แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อ่า, การบรรยายครั้งนี้ อาตมาจะกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า หัวใจ อ่า, ของธรรมะ หรือหัวใจของพระพุทธศานา หรือจะเรียกเลยไปถึงว่าเป็นหัวใจของธรรมชาติ หัวใจของกฎของธรรมชาติ ก็ได้ นี่ก็เป็นหลักเกณฑ์ หรือคำกล่าว ชั้นที่เป็นหัวใจ คือ มีความสำคัญ มาก สำคัญจนว่า ถ้าใครไม่รู้คนนั้นจะลำบาก คือ ไม่สามารถจะถือเอาพระธรรม หรือถือเอาความจริง ของธรรมชาติ มาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องได้
ฉะนั้นทุกคนได้ยินได้ฟังมาแล้ว ว่าตามธรรมชาติ ฝ่ายธรรมดาสามัญนี้ เรียกว่า มันมีความ เปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี้เรียกว่า มันไม่เที่ยง การที่มันไม่เที่ยงนั้น น่าเกลียด เรียกว่า ความทุกข์ หรือเข้าไปยึดถือเอาแล้วมันก็จะเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น อ่า, ความที่เป็นของไม่เที่ยง และมันเป็นทุกข์นี้ เรียกว่า ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่ใช่เป็นตัวตนของมันร หรือไม่ใช่ตนของเรา เพราะมันมี มันมีกฎของมันเอง ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าเห็น ความไม่เที่ยง เออ, เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ ตามปัจจัย อยู่เรื่อย แล้วเรียกว่า เห็นหัวใจของธรรมะ เห็นหัวใจของธรรมชาติ ทั้งปวง อาการที่มันเป็นอย่างนั้น เราเรียกกันสั้น ๆ ตาม พระบาลี ที่ตรัสไว้ว่า ตถตา
ตถตา แปลว่า อย่างนั้นเอง อย่างนั้นเอง บางคนจะหัวเราะแล้วก็ได้ ที่ได้ยินได้ฟังว่า ไอ้หัวใจ ของธรรมะนั้น คือคำว่า เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ฟังดูเป็นของเล่น เป็นของพูดเล่น เด็ก ๆ ก็พูดได้ นี้ต้องเรียกว่า เด็ก ๆ ก็พูดได้ ยอมรับว่าเด็ก ๆ ก็พูดได้ เช่นนั่นเอง แต่แล้วคนแก่หัวหงอกก็ปฏิบัติไม่ได้ มันยากอยู่ที่ตรงนี้ต่างหาก ถ้ายอมว่าสิ่งทั้งปวงเช่นนั้นเอง รู้ว่าไม่มีไม่มีใครยอม ล้วนมีแต่คนที่จะ ดึง มาตามความต้องการของกู จงมามาเป็นตามความต้องการของกู ไม่ได้กูไม่ยอม กูก็ต่อสู้ กูก็ต่อสู้จนตัวตาย ไปเองก็มี ต่อสู้ไม่ได้ก็ยอมฆ่าตัวตายก็มี อะไร ๆ ต้องมาเป็นตาม ที่กูต้องการ เงินทองของกู บุตรภรรยา สามีของกู ทรัพย์สมบัติของกู เกียรติยศชื่อเสียงของกู การพ่ายแพ้ของกู การชนะของกู กำไรของกู ขาดทุนของกู ล้วนแต่มีความมุ่งหมาย อย่างใดอย่างหนึ่ง ว่ามันต้องเป็นไปตามที่กูต้องการ นี้คือ คนที่ไม่รู้จักเช่นนั้นเอง
เขาไม่ได้ทำตนให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง และเขาต้องการแต่จะให้ มันเป็นตัวกูเป็นของกูเสียเรื่อยไป แล้วมันจะทำให้ได้ที่ไหน และกฎของธรรมชาติ มันยอมให้แต่เพียงว่า เป็นเช่นนั้น เองตามกฎของธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไอ้ที่มันไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ ไม่ดับไปนั่นนะ มันสูงเกินไปจนคนธรรมดาเข้าไม่ถึง นั้นมันก็มีอยู่ ถ้าจิตอบรมดี จนเข้าถึงไอ้สิ่งที่ ไม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นมันก็หมดปัญหา แน่นอนจิตมันไม่ต้องการอะไร เมื่อมันไม่ต้องการอะไร มันก็ไม่มี อะไรที่จะต้องทำให้มาตรงความต้องการของกู เพราะว่ากูไม่มีความต้องการ แล้วจะมีอะไรที่จะ ต้องทำอะไรที่ตรงกับความต้องการของกู มันก็เลยไม่มีปัญหา ไม่ผิดหวัง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความ เดือดร้อน เรียกว่า อย่ามี ความโง่หลงว่าตัวกู และตัวกูต้องการอะไร ต้องการอะไรให้เป็นไปตามความ ต้องการ ของกู นี้เรียกว่า ระบบของความโง่ ของความหลง เกิดขึ้นแล้วก็มืด พอมืดก็สร้างกิเลส คือ ผิด ๆ
ความคิดความเข้าใจที่ผิด ๆ เราเรียกว่า กิเลส ผิดแล้วมันเรียบร้อยราบรื่นไม่ได้ มันก็ต้องเกะกะ ขัดขวางกัน ขัดแย้งกัน มันก็จะต้อง มีผลเป็นความทุกข์ เป็นความเร้าร้อน เราปุถุชนคนธรรมดา ไม่รู้จัก กฎเกณฑ์ข้อนี้ตามที่เป็นจริง ก็เลยขัดขวางโดยไม่รู้ตัว ขัดขวางกับกฎเกณฑ์อันนี้โดยไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ทะเลาะวิวาท กับธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้สึกตัว ธรรมชาตินั้นมันไม่เป็นอะไรได้หรอก มันไม่มี ความทุกข์ได้หรอก แต่เรานี่ที่ไปทะเลาะกับธรรมชาตินี่เจ็บปวดเหลือประมาณ เป็นทุกข์เหลือประมาณ เพราะไม่มีทางที่จะ เอาชนะธรรมชาติได้ จึงต้องทนทุกข์อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สอนให้ท่องกันไว้ ว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีการพลัดพรากจากของรักเป็นธรรมดา มีกรรมเป็น ของตน ต้องเป็นตามกรรมเป็นธรรมดา นี่ มันก็เหมือนกับสอนให้นกแก้วนกขุนทองว่า สวดมนต์กัน ทุกวันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าว่าอะไร เพราะว่าเรามัน ไปทำให้มีปัญหาขัดแย้ง กันขึ้นมากับธรรมชาติ จนเรียกว่า มีความ เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา มีความผิดหวังอยู่ตลอดเวลา เป็นไปตามกรรม รับผลกรรมอยู่ตลอด เวลา นี่เพราะว่าเรามันโง่ยึดถืออยู่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่านั่นมันเป็นการกระทำผิด ไปยึดเอาความเกิดเป็นของกู ความแก่เป็นของกู ความตายเป็นของกู ทำอะไร ๆ ก็ล้วนแต่เป็นของกู แล้วมันก็กัดเอา เพราะว่ามันไม่ อาจจะเป็นของใครได้ มันเป็นของธรรมชาติ
ฉะนั้นผู้ที่เห็นว่า มีการเกิด เจ็บ ตาย เป็นปัญหาอยู่ ก็ให้รู้เสียด้วยว่า มันมีทางที่จะแก้ปัญหานั้นได้ ถ้าเราได้ใช้วิธีการ ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ผู้ที่มีความเกิดเป็นธรรมดานั้นนะ จะพ้นจากความเกิดได้ ถ้าได้เราเป็นกัลยาณมิตร ผู้ที่มีความแก่เป็นธรรมดานั้น จะพ้นจากความแก่ได้ ถ้าได้เราเป็นกัลยาณมิตร ผู้ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเจ็บได้ ถ้าได้เราเป็นกัลยาณมิตร ผู้ที่มีความตายเป็นธรรมดานั้น ก็จะพ้นจากความตายได ้ถ้าได้เราเป็นกัลยาณมิตร ผู้ที่พลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้นนั้น จะไม่ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นนะ ถ้าได้เราเป็นกัลยาณมิตร หรือว่าผู้ที่ต้องเป็นไปตามกรรมนั้น จะไม่ต้องเป็นตามกรรม ถ้าได้เราเป็นกัลยาณมิตร
ข้อความเหล่านี้ใครเคยได้ยินบ้าง ใครเคยได้ฟังกระมัง เพราะว่าเขาไม่เอามาพูดกัน เขาเอามาพูด กันแต่ว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดาไม่พ้นความเกิด เรามีความแก่เป็นธรรมดาเราไม่พ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บเป็นธรรมดาไม่พ้นความเจ็บไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่พ้นความตายไปได้ ดูเหมือนจะเอามาพูดให้มันโง่เอง ไม่พูดเสียดีกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเพียงเท่านั้น ท่านสอนให้เห็น อย่างนั้นก่อน ว่ามีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา แล้วท่านสอนต่อไปว่า ถ้าได้อาศัยเราเป็น กัลยาณมิตรแล้ว ก็จะพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ธรรมดา นี้มันยากอยู่ที่ตรงนี้ เรายอมแพ้เสียว่า เราจะต้องมี ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ แล้วมันก็กลัดหนอง เป็นทุกข์ระทมอยู่ในใจ ไม่สามารถจะเอาความทุกข์ชนิดนี้ ออกไปเสียได้
ทำไมจึงมีคำพูดว่า พระอรหันต์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอ่ะ นั่นนะพระอรหันต์ได้อาศัย พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร แล้วท่านก็ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำไม อ่ะ, พระพุทรธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร ที่ตรงไหนอ่ะ, พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรที่มาบอก มาสอน มารู้ มาชี้แจ้ง มาเปิดเผยให้รู้ว่า มันไม่มีตัวกู มันไม่มีของกู มันไม่มีตัวกู มันมีแต่ธรรมชาติ มีแต่นามรูปที่เป็นไปตามธรรมชาติ มีแต่ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวกู ถ้ารู้อย่างนี้ มันก็ไม่มีความเกิดของกู ไม่มีความแก่ของกู ไม่มีความเจ็บ ของกู ไม่มีความตายของกู ไม่มีกรรมของกู นี่ นั้นล้วนแต่เป็นของธรรมชาติ
ถึงแม้ร่างกายนี้จะเกิด แก่ เจ็บ ตายก็ช่างหัวมันสิ ร่างกายมันจะเกิด แก่ เจ็บ ตายก็ช่างหัวมันสิ ให้มันเป็นของร่างกาย อย่าเอามาเป็นของกู พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรสุงสูด ตรงที่ท่านสอนให้รู้ว่า มันไม่มีตัวตน มันไม่มีของตน ร่างกายชีวิตจิตใจนี้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตน ไอ้ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนี้ ที่ไม่ใช่ของตนมัน ฉะนั้นจึงไม่มีตัวตนที่จะเป็นเจ้าของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระอรหันต์ท่านก็แก่ลงทุกวัน ร่างกายของท่าน พระอรหันต์นะร่างกายของท่านก็แก่ลงทุกวัน พระอรหันต์นั้นบางวันท่านก็เจ็บไข้ และในที่สุดร่างกายของท่านก็จะแตกตาย
แต่ท่านไม่มีความรู้สึกว่าความเกิดของเรา ความแก่ของ เรา ความเจ็บของเรา ความตายของเรา มันเป็นของธรรมชาติเหล่านั้น มันเป็นของรูป มันเป็นของนาม มันเป็นของขันธ์ ของธาตุ ของอายตนะ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตามกฏที่ว่า มันนมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีตัวฉันที่ไหน เราได้อาศัย พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร ได้รู้แจ่มแจ้งกระจ่างว่า ไม่มีตัวเรามันก็เลิกกัน ไม่มีปัญหาเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราไม่ได้ทำกรรมอะไรไว้ เพราะว่าไม่มีตัวเรา ถ้าร่างกายจิตใจด้วยความโง่ไม่ได้ทำอะไรเป็นกรรมชั่ว มันก็เป็นของร่างกายที่โง่ จิตใจที่โง่ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร เพราะไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวเรา และเราก็ไม่ได้รักอะไร ไม่ได้เกลียดอะไร ไม่ได้หวังอะไร เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนเพราะผิดหวัง เพราะว่าไม่มีตัวเราที่หวังอะไร โว้ย,
เรื่องมันก็มีเท่านี้
สรุปความว่าได้อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรแล้ว เราก็อยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะไม่มีเรา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ว่ามันไม่มีเรานี่ ความเป็นกัลยาณมิตร เป็นมิตรที่ประเสริฐสุดของพระพุทธเจ้า ก็อยู่ตรงที่ท่านมาสอนให้รู้ว่า มันไม่มีตัวเรา แล้วเรามันก็โง่เอง เรามันบรมโง่เอง เราไม่ยอมเข้าใจ เราไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้า ว่าไม่มีตัวเรา เราก็ยังคงมีตัวเราต่อไป ตามเดิม มันก็เลยไม่ต้อง ไม่ต้องพ้นจากทุกข์กัน
มีตัวกูเป็นที่มายา รับเอาความเกิด แก่ เจ็บ ตายที่เป็นมายามาเป็น ของกู แล้วก็มีความทุกข์อยู่ อย่างเป็นมายาด้วยกัน ฉะนั้นเรียกว่า มันเป็นมายาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อาการอย่างนั้นน่าเกลียดที่สุด เรียกว่า ความทุกข์ รู้ไว้ด้วยเถิดว่า คำว่า ทุกข์ ทุกข์ที่แปลว่า น่าเกลียดอย่างยิ่ง น่าเกลียดอย่างยิ่ง เพราะว่า มันขบกัดเจ็บปวด ทนทรมานอยู่ นี้เราอยู่ในสภาพที่น่าเกลียดอย่างยิ่งก็คือ เรามีความทุกข์จน ละอายแมว ละอายหมา ขออภัยนะพูดหยาบ ๆ อย่างนี้มันก็ฟังง่าย มันประหยัดดี แมวหมาไม่ได้เป็นทุกข์อย่างคน คนมีความทุกข์มากเกินไป อย่างน่าละอายแมว ละอายหมา เรื่องแมวเรื่องหมาไว้เป็นอาจารย์กันเสียบ้างสิ ไว้เตือนสติว่าอย่าทุกข์ให้มันมากไปกว่าแมวกว่าหมา
ที่นี้คือข้อที่ว่า ธรรมะ มีหัวใจ สรุปเป็นคำสั้น ๆ ว่า มันเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ของธรรมชาติ อย่าเอามาเป็นของกู อย่าเอามาเป็นตัวตนของตน อย่าเอามาเป็นตัวเราของเราเลย ให้มันเป็นเช่นนั้นเอง ของธรรมชาติอยู่ตลอดไป เรียกว่าท่านทั้งหลายเข้าถึงหัวของพระธรรมแล้ว พระธรรมก็คุ้มครองไว้ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เวลาก็หมดแล้ว อ่า, ขอยุติการบรรยายนี้ไว้เพียงเท่านี้