แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ในการกระทำนี้ในวันนี้ แม้ว่าเธอจะบวชตามธรรมเนียม ก็ขอให้ได้รับประโยชน์เต็มตามความหมาย ได้ประโยชน์แต่ตามธรรมเนียมนั้นมันไม่คุ้มค่า แล้วบางทีก็ไม่มีประโยชน์อะไรด้วย ฉะนั้นต้องให้ได้ประโยชน์จริง ตรง ตามความมุ่งหมายของการบวช บวชเป็นพระโดยวินัยวิธี เดี๋ยวก็เสร็จเป็นพระตามวินัย แล้วก็ยังจะต้องเป็นพระต่อไปตามธรรมะ นี่ไม่มีที่สิ้นสุด จะต้องปฏิบัติเรื่อยไปๆ เป็นพระอย่างวินัยเดี๋ยวก็เสร็จ แต่ว่าเป็นพระตามธรรมะนี่มันจบต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ ทีนี้เรามันบวชตามประเพณี แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอให้ได้รับประโยชน์ทีละนิดที่แท้จริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นเธอทั้งหลายต้องตั้งใจกระทำโดยกำลังกาย กำลังใจทั้งหมดให้เต็มที่ ในการที่จะบวชจริง แล้วก็เรียนจริง แล้วก็ปฏิบัติจริง แล้วก็ได้ผลจริง แล้วแถมสอนผู้อื่นต่อไปให้จริงอีกด้วยก็จะดีที่สุด ขอให้จำ กำหนดในใจไว้แต่วันนี้ว่าเราจะบวชจริง จะเรียนจริง จะปฏิบัติจริง จะได้รับผลจริง แล้วสืบอายุพระศาสนาต่อไปจริงๆ ถ้าทำอย่างนี้ก็เรียกว่าได้ผลคุ้มค่าและเป็นเรื่องทำจริง ไม่ใช่ทำเล่นแต่พอเป็นพิธีเหมือนกับคนบ้า
ทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่า “บวชจริง” บวชจริง เมื่อตะกี้น่ะขอบรรพชา คำว่า “บวช” นั่นมันมาจากคำว่า “บรรพชา” ปะพะชะ ปะวะชะ ก็มาเป็นภาษาไทยว่า บอวอชอ ก็ว่า บวช คำว่าบวชในภาษาไทยกับคำว่าบรรพชา ในภาษาบาลีนั้นเป็นคำเดียวกัน ที่ให้จริง บวชจริง ก็ปฏิบัติให้ตรงตามความหมายของคำว่า “ปะพะชา” คำนี้ แปลว่า ไปหมด หรือ เว้นหมด ปะว่าหมด ว่าชะว่าไป ว่าเว้น ปะวะชะว่าไปหมด ว่าเว้นหมด คำว่าเว้นหมด ไปหมดนี่มันเป็นคำเดียวกันได้ แต่ว่ามันก็แยกกันก็ได้ ถ้าไปหมด ขอให้ไปหมดจากการเป็นฆราวาส ระหว่างที่บวชอยู่นี่ขออย่าให้มีความเป็นฆราวาสเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว ขอให้ตั้งใจอย่างนั้น ไปหมดจากความเป็นฆราวาสอย่าให้ฆราวาสเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว แล้วก็เว้นหมด ก็เว้นสิกขาบวชทุกข้อที่พระบวชแล้วจะต้องเว้น ขอให้แน่ใจว่าเราจะไม่มีอะไร ไม่มีการกระทำ ไม่มีการพูด ไม่มีการคิด ไม่มีอะไรอย่างฆราวาสอีกต่อไป ไม่นุ่งห่มอย่างฆราวาส ไม่กินอยู่อย่างฆราวาส ไม่แสดงอากัปกิริยาอย่างฆราวาส ไม่เล่นหัวอย่างฆราวาส แม้แต่ว่านอนหลับก็จะไม่ฝันอย่างฆราวาส กลัวมันจะไม่จริง นอนหลับแล้วมันลืมไปมันเป็นฆราวาส ขอให้ตั้งใจจริงๆว่าแม้แต่นอนหลับก็จะไม่ฝันอย่างฆราวาส นี่ไปหมดจากความเป็นฆราวาส ฉะนั้นอย่าไปคิดเลย เล่นเรื่องหัว เรื่องสุขสนุกสนาน เรื่องหิว เรื่องกระหาย เรื่องอะไรอย่างนี้ ก็ให้มันหมด หมดไป แล้วสิกขาบททั้งหลายของบรรพชิตจะมีอย่างไรก็ไปศึกษาๆ แล้วก็ปฏิบัติให้สุดความสามารถ ให้สุดความสามารถ แม้ว่าจะต้องอดทนจนน้ำตาไหลก็ทนได้ แต่โบราณเขามีคำพูดกันมาแล้ว ว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา คนๆ นี้มันไม่ยอมแพ้ มันจะปฏิบัติให้ถูกต้องๆๆ มันต้องอดกลั้นอดทนจนน้ำตาไหลอยู่ตลอดไป เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตามันก็ยังทำได้ ฉะนั้นขอให้เรามีความมุ่งหมายว่าจะทำอย่างนั้น จะไม่ให้เสียหาย ไม่ให้เลวทราม ไม่ให้การประพฤติปฏิบัตินี่ เพื่อให้มันบวชจริงอย่างนี้ แล้วก็เรียนจริง ทีนี้ค่อยพูดกันนะ มีอะไรให้เรียนก็เรียน ก็เรียนจริงๆ ครั้นเข้าใจแล้ว เรียนแล้ว ทำความเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติจริงตามที่เข้าใจ ให้ปรากฏเป็นผลจริงๆ คือได้รับผล ได้รับผลจริงๆ มันก็สามารถเป็นตัวอย่างสั่งสอนสืบไปจริงๆ นี่เลยมันจริงหมดอย่างที่ว่า บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้รับผลจริง สืบศาสนาต่อๆ ไปจริง จงรู้ตัวเดี๋ยวนี้ว่าเรากำลังจะทำอย่างนี้ ด้วยความรู้สึกที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ละเมอๆ ใจลอยอย่างนี้ไม่ได้ รับผิดชอบสิ่งที่กำลังจะกระทำ รับผิดชอบสิ่งที่ได้ออกปากขอไปแล้วว่าขอบรรพชา บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ขอขยายใจความว่าได้ผลคุ้มค่า ตัวผู้บวชเองก็ได้ที่สุด มากที่สุด ญาติทั้งหลายเหล่าโน้น บิดามารดาเป็นต้นก็ได้ ได้รับผลเป็นที่สุด เพื่อนมนุษย์ หรือโลกทั้งโลกก็พลอยได้ด้วย เราขอให้เป็น ๓ ฝ่ายว่าผู้บวชก็ต้องได้เต็มที่ ญาติทั้งหลายที่มีบุญคุณได้เต็มที่ แล้วเพื่อนมนุษย์ทั้งโลกก็พลอยได้ด้วย ข้อที่ ๑ บวชเพื่อจะขัดเกลาตัวเอง ได้รับประโยชน์ตัวเอง เรียกว่าบวชเพื่อขัดเกลาตัวเอง ข้อที่ ๒ ก็บวชทดแทนพระคุณบิดามารดา ญาติทั้งหลายผู้มีพระคุณแก่เรา ไม่มีการตอบแทนพระคุณไหนจะดีไปกว่าบวช เพราะว่าการบวชนั้นมันมีความหมายทางจิตใจ เมื่อลูกบวช พ่อแม่น่ะมันมีจิตใจเป็นธรรมะ เป็นศาสนามากขึ้น ไม่เหมือนกับเมื่อลูกไม่บวช พอเห็นลูกบวชก็ว่าลูกจะชักจูงจิตใจของบิดามารดาให้พลอยเข้ามาหาธรรมะ ใกล้ชิดธรรมะ อย่างน้อยก็มาวัดมาวามากขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างนี้เขาเรียกว่าบวชทดแทนพระคุณบิดามารดา ให้บิดามารดามีศรัทธามากขึ้นกว่าแต่ก่อน ให้บิดามารดามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มากขึ้นกว่าแต่ก่อน นั่นน่ะๆ คือแทนคุณ บวชโปรดบิดามารดา ทดแทนพระคุณบิดามารดา แล้วประโยชน์ที่ว่าให้เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกได้รับด้วยนี่เป็นพระพุทธประสงค์ อย่าโง่ไปว่ากูบวชๆๆ กูไม่รับผิดชอบอะไร แต่ว่าให้ทั้งโลกพลอยได้รับประโยชน์ด้วยนี่เป็นพระพุทธประสงค์ตรัสไว้มากมายหลายแห่ง ให้พุทธบริษัทพยายามกระทำให้คนทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์รู้จักธรรมะ เข้าใจธรรมะ มีการประพฤติกระทำที่จะทำให้รอดได้ นี่เป็นพุทธประสงค์ ของการที่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก เพื่อทำให้โลกนี้มันรู้ธรรมะ อย่างนี้เรียกว่าเราทำประโยชน์แก่คนทั้งโลกด้วยการสืบอายุพระศาสนา เราจึงต้องบวชจริง เรียนจริง ทำจริง ปฏิบัติจริง มันจึงจะเป็นการสืบอายุพระศาสนา จึงตั้งใจแน่นอน หมายมั่นว่าจะอย่างน้อยให้ได้ประโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ ตัวผู้บวชก็ได้ ญาติโยมทั้งหลายก็ได้ เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกก็ได้ หรือพระศาสนานั่นแหละก็ได้ พระศาสนามีการสืบอายุ ถ้ามองเห็นประโยชน์ทั้ง ๓ อย่างนี้อยู่มันจะอดทนได้ มันจะเสียสละได้ มันจะอดทนได้ แม้ว่ามันจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา แต่ถ้ามันคอยมองอานิสงส์ทั้ง ๓ อยู่นี้แล้วมันจะทนได้ งั้นขอให้สนใจ ให้ได้รับประโยชน์เต็มตามนี้
ทีนี้ก็ว่าเราจะห่มผ้ากาสายะ ผ้ากาสายะ ผ้าไตรนี่เป็นสัญลักษณ์ของพระอรหันต์ ถือกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของพระอรหันต์ เป็นเครื่องแบบของพระอรหันต์ จะเอาเข้ามาห่มกับเรานี่ต้องรับผิดชอบ ต้องรับผิดชอบว่าเรามันมีคุณสมบัติคุ้มค่ากันไหมที่จะเอาสัญลักษณ์ของพระอรหันต์มาห่มเข้าที่เนื้อที่ตัว ดังนั้นขอให้เตรียมๆ จิตใจเดี๋ยวนี้ เตรียมจิตใจเดี๋ยวนี้ ให้มีความเหมาะสมที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ ถ้ามันยังเคยโง่ด้วยอะไรอยู่ก็เอาออกไปเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขาถือกันเป็นหลักประจำว่าเคยโง่ในเรื่องสวยเรื่องงาม ความพอใจในเรื่องสวยเรื่องงามนี้มันเป็นปกติของคนหนุ่มคนสาว แต่มันจะเอาเข้ามาในเครื่องแบบนี้แล้วมานุ่งห่มเครื่องแบบของพระนี้มันไม่ได้ ฉะนั้นจะต้องรู้จักซัดออกไปคือสลัดทิ้งออกไป เลิกเป็นคนบ้าสวยบ้างาม พูดกันก็คืออย่างนี้ จิตใจสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่บ้าสวยบ้างาม อย่างน้อยมันก็มีจิตใจเหมาะสมที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ เพราะฉะนั้นเธอจงคิดทบทวนดูความโง่แต่หนหลัง เคยโง่มากี่มากน้อยในเรื่องสวยเรื่องงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม มันเคยหลงใหลในความสวยความงามกี่มากน้อย สิ่งนั้นอย่าให้ติดมาเลย อย่าให้เหลืออยู่เดี๋ยวนี้เลย ให้มันเป็นจิตใจที่เกลี้ยงเกลาจากความโง่เขลาอย่างนั้น อันนี้เป็นข้อแรกที่เขาต้องการให้จัดการ ความโง่เรื่องสวยเรื่องงามเกี่ยวกับทางเพศตรงกันข้ามเอาออกไปก่อน เรื่องอื่นค่อยเอาออกไปตามลำดับ เธอจงพิจารณาที่เราเคยโง่ เคยหลงเรื่องสวยเรื่องงาม กี่อย่าง กี่สิบอย่าง เอามาใคร่ครวญให้เห็นเป็นความโง่ของเรา แล้วเกลียดไม่อยากจะมีอีกต่อไป สลัดออกไปได้ ที่ให้สอนกันในเวลาอันสั้นให้เอามาสัก ๕ อย่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปเอามาศึกษาพิจารณาให้มากเป็นพิเศษกว่าที่แล้วมา ให้เห็นว่าที่เราเคยหลงว่างามนั้นน่ะมันเป็นความโง่ เส้นผมเรียกว่าเกศา มีความปฏิกูลน่าเกลียด โดยรูปร่างก็น่าเกลียด โดยสีสันวรรณะก็น่าเกลียด โดยที่เกิดที่งอกมันก็น่าเกลียด โดยหน้าที่การงานอยู่บนหัวสำหรับรับฝุ่นละอองมันก็น่าเกลียด มันน่าเกลียดไปทุกอย่าง แต่ก็ยังไปโง่ให้เห็นเป็นสวยเป็นงาม ประดับประดาตกแต่งกันได้ ความโง่นี้ต้องออกไป จิตใจจะเหมาะสมจะนุ่งห่มผ้ากาสายะ ขนมีอยู่ทั่วทั้งทั่วตัวเรียกว่าเกศา พิจารณาอย่างเดียวกับผม อย่าเห็นว่าทั้งตัวที่เต็มไปด้วยขนมีความสวยความงาม ความหล่อเหลา เป็นต้น แล้วก็เล็บ รูปร่างก็น่าเกลียด สีสันก็น่าเกลียดเหมือนกระดูกชนิดหนึ่ง ที่เกิดที่งอกก็น่าเกลียด หน้าที่การงานสำหรับควัก สำหรับเกา สำหรับอะไรก็น่าเกลียด ทำไมจะต้องแต่งเล็บ ทำไมจะต้องทำเล็บให้สวยไว้หลอกกัน นี่ก็ต้องเอาออกไป เอาฟันนี่ สกปรก น่าเกลียดอยู่ตามธรรมชาติ รูปร่างน่าเกลียด สีสันน่าเกลียด กลิ่นก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกของมันก็น่าเกลียด หน้าที่การงานสำหรับบดสำหรับเคี้ยวมันก็น่าเกลียด มันมีแต่น่าเกลียด ก็เลิกโง่กันทีว่าที่จะเรื่องฟันสวย จะให้ทำฟันให้สวยนั้นไม่มี ผิวหนัง ทีนี้ก็ผิวหนัง เป็นที่หุ้มรอบตัว เป็นที่ประดับประดาตกแต่ง ทำให้หลงใหลได้มาก ให้มันสวยไปทั้งตัว แต่มันยังมีที่ร้ายกาจไปกว่านั้น ผิวหนังทั่วทั้งตัวมันมีระบบประสาทรู้สึก ทำให้เกิดกิเลสโดยเฉพาะทางเพศนั้นได้โดยง่าย ยิ่งไปหลงไปบำรุงบำเรอกับมันเข้าด้วยมันยิ่งเป็นมากเพราะฉะนั้นก็เลิกกันๆ ไม่บูชาให้มันเป็นของสวยของงามอีกต่อไป เธอฟังให้เข้าใจ แล้วมีความรู้สึกตามนี้ด้วย อย่าฟังเฉยๆ แล้วให้มีจิตใจเปลี่ยนไป จิตใจเปลี่ยนไป จิตใจเปลี่ยนไป ตามคำพูดนี้ นั่นแหละเรียกว่ามันทำให้มีความเหมาะสมที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ เมื่อไม่โง่ไม่หลงในสิ่งหลอกลวงเหล่านี้แล้วก็มีจิตใจพุ่งตรงไปยังพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้รู้นะ ยอมรับรู้เลย ถือแน่นแฟ้นว่าเราบวชนี้อุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้บวชอุทิศใคร ไอ้หนุ่มบางคนมันจะบวชอุทิศแม่ยายพ่อตาในอนาคตก็ชั่งหัวมัน แต่ว่าเรามันบวชอุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจิตใจจดจ่ออยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้มันได้ ให้มันแน่ พระพุทธมีความสะอาด สว่าง สงบ เป็นอารมณ์ เป็นความหมาย พระธรรมก็มีความสะอาด สว่าง สงบ เป็นความหมาย พระสงฆ์ก็มีอย่างเดียวกัน สะอาด สว่างและสงบ เราจงทำใจของเราให้สะอาด ให้สว่าง ให้สงบ แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็จะมาอยู่ในเรา ในจิตใจของเราเต็มไปด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นน่ะคือการบวชที่สำเร็จประโยชน์โดยแท้จริง เธอทำจิตใจให้สะอาดจากความโง่ ความหลงเรื่องสวยเรื่องงามแล้ว มีความเกลี้ยงเกลาในจิตใจ เพ่งเล็งต่อความสะอาดแห่งจิตใจ สว่างไสว แจ่มแจ้ง รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ให้รู้แจ้งสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ความหมายของพระพุทธ แล้วก็สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีอะไรมากรบกวน มีจิตใจชนิดนี้เมื่อไรก็เป็นการกล่าวได้ว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในจิตใจเมื่อนั้น ขอให้เธอทำจิตใจอย่างนี้ สะอาด เกลี้ยงจากความโง่เขลาเรื่องสวยเรื่องงาม แล้วมีคุณธรรมของพระรัตนตรัย คือ สะอาด สว่าง สงบ อยู่แทน ก็ได้ชื่อว่าเธอเป็นผู้เหมาะสมแล้วที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ มันก็มีความถูกต้องด้วยกันทุกฝ่าย มีเหตุผลแล้วที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ
เอาล่ะ ต้องทำตามธรรมเนียมอีกทีหนึ่ง ถือว่ารับสัจจะปัญจกกรรมฐาน เดี๋ยวก่อน ลืมเสียแล้ว โดยภาษาบาลี ใจรับสัจจะปัญจกกรรมฐานโดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ทีละคนละนะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่โดยลำดับ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา นี่เรียกว่าทวนลำดับ จำได้หรือยัง ถ้าจำได้ลองว่าดู (ให้ผู้ที่จะบรรพชาลองท่อง ๓ รอบเพื่อทบทวนความจำ) เอ้าเป็นอันว่าได้มีการศึกษาเข้าใจและจำได้ มีความเหมาะสมที่จะบรรพชา จึงมีความยินดีที่จะทำการบรรพชาให้เธอ ด้วยการสวมผ้ากาสายะชิ้นแรกนี้ให้เป็นเครื่องหมาย ขอให้เธอมีความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนา สมตามความมุ่งหมายของบรรพชาทุกๆ ประการ (ผู้ที่จะบรรพชาตอบรับ)
จงตั้งใจรับสัจจะปัญจกกรรมฐานโดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เรียกว่าเรียงไปตามลำดับ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ถ้าจำได้ลองว่าดู (ให้ผู้ที่จะบรรพชาลองท่องตาม ๓ รอบเพื่อทบทวนความจำ) ดีคือจำได้ทั้งตามลำดับและทวนลำดับ แสดงว่ามีสติสัมปชัญญะอยู่ ก็มีความเหมาะสม มีเหตุผลที่จะดำเนินกิจกรรมของการบรรพชาต่อไป เราก็มีความพอใจที่จะทำการบรรพชาให้เธอ ด้วยการสวมผ้ากาสายะชิ้นแรกนี้เป็นเครื่องหมาย ขอให้มีความเจริญงอกงามในบรรพชา ในพระพุทธศาสนา สมตามความมุ่งหมายทุกประการ (ผู้ที่จะบรรพชาตอบรับ) (ตั้งแต่นาทีที่ 26:00 – 30:52 สวดมนต์รับนิสสัย)
บัดนี้ การถือนิสสัยได้ทำแล้ว เป็นผู้มีนิสสัยที่ถือแล้ว ต่างคนต่างถือไม่ได้ผูกพันรวมกันนะ เรื่องนิสสัยคือไม่ต้องรับผิดชอบแทนกัน แต่ละคนก็รับผิดชอบของตนเอง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง อย่าให้บกพร่อง ความหมายของการถือนิสสัยก็คือ การทำให้มีผู้รับผิดชอบ ดูแล ปกครอง ถ้าไม่มีการถือนิสสัยนี่ ในอุปัชฌายะองค์ใดองค์หนึ่งนั้น พระสงฆ์ทั้งหลายจะไม่ให้อุปสมบทแก่คนนั้น ถ้าพระสงฆ์เหล่านั้นรู้วินัย มีความรู้ รู้ว่าจะไม่รับภิกษุที่ไม่มีนิสสัยเข้ามาเป็นภิกษุ เข้ามาเป็นภิกษุ จะไม่รับเจ้านาคที่ไม่มีนิสสัยเข้ามาเป็นภิกษุ ดังนั้นเราจึงต้องมีการถือนิสสัยโดยการกระทำอย่างที่กล่าวเมื่อตะกี้ มันมีสิ่งที่ต้องรู้อยู่หน่อยหนึ่งคือว่าต่อไปนี้มันได้เกิดความผูกพันขึ้นแล้ว ความผูกพันในข้อที่ว่า อุปัชฌายะจะต้องเอาใจใส่ในอุปสัมปทาเปกข์ อุปสัมปทาเปกข์จะต้องเอาใจใส่ในอุปัชฌายะ มีความผูกพันให้เกิดการเอาใจใส่ ทำหน้าที่ต่อกันอย่าให้บกพร่องได้ อุปัชฌายะก็ควบคุมเธออย่าให้ทำผิดได้ เธอก็เอาใจใส่อุปัชฌายะในฐานะที่ได้รับความสะดวกในการที่จะดูแลปกครองเธอหรือให้ความสะดวกสบายบ้าง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าถือนิสสัย คือให้เกิดความผูกพันกันกับพระเถระองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแล ให้ความเป็นภิกษุของเธอถูกต้องเรียบร้อยตลอดไป นี่ขอให้รู้ว่าถือนิสสัยคืออย่างนี้ นี่การถือนิสสัยก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นไปแล้ว เป็นผู้มีนิสสัยที่ถือแล้ว มีความถูกต้องที่จะขออุปสมบทต่อไปแล้ว ทีนี้ก็มีการตั้งชื่อเป็นภาษาบาลี เพราะคำกล่าวทั้งหลายเป็นภาษาบาลี เราก็ต้องมีชื่อเป็นภาษาบาลี เพื่อจะได้ใช้สวดกรรมวาจา สามเณรศุภมิตร ก็มีชื่อตามภาษาบาลีว่า ศุภมิโต สามเณรอภิจัย ก็มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า อภิจโย ส่วนอุปัชฌาย์นั้นมีชื่อโดยภาษาบาลีว่า อินทปัญโญ ชื่อทั้ง ๓ นี้จะต้องระบุในกรรมวาจา เราคอยฟังพอได้ยินชื่อนั้นก็ได้รู้ว่าหมายถึงคนนั้น มันจึงเป็นเรื่องจริง เป็นลำดับไปไม่ละเมอๆ ว่าไม่รู้ว่าอะไรหมายถึงใครก็ไม่รู้ ทีนี้ก็จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อบอกบาตรจีวร