวัตถุ เราก็มีวัตถุเกินจำเป็น ถ้าเราโง่ทางร่างกาย เราก็บูชา หลงใหลบูชาบำรุงบำเรอร่างกายมากไป ถ้าเราโง่ในทางจิต เราก็มีจิตที่วิปลาสล่ะ หรือว่าจิตที่ไม่มีสมรรถนะถูกต้องตามเรื่องของจิต คือ จิตไม่สมประกอบเป็นต้น ถ้าเราโง่ทางสติปัญญา ก็เป็นมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เห็นกลับตรงกันไปหมด จนไม่สามารถทำอะไรให้เกิดผลดีตามที่ควรจะประสงค์ นั้นเราจะต้องมีทีฆับปัจจะญัตตา (47.45) ที่เกิดความถูกต้อง ทั้งทางกาย ทางจิต เอ้อ ทางๆวัตถุ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณดังที่กล่าวแล้ว เราก็จะสามารถเผชิญหน้ากับทีฆับปัจจะญัตตา (48.00) ของอุตสาหกรรมในโลกนี้ ซึ่งมันกำลังก้าวหน้าๆๆเจริญๆเหมือนกับวิ่งเลย เพราะว่ามันทำเลย (48.12) คนที่ฉลาดแล้ว มีความเห็นแก่ตัวแรงกล้า มันทำกันสุดเหวี่ยงเลย ในการที่จะสูบเลือดเพื่อนมนุษย์ของกันและกัน นั้นเราจะใช้วิธีการของพระอรหันต์น่ะ ที่ว่ามันไม่มีอะไรแปลกน่ะ ปัญหาอุตสาหกรรมที่เรากลัวกันนักนี่ มันเป็นปัญหาเด็กเล่นเด็กเล่นเด็กทารกของพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ไม่กลัวนี่ ไม่เห็นว่าน่ากลัว ไม่เห็นว่าแปลกประหลาดอะไร เห็นเป็นของธรรมดาและท่านก็ไม่ตกหลุมพรางของมัน ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไร เห็นอุตสาหกรรมมหาศาลเป็นของเด็กเล่นเป็นของไม่แปลกอะไร ก็เพราะมันไปจากการครอบงำของอิทธิพลแห่งอุตสาหกรรม เราดูให้ดีซิว่าประเทศมหาอำนาจน่ะเขาผ่านกันมานานแล้ว อุตสาหกรรมใหญ่โตแล้ว ไอ้เรากำลังจะเป็นนิคส์อุตสาหกรรมเด็กเล่น เป็นของใหม่เป็นของแปลกสำหรับประเทศที่ยังด้อยความเจริญ ปัญหาทางนิคส์มันก็ไม่มีแก่ประเทศมหาอำนาจที่เจริญแล้ว มันก็เหลืออยู่แต่เป็นปัญหาของประเทศที่ยังด้อยความเจริญหรือยังกำลังพัฒนา แล้วก็มีความคิดเห็นว่าเราจะตั้งรับมันอย่างไร
ข้อนี้ก็ดีเหมือนกัน ชนทั่วๆไปจะอยู่กันอย่างไร แล้วพุทธบริษัทจะอยู่กันอย่างไร ประชาชนคนธรรมดาเค้าจะอยู่ในประเทศที่กำลังจะๆๆเป็นนิคส์หรือเป็นนิคส์ แล้วพุทธบริษัททั้งหลายทั้ง เอ้อ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานี่จะอยู่กันอย่างไร ก็ถูกแล้วเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณา ข้อนี้ไม่ๆเป็นไรล่ะสำหรับพุทธบริษัท เพราะว่าพุทธบริษัทต้องเป็นผู้มีธรรมะ ไม่มีธรรมะก็ไม่ใช่พุทธบริษัท ถ้ามีธรรมะแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ธรรมะนั่นแหละจะเป็นเครื่องรางป้องกันภัยอันจะเกิดจากความเป็นนิคส์ อุตสาหกรรมเล็กๆ อุตสาหกรรมเด็กๆ อุตสาหกรรมเริ่มต้น นั่นเพราะว่าธรรมะสามรถป้องกันได้แม้มหาภัยอันใหญ่หลวงจากอุตสาหกรรมใหญ่หลวง อุตสาหกรรมใหญ่โตของประเทศอุตสาหกรรม เราจะเป็นอุตสาหกรรมสอนเดินของลูกเด็กๆอย่างนี้ หรือว่าจะปรับปรุงกันอย่างไรก็ๆตามใจ ปรับปรุงกันทุกอย่างทุกวิถีทางให้มันเป็นอุตสาหกรรมขึ้นมาให้หมด แต่ถ้าเรามีธรรมะแล้ว ถ้าเราไม่หลงในสิ่งใด ไม่หลงในสิ่งใด แล้วยิ่งกว่านั้น จะมาเหนือเมฆ จะมาเหนือเมฆ คือ จะควบคุมจัดการปรับปรุงให้อุตสาหกรรมเด็กๆนี่ เจริญไปในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่สันติภาพ เราจงต้อนรับความเป็นนิคส์นี่ให้มันเป็นเครื่องมือ สำหรับสร้างสันติภาพต่อไปในอนาคต ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทแท้จริง เราทำได้ ก็เพราะว่าเรามีธรรมะมากพอ ทีนี้มองลงไปถึงประชาชนที่ไม่ใช่พุทธบริษัท คือ ประชาชนโง่ นี่ก็มีปัญหาหน่อย น่าสงสารประชาชนธรรมดาสามัญไม่มีธรรมะไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่า เอ้อ เป็นพุทธศาสนิก พวกนี้พวกที่เป็นเหยื่อของอุตสาหกรรม คนที่ไม่มีสติปัญญาเหล่านี้ ไม่มีธรรมะเหล่านี้ ตะครุบเหยื่อที่เจ้าของอุตสาหกรรมเค้าโปรยมา ในชาวนาชาวสวนก็เลยติดบ่วงติดบ่วงของนักอุตสาหกรรมเหล่านั้น เค้าต้องมีวิทยุ ไม่มีวิทยุก็น้อยหน้า ก็ต้องขวนขวายหามันมา มาแขวนหลังเวลาเกี่ยวข้าวก็ได้ก็ทำได้ก็ทำได้ ใช้วิทยุเป็นเครื่องขับกล่อมเหมือนกับมีดนตรีอยู่ในบ้านเรือนตลอดเวลาอย่างนี้ก็ทำได้ ถึงกับบูชามันเลย มันเลยมีกันทุกบ้านทุกเรือน ไอ้สิ่งที่เป็นปัญหาเช่นเรื่องจักรยานยนต์นี่ ไอ้พวกหนุ่มๆนี่มันมีไว้ขี่อวดน่ะ ไม่ถึงจำเป็นที่จะต้องมี แต่มันจะต้องมีจนได้เพื่อไว้ขี่อวด นี่มันจะต้องมีต้องมีกันให้จนได้ พยายามมีกันให้จนได้ นี่มันเหยื่อของนักอุตสาหกรรม แล้วมันยังมีอีกถึงขนาดตู้เย็น โทรทัศน์น่ะ มันกำลังพยายามที่จะมีตู้เย็นโทรทัศน์กันอย่างตัวเป็นเกลียว มันจะหุงข้าวด้วยไฟฟ้าน่ะ ต้องมีหม้อข้าวไฟฟ้า หุงข้าวด้วยไฟฟ้า จนมันหุงด้วยฟืนไม่เป็น มันจะมีเครื่องยนต์สูบน้ำจากบ่อ จนมักตักน้ำไม่เป็น มันจะกินข้าวที่เขาสีขัดกันมาแล้ว จนๆไม่รู้จักสีข้าวและตำข้าว
นี่ปัญหามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นหลงเหยื่อ เป็นผู้หลงเหยื่อ เรามารู้ให้พอเหมาะพอดี ไม่ควรมีอย่าไปมี ยังไม่จำเป็นจะต้องมี อย่าเพ่อไปมี เพราะว่าไปมีเท่านั้นแหละมันๆไปเป็นเหยื่อของกิเลส เป็นทาสของกิเลสนี่ มันสูญเสียในทางธรรมะ มันไม่ใช่สูญเสียแต่ในทางเศรษฐกิจเล็กๆน้อยๆอะไรอย่างนั้น มันสูญเสียทางจิตทางวิญญาณ คือ มันเป็นเหยื่อของกิเลส เป็นเหยื่อของความโง่ นานาประการ เป็นเหยื่อของความโลภ เป็นเหยื่อของความโลภแล้ว มันก็ง่ายที่จะเป็นเหยื่อของไอ้ความโกรธ ความอาฆาต ความจองเวร การทำลายล้าง มันมาแต่ความโลภซึ่งมาจากความโง่อีกทีหนึ่ง ทีนี้เราจงต่อสู้ด้วยความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ตามรอยพระอรหันต์ ตามรอยพระอรหันต์ แม้ยังไม่ถึงนิพพาน ไม่ไปนิพพานโดยตรง ก็ตามรอยพระอรหันต์ เพื่อต่อสู้กับกิเลสในบ้านในเรือนนี่แหละ ในที่สุดสรุปความว่า โอ้ อุตสาหกรรมขนาดไหนก็ตามเถอะ มหาศาลขนาดไหนก็ตามเถอะ มันเป็นของธรรมดาเป็นของธรรมดา ที่จะต้องเกิดขึ้นมาในโลก ในโลกนี้มันมีความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการน่ะ เรื่อยไปน่ะ แล้วก็มีลักษณะเป็นวง ลักษณะเป็นจักรราศี มันๆก็เปลี่ยนไปๆๆๆ มันก็ถึงราศีที่ว่าจะต้องมีอุตสาหกรรมเต็มโลกน่ะ ไม่ใช่เพียงนิคส์ล่ะ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงนิคส์ล่ะ ไม่ใช่เด็กเล่นแล้ว มันต้องเป็นมหาศาลกันเต็มโลก แล้วมันก็จะได้รบราฆ่าฟันกันวินาศแล้ว ในการแย่งชิงกันก็ดี หรือในการทำสงครามด้วยความรู้ความสามารถในทางอุตสาหกรรมก็ดีนี่ มันเป็นจักรเป็นวัฏจักร เอ้อ ของโลก
เดี๋ยวนี้ไอ้วัฏจักรของโลกมันกำลังหมุนมาถึงขนาดนี้ ถึงลักษณะนี้ มาถึงขั้นนี้ ก็อย่าแปลกประหลาดล่ะ เห็นเป็นของแปลกประหลาด เตรียมตัวให้พร้อม ให้ถูกต้อง ให้พอดีที่จะต่อสู้ อย่าให้มันเป็น อย่าให้มันทำอะไรเราได้ อย่าๆให้มันทำอะไรเราได้ นี่เราจะเอามันมาเป็นทาสเสียได้ก็ยิ่งดีล่ะ มันจะใช้ไอ้ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมให้เป็นประโยชน์ในทางธรรมะ ในทางธรรมะน่ะ เอามาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เผยแผ่ธรรมะกันเสียได้ก็ยิ่งดี นี่เรียกว่าเป็นการแก้ลำแก้ลำกับมันอย่างที่เรียกว่าเอาเกลือจิ้มเกลือเลย ฟันต่อฟัน ตาต่อตาเลย มันมาหนักมาเท่าไร ก็กลับไปหนักเท่านั้น เราก็เป็นผู้ชนะอย่างนี้ ทีนี้มันก็มาเหลืออยู่เป็นเรื่องเล็กน้อยของผู้ถามปัญหา ที่ว่าจะอยู่กันในโลกที่เป็นนิคส์ได้อย่างไร ปัญหาของผู้ถามคล้ายๆกับว่าเป็นผู้กำลังศึกษา ฝึกฝน อบรมชีวิตในฐานะที่เป็นนักศึกษา ท่านจะมองมันในแง่ไหน มองมันในแง่ศัตรู หรือมองๆมันในแง่เป็นเครื่องมือของการสร้างสันติภาพ
อาตมาอยากจะขอร้องให้ท่านนักศึกษาทั้งหลายที่กำลังศึกษาอยู่นี่ มองเห็นไอ้เรื่องของนิคส์หรือของความเป็นนิคส์ ว่ามันจะเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ เราอย่าไปโง่กับมัน อย่าไปหลงกับมัน อย่าไปเป็นทาสของมัน เราจะเป็นนายเหนือมัน เราคือ จะควบคุมมันจะบังคับมันจะใช้มัน ไม่ต้องกลัว จะถือว่าเป็นเครื่องมืออาชีพก็ได้ แต่ขอให้สงวนธรรมะไว้สักหน่อย อย่าให้มันผิดธรรมะ อย่าให้เป็นการสูบเลือดมนุษย์ด้วยกัน ให้มันถูกต้องตามธรรมะ สร้างความสงบสุขขึ้นมาในโลกนี้ แต่มีอาชีพด้วยอุตสาหกรรมน้อยๆกับเขาก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ตั้งจิตไว้ให้ถูกต้องเป็นธรรมะมันก็ใช้ได้ เราไม่หลงใหลในผลอันยั่วยวนของมัน นี่ขอย้ำอีกสักหน่อยอีกทีหนึ่งว่า อุตสาหกรรมน่ะเค้าต้องออกมาในลักษณะที่ยั่วยวนให้มากกว่าเก่า เค้าต้องผลิตของที่มันยั่วกิเลสให้มากกว่าเก่า คนมันจึงจะซื้อ ถ้ามันเท่าเก่าคนมันไม่ซื้อหรอก อะไรมันจะผลิตออกมาต้องยั่วยวนยิ่งกว่าเก่า ไม่ว่าเครื่องใช้ไม้สอยจำเป็น หรือไม่จำเป็น มีของอย่างนี้ใช้อยู่แล้วใช้ได้สบายอยู่แล้ว แต่ถ้ามันมีของที่ยั่วยวนมากกว่านี้ ก็ขายของเก่าซื้อของใหม่เรื่อยไป นี่มันจึงเปลี่ยนไอ้ของที่มีอยู่เก่าเป็นของใหม่ แล้วแพงขึ้นไปแพงขึ้นไป จนกระทั่งว่าเป็นหนี้เป็นสิน ใช้ระบบผ่อนส่งกัน ซึ่งสร้างความวินาศโดยไม่ทันรู้ตัว นี่เราจะไม่หลงในความยั่วยวนของสิ่งที่อุตสาหกรรมผลิตขึ้นมาใหม่ๆๆๆ แต่เราจะใช้มันให้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ คือ พัฒนาในด้านที่เป็นสันติภาพ อย่าให้มันครอบงำเรา แต่ให้เราครอบงำมัน อย่าให้เราเป็นทาสของมัน แต่ให้มันเป็นทาสของเรานี่ เอาระบบอุตสาหกรรมมาเป็นทาสรับใช้เราในการที่จะพัฒนา นั้นอย่ากลัว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องวิตกกังวล เรียนให้ดีที่สุด ให้เข้าถึงความจริงให้ๆมากที่สุด จะใช้มันเป็นเครื่องมือพัฒนาเพื่อสันติภาพ อย่าไปโง่หลง มันก็จะตกเป็นทาสของมัน แล้วมันก็จะกระทำกันในทางที่จะวินาศของตนเองของตนเอง ศึกษาไว้มากๆ ศึกษาไว้เพียงพอให้รอบรู้ ไว้เผชิญหน้ากับมันอย่างสนุกสนาน คือการต่อสู้กันให้สนุกสนานจะดีกว่า จะมีสติปัญญาต่อสู้ระบบหลอกลวงนี้ แล้วระบบสูบเลือดสูบเงินในกระเป๋าผู้อื่นนี่ กันให้ดีๆ ชักชวนกันให้ดีๆ ทำความเข้าใจกันให้ดีๆ ตั้งสมาคมธรรมะเพื่อศึกษาเรื่องนี้กันให้ดีๆ กันให้ดีๆ แล้วอุตสาหกรรมก็จะไม่ทำอันตรายเรา แล้วก็ค่อยๆหมดอำนาจหมดกำลังไปในทางที่จะทำลาย แต่จะกลายไปเป็นเครื่องมือหรือกำลังในการที่จะก่อสร้างเสริมสร้างสันติภาพ
เราจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมเป็นเรื่องเสริมสร้างสันติภาพ ไม่ส่งเสริมให้มันเป็นเรื่องสำหรับหลอกมนุษย์ลวงมนุษย์ให้หลงใหลอยู่ในเรื่องของกิเลสตัณหา คือ มีความโง่ ไม่สามารถจะต่อสู้มันได้ มันตั้งใจ ตั้งปรารถนา ตั้งเป้าหมาย ตั้งปณิธานอะไรกันก็ได้ว่า จะสู้กันให้สนุกเลย จะควบคุมระบบนี้ให้ได้ จะต่อสู้กับระบบนี้ให้ได้ คุณไปชักชวนกันศึกษาให้เป็นล่ำเป็นสันนี่ เตรียมตัวเพื่อต่อสู้ระบบนี้ให้จนได้ มันก็ต้องอาศัยธรรมะอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง สรุปสั้นๆว่าต้องไม่เป็นทาสของอายะตะนะ ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของกิเลสนี่ ตั้งสมาคมธรรมะ ตั้งสมาคมธรรมะในสถาบันการศึกษา เพื่อให้รู้ธรรมะรู้ธรรมะ คือ ความจริงของธรรมชาติ รู้จักตัวธรรมชาติด้วย รู้จักกฎของธรรมชาติด้วย รู้จักหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติด้วย แล้วให้ได้ผลมาอย่างถูกต้อง นี่เรียกว่ามีความรู้ที่แท้จริง สำหรับเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าอุตสาหกรรม ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ก็คือสิ่งสวยงามที่อุตสาหกรรมหลอกลวงมันจะเสนอขึ้นมา
ดังที่กล่าวแล้วว่าอุตสาหกรรมมันเกิดจากความเห็นแก่ตัวของเจ้าของ แล้วก็มันสร้างสิ่งที่หลอกลวงยั่วยวนกิเลสออกมา ทีนี้เราไม่เป็นทาสของอารมณ์ มันจะทำอะไรเราได้ มันจะสร้างภาพที่สวยงาม สร้างเสียงที่ไพเราะ สร้างกลิ่นที่หอมหวน สร้างอาหารที่มีรสเลิศ สร้างการประคบประหงมร่างกายในทางกามารมณ์ จะสร้างอะไรขึ้นมา เราไม่หลง ไม่หลงอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่หลง นี่เรียกว่าไม่หลงอายไม่หลงเป็นทาสของอายะตะนะ แล้วก็ไม่หลงอารมณ์ อายะตะนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่โง่ ไม่หลง รูป เสียง กลิ่น รส โผสสัพพะ ธรรมารมณ์ ก็ไม่โง่ ไม่หลง นี่ก็เรียกว่าไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา เราเห็นได้ทั่วๆไปว่ามนุษย์นี่กำลังหลงในความเอร็ดอร่อย เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอายะตะนะ เป็นทาสของกิเลสตัณหามากขึ้นมากขึ้น เราอย่าไปสมทบกับเขาเลย เราชวนกันต่อต้าน ตั้งชุมนุม ตั้งสมาคม ตั้งหมู่คณะ ที่จะรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ชวนกันรบให้มันชนะ อย่าให้มันหลอกลวงมนุษย์ได้น่ะ นี่ได้กุศลอย่างยิ่ง ทำบุญกุศลสูงสุดอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมาที่วัด คือ เผยแผ่ธรรมะให้เขารู้ ให้เขาเข้าใจ แล้วชวนกันปฏิบัติธรรมะให้สำเร็จตามนั้น ทำอยู่ที่บ้านก็ได้ ก็เป็นการกุศลอันสูงสุด ไม่ต้องมาที่วัด นี่บอกกันอย่างนี้ตรงๆ ไม่หลอกลวงไม่อำพรางอะไร
กุศลสูงสุดอยู่ที่การให้ความรู้ทางธรรมะ แล้วสูงขึ้นไปก็ให้ปฏิบัติธรรมะนั้นให้ได้ ก็เป็นกุศลสูงสุดอยู่นั่นเอง จึงขอแนะนำว่าจงชวนกันตั้งชมรม ชุมนุม สมาคมอะไรก็ตาม ซึ่งประกอบไปด้วยธรรมะ จะต่อต้านหรือหยุดยั้งอันตรายอันจะเกิดมาจากอุตสาหกรรม แม้จะเป็นอุตสาหกรรมอันใหญ่หลวงท่วมฟ้าก็ตามเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าไอ้ขนาดเป็นนิคส์อุตสาหกรรมเด็กๆนี่ ไม่ต้อง ไม่ต้องกลัว สามารถที่จะต่อสู้ ควบคุม จะใช้ให้เป็นประโยชน์ แทนที่มันจะมาเป็นนายเรา เราจะเอามันมาเป็นบ่าวของเรา แทนที่มันจะมาอยู่บนหัวของเรา มันจะต้องไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา นั้นขอให้สนใจศึกษามันให้ดีๆ แล้วก็จัดการให้มันสำเร็จได้ตามนี้ อย่ามาวิตกกังวลหวาดกลัวอะไรเลย ไม่มีเรื่องที่ต้องหวาดกลัวถ้ามีธรรมะ ธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันแล้ว มันปลอดภัย เป็นที่หลบซ่อนอันปลอดภัย เป็นที่ต่อสู้อันปลอดภัย คือธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้องถูกต้องถูกต้องไปทุกขั้นทุกตอน ดังที่กล่าวแล้วว่าถูกต้องทางวัตถุ ถูกต้องทางด้านกาย ถูกต้องทางจิตใจ ถูกต้องทางสติปัญญา มีสะ เอ้อ สติสัมปชัญญะไม่หวาดกลัวจึงจะต่อสู้ได้ ถ้าขี้ขลาดแล้วมันผิดหมดแหละ มันจะรวนเรผิดหมด อย่ากลัว อย่าขลาด แล้วก็ไม่ต้องวิตกกังวลให้มันสูญเสียสติกำลัง ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นของธรรมดาไป ของแปลกของใหม่ก็จะกลายเป็นของธรรมดาไป สิ่งที่เป็นอันตรายเลวร้าย ก็จะเป็นไม่มีอันตรายเลวร้าย แต่จะกลายมาเป็นคนรับใช้ที่ดี
นี่ขอให้ตั้งความหวังว่า เราจะเอาอุตสาหกรรมนี่เป็นผู้รับใช้ที่ดีในทางสร้างสันติภาพให้ได้เต็มตามความปรารถนา แม้จะมีใครพวกใดพวกไหนพวกอื่นมันตื่นตูม มันหวาดกลัว มันวุ่นวายก็ตามใจเขาเถอะ เราไม่เอาด้วย เราจะไม่หวาดกลัว แต่เราจะเอาชนะให้ได้ ใครจะมาชักชวนไปในทางตื่นๆตูม ขลาดกลัวนี่ เราไม่เอา เพราะเรามันฉลาดพอแล้ว เราสามารถที่จะดำรงตนอยู่อย่างแข็งโก๊กเลย ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นมาครอบงำได้ เป็นอิสระเสรีในทุกทาง ทางกาย ทางจิต ทางสติปัญญา จะมีเสรีภาพ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจความหลอกลวงของอุตสาหกรรมในระบบนิคส์หรือระบบไหนก็สุดแท้ นี้เป็นอันว่าอาตมาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมะโดยตรง แต่เป็นเรื่องการเมืองเข้ามาแฝงอยู่มาก แต่ก็พูดไปตามสติปัญญา ให้ท่านทั้งหลายนำไปพินิจพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญดู แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเชื่อหรอก ขอแต่ว่านำไปคิดไปตรองให้มีความรู้ มีความเห็น มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง และใช้มันให้สำเร็จประโยชน์ นั่นแหละถูกต้อง
ท่านทั้งหลายไม่ต้องเป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด แต่ว่าสามารถที่จะมีสติปัญญาที่ไม่เป็นทาส มีสติปัญญาที่เป็นอิสระเสรี พระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนี้ แล้วท่านทั้งหลายก็จะรอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ตามความประสงค์มุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ในที่นี้ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่อดทนฟังด้วยดี เป็นผู้ฟังที่ดี ตลอดเวลานานพอสมควรแล้ว ก็จะต้องขอยุติการบรรยายด้วยความหวังว่า ท่านทั้งหลายจะนำไปคิดไปตรอง จนสามารถทำตนให้อยู่เหนือปัญหาอันจะมีมาข้างหน้า อย่างที่เรียกว่าจะเป็นผู้ชนะๆๆเรื่อยไปไม่มีความพ่ายแพ้ แล้วก็มีความเยือกเย็นเป็นสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ