แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การพูดแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ คิดว่าควรจะพูดเรื่องสิ่งที่เรียกว่าศาสนาในแง่มุมที่ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ ตามธรรมดา ก็มองสิ่งที่เรียกว่าศาสนากันในฐานะที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าเป็นระเบียบ วิธีปฏิบัติให้นำมาซึ่งบุญกุศลเป็นอย่างมากอย่างทั่วไป ทีนี้ ที่บอกว่าจะพูดให้เห็นในแง่ที่ไม่ค่อยมองกันนั้น มันก็คือ ศาสนามีหน้าที่ที่จะขจัดหรือว่าป้องกันการกระทำอย่างสัตว์ หรือสันดานสัตว์ ฟังดูแล้วมันก็หยาบคาย แต่มันก็ไม่มีคำอื่นที่จะพูดให้ดีกว่านี้ได้
มนุษย์มีความก้าวหน้าด้วยการศึกษา มีสติปัญญามากกว่าสัตว์ แต่แล้วมันไม่ค่อยจะเป็นไปในทางที่ตรงกันข้ามจากสัตว์ มันกลับส่งเสริมไอ้สันดานสัตว์นั้นนะให้มันยิ่งขึ้นไป ขออภัยไว้ก่อนทุกทีนะถ้าพูดด้วยคำมันรุนแรงไปล่ะก็ ขอให้ถือว่าเพื่อประหยัดเวลา บางคนจะคิดว่าการศึกษาอันแสนจะวิเศษนี้จะช่วยป้องกันสันดานสัตว์ หรือสัญชาตญาณอย่างสัตว์ นั่นมันก็จะถูกแต่ในสมัยหนึ่งเท่านั้น จะเป็นสมัยแรกๆ เมื่อคนยังไม่ได้เจริญด้วยการศึกษาด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นการศึกษาอย่างสมัยปัจจุบันนี้แล้ว มันส่งเสริมสันดานสัตว์ คือให้มีความเห็นแก่ตัวยิ่งๆขึ้นไป เพราะว่าการศึกษาสมัยปัจจุบันนี้ ไม่ได้ให้ศึกษาเพื่อบังคับความรู้สึก ความรู้สึกในที่นี้ก็หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามธรรมดาสามัญ เมื่อรัก ก็ไม่บังคับความรู้สึกที่รัก เมื่อโกรธ ก็ไม่บังคับความรู้สึกที่โกรธ เมื่อจะหลงใหลมัวเมาก็ไม่บังคับความรู้สึกชนิดนั้น นี่เป็นการศึกษาที่เลวที่สุดเท่าที่เรามองเห็น การศึกษานี้มันให้แต่ ให้เรียนรู้หนังสือ แล้วก็รู้วิชาเทคโนโลยีทั้งหลาย ให้เก่งกล้าสามารถในการที่จะทำอะไรตามที่ต้องการ ไม่มีส่วนไหนที่บังคับความรู้สึก อย่าให้มันรุนแรงไปตามสันดานสัตว์ พูดอีกทีหนึ่งก็ว่า สัตว์มันรักก็รักน้อย มันโกรธก็โกรธน้อย มันเกือบจะไม่หลงใหลในอะไรเลย พอคนเราวิวัฒนาการไปมาจากสัตว์ มีสติปัญญา มันกลับไปเพิ่มความรุนแรงในความรู้สึกนั้น แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่นิยมบังคับความรู้สึก ขอให้ช่วยจำให้ดีๆว่า เดี๋ยวนี้เขาไม่นิยมการบังคับความรู้สึก การศึกษาของโลกที่ฝรั่งเคยเป็นผู้นำ เมื่อสมัยสักสองร้อยปีมานี้ มันบังคับความรู้สึก นิยมการบังคับความรู้สึก นิยมความเป็นสุภาพบุรุษที่บังคับความรู้สึกได้ นั่นเป็นจุดหมายปลายทางของการศึกษา เดี๋ยวนี้ก็ค่อยลืมไปทีละนิด ลืมไปทีละนิด จนไม่มีการบังคับความรู้สึกเหลืออยู่ นอกจากว่าจะเราเก่งในการที่จะทำอะไรขึ้นมาสนองความอยาก หรือความต้องการของเราเท่านั้นเอง แล้วก็ยิ่งหันมาในทางที่ไม่บังคับความรู้สึก โดยเข้าใจไปว่าการบังคับความรู้สึกมันเสียเสรีภาพ มันเสียอิสรภาพ ยิ่งมาถึงสมัยประชาธิปไตยบ้าๆบอๆนี่ก็ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีการบังคับความรู้สึก เพราะมัวเมาในเสรีภาพ ต้องอดกลั้นอดทน แล้วก็เรียกว่ามันเสียเสรีภาพไปเสียทั้งนั้น นี่ปัญหาที่มีอยู่จริง มันมีอยู่อย่างนี้ คือคนไม่บังคับความรู้สึก ปล่อยตามความรู้สึก ศีลธรรมมันก็หมดไป สันดานพาล สันดานสัตว์มันก็จะมากขึ้น มันก็กลับมามากขึ้น อย่าเข้าใจว่าคนฉลาดด้วยสติปัญญา แล้วจะป้องกันความรู้สึกอันนี้ได้ มันกลับจะรุนแรงเสียอีก เพราะว่าเขาใช้สติปัญญาไปในทางตามใจกิเลสตัณหา ตามใจเนื้อหนัง นั่นจึงหลงใหลในความสุขทางเนื้อหนัง จนไม่มองดูหน้าใคร ว่าใครมันจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราจะเอาตามที่เราต้องการให้มากยิ่งขึ้นๆ บางคนก็ฉลาดมาก มีกำลังมาก มีโอกาสมาก มันก็เอาเปรียบคนอื่นได้มาก ก็เลยเกิดปัญหาใหม่ๆขึ้นมา คือความแตกต่างกันเกินไประหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน เป็นปัญหาทั่วไปทั้งโลก คิดดู นี่คือผลร้าย และก็ปัญหาที่กำลังมีอยู่ เพราะว่าคนไม่บังคับความรู้สึก เพราะคนปล่อยไปตามความรู้สึกของสัญชาตญาณอย่างสัตว์นั้นเกินกว่าที่สัตว์เขาเป็น ลองเปรียบเทียบดูว่า สัตว์ทั้งหลายที่เป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียน เพราะมันไม่อาจจะศึกษาเล่าเรียน มันจึงไม่มีสติปัญญาเกินกว่าธรรมชาติ มันก็อยู่กันอย่างธรรมชาติ เอาเปรียบกันไม่เป็น ไอ้คนมันก็คิดว่า ไอ้สัตว์นี่มันโง่ เพราะว่าเอาเปรียบกันไม่เป็น นก หนู มด แมลง สัตว์ทั้งหลายตามต้นไม้ในป่านี้ มันเอาเปรียบกันไม่เป็น คนก็คิดว่ามันโง่ ส่วนคนนี่เอาเปรียบกันเป็น และก็ยิ่งเอาเปรียบกันยิ่งขึ้นทุกที และก็ถือตัวว่าเป็นคนฉลาด ปัญหาก็เกิดขึ้น ลองคิดดูว่าเป็นอย่างไร ไอ้สิ่งที่เราเรียกกันว่าความสงบสุขนั้น หายไป หายไป เพราะคนมันยิ่งฉลาดโดยวิธีนี้ ขอให้สนใจพิจารณาดูให้ดี
เมื่อยังไม่รู้หนังสือกันถึงขนาดนี้ เมื่อยังไม่ฉลาดทางเทคโนโลยีกันถึงขนาดนี้ โลกนี้มีความสงบสุขมากกว่านี้ นี่น่าเสียดายที่ว่า ท่านทั้งหลายมีอายุน้อยเกินไป อายุยี่สิบ สามสิบปีนี้ อาจจะไม่ทันเห็น บ้านเมืองในสมัยที่มีความสงบหรือสันติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยที่คนไม่รู้หนังสือ รูปภาพที่เขียนในตึกนี้เป็นการจำลองมาจากภาพในสมุดข่อยที่เขาเขียนไว้สอนธรรมะแก่บุคคลที่ไม่รู้หนังสือ สมัยนั้นประชาชนไม่รู้หนังสือ แต่เราก็ยังสอนธรรมะ ให้คนมีความรู้ธรรมะ แล้วก็อยู่กันอย่างสงบสุขได้ ลองพยายามติดตามเรื่องนี้ สอบถามคนแก่อายุเจ็ดสิบปี แปดสิบปี เก้าสิบปี ว่าเขาอยู่กันอย่างไร ไม่รู้หนังสือ แต่มีความสงบสุขมาก กว่า เอาเปรียบกันก็น้อยกว่า ไม่มีการต่อสู้กันระหว่างไอ้ที่เรียกว่าชนชั้นเหมือนอย่างคนเดี๋ยวนี้ นั่นเขาไม่รู้หนังสือ แต่เขามีอะไร เขามีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือมีศาสนา เขาเชื่อฟังพระเจ้า ในพวกที่เขาถือว่ามีพระเจ้า หรือเรียกว่าพระเจ้า แต่พวกเราชาวพุทธศาสนาเรียกว่า พระธรรม ความหมายอย่างเดียวกันกับพระเจ้า คำว่าพระเจ้านะพูดกันอย่างให้เป็นบุคคลขึ้นมา คำว่าพระธรรมพูดไปตามธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติ อำนาจตามธรรมชาติ เรียกว่าพระธรรม บันดาลให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นมา บันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย เมื่อก่อนก็ยังเชื่อพระธรรม เชื่อพระเจ้า ปฏิบัติตามหลักที่เรียกกันว่าพระธรรม หรือพระศาสนา หรือพระเจ้า ซึ่งสอนเป็นหลักพื้นฐานในชั้นแรกทีนึงก่อนว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ขออภัยลูกหลานอายุน้อยๆที่นั่งอยู่ตรงนี้ ใครเคยได้ยินประโยคนี้บ้าง ว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ใครเคยได้ยินประโยคนี้ ยกมือดิ ช่วยยกมือดิ จะเป็นการดีมากถ้าได้ยินคนแก่ๆพูดประโยคอย่างนี้ แล้วลูกหลานได้ยิน อย่างอาตมาเองนี่ เมื่อเป็นเด็กๆนะ ได้ยินทุกคน คืนละหลายๆหน บางที คือโยมเขาจะสวดมนต์ แล้วต้องสวดบทนี้ด้วย สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกคืน จึงได้ยินจนนับครั้งไม่ถ้วน เป็นหัวใจ ไอ้ที่เป็นรากฐานที่สุดของศาสนา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินสองสามคน ก็ให้ทุกคนได้ยินเสียเดี๋ยวนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นรากฐานสุด เป็นรากฐานอันแรกที่สุดของศาสนา
สัตว์ทั้งหลายนี้ต้องรวมถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย ในบางกรณี บางความหมาย ขยายความลงไปถึงต้นไม้ด้วย ในฐานะที่ต้นไม้ก็เป็นสิ่งที่มีชีวิต เดี๋ยวนี้ วิทยาศาสตร์ก็พอจะบอกให้ได้ว่า ต้นไม้มีความรู้สึก เป็นสุขเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน รู้สึกรู้ว่า กลัวตายนี่ก็ได้เหมือนกัน รู้สึกอยากจะอยู่อย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน ก็ควรจะจัดไว้ในพวกสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกศาสนาจะสอนอย่างนี้ แต่บางทีไม่ได้พูดไว้ตรงๆ ใช้สำนวนอย่างอื่น แต่เขาสอนอย่างนี้ ว่าให้ถือว่าชีวิตทุกชีวิตเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วนกัน นี่ก็รู้ได้เองว่ายังไง มันเบียดเบียนกันไม่ลง มันฆ่ากันไม่ลง มันเอาเปรียบกันไม่ลง มันทนไม่ได้ มันต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางศาสนา หรือโดยมากที่มีพระเจ้านะ เขาก็บอกว่าพระเจ้าสร้างคนขึ้นมาเป็นคู่แรก แล้วมนุษย์ทุกคนก็ออกมาจากมนุษย์คู่แรก เพราะฉะนั้น มันเป็นพี่น้องกัน เขาตั้งจุด ตั้งต้นไว้อย่างนี้ ก็เพื่อให้คนรักกัน เมตตากรุณากัน เหมือนว่าเป็นคนๆเดียวกัน
ทางฝ่ายพุทธศาสนาเรา ไม่ใช้คำว่าพระเจ้าเช่นนั้น แต่เราก็มีคำว่าพระธรรม คือกฎของธรรมชาติอันเร้นลับอันหนึ่ง ซึ่งบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นมาในโลกเป็นลำดับๆมา และก็กล่าวได้ว่า พระธรรมเป็นผู้สร้างสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา ทุกคนออกมาจากพระธรรม ก็พอจะมีความหมายได้ว่า ออกมาจากพ่อแม่เดียวกัน วิธีอื่นจะพูดไปอย่างไร มันก็ได้ความอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะมันออกมาจากที่เดียวกัน จึงถือว่าเป็นพี่น้องกัน หรือจะขยายว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เขาจึงเคารพหลักเกณฑ์อันนี้ ไม่อาจจะเบียดเบียนกัน ที่นี้ก็ค่อยลืมไปๆๆ ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามมันก็เกิดขึ้น คือมึงก็มึง กูก็กู มันก็มีประโยชน์ที่แตกแยกกันไป จน กระทั่งมันขัดกัน ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นมันจึงทำลายล้างกัน ในชนชาติเดียวกัน ยังทำลายล้างฆ่ากันอย่างป่าเถื่อน อย่างไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนากันเลย เพราะพวกเขาได้ทิ้งไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าศาสนาไปตามลำดับ นี่สันดานพาล สันดานสัตว์ มันก็มาในรูปที่ยิ่งกว่าที่สัตว์เขามีอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมดา
สัตว์เดรัจฉานอยู่กันตามธรรมชาติธรรมดา ไม่เบียดเบียนกันอย่างมนุษย์ ซึ่งมีสติปัญญามาก คิดเบียดเบียนกันได้ลึกซึ้ง คิดสร้างอาวุธที่จะประหัตประหารกันอย่างลึกซึ้ง ส่วนสัตว์มันยังเท่าเดิม มันจะไม่เบียดเบียน เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น อย่างมากก็ต่อสู้เพียงชีวิตรอด เท่านั้นเอง คนต่างหากที่มันโง่ เอาตัว เอาความคิดของตัวเข้าไปใส่ว่าสัตว์ทั้งหลายจะทำอันตรายเรา ที่จริงมันไม่ได้คิดจะทำอันตรายเรา มันจะหนีมากกว่า มันจะเอาตัวรอดมากกว่า ไอ้คนนี่ต่างหากที่มันคิดจะทำลายล้างผู้อื่น เอาประโยชน์ของผู้อื่นยิ่งๆขึ้นไป นี่ความฉลาดของมนุษย์ทำให้มนุษย์เลวกว่าสัตว์ในข้อนี้ ที่มันต่างกันอยู่ จึงจะขอเล่าต่อไปอีก เพื่อให้เป็นสมมติฐานสำหรับเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าศาสนาให้สมบูรณ์ ก็คือว่าสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างไม่เอาเปรียบกัน และไม่มีทางที่จะเอาส่วนเกิน ในป่านี้ มีนก มีแมลง มีมด มีสัตว์ทั่วๆไป แต่ละตัวไม่มีทางที่จะเอาส่วนเกิน เพราะว่ามันไม่มียุ้ง ไม่มีฉาง ไม่มีคลัง ไม่มีออมสินที่จะไปฝากไว้ ไม่มีธนาคารที่จะไปเก็บกักไว้ แต่ละตัวมีเพียงท้อง กินอาหาร อิ่มท้องมันก็แล้วกัน ไม่มีโอกาสไม่มีปัญญา ไม่มีหนทางที่จะเอาส่วนเกิน มนุษย์นั้นมีปัญญาที่จะเอาส่วนเกิน ที่มีปัญญามากก็เอาได้มาก เอาส่วนเกิน เกินจำเป็น เอาเกินเข้าไว้ เกินเข้าไว้ จนไม่รู้จะเกินกันอย่างไร ส่วนคนบางพวก ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถ เอาส่วนเกินกับเขาไม่ได้ เอาแต่ส่วนพอดีที่จำเป็นไปเลี้ยงชีวิต ก็ยังเอาไม่ได้ แล้วจะเอาส่วนเกินได้อย่างไร มนุษย์ต่างกันอย่างนี้ กับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งโลกของสัตว์เดรัจฉานไม่มีการเอาส่วนเกิน ปัญหามันจึงไม่มีเหมือนอย่างมนุษย์ที่กำลังจะต้องฆ่าฟันกันให้หมดไปทั้งโลก เพราะหลงใหลในส่วน เกิน มีแผนการที่จะกอบโกยส่วนเกินให้ตน ให้พวกของตนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่เราเรียกว่ามันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ในแง่นี้ มนุษย์มันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันทิ้งกฎของธรรมชาติ ทิ้งพระธรรม ทิ้งพระเจ้า ซึ่งห้ามไว้เด็ดขาดในศาสนาทั้งหลาย ซึ่งบัญญัติไว้เป็นใจความตรงกันหมดว่า การแสวงหา หรือการบริโภค หรือการมีไว้ที่มันเกินกว่าความจำเป็นนั้น มันเป็นบาป แม้แต่แสวงหาเกินจำเป็นนั้น มันก็เป็นบาป ถ้าทุกคนถือศาสนา ก็จะรู้ความพอดี พอเหมาะที่ควรจะมีตามภูมิ ตามชั้น ตามสถานะของตน มันก็มีประ โยชน์ที่เหลืออยู่สำหรับเจือจานกันทั่วไปหมด ไม่ต้องเอามาทำลายเสียเพื่อประโยชน์ของคนที่เห็นแก่ตัว คนร่ำรวยดูดเอาส่วนเกินมาจากผู้อื่นได้มาก แล้วก็มาใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นเสียเป็นส่วนใหญ่ คือความสุข สนุก สนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ซึ่งถือว่าเป็นกิเลส ซึ่งทางศาสนานะเกลียดนัก ซึ่งคนร่ำรวยเขาก็คิดว่ามันดี เขานิยมทำกันอย่างนั้น จึงหาให้มากเข้าไว้ และหาถึงกับสำรองไว้ให้ไม่รู้จักหมดสิ้น อ้าวตรงนี้อยากจะบอกว่า คนร่ำรวยสมัยนี้ เป็นคนละแบบ คนละอย่างกับคนร่ำรวยสมัยโบราณที่เราอ่านพบในพระบาลี ในภาษาบาลี คนร่ำรวยเขาเรียกกันว่าเศรษฐี มีคนใช้มาก มีการผลิตมาก มีอะไรมาก ได้เงินได้ประโยชน์มาแล้ว กลายเป็นเพื่อโรงทาน การให้ทาน สงเคราะห์คนขาดแคลน คนเจ็บป่วย หรือบำรุงศาสนา นั่นเขาเรียกว่าโรงทาน ถ้าเป็นเศรษฐี ก็มีโรงทาน ไม่มีโรงทาน ไม่มีใครเรียกว่าเศรษฐี ถ้าเป็นมหาเศรษฐี ก็ต้องมีโรงทานมาก แล้วก็ฝังทรัพย์ไว้ มีที่นะฝังทรัพย์ไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทานในอนาคต เผื่อว่าพลั้งพลาดลงไป จะไม่มีเงินหล่อเลี้ยงโรงทาน หรือว่าลูกหลานจะไม่มีเงินหล่อเลี้ยงโรงทาน ทำอย่างนี้เขาเรียกว่าเศรษฐีตามความหมายนี้
นี่คนร่ำรวยสมัยนี้มันไม่ทำอย่างนั้น มันตรงกันข้าม ปัญหามันจึงเกิดขึ้น จนถึงกับว่าจะต้องฆ่าฟันกัน ถ้าจะไปยืมคำว่าเศรษฐีมาใช้กับคนร่ำรวยสมัยนี้ ก็เรียกว่าใช้คำผิด คำนั้นไม่ตรงตามความหมาย คำว่าเศรษฐีนี้ ดูๆแล้ว ก็ไอ้รูปตัวหนังสือนี้แปลว่า ผู้มีความประเสริฐ หรือมีเศรษฐะ ซึ่งแปลว่าเศรษฐกิจ ซึ่งมีความหมายมาจากคำว่าประเสริฐก็ได้ ส่วนเดี๋ยวนี้ไม่มีความหมายอย่างนั้น เขาจึงเรียกกันเป็นนายทุนบ้าง เป็นอะไรบ้างไปตามที่เขาเห็นว่ามันมีความจริงอย่างไร เศรษฐีในประเทศไทยเรา สองสามร้อยปีมานี้ ก็ยังมีเศรษฐีชนิดที่ มีเงินมาแล้วก็อดไม่ได้ต้องสร้างวัด เศรษฐีจึงสร้างวัดกันมาก แล้วก็ค่อยๆจางไป ค่อยๆหายไป นี่คือผลที่มาจากการถือศาสนา หรือไม่ถือศาสนา ถ้าถือศาสนา เอาส่วนเกินไม่ได้ แล้วก็เห็นแก่ตัวไม่ได้ แล้วก็ทำลายผู้อื่นไม่ได้ มันก็มีแต่ความสงบสุข ที่นี้ศาสนาก็มีรากฐานอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า มีความมองเห็นชัดลงไปทีเดียวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ในศาสนาไหน ก็จะมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ แม้ไม่พูดไว้ตรงๆ เป็นคำพูดเหมือนนี้ แต่ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน
อย่างศาสนาคริสเตียน จะพูดว่ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า รับใช้ตัวเองคือรับใช้ซาตาน รับใช้ตัวเองก็เห็นแก่ตัว ก็รับใช้กิเลส รับใช้ผู้อื่น ก็ช่วยเหลือผู้อื่น กลายเป็นรับใช้พระเจ้า ให้เห็นแก่ผู้อื่น แทนที่จะเห็นแก่ตัว ทุกศาสนาจะเป็นอย่างนี้ ที่นี้คนโดยมากในโลกว่า ศาสนาไม่จำเป็น พวกที่ถือพระเจ้า ก็บอกว่า พระเจ้าตายแล้ว พระเจ้าไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเรา บัดนี้เราไม่ต้องมีพระเจ้า แต่เขาก็ยังงงว่าไม่รู้จะหาอะไรมาแทนพระเจ้า ในที่สุดก็ไม่มีอะไรมาแทนศาสนา มาแทนพระเจ้า กิเลสก็ได้โอกาสขึ้นครองจิตใจของคนเหล่านี้ ก็เลยเป็นโลกที่นับถือกิเลสเป็นพระเจ้า คือถือความเห็นแก่ตัวเป็นพระเจ้า ถือตัวกู ของกูเป็นพระเจ้า ทำไปตามกิเลสนั้น นับวันแต่ว่า จะยิ่งระส่ำระส่าย เดือดร้อนเป็นทุกข์กันมากขึ้นทุกที
ที่นี้มาดูกันว่า กิเลสประเภทนี้มันมาจากไหน มันสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ความรู้สึกว่า ตัวเราเป็นความรู้สึกตามสัญชาตญาณ มีได้แก่สิ่งที่มีชีวิตทั่วๆไป อย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย แม้แต่เซลล์ที่มีชีวิตสักเซลล์หนึ่ง มันก็จะต้องมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่า ตัวมันที่จะต้องสืบพันธุ์เอาไว้ มีชีวิตเอาไว้ มันจึงมีการต่อสู้เพื่อดำรงอยู่ หรือเพื่อการสืบพันธุ์ไว้แม้ในเซลส์ๆเดียว นั่นนะคือรากฐานแห่งความรู้สึกว่าตัวฉัน มันมีมาตั้งแต่ชีวิตเริ่มตั้งต้นขึ้นในเซลล์ แม้เพียงเซลล์เดียว แล้วขยายมาเป็นหลายเซลล์ เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นคน ความรู้สึกนั้นเหลืออยู่ เป็นรากฐานที่สำคัญว่าต้องมีตัวฉัน แล้วความรู้สึกมันจะรู้สึกไปแต่ในทางมีตัวฉันเสมอ ตัวฉันที่เป็นแกนกลางที่สุด ฉันรู้สึก ฉันคิด ฉันนึก ฉันรู้ ฉันอิ่ม ฉันหิว รู้สึกอย่างนั้นเอง มีตัวฉัน ที่นี้พอเราเกิดมา แม้เป็นทารกนอนในเบาะอยู่นี้ ก็ถูกแวดล้อมอบรมให้มีความรู้สึกว่าของฉัน คือตัวฉัน หนักขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่จะไปตำหนิติเตียนใคร ไม่ตำหนิติเตียนบิดามารดา หรือคนเลี้ยงเด็ก เขาก็ต้องทำ เพราะเขาทำไปตามธรรมเนียมที่จะพูดว่า ของแก แม่ของหนู พ่อของหนู บ้านของหนู อะไรของหนูเรื่อยๆมา จนมันเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าของฉัน ของฉัน ตัวฉันก็เจริญมากขึ้น ของฉันก็เจริญมากขึ้น เป็นทางให้เกิดความเห็นแก่ตัว ช่องโหว่อันนี้ไม่มีอะไรอุด อุดให้มันหายไปได้ นอกจากสิ่งที่เรียกว่าศาสนา สิ่งที่เรียกว่าศาสนาจะต้องเข้ามาทำหน้าที่อันนี้ในหมู่คนที่นับวันแต่จะยิ่งเจริญขึ้นด้วยตัวกูของกู เพราะตามธรรมดาสามัญที่สุด ไม่เกี่ยวกับการศึกษาที่ไหนอีก เด็กๆก็เริ่มมีความรู้สึกว่าตัวกู ของกู ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว ก็จะมีวัฒนธรรม และมีศาสนาที่จะมาควบคุมความรู้สึกอันนี้ อย่าให้มันเห็นแก่ตัวจนเป็นอันตราย
ที่นี้เมื่อมีการศึกษาอย่างสมัยปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะล้วนแต่หวังผลเป็นอาชีพ ไม่ได้หวังผลเพื่อบังคับกิเลส หรือบังคับความรู้สึกเหมือนสมัยก่อนโน้น เดี๋ยวนี้ การศึกษาในโลกเพียงเพื่อความรู้ความสามารถในอาชีพ หรือในเทคโนโลยีแขนงใดแขนงหนึ่งตามที่ตนควรจะได้จะมี ก็เพื่อผล เพื่อประโยชน์ทั้งนั้น คนก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น จึงต้องการให้สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นมาช่วยควบคุมความรู้สึกอันนี้มากขึ้น แต่แล้วมันไม่ได้เข้ามา เพราะเหตุที่เขาไม่ต้องการไม่มีใครชอบ ไม่ถูกอบรมให้รักศาสนา หรือรักพระเจ้ามาแต่อ้อนแต่ออกเหมือนสมัยโบราณ เราจึงไม่มีศาสนามากยิ่งขึ้น เท่ากับที่เรามีวิชาความรู้ทางเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น นี่สันดานสัตว์ สันดานพาลอย่างสัตว์ก็ได้โอกาสที่จะมาครอบงำจิตใจของคนให้เห็นแก่ตัวหนักขึ้นไป หนักขึ้นไป ฉะนั้นจึงอยากจะขอให้ทุกคน ให้ลูกหลานทุกคนเหล่านี้ ที่เพิ่งเกิดมาไม่กี่ปีนี้ มองดูกันเสียใหม่ แม้ว่าจะดูไม่เห็น หรือว่าไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ เพราะอายุยังน้อย ไม่อาจจะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแปดสิบปี เพราะเรามีอายุเพียงยี่สิบ ยี่สิบปี จึงมองเห็นยาก แต่ว่าคงจะเห็นต่อไปข้างหน้า เดี๋ยวนี้เอามาบอกให้ฟังว่า ไอ้ความเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันระหว่างแปดสิบปีนี้ มากเหลือเกิน โดยคำนวณออกไปอีกหน่อยหนึ่ง คือความสงบสุข หรือสันติสุขนั้นหายาก ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สมบัตินั้น หายาก หรือแทบจะไม่มีเหลือ ไม่เหมือนสมัยก่อนนู้น เขาทำเรือนไม่ต้องปิด ไม่ต้องมีประตูก็ได้ ไปธุระนอกบ้านไม่ต้องใส่กุญแจบ้านก็ได้ อยากจะนอนตรงไหนก็นอนได้ จนสว่างไม่มีใครมาฆ่าให้ตาย อย่างเขาจะนอนข้างล่าง ใต้ถุนเรือนตากลมเย็นๆจนสว่างก็ได้ ไม่มีใครมาฆ่าให้ตาย เดี๋ยวนี้นอนอยู่ในห้องบนเรือนก็ยังไม่ปลอดภัย วัวควายก่อนนี้เขาปล่อยไว้ตามสบาย ก็ได้ เดี๋ยวนี้แม้ขังอยู่ในคอก ล่ามโซ่ไว้ ก็ยังมีคนมาตัดโซ่เอาควายไป ความแตกต่างอย่างนี้ ทวีขึ้นๆ เพราะเหตุที่ว่าในจิตใจ ในน้ำใจของคนนั้น มันว่างจากพระธรรม หรือว่างจากศาสนา สันดานพาล หรือสันดานสัตว์มันก็หนาขึ้นๆ จนกระทั่งทำสิ่งที่ไม่น่าทำ ไม่เคารพสิทธิ ชีวิต ร่างกายทรัพย์สมบัติของใคร ตัวเองก็มอมเมาตัวเองให้ลุ่มหลงในความสุขทางเนื้อทางหนัง ซึ่งที่แท้ไม่ใช่ความสุข เป็นเพียงความเพลิดเพลินเอร็ดอร่อย ด้วยอำนาจของความโง่ หรืออวิชชา เราจะอร่อยด้วยสิ่งเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ต้องมีความโง่เข้ามาด้วย ถ้ามีความฉลาดแล้ว มันจะรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ ต้องมีความโง่เข้ามาด้วย ขอให้ช่วยจำไว้ทุกคนว่าถ้าจะไปหลงใหลในกามารมณ์ หรือในอะไรที่ถือกันว่าวิเศษนักนั้น ต้องเอาความโง่มาด้วย ต้องทูนหัวเอาความโง่มาให้เต็มที่ มันจึงจะมารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เอร็ดอร่อย มีค่ามีอะไรที่สุด แต่พอมีวิชชา หรือความฉลาดเข้ามาแล้ว มันจะเห็นว่าตรงกันข้าม มันจึงไม่ไปหลงแม้ในสิ่งที่เรียกว่า กามารมณ์อันประณีต กามารมณ์ชั้นที่เป็นของทิพย์ ของสวรรค์ ไอ้คนที่มีปัญญามีวิชชา มันก็ไม่หลง ส่วนคนโง่ แม้กามารมณ์สกปรกของมนุษย์ในโลกนี้ มันก็ยังหลงกัน ขอให้เข้าใจไว้ว่า ที่จะไปหลงในความเอร็ดอร่อยของอะไรนั้น ต้องเอาความโง่มาด้วย เอามาให้มากที่สุดเท่าไร มันก็จะยิ่งหลงใหลมากเท่านั้น แล้วจะรู้สึกว่ามันมีรสอร่อยมากเท่านั้น ขอให้ระวังให้ดี การศึกษาของเราในปัจจุบันนี้ มันมาเป็นเสียอย่างนี้ คือทำให้ลุ่มหลงในสิ่งสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อย คือการศึกษาของเราในปัจจุบันนี้ ยิ่งทำให้เราโง่ คือยิ่งทำให้เราหลงในเนื้อหนังมากขึ้น ผิดจากการศึกษาแต่ก่อนซึ่งเขาทำให้เป็นผู้ชนะเหนือสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ทำให้พ่ายแพ้แก่สิ่งเหล่านี้ ทางศาสนา เขาเรียกว่า พ่ายแพ้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เราก็หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ยิ่งนิยมกันมากขึ้น จนเห็นว่ามันดี ไม่มีใครตำหนิใคร ใครยิ่งโง่ยิ่งหลงใหลในกามารมณ์มากเท่าไร เขาก็ยิ่งว่ายิ่งดี มันมีบุญเสียอีก เพราะมันมีกามารมณ์มาก มันกลับตรงกันข้ามไปหมด
ที่นี่มาดูผลที่มันใกล้ชิดว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเราลุ่มหลงในอะไร มันร้อนเป็นไฟหรือเปล่า หรือถ้าเราลุ่มหลงในกามารมณ์ เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก อย่างนี้เราเรียนหนังสือได้หรือเปล่า แม้ว่าเราจะเติบโตไปแล้ว มีเงินใช้แล้ว เราก็คิดดูเถิดว่า การลุ่มหลงในสิ่งเหล่านั้น มันเยือกเย็นหรือเปล่า หรือว่ามันร้อนเป็นไฟ ขอให้ท่านตั้งข้อสังเกตไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้แหละ เมื่อแรกเรียนยังไม่ทันจะจบนี่แหละว่าไอ้เรียนเนี่ยะ เราเรียนเพื่อจะร้อน หรือว่าเรียนเพื่อจะเย็น ถ้าเรียนเพื่อร้อน ก็คือเรียนไปนรก ในนรกมีความหมายแห่งความร้อน ถ้าจะเรียนเพื่อจะเย็น ก็คือไปนิพพาน เพราะคำว่านิพพานนั้นแปลว่าเย็น ถ้าลูกหลานเหล่านี้ยังไม่รู้ว่าคำว่านิพพานแปลว่าเย็น ก็รู้เสียแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แกล้งว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง คำว่านิพพาน ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็แปลว่าเย็น เหมือนกับถ่านไฟแดงๆ เย็นลงนี่ ก็เรียกว่าถ่านไฟมันนิพพาน ข้าวต้มข้าวสวยยังร้อนอยู่กินไม่ได้ ต้องรอให้มันนิพพานเสียก่อน จึงจะกินได้ นิพพานแปลว่าเย็นในภาษาชาวบ้าน ในครัวก็พูดก็ใช้ ทางศาสนา นิพพานแปลว่าเย็น ต่อเมื่อกิเลสซึ่งเป็นไฟ หมดไป กิเลสเป็นของร้อน กิเลสหมดไปก็เย็น นั่นก็เรียกว่านิพพาน คำว่านิพพานจึงแปลว่าเย็น ไม่ใช่เป็นเรื่องสมมติขึ้น เป็นของที่มีมาแต่เดิม ในนรก เป็นของร้อน ร้อนเมื่อไร มีนรกที่นั้น ร้อนเมื่อไร มีนรกเมื่อนั้น ร้อนที่ตรงไหน มีนรกที่นั้น อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มีนรกที่ตา ก็เพราะว่าตาเป็นทาสของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนเร่าร้อนด้วยความกระหาย บางทีก็ร้อนที่หู หูมันโง่ไปชอบความไพเราะของอะไรเข้า ด้วยความโง่ มันก็ร้อนที่หู เพราะฉะนั้นนรกจึงมีที่หู หรือว่าไปโง่เข้าที่กลิ่นทางจมูก ร้อนใจเพราะเหตุเรื่องกลิ่นนั้น ก็ว่านรกมันมีที่จมูก เป็นคนเห็นแก่กิน เห็นแก่ปากแก่ท้อง ความร้อนเกิดขึ้นมาเพราะลิ้นเป็นต้นเหตุ ก็เรียกว่านรกมันมีแล้วที่ลิ้นนั้นเอง ที่นี้ที่ร้ายกาจที่สุด ก็คือที่ผิวหนังทั่วไปทั้งตัว มันมีกิเลสความโง่ ต้องการการสัมผัสผิวหนัง โดยเฉพาะเพศตรงกันข้ามนี่เป็นเรื่องทางผิวหนังเป็นส่วนใหญ่ มีความร้อนขึ้นไปทั่วทั้งตัว ทั่วไปทั้งผิวหนัง ถ้าร้อนที่ใจล้วนๆ มันก็เป็นนรกอยู่ในใจ เราเรียนนี้เพื่อร้อน หรือเรียนเพื่อเย็น ขอให้มันแน่ใจเสียแต่เดี๋ยวนี้ เราจะได้จัดให้ความรู้ของเราเป็นไปถูกต้อง ว่าอย่าให้อะไรๆมันเป็นไปเพราะความร้อน แต่เป็นไปเพราะความเย็น เดี๋ยวนี้เรามาเรียนหนังสือ ก็ขออย่าให้ต้องร้อน เพราะการเรียนหนังสือเลย อย่าไปทำผิดทำชั่ว เพื่อเรียนหนังสือเลย ให้มันเยือกเย็นตลอดไป มันจะเรียนได้ดี และมันก็จะประสบความสำเร็จ แล้วต่อไปก็จะควบคุมได้ เพื่อให้มันเย็นอยู่เสมอ รู้จักทำจิตใจให้อยู่ในความควบคุม หรือควบคุมความรู้สึกได้ แล้วก็จะเป็นไปในทางเย็น คือไม่ร้อน หนังสือจะเรียนก็เรียนไป แต่อีกทางหนึ่ง ต้องเรียนเรื่องจิตใจ อย่าให้เกิดการร้อนขึ้นมาเพราะการเรียนหนังสือเป็นต้น เราเป็นนักเรียนเรียนหนังสือนี่เป็นหน้าที่โดยตรง แต่เรายังมีหน้าที่อย่างอื่นในชีวิตประจำวันอีกมากมายจะต้องทำนั้นทำนี้ หน้าที่ที่ตรงกันหมด ก็จะต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ทุกอย่างตามธรรมชาติ อย่าให้เกิดความเร่าร้อนเหล่านี้ขึ้นมา สรุปแล้ว มันร้อนอยู่ที่ความรู้สึกที่ผิดๆ คือความโลภ คือความอยากด้วยความโง่ ความต้องการด้วยความโง่ การกระทำไปด้วยความโง่นี่ เป็นของร้อนทั้งนั้น การที่ว่าเป็นนักศึกษาเรียนวิชาความรู้ แล้วสนใจเรื่องธรรมะ อุตสาห์มาจนถึงที่นี่ด้วย นี่นับว่าเป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง ที่โรงเรียน ก็เรียนหนังสือไป แล้วก็มาที่นี่ ก็มาเรียนอีกสิ่งหนึ่งซึ่งจะช่วยป้องกันคุ้มครองไม่ให้อะไรๆเกิดเป็นของร้อนขึ้นมา ที่นี่เราจึงไม่สอนหนังสือ และไม่จำเป็นจะต้องพูดกันเรื่องสอนหนังสือ ซึ่งมีมากพออยู่แล้ว เราจะพูดถึงสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนขึ้นมาเพราะการเรียนหนังสือนั้น ตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่าอยากเรียนให้มันมากเกินไป มันก็ร้อน อยากเรียนหนังสือ เพราะมันอยากด้วยความโง่ แล้วมันก็ร้อน ร้อนจนต้องร้องห่มร้องไห้ ร้อนจนต้องฆ่าตัวตายเพราะสอบไล่ตก ร้อนเกินไป ต้องจ้างคนเขาให้ช่วยออกประกาศนียบัตรปลอม มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ร้อน เพราะการเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว ยิ่งแถมเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กเข้ามาด้วยแล้ว ก็จะยิ่งร้อนเพิ่มอีกหลาย เท่าตัว การเรียนนั้นก็จะไม่สำเร็จ ไอ้ร้อนทั้งหมดนี้เพราะขาดธรรมะ ขาดสิ่งที่เรียกว่าศาสนา เราจะพูดกันถึงเรื่องนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ก็รู้กันอยู่แล้วทุกคนว่า ไอ้วัดนี้ก็เรียกว่าสวนโมกข์ คำว่าโมกข์แปลว่าอะไร บางคนอาจจะยังไม่ทราบ
คำว่าโมกข์ โมกขะ ถ้าเป็นภาษาธรรมดา ชาวบ้านเขาแปลว่า เกลี้ยง เช่นเดียวกับคำว่านิพพานนั้น แปลว่าเย็น โมกขะแปลว่าเกลี้ยง ถ้าไม่มีสกปรกมาติดอยู่ เราก็เรียกว่ามันเกลี้ยง เราล้างถ้วยล้างชาม หรือว่าเครื่องประดับประดาเอามาขัดสีดีแล้ว ก็เรียกว่ามันเกลี้ยง มันโมกข์ เกลี้ยงไปจากสิ่งสกปรก คำว่าโมกข์แปลว่าเกลี้ยงในภาษาชาวบ้าน พอมาเป็นภาษาศาสนา ก็แปลว่าหลุดพ้นออกไปได้จากกองทุกข์ คือเกลี้ยงจากความทุกข์ เกลี้ยงจากกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราใช้คำนี้ เป็นชื่อของสถานที่นี้โดยความมุ่งหมายว่าจะเป็นสถานที่สำหรับช่วยให้เกิดความสะดวกในการที่จะศึกษาเรื่องความเกลี้ยง ยกตัวอย่างเช่นว่าเรามานั่งอยู่ที่นี่เท่านั้นแหละ พอเข้ามาถึงสถานที่นี้เท่านั้นแหละ หลายคนบอกว่ารู้สึกสบาย รู้สึกสบายบอกไม่ถูก รู้สึกสบาย สบายกว่าธรรมดา มานั่งอยู่ตรงนี้ ขอให้สังเกตดูตัวเอง พอมานั่งอยู่ในสถานที่อย่างนี้ มันรู้สึกสบาย สบายใจอย่างที่อธิบายไม่ได้หรือเปล่า ถ้าใครมานั่งในที่อย่างนี้แล้ว ไม่รู้สึกสบายอะไรเสียเลย ก็อยากจะแนะว่าไปหาหมอโรคประสาทได้แล้ว ไปโรงพยาบาลโรคจิตหรือโรคประสาทได้แล้ว ถ้ามานั่งในที่อย่างนี้ มันไม่รู้สึกสบายใจอะไรเพิ่มขึ้นเลย ไปหาหมอได้แล้ว มันผิดปกติแล้ว นี่ถ้ามันเป็นเรื่องปกติ พอมานั่งในที่อย่างนี้ มันจะรู้สึกสบาย ทำไมล่ะ เพราะว่าจิตมันเกลี้ยง ทำไมจิตมันเกลี้ยงล่ะ เพราะว่าธรรมชาติทั้ง หลายเหล่านี้มันแวดล้อมจิตแต่ในทางให้เกลี้ยง ไม่จูงให้จิตเกิดความคิดในทางที่จะรู้สึกกระยุกกระยิก มืดมัว กระวนกระวายเร่าร้อนเลย นี่ประโยชน์ของธรรมชาติ ในทางวัตถุแท้ๆ ไม่เกี่ยวกับสติปัญญาอะไร ธรรมชาติแท้ๆในทางวัตถุ หยุดนิ่งเย็นสงบเหมือนกับต้นไม้ ก้อนหิน ก้อนดิน มันหยุด เย็น สงบ มันเลยมีอำนาจตามธรรมชาติบีบบังคับจิตใจคนเรานี้ ให้หยุดจากกิเลสประเภทตัวกู ของกู เพราะฉะนั้น จิตจึงเกลี้ยงไปจากกิเลสประเภทตัวกูของกูชั่วขณะหนึ่ง เราจึงรู้สึกสบาย บอกไม่ถูก มันมีความจริงอย่างนี้ มีข้อเท็จจริงอย่างนี้ สถานที่มันจึงสามารถช่วยให้สะดวกที่จะศึกษาเรื่องมีจิตใจเกลี้ยง ดูต่อไปอีก ว่าเดี๋ยวนี้พวกเรากำลังนั่งกลางดิน บางคนจะรู้สึกรำคาญก็ได้ และจะคิดว่านี่ไม่เอื้อเฟื้อแก่แขกที่มาเอาเสียเลย ปล่อยให้นั่งกลางดิน ถ้าใครคิดอย่างนี้ ก็จะบอกว่าเรามีความประสงค์จะให้ได้นั่งกลางดิน เป็นของประเสริฐ เป็นของมีค่าที่ท่านทั้ง หลายจะได้นั่งกลางดิน ได้นั่งกลางดินแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไร นั่นคือผลกำไรที่ได้รับจากการที่นั่งกลางดิน ถ้าไม่เคยรู้รส หรือผลที่เกิดมาจากการนั่งกลางดิน ก็ต้องแปลว่ายังโง่อยู่อีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ความโง่นี้หมดไป ต้องลองนั่งกลางดินกันเสียบ้าง โดยขอเสนอว่า ที่นั่งกลางดินเป็นที่นั่งของพระพุทธเจ้า หรือของพระศาสดาองค์ไหนก็ได้ ถ้าถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ถ้าใครยังไม่รู้ ก็หมายความว่าคนนั้นไม่เคยอ่านพุทธประวัติเสียเลย พระพุทธเจ้าประสูติกลางดินที่สวนลุมพินี ตอนเที่ยงวัน กลางดิน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็นั่งกลางดิน เป็นพระพุทธเจ้ากลางดินที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ริมตลิ่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง แม่น้ำเนรัญชรา ต้นโพธิ์ ท่านนั่งกลางดินเป็นพระพุทธเจ้า และก็เมื่อนิพพาน คือตายนี่ ท่านก็ตายกลางดินที่ในอุทยานที่เที่ยวเล่นของพวกกษัตริย์พวกหนึ่ง ที่เป็นป่าไม้สาละ ท่านประสูติใต้ต้นสาละ ท่านนิพพานใต้ต้นสาละ เพราะฉะนั้น เมื่อมาที่นี่แล้ว รู้จักต้นสาละกันเสียบ้างก็จะดี คือต้นไม้ที่อยู่ที่หน้าตึกนั้น และมีหลักหินปักไว้ เขียนบอกไว้ว่าต้นสาละ ไปรู้จักต้นสาละ ถ้ามีศรัทธามากพอ ก็คงคิดอยากจะถ่ายรูปกับต้นสาละ ถ้าจิตใจมันเตลิดเปิดเปิงเป็นอะไรไปไม่รู้ ก็คงจะเกลียดที่จะไปถ่ายรูปกับต้นสาละ อันนี้บอกให้รู้ว่าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน แล้วท่านสอนสาวกทั้งหลาย ก็กลางดิน เมื่อไรก็ได้ สอนในโรงธรรม ก็โรงธรรมกลางดิน เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกของเรา คือคำสอน คือบันทึกคำสอนที่สอนกันกลางดิน บางทีเดินทางอยู่ก็สอน ไปดูกุฏิของพระพุทธเจ้า ก็เป็นกุฏิกลางดิน ประเดี๋ยวนี้ก็ไปดูได้ว่ากุฏิที่ไหนเป็นพื้นดินทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านอยู่กุฏิพื้นดิน ขอเสนอว่า นั่งกลางดินอย่างนี้คือนั่งในอาสนะของพระพุทธเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน แล้วก็ในป่าส่วนใหญ่นี้ พระศาสดาแห่งศาสนาไหนก็เหมือนกัน ล้วนแต่ตรัสรู้ในป่า และเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ไม่มีศาสดาองค์ไหนตรัสรู้ในโรงละคร หรือในปราสาทราชฐาน หรือว่าในบ้านในเมือง พระศาสดาทุกศาสนาตรัสรู้ในป่า คือมันใกล้ชิดกับธรรมชาติ เราไปนั่งลงกลางป่า เหมือนกับเป็นเกลอกับธรรมชาติ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ถ้าเราไปนั่งในตลาด มันก็คือไกลจากธรรมชาติ ไม่รู้จักธรรมชาติ การมาที่นี่ก็ดีแล้ว มานั่งลงกลางดิน แล้วใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด แล้วเราก็จะรู้ธรรมะได้ง่ายที่สุด เพราะว่าธรรมะก็คือตัวธรรมชาติ หรือเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
พูดถึงตัวธรรมะก็เป็นตัวธรรมชาติอันหนึ่ง หลักเกณฑ์ของธรรมะก็คือหลักเกณฑ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เราเข้าถึงธรรมชาติให้มาก เราก็จะรู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้มากและโดยง่าย การรู้ธรรมะในป่าจึงง่ายกว่ารู้ธรรมะในโรงละคร พยายามเรียนรู้ธรรมะในโรงละครนะมันยากกว่าที่จะพยายามเรียนรู้ธรรมะ เพราะในป่า เพราะในป่าเป็นตัวถึงธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ ในโรงละคร มันยิ่งไกลจากธรรมชาติ ฉะนั้น ควรจะยินดี อย่าหาว่าเจ้าของบ้านไม่เอื้อเฟื้อ แม้แต่มีเสื่อให้นั่งสักนิดก็ไม่มี ให้นั่งกลางทราย เพราะว่าต้องการอย่างนี้ ต้องการให้ใกล้ชิดธรรมชาติ ถึงขนาดที่เป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากที่สุดที่จะมากได้ ให้บรรยากาศของธรรมชาติ ต้นไม้ แล้วก็ดิน ก้อนหิน มดแมลงอะไรก็ตามที่มีอยู่ตามธรรมชาตินี้ ล้วนแต่ไม่เอาส่วนเกิน ต้นไม้ต้นไหนเอาส่วนเกิน ใครลองคิดดูสิ มันมียุ้งมีฉางที่ไหนที่จะเก็บกักน้ำหรืออาหารไว้ ต้นไม้ไม่อาจจะเอาส่วนเกิน มดแมลงก็ไม่อาจจะเอาส่วนเกิน มันจึงเป็นเรื่องหยุด เรื่องเย็น เรื่องเกลี้ยง เรื่องไม่วุ่นวาย เพราะมันไม่เอาส่วนเกิน มองดูไปที่ก้อนหิน จะเห็นว่ามีความหยุด ไม่กระวนกระวาย มีความ หมายแห่งความหยุด มองดูไปที่ต้นไม้ มันก็มีความหมายแห่งความเย็น ทั้งหยุดและทั้งเย็น มันมีความหมายอย่างนั้น มันจึงแวดล้อมจิตใจของเราให้มาในทางนี้ เพราะฉะนั้นควรยินดีที่จะเป็นเกลอกับธรรมชาติ
แล้วก็จะเป็นศาสนาขึ้นมาเอง เป็นพระธรรมขึ้นมาเอง พระธรรมหรือพระศาสนาต้องการจะทำหน้าที่ส่วนนี้ ซึ่งคนมองข้าม ซึ่งคนไม่สนใจ มีคนถือเป็นความเชื่อว่า มีศาสนาไว้สำหรับทำบุญ ให้รวยให้สวย ให้ได้วิมาน เขาคิดไปอย่างนี้ มีศาสนาไว้ทำบุญ แล้วจะได้รวย จะได้สวย จะได้เป็นอยู่อย่างเทวดา เขาคิดอย่างนี้ หารู้ไหมว่า นั่นมันจะยิ่งร้อนไปกว่าเดิม ถ้าเขาไม่ควบคุมความรู้สึกให้ได้ ศาสนาหรือธรรมะต้องการให้ช่วยควบคุมความรู้สึก ให้บังคับความรู้สึก อย่าให้ความรู้สึกเกิดขึ้นแล้วแผ่ออกไปด้วยความโง่ คืออย่าไปหลงรักหรือหลงเกลียดอะไร มันจะได้เป็นกลางหรือว่าสมดุลอยู่เสมอ ถ้าเสียความสมดุลเมื่อไร ก็เป็นนรกเมื่อนั้น เหมือนที่กำลังเป็นซ้ายเป็นขวาอยู่ในเวลานี้ มันไม่สมดุล มันเป็นนรกทันที ถ้ามันไม่เป็นซ้ายไม่เป็นขวา มันเป็นกลาง มันสมดุล มันก็ไม่มีปัญหา อย่างนี้เป็นต้น รู้จักทำจิตใจให้สมดุล อย่าไปรักอย่าไปเกลียด อย่าไปเศร้า หรืออย่าไปลิงโลด อย่าไปกลัวหรือไปกล้า ชนิดที่ตรงกันข้าม อย่างที่เรียกว่าเป็นคู่ๆ อย่างสุดโต่งหรือสุดเหวี่ยง ขอให้มองเห็นความหมายของธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่อย่างสมดุล และอยู่เป็นปกติสุข พอขาดความสมดุลเท่าไร ก็มีความวุ่นวาย ความระส่ำระส่ายเท่านั้น ไม่มากก็น้อย หรือจะมีตามส่วนของความไม่สมดุล สันติภาพของมนุษย์ในโลกนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมดุลของทุกสิ่ง ทีนี้เราทำให้มันมากเกินไป จนฝ่ายหนึ่งมันน้อยเกินไป หรือไม่ให้สมดุลได้ ไปพอกพูนให้มันหลงรักมากเกินไป ไปพอกพูนให้เกลียดชัง อาฆาต พยาบาท ริษยา อันนี้มันก็มากเกินไป มันไม่มีอะไรที่สมดุล มันจึงไม่หยุด หรือไม่เย็น และไม่รู้จักยอม เดี๋ยวนี้เราไม่รู้จักยอมให้แก่กันและกัน เพราะมันมีอะไรมากเกินไป มันมีความรู้สึกบางอย่างมากเกินไป เราไม่ยอม เพราะว่าเราไม่ถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ทุกคนได้มาที่นี่แล้ว แล้วก็ได้ยินประโยคนี้หลายครั้งแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยิน ไม่ได้นะ เมื่อตะกี้ยังมีตั้งหลายคนนะ ส่วนมากว่าไม่เคยได้ยินประโยคนี้ เดี๋ยวนี้ต้องถือว่าได้ยินแล้ว ว่าสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราจะต้องรับนับถือเขาอย่างเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เรียกว่ามีปัญหาอย่างเดียวกัน ภาษาที่ลึกไปกว่านั้น เขาเรียกว่า มีหัวอกหัวใจอย่างเดียวกัน จึงฆ่าฟันกันไม่ลง พอเกิดแตกต่างกัน ก็เป็นศัตรูแก่กันและกัน ก็ง่ายนิดเดียวที่จะฆ่าฟันกัน นี้เราฆ่าฟันกันมากขึ้น เพราะเราเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ถ้าขืนมากต่อไปอีก ก็จะถึงยุคที่เขาเรียกกันว่า มิคสัญญี คือฆ่ากันอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องยับยั้ง เพราะความเห็นแก่ตัวมันถึงจุดสูงสุด และถือว่าการฆ่ากัน การฆ่าผู้อื่นนั้นไม่มีความหมาย หรือมีความหมายเพียงว่าตบยุงสักตัวหนึ่ง ฆ่าเนื้อฆ่าปลาสักตัวหนึ่ง ไม่มีความหมาย ฆ่ามนุษย์กันในลักษณะนั้นเขาเรียกว่า มิคสัญญี ฆ่ากันโดยความสำคัญเพียงว่ารู้สึกว่า เป็นเนื้อ หรือเป็นสัตว์เล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้นเอง อนาคตจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ ถ้าหากว่าเรายังมีการศึกษาแบบนี้ คือแบบที่เพิ่มความเห็นแก่ตัว เปลี่ยนการศึกษาใหม่ หรือผนวกการศึกษาอีกอันหนึ่งเข้ามา เคียงคู่กับการศึกษาที่เรามีอยู่นี้ จนเกิดความรู้สึกว่า เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ก็จะดี ก็จะบังคับความรู้สึกได้ จะไม่เป็นทาสของตาหูจมูกลิ้นกายใจ จึงจะมีความรู้อันถูกต้อง สำหรับที่จะทำอะไรไปเพื่อจะไม่มีความทุกข์ ขอให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าศาสนาว่ามันมีอยู่อย่างนี้ มันมีอยู่เพื่อประโยชน์อย่างนี้ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ และก็อย่าได้เข้าใจผิด ดูถูกว่าศาสนานั้นพ้นสมัยแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร ขอให้เห็นเสียใหม่ว่า เรายิ่งเจริญในทางวัตถุมากเท่าไร เรายิ่งต้องมีศาสนามากขึ้นเท่านั้น มิฉะนั้นเราจะไปเป็นทาสของวัตถุ เรายิ่งเจริญเท่าไร อย่าหลับหูหลับตา เราก็จะเป็นทาสของวัตถุมากเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเราจะต้องเอาพระเจ้ามา เอาศาสนามา เอาพระธรรมมาเพื่อจะเป็นเครื่องคุ้มครองอย่าให้เป็นทาสของวัตถุเต็มโดยส่วนเดียว เราต้องมีวัตถุเพียงเพื่ออำนวยความสะดวกสบายตามที่ถูกต้อง ตามที่เหมาะสม อย่าให้มากจนว่ามันเป็นทาสของวัตถุ เราต้องมีร่างกาย เราก็มีเนื้อหนัง แต่เราอย่าเป็นทาสของเนื้อหนัง อย่าเป็นทาสของลิ้น ปาก ตา หู อะไรแบบนี้ เรามีความถูกต้องอยู่ในสิ่งเหล่านี้ มีสติปัญญาที่จะทำแต่สิ่งที่ควรจะทำ ที่นี่ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาในจิตใจ อะไรเล่าที่ควรจะทำ เกิดมาทำไม คนจำนวนมากก็มีความคิด เห็นประหลาดๆยิ่งขึ้นทุกที เขาถือว่าเขาเกิดมาเขาเพื่อหาความเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คนพวกหนึ่งก็มีความเห็นอย่างนี้ เขาจึงหมายมั่นแต่ในทางอย่างนี้ แล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือความร้อนตลอดกาล ความเห็นแก่ตัว การฆ่าฟันกันในที่สุด ทางศาสนานั้นต้องการว่า เราเกิดมาทีหนึ่งให้พบพระ พบเจ้า เราเกิดมาทีหนึ่ง ต้องให้พบพระ พบเจ้า คือเพื่อให้พบความเยือกเย็น ที่เย็นที่สุดที่มนุษย์ควรจะเย็นได้ เราจึงไม่เป็นทาสของกามารมณ์ ไม่เป็นทาสของอะไรหมด แม้ว่าเราจะต้องเป็นผู้ครองเรือน ต้องเกี่ยวข้องกับเพศกับกามารมณ์ ก็ไม่เกี่ยวข้องอย่างที่คนพวกนู้นเขาเกี่ยวข้องกัน เรารู้จักควบคุมให้อยู่ในความถูกต้องเหมาะสม ไม่ได้ห้ามว่าอย่าแต่งงาน ไม่ได้ห้าม ไม่ได้บอกว่าไปอยู่ในป่าเสียให้หมด ไม่เคยบอกอย่างนั้นศาสนาไหนก็ไม่เคยบอกอย่างนั้น คงทำไปได้ตามที่ต้องการ เท่าที่มันเหมาะสม เท่าที่มันจะไม่ร้อน ศาสนาก็มีหน้าที่เพียงป้องกันไม่ให้ร้อน สรุปใจความได้สั้นๆไว้เพียงเท่านี้เอง ศาสนามีหน้าที่ประคับประคองจิตใจของคนอย่าให้ร้อน อย่าให้ต้องร้อน อย่าให้เดือดร้อนขึ้นมา จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะมองดูศาสนากันเสียในเหลี่ยมที่ถูก ต้อง คือของที่ต้องมีประคับประคอง อย่าให้เกิดความร้อนขึ้นมาแก่จิตใจของเรา อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจของเรา นั่นนะคือหน้าที่ของศาสนา ถ้าเรามีศาสนาจริง เราจะไม่ร้อน ถ้าเราร้อนขึ้นมา เราจะต้องหาศาสนาเพื่อเป็นเครื่องแก้ น่าเสียดายทุกวันก็ว่าได้ มีแต่ขอให้เป่าหัวที เป่าหัวที ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาว่าให้ช่วยเป่าหัวที เขาจะได้มีความสุข พ้นจากทุกข์ ไม่มีความร้อน นี่เราเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ จะว่านั่นมันโง่นั้น ก็กลัวเขาจะโกรธเอา ก็เลยได้แต่บอกว่า ทำไม่เป็น ไม่เคยทำไอ้เป่าหัวที ไม่เคยทำ แทบทุกวันจะเป็นอย่างนี้ นั้นไม่ใช่ศาสนา เป่าหัวทีไม่ใช่ศาสนา ถ้าเป็นเรื่องของศาสนา ต้องเป็นเรื่องของความรู้ถูกต้องด้วยตนเอง และต้องบังคับความรู้สึกไว้ให้ได้ อย่าไปทำอะไรเข้าด้วยอำนาจของความโง่เขลา ก็จะไม่ร้อน ไม่ต้องเป่าหัวกันแบบนั้น นั่นก็คือเป่าน้ำลายใส่หัว เป่าหัวคือขจัดความโง่ให้มันหมดไป เป่าความโง่ออกจากหัว จะเรียกว่าเป่าหัวก็ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะนั่งคุยด้วยได้ นั่งพูดด้วยได้ เขาจะรีบไป เขาต้อง การให้เราถุยน้ำลายใส่หัวที เราก็ทำไม่ได้ ก็เป็นอันว่า ไอ้เรื่องเป่าหัวนี้ก็ไม่มี ไม่มีการกระทำทั้งในปริยายไหน นั่นเพราะเขาถือผิด เข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนาไม่สำเร็จได้ด้วยการเป่าหัว ไม่สำเร็จได้ด้วยพิธีรีตอง ไม่สำเร็จได้ด้วยอะไรต่างๆอย่างที่ทำๆกันอยู่ ถ้าจะสำเร็จได้ด้วยการชะล้างความโง่เขลา หรืออวิชชาให้หมดไป ให้รู้ว่าอะไรควรทำ อย่างไรเป็นความถูกต้อง อย่างไรเป็นความสมดุล สงบเย็นกันไปหมดทั้งโลก ถ้าทุกคนถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่คือสมดุลที่สุด ทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ก็มีความสมดุลระหว่างบุคคลเสมอกันหมด เราก็จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่แย่งดีกัน ไม่ทำลายกันเหมือนที่กำลังเป็นอยู่นี้ จึงขอให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพราะมีรากฐานอันนี้ เพราะเราเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะขวาหรือซ้ายมันก็จะละลายไปเอง ไอ้นายทุน หรือกรรมาชีพก็จะละลายไปเอง ปัญหานั้นก็จะไม่เหลืออยู่ เพราะว่าถือถูกต้องตรงตามความจริงของธรรม ชาติ ซึ่งมันเป็นสมดุล จึงขอให้การศึกษาของเราเป็นอย่างนี้ คือมีศาสนาอย่างถูกต้องอย่างนี้ ขจัดปัดเป่าโชคร้าย หรือความเลวร้ายได้ทุกอย่างทุกทาง ป้องกันไม่ให้สันดานพาลอย่างสัตว์เดรัจฉานเจริญงอกงามในใจของเรา ซึ่งเราจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะสัตว์เดรัจฉานมันหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ไอ้เรานี่จะไปเลวมากกว่านั้น เมื่อเรามีกิเลสมากกว่า เรามีสติปัญญาพัฒนากิเลสมากกว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นเอง ขอให้มีพระศาสนา มีพระธรรม มีพระเจ้า เป็นเครื่องคุ้มครองท่านทั้งหลายทุกคนไว้ในความปลอดภัย ในที่สุดนี้ ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงประสบความเยือกเย็น เกลี้ยงเกลาจากความทุกข์ พร้อมอำนาจให้เข้าถึงสิ่งที่สูงสุด คือพระธรรม คือพระศาสนา คือพระเจ้า แล้วแต่เราจะชอบคำไหน และเจริญอยู่ได้ด้วยอำนาจเพราะความประ พฤติตามพระธรรมนั้นๆ อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ