แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาและท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ครั้งที่แล้วมาเราพูดกันเรื่องพัฒนาชีวิตตามหลักธรรมชาติ วันนี้จะพูดถึงเรื่องผลของการพัฒนาสำเร็จรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่าธรรมะชีวิตา ธรรมะชีวิตา ประกอบขึ้นด้วยคำว่าธรรมะชีวี ธรรมะชีวีแปลว่ามีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตอันประกอบไปด้วยธรรมะ มีความเป็นอย่างนั้นเรียกว่าธรรมะชีวิตา ความเป็นผู้มีชีวิตประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ซึ่งจะได้พิจารณากันต่อๆไปในฐานะที่เป็นผลของการพัฒนา โดยวิธีที่กล่าวแล้ว ขอให้ท่านย้อนระลึกถึงข้อความที่ได้พูดมาแล้ว ในครั้งที่แล้วมาด้วย
การพัฒนา ต้องเอาความหมายว่าทำให้มากขึ้นในทางที่ถูกที่ควร ไม่ใช่มากเฉยๆ คือทำมากไปด้วยสิ่งเล้าประโลมใจ สนุกสนาน เพลิดเพลิน มากเกินไป รุ่งโรจน์ โลดโผน อย่างที่ต้องการกันนักนั้นจะไม่ใช่พัฒนาก็ได้ คือมันพัฒนาไปในทางที่จะเป็นบ้า คำเดียวกับคำว่าเป็นบ้า การพัฒนาที่ไม่ถูกต้อง การพัฒนาโดยหลักแห่งธรรมชาติ ๔ ความหมาย คือว่าต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยความหมาย ๔ ความหมาย นี่มันเป็นหลักพื้นฐานหรือในเบื้องลึก เป็นแกนกลางซึ่งจะต้องขอร้องให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แล้วควบคุมให้มันไปตามนั้นโดยถูกต้องและสมบูรณ์ ธรรมชาติ ๔ ความหมายก็พูดกันมาบ้างแล้ว ว่าปรากฏการณ์ของธรรมชาติตามที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มันก็เรียกว่าตัวธรรมชาติ ในภาษาบาลีหรือภาษาธรรมะนี้เรียกว่าสภาวธรรม สภาวธรรม คำนี้มีความหมายกว้าง ควรจะจำและรู้จักใช้ สภาวธรรมแปลว่าสิ่งที่เป็นอยู่เองตามธรรมชาติ ความหมายที่ ๒ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ คือความจริงอันเด็ดขาดของธรรมชาติตามที่มันมีอยู่อย่างไร นี่เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ เรียกเป็นภาษาธรรมะก็ว่าสัจธรรม สัจธรรม คือสัจจะของธรรมชาติ โดยทั่วไปทั้งหมดทั้งสิ้นรวมกันทั้งระบบเรียกว่าสัจธรรม คือกฎของธรรมชาติหรือสัจจะของธรรมชาติ ถ้าเราเอามาใช้เฉพาะเรื่อง เฉพาะเรื่อง ไม่ได้หมายถึงทั้งหมด เราชอบเรียกกันว่าธรรมะสัจจะ ธรรมะสัจจะ ถ้าสัจจะธรรมก็คือทั้งหมด ไอ้ธรรมสัจจะก็เฉพาะเรื่อง เฉพาะเรื่อง เฉพาะเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องไป นี่ก็เป็นคำที่ ๒ เรียกว่าสัจธรรม นี้ความหมายที่ ๓ ของธรรมก็คือหน้าที่ หน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ มิเช่นนั้นจะต้องตาย ซึ่งมีความหมายอยู่เป็น ๒ อย่าง คือตายทางร่างกาย เอาไปเผาไปฝัง และก็ตายทางจิตใจ คือมีชีวิตอยู่อย่างที่หาความสุขสงบไม่ได้ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นอยู่เสมอ นี่เรียกว่าตายทางจิตใจ เรามีหน้าที่ที่จะทำให้ไม่เกิดความตาย ใน ๒ ความหมายนี้หรือจะมีอีกกี่ความหมายก็สุดแท้ ถ้ามันเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียก็เรียกว่าความตาย นี่เรียกว่าปฏิปัตติธรรม ปฏิปัตติธรรมหรือปฏิบัติธรรมก็แล้วแต่จะเรียก คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ควรปฏิบัติเรียกว่าปฏิปัตติธรรม ครั้นมีการปฏิบัติธรรมแล้ว ก็มีความหมายที่ ๔ คือผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ นี่เราเรียกว่าปฏิเวธธรรม ปฏิเวธธรรม ปฏิเวธะ ธรรม ธ ธง เวธะ คำนี้มันแปลว่าแทงตลอด แทงตลอด ก็หมายถึงความรู้โดยประจักษ์ และก็ตลอดสาย ในที่นี้หมายถึงรู้ผลของการปฏิบัติว่ามันมีผลอย่างไร ผลนั้นรู้โดยประจักษ์แก่จิตใจในลักษณะเป็นเวทนาคือความสุขทุกข์ก็ได้ ในลักษณะเป็นความรู้ รู้แจ้งแทงตลอดก็ได้ เรียกว่าปฏิเวธธรรม มันเป็นคำบาลี ที่คนเขารังเกียจ แต่ถ้าจำไว้ได้ก็ดี มันเป็นหลัก เป็นคำที่เป็นหลักๆ ใช้กันอยู่ในทางธรรมะหรือในพระศาสนานี้ ข้อที่ ๑ เรียกว่าสภาวธรรมคือ ตัวธรรมชาติทั่วไปตามที่เป็นอยู่เอง ข้อที่ ๒ เรียกว่า สัจจะธรรมคือความจริงของธรรมชาติ มันเฉียบขาดเหมือนกับพระเป็นเจ้าอย่างนั้น ข้อที่ ๓ เรียกว่า ปฏิปัตติธรรม คือหน้าที่ หน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็คือตาย และข้อที่ ๔ คือปฏิเวธธรรม รู้แจ้งแทงตลอดในผลที่ได้รับอย่างไร ๔ ความหมายนี้หรือจะเรียกว่า ๔ ธรรมนี้ อยากจะขอร้องให้ช่วยจำไว้ ให้ใช้เป็นภาษาบาลีโดยไม่ต้องแปล เดี๋ยวนี้เราก็ทำความเข้าใจกับพวกฝรั่งมากขึ้นว่าไอ้คำที่มันสำคัญในทางธรรมะมันแปลไม่ได้ ได้ไม่ครบ ไม่ครบถ้วนเราใช้คำบาลีเดิมดีกว่า ยึดคำบาลีเดิมเป็นหลัก แล้วหาคำแปลหาความรู้มาประกอบเอาเองก็ได้ แล้วที่มันจะไม่เลือนเฟือนไปเลอะไปนั่นก็คือคำบาลี ที่นี้เราก็มีคำว่าสภาวธรรม สัจจะธรรม ปฏิปัตติธรรม และก็ปฎิเวธธรรม รวมความก็ตัวธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าเรื่องของธรรมชาติ หรือธรรมชาติ ๔ ความหมายเป็นธรรมชาติโดยเสมอกัน แล้วก็ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติ จัดได้ในธรรมชาติ ๔ ความหมายนี้ได้ทั้งนั้น ในการศึกษาสากลของทั่วไปก็จะใช้คำว่าธรรมชาติกันอย่างไรก็ตามใจเขา ในหมู่พุทธบริษัทใช้คำว่าธรรมชาติในความหมายอย่างนี้ แล้วก็เป็นคำเดียวกันหมด คือธรรม หรือธรรมะ ธรรมะ คำเดียวแปลว่าธรรมชาติ เราแจกออกไปเป็น ๔ ความหมาย จะพูดว่าธรรมใน ๔ ความหมายก็ได้ จะพูดว่าธรรมชาติใน ๔ ความหมายก็ได้ นั่นคือไอ้ตัววัตถุของการศึกษาธรรมชาติ ๔ ความหมาย หรือศึกษาจนรู้จักแจ่มแจ้งชัดเจนดีในธรรมชาติ ๔ ความหมาย ๔ ความหมายของธรรมชาติ เรียกว่าธรรมหรือธรรมะตามภาษาบาลีเดิม เรียกว่าธรรมพยางค์เดียวในภาษาไทย เป็นคำที่นักภาษาศาสตร์ใดๆ ก็แปลเป็นภาษาของตนไม่ได้ มีผู้เคยพยายามแปลเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่หมด ก็เลยต้องใช้คำว่าธรรมหรือธรรมะอย่างนี้เป็นต้น แสดงถึงการที่ภาษาธรรมะหรือคำในภาษาธรรมะบางคำ มันไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นให้ครบถ้วนได้ นั่นแหละคือความยุ่งยากลำบากในการศึกษาธรรมะ คือการที่ใช้คำพูดคำเดียวกันแต่ความหมายไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ไม่ตรงกัน พยายามใช้คำเดิมในภาษาบาลีให้มากเข้าไว้ มากเข้าไว้ ไม่เท่าไหร่มันก็เป็นคำธรรมดา เพราะมันก็เป็นเพียงภาษา ภาษาหนึ่งเท่านั้น มันก็ไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น และที่เราจะต้องทราบเกี่ยวกับการพัฒนา มันก็มีอยู่คำหนึ่งซึ่งก็ได้พูดมาบ้างแล้ว ก็ขอสรุปความอีกทีหนึ่งคือคำว่าสิกขา ภาษาบาลีว่าสิกขา ภาษาไทยก็ว่าศึกษา ในภาษาสันสกฤตออกเสียงเป็น ศิกฺษา เขียน สอ บอ สอ คอ สอ บอ คำนี้ถ้าว่าเอาตามภาษาไทยที่ใช้ๆ กันอยู่ มันก็ค่อนข้างจะรุ่งริ่ง สั้นๆ ไม่สมบูรณ์ เอาตามภาษาบาลีดีที่สุด คือประกอบอยู่ด้วยความหมายละเอียดมาก สยํ (สะ) ไอ้สะ พยางค์เดียวนี้มันแปลว่า เองก็ได้ แปลว่าใกล้ก็ได้ แปลว่าข้างในก็ได้ และ อิกฺข อิกฺข (อิขะ) แปลว่าเห็น เห็นด้วยลูกตาก็ได้ เห็นด้วยสติปัญญาสูงสุดก็ได้ เอามารวมกันเข้าสิมันก็ได้ความหมาย ดูด้วยตนเอง นี่เอง ด้วยตนเอง แล้วก็ในตัวเอง ดูด้วยตนเองเข้าไปในตัวเองจนกระทั่งเห็นตัวเอง นี่มันก็ ๓ ความหมายแล้วนะ ดูด้วยตนเอง ทั้งในตนเองและก็เห็นตนเอง แล้วทีนี้มันก็ต้องรู้จักอีกที ไอ้เห็นแล้วไม่รู้จักมันก็ใช้ไม่ได้ ต้องรู้จักตนเองอีกทีหนึ่ง รู้จักตนเองรวมทั้งเข้าใจตนเองด้วย ก็วิพากษ์ วิจารณ์ วิจัย วิจัยตัวเอง หรือสิ่งที่เห็นว่าเป็นตัวเองจะต้องถูกวิจัยวิจารณ์กันอย่างละเอียดลออครบถ้วนทุกมุม แล้วจึงสรุปความหมายลงไปได้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรอย่างถูกต้อง ปฏิบัติอย่างไรอย่างถูกต้อง นี้เราจะรวมกันทั้งหมดนั้นเรียกว่าสิกขา หรือสิกฺขา หรือศึกษาในภาษาไทย ซึ่งถือเอาตามรูปของภาษาบาลี เอ้ย,ของสันสกฤต ที่แยกให้ฟังง่ายๆ นั้นมันเป็นหลักตามภาษาบาลี เราเรียกว่าสิกขา ๒ พยางค์สั้น ๆ แต่ความหมายของมัน ดูตัวเองด้วยตนเอง ในตัวเอง ก็ว่าเห็นตัวเอง แล้วก็รู้จักตัวเอง แล้วก็วิจัยวิจารณ์ตัวเองจนรู้ว่าเป็นอย่างไรครบถ้วนทุกกระบวนความ แล้วก็สามารถที่จะปฏิบัติหรือควบคุมให้ตนเองเป็นไปตามความถูกต้องอันนั้น นี่มันไม่ใช่เพียงแต่ว่าอ่านๆ เขียนๆ หรือท่องจำไว้ ก่อนนี้เขาแยกเป็น สุ จิ ปุ ริ ฟัง คิด ถาม จำ ฟัง คิด ถาม จำ ก็นับว่ามากพอสมควร แต่เราขอขยายความออกไปเป็นครบถ้วนทุกอาการดังที่กล่าวแล้ว ดูตัวเอง ด้วยตนเอง ในตนเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง วิจัยตัวเอง พบสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างไรในที่สุดนี้เรียกว่าการศึกษา (นาทีที่ 18:35 – 18:44 เทปขาดหายไป)
(เริ่มนาทีที่ 18:45) ..... ใจเข้มแข็ง สติปัญญาเข้มแข็ง จึงจะกำจัดตัวกูออกไปเสียได้ ฝึกอยู่ ๒อย่างนี้ เรียนให้รู้ความจริงแล้วก็ปฏิบัติมันให้ได้ อันแรกก็ศึกษาปฏิจจสมุปบาท อันหลังก็ปฏิบัติอานาปานสติภาวนา ท้าจะช่วยโลกได้มาก จะช่วยมนุษย์ได้มาก ถ้าเป็นนักศึกษาโดยแท้จริงคือรู้ธรรมะ รู้ธรรมะ ในความหมายที่กล่าวมาแล้วว่า ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ทำได้อย่างนี้เป็นนักศึกษาแท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะท่านสอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้านั้นประชาธิปไตยจนยอมให้เชื่อ ไม่ต้องเชื่อพระองค์ ให้เชื่อเหตุผลที่มีอยู่ในตัวมันเอง แล้วก็ท่านว่าจงพึ่งตน พึ่งตน พึ่งตน แต่พวกเรามันดื้อจะพึ่งพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่าพึ่งตน พึ่งตน พึ่งธรรมะ พึ่งตน ช่วยตน แต่เราก็จะพึ่งพระพุทธเจ้าเรามันดื้อเสียเองจะว่าอย่างไง ขอพูดตรงๆ มันโง่เสียเองนี้จะทำอย่างไร อตฺตทีปา อตฺตสรณา อนญฺญสรณา มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา นั้นคือปฏิบัติมหาสติปัฎฐาน ๔ สามารถพึ่งตน พึ่งธรรมะไม่ต้องพึ่งผู้อื่น แต่พวกเรามันจะโง่หรือจะดื้อก็ไม่รู้ ฉันจะพึ่งพระพุทธ ฉันจะพึ่งพระธรรม ฉันจะพึ่งพระสงฆ์ คำสอนเหล่านี้ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่สอนให้พึ่งตน พึ่งธรรมะ เป็นคำพูดที่ประดิษฐ์กันทีหลัง เน้นหนักว่าฉันพึ่งพระพุทธ ฉันพึ่งพระธรรม ฉันพึ่งพระสงฆ์ ไปปรับปรุงกันให้ดีๆ เถอะ พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ ขอให้จัดจนกลายเป็นพึ่งตนเอง คือปฏิบัติตามพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมันก็ช่วยตนเองได้ นี่เรียกว่าพึ่งตนเองหรือช่วยตนเอง แต่คนโง่ คนขี้เกียจ คนเอาเปรียบมันไม่ชอบ มันให้คนอื่นช่วยเสมอไปแล้วก็จะเอาเปรียบทุกอย่าง ทุกทาง เป็นผู้เห็นแก่ตัว คนกรุงเทพฯ ตัวเห็นแก่ตัว คนกรุงเทพฯไม่เห็นแก่ตัวเมื่อไร ยุงก็จะไม่เป็นเจ้าครองนครกรุงเทพฯ ถ้าคนกรุงเทพฯยังเห็นแก่ตัวอย่างนี้อยู่เมื่อไหร่ อยู่เพียงไร ยุงก็จะเป็นเจ้านครครองกรุงเทพฯอยู่เพียงนั้น ซึ่งเห็นได้ง่ายๆ ที่ไหนก็เหมือนกัน นี้สงครามที่เกียจกลัวกันนักมาจากความเห็นแก่ตัว การเลือกผู้แทนก็เกลียดกันแต่ปาก เห็นแก่ตัวทั้งผู้เลือกและทั้งผู้ให้เลือก บ้านเมืองมันจึงไม่มีความสงบสุข เห็นแก่ตัวไปเสียทุกๆฝ่าย ธรรมะไม่รู้อยู่ที่ตรงไหน ถ้ามันมีความเห็นแก่ตัวก็เข้ามาแทนที่เสียหมดทั้งโลก ธรรมะไม่รู้จะอยู่ที่ไหน มีแต่ความเห็นแก่ตัวเต็มไปทั้งโลก คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว เอาเครื่องจักรมาเป็นเครื่องมือผลิตวัตถุหลอกคนอื่นให้เห็นแก่ตัวของเขา เขารวยคนเดียว ....
พระภิกษุ : ผมขอเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์นะครับ เรื่องบางเรื่องนี่เราก็ทำใจให้ไม่ทุกข์ได้ แต่เรื่องที่สำคัญๆ เป็นต้นว่า ญาติเสียชีวิตหรือว่าคนสนิทเสียชีวิต ไม่ทราบทำอย่างไรจะทำความทุกข์ให้มันหายเร็ว
ท่านพุทธทาส : นั่นมันเป็นเพราะอุปาทานความยึดถือตัวกูของกู ญาติของกูอะไรอย่างนี้ ถ้ามีความรู้เรื่อง อนัตตา จนไม่มีตัวกูของกู มันก็ไม่มีความทุกข์ ธรรมะสูงสุดคือตถาตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นอย่างนี้มันก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเหตุอะไร ใครจะตายหรือตัวเองจะตายก็ไม่ต้องมีความทุกข์ มีคงที่ปกติ รู้ว่าจัดการอย่างไร จัดการอย่างไร จัดการอย่างไร จัดการไปโดยไม่ต้องมีใครเป็นทุกข์ นี่มันเป็นลักษณะของพระอรหันต์ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความเป็นอนัตตา เห็นธัมมัฏฐิตตา ว่ามันอย่างนั้นเอง เห็นธัมมนิยามตา ว่ามีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ เห็นอิทัปปัจจยตา ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เห็นสุญญตา ว่าโอ้, มันไม่มีตัวตน เป็นตถาตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง ก็มีอตัมมยตาคือเป็นพระอรหันต์ ถ้าเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองของธรรมชาติ ก็จะไม่มีความทุกข์และจะไม่มีความยินดีด้วย คือจะไม่เป็นบวกและเป็นลบ ความตายก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่ตายก็ไม่ได้เป็นที่หลงใหลอะไร นี่เรียกว่าผู้หลุดพ้น ผู้หลุดพ้น เหนือบวกเหนือลบ เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือทุกๆ คู่ ความหมายของทุกๆ คู่ในโลกนี้มันจะมีอยู่ กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นคู่ จิตใจของผู้หลุดพ้นอยู่เหนือความเป็นคู่ทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีความทุกข์เพราะเหตุใด หัวใจพุทธศาสนาเห็นตถาตา ตถาตา ผู้ใดเห็นตถาตาผู้นั้นเป็นตถาคต ตถาคตคือพระอรหันต์ผู้อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง นั้นศึกษาไปเรื่อยๆ อนิจฺจตา ทุกขตา อนัตตตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมยตา ไม่มีเหตุปัจจัยใดมาปรุงแต่งให้เป็นบวกหรือเป็นลบ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ นั่นเป็นเรื่องของสูงสุด ถ้ายังจะต้องร้องไห้ เสียใจเมื่อมีคนที่รักที่พอใจตายก็คือคนธรรมดา เป็นปุถุชนตามธรรมดาไม่แปลก ถ้าเราเปรียบแต่ว่าไม่ใช่ด่า ว่าสัตว์เดรัจฉานมันไม่มีความรู้พอที่จะยึดถือว่านี่บิดามารดาของเรา นี่อะไรของเรา มันก็ไม่มีความทุกข์เพราะใครตาย มนุษย์มีความคิดนึกละเอียดจนเป็นอันของเรา ของเรา ของเรา ความกตัญญูกตเวทีอะไรลึกซึ้ง ลึกซึ้ง ยึดมั่นถือมั่นมากไปจนเป็นทุกข์เอง มันต้องจัดการเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ทั้งที่มีบิดามารดาครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณผู้มีอะไรต่อมิอะไร แต่ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะเห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เกิดแก่เจ็บตายเป็นของเช่นนั้นเอง (ช่วงแรกจบนาทีที่ 27:45)
(ช่วงที่ 2 เริ่มนาทีที่ 27:47)
ธรรมะบรรยายแก่พนักงานบริษัทฯ และคณะนักเรียนนักศึกษา Track ที่ ๓ วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ ๒๕๓๔ เวลา ๐๕:๐๐ น. ที่หน้ากุฏิ
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรกในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือการแสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปใช้ประกอบในการดำเนินชีวิตในการงานของตนๆให้มีผลดีถึงที่สุด เป็นสิ่งที่ควรกระทำ มีเหตุผลว่าควรกระทำ น่าอนุโมทนา อาตมาจึงขออนุโมทนาเป็นสิ่งแรก และขอแสดงความหวังว่ามันจะได้รับประโยชน์สมตามความมุ่งหมายนั้นทุกๆ ประการ ทีนี้ก็อยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิสันถาร คือไม่มีสมบัติพัสถานอะไรจะต้อนรับให้สะดวกสบาย ก็ต้องได้รับความลำบากยุ่งยากบ้างก็ขออภัย แต่พร้อมกันนั้นก็อยากจะขอให้ถือว่าเป็นโอกาสแห่งการศึกษา คือเผชิญกับบทเรียนที่จะควรจะได้เผชิญคือความยากลำบาก ความต้องใช้ความตั้งใจจริง สติปัญญาจริง จึงจะได้รับประโยชน์ นี้มันก็เลยกลายเป็นธรรมะไปในตัว แล้วก็อยากจะขอร้องให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา ทำไมเราจะต้องมาพูดกันในเวลาอย่างนี้ เมื่อคนอื่นเขากำลังนอนสบาย ด้วยเหตุที่ว่าเวลาอย่างนี้มันเป็นเวลาที่พร้อม ที่เหมาะ ที่จะศึกษา ที่จะรู้ ที่จะเข้าใจซึมทราบแจ่มแจ้งในธรรมะที่ลึก เพราะว่ามันเป็นเวลาแห่งเบิกบาน เวลาแห่งการเบิกบานของจิตใจ เช่นเดียวกับเวลานี้เป็นเวลาเบิกบานของดอกไม้ ดอกไม้ในป่าเริ่มเบิกบาน เริ่มบานในเวลาอย่างนี้โดยธรรมชาติ ไก่ก็เริ่มขันจ้า เพราะมันเป็นเวลาที่ตื่นจากหลับ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เวลาอย่างนี้เวลาหัวรุ่ง คือเวลาอย่างนี้ เวลา ๐๕:๐๐ น.นี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เราก็ควรจะถือเอาโอกาสอย่างเดียวกันบ้าง แต่มันก็มีความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเป็นเวลาเหมาะ เหมาะ เหมาะที่จะเติมอะไรลงไปสำหรับพวกเรา เหมือนกับว่าถ้วยชายังไม่ได้ใส่น้ำชาลงไป ยังว่างอยู่ มันก็เติมลงไปได้มาก ถ้าสายหรือกลางวันมันเติมกันจนยุ่งไปหมด มันใส่เต็มยาก มันต้องใช้เวลาพิเศษ ที่จะเรียกว่านาทีทองหรือนาทีเพชรอะไรก็แล้วแต่เรียก เติมวิชาความรู้ลงไป เราก็จะได้กำไร พูดอย่างนักการค้านะหรือนักธุรกิจซักหน่อย ก็ว่ามันได้กำไรเพิ่มขึ้น เพราะว่าเวลาชั่วโมงนี้ มันทำให้เราได้รู้อะไร มันเป็นกำไรทั้งนั้นแหละ ไอ้คนที่นอนอยู่มันไม่ได้เลย เรามีส่วนที่จะได้กำไร จึงขอให้เพิ่มอายุให้แก่เราอีก ชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมง คือเมื่อคนอื่นเขานอน เราก็ใช้เวลาชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมงนี้เป็นประโยชน์ที่สุด เท่ากับเพิ่มชีวิตให้มากออกไปที่ได้รับประโยชน์เป็นเวลาพิเศษเพิ่มให้ สำหรับรู้สิ่งที่ลึกที่ยากที่ต้องใช้ความสนใจเป็นพิเศษ นี่ก็ต้องเรียกว่ากำไรอยู่ดี แม้เป็นในทางธรรมะก็เรียกว่ากำไรในทางธรรมะ ไม่ใช่เป็นกำไรชีวิตของคนโง่ๆ ที่มันได้สนุกสนานเพราะมันได้กำไรชีวิต แต่เราถ้ากำไรชีวิตก็หมายความว่าได้ใกล้พระนิพพานเข้าไปเท่านั้น จึงจะเรียกว่ากำไรชีวิต ไม่ใช่กำไรชีวิตอย่างของคนโง่กลางถนน ขอให้เลิกเสียเถอะ ไอ้กำไรชีวิตแบบนั้น มันนำไปสู่อบายมุขทั้งนั้น จึงขอให้มาได้กำไรชีวิตแบบแท้จริง ชนิดที่พระพุทธเจ้าท่านได้เคยได้รับ และท่านก็ได้สั่งสอน นี่เป็นข้อคำปรารภข้อแรกว่าเราจะได้รับอายุพิเศษ เพิ่มอายุพิเศษชนิดที่มีค่ามากที่สุด เดี๋ยวนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ ให้สมกับที่ว่าท่านทั้งหลายมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะ ธรรมะนั้นประเสริฐที่สุด แต่คนโง่ไม่รู้ว่าประเสริฐอะไร จึงให้ความสนใจแก่ธรรมะน้อยมากดูเวลา ๒๔ ชั่วโมง ให้ความสนใจแก่ธรรมะ ๕ นาทีก็ทั้งยาก บางทีวันทั้งวันก็เหลวไม่ได้ให้ความสนใจแก่ธรรมะ ซึ่งเป็นของประเสริฐสูงสุด นี่แสดงว่าเรายังสนใจธรรมะกันน้อยไปจึงเอามาพูด วันนี้ก็จะพูดเรื่องธรรมะในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายมากที่สุด ให้สมกับที่มากด้วยความเหน็ดเหนื่อย ลำบาก เสียเวลาและหมดเปลือง ธรรมะ ธรรมะนี้มันเป็นคำที่ประหลาดอัศจรรย์อย่างที่ท่านไม่เคยนึก พูดไปเดี๋ยวก็จะหาว่าท่านโง่อีกแหละ มันเป็นสิ่งที่มีค่าประเสริฐสูงสุด แต่แล้วคนก็ไม่รู้จัก ไม่ได้เอามาใช้หรือเอามาใช้เป็นประโยชน์น้อยที่สุด แล้วไม่ได้รับประโยชน์ตามที่ตัวต้องการ ก็โทษผี โทษสาง โทษเทวดา โทษโชคชะตา อะไรไปตามเรื่องของไสยศาสตร์ ดังนั้นมันก็เป็นไสยศาสตร์สิมันไม่ใช่พุทธศาสตร์ ธรรมะ ธรรมะ มันเป็นทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร ไม่ยกเว้นอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะทุก ๆ ปรมาณูในจักรวาล ฝ่ายวัตถุ ฝ่ายจิตใจก็ทุกขณะจิตก็เป็นธรรมะ คือเป็นทั้งหมดไม่ยกเว้นอะไร ธรรมะนี้แก้ปัญหาทุกปัญหาไม่ยกเว้นปัญหาอะไร มันเป็นสิ่งที่คู่กับชีวิต ถ้าขาดชีวิต ขาดธรรมะมันก็ตาย แต่คนโง่มันไม่ตายเพราะมันมีธรรมะเข้ามาช่วยโดยอัตโนมัติ โดยธรรมชาติหรือโดยสัญชาติญาณ มันมีธรรมะเข้ามาช่วยอยู่บ้างมันจึงไม่ตาย คนโง่ที่ไม่สนใจธรรมะมันก็ไม่ตาย เพราะว่าธรรมะมันเข้ามาเกี่ยวข้องเข้ามาช่วยคุ้มครองรักษาโดยไม่รู้สึกตัว นี่ธรรมะมันเป็นคู่กับชีวิต ขาดธรรมะชีวิตก็ตาย ไม่ได้มานั่งกันอยู่อย่างนี้ ถ้าใครมองเห็นชัดลึกไปกว่านั้นก็จะพูดว่าธรรมะเป็นตัวชีวิตเอง ไม่ใช่คู่ชีวิตอะไรที่ไหน ธรรมะเป็นตัวชีวิตเสียเอง ดังนั้นลองใคร่ควรแล้วก็ฟังดูต่อไปว่าธรรมะนี้ควรจะจัดไว้เป็นคู่ชีวิต หรือว่าจะจัดให้เป็นตัวชีวิตเสียเอง
หัวข้อธรรมที่จะบรรยายกันในวันนี้ก็คือเรื่องทำงานให้เป็นการปฏิบัติธรรม จงทำงานให้เป็นการปฏิบัติธรรม แท้ที่จริงตามธรรมชาติมันเป็นอยู่แล้ว การทำงาน การทำหน้าที่เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่มันไม่รู้นี่จะทำยังไง มันไม่รู้ ก็คงต้องเรียกว่าโง่อีกแล้ว ขออภัยที่ใช้คำนี้บ่อยมาก มันไม่รู้นี่ว่าการทำงานมันเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่โดยธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ หรือมันเป็นอยู่เองแล้วทุกอิริยาบถ ทุกอิริยาบถ นี้ท่านเคลื่อนไหวอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอนเหล่านี้ มันก็เป็นการแก้ไขให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ชีวิตมันก็รอด การกระทำทุกอย่างที่เรียกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็นนะ การกิน การนอน การสืบพันธุ์ การอะไรเหล่านี้ ที่ขาดวิ่งหนีเหล่านี้ มันก็ทำเป็นทั้งคนและสัตว์และมันก็ทำอยู่แล้ว สิ่งใดที่เป็นไปเพื่อความรอดอยู่ได้สิ่งนั้นมันก็เรียกว่าธรรมะ จะต้องรู้จักหาอาหารกิน จะต้องรู้จักบริหารร่างกายให้ถูกต้อง แล้วก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ แล้วมันร่วมมือสามัคคีกัน ก็จะได้มีความแน่นอนยิ่งขึ้นในหมู่มนุษย์นั้น การปฏิบัติธรรมก็คือการทำหน้าที่ การงาน เขามาถือว่าโอ้ย ,ธรรมะอยู่ที่วัด งานอยู่ที่บ้านที่ทุ่งนา จะเป็นอย่างเดียวกันอย่างไรได้ นี่ขอให้ดูกันเสียใหม่ว่าการทำหน้าที่ ๆ นั้น มันเป็นธรรมะในความหมายที่สำคัญที่สุดของความหมายทั้งปวง ธรรมะถ้าพูดกันให้หมดจด สิ้นเชิง ไม่ยกเว้นอะไรก็จะพูดว่ามีอยู่ ๔ ความหมาย ธรรมะมีอยู่ ๔ ความหมาย
ความหมายที่ ๑ หมายถึงธรรมชาติ ธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นธรรมชาติหมด ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ มันก็มีพูดว่าเหนือธรรมชาติ นอกเหนือธรรมชาติ เพราะพวกนี้มันโง่มันรู้แต่เรื่องวัตถุ มันเอาเรื่องที่ไม่ใช่วัตถุเป็นนอกเหนือธรรมชาติอย่าไปเอากับมัน จะเป็นเรื่องวัตถุหรือเรื่องจิตใจหรือเรื่องยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นภาษาธรรมะนะ ถ้าเป็นภาษาโรงเรียน ภาษาแม้แต่มหาวิทยาลัย มันเรียนกันแต่เรื่องวัตถุ มันก็มียกเว้นเป็นธรรมชาติบ้าง เหนือธรรมชาติ นอกเหนือธรรมชาติบ้าง อะไรตามใจเขา ไม่รู้ แต่เราจะเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นเช่นนั้น ตรงนั้นเอง
ความหมายที่ ๒ คือกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ในธรรมชาติทุกสิ่ง มีธรรมชาติที่ไหนกฎของธรรมชาติก็ควบคุมสิ่งนั้นอยู่ในที่นั้น ๆ ภาษาไทยว่ากฎ มันเผอิญไปพ้องกับเสียงของภาษาฝรั่งว่า God คือพระเจ้า พระเจ้า กฎเมื่อพูดลากเสียงให้มันยาวหน่อยเป็น God เขานับถือ God เรานับถือกฎ มันก็สิ่งเดียวกัน ธรรมชาติมันมีกฎของธรรมชาติคุมอยู่ เราต้องรู้จักว่าธรรมชาติเหล่านั้นมีกฎเกณฑ์อย่างไร กฎเกณฑ์สูงสุดในพระพุทธศาสนาคือกฎอิทัปปัจจยตา แปลกหูสำหรับท่าน เพราะท่านให้ความสนใจแก่ธรรมะน้อยไป อยู่ในเมืองไทยหลายสิบปีแล้วก็ไม่เข้าใจคำว่ากฎอิทัปปัจจยตา คือกฎสูงสุดของธรรมชาติตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา นี้ทิ้งไว้ให้ศึกษากันต่อไปข้างหน้าเพราะมันมีเรื่องยืดยาวมาก สำหรับกฎอิทัปปัจจยตา
ทีนี้ความหมายที่ ๓ หน้าที่ หน้าที่ถูกต้องตามกฎ มันมีกฎแล้วมันก็เกิดหน้าที่ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎนั่นคือ Duty ถ้าว่าธรรมะในประเทศอินเดียในปทานุกรมลูกเด็กๆ ธรรมะก็แปลว่า Duty คือหน้าที่ที่จะต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เป็นความหมายที่ ๓ หน้าที่ หน้าที่อันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
นี้ความหมายที่ ๔ ก็ผลปฏิกิริยาออกมาจากการทำหน้าที่ จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จะเป็นบวกหรือจะเป็นลบมันแล้วแต่คนทำ มันทำทางไหนมันก็ออกมาทางนั้น นี่เรียกว่าผล เมื่อต้องการผลอย่างไร มันก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎนั้นๆ ก็จะได้รับผลตรงตามที่ตัวต้องการ ท่านจงสนใจความหมายของคำว่าธรรมะ ๔ ความหมายนี่ แล้วจะเป็นการง่ายดายที่สุด สะดวกที่สุด หรืออัตโนมัติที่สุด ในการที่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือทุกสิ่ง ทุกสิ่ง ๑.ตัวธรรมชาติทั้งหมด ๒.ตัวกฎของธรรมชาติ ๓.หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ๔. ผลตามหน้าที่ที่ปฏิบัติ ก็ลองดู คิดดู มันไม่มีอะไรเหลือ มันไม่มีอะไรเหลือนอกไปจาก ๔ คำนี้ นี่เราจึงว่าธรรมะ ธรรมะ นี่มันทั้งหมด มันคือทั้งหมด ก็เขาไม่เรียนกันอย่างนี้ เขาไปเรียนแบบมีอธรรม มีอธรรม ซึ่งมิใช่ธรรม มันปัญหาเกี่ยวกับคำพูดที่มันไม่สมบูรณ์ ที่มันไม่ลึกซึ้ง มันเป็นคำพูดคนเดินถนน มันจึงมีอธรรม แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสคำนี้ก็ตรัสไว้สำหรับคนโง่ เพราะท่านใช้คว่าธรรมทั้งปวง หมายถึงทั้งธรรมและทั้งอธรรม อธรรมนั้นแปลว่าธรรมที่เป็นฝ่ายดำฝ่ายที่ไม่ควรเรียกว่าธรรม เป็นธรรมฝ่ายผิด ธรรมดาเราหมายถึงธรรมะฝ่ายถูก คำว่า ถูก ถูก นี้มันก็มีความหมายง่าย ๆ คำว่าถูกต้องคือมันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย มันไม่เป็นโทษแก่ฝ่ายใด นี่คำว่าถูกหรือถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา แต่เดี่ยวนี้ความรู้มันเพ้อเจ้อ มันเพ้อเจ้อในโลกนี้ความรู้มันเพ้อเจ้อ มันใช้เหตุผลกันพรํ่าเพรื่อ เกินประมาณ มันก็มีเหตุผลมามากมายสำหรับจะวินิจฉัยว่าถูกหรือไม่ถูก มันก็เกิดคำพูดว่าถูกต้อง เมื่อใช้หลักทาง Philosophy ว่าถูกต้อง คือเมื่อใช้หลักทาง Logic มันก็ถูกต้อง แต่นั้นมันเป็นหลับตา บ้า หรือพูดอย่างโง่เขลาที่สุด เรื่อง Philosophy นั้นมันเป็นเรื่องไม่รู้จบ มันมีเหตุและผลที่เคียงคู่กันไป คัดง้านกันไป ฟัดเหวี่ยงกันไป ไม่มีจุดจบ ไปศึกษาดูเถอะ Philosophy นั้นมันไม่รู้จักจบ แต่อย่าใช้คำว่าปรัชญา นะ ขอทีนะ ขอใช้คำว่า Philosophy เหมือนกับรางรถไฟ มันมี ๒ รางเรื่อยไป มันไม่เคยกลายเป็นรางเดียว คือมันไม่จบ มันมี ๒ รางเรื่อยไป เหตุและผลฟัดเหวี่ยงกันได้เรื่อยไป ความถูกหรืออะไรจะวินิจฉัยโดยทาง Philosophy นี้ มันจึงเป็นมีสมมุติฐานเป็นขั้นๆ เป็นขั้นตอน เป็นเรื่องเฉพาะเรื่องอะไรไปมันไม่ใช่เด็ดขาด นี่ถูกทาง Philosophy อย่าเอากับมันเลย ถูกทาง Logic มันก็เหตุผลชั่วขณะ เด็กๆ ก็ทำเป็นอย่าไปเอามันเลย เอาถูก ถูก ถูก ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา สิ่งพิสูจน์ความไม่เป็นโทษ ไม่เป็นอันตรายกับฝ่ายใด มีแต่ประโยชน์เกื้อกูลทั้งนั้นถ้าอย่างนี้ ก็เรียกว่า ถูก ถูกต้อง ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา คำว่าถูกต้อง ถูกต้องนี้มันเป็นศาสตร์ของไอ้พวกนัก Philosophy เขียนไว้เป็นเล่มๆ เลย ไม่รู้ว่าถูกเป็นอย่างไร เสียเวลาเปล่าๆ เอาว่าถูกของมันไม่เป็นโทษแก่ฝ่ายใด มีแต่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ธรรมะนี้มีลักษณะอย่างนั้น หรือจะเรียกว่าธรรมะฝ่ายที่ขาว แต่มีฝ่ายผิดที่ตรงกันข้ามก็เรียกว่าธรรมะฝ่ายดำหรือธรรมะฝ่ายผิด ก็คงเรียกว่าธรรมะเหมือนกัน เราไม่ชอบแต่อันธพาลมันชอบ คือมันชอบเหมือนกันไม่ได้ ไอ้สิ่งที่น่าเกลียดสำหรับพวกหนึ่งกลายเป็นน่ารักสำหรับพวกหนึ่ง ไอ้ที่น่ารักสำหรับพวกหนึ่งบางพวกมันไม่ชอบก็มี ถ้ามันชอบของสกปรกมันก็ว่าของสะอาดนั้นไม่มีประโยชน์ มันก็อยู่อย่างนี้ ก็เถียงกันตาย เอาแมลงผึ้งกับแมลงวันมาเถียงกันว่า อะไรสะอาด อะไรหอม มันก็เถียงกันตายแมลงผึ้งกับแมลงวัน คนโง่ในโลกก็มีพร้อมที่จะเป็นแมลงวัน ดังนั้นคำว่าถูก ถูกนี้มันจะต้องมีความหมายที่ถูกต้องนะ มิฉะนั้นมีปัญหา ถ้าเราทำไม่ถูกปัญหาจึงเต็มไปหมด มันไม่ถูกต้อง ปัญหาทางการปกครอง ปัญหาทางการเมือง ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางอุตสาหกรรม สารพัดอย่างในโลกเต็มไปด้วยปัญหาเวลานี้ เพราะมันไม่มีความถูกต้องตามหลักของธรรม ถูกต้องทางการเมืองมันก็ได้ประโยชน์มากๆ ทางการเมือง ถูกต้องทางการปกครองมันก็เป็นการได้ประโยชน์ตามแบบของการปกครอง การปกครองมีตลอดเวลา ทำไมไม่มีสันติภาพ ทำไมไม่มีความสันติสุข ในเมืองไทยเรานี้มันยังเพิ่มอันธพาล เพิ่มความเลวร้าย เพิ่มความผิดทางศีลธรรมเต็มไปด้วยอันธพาล จนผู้หญิงไปไหนคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว เห็นไหม หรือว่าการปล้นจี้การอะไรต่างๆ มันมีอยู่ทั่วไป ยิ่งมากขึ้นเพราะมันไม่มีความถูกต้อง ถ้ามันมีความถูกต้องมันก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ นี้ธรรมะมันมีกฎเกณฑ์อย่างไรเอาเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง ที่จริงมันก็ไม่ใช่มันบัญญัติหรือตั้งกฎเกณฑ์อะไร มันมีกฎตายตัวอยู่ เวลาทำอย่างนี้ผลเกิดอย่างนี้ กระทำอย่างนี้ผลเกิดอย่างนี้ กระทำอย่างนี้ผลเกิดอย่างนี้ตามกฎอิทัปปัจจยตานั่น นี้เรามาใช้ไม่ดูหรือไม่เคยใช้ไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ แต่ว่าธรรมะนี้มันหมายถึงทุกสิ่ง เล็งถึงความถูกต้องเพื่อความรอด แล้วก็ทุกชนิดไม่ยกเว้นอะไร จึงกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมหรือธรรมะผิดก็เป็นธรรมดำ ถูกก็เป็นธรรมขาว แต่ทั้งดำทั้งขาวมันก็คือธรรมะนั่นแหละ ธรรมะคือหมายถึงทุกสิ่ง เมื่อเป็นทุกสิ่งมันก็แก้ปัญหาได้ทั้งหมด ตอบปัญหาได้ทุกปัญหาไม่ว่าจะตั้งปัญหาขึ้นมาในรูปไหน เอ้า,ใครลองตั้งปัญหามาสิ อาตมาจะตอบด้วยคำว่าธรรมเพียงคำเดียว ทำไมเกิดมา ธรรม เพราะธรรม ทำไมต้องตาย เพราะธรรม คือมันไม่ถูกธรรม ทำไมรวย ทำไมสวย หรือว่าทำไมมีแต่ความเลวร้าย ทำไมมีแต่ความสะดวก สบาย สนุก สนาน เพราะสิ่งนี้เรียกว่าธรรมเพียงคำเดียว แต่มันแล้วแต่ว่าธรรมฝ่ายไหน ถ้าฝ่ายที่ถูกต้องมันก็ธรรมฝ่ายถูกต้อง ก็แก้ปัญหาได้หมดทุกปัญหา แต่ว่าอธรรมนี่คือเป็นทั้งหมด เป็นสิ่งที่ประหลาดคือตอบปัญหาของทุกปัญหา ทำไมไปนิพพานก็เพราะธรรม ทำไมไม่ไปพระนิพพานก็เพราะธรรม แต่มันมีความหมายว่ามันขาดหรือว่ามันมี มันถูกหรือมันผิด แล้วเป็นคำที่รู้ไว้เถอะว่ามันเป็นภาษาอะไรไม่ได้ อธรรมนี่ ภาษาไทยเราก็โชคดีที่ใช้ว่าธรรมไปตามเดิม ฝรั่งก็พยายามจะแปลคำว่าธรรม เอาเป็นภาษาฝรั่งไม่สำเร็จ เท่าที่ทราบมาในประเทศอังกฤษเมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไปในอังกฤษ พยายามจะแปลคำว่าธรรม ออกเป็นภาษาอังกฤษ ว่าแปลได้ตั้ง ๓๘ คำแล้ว ไม่หมด ไม่หมดความหมายของคำว่าธรรม ยอมแพ้ ยอมแพ้ เลิกไม่แปล ไม่แปล รับเอาคำว่าธรรมเข้าไว้ในภาษาอังกฤษ ในกระบวนถ้อยคำในอังกฤษคือใน Vocabulary ของการพูดจาในภาษาฝรั่งนี้ คำว่า ธรรมะ ก็มี ธรรมิก ก็มี แล้วแต่เขาว่าเป็นธรรม ธรรม ธรรมทั้งนั้น นั่นแหละขอให้รู้ว่ามันประหลาดจนแปลเป็นภาษาอะไรไม่ได้ พอไปแปลเป็นภาษาอะไรเข้า มันก็มีเขวไปนิดหนึ่งและเขวมากขึ้นจนยุ่ง จนไม่รู้ว่าอะไร มันต้องเอาความหมาย เอาความหมายให้ถูกต้องว่าธรรม ธรรม คือทุกสิ่งที่ถูกต้องจากแก่การที่จะแก้ปัญหาหรือจะช่วยให้รอด นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม ผิดธรรมมันก็คือปัญหา ปัญหาคือความตาย หรือความทุกข์ หรือความยุ่งยาก หรือความลำบาก ที่เราเรียกว่า วิกฤตการณ์ความเลวร้ายทั้งหลายนั่นแหละ คือความที่มันไม่ถูกต้องตามทางธรรม คือไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะหน้าที่นั้นมันผิด มันทำหน้าที่มันผิด
เอ้า,ทีนี้ถ้าคุณจะศึกษาธรรม ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ไม่ต้องไปเรียนที่เมืองนอกหรือไม่ต้องไปเรียนที่อินเดีย ธรรมมันก็อยู่ในอัตภาพนี่ ที่เรียกว่าอัตภาพหรือชีวิตร่างกายคนเรา ยาวซักว่าหนึ่ง หนาสักคืบหนึ่งนี่ ทั้งหมดนั้นมันเป็นตัวธรรมชาติทุกชิ้น ทุกส่วน ทุกปรมาณูมันเป็นธรรมชาติ แล้วมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ทุกปรมาณูเหมือนกัน กลุ่มแห่งเซลล์แต่ละเซลล์มันก็มีกฎของธรรมชาติหลาย ๆ กลุ่มเซลล์เป็นอวัยวะ ทุกอวัยวะมันก็ถูกคุมอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัวมันก็ถูกควบคุมอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มันก็เกิดหน้าที่ เพราะมันมีชีวิตไม่ทำหน้าที่ถูกต้องมันก็ตาย มันก็ต้องการกระทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่บางอย่างธรรมชาติมันจัดของมันมาเอง ที่เราไม่รู้ เราไม่ได้เจตนา มันก็ทำหน้าที่ การไหลเวียนของโลหิต การหายใจของปอดหรือว่าการทำอะไรอีกมากมายหลายอย่าง มันทำโดยเราไม่รู้ว่ามันก็ทำหน้าที่ แล้วก็มีหน้าที่อีกประเภทหนึ่ง เรารู้ แล้วเราต้องจัด เราต้องทำ ต้องทำหน้าที่อะไรบ้างก็รู้กันอยู่แล้ว และก็มันมีหน้าที่ หน้าที่อยู่ในอัตภาพร่างกายนี้โดยที่เรารู้สึกบ้าง ไม่รู้สึกบ้าง เมื่อมีหน้าที่ หน้าที่แล้วมันก็ต้องมีผล ถ้ามันถูกต้องจริง มันก็ไม่มีปัญหา มันก็ไม่มีความทุกข์ ถ้าไม่ถูกหน้าที่มันก็มีปัญหา มีความทุกข์ ที่จริงความสุขก็เป็นปัญหา อย่ามองแต่ว่าความทุกข์เป็นปัญหา ดังนั้นใช้คำว่าปัญหาจะดีกว่า ปัญหาคือสิ่งไม่พึงปรารถนา สุขก็เป็นปัญหา ทุกข์ก็เป็นปัญหา บวกก็เป็นปัญหา ลบก็เป็นปัญหา ไม่มีปัญหามันจึงจะเป็นความสงบสุข ดังนั้นจะต้องทำให้ถูกต้อง หน้าที่นั้นต้องถูกต้องต่อการที่จะต้องไม่เป็นทุกข์ นี่คือตัวธรรม เราจะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง นี่เป็นคำกลาง ๆ เกี่ยวกับธรรม ธรรมะ นี้ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง
เอ้า, ทีนี้เมื่อจะทำการงานอย่างต่ำๆ การทำงานในชั้นต่ำ มันก็ต้องทำให้ถูกต้องอยู่นั่นแหละ จะต้องทำไร่ทำนาให้ถูกต้องถึงจะได้ผล ถ้าต่ำลงมาอีก หน้าที่ของชีวิตร่างการง่ายๆ จะกินอาหาร จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ถ้าทำถูกต้องมันก็เป็นธรรมหมดเลย มีความถูกต้องตลอดเวลาที่นั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่ในห้องน้ำ ถ้ามันมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วทุกวินาทีเป็นธรรมไปหมด มันก็มีผลดีสิ ลองทำให้ไม่ถูกต้องสิ การถ่ายอุจจาระปัสสาวะจะเป็นปัญหาขึ้นมา การอาบน้ำก็จะเป็นปัญหาขึ้นมา การกินอาหารก็จะเป็นปัญหาขึ้นมา นี่เพราะมันไม่ถูกต้องตามทางธรรม ดังนั้นจงทำให้ถูกต้องให้หมดตั้งแต่ปัญหาพื้นฐานขั้นต่ำเหล่านี้ถูกต้องขึ้นไป จนกระทั่งสูงขึ้นไปในหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกต้องตามทางธรรม นี่เราจะต้องทำให้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ท่านเป็นนักเรียนก็ทำให้การเรียนเป็นการปฏิบัติธรรม ท่านนักทำการงานแล้ว มีอาชีพแล้ว ก็ทำอาชีพหรือการงานนั้นแหละให้เป็นการปฏิบัติธรรม จงทำการงานให้เป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าพูดกลับก็ว่าการปฏิบัติธรรมนั่นแหละคือหน้าที่การงาน เพราะคำว่าปฏิบัติธรรมหมายถึงการทำให้รอดการ การช่วยให้รอด อย่าให้เสียทีที่เราเป็นอยู่โดยธรรมชาติแล้วก็ยังไม่รู้ เดี๋ยวก็ต้องใช้คำว่าโง่กำลังสอง โง่กำลังสาม โง่กำลังร้อย โง่กำลังพัน สิ่งที่มีอยู่แล้วยังไม่รู้นี่ มันเป็นอยู่ทุกๆ อิริยาบถโดยแท้จริงก็ยังไม่รู้ จะใช้คำว่าอย่างไรดี จงช่วยให้ตัวเอง ตัวเอง ช่วยตัวเองให้มันมีธรรมะ ให้มันถูกต้อง แล้วมันก็เป็นธรรม ในอัตตาตัวเองก็เป็นธรรม มีลักษณะเป็นอนัตตาก็เป็นธรรม ช่วยตัวเองให้ถูกต้องตามทางธรรม ก็จะทำได้ดี ตั้งแต่ลูกทารกเด็กๆ สอนให้รู้จักธรรมหรือความถูกต้อง อย่าตามใจให้เข้าใจผิด ให้เหลิงเสียเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ วัฒนธรรมประจำชาติที่ดีมันจะช่วยให้เด็กๆ มีความรู้ถูกต้องเป็นธรรมมาตั้งแต่เล็กๆ วัฒนธรรมเลวมันช่วยเด็กๆ เข้าใจผิดไปตั้งแต่เล็ก โง่ตั้งแต่เล็ก จะเอาตามใจตัวอย่างเดียว อะไรๆ ก็ไม่มีเหตุผล ก็ยึดมั่นถือมั่นมากเห็นแก่ตัวจัด อย่างนี้ก็ฉิบหายโตขึ้น เพราะวัฒนธรรมประจำชาติมันเลว วัฒนธรรมประจำชาติไทยได้อาศัยพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานมันก็ถูกต้อง ค่อย ๆ มีความถูกต้องลดลงเพราะพุทธบริษัทหันเหไปเห็นแก่ประโยชน์ทางเนื้อทางหนังเสีย ค่อยๆละเลยหรือละลืมหลักธรรมะ แล้วไปเห็นแก่ประโยชน์ทางเนื้อทางหนังทางวัตถุไปบูชาไอ้เรื่องอย่างนั้นเสีย ธรรมะมันก็ค่อย ๆ หมดไป เราจะต้องนึกกันถึงข้อนี้ให้มาก ว่า เดี๋ยวนี้เรามีการศึกษาอย่างที่ท่านเห็นแล้ว กวดขันกันเต็มที่ แต่ก็ยังไม่แก้ปัญหาได้ ยังเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว นักเรียนนักศึกษายังยกพวกตีกันเหมือนสัตว์เดรัจฉานนี่ มันจะถูกต้องได้อย่างไรเล่า มันมีความไม่ถูกต้องซ่อนอยู่ในนั้น ดังนั้นจะจัดเสียให้มันถูกต้อง ตั้งแต่พื้นฐาน พื้นฐานที่สุด พื้นฐานจริงๆ ก็เรื่องความไม่เห็นแก่ตัว เป็นพื้นฐานของความถูกต้องหรือถูกต้องมันก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานของความผิดพลาด เดี๋ยวนี้เรายิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว จริงหรือไม่จริงไปดูเอาเอง เมื่อการศึกษามันแฝกอยู่กับการศาสนา การศาสนามันช่วยตัวควบคุมไว้ ทีนี้ความเจริญแผนใหม่แยกศาสนาออกไป การศึกษาก็เป็นอิสรเสรี ฉลาดเท่าไหร่ ก็ฉลาด ฉลาด แล้วก็เอาไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เพื่อความถูกต้อง นี่ยิ่งเจริญด้วยการศึกษากลับยิ่งเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เพราะการศึกษาก็ช่วยให้ประดิษฐ์ ประดิษฐ์นั่นนี่ขึ้นมา ประดิษฐ์ทุกอย่างกันขึ้นมาจนเรียกว่าไม่รู้จะประดิษฐ์กันอย่างไรแล้ว เรื่องทางวิทยาศาสตร์ เรื่องทางปรมาณู เรื่องทางอวกาศ เรื่องคอมพิวเตอร์ อะไรก็ตามมันเหลือจะวิเศษ แสนจะวิเศษ วิทยุนี่แสนจะวิเศษ แต่ทำไมโลกนี้ไม่มีสันติภาพดีไปกว่าก่อน ดีไปกว่าสมัยที่ยังไม่มีสิ่งเหล่านี้ สมัยคนป่าไม่นุ่งผ้ามีสันติภาพมากกว่า สมัยที่เต็มไปด้วยวิปริต สิ่งประดิษฐ์จนแข่งกับเทวดาได้ พูดจาข้ามโลกกันก็ได้ ดูความคิดแข่งเจริญจะประดิษฐ์อะไรขึ้นมาวิเศษ วิเศษทุกวัน ไม่หยุด ไม่หยุด แต่ทำไมโลกยิ่งไม่มีสันติภาพ นี่เพราะว่ามันผิด นี้มันผิดในการศึกษา มันผิดในการก้าวหน้า มันผิดในการประดิษฐ์เหล่านั้น คือมันไปเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันไปเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันไม่ได้เป็นไปเพื่อความถูกต้องตามทางธรรม คือถูกต้องตามทางธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความรักสามัคคี เป็นเพื่อนเกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วก็มีลักษณะเป็นสหกรณ์ เดี๋ยวนี้มึงก็มึง กูก็กูใช่ไหม คุณลองคิดดู มันมีสหกรณ์ที่ไหนหละ มันผิดหลักของธรรมชาติซึ่งมีลักษณะเป็นสหกรณ์ ทำงานร่วมกันและอย่างถูกต้อง ดูจักรวาลนี้ซิ จักรวาลทั้งจักรวาลนี้ มันมีความเป็นสหกรณ์กันระหว่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลาย มีความถูกต้องไม่ชนกันแตกทำลาย มันก็มีความถูกต้องจนเกิดไอ้สิ่งที่มีประโยชน์ เกิดชีวิต เกิดความเจริญก้าวหน้าทางชีวิตเพราะมันร่วมกันเป็นสหกรณ์ แม้ในพื้นดินโลกนี้มันก็อยู่กันอย่างสหกรณ์ ระหว่างคนกับสัตว์กันต้นไม้ มันก็อยู่กันอย่างสหกรณ์ การงานทั้งหลายมันร่วมกันเป็นสหกรณ์มันถึงจะเจริญก้าวหน้า แม้รถยนต์คันหนึ่งก็ต้องมีระบบหลายๆระบบ แต่ทุกระบบทำงานอย่างสหกรณ์ รถยนต์คันนั้นจึงจะวิ่งได้ เราคนหนึ่งก็มีระบบสหกรณ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทุกอย่างทุกส่วนทำหน้าที่ของมันแล้วก็ร่วมสหกรณ์กับส่วนอื่นทุกๆส่วน ชีวิตก็อยู่ได้ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยระบบสหกรณ์ ธรรมชาติมันมีระบบสหกรณ์ในตัวธรรมชาติในตัวธรรมะ มันมีระบบสหกรณ์จึงพูดว่าธรรมะทุกความหมาย มันมีวิญญาณแห่งความเป็นสหกรณ์ ต้องเอาระบบนี้มาใช้ ให้ความรู้ทุกความรู้มารวมกันทำสหกรณ์กันสำเร็จประโยชน์เป็นของใหม่ขึ้นมา มีความสงบสุข นี่เรียกว่าถูกต้องตามธรรมะ ๔ ความหมาย ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมะ ๔ ความหมายคือมีธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีผลตามหน้าที่นั้นๆ ถ้าทำอย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้องตามทางธรรม ถูกต้องตามธรรมชาติในรูปของสหกรณ์ เดี๋ยวนี้มันไม่มีหลักอย่างนี้ มึงก็มึง กูก็กู แข่งขันกันเหลือประมาณ แย่งชิงกันเหลือประมาณ จนเป็นข้าศึกศัตรู ประเทศมหาอำนาจก็แย่งกันครองโลก นายทุนก็แย่งกันครองประโยชน์ระหว่างนายทุนกับชนกัมมาชีพ ลูกจ้างกับนายจ้างก็ต่อสู้กันอย่างข้าศึกศัตรูกัน มันจะเอาความสงบสุขมาแต่ไหน มันทำงานเพื่อตัวกู นักเรียนก็เรียนเพื่อตัวกู พ่อแม่ก็ต้องการอย่างนั้น นักเรียนก็เรียนเพื่อตัวกู ออกไปทำงานอาชีพก็เพื่อตัวกู จึงเต็มไปด้วยความเดือดร้อนหลายอย่างหลายประการ เป็นสุขก็ยุ่งไปแบบสุข เป็นทุกข์ก็ยุ่งไปแบบทุกข์ บวกก็ยุ่งไปแบบบวก เป็นลบก็ยุ่งไปแบบลบ เพราะมันไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของธรรมะหรือของธรรมชาติ นี่คือธรรมะหรือไม่มีธรรมะ มันอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าทำงานปฏิบัติหน้าที่การงานเพื่อตัวกู มันก็ไปอย่าง คุณก็ดูเอาเอง เครียดตลอดเวลา มันก็เครียดตลอดเวลา สมน้ำหน้ามัน ใช้คำหยาบคายหน่อยนะขออภัย ถ้าทำงานเพื่อตัวกู มันก็เครียดตลอดเวลาแหละ บวกก็เครียด ลบก็เครียด สุขก็เครียด ทุกข์ก็เครียด แต่ถ้าว่าทำงานเพื่อธรรมะ มันไม่เครียด เพื่อความถูกต้องและถูกต้องตามกฎของธรรมะ มันไม่มีการเครียด พระอริยะเจ้าไม่มีการเครียด แต่ปุถุชนเต็มไปด้วยการเครียด เอาให้แคบเข้ามาหน่อย ก็ทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่องาน อย่าทำงานเพื่อตัวกูมันก็ไม่เครียดเหมือนกัน มันก็ถูกต้องเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มันทำงานเพื่อตัวกู มันทำงานเพื่อตัวกู ครูบาอาจารย์ก็ทำงานเพื่อตัวกู ยกหูชูหาง พระเณรก็มันทำงานเพื่อตัวกูยกหูชูหาง อาจารย์วิปัสสนามันก็ยังทำงานเพื่อยกหูชูหาง มันก็ทำงานเพื่อตัวกู มันไม่ได้ทำงานเพื่อธรรมะ ไม่ได้ทำงานเพื่องาน จงจำคำไอ้ ๒ คำนี้ไว้ให้ดี ๆ ว่าจงทำงานเพื่อธรรมะคือความถูกต้อง จงทำงานเพื่องาน เพื่องาน ทำงานเพื่องาน ไม่คิดทำงานเพื่อกู แต่แล้วมันก็ประหลาดที่ว่าผลงานไม่ไปไหน มันมาหาตัวผู้ทำนั่นแหละ ฉะนั้นอย่ากลัว ทำงานเพื่องานเถอะ งานจะดี จะเต็มที่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ถ้าทำงานเพื่องาน เพราะมันทำจริง และทำงานเพื่อธรรมะก็ได้ มันจะดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พอทำงานเพื่อตัวกูกัดเจ้าของทันทีเลย ตั้งแต่คิดจะทำมันก็วิตกกังวล ถ้าทำเข้าด้วยความอยาก ด้วยความหิวกระหาย เหมือนกับเปรตชนิดหนึ่งแหละ มันหิวตลอดเวลา มันก็กัดสมใจมันก็กัดไปแบบสมรัก สมใจ ไม่สนใจมันก็กัดไปแบบไม่สนใจ ฉะนั้นความรักมันก็กัดไปแบบหนึ่ง ความโกรธ ความเกลียดที่ตรงกันข้ามมันก็กัดไปอีกแบบหนึ่ง ความกลัว กลัว กลัวอย่างโง่เขลาก็กัดไปแบบหนึ่ง ความตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้นที่ชอบกันนัก ตื่นเต้นด้วยกีฬา ตื่นเต้นด้วยยาเสพติดอะไรก็ตาม มันก็กัด ความตื่นเต้นมันก็กัด มันต้องไปหามาดูจนได้ วิตกกังวลอนาคตก็กัด อาลัยอาวรณ์อดีตมันก็กัด อิจฉาริษยามันก็กัด หวงหึงมันก็กัด ถึงกับฆ่ากันตายเพราะความหวงและความหึง นี่ชีวิตมันกัดเจ้าของ ชีวิตมันกัดเจ้าของเพราะมันไม่มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ขอบอกกล่าวซักเล็กน้อยว่ามันน่าสนใจแหละ พวกฝรั่งเขามากันที่นี่กันทุกเดือน เดือนหนึ่งร้อยกว่าคน เขามาพบคำว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ อันนี้เลยกลายเป็นเป้าหมาย หรือเป็นจุดสนใจของการศึกษาธรรมะ ว่าเขาได้พบชีวิตใหม่เป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เขาก็พยายามศึกษาทุกอย่าง ปฏิบัติทุกอย่าง ฝึกฝนทุกอย่าง ให้มันปรากฏเด่นชัดออกมาว่าเป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ที่นี้มันไม่ใช่สำหรับฝรั่งอย่างเดียว พวกเราก็เหมือนกันแหละ มีชีวิตที่กัดเจ้าของกับมีชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ลองเปรียบเทียบกันดูทำงานเพื่อตัวกู เพื่อของกู ชีวิตกัดเจ้าของ ทำงานเพื่อธรรมะ ทำงานเพื่อการงานนั่นเอง ชีวิตไม่กัดเจ้าของ แต่แล้วผลงานก็ไม่ไปไหนเสีย มันได้แก่ผู้ทำ ผู้ทำเลยสบาย มีสันติสุข มีสันติภาพ ทั้งโดยส่วนบุคคล และทั้งโดยส่วนรวม ชีวิตไม่กัดเจ้าของมันดีอย่างนี้ มันมี มีคำพูดอยู่นิดเดียวว่ามันถูกต้องหรือมันไม่ถูกต้อง ถ้าถูกต้องมันก็เป็นธรรมะที่ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องก็เป็นธรรมะที่ไม่ถูกต้อง เป็นอธรรม เป็นธรรมะดำ ธรรมะอันตราย จงขจัดธรรมะดำออกไปเสีย หรือว่าอย่าให้มันเข้ามาเกี่ยวข้อง มีแต่ธรรมะถูกต้อง ธรรมะขาว เราก็ไม่เห็นแก่ตัว เราจะทำงานเพื่อธรรมะ ทำหน้าที่การงานทุกอย่างเพื่อธรรมะ แม้จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ทำเพื่อธรรมะ จะอาบน้ำ จะกินอาหารก็เพื่อธรรมะ ไม่ใช่เพื่อตัวกูเพื่อของกู เพราะทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่องานมันเพราะความรักงาน เพราะเป็นผู้มีเจตนารมณ์รักงาน ก็ทำดีที่สุดทุกปรมาณู ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที งานมันก็ดี.... (นาทีที่ 1:14:04 เทปขาดช่วงไป และเนื้อหาไม่เหมือนเดิม)
..... ติดอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว เป็นมารร้ายเป็นยักษ์ร้ายเป็นอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ที่ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเดือดร้อน แต่ก็ยังบูชากันอยู่ จนเกิดส่วนเกิน ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่าไหร่ มันจะยิ่งเกิดส่วนเกินเท่านั้นแหละ ไม่เกิดส่วนขาด ส่วนขาดมันมีมูลเหตุอย่างอื่น แต่ส่วนเกินมันมีมูลเหตุจากเห็นแก่ตัว เมื่อยิ่งเต็มไปด้วยผู้เห็นแก่ตัว จนมีอันตรายทั้งโดยตรงและโดยอ้อม สมัยเมื่อ ๕๐-๖๐ ปีอาตมาไปที่กรุงเทพฯ ยังมีความสงบหรือปลอดภัยดีกว่าเดี๋ยวนี้มาก สตรีไปกลางคืนคนเดียวก็ยังไม่ได้รับอันตราย เดี๋ยวนี้อยู่บนเรือนมันก็ยังเข้าไปทำอันตราย นั่งรถลากคนเดียวกับเจ๊กรถลากไปดึกๆ ดื่นๆ ไปสถานีรถไฟที่ไกล ๆ มันก็ปลอดภัย เดี๋ยวนี้ใช้รถยนต์มันก็ยังไม่ปลอดภัยจากคนที่จะคอยจี้ปล้น นี่แสดงว่าแม้ในกรุงเทพฯ มันก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ความสงบเย็น สงบเย็น จึงหายไป เพราะว่าความเห็นแก่ตัวมันทวี มันรุนแรงขึ้น ถ้ามันรุนแรงระดับนี้เรื่อยไป ไม่เท่าไหร่โลกนี้มันก็วินาศ เดี๋ยวนี้ก็เตรียมวินาศไว้พอสมควรแล้ว สร้างอาวุธปรมาณูไว้สำหรับทำลายล้างกัน ได้ยินว่ามากเกินกว่าที่จะทำลายโลกให้วินาศไปสัก ๕ ครั้ง ๕ รอบ แต่ยังไม่ใช้ ก็ยังกลัวตายกันอยู่ ถ้าเมื่อไหร่มันคุมไว้ไม่ได้ มันใช้ล่ะก็โลกนี้มันก็ไม่มีอะไรเหลือ นี่ดูเรื่องของไอ้ความเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว เป็นข้าศึก เป็นข้าศึก และก็เป็นผู้ทำลาย ทำลายล้างชนิดที่ว่าไม่รู้สึก ถ้าไม่เห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างไร ขอให้ช่วยคิดนึก ไม่เห็นแก่ตัวมันก็อยู่กันสบายในบ้านเมืองนี้ สงบเย็นและเป็นประโยชน์ แล้วพร้อมกันนั้นไม่เห็นแก่ตัวคำเดียวนี้ พร้อมกับว่าอยู่ที่นี่ ในโลกนี้อย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์ มันมีส่วนหนึ่งซึ่งเอียงไปทางพระนิพพาน มีใช้บาลีใช้คำว่า เอียงหรือน้อม เอียงหรือลาดเทไปในทางพระนิพพาน คือความไม่มีกิเลสนะ จะมีความลาดเอียงไปทางนิพพาน เราอยู่ในโลกนี้ให้ถูกต้อง เย็น เยือกเย็นเป็นประโยชน์เถิด มันจะน้อมเอียงไปหาพระนิพพานโดยอัตโนมัติ ก็เรียกว่ามันมีประโยชน์ทั้งในโลกนี้ และมีประโยชน์ทั้งที่จะเหนือโลกคือเป็นโลกุตตระ เพราะความไม่เห็นแก่ตัว ในโลกนี้กัน เอ้า, อยู่ว่าอย่างในโลกนี้กัน ถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันจะทำผิดอะไรได้ มันจะฆ่าใครได้ จะขโมย จะกาเม จะหลอกลวง จะมัวเมาอะไรได้ มันไม่เกิดคดีทางอาญา และทางแพ่งมันก็ไม่เกิดเพราะมันให้อภัยเสีย ไม่คดโกง มันไม่หลอกลวง มันไม่เอาเปรียบ หรือถ้าว่ามันเกิดขึ้น มันก็ให้อภัยเสียหมด มันพอดีพอร้าย มันยกเลิกแล้วให้อภัย เอาไปเถอะ มึงเอาไปเถอะ ความไม่เห็นแก่ตัวมันระงับคดีทั้งทางแพ่งและทั้งทางอาญา ถ้าประชาชนทั้งหมดไม่เห็นแก่ตัว จะไม่เกิดคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา เลิกศาล เลิกตำรวจ เลิกคุก อะไรได้ เอากฎหมายไปโยนทะเลได้ ไม่ต้องใช้แล้ว ระบบการปกครองชนิดเลิศที่ เล่าจื๊อ เขาบอกว่าการปกครองชนิดเลิศคือการปกครองชนิดที่ไม่ต้องมีการปกครอง ฟังดูคลายกับว่าบ้านะ แต่เป็นความจริงที่สุด การปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครองคือประชาชนมันไม่เห็นแก่ตัว เลยมันไม่มีคดีอะไรหมด นี้มันไม่ต้องมีการปกครอง แล้วก็เป็นการปกครองชั้นเลิศมีแต่ความสงบสุข นี่คุณลองคิดดู ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เราไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีคุก ตะราง เรือนจำ ไม่ต้องมีศาลอะไรก็ไม่ต้องมี โรงพยาบาลบ้าก็ไม่ต้องมี เดี๋ยวนี้มันมีจนสร้างไม่ไหวแล้วใช่ไหม สร้างคุกตะรางเท่าไหร่ปรากฏว่าไม่พอ งบประมาณไม่พอ แถลงการณ์ว่าอย่างนั้น ตำรวจเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างศาลเท่าไหร่ก็ไม่พอ ยังต้องสร้างอีกมากมาย สร้างโรงพยาบาลบ้าอีกเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่เกิดอาการเลวร้ายเหล่านี้ ไม่ต้องใช้คุกใช้ตะราง ไม่ต้องใช้ตำรวจ ไม่ต้องใช้ศาล ไม่ต้องใช้โรงพยาบาลบ้า วิเศษหรือไม่วิเศษลองคิดดู พูดเลยไปอีกหน่อยก็ถูกด่า มันไม่ต้องสงสัย ว่าคนมันไม่เห็นแก่ตัวศาสนาไม่ต้องมี ศาสนาทุกๆศาสนา มันเกิดขึ้นในโลกเพราะมนุษย์มันเห็นแก่ตัว ธรรมชาติมันบีบบังคับให้คนดิ้นรนขวนขวายหาทางแก้ไข มันจึงเกิดผู้ที่มีความรู้เรื่องศีลธรรม เรื่องจริยธรรม เรื่องวัฒนธรรมขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับ จนเกิดศาสนา จนเกิดพระศาสดา มูลเหตุแท้จริงทีแรกว่าคนมันเกิดเห็นแก่ตัว คนมันไม่เห็นแก่ตัวแล้วศาสนามันก็ไม่จำเป็นสิ ศาสนาก็ว่างงาน ถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัว ทีนี้คนมันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น มันกลับจะทำลายศาสนาเสียอีก ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ ว่าศาสนาต่อศาสนาก็ยังอิจฉาริษยากัน เพราะความเห็นแก่ตัวเหมือนกัน มีศาสนาบางศาสนาคิดจะทำลายศาสนาอื่น แย่งชิงสมาชิก อย่างนี้ก็เพราะศาสนานั้นมันเห็นแก่ตัว มันไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว
เอ้า,สรุปความทั้งหมดนี้ สันติภาพจะเอามาจากไหน มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เอาเถอะสร้างคุกตะราง สร้างตำรวจ สร้างศาล สร้างโรงพยาบาลบ้ากันเรื่อยๆ ไปก็แล้วกัน ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันมีอะไรดีกว่านี้ มันไม่มีสิ่งสกปรก มลภาวะ อุบัติเหตุ มันจะไม่มีแม้แต่สิ่งที่น่าหัวเราะ ถ้าคนกรุงเทพฯไม่เห็นแก่ตัว ยุงก็ไม่ครองกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ยุงเป็นเจ้าผู้ครองนครกรุงเทพฯ เพราะว่าคนกรุงเทพฯมันเห็นแก่ตัว จะเสียสละคนละครึ่งไม้ครึ่งมือก็ไม่ได้ที่จะช่วยกันปราบยุง เพราะมันเห็นแก่ตัวอย่างนี้เป็นต้น มลภาวะในกรุงเทพฯก็เต็มไปหมดเพราะมันเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่มี เพียงแต่ยุงก็ไม่มีก็คุ้มค่าแล้ว เอาหละเป็นอันว่าเสียเวลามากพอแล้วที่จะพูดเรื่องเห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัว ทีนี้ก็โยงมาหาเรื่องที่พูดก็พูดว่าความเห็นแก่ตัวมันเป็นอุปสรรคของการพัฒนา พัฒนาจิต พัฒนาวัตถุ พัฒนาด้านวัตถุร่างกายจิตใจไม่ได้ ก็เพราะว่าความเห็นแก่ตัวมันเข้ามาแทรกแซงเสียหมด ความเห็นแก่ตัวระดับบุคคล ความเห็นแก่ตัวระดับสังคมคือคนมากๆ และก็ความเห็นแก่ตัวระดับประเทศ ความเห็นแก่ตัวระดับโลก เป็นปัญหาแห่งการพัฒนา เราพัฒนาไม่ได้ ก็เพราะเราเองเห็นแก่ตัว ตกเป็นทาสของกิเลสคือความเห็นแก่ตัว จะพัฒนาแต่สงเสริมกิเลส แล้วจะเอาความสงบเย็นมาแต่ไหน ตัวเองยังเย็นไม่ได้แล้วจะไปช่วยคนอื่นให้เย็นได้อย่างไร เมื่อวัตถุประสงค์มันมีว่าตัวเองก็เป็นผู้สงบเย็น เย็นกาย เย็นใจ เย็นในโลกๆ อย่าง นิพพุติงไป นี่คือเย็นระดับสูงสุดเป็นนิพพานไป ตัวเองก็เย็นไม่ได้แล้วจะไปทำให้ผู้อื่นเย็นได้อย่างไร เรื่องประโยชน์นี้ท่านคงทราบแล้ว แต่อยากจะย้ำอยู่อีกว่า ขอให้นึกถึงประโยชน์ผู้อื่นด้วยเถิด เรามักจะนึกถึงแต่ประโยชน์ตัว ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัว พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสประโยชน์ไว้เป็น ๓ ชนิด หรือ ๓ ระดับ ระดับแรกประโยชน์ตนเอง ประโยชน์ตนเอง ระดับ ๒ ก็ประโยชน์ผู้อื่น ระดับ ๓ ก็ประโยชน์ที่มันเกี่ยวข้องกัน แยกกันไม่ได้ระหว่างตนเองกับผู้อื่น มีอยู่ ๓ ประโยชน์ ประโยชน์ตนเองไม่พอ เพราะถ้าเขาปล่อยให้เราอยู่คนเดียวในโลก เราก็อยู่ไม่ได้ เราก็ตายด้วย มันต้องมีผู้อื่นอยู่ด้วย เมื่อมีผู้อื่นอยู่ด้วยก็ต้องอยู่ร่วมกันได้ด้วยการทำความเข้าใจกัน มีประโยชน์แล้วก็เกิดการผูกพันกันขึ้นมา เรียกว่าประโยชน์ ๒ ฝ่ายที่ผูกพันกัน ประโยชน์ตนเองเรียกว่าอัตตัตถะประโยชน์ ถ้าอยากจะจำก็จำว่าอัตตัตถะประโยชน์ ประโยชน์ผู้อื่นก็ว่า ปรัตถะประโยชน์ ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น อัตตัตถะประโยชน์ตน อันที่ ๓ เรียกว่าอุภยัตถะประโยชน์ อุภยัตถะประโยชน์ประโยชน์ ๒ ฝ่ายผูกพันกัน ท่านตรัสไว้เป็น ๓ ชนิด จงทำประโยชน์ทั้ง ๓ ชนิดให้เต็มที่ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความไม่ประมาท จงทำประโยชน์ทั้ง ๓ ชนิดให้เต็มที่ แล้วบุคคลนั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำประโยชน์โดยสมบูรณ์ เราเองสงบเย็น ไม่สงบเย็นเปล่า ทำประโยชน์ผู้อื่น แล้วมีความสุขในการทำประโยชน์ ข้อนี้มีปัญหาอย่างยิ่ง เพราะคนธรรมดาไปหาความสุขจากอบายมุข จากกามารมณ์ จากอะไรที่เป็นเรื่องส่งเสริมกิเลส ใครบ้างมาหาความสุขจากการทำประโยชน์ผู้อื่น มันมีแต่สัตบุรุษผู้มีธรรมะ เป็นธรรมะชีวีเท่านั้น จะรู้สึกเป็นสุขเหลือประมาณเมื่อได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น จะเป็นสุขที่สุดเมื่อได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น นั่งรออยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น พอได้ทำก็มีความสุข แม้แต่ทำประโยชน์ตน ก็ยังมีคนที่ไม่ได้พอใจได้รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำประโยชน์ตน กลับเห็นเป็นเหน็ดเหนื่อยลำบากไปรวยลัดดีกว่าเสียอีก ถ้าเป็นสัตบุรุษโดยแท้จริงพอได้ปฏิบัติหน้าที่ ทำหน้าที่คือธรรมะ ที่เป็นประโยชน์ตนก็พอใจ พอใจ ทำกันถึงที่สุดเลย ประโยชน์ตนถึงที่สุดมีความสุขตลอดเวลาที่ได้ทำประโยชน์ตน เพราะเขามีจิตใจสูง คนจิตใจต่ำไปหาความสุขจากกิเลส คนจิตใจสูงหาความสุขจากการปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่จะช่วยให้รอด หน้าที่ก็คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ดังนั้นธรรมะกับหน้าที่จึงเป็นสิ่งเดียวกัน พอได้รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะก็พอใจ พอใจ เป็นสุข เป็นสุขไม่รู้จักเบื่อในการปฏิบัติธรรมะคือหน้าที่ นี้มันมีความสุขเอาไว้ก่อนแล้ว เมื่อทำหน้าที่คือหรือปฏิบัติธรรมะ พอได้ไปช่วยผู้อื่นเข้าอีกก็เลยเพิ่มความสุขพอใจขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง ก็เลยสมบูรณ์ความสุขเกิดจากการทำประโยชน์ตน ความสุขเกิดจากการทำประโยชน์ผู้อื่น แต่คนเห็นแก่ตัวเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาจะมีความสุขต่อเมื่อเขาได้อย่างเดียว เขาได้อย่างเดียว เขาได้รับประโยชน์อย่างเดียว การทำประโยชน์ตนเขาก็ยังขี้เกียจ การทำประโยชน์ผู้อื่น เขาว่าเปลืองเปล่าๆ นี่ความเห็นแก่ตนมันเป็นข้าศึกของการพัฒนา ความไม่เห็นแก่ตนมันเป็นอุปกรณ์สูงสุดของการพัฒนา เราจงมาศึกษาให้รู้จักธรรมะ ธรรมะ อันแท้จริงว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย ลองไม่ทำหน้าที่คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย ต้นไม้ต้นไร่ก็ตาย ชีวิตมันอยู่ได้ด้วยหน้าที่ ชีวิตเรา คนหนึ่งดูเถอะ มือ ตีน หู ตา ก็ทำหน้าที่ ตับ ไต ไส้ พุง ก็ทำหน้าที่ แม้แต่ว่าเซลล์ทุก ๆ เซลล์มันก็ทำหน้าที่ หรือทุกปรมาณูทุกอันมันก็ไม่หยุดหมุนมันก็ทำหน้าที่ มันอยู่ได้ด้วยการทำหน้าที่ พอเซลล์แต่ละเซลล์ไม่ทำหน้าที่มันก็ตายลูกเดียว ตับ ไต ไส้ พุง ไม่ทำหน้าที่มันก็คือตาย มือ ตีน อวัยวะไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย แต่แล้วคนมันก็ไม่เห็นข้อนี้ อวัยวะที่ทำหน้าที่อัตโนมัติโดยธรรมชาติเช่นการหายใจ การสูบฉีดโลหิตตามหน้าที่โดยไม่ต้องมีเจตนานี่ มันก็ยังไม่ช่วยเหลือ ยังไม่รักษา ยังไปเบียดเบียนให้มันเสียสูญเสียหน้าที่ มันไปกินเหล้าเมายาให้การทำหน้าที่ของธรรมชาติโดยอัตโนมัติสูญเสียไปหมด นี้มันก็เลวร้ายไปขึ้นไปอีกส่วนหนึ่ง ก็คือจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานง่ายเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ถ้ามีธรรมะหรือรักษาธรรมะไว้ได้ มันก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหา ธรรมชาติทำหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่แล้วในร่างกายเรานี้ก็มี ก็ส่งเสริมมันสิ อย่าไปเอาไอ้เรื่องเห็นแก่กิเลสตัณหามาทำลายเสียนี่ ดังนั้นหน้าที่ที่เราจะต้องทำด้วยเจตนา ด้วยเจตนาก็ยังมี มันผสมส่งเสริมกัน หน้าที่ที่ทำธรรมชาติช่วยทำให้ตามธรรมชาติโดยไม่รู้จักเจตนา มันก็มีเยอะแยะนะ ถ้าคุณไปศึกษาวิชาแพทย์ วิชาสรีระวิทยา จะเห็นว่าร่างกายนี้ประเสริฐเหลือเกิน หลายสิ่งหลายอย่างทำหน้าที่เองโดยอัตโนมัติหรือว่าโดยธรรมชาติก็ตาม คนกลับไม่ส่งเสริมกลับไปทำลายและขัดขวางนี่ เรียกว่าอันธพาล ทำด้วยความโง่คือความเห็นแก่ตัว เป็นความเห็นแก่ตัวที่ทำลายตัวเอง ความเห็นแก่ตัวที่หลงทางจนฆ่าตัวเอง ความเห็นแก่ตัวที่หลงทางจนฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าหมดไม่ว่าใครทั้งนั้น ก็ได้เป็นบ้า มาศึกษาข้อนี้และเห็นว่าธรรมะคือตัวธรรมชาติ ธรรมะคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ จัดให้มันถูกต้อง ๆ ไปเสียทุกๆ ธรรมชาติ ในการศึกษาก็ศึกษาให้ถูกต้อง ให้รู้จริงเกี่ยวกับธรรมชาติ ๔ ความหมาย นี่เรียกว่าเมื่อรู้ รู้ เมื่อศึกษา ศึกษา ศึกษาก็ใช้วิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ดูตัวเอง ในตัวเอง โดยตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง วิจัยตัวเอง ก็ประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามนั้นนั่นแหละ ศึกษาให้ครบถ้วนอย่างนั้น เกี่ยวกับธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในตัวเอง แล้วก็รู้ธรรมะนั้นเพราะว่าได้ศึกษาแล้ว ศึกษาแล้วอย่างถูกต้องแล้วก็มีความรู้อย่างถูกต้อง ครั้นมีความรู้อย่างถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติ ปฏิบัติ มันก็ถูกต้องเพราะว่ามันรู้มาแล้วอย่างถูกต้อง เมื่อปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง มันก็มีธรรมะ ธรรมะขึ้นมา ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง มันไม่มีผลมันก็ไม่มีธรรมะ ไม่รู้อยู่ที่ไหน เมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วมันก็มีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่อัตถะภาพ ถ้ามีธรรมะแล้วก็ทำอะไรต่อไป ก็คือใช้ธรรมะนั้นให้เป็นประโยชน์ ใช้ธรรมะนั้นให้เป็นประโยชน์ เช่นเดียวกับมีเงิน ใช้เงินเพื่อฆ่าตัวเองก็ได้ ใช้เงินเพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดก็ได้ เป็นประโยชน์ผู้อื่นด้วยก็ได้ ธรรมะนี้ถ้ามีไม่ถูกต้อง มันก็ผิดเป็นอธรรม เป็นอธรรม แล้วก็ทำลายทั้ง ๒ฝ่ายตัวเองและผู้อื่น ถ้ามันถูกต้องก็เป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและผู้อื่น นี่ว่ารู้ธรรมะถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติถูกต้องแล้วก็มีธรรมะถูกต้อง แล้วก็ใช้ธรรมะถูกต้อง เหมือนท่านนักศึกษาทั้งหลาย ท่านต้องมีการศึกษาอย่างถูกต้อง และท่านก็ปฏิบัติถูกต้อง ได้เงินก็มีเงินอย่างถูกต้อง แล้วก็ใช้เงินอย่างถูกต้อง อย่าใช้เงินเพื่อเชือดคอตัวเอง อย่าใช้เงินเพื่อไปหาโรคเลวร้ายที่สุนัขเขาไม่เป็นมาให้แก่ตัวเอง มันยังมีคนใช้เงินเพื่ออย่างนั้น ธรรมะนี่ก็ขอให้ถือหลักอันนี้ ศึกษาให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ต้องให้รู้อย่างถูกต้องเพราะศึกษาถูกต้อง ถ้าศึกษาไม่ถูกต้อง มันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ศึกษาให้ถูกต้องก็รู้ถูกต้อง รู้ถูกต้องก็สามารถปฏิบัติ ปฏิบัติให้มันถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พอปฏิบัติถูกต้องแล้วมันก็มีสิ่งนั้นขึ้นมา มีธรรมะขึ้นมาในเนื้อในตัวในร่างกาย ในจิตใจ เรามีเป็นทรัพย์สมบัติก็ใช้ตลอดเวลาให้เป็นประโยชน์ให้ถูกต้อง การกระทำอย่างนี้เรียกว่าธรรมะชีวี อาตมาได้บอกแล้วตั้งแต่ตอนแรกว่าเราจะพูดกันเรื่องธรรมะชีวี มีธรรมะเป็นชีวิต ความมีธรรมะเป็นชีวิตเรียกว่าธรรมะชีวิตา ๒ คำธรรมะชีวี ผู้มีธรรมะเป็นชีวิต ธรรมะชีวิตตา ความเป็นผู้มีธรรมะเป็นชีวิต ขอให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ขอให้สิ่งนี้มี มี มีแก่เรา ก็เรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับไม่เสียทีที่เกิดมา ในวงพุทธบริษัทนี้เขาจะใช้พูดจากันว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนานั่น มีธรรมะ ใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ขอให้จำคำว่าธรรมะชีวี ไว้ให้แม่นยำ เพื่อจะได้ทำเป็นไปตามนั้น อันธพาลเขาก็มีอธรรมะชีวี อธรรมะชีวีคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว เป็นอธรรมะชีวี แต่เราจะมีธรรมะชีวีมีความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวเป็นธรรมะชีวี เป็นประโยชน์อยู่ที่นี่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย แล้วก็เดินไปหาพระนิพพานเรื่อยไป เรื่อยไป โดยอัตโนมัติด้วย ธรรมะชีวี ธรรมะชีวี ชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ ผู้รู้ ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวธรรมะชีวีว่าเป็นชีวิตประเสริฐที่สุด ชีวิตที่ประเสริฐที่สุดก็คือชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ เราก็เรียกว่าธรรมะชีวีทุกกระเบียดนิ้ว มองดูตัวเองเมื่อไรก็เห็นว่าเป็นธรรมะชีวี ทุกแง่ทุกมุมไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ไม่ว่าในระดับไหน ระดับน้อยที่สุดก็เป็นธรรมะชีวีระดับสูงสุดก็เป็นธรรมะชีวี เรียกว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ ทุกครั้งที่มองเห็นตัวเอง มองดูตัวเอง ถ้ามองดูตัวเองแล้วเกลียดน้ำหน้าตัวเองแล้วไม่มี ไม่มีธรรมะชีวี มันจะเป็นนรกชีวีเป็นอะไรหมด ถ้ามองดูตัวเองแล้วอิดหนาระอาใจตัวเอง ไม่ยกมือไหว้ลง แต่ตรงกันข้าม มองเห็นตัวเองแล้วพอใจยินดี พอใจยินดี พอใจยินดี ที่มันเป็นธรรมะชีวี ถึงมือจะไม่ยกขึ้นมาไหว้แต่จิตใจมันก็ยกมือไหว้ก็ใช้ได้เหมือนกัน ให้ปฏิบัติธรรมะมีความถูกต้องจนยกมือไหว้ตัวเองได้ในเมื่อมองดูตัวเอง นี่เรื่องธรรมะชีวี มันก็มีอย่างนี้ เป็นผลของการพัฒนามาอย่างถูกต้อง รู้จักธรรมชาติถูกต้อง รู้หน้าที่ รู้การปฏิบัติถูกต้อง ศึกษามันอย่างถูกต้อง แล้วก็พัฒนาได้อย่างถูกต้อง ไม่มีอุปสรรคขัดขวางคือไม่มีกิเลสหรือความเห็นแก่ตนเป็นอุปสรรคขัดขวาง การพัฒนานั้นก็เป็นมาด้วยดี ด้วยดี ตามลำดับ ตามลำดับ จนในที่สุดมีชีวิตชนิดธรรมะชีวี เรื่องธรรมะชีวีที่ตั้งใจจะพูดในวันนี้มันก็มีอย่างนี้ พูดต่อจากเรื่องของการพัฒนาชีวิตโดยทั่วไปวันก่อนและวันนี้ก็พูดเรื่องผลของมัน ได้รับผลเป็นธรรมะชีวี ได้ชื่อว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันก็หมดปัญหา ไม่มีใครจะมาชี้หน้าว่าเสียชาติเกิด ตัวเองยิ่งดูตัวเองก็ยิ่งพอใจว่าได้ทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์ จึงขอแสดงความหวังว่าให้ท่านนักศึกษาทั้งหลาย สาธุชนทั้งหลาย รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ พัฒนาชีวิตให้ได้ขึ้นมาสูงสุดอยู่ในระดับธรรมะชีวี ดำเนินชีวิตการงานและหน้าที่อยู่ด้วยความสุขสวัสดี ยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ .....
ขอยุติคำบรรยายด้วยความสมควรแก่เวลา ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ตั้งใจฟังด้วยดี ด้วยความอดกลั้นอดทน เกือบจะ ๒ ชั่วโมงแล้ว ....