แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่ข้อต่อไป ประเด็นเรื่องที่ 2 บอกว่า สมุทัยของการศึกษา อาตมาเป็นคนวัด เลยพูดภาษาวัดว่าสมุทัย สมุทัยแปลว่าต้นเหตุ หรือที่เป็นต้นเหตุ เป็นเหตุทีแรก สมุทัยเป็นต้นเหตุของการศึกษา นี่เราก็ควรจะรู้โดยอาศัยหลักของอริยสัจ๔ อย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าเราจะรู้จักสิ่งใดอย่างถูกต้อง เราต้องรู้จักต้นเหตุของสิ่งนั้นด้วย เมื่อเรารู้จักตัวการศึกษาตามที่มีปรากฏอยู่อย่างไร แล้วก็เราดูไปถึงต้นเหตุของมันด้วย การศึกษาเกิดขึ้นในโลกเอาครั้งแรกที่สุดกันดีกว่า เมื่อมนุษย์วิวัฒนาการจากสัตว์มาเป็นคนเป็นคนป่าเป็นอะไรก็ตาม มันตั้งต้นการศึกษากันเมื่อไร นั้นเรียนชีววิทยา แม้กระทั่งเรียนประวัติศาสตร์อะไรกันมาบ้างก็มากพออยู่แล้วที่จะมองเห็นได้ ถ้าไม่มองก็ไม่เห็นมันก็ควรจะมอง เราดูกันทั่วไปแล้วโดยหลักทางโลกก็ดี โดยหลักทางธรรมะก็ดี สรุปความได้ว่า การศึกษานี่มันเกิดขึ้นเพราะเราทนอยู่ไม่ได้ต่อสิ่งที่เป็นอันตรายแก่เรา นี่ให้เป็นคนป่าสมัยที่ไม่นุ่งผ้า การที่มันจะค้นให้พบอะไรใหม่ๆที่มันเป็นการศึกษาออกมา มันก็มีมูลมาจากที่มันทนอยู่ไม่ได้ต่อความรบกวนของสิ่งนั้น ความเบียดเบียนของสิ่งนั้น ความทุกข์ทรมานที่เกิดมาจากสิ่งนั้น เรียกว่ามันเป็นปัญหาของเขาได้เกิดขึ้นมา แม้แต่เรื่องปากเรื่องท้องเรื่องทำมาหากินมันก็มีปัญหา เค้าก็ต้องค้นคว้าจนพบเพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น แล้วก็เจริญขึ้นมาๆจนเป็นการศึกษาชั้นสูงจนกลายเป็นวัฒนธรรม เป็นภูมิธรรม เป็นอารยธรรมอะไรขึ้นมา ในชั้นแรกนั้นมันเกิดจากการที่ทนอยู่ไม่ได้ ต่อปัญหาหรืออันตรายหรือความทุกข์ที่มันรบกวนที่เราทนอยู่ไม่ได้ เราจึงดิ้นรนแก้ไข มันจึงค้นคว้าแก้ไข นั้นละคือการศึกษา
ทีนี้อีกทีก็คือความสงสัยไปเห็นอะไรเข้าแล้วมันสงสัย มันรบกวนความสงสัยทนอยู่ไม่ได้ต่อการสงสัย มันก็ศึกษาและค้นคว้า มันต่างจากอย่างแรก ที่ว่าแรกนี่มันเป็นความทุกข์ทรมานอยู่ไม่ได้ต้องแก้ไข เดี๋ยวนี้แม้ไม่ถึงขนาดที่ทุกข์ทรมาน แต่มันรบกวนความสงสัยก็ทนอยู่ไม่ได้เหมือนกัน งั้นมนุษย์ก็พยายามที่จะทำให้หมดความสงสัย ไม่รบกวนด้วยความสงสัย หลักเกณฑ์อันนี้เป็นต้นต่อที่มาของคำว่า Philosophy ความสงสัยที่เป็นเหตุให้อยากพ้นจากความสงสัย ความรักที่จะรู้เพราะความสงสัยที่ทนอยู่ไม่ได้ เขาก็ค้นคว้าไปคำนวนไป เป็นความรู้ที่เกิดจากการทนอยู่ไม่ได้เพราะความสงสัย เรียกว่า Philosophy เดี๋ยวนี้มีปัญหาที่แปลคำ philosophy ว่าปรัชญา เป็นความผิดพลาดของใครอย่าพูดถึงดีกว่า แต่ว่าได้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว คือชาวอินเดียเขาว่า คนไทยนี่ไม่รู้อะไร จะพูดว่าโง่เดี๋ยวก็ว่าหยาบคายเกินไป เขาว่าปรัชญาของภาษาอินเดีย ไม่ได้มีความหมายว่าดิ้นรนเพราะความสงสัย คือไม่ใช่ philosophy นั่นเอง
ถ้าว่าเป็น Philosophy เขาใช้คำว่า ทัศนะ ทัศนะคือความเห็น ทัศนะนั่นล่ะตรงกับคำว่า philosophy ถ้าใช้คำว่า ปรัชญา มันคือความรู้ที่จริงแท้เด็ดขาดแน่นอนแล้ว เหมือนกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มนุษย์ทีแรกไม่มีปรัชญาหรอก ไม่มีปัญญาถึงขนาดนั้นหรอก มันก็คว้าๆคลำๆ และผลของการคว้าการคลำนั้นละคือสิ่งที่เรียกว่า philosophy จนกว่ามันจะพัฒนามาไกลถึงขนาดที่ว่า รู้แจ้งประจักษ์โดยไม่ต้องคว้าโดยไม่ต้องคลำโดยไม่ต้องคาดคะเนโดยไม่ต้องคำนวน จึงจะเรียกว่าปรัชญา จึงขอถือโอกาสบอกเสียเดี๋ยวนี้เลยว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญา แต่ไม่ใช่ Philosophy แล้วจะทำอย่างไรเมื่อเราเอาคำ philosophy กับปรัชญาเป็นคำเดียวกันเสียแล้ว มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง philosophy ก็เป็น philosophyไป เพราะต้องมีสมมติฐานนะ Hypothesis ให้สมมติขึ้นมาว่าปัญหามันมีอย่างนี้นะ แล้วก็แวดล้อมคำนวนไปจนมี conclusion ออกมาว่าอย่างนั้น ไอ้ความรู้นั้นเป็น philosophyเกิดมาจากความสงสัยและอยากรู้
พุทธศาสนาจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ จงรู้ไว้เทอญว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ philosophy แต่เป็นปรัชญา คือความรู้ที่สุดสุด เด็ดขาดแน่นอนตายตัวแล้ว ไม่ต้องอาศัยสมมติฐานไม่ต้องอาศัยคาดคะเนคำนึงคำนวนอะไร อาตมาเชื่อว่าต่อไปคงจะมีปัญหาในการพูดจากกันต่อไปข้างหน้าแน่ เพราะว่าคนเราชอบพูดว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญาแต่ในความหมายของphilosophy แล้วมันก็ตีกันเองไม่มีทางที่จะยุติได้ จะเรียกว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญาได้แต่ไม่ใช่ปรัชญาอย่าง philosophy Philosophy นี่มันเป็นความรู้อันแรกสุด ที่มนุษย์มีความสงสัยแล้วคิดค้นเพื่อปลดเปลื้องความสงสัย มันจึงเป็นการคำนึงคำนวนไปตามไอ้สิ่งที่จะใช้เป็นเหตุผลของการคำนึงคำนวน ยังเรียกว่าอะไรอีกหลายอย่าง เรียกว่านัยก็ได้ เรียกว่าตรรกะก็ได้ เป็น logic เป็นphilosophy เป็นไอ้พวกที่ว่าไม่ใช่ปรัชญา
การศึกษากว่าจะมาถึงขั้นปรัชญานี้มันต้องมาถึงขั้นที่เกิดพระพุทธเจ้า หรือเกิดพระอรหันต์ ก่อนนั้นมันเป็น philosophy เป็นแบบphilosophy คือเป็นทัศนะหนึ่งๆ ทัศนะหนึ่งๆเรื่อยมาๆ จนไปถึงสูงสุดเด็ดขาด เป็นไอ้ปัญญาอันสูงสุดไม่เป็นเพียงทัศนะหนึ่งๆอีกแล้ว นั่นละคือปรัชญา นี่การศึกษาของเราตั้งแต่คนป่าบรรพบุรุษมา มันก็เป็นทัศนะหนึ่งๆมาเรื่อย นี้การศึกษาของเราพึ่งมาสูงถึงขั้นปรัชญาก็ต่อเมื่อเกิดบุคคลเช่นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้โดยประจักษ์โดยไม่ต้องคำนวน โดยไม่ต้องมีไอ้สมมติฐานสำหรับการคำนวนโดยวิธีคำนวนอย่างวิธีที่เรียกกันว่าปรัชญา ฉะนั้นปรัชญาจึงไม่ใช่philosophy philosophy จึงไม่ใช่ปรัชญาในภาษาไทย แต่เราก็ได้ใช้เป็นสิ่งเดียวกันไปเสียแล้ว ความลำบากในเรื่องนี้คงจะมีต่อไป ข้อนี้ก็หมายความว่า ความอยากรู้ ความสงสัย เป็นเหตุให้เกิดการศึกษา
ทีนี้อีกแง่หนึ่ง ความอยากที่จะก้าวต่อไป เมื่อมันก้าวมาถึงขั้นนี้แล้วเป็นการศึกษาขั้นหนึ่งแล้ว มันอยากจะก้าวต่อไปอีกไกลไปกว่านั้น มันก็เกิดการศึกษาในระดับต่อไปนี้ เรียกว่าความอยากก้าวหน้าต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด ถึงที่สุดก็คือการบรรลุความเป็นพระอรหันต์หรือนิพพานนั่นละถึงที่สุด ไม่ถึงนั่นไม่ถึงที่สุดหรอก มันก็เป็นเหตุให้เกิดการศึกษาเหมือนกัน ศึกษาต่อไปจนเป็นพระอรหันต์ เหตุให้เกิดการศึกษาก็คือว่า มันทนอยู่ไม่ได้ต่อปัญหาที่รบกวน และมันทนอยู่ไม่ได้ต่อความสงสัยที่รบกวน แล้วมันก็อยากจะก้าวหน้าไปให้ถึงที่สุด สามประการนี้มองดูเห็นได้เองไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่ออาตมาหรือไม่ต้องเชื่อใครมองเห็นได้เองว่ามันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกได้ว่า การศึกษาขึ้นมาในโลกนั้นเป็นของจริง อ้าวแต่มาถึงเดี๋ยวนี้มันน่าปวดหัว มันน่าปวดหัวที่ว่า (นาทีที่ 9:30)ไอ้การศึกษามันเป็นแฟชั่นไปแล้ว เด็กคลอดออกมาพ่อแม่ก็ต้องให้การศึกษาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นแฟชั่นไปแล้ว เราไปศึกษาเมืองนอกเมืองนาก็เป็นไปตามแฟชั่น ไม่ได้มีเหตุผลอะไรโดยประจักษ์ชัดเจนบีบคั้นอะไรอยู่ในใจเลย การศึกษามันเป็นแฟชั่นกันไปทั้งโลกแล้ว เด็กคลอดออกมาพ่อแม่ก็ต้องจัดให้ศึกษา เมื่อศีกษาในประเทศจบแล้ว ก็ให้ไปศึกษาต่างประเทศ เดินไปอย่างแฟชั่นไม่ได้มีเหตุผลอันแท้จริงที่รบกวนหรือบังคับอยู่ในจิตใจอย่างนี้เสียมากว่า มันก็มีเหมือนกันล่ะความอยากจะก้าวหน้าโดยแท้จริงมันก็มี แต่ว่าเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้วว่าถ้าไม่ได้ปริญญาเอกมาก็ไม่ค่อยมีใครจะพูดด้วย มันเป็นแฟชั่นไปเรียกว่าเป็นการศึกษาตามแฟชั่นไม่ใช่ตามที่ธรรมชาติมันบีบบังคับอยู่ตามธรรมชาติ เอาล่ะพูดกันเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับคำว่าไอ้เหตุที่ทำให้เกิดการศึกษาขึ้นมาในโลกเรา
ทีนี้ก็ดูประเด็นต่อไปที่ว่า ผลของการศึกษา ผลที่จะได้รับในตอนสุดท้ายของการศึกษา อาตมาจะพูดอย่างที่เรียกว่า สังเขปแต่ว่าครบถ้วน ขอช่วยฟังและจำไว้ง่ายๆว่า ผลการศึกษาเพื่อเราจะหมดปัญหา หมดปัญหาทางกาย หมดปัญหาทางจิต หมดปัญหาทางวิญญาณ ไอ้สามคำนี้บางทีก็เป็นคำแปลกสำหรับบางท่าน ขอโอกาสทนฟังสักนิดหนึ่งว่ามันคืออะไร ทางการคือเกี่ยวกับร่างกาย ตัวร่างกายรวมทั้งระบบประสาทที่มันประจำอยู่ที่ร่างกาย เรียกว่ากลุ่มกายเป็นกลุ่ม physical ทีนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิต ไอ้ที่ผลของการทำงานของระบบประสาทน่ะ ที่เราจะเรียกมันว่า psychical หรือ mental (นาที่ที่ 11:51) อะไรก็แล้วแต่จะเรียก มันเป็นเรื่องของจิต ทีนี้จิตนั้นมันก็ทำหน้าที่ได้แต่เพียงจิต มันต้องมีส่วนที่เรียกว่าสติปัญญาอีกพวกหนึ่ง เราไม่รู้จะเรียกว่าอะไรในภาษาไทย อาตมาก็ขอเรียกไปทีก่อนว่า ระบบวิญญาณ คือสติปัญญาที่รู้แจ้งสิ่งสูงสุด
ไอ้ตึกหลังโน้นเรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ คือสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลินในด้านสติปัญญาด้านวิญญาณ ถ้าใช้คำที่เขามีกันอยู่ในโลกแล้วมันก็ง่ายขึ้น เขาว่า physic หรือ physical นี่มันทางกาย ทาง mental นั้นนะมันทางระบบจิตแต่ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา และมีอีกทางคือทาง spiritual spiritual ที่แปลว่าเหล้าหรือผี (นาทีที่ 12:57) คำนั้นแปลว่าทางวิญญาณคือสติปัญญา แต่บางคนเรียกสั้นๆลุ้นๆว่าทาง moral ก็มี อาตมาฟังเขาทีแรกฟังไม่ถูก เขาใช้คำว่า moral เฉยๆสำหรับคำว่า spiritual นี้เรามีปัญหาทางกายเช่นเจ็บไข้ไม่มีอะไรจะกินอย่างนี้เป็นต้นปัญหาทางกาย ทีนี้ไม่มีปัญหาทางกาย เรามีปัญหาทางระบบจิตอย่างที่ต้องไปโรงพยาบาลโรคจิตนั่นนะจำอะไรไม่ได้ ระบบจิตเสียหมดก็ไปรักษากันระบบจิต ทีนี้แม้ว่าระบบจิตดี มันเป็นคนโง่ไม่รู้อะไรก็ได้ต้องไปศึกษาให้สติปัญญารู้อะไรตามที่ควรจะรู้ คนเราจึงจะหมดปัญหา ทางกายไม่มีปัญหา ทางจิตไม่มีปัญหา ไอ้ทางวิญญาณทางสติปัญญาสูงสุดก็ไม่มีปัญหา
การศึกษาต้องแก้ปัญหาทั้งสามระบบจึงจะเรียกว่าเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ในโลกเขาไม่เอากันนี่ เขาเอากันแต่แก้ปัญหาทางร่างกายเป็นส่วนมาก มีกินมีใช้สบายดีแล้วมันก็จะพอเสียแล้ว จิตจะปกติหรือไม่ก็ไม่ค่อยสนใจ เอาให้ว่าจิตปกติเป็นคนธรรมดามีจิตปกติแต่ไม่มีความรู้ที่ว่าจะดับความทุกข์อันละเอียดคือกิเลสนั้นอย่างไร มันให้เป็นคนมีกินมีใช้เป็นปกติทางจิตใจแต่ว่าต้องถูกกิเลสครอบงำทนทุกข์ทรมาน ทนทุกข์ทรมาน ได้ยินเขาประกาศว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นโรคประสาทกันจำนวนแสนๆคนแล้วในประเทศไทย นั่นล่ะไม่ใช่เพราะว่าขาดความรู้ทางจิต มันขาดความรู้ทางวิญญาณ คือมันไม่รู้ว่าจะดำรงความคิดนึกไว้อย่างไรจึงจะไม่ทรมานใจ มันนอนไม่หลับ มันก็มีเงินมีทองมีปริญญายาวเป็นหางมีอะไรเลย แต่มันนอนไม่หลับ มันต้องกินยานอนหลับ แล้วมันหนักเข้าๆกินยานอนหลับก็ไม่ได้มันก็ต้องเป็นโรคประสาท เป็นโรคประสาทหนักเข้าๆมันก็ต้องเป็นโรคจิตเป็นบ้าไปเลย ระวังให้ดีถ้าการศึกษามันไม่เพียงพอแล้วมันก็ไม่ป้องกันโลกทางวิญญาณได้ คือโรคทางกิเลสเรียกว่าอย่างนั้นดีกว่า ไม่มีโรคทางกายด้วยแล้วก็ไม่มีโรคทางจิตด้วย ไม่ต้องไปปากคลองสานว่าได้อย่างนั้น แต่มานอนเป็นโรคประสาทอยู่ที่บ้านไม่ทันไรก็ต้องไปปากคลองสาน แล้วมันก็ตาย นี่ปัญหาของเรามีอยู่ในระบบร่างกายหรือวัตถุนี้ชั้นหนึ่ง แล้วมีระบบจิตอยู่อีกระดับหนึ่ง แล้วระบบวิญญาณสูงสุดอีกระดับหนึ่ง ถ้าการศึกษาสมบูรณ์มันจะแก้ปัญหาหมดได้ทั้งสามระดับเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยสนใจกันนี่ ไม่ค่อยสนใจกันในเรื่องนี้ก็เป็นโรคประสาทกันมากขึ้นๆ ต้องใช้คำพูดว่า ละอายแมวน่าละอายแมว แมวไม่ต้องกินยานอนหลับ แมวไม่ต้องกินยาประสาท คนกินทั้งนั้น ยาพวกStabilizer (นาทีที่ 16:18)ได้ยินว่าเขาผลิตกันมาเป็นร้อยๆตันพันๆตันในโลกนี้ ยากล่อมอารมณ์ คนกินทั้งนั้นล่ะแมวไม่เคยกิน แต่คนก็ยังเป็นโรคประสาทอยู่นั่นล่ะ เพราะมันขาดความรู้เรื่องนี้งั้นช่วยสนใจกันบ้าง ไอ้การศึกษานี้มันแก้ปัญหาได้ทั้งระบบกาย ระบบจิตและระบบสติปัญญาหรือวิญญาณอันสูงสุด
ระบบกายนี้มันเป็นเรื่องวัตถุเรื่องร่างกาย ต่ำกว่ากาย เขาเรียก probability (นาทีที่ 16:52) คือระบบวัตถุ แล้วมาระบบ physical คือร่างกายเนื้อตัวนี้ แล้วรวมระบบ nervous system ไปด้วยระบบประสาทรวมกันอยู่ที่กลุ่มกายนี้ พอไปถึงระบบ mentality psychical system นั้นมันก็ไอ้สิ่งที่เราไม่รู้ว่าอะไรนั้นละ แต่มันทำงานอยู่เสมอ คือสิ่งที่เรียกว่าจิต อันนี้ก็เหมือนกันอีก อาตมาอยากจะพูดว่าเราไม่อาจจะรู้ว่าจิตนี้คืออะไรนะ แต่เราใช้จิตให้ทำอะไรได้ เช่นเดียวกับที่เราไม่รู้ว่าไฟฟ้านี้คืออะไรแต่เราใช้มันเลย ระบบอิเล็คทรอนิกส์อันน่าอัศจรรย์นี้ มันมาจากความรู้ที่ไม่รู้ว่าไฟฟ้าคืออะไรแต่เอามาใช้ได้ ไอ้เรื่องจิตนี่ก็เหมือนกัน อย่าไปพยายามรู้ว่ามันคืออะไร คือตัวอะไร มาโดยอะไร ไม่มีทางหรอก รู้แต่ว่าทำอย่างไรจิตมันสงบ ไม่ต้องกินยานอนหลับก็แล้วกัน นี่ความรู้เรื่องจิตก็ต้องให้เพียงพอถึงขนาดนี้ แล้วนี่จิตต้องมีสติปัญญานี่ก็ต้องไปศึกษาเถอะ เรื่องที่มันสูงขึ้นไปเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้ ให้จิตมันรู้ มีปัญญานั่นระบบปัญญา ก็เลยหมดปัญหา แต่ยังหวังยากการศึกษาในโลก จะขึ้นมาถึงขนาดนี้ไหมที่เมืองนอกเมืองนา เขาก็ไม่สนใจในระบบจิตกันนัก แล้วยิ่งไอ้ระบบวิญญาณนี่ไม่ได้สนใจเลยอย่างประเทศ ประเทศไม่ต้องออกชื่อประเทศเขาแล้วกัน อย่างประเทศที่เขาไม่มีศาสนาประจำชาติ เพราะว่าคนเขาถือศาสนาหลายศาสนานัก ไม่มีศาสนาประจำชาติ เขาก็ตัดศาสนาออกไปจากการศึกษา
การศึกษาไม่ต้องศึกษาศาสนาเพราะเขาไม่รู้จะเอาศาสนาอะไร คนของเขามีหลายศาสนานักจนไม่มีศาสนาประจำชาติ เขาก็เลยไม่รู้เรื่องศาสนาเพราะมันไม่อยู่ในหลักสูตรบังคับของการศึกษา แล้วเขาก็อนุญาตให้ไปหาเอาเองซิ ไปหาเอาเองซิใครอยากจะศึกษาศาสนาไหนก็ไปหาเอาเองๆไม่อยู่ในหลักสูตรการศึกษาของชาติ แล้วประเทศไทยกำลังจะตามก้นเขา นี่จะไม่มีการศึกษาธรรมะหรือศาสนาในหลักสูตรการศึกษาของชาตินี่ระวังให้ดี เมื่อประเทศไทยเป็นศาสนา เป็นประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ควรจะรู้พุทธศาสนาให้เพียงพอ แล้วปัญหานี้ก็จะหมดไปเราจะมีความรู้เรื่อง ทางจิตทางวิญญาณสูงสุดจนหมดปัญหาทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณ เป็นที่น่ายินดีที่ว่าพวกเด็กนักศึกษาสมัยนี้เขาจัดตั้งชมรมพุทธศาสตร์ ชุมนุมพุทธศาสตร์ขึ้นตามมหาวิทยาลัยทุกๆแห่ง มาที่นี่บ่อยเข้าๆและมากเข้า มาศึกษาพุทธศาสนาในส่วนนี้ ก็ดีที่ว่ากระทรวงหรือผู้มีอำนาจเขาไม่ห้ามไม่ขัดคอก็ดีแล้ว เด็กๆเขาก็ตั้งชมรมพุทธศาสตร์ศึกษาเอาเองเพื่อให้มีการศึกษาระดับสูงสุดคือวิญญาณ ทีนี้เราก็ร่วมมือกับเขาบ้าง ศึกษาทางฝ่ายกายศึกษาทางฝ่ายจิตศึกษาทางฝ่ายวิญญาณอันสูงสุดแล้วมนุษย์ก็จะหมดปัญหา นี่ล่ะผลของการศึกษาคิอทำให้เราหมดปัญหาทุกระดับ ทั้งระดับร่างกายระดับจิตใจระดับสติปัญญาอันสูงสุด แล้วเราก็จะทำให้เพื่อนมนุษย์ของเราหมดปัญหาด้วย ถ้าเราไม่หมดปัญหาเราก็ไม่ทำให้ใครหมดปัญหาได้ นี้ก็ต้องขอพูดว่าครูทำให้หมดปัญหา ครูต้องหมดปัญหาเสียก่อนถึงจะไปทำให้นักเรียนหมดปัญหาได้ เพราะว่าจะเป็นผู้นำ แล้วเพื่อนมนุษย์ของเราก็จะหมดปัญหา แล้วโลกของเราก็จะหมดปัญหา ถ้ารู้ด้วยการศึกษาเพียงพอทั้ง 3 ระดับ เราจะต้องศึกษาทั้ง 3เรื่องนี้ให้เพียงพอเพื่อควบคุมความถูกต้องในบ้านเมือง เดี๋ยวนี้ระบบเศรษฐกิจก็โกง ระบบการเมืองก็โกง ระบบการค้าก็โกง โกง โกง เพราะมันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรมมีศาสนามันไม่มีใครโกง ไม่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่เกิดปัญหาทางการเมือง การปกครอง การค้าการอะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้ปัญหายิ่งแล่นอัดเข้ามาเพราะว่ามันเต็มไปด้วยคนโกง คนเห็นแก่ตัว คนไม่มีศีลธรรม ถ้าการศึกษาถูกต้องมันก็ไม่มีคนชนิดนี้ เราก็ไม่มีคนโกง ระบบการเมืองมันโกงตั้งแต่เลือกผู้แทน มันโกงตั้งแต่เลือกผู้แทนมันก็ต้องได้ผู้แทนโกง เพราะมันเลือกไปอย่างโกง มันไปประกอบเป็นรัฐสภา ก็ต้องเป็นรัฐสภาโกง ก็ถ้ามันมีเลือกโกงๆอย่างนี้ แล้วถ้ารัฐสภาไปตั้งรัฐบาลมันก็เป็นรัฐบาลโกงอย่างนี้ล่ะ แล้วมันก็โกงกันสุดยอดเลย เอาศาสนากลับมาเอาธรรมะกลับมาเอาศีลธรรมกลับมา มีศีลธรรมแล้วไม่มีใครโกง การเมืองก็ไม่โกงการเศรษฐกิจก็ไม่โกง เดี๋ยวนี้มันโกงตั้งแต่คนปลูกผักขาย คนซื้อ คนขนส่ง คนส่งออก คนส่งเข้ามันโกงทั้งนั้นเลย ระบบการปกครองก็ยังเป็นอย่างนั้น จึงพูดกันไม่รู้เรื่องทะเลาะกันตลอดเวลา นี่เรียกว่ามันไม่มีศีลธรรม คือไม่มีการศึกษาระดับวิญญาณ มีแต่การศึกษาระบบร่างกายระบบจิตใจผิวๆเท่านั้นเอง
การศึกษานี้มันทำให้รอดจากปัญหา คำว่ารอดนี้เป็นคำประเสริฐศักดิ์สิทธิ์อยู่คำหนึ่ง เพราะว่าทุกศาสนาอาตมาขอท้าให้ไปค้นดูเถอะทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลก จุดหมายปลายทางอยู่ที่คำว่ารอด รอดทั้งนั้นล่ะ จะศาสนามีพระเจ้าหรือศาสนาไม่มีพระเจ้าอะไรก็ตามใจ จุดหมายปลายทางอยู่ที่คำว่ารอด รอด ไปคุยกับคริสเตียน หรือมุสลิมอะไรไม่รู้มันมีคำว่ารอด ศาสนาไหนก็มีคำว่ารอด ศาสนาพุทธเราก็มีคำว่ารอด รอดเรียกว่าวิมุต พวกนั้นเขาก็เรียกไปตามแบบของเขา ความรอดพวกคริสต์ก็พูดมากที่สุด ความรอด Emancipation (นาทีที่ 23:45)หรือความรอด งั้นเราจำความว่ารอด รอดไว้ทีว่ามันเป็นจุดสูงสุดปลายทางของการศึกษา การศึกษาต้องเพื่อความรอดทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณ สิ่งแวดล้อมต่างๆมันบีบบังคับเรา เราติดอยู่ภายใต้อำนาจของมันเราต้องทำให้รอด ความโง่ของเราเองเราก็ต้องทำให้หมดเพื่อให้เรามันรอด ให้มันรอดจากทุกสิ่งที่มันทรมานเรา ต้องรู้ว่าเราทำได้เราทำได้เพราะว่าธรรมชาติ ธรรมชาติอันลึกลับที่เรารู้ไม่ได้จะเรียกว่าพระเจ้าหรือธรรมชาติก็สุดแท้ มันให้เดิมพันมาพอ ให้เราทุกคนสามารถมีสติปัญญา ทำความรอดให้แก่เราได้แต่เราไม่ใช้ เราไม่รู้เรื่องเราเลยไม่ใช้ เราสมัครเป็นกันแต่เพียงคนไม่ต้องการจะเป็นมนุษย์ ทีนี้ไอ้วิชาความรู้การศึกษามันก็เหลือศูนย์เปล่า ไอ้ความรู้ที่เราเป็นมนุษย์เราไม่ศึกษาไม่สนใจ สนใจกันแต่เพียงคน มันก็เรียนกันไม่เท่าไหร่มันก็เป็นคน แต่แล้วมันก็ไม่เป็นมนุษย์ เมื่อไม่เป็นมนุษย์แล้วที่มันการศึกษาสูงๆมันก็เป็นหมันเปล่า ไม่มีใครต้องการจะเป็นพระอริยเจ้า ต้องการจะเป็นพระอรหันต์ ไอ้ความรู้ส่วนนั้นมันก็เป็นหมันเปล่า เป็นกันแต่เพียงคนหากินกันเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆหนึ่ง ความรู้มันก็เป็นหมันเสียเยอะแยะ
วันที่ 18 นี้เป็นวันที่สวนโมกข์ออกวิทยุประจำ 18 ที่จะถึงนี้ อาตมาส่งเทปไปแล้ว เรื่องถ้าเราเป็นกันแต่เพียงคน ธรรมะก็เป็นโมฆะเสียมากมาย ช่วยสนใจคอนฟังงหน่อยถ้าเขาส่งตามระเบียบที่เขามีอยู่วันที่ 18นี้ ถ้าเป็นกันแต่เพียงคน ธรรมะก็เป็นโมฆะเสียมากมาย เพราะว่าธรรมะช่วยให้ได้มากกว่าคน สูงขึ้นไปมากกว่าคน คือช่วยให้เป็นมนุษย์ ทีนี้ถ้าสมัครเป็นแต่เพียงคน ธรรมะส่วนนั้นก็เป็นโมฆะสูญเปล่า แล้วมันเป็นอยู่จริงในบัดนี้ในเวลานี้ว่าเราต้องการเป็นกันแต่เพียงคน เลี้ยงชีวิตไปในวันหนึ่งๆก็แล้วกัน ไม่ต้องการจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็นเป็นนิพพาน ไอ้ความรู้ส่วนนั้นเลยสูญเปล่าเป็นโมฆะเปล่าๆไม่ได้รับประโยชน์อะไร นี่ขอให้ใช้เดิมพันที่ธรรมชาติได้ให้เรามา สำหรับจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้นะ แต่ไม่ต้องการใช่ไหม พอพูดว่าเป็นพระอรหันต์ก็ได้ไม่มีใครต้องการ อาตมาบอกว่าครูน่ะเป็นผู้สร้างโลก เพราะว่าโลกนี่มันประกอบขึ้นด้วยคน คนเป็นอย่างไรโลกก็เป็นอย่างนั้น ถ้าครูสอนคนมาดีเป็นคนดีโลกก็เป็นโลกของคนดี ครูสอนคนไม่ดีไม่มีคนดีโลกก็เป็นโลกที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นครูนั้นล่ะคือผู้สร้างโลกอันแท้จริง ไม่ใช่พระเจ้าที่ไหน โลกจะเป็นไปตามที่ครูช่วยกันสร้างคนขึ้นมาอย่างไร
นี้พอบอกว่าครูเป็นผู้สร้างโลกนะต่างสั่นหัวหมด ครูทั้งหลายต่างสั่นหัวหมดไม่เอาดีเกินไปไม่สนุก ไม่ยอมรับว่าครูเป็นผู้สร้างโลก ก็เอาซิแล้วจะศึกษาไปทำไมกัน เพราะที่แท้มันเป็นอย่างนั้น มันแล้วแต่ครูจะสร้างคนขึ้นมาอย่างไรแล้วโลกมันก็เป็นอย่างนั้น เขาพูดว่าพระเจ้าสร้างโลกเรามองไม่เห็น แต่ที่เราจะมองเห็นคือครูนี่ล่ะจะสร้างโลก พอชวนให้ครูสร้างโลก ครูไม่เอาสั่นหัวหมด ก็เลยไม่รู้จะไปพึ่งใคร การศึกษานี้มันควรจะปรับปรุงกันเสียใหม่ให้โลกมันเป็นไปตามที่เราต้องการ มีสันติภาพมีความสงบสุขมีอะไรเหล่านี้ แต่ว่าครูนี่ต้องช่วยกันสร้างโลกเสียใหม่ จะมากเกินไปไหม จะถามว่าใครสมัครยกมือขึ้น ไม่กล้าถามๆ เดี๋ยวจะเก้อ ถ้าจะพูดโดยอุปมา เอาพูดอุปมาอีกทีว่า มันก็ช่วยกันสร้างโลกที่มีสันติสุขมีสันติภาพ เพราะว่ามันมีแต่คนที่ไม่มีปัญหา มีแต่ไม่มีความทุกข์มันก็เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย คำนี้คงได้ยินกันทุกคน พระศรีอารย์หรือพระศรีอริยเมตไตรย แต่คงจะเข้าใจความหมายน้อยหรือไม่เข้าใจก็ได้ คอมมิวนิสต์เขาก็ไปอ้างว่าเขาจะสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรยเหมือนกันด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ไปคิดดูเอาว่ามันสำคัญอย่างไร ในพระบาลีในพระคัมภีร์ก็ยกย่องไอ้โลกหรือศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยไว้อย่างสูงสุดเลย เป็นจุดสูงสุดที่มนุษย์จะเป็นไปได้
คำว่าศรี ศรีก็แปลว่าสง่า สง่างดงาม อารยก็แปลว่าประเสริฐ ประเสริฐที่สุด เมตไตรยนี่มันก็แปลว่ามิตรภาพ ความมีมิตรภาพ มิตรภาพที่ประเสริฐสง่างาม นั่นล่ะคือศาสนาพระอริยเมตไตรย เมตไตรยมาจากคำว่า เมตไตรยฺ (นาทีที่ 29:20) แปลว่าประกอบอยู่ด้วยหรือเป็นไปกับมิตรภาพ พรรณาโลกพระศรีอริยเมตไตรยไว้เข้าใจง่ายๆ คือว่ามันมีคนที่มีธรรมะมันก็ขยันขันแข็งในธรรมในหน้าที่ มันก็ไม่มีใครยากจน แล้วมันก็พร้อมที่จะช่วยผู้อื่น งั้นท่านจึงพรรณาลักษณะโลกพระศรีอริยเมตไตรยไว้ว่า ไปทางไหนเดินไปทางไหนก็มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใส ชูมือขึ้นบอกขึ้นถามว่าจะให้ช่วยอะไรๆ ไปที่ไหนก็มีแต่คนถามจะให้ช่วยอะไรๆ พร้อมที่จะช่วยอยู่เสมอนี่แล้วใครมันจะขาดแคลน ใครมันจะเป็นทุกข์ โลกพระศรีอริยเมตไตรย พอลงจากบ้านแล้วจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครมันเหมือนกันไปหมด มันรักเป็นอันเดียวกันหมด เหมือนอย่างที่ชูมือว่าจะให้ทำอะไรจะให้ช่วยอะไรจะให้ทำอะไรบอกมาๆฉันจะช่วย งั้นพอลงไปที่ถนนไม่รู้ว่าใครเป็นใครจำไม่ได้ ต้องกลับมาที่บ้านก่อน จึงอ้าวนี่ภรรยาของเราสามีของเราลูกของเราหลานของเรา มาที่บ้านจึงรู้จัก พอลงไปถนนเหมือนกันหมด รวมความว่า มีแต่มิตรภาพ มิตรภาพอันสูงสุด มีแต่มือที่ชูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจะให้ช่วยอะไรๆๆ แล้วมันก็จะช่วยกันจริงๆด้วย นี่ละคือโลกพระศรีอริยเมตไตรย ยังห่างไกลกี่มากน้อย เราจะจัดการศึกษาให้เป็นอย่างนั้นได้ไหม ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้จะจัดการศึกษาให้มีโลกอย่างนั้นได้ไหมเล่า เดี๋ยวนี้มันจะเต็มไปแต่อันธพาล เลยต้องเพิ่มโรงพักเพิ่มตำรวจเพิ่มศาลเพิ่มอัยการ เมื่อไหร่มันจะมีโลกอย่างนั้นเล่า ลองคิดดูซิ โลกที่ประชาชนมีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส คอยถามว่าท่านต้องการอะไรข้าพเจ้าจะช่วย นี่ละคำว่า " เมตไตรยฺ" หมายความว่าอย่างนั้น
นี่ละผลของการศึกษา ไม่มีทุกข์ สรุปความว่ามันไม่มีความทุกข์ในโลกนั้น มันมีแต่ความสุขและมีความสนุกในการทำงาน ไอ้ทำงานสนุกนี่มันฟังยากนะคนเขาไม่เชื่อว่า ไอ้งานนี่ทำให้สนุกได้ อาตมาเคยถามหลายคนแล้วที่มาที่นี่ งานมันของสนุกไหม สั่นหัวเกลียดงานกันทั้งนั้นล่ะไม่ต้องทำงานนั่นละดี ไอ้เด็กวัยรุ่นมันก็เออไม่ต้องทำงานไปขโมยดีกว่า ไม่ต้องทำงานมันเหนื่อยเปล่าๆไปขโมยดีกว่า มันทำงานไม่สนุก แต่เดี๋ยวนี้พวกเราเป็นพุทธบริษัท รู้ว่าไอ้ธรรมะน่ะคือหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ถ้าไม่ทราบก็โปรดทราบว่า ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ช่วยบอกคุณครูทั้งหลายว่าอย่าสอนลูกเด็กๆว่าไอ้ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่ามันไม่รู้ว่าสอนอะไรๆ นี่ไปซื้อดิกชันนารีที่ประเทศอินเดีย ดิกชันนารีธรรมดาสำหรับเด็กๆมาดูสักเล่ม ธรรมะก็จะแปลว่า duty เขาไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของใคร ธรรมะแปลว่า dutyของสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตต้องมีduty duty นั้นคือธรรมะ ไอ้คำนี้มันเก่าก่อนพรพุทธเจ้า เก่าก่อนศาสดาใดๆในโลก พอมนุษย์เริ่มมีเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์คนป่าก็ได้มันเริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตมันก็เรียกสิ่งนั้นว่าธรรมะ เพราะงั้นธรรมะมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า คำๆนี้พูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ในฐานะที่แปลว่าหน้าที่ หน้าที่ของใคร หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตถ้ามันไม่ทำหน้าที่มันต้องตาย ต้นไม้ต้นไร่นี่มันก็ต้องมีหน้าที่คือมีธรรมะของต้นไม้จึงรอดชีวิตอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉานมีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน มันรอดชีวิตอยู่ได้ คนก็มีหน้าที่ของคนก็รอดชีวิตอยู่ได้ งั้นธรรมะคือสิ่งสูงสุดที่เขาบูชากันนั้นก็คือหน้าที่ งั้นใครทำหน้าที่คนนั้นมีธรรมะๆ เมื่อเขารู้จักอย่างนี้เขาก็พอใจในการงาน จึงรู้สึกสนุกในการงาน ที่ไหนมีการทำหน้าที่ที่นั่นมีธรรมะ งั้นครูก็มีธรรมะเมื่อจับชอล์กอยู่หน้ากระดานดำเดินไปเดินมาตรงนั้น นั่นล่ะมีธรรมะที่ตรงนั้นๆเมื่อนั้น ชาวนาก็มีธรรมะอยู่เมื่อจับไถ ไถนา ชาวสวนก็เมื่อทำสวน คนค้าขายก็เมื่อค้าขาย เมื่อใครอยู่ในหน้าที่คนนั้นมีธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ การปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่หรือการทำการงาน ถีบสามล้ออยู่ก็ได้ แจวเรือจ้างอยู่ก็ได้ กวาดถนนอยู่ก็ได้นั้นละคือธรรมะ ขอทานก็ได้เอา ถ้าเป็นขอทานที่ถูกต้องตามระบบการขอทาน ทำหน้าที่คนขอทานเขามีธรรมะคนขอทาน ไม่เท่าไรเขาก็พ้นจากความเป็นขอทาน ขอให้มีธรรมะเถอะ งั้นธรรมะคือหน้าที่
งั้นมันก็มีอยู่ที่คนทำหน้าที่ในเรือกสวนไร่นาป่าเขาที่โรงเรียนที่ไหนก็ได้ พูดกันๆเงียบๆหน่อยนะว่าในโบสถ์อาจจะไม่มีธรรมะก็ได้ ถ้าโบสถ์ไหนมีแต่เซียมซี ถ้าโบสถ์ไหนมีแต่เซียมซีโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะหรอก กลางทุ่งนาเสียอีกจะมีธรรมะเพราะมีคนเหงื่อไหลไคลย้อยทำนาอยู่ คนแต่ก่อนเขารู้ว่าหน้าที่ต้องทำนาจึงจะเลี้ยงชีวิตรอด บางคนบอกว่าทำนานี่เพื่อจะเอาข้าวใส่บาตรสักหน่อย เขาพูดกับเราที่เดินเข้าไปใกล้ๆคนแก่ๆไถนา แต่คนเดี๋ยวนี้ไม่มีอย่างนั้นแล้ว ทำนาเอาเงินไปซื้อเหล้ากินสักหน่อย ทำไมแต่ก่อนนั้นทำนาเอาข้าวใส่บาตรพระสักหน่อย เขาพูดอย่างนั้นจริงๆอาตมาได้ยินเอง เดี๋ยวนี้มันทำนาไปอาบอบนวดดีกว่า มันก็เลย มันเดินกันคนละทิศละทาง ธรรมะคือหน้าที่ช่วยจำไว้ ถ้าในโบสถ์มันมีแต่เซียมซีแล้วก็จะไม่มีธรรมะ หรือมีแต่พิธีรีตองไปเสียหมด ไม่มีเนื้อหาของการงานแล้วมันก็ไม่มีธรรมะที่ในโบสถ์หรือในวัด ในวัดหรือในโบสถ์ถ้าไม่มีการทำหน้าที่แล้วมันไม่มีธรรมะหรอก ถ้าวัดหรือโบสถ์ไม่มีการทำหน้าที่ก็ไม่มีธรรมะ บางวัดมีแต่เซียมซีมีแต่พิธีรีตองมีแต่เอาบาปเอาอาบัติไปทิ้งไว้ที่ในโบสถ์ก็ไม่มีธรรมะซิ ที่บ้านที่เรือนนั่นละขอให้มีการทำหน้าที่ พ่อทำหน้าที่ของพ่ออย่างถูกต้อง แม่ทำหน้าที่ของแม่อย่างถูกต้อง ลูกหลานเหลนทำหน้าที่อย่างถูกต้อง คนใช้ก็ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้อง ต่อให้ถึงสุนัขถ้ามันทำหน้าที่ของมันอย่างงถูกต้อง มันก็มีธรรมะของสุนัข ที่บ้านที่เรือนน่ะจะมีธรรมะอย่าหวังในวัดในโบสถ์อะไรนัก ถ้าไม่มีการทำหน้าที่แล้วก็ไม่มีธรรมะหรอก พูดอย่างนี้ก็ถูกด่า รู้ไว้ด้วย แต่มันก็ต้องพูด เพราะว่ามันมีคนที่ยังไม่รู้หรือควรจะรู้ งั้นคุณครูทั้งหลายอย่าสอนแต่ลูกเด็กๆทั้งหลายว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่ามันมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดธรรมะน่ะ
มนุษย์รู้จักเรียกคำคำนี้ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า น่ะธรรมะ แปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เมื่อใดสิ่งที่มีชีวิตมันทำหน้าที่เมื่อนั้นละคือธรรมะ ทีนี้ธรรมะมันก็มีประโยชน์ ช่วย เพราะว่าเมื่อทำหน้าที่แล้วชีวิตมันรอด เพราะฉะนั้นธรรมะคือการทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าเรารู้อย่างนี้เราก็ทำงานสนุก ถ้าเรารู้อย่างนี้เราจะทำงานเพื่อความประเสริฐอันนี้ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้เราก็ไม่ได้ทำเพื่อธรรมะ เราจึงทำงานเพียงเพื่ออาชีพรับจ้าง รับจ้างทำงานหากินไปวันๆหนึ่ง แม้เป็นครูก็เถอะก็เป็นครูชนิดสอนหนังสือรับจ้างไปวันๆหนึ่ง ไม่มีอุดมคติของครูที่ว่ามันเป็นหน้าที่ ทำให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงออกมาเสียจากความมืด ดิกชันนารีเด็กๆอีกละในอินเดียเขาว่าครูน่ะแปลว่า spiritual guide spiritual คือฝ่ายวิญญาณ guideน่ะผู้นำ ผู้นำทาง เขาแปลไว้คำเดียวอย่างนั้น spiritual guideแปลว่าครู งั้นครูน่ะต้องทำหน้าที่ spiritual guide ไม่ใช่รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ รีบปิดโรงเรียนไปอาบอบนวดเหมือนครูสมัยนี้ มันต้องพอใจยินดีมีความสุขเมื่อถือชอร์กอยู่หน้ากระดานดำหรือทำอะไรก็ตาม มีความสุขเมื่อกำลังทำงานนั่นแหละ เพราะมองเห็นไอ้สิ่งนี้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะแล้วก็พอใจเลยทำงานสนุก เพราะฉะนั้นการทำงานให้สนุกเป็นสิ่งที่มีได้
คนหลายคนเขาไม่เชื่อว่างานทำให้สนุกได้ อาตมาว่ามีได้ต้องรู้ ธรรมะคืออะไร ถ้ารู้ว่าธรรมะคืออะไรก็พอใจธรรมะ บูชาธรรมะ มันก็สนุกในการปฏิบัติธรรมะคือการทำหน้าที่ของตนเลยทำหน้าที่นั้นละสนุก ถ้าทำนาก็ทำนาสนุก ทำสวนก็ทำสวนสนุก ถีบสามล้อก็ถีบสามล้อสนุก แล้วมันจะยากจนอย่างไรเล่ามันก็ไม่ยากจนหรอก มันก็เหลือกินเหลือใช้เพราะว่ามันเป็นสุขไปแล้วเมื่อทำการงาน ถ้าเรารู้ความจริงข้อนี้ก็ทำงานสนุก ก็จะเป็นสุขเมื่อทำการงานนั้นเอง เลิกงานแล้วไม่ต้องไปสถานเริงรมย์หรอกเพราะว่ามันเป็นเรื่องหลอกๆทั้งนั้น ไอ้ความสุขแท้จริงมันได้เสียแล้วเมื่อกำลังทำงาน นี่เราก็เลยมีความสุขชนิดที่ไม่ต้องเสียสตางค์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นหลักตายตัวว่า นิพพานให้เปล่า ความสุขสูงสุดของมนุษย์คือนิพพานน่ะเป็นของให้เปล่าไม่ต้องเสียสตางค์ก็คืออย่างนี้ เป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่นี่เป็นธรรมะเป็นของประเสริฐ เป็นเกียรติ์สูงสุดของมนุษย์ และพอใจและเป็นสุขอยู่ที่นั่น นี้ความสุขที่แท้จริงความสุขนี้ไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าไปที่สถานเริงรมย์ต้องเสียเงินมากเพื่อซื้อความเพลิดเพลินเหล่านั้นจนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องคอร์รัปชั่น ครูคอร์รัปชั่นส่วนมากก็เพราะไปหลงไอ้ส่วนเหล่านี้ พูดได้ว่าไอ้ความสุขยิ่งแท้จริงเท่าไหร่ยิ่งไม่ต้องใช้เงิน ความสุขยิ่งหลอกลวงเท่าไหร่ยิ่งต้องใช้เงินแพง แพงที่สุดและก็ไม่ใช่ความสุขเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง จำไว้เป็นสูตรสั้นๆว่า ไอ้ความสุขแท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่หลองลวงต้องใช้เงินจนเงินเดือนไม่พอใช้ นี่เรียกว่าจะแก้ปัญหาได้ไม่ต้องคอร์รัปชั่น ทีนี้เมื่อทำงานทำงาน สนุกด้วยแล้วก็เป็นสุขด้วยเพราะว่ามันเป็นธรรมะด้วย มันก็พอใจตัวเอง คำว่าพอใจตัวเองนั่นละเป็นธรรมะสูงสุด เคารพนับถือตัวเองมีปิติปราโมทย์ในตัวเอง พอใจตัวเองเคารพตัวเองนับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ ให้จำคำว่ายกมือไหว้ตัวเองได้คือคำเคารพตัวเอง นับถือตัวเอง บูชาตัวเองเพราะมีอะไรดี จนถึงกับเคารพตัวเองได้
เมื่ออาตมาเด็กๆจำได้ว่าพวกฝรั่งเขามาจากเมืองนอกแล้วเขามักจะอวดวิชาความรู้ของเขาเหล่านี้ว่า รู้จักตัวเองบังคับตัวเองไว้ใจตัวเองนับถือตัวเองเคารพตัวเอง เขาพูดกันแต่อย่างนี้ก็น่าเลื่อมใส แต่ฝรั่งเดี๋ยวนี้ไม่พูดแล้ว ประโยคหลังนี่ไม่มีพูดแล้ว เมื่อฝรั่งก็ยังมีอะไรดีๆอยู่เขาจะพูดในเรื่องรู้จักตัวเองบังคับตัวเองเคารพตัวเองนับถือตัวเอง นั่นละถูกที่สุดเป็นธรรมะในพระพุทธศาสนา เราไม่ต้องเชื่อตามฝรั่งเรามีอยู่แล้วในคัมภีร์พระศาสนาของเรา จงบังคับตัวเองให้อยู่ในร่องในรอย จงไว้ใจตัวเองว่าต้องทำได้ไม่เสียชาติเกิด ธรรมะธรรมชาติให้มาพอ เราต้องทำได้อย่าพูดว่ายากทำไม่ได้ เชื่อตัวเองว่าทำได้แล้วก็ทำได้แล้วก็พอใจตัวเองแล้วก็มีความสุข แล้วก็บูชาตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไรยกมือไหว้ตัวเองเมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อไรเกลียดตัวเองเมื่อนั้นเป็นนรกนี่ไม่ใช่พูดเล่น ขอร้องทุกๆคนช่วยจำไปด้วย เมื่อไรยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อไรเกลียดตัวเองเมื่อนั้นเป็นนรก ไม่ต้องเชื่อใคร ไปคิดไปสังเกตเอาเอง เมื่อไรเราเกลียดตัวเองจิตใจเป็นอย่างไร เมื่อไรเราไหว้ตัวเองได้จิตใจเป็นอย่างไร นั่นละไปดูเอาเอง ค่ำๆลงต้องยกมือไหว้ตัวเองได้เพราะความดีที่ทำมาตลอดวัน พอตื่นเช้าขึ้นมาก่อนไปทำงานก็ต้องเตรียมไว้ว่าวันนี้จะทำอะไรให้ยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง ก็ไปทำๆ พอค่ำลงคิดบัญชีเอายกมือไหว้ตัวเองได้ๆ นี่ละเป็นสวรรค์ สวรรค์แท้จริง ไม่ใช่สวรรค์แต่พูด สวรรค์บนฟ้าน่ะมันสวรรค์แต่พูดยังไม่พิสูจน์ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าสวรรค์ที่ยกมือไหว้ตัวเองได้นี่จริงๆ จริงเกินกว่าพิสูจน์เสียอีกเพราะมันชื่นใจที่สุด พอใจที่สุด เป็นสุขที่สุด สวรรค์คือยกมือไหว้ตัวเองได้นรกคือเกลียดชังตัวเอง ซึ่งครูจะทำได้เต็มที่ จะทำหน้าที่ของครูโดยเป็นผู้นำทางวิญญาณ บางคนเขาเขียนว่าเขาค้นพบไอ้ทางภาษาหรือศัพท์ศาสตร์ใหม่ว่า ครู ครูแปลว่าเปิดประตู ก่อนนี้ใช้คำว่านำทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้เขาพบว่าหรือเขาใช้ว่า โดยแท้จริงแล้วโดยรากศัพท์เขาแปลว่าเปิดประตู เปิดประตูทางวิญญาณนั่นละ ให้สัตว์ออกมาเสียจากความโง่เขลา ความผิดความไม่รู้หรืออวิชชานั่นละเรียกว่าเป็นคอกเล้าอันมืดมิด ครูคือผู้เปิดประตูคอกชนิดนั้นและให้สัตว์ออกมมาเสียจากคอก กริยาที่เปิดประตูนั่นละคือคำว่าครูครู ก็เลยเปลี่ยนความหมายหน่อยว่า ครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ถ้าเราจงทำอยู่ทุกวันทุกเดือนทุกปีเป็นการเปิดประตูให้เด็กๆออกมาจากคอกแห่งความโง่ ความโง่เขลา ถ้าสอนหนังสือก็สอนให้เขาสามารถออกมาจากความโง่ ถ้าให้เขาประพฤติจริยธรรมก็ออกมาจากความโง่ อะไรก็ขอให้ออกมาจากคอกเล้าอันมืดอันสกปรก อันเหม็นอันทรมาน ให้ออกมาเสียจากคอกเหล่านั้นนั่นละคือครู พอทำแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้แน่
เดี๋ยวนี้ครูมักจะถูกหาว่ามีอาชีพแจวเรือจ้างบ้าง เป็นกรรมกรสอนหนังสือบ้าง นี่ไม่ถูก เพราะคำว่าครูนี่ต้องเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณเสมอไป นี่เรียกว่าผลของการศึกษา ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นปูชนียบุคคล เพราะครูเป็นปูชนียบุคคลเหมือนกับพระอรหันต์ ทำความดีมีค่าให้แก่ประชาชนมากมายกว่าประโยชน์ที่ได้รับ พระอรหันต์รับของจากประชาชนเพียงว่า อาหารบ้าง จีวรบ้าง อะไรบ้าง แต่ทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากมายเหลือที่จะพูดได้ ครูก็เหมือนกัน รับเงินเดือนเป็นอยู่ได้ แต่ว่าประโยชน์ที่ทำให้แก่มนุษย์มันมากกว่ามากนัก งั้นครูถูกจัดไว้เป็นปูชนียบุคคลมาแต่โบร่ำโบราณ เป็นอาชีพปูชนียบุคคลเขาเรียกว่าอาชีพเจ้าหนี้ คือบุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้แล้วก็รับการผ่อนใช้หนี้มากินมาอยู่ นี่เรียกว่าอาชีพเจ้าหนี้ได้แก่พระอรหันต์ได้แก่ครูที่เป็นปูชนียบุคคลอันแท้จริง งั้นเราต้องให้มันแน่ลงไปว่า เราให้ประโยชน์แก่มหาชนมากกว่าค่าของเงินเดือนที่เราได้รับ แล้วก็จัดตัวเองเป็นปูชนียบุคคลได้นี่ก็เป็นของที่แน่นอน นี่ละผลของการศึกษา นี่อาตมาพูดมาได้สามข้อแล้ว อีกข้อทนไหวไหม ชั่วโมงกว่าแล้วนี่ ไหนๆก็ยังอีกข้อเดียวแล้วขอโอกาสพูดให้จบ
ตามหลักของอริยสัตย์ว่ามันคืออะไร มันมาจากอะไร มันเพื่อผลอันใด ข้อที่สี่สุดท้าย โดยวิธีอย่างไร นี่ข้อที่สี่ มันจะมีการศึกษาสมบูรณ์หรือเป็นครูสมบูรณ์กันอย่างไร นี่คำนี้เมื่อพูดตามหลักของพระศาสนา มันก็ระบุไปยังสิ่งที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ไอ้คำที่เราพูดอยู่เป็นประจำแต่ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร สัมมาทิฏฐิตัวเดียวน่ะจะแก้ปัญหาหมด แก้ปัญหาไม่มีเหลือเลย ปัญหาชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูงอะไรมันก็แก้ได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิคือผิด เป็นคำประนาม สัมมาทิฏฐิถูก เป็นคำยกย่อง เป็นคำสูง เราจะแก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ เป็นคำที่มีในพระคัมภีร์โดยตรงว่า " จะกำจัดความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะมีสัมมาทิฏฐิ" สัมมาทิฏฐิมันทำให้คิดถูก ให้พูดถูก ให้กระทำถูก สามถูกมันคือ วันทา มรกา (นาทีที่ 48:52) สำหรับไปสู่พระนิพพาน ออกมาเสียจากปัญหา สามารถแก้ปัญหาทั้งปวงได้ ออกมาเสียจากปัญหาก็ได้แก้ปัญหาก็ได้ป้องกันปัญหาก็ได้ เราพูดกันเป็นสามขั้นตอนมันจะฟังง่าย ว่าเราออกมาเสียจากปัญหา ถ้าเราคิดเป็นทำเป็นพูดเป็น พูดถูกคิดถูกทำถูกมันก็ออกมาเสียจากปัญหา ถ้าแก้ปัญหาแล้วก็รู้ธรรมะสูงสุดที่ว่าสิ่งทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย สมควรเป็นไปตามเหตุเรียกว่า อิทัปปัจจยตา เรารู้จักใช้อิทัปปัจจยตาเราจะแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา คำนี้อาจจะแปลกใหม่สำหรับท่านทั้งหลายฟังไม่ถูกอยู่ก็ได้คำว่าอิทัปปัจจยตา แต่อาตมากำลังพยายามทำให้คำนี้แพร่หลายให้รู้จักให้พูดกันเป็นทั่วๆไปแล้ว มันก็พอจะมีขึ้นมาบ้างแล้วรู้จักใช้คำพูดว่าอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตา ความที่มันต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน หรือจะใช้คำอีกสักคำหนึ่งก็ยังได้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเองตามเหตุตามปัจจัยของมัน แล้วเราอย่าไปฝืนมันแล้วเราอย่าไปทำผิดหลักของมัน เราก็จะแก้ปัญหาได้ เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้น
นี่เป็นกฏธรรมชาติตามหลักเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์ ที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ไม่งมงายก็เพราะมีข้อนี้ แล้วที่นักวิทยาศาสตร์ชอบพุทธศาสนาก็เพราะข้อนี้ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก ไอสไตน์เขาสรรเสริญพุทธศาสนาไว้เป็นหลักเกณฑ์ข้อนี้ คือไม่เป็นงมงาย มันเป็น scientific แล้วมันก็เป็นการที่สามารถเผชิญกับความต้องการแห่งยุควิทยาศาสตร์หรือยุคปัจจุบัน เพราะมันใช้กฎวิทยาศาสตร์เดียวกัน เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเพราะมันมีปรมาณูมันจึงมีอณูมันจึงมีสสารมีอะไรจนกระทั่งสำเร็จเป็นเรื่องเป็นราว เรียกได้ว่าเพราะมันไม่ได้มีพระเจ้าที่เป็นบุคคลเทวดาอะไรที่ไหนมาสร้างแต่มันมีกฎอันนี้อยู่ มันก็สร้างตัวมันเองที่เราเรียกว่า วิวัฒนาการ พุทธศาสนามีกฎนี้ที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา นี่ละเป็นหัวใจจึงเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ สบใจของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งไอสไตน์เขาพูดว่าถ้ามันจะมีอยู่ในโลกสักศาสนาหนึ่งก็คือพุทธศาสนานั่นเอง เรามาพูดเดี๋ยวจะว่าเข้าข้างตัวเอง โฆษณาตัวเองมากไปต้องยืมคำคนอื่นพูดที่เขาเป็นกลาง พวกเราถือกฎอิทัปปัจจยตา ถือว่าโลกนี้วิวัฒนาการขึ้นมาตามกฎของอิทัปปัจจยตา เราจึงถูกเรียกว่าเป็นพวก evolutionist evolutionist ผู้ถือว่ามีวิวัฒนาการตามกฎนี้ ส่วนพวกอื่นนอกจากกฎข้อนี้เขาถือว่ามีพระเจ้าสร้าง นี่เขาเรียกว่าพวก Creationist (นาทีที่ 52:29) ในโลกนี้มีอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งถือว่าพวกโลกพระเจ้าสร้าง Creationist พวกหนึ่งถือว่าเป็นไปตามกฏธรรมชาติ วิวัฒนาการนี้ Evolutionist คนในโลกทั้งหมดนี้จะต้องอยู่ในสองพวกนี้พวกใดพวกหนึ่ง มันมีเชื่อได้เพียงเท่านี้ พุทธบริษัทเรามันเป็น มันเชื่ออย่างนี้ เชื่อว่าตามกฏของ อิทัปปัจจยตา เราควรจะรู้จักตัวเองไว้ด้วยเผื่อมันจะต้องไปพูดกันหรือถูกเขาถาม ก็บอกได้ถูกว่าเราเป็น Evolutionist ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นมาเกิดขึ้นเป็นไปหรือสิ้นสุดอะไรก็ตามโดยกฏของอิทัปปัจจยตา นี่เราจะต้องแก้ปัญหาด้วยการทำให้ถูกต้อง สงเคราะห์ให้กับกฏของอิทัปปัจจยตาของโลกนี้
เราป้องกันปัญหาโดยใช้สัมมาทิฏฐิ ทำถูกพูดถูกคิดถูก จะแก้ปัญหาทำให้ถูกแต่ว่าเพื่อที่จะหนามยอกหนามบ่ง มันมีอิทัปปัจจยตาฝ่ายผิด และมีอิทัปปัจยตาฝ่ายที่จะแก้ได้ สุดท้ายที่ว่าจะป้องกันปัญหา นี่มันต้องมีการศึกษาเพียงพออย่าโง่อย่าเขลาเมื่อมันมีผัสสะ ผัสสะนั้นเป็นคำสำคัญที่สุดเป็นที่เกิดของไอ้ปัญหาทั้งหลาย เมื่อเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี่ก็ผัสสะรูปเสียงกลิ่นรส โผฐัพพะ ธรรมารมณ์ (นาทีที่ 54:08)ตรงนั้นเรียกว่าผัสสะ ถ้าเราลืมโง่ตอนนั้นมันจะเกิดการคิดผิด พูดผิด ทำผิด และจะเกิดความทุกข์ เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดตัวกูของกูแล้วก็เป็นทุกข์ ศึกษาธรรมะให้เพียงพอสำหรับฉลาดทันเวลาแล้วเมื่อมีผัสสะแล้วปัญหาจะไม่มี นี่เรียกว่ามันเป็นการป้องกันปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่เรียกว่าเราใช้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและแก้ปัญหาที่เกิดแล้ว หรือออกจากปัญหาหมด จะพูดคำไหนก่อนคำไหนหลังก็มีผลอย่างเดียวกัน อย่าเข้าไปในวงของปัญหาเพราะมีสัมมาทิฏฐิ รู้เรื่องอิทัปปัจจยตาแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่าโง่เมื่อผัสสะ เมื่อตาได้เห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เมื่อลิ้นได้รส เมื่อผิวหนังได้สัมผัสทางผิวหนัง ตรงนั้นอย่าโง่โดยอวิชชา ถ้าโง่ในอวิชชากิเลสเกิด กิเลสเกิดก็เป็นทุกข์ไม่มีใครช่วยได้ นี่วิธีที่ว่าเราจะทำให้เกิดเป็นผลขึ้นมา
เราสอนเด็กๆให้เขาเป็นอยู่อย่างถูกต้องอย่างนี้จะเป็นการเปิดประตูคอกทางวิญญาณได้ดี บอกให้คุณครูทั้งหลายทราบว่าเด็กๆของเรากำลังเป็นโรคประสาทมากขึ้น อาตมาอยู่ที่นี่ก็ทราบเพราะเขาเอามาฝากเรื่อย เด็กๆแท้ๆมันเป็นโรคประสาทมากขึ้นแล้วมันเรียนด้วยความหวังมากเกินไป มันทำผิดเพราะมันเรียนด้วยความหวังมากเกินไป มันไม่รู้จักคิดนึกแต่เพียงว่าเราควรจะทำอย่างไรแล้วก็ทำ แล้วหยุดความหวังเสีย นี่มันหวังอยู่เรื่อยกำลังทำอยู่มันก็หวังอยู่เรื่อย มันก็เกินไปมันก็เครียดแล้วไม่เท่าไรมันก็เป็นโรคประสาท แล้วมันก็จะต้องตายก็ได้ สอนให้เขารู้จักทำสมาธิบ้าง คือหยุดความหวังเสียเมื่อเราคิดออกแล้วว่าจะต้องเรียนหนังสือ จะต้องเรียนอะไร จะไปเป็นอะไรอย่างไร และเมื่อคิดออกแล้วมีจุดหมายปลายทางแล้ว หยุดความหวังเสีย ถ้าหวัง หวังหวัง มันก็เพิ่มความหวังเพิ่มความกลัวจะไม่ได้ตามที่หวัง เพิ่มอะไรมากเข้ามันก็จะเป็นโรคประสาท นี่เขาสามารถหยุดได้ด้วยการทำสมาธิง่ายๆอย่างที่มีอยู่ในขั้นต้นนี่ หยุดความหวังเสียแล้วก็ทำไปก็แล้วกัน ทำไป มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกระทำ ด้วยสติปัญญา อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ซึ่งคนโตๆก็เหมือนกันแหละ ถ้ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวังก็ต้องเป็นโรคประสาทแน่ เมื่อมีความตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็หยุดความหวังบางอย่างนั้นเสียแล้วก็ทำไปๆๆ เดี๋ยวมันก็ได้ผลตามที่ต้องการ ถ้าอยู่ด้วยความหวัง หวังๆเดี๋ยวก็ได้ไปนอนโรงพยาบาลประสาทหรือโรคจิต นี่ช่วยหน่อยว่าให้เด็กๆเขารู้จักป้องกันตัวเอง อย่าต้องเป็นโรคประสาทเพราะมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ให้เขาสามารถปฎิบัติการศึกษาของเขาจนได้รับประโยชน์เต็มตามนั้น โดยไม่ต้องเป็นโรคประสาทหรือไม่ต้องเป็นโรคใดๆ มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง
ยุคหนึ่งมันคงสอนกันผิดๆว่าชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวังหรือพูดเพ้อๆตามพวกฝรั่งที่มักจะพูดอย่างนั้นว่า ชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง แต่พระพุทธเจ้าจะไม่พูดว่าอย่างนั้น มันต้องมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา ถ้าอยู่ด้วยความหวังมันเป็นกิเลสเป็นตัณหามันทรมาน ความหวังเป็นเหตุให้เกิดทุกข์อย่าเอากับมัน เพราะว่าต้องการอย่างไรยุติแล้วก็ทำทำๆ อย่าเป็นแม่ไก่โง่ นี่คำพูดในภาษาบาลีอีกคำหนึ่งว่า " อย่าเป็นแม่ไก่โง่" แม่ไก่โง่หมายความว่ามันฟักไข่ดีอยู่แล้วๆ แต่มันก็คิดว่าลูกไก่จงออกมาๆๆ แม่ไก่โง่ มันฟักไข่ดีอยู่แล้วลูกไก่มันออกมาเอง ถ้ามันไปหวังว่าลูกไก่จงออกมาๆมันก็เป็นแม่ไก่โง่ งั้นเราไม่ต้องหวังตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้วก็ทำอย่างนั้นแล้วก็หยุดความหวังเสีย พอถึงทำไปๆ ทำไปด้วยสติปัญญา เรียกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาไม่เท่าไรก็ได้รับผลสมตามความปรารถนา เหมือนกับชาวนาถ้าทำนาดีแล้วไม่ต้องมีความหวังหรอก ข้าวมันก็ออกรวง ไม่ต้องว่าข้าวจงออกรวงมาๆเป็นชาวนาบ้าเหมือนกับแม่ไก่บ้า แต่คนก็เหมือนดูจะเป็นอย่างนั้นกันมาก ไปซื้อล็อตเตอรี่กันแล้วก็นอนหวังกันว่าถูกล็อตเตอรี่ๆ เป็นคนบ้า ซื้อมาแล้วก็เก็บไว้ก็ได้ ถึงวันออกสลากก็ไปตรวจดูซิว่าถูกหรือไม่ถูก ไม่ถูกก็แล้วกันอย่ามานอนหวังถูกล็อตเตอรี่ๆ เป็นแม่ไก่บ้าเป็นชาวนาบ้าเป็นซื้อล็อตเตอรี่บ้า
นั่นล่ะชีวิตที่อยู่ด้วยความหวัง มันทรมานตลอดเวลา เราจงช่วยลูกเด็กๆของเราในส่วนนี้ด้วย อย่าให้ลูกเด็กๆของเราเป็นโรคประสาทกันมากขึ้นๆ นี่วิธีที่จะรอดอยู่มีผลดีคือว่ามีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง อยู่ด้วยการทำอย่างนี้ก็เรียกว่าเดินตามอริยมรรคของพระพุทธเจ้า มีความเข้าใจถูกต้องมีความประสงค์ถูกต้องพูดจาถูกต้องทำการงานถูกต้องดำรงชีวิตถูกต้องพากเพียรถูกต้อง มีสติถูกต้องมีสมาธิถูกต้อง อยู่กันอย่างนั้นน่ะเรียกว่าถูกต้อง อย่าอยู่ด้วยความหวัง นี่เราไม่เอาไอ้หลักของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ มาใช้ก็เลยเป็นโรคประสาทกันเสียหมด พยายามศึกษาให้มากเรื่องสัมมาทิฏฐิ ที่เกี่ยวกับอิทัปปัจจยตา เพราะอย่างนี้มีสิ่งนี้จึงมีๆ เพราะอย่างนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี ให้มากทำอย่างนั้นให้มากแล้วปฏิบัติ มันก็ถูกไปหมด ผลก็เกิดขึ้นตามที่เราต้องการที่เรียกว่าเดินอยู่ใน อัฏฐังคิกมรรค (นาทีที่ 1:00:58) เป็นที่น่าเศร้าใจที่ว่าในประเทศเราเป็นเมืองพุทธ แต่ก็ไม่ใช้วิธีของชาวพุทธไม่ใช้วิธีของพระพุทธเจ้า คือการเป็นอยู่ด้วยสติปัญญา ไปอยู่ด้วยความหวัง ความทะเยอทะยาน ความหิวอะไรตลอดกาล แล้วก็ไม่เคยทำอะไรชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่เสียหายหมดไม่มีความเป็นชาวพุทธเลย เราจงอยู่ชนิดที่มีการศึกษาถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรมะ มันมุ่งหมายอย่างเดียวกันคืออกมาจากความทุกข์ ออกมาจากความทุกข์ได้ก็เป็นความถูกต้อง เรียกกันตามแบบภาษาธรรมดาภาษาวิทยาศาสตร์ว่า อย่าหลงยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวกูเรื่องของกู ความคิดเรื่องตัวกูของกูเกิดเมื่อไรก็เป็นความทุกข์เมื่อนั้นทรมานใจเมื่อนั้น อย่าเอาอะไรมาเป็นของกูเพราะมันเป็นของธรรมชาติ คนโบราณชาวพุทธโบราณเขารู้ดีเขาไม่กล้าเอาอะไรมาเป็นตัวกูของกู เป็นของธรรมชาติไปตามธรรมชาติ ปฏิบัติกันให้ถูกต้อง สงเคราะห์ให้กันกับกฏของธรรมชาติ แล้วก็มีชีวิตเยือกเย็นเป็นนิพพาน เรื่องตัวกูของกูฟังแล้วมันหยาบคายแต่มันเป็นความจริงที่สุดของธรรมะ มันเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นของของตนตามธรรมดาเป็นอย่างนั้น เพราะมันโกรธจัดหนักเข้ามันก็เป็นตัวกูของกู เป็นคำที่ว่ากิเลสมันเดือดเต็มที่ ตัวกูของกูน่ะเป็นข้าศึกแก่ชีวิตจิตใจนั้นเอง ชีวิตอย่าให้มีความหมายแห่งตัวกูของกู มีแแต่ธรรมะคือสติปัญญารู้จักหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ตัวกูของกูน่ะควรฆ่ามันเสีย ฟังแล้วน่าตกใจ ไอ้ตัวกูของกูน่ะรีบฆ่ามันเสียเทอญ ถ้าไม่ฆ่าเสียมันจะทำลายชีวิตนี้ให้แหลกลาญ ตกนรกตลอดเวลาไม่มีความสุขสงบเลย ตัวกูของกูมันเกิดมาด้วยอวิชชา มันปล้นเอาของธรรมชาติมาเป็นของกู มันเป็นนักปล้นมันเป็นผู้ประพฤติเลวร้ายที่สุด อย่ามีการยึดถือตัวกูของกู อย่าเห็นแก่ตน และจิตนี้ก็จะสงบ
การศึกษาทั้งหมดในที่สุดก็เพื่อถึงจุดนี้ จุดที่ว่าไม่มีความหลงเป็นตัวกูของกู อยู่อย่างปกติสุขเห็นธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงเป็นธรรมชาติเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ มีหน้าที่ประพฤติปฎิบัติให้สงเคราะห์ให้กับกฏของธรรมชาติแล้วก็อยู่กันอย่างสงบเย็น นี่เรียกว่าวิธีที่เราจะได้รับผลของการศึกษา เป็นอันว่าอาตมาได้พูดกับท่านทั้งหลายได้ครบแล้วทั้ง 4 เรื่องว่าการศึกษาคืออะไร มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันจะมีผลในที่สุดอย่างไร และจะสำเร็จประโยชน์ตามวิธีนั้นได้อย่างไร ศึกษาเท่าที่ควรจะศึกษาไม่ต้องมากเกินไป บางคนศึกษามากเกินไป จนไม่ได้รับประโยชน์อะไรเพราะไปมัวแต่ศึกษาเรื่องมากเกินไป ศึกษาพอดีเท่าที่จะปฏิบัติได้ แล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างถูกทางของพระธรรม ทุกคนก็หมดความทุกข์ เราจะหมดความทุกข์คนเดียวไม่ได้อย่าอวดดี เราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เราจะต้องให้ทุกคนในโลกหลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยกัน และข้อนั้นเป็นพระพุทธประสงค์ อาตมาขอย้ำอีกทีว่านี่เป็นพระพุทธประสงค์ให้ช่วยกันทำให้ธรรมะนี้มีอยู่ในโลกเพื่อประโยชน์แก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ งั้นครูก็มีโอกาสทำบุญกุศลอย่างสูงสุดตามพระพุทธประสงค์ด้วยเหมือนกัน
ในที่สุดนี้อาตมาขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่ง ในการมาของท่านทั้งหลายว่าท่านทั้งหลายได้มาสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ อาตมาขออนุโมทนาคือยินดีที่จะได้พบบุคคลผู้มีการงานอันมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน คือทำประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์สมตามพระพุทธประสงค์ ขอให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน อยู่เป็นสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ อาตมาขอยุติการบรรยาย