แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การพูดกันในครั้งนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะ คือ เรื่องของธรรมชาติ ธรรมะเป็นความจริงของธรรมชาติ เป็นธรรมชาติที่ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ตาม ธรรมชาติ โดยกฎของธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างขึ้นได้ ไม่มีใครบังคับได้ อ่า, ธรรมชาติมีกฎของธรรมชาติ เป็นผู้สร้างขึ้นแล้วก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ตายตัว เป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าจะแจกให้ละเอียดออกไปก็เรียกว่า มีอยู่ ๔ ความหมาย ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาตินั่นแหละ
ธรรมะ คือ ตัวกฎของธรรมชาติ ที่สิงอยู่ในธรรมชาติทั้งปวง ธรรมะ คือ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้อง ประพฤติปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ และประการสุดท้ายธรรมะก็คือ ผล ที่ทำให้เกิดขึ้นมา ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อมันเป็นธรรมชาติ มันก็เห็นได้ว่า ครอบงำทุกสิ่ง เพราะไม่มีอะไร เออ, ที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ท่านผู้ใดมีสติปัญญาอย่างไร ลองชี้ ให้ให้ดูสักทีว่า อะไร ๆ อะไรบ้างที่มันไม่ใช่ธรรมชาติ และไม่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่ง มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันจึงเป็นธรรมชาติ และอะไรบ้างที่มนุษย์รู้จัก กันอยู่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มนุษย์ก็รู้จักธรรมชาติเพียงเท่านี้ มันก็เรียกว่า รู้จักเพียงธรรมชาติครึ่งเดียว คือ ธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ส่วนธรรมชาติที่เหนือไปกว่านั้น คือ ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ ไม่ดับไป นี้ เออ, ไม่รู้จัก ก็เลยเป็นว่า รู้ธรรมชาติครึ่งเดียว ธรรมชาตินี่ครอบคลุมหมด ทั้งฝ่ายที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และการ และฝ่ายที่ ไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ฝ่ายที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่ทำให้เกิดหน้าที่ยุ่งยาก ลำบาก เหน็ดเหนื่อย ในการบริหาร ถ้ามันไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือ ไม่เปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ไม่มีหน้าที่ มันก็ไม่มีความ ยุ่งยาก ลำบากในการบริหาร
เดี๋ยวนี้จิตใจของมนุษย์ธรรมดานี่ รู้จักหรือเข้าถึงแต่ธรรมชาติที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ส่วนธรรมชาติที่ตรงกันข้ามนั้น ยังไม่เข้าถึงยังยากที่จะเข้าถึง มันเข้าถึงได้แต่มนุษย์ ที่ประพฤติปฏิบัติ จนถึงที่สุด แห่งหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ คือ พระอรหันต์แล้วเท่านั้นเอง ปุถุชนคนธรรมดา ยังต่อสู้ กันอยู่ตลอดเวลา กับสิ่งที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างที่เรียกว่า จะเป็นทุกข์ทรมานไป ดูเอาเองเถิด เรามีเรื่องบริหารมากมายเหลือเกิน กับสิ่งที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จนเป็นบ้าไปก็มี จนตายไปก็มี เพราะว่าต่อสู้ไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่รู้จักเรื่องของธรรมชาตินี้โดยสมบูรณ์
เราต้องมีความรู้ เรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผล จากหน้าที่ อย่างดี รู้อย่างดี ใช้เป็นหลักในการต่อสู้กับ ธรรมชาติ เพื่อการเป็นอยู่ โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ารู้วิธีมันก็เกือบจะไม่มีความยากลำบากอะไรนัก ถ้าไม่รู้วิธีมันยากลำบากตรงที่ มันไม่ถูกกับเรื่อง มันไม่ถูกกับเรื่องมันก็เกิดผลตรงกันข้าม เรื่อยไป ไม่ประสบความสำเร็จ
เรารู้วิธีก็หมายความว่า เราศึกษาธรรมชาติ จนรู้ว่ามันมีกฎเกณฑ์ของมันอย่างไร แล้วประพฤติ ให้ถูกกฎเกณฑ์ของมัน เช่นว่า เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีเรื่องของมันอย่างไร เราต้องประพฤติ ให้ถูกต้อง จะต้องควบคุมมันให้ได้ ให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง เรียกว่า ให้มันมีความถูกต้อง แล้วเราก็ไม่ต้อง เดือดร้อนลำบาก เพราะการที่เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอเราทำผิดเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผลก็ ออกมา เป็นกิเลสทั้งนั้นเลย เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเป็นกิเลสชื่ออย่างอื่น ล้วนแต่เป็น ไฟ เออ, เผาให้ร้อน ไปเสียทั้งนั้น
ถ้าใครมีความร้อนใจอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ แล้วกก็ดูให้ดีเถิด จะเห็นว่าท่านได้ทำผิดเข้าแล้วอย่างใด อย่างหนึ่ง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วโดยมากมันก็เป็นไปทางใจ เพราะทางใจนี้ มันง่าย มันเป็นไปได้ง่าย เป็นไปได้เร็ว เป็นไปไอ้กว้างขวาง อ่า, เป็นไปได้ในที่ทุกแห่ง ทางตาถ้ามันมืด ตาเราไม่เห็น ก็ไม่มีเรื่องอะไร กับทางใจแม้มืด ๆ ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มันก็เกิดคิดได้ โดยความจำสัญญา มีความจำเรื่องต่าง ๆ ไว้ได้ เอามาเป็นอารมณ์ใหม่ มันก็มีอารมณ์ทางใจมากเหลือเกิน เราคิดไม่ถูก จิตก็เดิน ไปไม่ถูก ก็เดินไปผิด ก็เดินไปผิด จนเกิดความรู้สึกที่ผิด ๆ อ่า, มีการคิดผิด มันก็มี เออ, ผลของความผิด คือ กิเลส โง่ไปรักเข้าก็มี ไปเกลียดเข้าก็มี ไปโกรธเข้าก็มี ไปกลัวเข้าก็มี วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงกันไปตามเรื่อง นี่เรียกว่า มันผิดแล้ว
ฉะนั้นเรา มีหน้าที่ ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ด่วนอย่างยิ่ง ที่จะเข้าใจเรื่องนี้ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ เราไม่มีทางที่จะต่อสู้ ไม่มีทางที่จะต่อสู้ เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่น โดยไม่ต้องเป็นไปตามกฎของ ธรรมชาติ เราถือธรรมชาติ ว่ามีกฎเกณฑ์ที่เฉียบขาดสูงสุด ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องเชื่อฟัง เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีชีวิตนั้น มันออกมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติมันสร้างมา ธรรมชาติมันควบคุมอยู่ แล้วมันก็เป็นตัว ธรรมชาติอยู่ตลอดไป ฉะนั้นธรรมชาติก็อยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ธรรมชาติเหล่านั้น จึงไม่มีทางที่จะดื้อดึง ต่อกฎของธรรมชาติ เราจึงต้องศึกษาให้รู้กฎของธรรมชาติให้ครบถ้วนว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะไม่เกิดปัญหาขึ้นมา นี่
เมื่อสิ่งนี้เข้ามาทางตาก็ดี ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็ดี ที่เรียกว่า มันเข้ามา และจิตใจ นี้จะต้องต้อนรับอย่างไร จึงจะไม่เกิดเป็นไฟลุกขึ้นมาเผาจิตใจ โดยหลักทั่วไปของธรรมะแล้ว ก็คือว่า สิ่งทั้งหลายเป็นธรรมชาติ เราจะมาเป็นของเรา มาเป็นตามจิต เออ, ตามความต้องการของเราไม่ได้ เราก็ต้องให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เราจะใช้ประโยชน์จากมัน ได้อย่างไร ก็ใช้ไปสิ แต่ที่จะมาเป็นของเรา นั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นเองตามกฎของธรรมชาติ อ่า, คำกล่าวที่ น่าสนใจก็มีอยู่ เช่น คำกล่าวที่ว่า มันเหมือนกับของยืม พระพุทธเจ้าก็ได้กล่าวอย่างนี้ ว่าไอ้ทุกสิ่งที่มันมาเป็นเรา เกี่ยวข้องกับ เรา เราสมมุตินะ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา นั้นนะเราว่าเอาเอง เราว่าเอาเอง ด้วยความโง่ของเรา ว่าสิ่งนี้ตัวเรา ว่าสิ่งนี้ของเรา นี่เราว่าเอาเองด้วยความโง่ของเรา ที่แท้มันเป็นของธรรมชาติ
ผู้ที่รู้จึงมองเห็น รู้สึกว่ามันเหมือนกับของยืม ต้องคืนเจ้าของ ตามสมมุตินี้ของที่ยืมมามันต้องคืน เจ้าของ ในสภาวะที่ถูกต้อง จะทำให้ผิดพลาดไปจากนั้นไม่ได้ ฉะนั้นอะไร ๆ ที่มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับ ชีวิตก็ดี หรือตัวชีวิตเองก็ดี มันล้วนแต่เป็นของยืม คือ ยืมมาจากธรรมชาติ ซึ่งมีกฎของธรรมชาติควบคุม อยู่ เราต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง เจ้าของที่แท้จริงเขาสร้างไว้ อย่างไร เราต้องทำอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่ทะเลาะกับเจ้าของ คือ กฎของธรรมชาติ มันก็ไม่มีเรื่อง เพราะไม่ ทะเลาะกัน ถ้าทะเลาะกันเราสู้ไม่ได้ เราเป็นฝ่ายแพ้ทุกที เราต้องเป็นทุกข์ทุกที
ฉะนั้นเราต้องรู้จักธรรมชาติ ทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้คำว่า ง้องอน อ้อนวอน อะไรนักก็ได้ ไม่ต้องถึงอย่างนั้นก็ได้ อ่า, ขอแต่ว่าให้มันถูกต้องตรงตามกฎของธรรมชาติ การพยายาม การที่พยายามทำให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละ มันเป็นการง้องอน อ้อนวอน ขอร้อง ให้โปรดปรานอยู่ในตัวแล้ว ฉะนั้นเอาแต่เพียงว่าเรามีความรู้ ดีที่สุด ทำให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องตามกฎของ ธรรมชาติ แล้วธรรมชาติก็จะไม่ทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์อะไร นี่
ไอ้ชีวิตนี้มันมีอย่างนี้เอง มันมีชีวิต ที่มีจิต มีความรู้สึก มีกายเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึก แล้วมันก็มี เครื่องติดต่อเกี่ยวข้องกับภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเห็นอะไร ให้มากไปกว่าว่ามันเป็นเครื่อง ติดต่อกับสิ่งภายนอก เราจึงไม่หลงบูชาความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพราะว่าธรรมชาติให้ยืมมาสำหรับเป็นเครื่องใช้ติดต่อกับสิ่งภายนอก ให้มา ให้มาร่วมมือกับสิ่งภายใน ช่วยกันให้ชีวิตตั้งอยู่ได้ ก็พอแล้ว ถ้าเราทำเกินนั้น เรียกว่าเราเป็นคนโกหก หลอกลวง คดโกง ขบถต่อ เจ้าของเดิม มันก็ต้องถูกลงโทษ คือ เป็นทุกข์
ฉะนั้นเราอย่าทำให้ผิด จากกฎเกณฑ์ กติกา ของเจ้าของเดิม คือ กฎของธรรมชาติ คือ ให้ยืมสิ่งที่ เรียกว่า ชีวิตนี้มาอย่างไร ให้ยืมสิ่งที่เป็นอุปกรณ์ของชีวิตนี้มาอย่างไร ให้ยืมมาสำหรับใช้กันอย่างไร จึงจะไม่เกิดเรื่อง ต้องทำให้ถูกตามนั้น แล้วมันก็ไม่เกิดเรื่อง แล้วก็ไม่เกิดความทุกข์ เรียกว่า ไม่เกิดกิเลส อ่า, คือ ไฟที่เผาให้ร้อน แล้วเกิดการกระทำ ที่เรียกว่า กรรม ที่เผาตัวเองให้ร้อน มันก็เป็นชีวิตที่เย็น เรียกว่า ไอ้ชีวิตตัวนั้นนะมันโชคดี ที่มันเกิดมาไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน สมมุติเรียกว่า มันโชคดี แต่ที่จริงมันไม่ใช่ โชคดี โชคร้ายอะไรหรอก มันอยู่ที่ทำถูก หรือทำผิด มันก็กระทำถูก หรือกระทำผิด ถ้ามันกระทำถูกต่อ กฎของธรรมชาติเจ้าของเดิมแท้ ก็ไม่ร้อน ไม่เป็นทุกข์ ถ้ามันทำผิดต่อกฎของธรรมชาติ คือ มันขบถ เจ้าของเดิม แล้วมันก็ต้องเป็นทุกข์และ เดือดร้อน
เดี๋ยวนี้เราคนไหนบ้าง ที่เห็นว่า ไอ้ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของเรา เรามักจะถือว่าทั้งหมดนี้เป็นของเรา และเป็นตัวเราเสียด้วย นี่เรียกว่า มันคดโกง มันขบถต่อธรรมชาติ เอาซึ่งหน้าเลย คดโกงซึ่งหน้าเลย บิดพลิ้วกันซึ่งหน้าเลย ว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู ว่าเป็นตัวฉัน ว่าเป็นของฉัน ความรู้สึกเป็นตัวฉัน ของฉัน เป็นตัวกู ของกู นั่นนะคือว่า ไอ้การขบถ มันก็เป็นเรื่องกัด กัดคนนั้นแหละ กัดคนที่ขบถนะ การขบถนี่มัน ก็กัดเอาคนที่ขบถ มันก็ได้นั่งร้องไห้อยู่บ้าง เป็นบ้าไปบ้าง ไปฆ่าตัวตายบ้าง อะไรบ้าง นี่เพราะว่ามันรุกล้ำ กฎของธรรมชาติ ไปเอาของธรรมชาติมาเป็นของตัว อย่างที่ไม่ใช่เป็นของยืม
ถ้าเห็นว่าเป็นของยืมไม่ยึดถือเป็นของตัว ใช้แล้ว ได้รับประโยชน์แล้ว กว่าร่างกายนี้ ชีวิตนี้ จะแตกดับ มันเรื่องมันก็หมดกัน ไอ้ที่เรามามองเห็นว่าไม่ใช่ของเราของธรรมชาตินั่นแหละ คือ การคืนเจ้าของ อยู่อย่างทุกต้อง คืนให้เจ้าของอย่างถูกต้อง ไม่ยึดถืออะไรไว้โดยความเป็นตัวกู ของกู รู้ความจริงสูงสุด ว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างนั้นเอง ของธรรมชาติอย่างนั้นเอง คืนให้เจ้าของเสียเถิด อย่าคดโกงเอามาเป็น ตัวกู ของกู นี่เรียกว่า เราประพฤติถูกต้อง ต่อกฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือ เรื่องของ ธรรมชาติ เรื่องกฎของ ธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลที่ได้รับจากการปฏิบัติถูกต้อง ตามหน้าที่ของธรรมชาติ
ซึ่งขอให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายทุกคนเข้าใจให้ดี ๆ แล้วต่อไปนี้ก็อย่าได้เป็นคนคดโกง เจ้าของอัน แท้จริง คือ ธรรมชาติ ทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ยอมอำนวยด้วยดี ว่าเป็นอย่างนั้น ใช้เป็นประโยชน์อย่างไรก็ได้ แต่อย่าคดโกงกรรมสิทธิ์ว่าเป็นตัวกู หรือเป็นของกู นี่เรียกว่า ปฏิบัติ เพื่อไม่ต้องมีความทุกข์อยู่ในโลกนี้ เวลาก็หมดแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงนี้ก่อน .