แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นนักศึกษาทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดี อนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถาน ที่นี้ใน ลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อแสวงหาธรรมะหรือสิ่งที่ควร หากแสวงหาเพราะว่ามันยังขาดอยู่ การศึกษา ทั่วไปในโลก เดี๋ยวนี้แยกเรื่องศาสนา ออกไปจากการศึกษาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจึงขาดอยู่ เขาจะเข้าใจผิด เข้าใจถูก… อย่าไปรู้เลย รู้แต่ว่าเมื่อยังขาดความรู้ทางธรรมะอยู่แล้วก็ ชีวิตนี้ไม่ประสบกับสิ่งที่ดีที่สุด ที่มันควรจะได้
ท่านทั้งหลายจึงต้องหาให้มันให้เต็ม ท่านทั้งหลายเรียกตัวเองว่านักศึกษา และอะไรเป็นการศึกษา ข้อนี้ เป็นข้อที่จะต้องคิดว่า โดยที่แท้เรามีสิ่งที่เรียกกันว่า “ชีวิต” ชีวิต มันจะดูแล้วมันจะเป็นสิ่งที่เข้าใจยากที่สุด ยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วมันมักชักจะฟั่นเฝือหรือสับสนอยู่มาก “ชีวิต” นั้นมันเป็นทั้ง ตัวการศึกษา “ชีวิต” นั้นมันเป็น ตัวผู้ศึกษา ก็ “ชีวิต” ตัวเดียวกันนั้นแหละ มันจะเป็น ผู้รับผลของการศึกษา เรารู้จักมันกี่มากน้อย แค่หางอึ่ง ได้ไหม ขอให้ลอง ใคร่ควรดูให้ดีๆ
“ชีวิต” เป็นตัวการศึกษา ในตัวมันเอง, มันเป็นตัวผู้เรียน, เป็นตัวการเรียน, เป็นตัวการสอบ, เป็นกรรมการแห่งการสอบตลอดชีวิต, ความเป็นอยู่, ความสุข, ความทุกข,์ ความเกิด, ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย เช่นเป็น ตัวชีวิตนั้น มันเป็นการศึกษาไปหมด เรารู้จักมันแค่หางอึ่งได้ไหม เป็นเรื่องที่อยากจะ ขอให้คิดดูมันมีมากมาย
เฉพาะในวันนี้จะพูดถึงสิ่งๆ หนึ่งที่เรียกกันว่า “พลังผลักดันของชีวิต” เขาเรียกกันว่า โมทีฟ (motive) หรืออะไรอย่างนั้นแหละ โมทีเวตชีวิต (motivate), โมทีฟ คือสิ่งที่ โมทีเวตชีวิตให้เป็นไป เดี๋ยวนี้ชีวิตมันเป็น ทั้งหมดอย่างที่กล่าวมาแล้วว่ามันเป็น การศึกษา, ตัวผู้ศึกษา, ตัวผู้ที่จะได้รับผลของการศึกษา ถ้ามีพลังผลักดัน ให้มันถูกต้องมันคงจะได้รับผลดี แล้วเราก็ไม่อาจจะพูดได้ทั้งหมด ว่าจะพูดในแง่ของชีวิตจิตใจมากกว่า ในแง่ของ วัตถุนั้นมันจะเป็นเรื่องของธรรมชาติ มีการผลักดันปรุงแต่งไปตามเรื่อง
ถ้าเราจะเรียกเป็นภาษาบาลีกันสักหน่อย มันก็คงจะได้แก่คำที่คนสมัยนี้เขาเกลียด ไม่อยากฟังระคายหู ครึคระ ครึคระ ก็คือคำว่า สังขาร นั้นเอง สังขาร, สังขาระ, สังขาร นั้นเอง เป็นสิ่งพลักดัน เป็นพลังผลักดันของสิ่งที่ เรียกว่าชีวิต ท่านทั้งหลายเคยเรียนในโรงเรียน หรือไม่เคยเรียนในโรงเรียน รู้เอาจาก ที่ชาวบ้านพูดว่า สังขาร, สังขาร คือร่างกาย ถ้ารู้อย่างนี้ละก็ เรียกว่ารู้สังขาร รู้จักสังขาร แค่หางอึ่งก็ไม่ได้ ก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นมากกว่านั้น มันเป็นทั้งหมด
คำว่า สังขาร นี้มันแปลว่าการปรุงแต่ง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาทุกหนทุกแห่ง อำนาจการปรุงแต่ง เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ คล้ายกับว่าแม้แต่ไอ้โลกนี้ มันก็หมุนไปเพราะกำลังของสิ่งที่เรียกว่า สังขาร จักรวาล ทั้งจักรวาลนั้นแหละ มันเคลื่อนกันไปอย่างไม่อยู่นิ่ง มันก็เพราะสิ่งที่เรียกว่า สังขาร มันผลักดัน แต่นั้นมันเป็น เรื่องของฝ่ายวัถตุ ฝ่ายธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ เก็บไว้อีกก่อน... แต่ก็ให้รู้ว่ามันมีแรงผลักดันด้วยเหมือนกัน ในแง่ที่ว่ามันเป็นวัตถุ
ทีนี้มาดูกันในแง่จิตใจที่มันเป็นเรื่องด่วน เรื่องจำเป็นเฉพาะหน้าของพวกเรา ที่เรียกตัวเองว่า นักศึกษา จะต้องมีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “การศึกษา” ซึ่งเป็นตัวชีวีตทั้งหมดในทุกแง่ทุกมุม สิ่งผลักดันชีวิตให้เป็นไป ให้พัฒนาไป นี้มันก็ลึกซึ้งเหมือนกัน มีทั้งโดย “สัญชาตญาณ” ล้วนๆ และมีทั้งโดย “ภาวิตญาณ” คือวิชาความรู้ ที่เราได้ศึกษาได้พอกพูนให้มันมีมากขึ้นๆ
ถ้ามันเป็นไปเองโดยไม่ได้ศึกษาไม่ได้จัดการ ไม่ได้อะไรกับมันก็เรียกว่ามันเป็นไปโดยสัญชาตญาณ มันก็มี อยู่มาก และมันก็มีอยู่อย่างเหนือสิ่งใดด้วยก็ได้ งั้นเราจะต้องรู้จักสิ่งนี้ด้วยเหมือนกัน ในความรู้ที่มันเกิด ได้เอง โดยไม่ต้องเรียน ไม่ต้องศึกษาจากใครนี้ มันก็มีอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางวัตถุ ในส่วนจิตใจมันก็มี แม้จะไม่มาก ซึ่งเคยได้เรียนกันมาแล้ว ในเรื่องของสัญชาตญาณ ในวิชาไบโอโลจี (biology) ไปดูเอาเอง
แต่เดี๋ยวนี้อยากจะให้ทราบว่า สัญชาตญาณนี่ มันก็ถูกปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ปรุงแต่งผิดหรือจะ เรียกว่า ปรุงแต่งไปทางหนึ่ง มันก็เป็นไปในลักษณะ ที่เป็นกิเลส เป็นกิเลส คือ ปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง และก็ทำ ไปตามอำนาจความรู้ที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็เป็นกิเลส
ที่นี้ถ้ามันได้รับการแวดล้อมดี การศึกษาดี อบรมดี มันก็หมุนมาในทางที่จะเป็น “โพธิ” โพธิ อย่างตรงกันข้าม อันหนึ่งมันไปเป็นกิเลส ไปเป็นกิเลส เราจึงร่ำรวยด้วยกิเลส ควมคุมไว้ไม่อยู่ก็เป็นอันธพาล โดยไม่ต้องสงสัย อันธพาลไปได้ทุกอย่าง รู้จักควบคุมไว้ได้ดีมันก็เป็น “โพธิ” โพธิ คือความรู้ที่ถูกต้องที่จะนำไปสู่ จุดหมายปลายทางที่น่าพอใจ ที่เรียกว่าดีที่สุด ที่จะดีได้ เรียกว่าถึงที่สุดก็แล้วกัน
เดี๋ยวนี้การศึกษาของท่านทั้งหลาย ขออภัย อยากพูดกันตรงๆว่า มันมีอยู่อย่างไร มันนำไปสู่จุดหมาย อันนั้นหรือว่า ศึกษากันด้วยความรู้สึกเพียงจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ให้ดีที่สุด ดีที่สุดกันอยู่ตรงนี้ ที่วัตถุ ที่สิ่งสนอง กิเลส ไม่ใช่เรื่อง ของโพธิ ก็แปลว่าเรา ถูกจับตัวไว้ด้วยกิเลส มันเป็นเรื่องที่จะต้องรู้หรือว่าแก้ไข เอาละเรามาพูด กันถึงเรื่อง โมทีฟ หรือสิ่งผลักดันของการศึกษา โดยเฉพาะในแง่มุมที่ว่า ชีวีตมันเป็นการศึกษา อะไรเป็นสิ่ง ผลักดันให้ท่านทั้งหลายมาสู่การศึกษา ก็กำลังบากบั่นสุดเหวี่ยงอยู่ด้วยการศึกษา สิ่งนั้นคือะไร โดยสัญชาติญาณ ชนิดไหน มันโดยสัญชาตญาณแห่งกิเลส หรือโดยสัญชาตญาณแห่งโพธิ
คำว่ากิเลสๆ มันแปลว่าสกปรก ขอยืมคำว่าสกปรกที่ชาวบ้านพูดจากันอยู่นั้นแหละ ก็ใช้เรียกชื่อของ กิเลส ซึ่งเป็นความสกปรกในทางจิตใจ แล้วโพธิๆ นี้ แปลว่าความรู้ๆ แล้วมันก็เป็นความสะอาด มีความ หมายเป็น ความสะอาด เป็นความสว่างไสวแจ่มแจ้ง เป็นความสงบเย็น นั่นมันเป็นเรื่องของโพธิ เรามีอะไร เป็นเครื่องผลักดันในการศึกษา คือโดยกิเลส หรือโดยโพธิ มันจะเป็นเรื่องของอะไรก็ขอให้ตัดสินเอาเอง ก็ฟังเอาเอง
ถ้ามันเป็นด้วยกิเลส ก็มีเรื่องที่ต้องจะแยกดูเป็น ๔ ความหมาย กิเลส ซึ่งในที่นี้เรียกว่าอุปาทาน จะเรียกว่า อุปาทาน หรือเรียกอะไรก็สุดแท้มันก็คือพวกกิเลสนั้นแหละ คำว่า อุปทาน นั่นไม่ใชโรคฮิสทีเรีย อย่างที่คน ทั้งหลายรู้กันโดยมาก คำว่า อุปาทาน มันหมายถึงเรื่องความหมายมั่น หมายมั่นเอาเป็นเอาตาย ในอำนาจของ อวิชชา ความไม่รู้จักสิ่งนั้นตามที่เป็นจริง เอาความรู้สึกชั่วแล่นชั่วขณะ เป็นกำลังสำคัญ เดี๋ยวนี้เรากำลัง หมายมั่นในการศึกษานี้ด้วยอำนาจของอุปทานหรือเปล่า
๑) ถ้าท่านมีความหวังในทางกาม เซ็กส์ เป็นวัตถุปัจจัย สำหรับกระตุ้นการศึกษา งั้นก็เรียกว่ามี กามุปาทาน มี ความยึดมั่นหมายมั่น ในทางกาม เป็นโมทีฟของการศึกษา และการงาน คิดว่าจะเรียนให้ดี เพื่อหาเงินได้มาก เพื่อจะเสวยสุขารมย์ ใช้คำ สกโดก (0:16:42.8) อย่างนี้ก็ได้ ดีที่สุด มีพิธีสมรสให้ดีที่สุด มีการเป็นอยู่แข่งกับเทวดา ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่ามันมี กามุปาทาน เป็นแรงกระตุ้นเพื่อการศึกษา จะได้รับผลอย่างไร ก็ดูต่อไปก็แล้วกัน
๒) นี้ข้อที่สอง มันมีความทิฐิดื้อรั้น ไม่ได้เล็งถึงกามถึงอะไร แต่ว่าดื้อรั้น หมายมั่นด้วยทิฐิว่า มันวิเศษแน่ มันดีแน่ อะไรๆ มาปรุงแต่งมัน ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ดีแน่ มีทิฐิหมายมั่นอย่างนี้ ก็เรียกว่าเรามีทิฐิอุปาทาน ทิฐิอุปาทาน เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน สั้นๆ สนธิกันแล้ว มีความหมายมั่นด้วยทิฐิ ไม่ดูหน้าใคร มุ่งมั่นในการศึกษา นี้เรียกว่าด้วยอำนาจของทิฏฐุปาทาน
๓) ทีนี้ถ้าว่ามันเป็นเรื่องที่ทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย ไม่ต้องมีความคิดอะไรไม่ต้องมีเหตุผลอะไร มันทำตาม ที่เขาเคยทำ อย่างนี้ก็เรียกว่า ยึดมั่นด้วย ศีลวัตร ศีลพรต คำว่า ศีลวัตร นี่ คำแปลของมันก็คือ การมุ่งหมาย เอาผลผิดจากความหมายที่แท้จริง ถือเอาความหมายผิดจากความหมายที่แท้จริง เป็น สีลัพตุปาทาน เป็นลักษณะ งมงาย เป็นไสยศาสน์ เป็นขลังเป็นศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเรามามีการศึกษาด้วยความหวังชนิดนี้ ก็เรียกว่า การศึกษาของเรา มี สีลัพตุปาทาน เป็นโมทิฟ (ท่านพูดว่าทิฐุปาทาน แต่คิดว่าน่าจะเป็นสีลัพตุปาทานมากกว่า 0: 18:58.2)
๔) อันนี้ที่สี่ อันนี้ฟังให้ดีๆ มันมีตัวกู ตัวกูเป็นโมทีฟ เรียกว่า อัตตวาทุปาทาน ด้วยอำนาจแห่งตัวกูโง่ หรือฉลาดไม่รู้ ตัวกูๆ นี่เป็นใหญ่ เป็นหลัก กูต้องการอะไร กูจะอยากได้อะไร จะมีอะไรมาเป็นสิ่งยึดครอง ทั้งหมดทำไปเพื่อตัวกู ถ้าเป็นอย่างนี้ก็มี อัตตวาทุปาทาน เป็นเครื่องกระตุ้น
สี่คำนี้มันเป็นคำศาสนา ซึ่งอาจจะแปลกหู แต่มันเป็นความจริงที่มีอยู่ในบุคคล ที่มันผลักไส หรือ ผลักดัน หรือ จูงจมูก ขออภัยถ้าพูดหยาบๆ ก็ ไสหัวไปเลย อุปาทานทั้งสี่นี้ มันไสหัวคนทั้งหลายให้เป็นไปตาม อำนาจของมัน เพราะฉะนั้นการศึกษาของเรานี้ก็เหมือนกันหละดูให้ดีๆ ว่ามันเป็นไปด้วยอำนาจอุปาทานทั้ง ๔ เหล่านี้ หรือหาไม่
ถ้ามันเป็นไปในด้วยอำนาจอุปาทานแล้ว มันก็เป็นเรื่องของสัญชาตญาณประเภทกิเลส ถ้ากิเลสมันก็ต้อง สกปรก ไม่ได้แง่ในก็แง่หนึ่ง เรามีการศึกษาด้วยหวังเรื่องทางกาม ผลักไส หรือมีการศึกษาตาม อำนาจทิฐิ ถือมั่น ถือรั้น ผลักไสหรือว่ามีอำนาจความงมงายตามๆ กันไป โดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไร เป็นเครื่องผลักไส หรือว่า มีตัวกูๆ ของกู มี อีโก้อีซึ่ม (egoism) อีโก้ (ego) อีโก้อิสติก คอนเซ็ปต์ (egoistic concept) ว่า ตัวกูๆ มันเป็นเครื่อง ผลักไส ไปตัดสินเอาเองแล้วกันว่ามีอะไร กำลังมีอะไร ไม่ต้องละอายใครเพราะรู้คนเดียว รู้คนเดียว
แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องรู้ และต้องจัดการกับมันให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันจะได้รับประโยชน์ในทางที่ ไม่สะอาด หรือ ไม่เป็นโพธิ ไม่เป็นชีวิตที่ถูกต้อง ก็จะไม่ได้ที่ชีวิตที่พึงปรารถนา นี่เรียกว่า ไอ้ชีวิตๆ นี้เป็นตัวการ เป็นตัวยืนโรง อยู่ตลอดเวลา เป็นตัวปัญหา สำหรับจะให้เราแสวงหาอะไรมาแก้ไข ให้เรามาตกแต่งมาปรับปรุง มาพัฒนา ให้มันเป็นไป ชีวิตที่พึงปรารถนา มีอยู่อย่างไร ถ้าว่าเรากำลังมีอยู่ด้วยอำนาจของอุปาทาน เช่นเดียว กับการศึกษาแล้ว มันจะเป็นชีวิตที่น่าปรารถนา หรือหาไม่
ชีวิตแท้จริงที่น่าปรารถนานั้นมันมีความเย็น สะอาด สว่าง สงบ เราพูดกันอย่างภาษาเข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นชีวิต ที่ไม่กัดเจ้าของ ท่านทั้งหลายกำลังมีชีวิตที่กัดเจ้าของหรือเปล่า หรือมีชีวิตชนิดที่เข้ารูปเข้ารอยกันดี ล้วนแต่ส่งเสริมให้เป็นไป ถ้ายังมีอะไรที่ผิดพลาดอยู่ คือไม่ถูกต้อง เป็นการศึกษาที่ไม่เพียงพอนั้น ชีวิตนี้มันจะกัด เจ้าของ ด้วยความรักบ้าง ด้วยความโกรธบ้าง ด้วยความเกลียดบ้าง ด้วยความกลัวบ้าง ด้วยความวิตกกังวลบ้าง อาลัยอาวรณ์บ้าง อิจฉาริษยาบ้าง หวงบ้าง หึงบ้าง เหล่านี้มันมีหรือไม่
ถ้ามันมีอยู่มันก็กัดเจ้าของ ให้ร้อนเป็นไฟก็มี ให้เจ็บปวดเหมือนถูกแทงก็มี ให้โง่เหมือนกับถูกครอบงำ ก็มี ให้ติดพันนุงนังไปหมด ไม่มีเสรีภาพเสียเลยก็มี นี่เรียกว่าชีวิตมันยังไม่ถูกต้อง มันยังกัดเจ้าของ การศึกษายัง ไม่พอ หรือจะไม่ถูกต้อง หรือ ถูกต้องที่ไม่พอ ถูกต้องน้อยเกินไป ขอให้สนใจเป็นพิเศษเถิด เราจะได้ชีวิตชนิดที่ ควรจะได้ คือไม่กัดเจ้าของ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และได้สอนไว้เป็นเวลาพันๆ ปีมาแล้ว แต่ถ้ายังไม่เคยรู้ มันก็เป็นของใหม่ เป็นของใหม่เอี่ยม เพราะว่าเขาไม่เคยรู้ พวกฮิปปี้หลายชนิด หลายรูปแบบ เกิดขึ้นในโลก ก็เพราะไม่พอใจ ชีวิตที่กำลังเป็นอยู่ ถ้าอยากจะหาที่มันดีกว่านั้น ถูกต้องกว่านั้น จริงกว่านั้น ที่เป็นที่พอใจ แต่มันก็ไม่มีโพธิ ไม่มีปัญญาพอที่จะแสวงหาให้พบ มันก็เลยไม่พบ มันเป็นฮิปปี้ที่ตายเปล่า ครั้งหนึ่งพวกยุวชน ทั้งหลายนิยม นิยมพวกฮิปปี้ มันพิสูตรความโง่ ความไม่เพียงพอ มันก็เลิกหายไปเอง
แต่อย่าลืมว่าความต้องการก็ต้องการชีวิตใหม่ ชีวิตที่ดีกว่าเก่า ชีวิตที่ดีกว่าที่เรากำลังมีอยู่ ที่จะเรียกว่า ใหม่ก็ได้ จึงขอเสนอแนะว่า ถ้ามันเป็นไปด้วยอำนาจอุปาทานทั้ง ๔ มันก็เป็นสัญชาตญาณของกิเลส มันจะต้อง เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม คือสัญชาตญาณที่ได้กลายมาเป็นโพธิ ถ้ามันไม่กลาย (0:26:06.8) มันได้แต่เล็กๆ แต่ทารก มันก็ต้องศึกษากันเรื่อยๆ ไป ทำให้มันเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าได้เกิดในสกุลที่ดี ก็มีบุญมีกุศล ก็จะ มีการแวดล้อมที่ถูกต้อง แวดล้อมมาแต่อ้อนแต่ออก แล้วก็ดีขึ้นสูงขึ้น จึงได้รับประโยชน์สูงสุด
ถ้ามีฉะนั้น ก็ธรรมดาๆ บูชากามารมณ์เป็นพระเจ้า ไปดูเอาเองมันจะเกิดอะไรขึ้น การบูชากามารมณ์์ เป็นพระเจ้า อุตส่าห์เรียนเกือบตาย ทำงานเกือบตาย อะไรทุกอย่างสุดเหวี่ยงทั้งนั้น แต่เพื่อบูชาพระเจ้า คือ กามารมณ์ ไหนๆ จะพูด แล้วก็ขอพูดเสียสักหน่อยว่า กามารมณ์มันคืออะไร
กามารมณ์นั้นไม่ใชการสืบพันธ์ เหมือนที่เขาพูดๆ กันอยู่ หรือเด็กๆ จะเดาเอาเองว่า กามารมณ์เป็น สิ่งเดียวกับ การสืบพันธ์ุ เห็นได้ง่ายๆ ว่า การสืบพันธ์ุ นี้เจ็บปวด ลำบากยุ่งยาก ไม่มีใครประสงค์ การสืบพันธุ์ แต่ว่ากามารมณ์ นั้นใครๆ ก็ชะเง้อหา มันคนละเรื่อง กามารมณ์ก็เป็นเรื่องค่าจ้าง หรือของหลอก หรือของยั่ว ของหลอก ให้คนโง่ มันทำการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่ต้องการ เพราะว่ามันลำบากยุ่งยากเจ็บปวด แต่ว่า ทนความล่อ ความยั่วหรือค่าจ้าง ของธรรมชาติไม่ได้มันก็เอา เพราะว่าเขาฝากไว้ด้วยกัน ติดอยู่ด้วยกัน มันบูชา กามารมณ์ แล้วก็นำไปสู่การสืบพันธุ์
กิจกรรมทางเพศนำไปสู่การสืบพันธุ์ แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะฉลาด ถึงขนาดจะหลอกธรรมชาติ มียาคุมกำเนิด มียาอะไรมันก็ยัง มันยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ยังมีการเพิ่มพลเมืองอยู่นั่นแหละ อย่าไปเป็นลูกจ้าง หรือว่าเป็นปลาที่ กินเหยื่อ และติดเบ็ดของกามารมณ์ซึ่งเป็นกิจกรรมทางเพศ มีรสเสน่ห์ยั่วยวนที่สุดเลย ส่วนการสืบพันธุ์นั้น มันน่าสั่นหัว ลำบากยุ่งยากเจ็บปวด แต่ดูให้ดีว่า ไอ้เรื่องกามารมณ์นั้น มันเป็นค่าจ้างที่หลอกลวง เราอุตส่าห์ เรียน อุตส่าห์ทำการงาน สะสมเงินสะสมทุกอย่าง เพื่อประโยชน์แก่กามารมณ์สูงสุด มันจะถูกหรือจะผิด ข้อนี้ก็ดูเอาเอง
เรื่องกามารมณ์เฉพาะกิจกรรมในทางเพศนี้ มันเป็นเรื่องพิจารณาดูพอจะเห็นได้ มันก็เป็นเรื่องที่สกปรก ในแบบวัตถุและมีปฏิกิริยาท่าทางที่น่าเกลียด จึงต้องซ้อนเร้นไม่ให้ใครเห็น กิจกรรมทางเพศหนะ ก็กินแรงงาน ทางร่างกายสูงสุด มันก็ง่ายจนสุนัขก็ทำเป็น แล้วผลที่ได้คือความบ้าวูบเดียว กิจกรรมทางเพศ ให้ผลสูงสุด เป็นความบ้าวูบเดียว วูบเดียว เนี่ยคือเรื่องกามารมณ์ที่บูชากันนัก จนยกย่องเป็นกามเทพอะไร ๆ ก็สนใจ สนใจ วันวาเลนไทน์ ดูให้ดีๆ เถอะว่ามันเป็นเรื่องของอะไร นี่มันเป็นเรื่องของกามารมณ์ ไม่ใช่เรื่องการสืบพันธุ์
ถ้าเป็นเรื่องกามารมณ์ ก็เป็นยังกินเหยื่อ ยังรับใช้ พระอริยเจ้าเช่นพระโสดาบันเป็นต้น ก็มีการสืบพันธุ์ แต่ว่าไม่หลงใหลขนาดบูชากามารมณ์ มันต่างกันอย่างนั้น เราจะเอาอย่างได้ไหม ต้องการสืบพันธุ์ มีพืชพันธุ์ ไม่สูญพันธุ์ แต่ก็ต้องไม่หลงไหลในค่าจ้าง ค่าหลอกลวงของธรรมชาติ เรารู้จักอันนี้แล้ว เราก็จักไม่ตกเป็นอะไร ดีหละ จะใช้คำว่าเป็นทาสก็ได้ เป็นทาสของ
๑) กามุปาทานอันแรก ทำทุกอย่างด้วยอำนาจของสิ่งที่ เรียกว่ากาม ซิกมันด์ ฟรอยด์ เขาพูดไว้มากมายมาย สรุปรวมความแล้วก็ได้ความว่า ทุกอย่างที่มนุษย์ทำไป เป็นไปนี้ มันล้วนแต่อาศัยพลัง ของเซ็กส์ หรือ กาม มันก็ถูก แต่มันถูกเพียงหนึ่งข้อ ในสี่ข้อ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เราก็ควรจะดูกันต่อไป
๒) มาถึงข้อที่สองที่เรียกว่าโดยพลังทิฐิๆ มิจฉาทิฐิความคิดความเห็น ที่สะสมมา มันเป็นทิฐิที่พอใจ แก่เรา เราก็ยึดมั่น ถือมั่นเป็นทิฐิของเรา ยึดมั่นอย่างที่เรียกว่ากระต่ายขาเดียว อย่างนี้มันก็จริงหรือไม่จริง ทุกอย่างที่เราทำไป ที่ว่าทำไปด้วยอำนาจกามารมณ์ เดี๋ยวนี้มันทำด้วยอำนาจของทิฐิก็ได้ มิจฉาทิฐิ ทิฐิหมายมั่น หมายมั่น หมายมั่นอย่างไรทำไปอย่างนั้น ในโลกนี้ ทุกคนทำไปด้วยอำนาจของทิฐิ มันจะได้ผลอย่างไร
๓) ที่นี้ที่ว่าด้วยทำไปด้วยอำนาจของ สีลัพพัตตุปาทาน ความงมงาย การเอาอย่าง หรือว่าการไม่รู้ ตามที่เป็นจริง แล้วก็มีความงมงายตามๆ กันไป ข้อนี้มัน ก็ช่วยไม่ได้ มันก็มีมากเหมือนกัน แล้วก็กำลังมีอยู่ มากด้วย เห็นเพื่อเฮ ไปศึกษาวิศวะกรรมศาสตร์ เอ้าก็เฮไป… เพื่อนเขานิยมศึกษาแพทย์ศาสตร์ ก็เฮกันไป… เขานิยมบริหารธุรกิจ ก็เฮกันไป… ถ้าต้องเฮๆๆๆ ไปอย่างนี้ ก็เรียกว่า สีลัพพัตตุปาทาน มันยึดมั่นสิ่งนั้น โดยไม่รู้ความหมายแท้จริง ของสิ่งนั้น มันก็มีอยู่มากในโลกเหมือนกัน ที่เรามาศึกษาอะไรกันมากๆ อย่างนี้ ที่แรกมันก็ไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจถูกต้อง นอกจาก เฮๆ ตามๆ กันไป ก็กำลังนิยมกันอยู่ก็เฮ… กันไปอย่างนั้น อย่างนี้มันก็เป็น สีลัพพัตตุปาทาน โดยไม่ต้องสงสัย
๔) ทีนี้เหลืออันสุดท้ายที่สำคัญที่สุด เรื่องตัวกูๆ ตัวกูๆ ความรู้สึกอันนี้เป็นสัญชาตญาณเกิดได้เอง โดยไม่ต้อง มีใครสอน สัตว์เดรัจฉานก็มีก็ทำเป็น เป็นตัวกู อยากจะพูดว่า แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ พฤกษชาติทั้งหลาย ก็มีความรู้สึกเรื่องตัวกู แต่พอพูดอย่างนี้ คนบางพวกก็… บ้าแล้วๆ เอาอะไรมาพูด ต้นไม้มีชีวิต มีความรู้สึก เป็นตัวกู ทีนี้วิทยาศาสตร์อันละเอียดอ่อน มันก็พิสูตรไปถึงนั่นแล้ว ว่าต้นไม้ก็มีความรู้สึกที่เป็นตัวกู มันไม่อยาก ตายอย่างเดียวกับมนุษย์ ต้นไม้เนี่ย แล้วมันก็ต่อสู้ เพื่อความอยู่รอด สุดชีวิตจิตใจอย่างเดียวกับมนุษย์ เขาพิสูตรทดลองด้วยเครื่องมือพิเศษ ว่าต้นไม้ก็รู้จักกลัวตาย ไม่อยากตาย เกลียดความตาย เกลียดคนที่เป็นศัตรู กับต้นไม้ ด้วยเครื่องวัดอันหนึ่ง วัดต้นไม้ วัดความเคลื่นไหว วัดความรู้สึกของต้นไม้ พอคนที่รักต้นไม้เข้ามา ในห้องนั้น เครื่องวัดมันก็บอกลักษณะอย่าง พอคนกลียดต้นไม้เข้ามาในห้องนั้น เครื่องวัดก็บอกความรู้สึก ของต้นไม้อย่างนึง ต้นไม้ยังเป็นได้ถึงอย่างนี้ มันก็มีตัวกูเหมือนกัน ในระดับที่ละเอียดอ่อนเหลือประมาณ
รวมความว่าไอ้ตัวกูๆ นี้ มันเป็นสมบัติดั้งเดิม เดิมแท้ดั้งเดิมของสัญชาตญาณ ไม่ต้องมีใครสอน มันก็รู้สึกได้เอง มันกลัวตาย มันอยากอยู่ แล้วในที่สุดมันก็นำไปสู่ความเห็นแก่ตัว แล้วก็ย่ิงๆ ขึ้นไป จนเป็นความเห็นแก่ตัว ชั้นเลวร้ายชั้นกิเลสที่สุด ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเพียงสัญชาตญาณ นี่กำลังเป็นปัญหาทั่วไป ทั้งโลก ความเห็นแก่ตัวกำลัง เป็นศัตรูเลวร้าย ให้ทั้งโลกมันเดือดร้อนกันไปหมด เพราะมนุษย์มันเห็นแก่ตัว มันควบคุมสัญชาตญาณไว้ไม่ได้ มันก็กลายเป็นเห็นแก่ตัวอย่างกิเลส ทุกคนทำอะไรด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าพอดี มันก็ไม่เป็นไร ถ้าเกินพอดี มันก็ทำลายผู้อื่น ทำลายตัวเอง
นอนไม่หลับเป็นบ้าฆ่าตัวตายไป ก็เพราะเห็นแก่ตัว มหาเศรษฐีก็ฆ่าตัวตายได้ นักปราชญ์ก็… นักปราชญ์ ชนิดที่มีปัญญาแบบเห็นแก่ตัว มันก็ฆ่าตัวตายได้ เป็นบ้า เป็นบ้า ไปโรงพยาบาลบ้า ก็เพราะความเห็นแก่ตัว คุณดูเอาเองก็แล้วกัน ในแง่เศรษฐกิจ เดี๋ยวนี้ก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ในแง่การเมืองเดี๋ยวนี้ มันก็ความเห็น แก่ตัว ในแง่ปกครองมันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว
ทั่วๆไปมันก็… มีความเห็นแก่ตัวเต็มไปทั้งนั้น สร้างมลภาวะ มันทำลายธรรมชาติ มันเบียดเบียน ทำอันตราย แก่กันและกัน มันอิจฉาริษยาแก่กัน มันไม่ร่วมมือกัน ไม่สามัคคีกัน มันไม่รักใคร่กัน เพราะความ เห็นแก่ตัว ไอ้ความเห็นแก่ตัว หมายถึงเห็นด้วยความโง่หรือกิเลส ถ้าต้องการจะพัฒนาตัวด้วยอำนาจสติปัญญานี้ เราไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว เรียกเคารพตัว บูชาตัว พัฒนาตัว รักตัว สงวนตัว อะไรไปทำนองนั้น
แต่ถ้ามันเห็นแก่กิเลสอันใดนั้นมันกัดเจ้าของ ไอ้ตัวกู มันกัดตัวมันเอง เหมือนสุนัขขี้เรื้อน ชนิดไหนไม่รู้ มันกัดตัวมันเองเพราะมันคัน นี่ความเห็นแก่ตัว ระวังให้ดี มันมาจากตัวกู แล้วคนเป็นอันมาก กระทั่งเทวดาด้วย มันก็มีตัวกูนี้เป็นรื่องใหญ เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องรวบยอดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่สติปัญญา ไม่ใช่โพธิ
ที่ยกตัวอย่างมาแล้วทั้งสี่ประการ ว่าด้วยกามารมณ์ก็ดี ทิฐิความคิดเห็นอันถือรั้นก็ดี การทำตามๆ กันไป โดยไม่รู้จักเหตุผลที่แท้จริงก็ดี การมีตัวกูของกูเป็นเบื้องต้นก็ดีนี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างเป็นปัญหา โดยความจริง มันก็เป็นโมทีฟ (motive) มันโมทีเวช (motivate) ชีวิตให้เป็นไปตามเรื่องของมัน งั้นเราจึงควรจะรู้จักสิ่งเหล่านี้ เพื่อควบคุมชีวิตให้มันถูกต้อง
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า “ชีวิต” นี้มันเป็นการศึกษา, เป็นผู้ศึกษา, เป็นผู้เรียน, ผู้สอบไร่, เป็นผู้ตัดสิน แล้วก็เป็นผู้จะรับผลของการศึกษา จึงต้องรู้มันทุกเรื่อง ที่จะให้มันเป็นไปเพื่อความถูกต้อง สรุปความว่าอย่าให้ เป็นไปด้วยอำนาจ สัญชาตญาณที่เป็นฝ่ายกิเลส อยู่ในรูปของอุปาทานทั้ง ๔ ประการดังที่กล่าวแล้ว แต่ให้มันเป็น ไปด้วยอำนาจของสัญชาตญาณที่พัฒนาขึ้นมา จนเป็นโพธิๆ
เด็กเกิดมาจากในท้อง ไม่มีกิเลส ไม่มีโพธิ เด็กอยู่ในท้องออกมาจากท้องมารดานี้ ไม่มีทั้งกิเลส ไม่มีทั้งโพธิ แต่พอออกมาจากท้องมารดาแล้ว มันก็เริ่มทำงานด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีผลเกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าถูกใจหรือมีความเป็นบวก มันก็เกิดความรักความต้องการ ความยึดครอง ความหวงหึง เป็นกิเลสประเภทบวก
ถ้ามันไม่ตรงตามความประสงค์ มันก็เกิดกิเลสประเภทลบ มันไม่ชอบ มันเกลียด มันโกรธ มันจะทำลาย มันจะฆ่าเสีย กิเลสประเภทบวกนี้มันจะดึงเข้ามา ดึงเข้ามา เอามาถือไว้กอดรัดไว้ กิเลสประเภทลบมันจะทำลาย ให้วินาศไป อย่างนี้ไม่ใช่โพธิ
ถ้ามันรู้ถูกต้องว่าควรจะทำอะไร อย่างไร กับอะไร มันจึงจะเป็นโพธิ มันไม่ไปหลงโง่เป็นบวก ให้เป็นบ้า บ้าบวก มันก็ไม่หลงโง่ในทางลบ ให้เป็นบ้าลบ มันอยู่เหนือความเป็นบวกและความเป็นลบ ไม่เกิดปัญหา นั่นแหละคือ โพธิๆ มันเป็นไปในทางที่จะไม่หมายมั่น ยึดมั่นอะไร ไปตามอำนาจของอุปาทาน แต่แล้วส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่คือส่วนมากที่สุด มันยากที่จะเป็นไปในทางโพธิ มันเป็นไปในทางกิเลสเสียมากกว่า คือมันจะยึดมั่น ในทางบวกในทางลบ มันจะเกิดความเคยชิน ไปในทางที่จะรู้สึกยินดี หรือยินร้าย คือบวก หรือลบ
เรื่องบวก มันเป็นเสน่ห์สนุกสนานเอร็ดอร่อย แต่ถ้าเรื่องลบก็ไม่ใช่เล่นถ้าได้โกรธเขา ถ้าได้ตีเขา ถ้าได้ด่า เขา ไอ้พวกนี้มันก็รู้สึกว่า อร่อยของมันเหมือนกัน นี่จึงเลยสนใจ หลงใหล ผูกพัน กันในเรื่องของกิเลสไปพัก หนึ่ง แหละอย่าอวดดีเลย
ออกมาจากท้องแม่นี่ไม่มาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเข้าใจไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามอำนาจของสิ่งนั้น คำเปรียบ ที่ดีที่สุด ที่ควรจะจำไว้ ว่ามันเกิดมา อยู่กับพ่อแม่สักพัก แล้วก็ไม่สนุก ไม่พอใจ ไม่ถึงใจว่าอย่างนั้น มันก็หนี พ่อแม่ตามโจรไป ก็เห็นว่าพวกโจรเขาทำอะไรอิสระเสรี สนุกสนานน่าดู ก็ทิ้งพ่อแม่ หนีพ่อแม่ตาม โจรไป แล้วก็ไปทำตามวิสัยโจร บูชากิเลสกันสุดเหวี่ยง จนกว่าเมื่อไหร่เพียงพอเข้า หนักเข้า เต็มที่เข้า มันโอ้ไม่ไหวแล้ว… ผิดแล้ว ผิดแล้ว มันจะหนีโจรกลับมาหาพ่อแม่ หาความถูกต้องใหม่ แล้วมันเป็นไปอย่างนี้ ได้กี่คน ได้กี่คน
คุณดูเด็กๆ ทั้งหลายยุวชนทั้งหลาย หนีพ่อแม่ไป ตามโจรไป ไปเข้าอะไรตามประสาของเขา นี้มันรอดมาได้กี่คน ที่จะกลับมาหาพ่อแม่คือความถูกต้องอีก นี่ระวังให้ดี ทารกเกิดมา เติบโตไม่เท่าไหร่มันก็หนี พ่อแม่ตามโจรไป ไปบูชา…อะไร (0:45:07.3) สิ่งสนุกสนาน สวยงาม หรูหรา กระทั่งบูชากามารมณ์ มันไม่ได้บูชาความถูกต้องหรือธรรมะ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ มีความจริงเป็นอย่างนี้ มีแต่ว่าจะเป็นมากหรือเป็นน้อย ถ้าเป็นมาก มันเอาตัวไม่รอด มันก็วินาศไปเลย ในหมู่พวกโจรนั้นเลย แต่ถ้าว่าชีวิตมันเป็นการศึกษา การเรียน การสอนอยู่ในตัวมันเอง มันมองเห็น อ้าว… นี่ผิดหมดแล้ว แล้วนี่เป็นโจร นี่อยู่กับพวกโจรนี่ กู… มันก็เลยหาทางหนี… กลับมาหาพ่อแม่ คือความถูกต้อง
เราอย่าให่้มันต้องเป็นเช่นนั้นมากนักเลย นานนักเลย มันผิดพลาดไปบ้าง ไปสถานเริงรมย์ ไปบ้าๆ บอๆ อะไรตามนั้นกันบ้าง ก็ขออย่าให้มันนานนักเลย ให้มันรู้จักโดยเร็ว ถอดตัวออกมาเสียโดยเร็ว มาสู่ความถูกต้อง นี่เรียกว่ามันต้องเผชิญกันอย่างรุนแรงขนาดนี้ สำหรับสิ่งที่เรียกว่าชีวิต
และนั้นแหละคือ ความหมายของคำว่า “ชีวิต” มันเป็นตัวการศึกษา, เป็นตัวการสอบไล่, เป็นตัวผู้ศึกษา เป็นตัวผู้ที่จะได้รับผลของการศึกษา, ขอให้จัดให้ถูกต้องให้หมด ชีวิตเป็นตัวการศึกษา ทุกอย่างทุกประการ ชีวิตเป็นตัวผู้ศึกษา รับผิดชอบตัวเองไม่มีใครมารับแทนได้ และชีวิตมันจะเป็นตัวผู้รับผลของการศึกษา
คุณจะเห็นได้รึยังว่า การศึกษาแต่เพียงวิชาการ แขนงใดแขนงหนึ่งนั้นหนะ มันพอหรือยัง มันเป็นเพียง เพื่ออาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ จะไปศึกษาในมหาวิทยาลัยแขนงไหนก็ตาม มันเป็นส่วนหนึ่งเพื่ออาชีพ เท่านั้น มันไม่สามารถดำเนินชีวิต ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ มันยังต้องศึกษาส่วนที่ยังขาดอยู่ สิ่งนั้นแหละคือ ธรรมะ ธรรมะที่ท่านทั้งหลาย อุตส่าห์มาที่นี่เพื่อจะศึกษามัน อาจจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็ได้ จะเอาเป็น ถึงกับว่ามาศึกษาธรรมะไปเป็นองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ ของอาชีวะศึกษา อย่างนี้มันก็ได้เหมือนกัน แต่มันถูก นิดเดียว
เอาธรรมะไปเป็นองค์ประกอบน้อยๆ ของไอ้อาชีวะศึกษาหนะ มันก็ถูกเหมือนกัน ไม่ใช่ผิด แต่มันน้อย เกินไป มันจะต้องเอาไปเป็นสิ่งนำ การศึกษา นำชีวิตทั้งหมดให้มันถูกทาง ให้มันถูกทาง ให้มันอยู่เหนือปัญหา ให้มันได้ชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ อาชีวะศึกษาอย่างที่เขามีๆ กันอยู่ในโลกนั้นมันช่วยไม่ได้ มันยังไม่อยู่เหนือ ปัญหา บางทีมันจะจมลงในปัญหา มันมากไปกว่าเดิมเสียอีก เรียกว่าไม่รอดไม่หลุดพ้น ไม่มีการหลุดพ้นตาม หลักธรรมะ ยังมีอะไร ขบกัด ผูกมัด รัดรึง ครอบงำ หุ้มห่อ เสียดแทง อยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่ากัดเจ้าของ
ขอออกชื่ออีกครั้งหนึ่งช่วยจำไว้ให้ดีว่า มันยังมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นไฟเผารน เพราะความโง่ มันไม่ใช่ความรักที่ถูกต้อง มันไม่รู้จัก มันเต็มไปด้วยความโกรธ เป็นไฟเผารนตัวเอง ผู้ที่ถูกโกรธ เขาไม่รู้อะไร ตัวเองร้อนเป็นไฟ ความเกลียด ตัวเองก็เป็นไฟ ผู้ถูกเกลียดยังไม่รู้อะไรก็ได้
ความกลัวอันนี้เป็นความโง่ที่สุด ไม่ต้องกลัว เราไม่ต้องกลัว เราทำโดยสติปัญญา โดยไม่ต้องกลัว แม้เห็นเสือ เราก็ไม่ต้องกลัว เราวิ่งหนีด้วยสติปัญญา ถ้าเรากลัวเสียแล้วเราจะวิ่งไม่รอด เราจะขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ถ้าเรากลัวใช่ไหม เราไม่ต้องกลัว เราก็ทำไปด้วยสติปัญญา
นี้ความตื่นเต้น ตื่นเต้น ขอเน้นเป็นพิเศษว่า ยุวชนทั้งหลายยังโง่ในเรื่องนี้มาก ชอบความตื่นเต้น ชอบการกระตุ้นๆๆ ให้มันตื่นเต้น ชอบความตื่นเต้นชนิดที่ไม่มีเหตุผล ต้องไปทำอะไรที่ให้มันตื่นเต้น ให้มัน น่าตื่นเต้น ไปดูกีฬา ไปดูมวย ไปดูอะไรบ้าๆ บอๆ เพียงให้เกิดความตื่นเต้น ให้มันมากใช่ไหม ระวังให้ดี ความตื่นเต้น แล้วมันก็กัดเจ้าของเหมือนกัน มันหลอกไปพักเดียว
ขอบอกความลับนิดหน่อยที่ชอบการตื่นเต้นของกีฬา กีฬาเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่กีฬา ทำลายความเห็นแก่ตัว กีฬาเดี๋ยวนี้เพิ่มความเห็นแก่ตัว มันเล่นฟุตบอล มันหาโอกาสจะเอาเปรียบทุกกระเบียดนิ้ว เพื่อจะเอาชนะ บางทีแพ้ก็ต้องมาถูกลงโทษ แต่ในใจของมันเต็มไปด้วยความคิดที่จะเอาเปรียบๆๆๆ งั้นสนามกีฬานั้น ไม่มี ความลดเลิก ความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งเล่นกีฬา ยิ่งเห็นแก่ตัว ไปดูให้เสียเวลา ให้เสียสตางค์ มันไม่พบไอ้ความเป็นนักกีฬา น้ำใจนักกีฬา หาไม่ได้ในสนามกีฬา เพราะว่ามันซ่อนไว้ ด้วยความเห็นแก่ตัว เราก็ตื่นเต้นๆ ยอมเสียค่าดู ยอมอะไรไป ตื้นเต้นไป โห่ร้องไป เชียร์ไปอะไรก็ตาม ความตื่นเต้นนี้มันเป็นกิเลส เป็นความโง่ มันกัดเจ้าของ
ทีนี่ความวิตกกังวลในอนาคต นี่ป่วยการ อย่าอยู่ด้วยความหวัง เหมือนที่สอนลูกเด็กๆ ให้อยู่ด้วย ความหวัง อันนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา อยู่ด้วยความหวังไม่ใช่พุทธศาสนา บ้าๆ บอ ไอ้เปรต… น้ำลายของพวกฝรั่ง ให้อยู่ด้วยความหวัง ที่ไหนมีความหวังที่นั้นมีความสำเร็จ
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้อยู่ด้วยความหวัง แต่ให้อยู่ด้วยสติปัญญา รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร แล้วก็รู้ แล้วก็ ทำไปด้วยอำนาจสติปัญญา อย่าอยู่ด้วยความหวังให้มันกัดหัวใจ ความหวังหนะมันกัดหัวใจ คิดออก คิดถูก ตัดสินใจแล้วว่าจะทำอะไร ก็อยู่ด้วยสติปัญญา อย่าอยู่ด้วยความหวัง ซึ่งเหมือนกับคอแห้ง หิวกระหายอยู่เสมอ
ในพุทธศาสนานี้เรียกความหิวว่าเป็นเปรต อย่าอยู่ด้วยความหิว อยู่ด้วยสติปัญญา อยู่ด้วยความถูกต้อง อิ่มๆๆ อิ่มอยู่ทุกขณะที่ทำได้ เรียนอะไรได้เท่าไหร่ก็พอใจอิ่มอยู่ เรียนเพิ่มอีกก็พอใจอิ่มอยู่ พอใจอิ่มอยู่ อย่าให้มีความขาด หรือความหิว ที่เรียกว่าความหวังนั้นหนะ พุทธศาสนาต้องการให้กำจัดเสีย ถ้ากำจัดได้แล้ว เป็นพระอรหันต์ ถ้าอยู่ด้วยความหวังก็เต็มไปด้วยวิตกกังวล นอนหลับยาก เป็นบ้าไปก็ได้ในที่สุด
ทีนี้อาลัยอาวรณ์นี้ เป็นเรื่องในอดีตที่ล่วงมาแล้ว วิตกกังวล เป็นเรื่องอนาคตที่ยังไม่มา อาลัยอาวรณ์ เป็นเรื่องอดีตล่วงไปแล้ว ก็อย่าเลยเลิกกันไปทิ้งกันไป มันสอนให้พอแล้วก็ไปทำใหม่เสียให้ถูก เอาเป็นครูก็ได้ แต่ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์ ให้มันกัดหัวใจ นี่ก็เรียกว่าไม่อาลัยอาวรณ์
ไม่อิจฉาริษยา นี่สำคัญมาก โลกนี้มันจะวินาศอยู่ด้วยความอิจฉาริษยา ฝ่ายซ้ายอิจฉาริษยาฝ่ายขวา ฝ่ายขวาก็อิจฉาริษยาฝ่ายซ้าย ฝ่ายนายทุนอิจฉากรรมกร กรรมกรก็อิจฉาศึกษานายทุน มันเลยมีฝ่ายค้าน มีความ อิจฉาริษยา ขึ้นสมอง มันค้านตะพฤติ 0:54:22.3 มันค้านให้ล้มละลาย ค้านให้แหลก แล้วมันจะเป็นรัฐบาลเสียเอง อย่างนี้มันเป็นกันทั้งโลก คุณดูให้ดี ๆ ว่าความริษยา มันจะทำให้โลกนี้ฉิบหาย เราไม่อยากเห็นใครได้ดีเท่าเรา หรือเสมอเรา แม้บางทีก็ไม่อยากจะให้เขาอยู่ร่วมโลกด้วยซ้ำไป นี่ขอให้สนใจเถิด ว่าความอิจฉาริษยานี้ มันทำให้ เกิดปัญหา หรือความพินาศในที่สุด
และในที่… ต่อไปก็เป็นความหวง ๆ ถ้ามีตัวกูแล้วมันก็หวง หวงกั้น กีดก้ัน หวงก้ัน กางปีกเลย นี้เรียกว่าความหวง มันก็แคบ มันก็เห็นแก่ตัว หนักเข้ามันก็แคบ มันก็ทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว แต่ความหวงนี้ ถ้าเข้มข้นๆ มันก็กลายเป็นความหึง อย่างที่ความหึงในทางเพศ มันเป็นความหวงที่เข้มข้น เอาแล้ว… พอจะพอ แล้วมั้งว่า ชีวิตที่กัดตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไร คือมันเต็มอยู่ด้วยความรัก ด้วยความโกรธ ด้วยความเกลียด ด้วยความกลัว ด้วยความตื่นเต้น ด้วยความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง หวงหึงในที่สุด
จะพูดให้มากกว่านี้ก็ได้ ยังมีอีก แต่ไม่จำเป็น เท่านี้มันก็เกินพอ เกินพอที่จะมองเห็นว่า ชีวิตมันกัดเจ้า ของนี้อย่างไร มันเป็นชีวิตโง่มันหลงบวกมันหลงลบ มันก็ต้องเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา
มาดูฝ่ายโพธิ ฝ่ายโพธิ ที่ไม่เป็นอย่างนั้น จะได้ชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ มันเป็นความรู้สูงสุด มองเห็นว่า ไอ้บวก ไอ้ลบนี้ มันบ้าพอๆ กัน ความเป็นไปในทางบวก ก็ล่อให้หลงไป ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความยุติ ไม่ใช่ความสะอาด ไม่ใช่เสรีภาพ เพราะมันบ้าบวก บ้าดี เมาดี หลงดี, ดูเถิด ดูคนบ้าดี เมาดี หลงดี เป็นอย่างไรบ้าง นั่นมันเรื่องทางบวก
เรื่องทางลบมันบ้าชั่ว เมาชั่ว หลงชั่ว นี้มันไม่ไหวแหละ มันก็พอจะ… สรุปกันได้ง่ายๆ ว่าไม่ไหว แต่ไอ้บ้าดีนี่ก็ระวัง มันยั่วมันมีเสน่ห์ จะให้พิจารณากันถึงเรื่องที่มันเห็นง่ายๆ ว่าดีใจ กับ เสียใจ ทุกคนชอบดีใจ ชอบดีใจ สนุกสนานด้วยความดีใจ แต่ดูให้ดี ความดีใจนั้นไม่ใช่ความสงบ ความดีใจนั้นมันเป็นความตื่นเต้น มันสั่นระรัว มันสั่นระรัวมันเป็นอาละวาด มันเป็นโมทีฟที่อาละวาด สั่นระรัว ไม่ใช่ความสงบดีใจๆ ดีใจเกินไป ก็กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับเหมือนกันแหละ ถ้าว่าถูกลอตตอรี่รางวัลสูงสุดในโลก ก็บ้าไปพักหนึ่งแหละ นี่เรียกว่าดีใจๆ มันไม่ใช่ความสงบ
นี่ถ้าเสียใจๆ มันก็ตรงกันข้าม ไม่ไหว ทรมานมากเกินไป ให้สังเกตดูอย่างยิ่ง ถึงที่สุดว่า เวลาที่เราไม่ดีใจ ไม่เสียใจ นั้นเป็นอย่างไร มันอาจจะมีมาให้สักแว่บนึงก็ได้ แต่เราไม่สนใจ เราไม่สังเกต เราก็ไม่รู้สึกในเรื่องนี้ เพราะไป หลงดีใจ หลงบวก ก็หลงเกลียด เสียใจ คือลบ หรือกลัวอยู่เสมอ มันก็มีแต่ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว อยู่เสมอ ไม่พบกับความสงบ
ถ้าจะศึกษาวิปัสสนาที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา แล้วก็ขอให้ท่านทั้งหลายเยาวชน หนุ่มสาวอะไรก็ตามที คอยจดจองสังเกตดูดีๆว่า เวลาไหน ที่ไม่เป็นความดีใจ ไม่เป็นความเสียใจ เวลานั้นสงบที่สุด ละเอียดปราณีต สุขุมที่สุด เอตัง สันตัง เอตัง ปณีตัง (0:59:03.4) นั้นคือพระนิพพาน ละเอียดที่สุด ปราณีตที่สุด สูงสุด สงบที่สุด นั้นคือ นิพพาน ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
ถ้าดีใจคิดอะไรได้ไหม เหลวเท่านั้นหนะ… ดีใจเต็มที่ เรียนหนังสือได้ไหม… ไม่ได้ สับสนหมด เสียใจก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าโปร่งสบาย พอดี นั่นหนะดี เรียนดี คิดดี ทำดี การศึกษาก็ดี การงานก็ดี ฉะนั้นอย่าให้มันครอบงำเลย ทั้งความดีใจ และความเสียใจ อยู่เหนือความดีใจ และเหนือความเสียใจ ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ ไม่มีการดูดมา ไม่มีการผลักออก ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ จิตเป็นอย่างนี้ คงที่อย่างนี้ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ได้อย่างนี้แล้ว ก็เป็นพระอรหันต์
แต่เราไม่ต้องการถึงกับเป็นพระอรหันต์ ต้องการเป็นคนธรรมดาอยู่ในโลกนี้ แต่อยู่อย่างตามรอย พระอรหันต์ อยู่ด้วยความสงบ ความสะอาด ความสว่าง ความเสรีภาพ ไม่มีกิเลสมาไสหัว ผลักไปที่นั้น ผลักมาที่นี่ เป็นเสรีภาพอย่างนี้ ชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตที่อยู่เหนือบวกเหนือลบ เรียกให้ถูก ก็ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะว่ามันอยู่ เหนือ… ความสุขและเหนือความทุกข์
ความสุขก็มาหลอกให้เอร็ดอร่อยหลงใหลไม่ได้ ความทุกข์ก็มาครอบงำย่ำยีเกลียดกลัวไม่ได้ เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือบวกเหนือลบ ไม่ใช่อยู่ระหว่างนะ ถ้าอยู่ระหว่างบวกระหว่างลบ เผลอนิดเดียวมันก็เอียง ไปข้างหนึ่ง อยู่มันเหนือ… ซะเลย มันไม่ต้องเป็นบวกเป็นลบ ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่บุญไม่บาป ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่กุศลไม่อกุศล เหนือเหล่านี้ทั้งหมด นี่ชีวิตสูงสุด…สูงสุด
ให้ไปเรียนมาจบมหาวิทยาลัย ทุกมหาวิทยาลัย ทั้งโลกในโลกคุณก็ไม่ได้สิ่งนี้ ท้าทายอย่างนี้ ถ้าคุณเรียนไหว จบมหาวิทยาลัยทุกแห่งในโลก คุณก็ทำไม่ได้ แต่แม้คุณจะทำได้ คุณก็ไม่ได้สิ่งนี้ ไม่ได้ชีวิตชนิดนี้ งั้นจึงต้องมาหา ธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้รู้เรื่องของโพธิๆ รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ว่าจะไปยึดมั่นถือมั่น มาเอาเป็นตัวกูของกูไม่ได้
ความรู้สึกว่าเป็นตัวกูของกู มันเกิดเพราะหลงบวกหลงลบ ถ้าถูกใจมันก็เกิดตัวกูบวก ไม่ถูกใจมันก็เกิด ตัวกูลบ ความรู้สึกว่าตัวกูนี้เป็นมายา เกิดมาจากความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีขึ้นเองในจิตใจด้วยสิ่งแวดล้อม จึงเกิดความรู้สึกที่เป็นความรักขึ้นมาในใจ มันจะเกิดตัวกูผู้รัก ตัวกูผู้รักมันเกิดทีหลังความรัก อารมณ์ปรุงแต่ง อย่างอื่นทำให้เกิดความรักปรากฎอยู่ในจิตใจ ความโง่ซ้ำสองก็เกิดให้ตัวกูผู้รัก
ความโกรธก็เหมือนกัน โกรธขึ้นมาแล้ว มันก็เกิดความรู้สึกว่าตัวกูผู้โกรธ การได้ การเสีย การแพ้ การชนะ รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ อย่างไหนก็ตามเกิดขึ้นในใจแล้ว มันจึงเกิดตัวกู ผู้เป็นเช่นนั้น ตัวกูเป็นมายา มันเกิดทีหลัง ความรู้สึกที่เป็นการกระทำ พวกคุณก็จะคัดค้านว่าผิดโลจิค (logic) แล้ว ทำไมตัวผู้กระทำ เกิดที่หลังการกระทำ อะไรกระทำ นั้นแหละหัวใจพุทธศาสนา ว่าการปรุงแต่ง ทำให้เกิดความรู้สึก อย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมา และจึงเกิดความรู้สึก เป็นตัวกู ผู้กระทำอย่างนั้นอย่างนี้ นี่คือตัวกูมันเป็นมายา มันเป็นอนัตตา ไม่ได้มีตัวจริงเลย เพราะฉะนั้นเราจึงหลงบวกหลงลบ มีตัวกูบวกมีตัวกูลบ
บวกก็กัดเอาอย่างบวก ลบก็กัดเอาอย่างลบ ถ้าเป็นตัวกูแล้วกัดทั้งนั้น ไม่ว่าตัวกูบวก หรือตัวกูลบ เราจะต้อง อยู่เหนือนั้น คือไม่หลงบวกและไม่หลงลบ ถึงที่สุดก็เป็นพระอรหันต์ ไม่ถึงที่สุดก็เป็นรองๆ ลงมา อย่างต่ำก็เป็น ปุถุชนชั้นดี ที่ชีวิตนี้ไม่สู้จะกัดเจ้าของ ขอให้ภาวนาไว้ว่า เราจะมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ แต่ความรัก ความโกธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึงเป็นต้น
ชีวิตเพชร ชีวิตที่เป็นเพชร ชอบไหม อุปมาเหมือนกับชีวิตที่เป็นเพชร เพชรนั้นแข็งจนตัดอะไรได้หมด แต่อะไรจะมาตัดเพชรไม่ได้ เพราะเพชรมันแข็งกว่าทั้งหมด ชีวิตเพชร, ชีวิตเพชรอย่างนี้อะไรมาตัดไม่ได้ มันปรุงแต่งไม่ได้ เรียกเป็นบาลี เป็นภาษาศาสนาสักหน่อย ก็เรียกว่า อตัมมยตา ภาษาธรรมะ ภาษาศาสนา เรียกว่า อตัมมยตา เมื่อคุณฟังไม่ออก ไม่เข้าใจก็ไม่อยากจะสนใจ ชั่งหัวมัน ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้
อตัมมยตา คือ ชีวิตเพชร ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่อะไรๆก็มาตัดมันไม่ได้ เหมือนกับเพชร มันไม่ถูกอะไรกัด อะไรตัดไม่ได้ อย่่างนี้แหละสูงสุด ประเสร็จที่สุด เป็นความคงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง ในอิสระภาพ ในเสรีภาพ อะไรมายั่วให้บวกก็ไม่ได้ ลบก็ไม่ได้ คือไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัวเหล่านั้น อุปมากันลืม สำหรับชีวิตเพชร ที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายๆ และลืมยากก็ว่า หญิงสาวคนไหนมีชีวิตเพชร คือ อตัมมยตา ต่อให้มีชายชู้ที่ฉลาดสักฝูง หนึ่งก็เกี้ยวพาเขาไปไม่ได้ เพราะเขามีชีวิต อตัมมยตา
หรือชายหนุ่มก็หมือนกัน ชายหนุ่มคนไหนมีชีวิต อตัมมยตา ชีวิตเพชร ปรุงแต่งไม่ได้่นี่ ให้หญิงสาวงาม สักฝูง ต่อให้นางฟ้าด้วยลงมาช่วยกัน มันก็เกี้ยวเขาไปไม่ได้ เนี่ยคือ อตัมมยตา ชีวิตเพชร แข็งโป๊ก อะไรพาไปไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ นี่ชีวิตเพชร เพราะอำนาจของโพธิๆ รู้แจ้งจนไม่หลงบวก ไม่หลงลบ โดยประการทั้งปวง
นี่สุดท้ายปลายทางของการศึกษามันอยู่ที่นี่ ชีวิตเป็นตัวการศึกษา ตัวการเรียน การสอบไล่ ชีวิตเป็นตัว “ผู้” ศึกษาเอง ชีวิตเป็นตัว“ผู้” ที่จะได้รับประโยชน์ของการศึกษา ถ้ามีการศึกษาถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา อย่างนี่แล้ว มันก็ได้ชีวิตที่เป็นเพชรอยู่เหนือปัญหา โดยประการทั้งปวง ไม่ตกเป็นทาสของความเป็นบวก ไม่ตกเป็นทาสของความเป็นลบ ที่ภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า positive บ้าง และ negative บ้างนี่ สองอย่างนี้มันบ้า มันทำให้เห็นแก่ตัวอย่างบวกและอย่างลบ แล้วมันก็เห็นแก่ตัว แล้วมันก็กัดตัวเอง กัดผู้อื่น กัดวินาศไปหมด ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็รักผู้อื่น มันก็เห็นแก่ความถูกต้อง ถ้ามันเห็นแก่ตัวแล้วมันก็เห็นแก่กิเลส ไม่เห็นแก่ใคร ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง
งั้นขอให้การศึกษาของเราดำเนินไปอย่างถูกต้อง จนสามารถอยู่เหนืออำนาจของความเป็นบวกหรือ ความเป็นลบ ไม่ใช่อยู่ตรงกลาง ไม่ใช่ neutral ไม่ชอบคำนี้ แต่ให้อยู่เหนือๆ เหนือเป็นโลกุตตระ เป็น อุตตระเหนือโลก ไม่ใช่อยู่ ระหว่างโลก แต่ว่าอยู่เหนือโลก เหนือบวกเหนือลบ เหนือดีเหนือชั่ว เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือได้เหนือเสีย เหนือแพ้เหนือชนะ กระทั่ง เหนือความเป็นหญิง หรือความเป็นชาย ไม่มีปัญหาอะไรเลยนั้นแหละ ที่จบสิ้นของ การศึกษาตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา อันมีอยู่อย่างนี้
นี่ขอฝาก ไว้แก่ท่านนักศึกษาทั้งหลาย ที่เรียกตัวเองว่า นักศึกษา จงดูให้ดีว่าชีวิตนี้มันเป็น “ตัว” การศึกษา, ชีวิตนี้มันเป็น “ผู้” ทำการศึกษา, ชีวิตนี้มันจะเป็น “ตัวผู้” รับประโยชน์ของการศึกษา, มันต้องรับผิด ชอบตัวเอง มันจัดการศึกษาของมันให้ดีๆ ให้ได้รับประโยชน์ที่ควรจะได้รับ หรือสิ่งที่ีดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียชาติ ที่เกิดมาและตอบปัญหาได้โดยถูกต้องว่า เกิดมาทำไม เกิดมาทำไม เกิดมาทำไม ที่พวกคนโง่มันไม่รู้จัก มันจะตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ว่า เกิดมาทำไม
ขอให้เราเป็น ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ตามความหมายของพุทธศาสนา รู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วก็สามารถ ทำให้ได้รับสิ่งนั้นด้วย เรื่องก็จบ
ขอทบทวนอีกครั้งนึงว่า ขอยินดีด้วย ขออนุโมทนาด้วย ในการที่ท่านทั้งหลาย มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะ อย่างนี้ คือมาเพื่อหาธรรมะไปประกอบกันเข้ากับการศึกษาของชีวิต ที่มันยังไม่สมบูรณ์ ถ้ายังเป็นเพียงอาชีวะ ศึกษาก็แค่นั้นเอง เดี๋ยวจะพูดว่าสัตว์(1:10:11.8) ก็ทำเป็น มันต้องมากกว่านั้น ต้องเป็นชีวิต สูงสุด… สูงสุด… อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ไม่มีปัญหาโดยประการทั้งปวงก็ “เหนือ” ความทุกข์โดยประการทั้งปวง
ท่านจงศึกษาอบรมชีวิต ให้ได้เป็น ชีวิตที่เป็นเพชร ไม่มีอะไรมาตัดได้ มีแต่จะตัดปัญหาทั้งปวงออกไป ในความหมายของคำว่าสูงสุดๆ เรียกในภาษาศาสนาว่า อตัมมยตา เรียก เป็นภาษาอังกฤษ สักหน่อยว่า unconcoctability ให้ไปเปิดดูปทานุกรมทั้งโลก ไม่มีคำๆ นี้ unconcoctability มันเป็นเรื่องของพุทธศาสนา โดยเฉพาะ คือความที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ความที่อะไรๆ ปรุงแต่ง “จิต” ไม่ได้ ความที่อะไรมาเชิด เชิดชีวิตให้เป็นบวก หรือเป็นลบไม่ได้ unconcoctability, concoctable แปลว่าปรุงแต่งได้ unconcoctable ปรุงแต่งไม่ได้ unconcoctability ภาวะของความที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ขอให้จำไว้ในใจนี่คือ อตัมมยตา ในพุทธศาสนามีแล้วเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ต้องเป็น พระอรหันต์ แต่เป็นลูกศิษย์พระอรหันต์จะมี ความเยือกเย็น เยือกเย็น โดยธรรมชาติสูงสุด ช่วยกระทำให้เป็นไป
ขอให้ท่านทั้งหลายเป็นนักศึกษา ศึกษาจนมาเข้าใจเรื่องเหล่านี้ แล้วดำเนินอยู่อย่างถูกต้องในกระแสทาง เกลียวทาง อันนี้ ให้ก้าวหน้าขึ้นไป ด้วยความเป็นคนดี มีความสุขในการเรียน มีความสนุกพอใจในการเรียน ในการงานในการดำรงชีวิตอยู่ ตลอดทุกทิวาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย