แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมรายการ ‘ธรรมะช่วยได้’ เป็นตอนที่ ๔ นี้ อาตมาจะกล่าวถึงปัญหาอันเนื่องมาจากกิเลส มนุษย์เราไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง เขาไม่ศึกษาให้มีความรู้ที่ถูกต้อง ก็ไม่มีความรู้ที่จะป้องกันการเกิดแห่งกิเลส มนุษย์จึงมีกิเลส ชวนกันมีกิเลส ปัญหาก็เกิดขึ้นจากกิเลสนั้นๆ ยกตัวอย่างจะเห็นได้ง่ายๆ คือเรื่องของความเอร็ดอร่อย เรื่องเดียวก็พอจะเทียบเคียงทุกเรื่องให้เข้าใจได้ เราถูกอบรมให้บูชาความเอร็ดอร่อยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก คือ ตั้งแต่เกิดมา จนเป็นนิสัย คือ บูชาความเอร็ดอร่อย ทารกถูกขับกล่อมให้ได้รับความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทารกก็มีนิสัยพอใจในความอร่อย พ่อแม่ พี่เลี้ยงก็ขวนขวาย อุตส่าห์หาสิ่งเอร็ดอร่อยเหล่านี้มาบำรุงบำเรอ ให้ทารกนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความติด นั่นหลงใหลในความเอร็ดอร่อย ขอให้ดูให้ดี ที่ตัวจริง ที่เรื่องจริงของเราเองก็ได้ หรือว่าถ้าเราไม่มองเห็นของเราเมื่อเด็กๆเมื่อเป็นทารก เราก็ดูทารกที่เป็นทารกอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ได้ ว่าพ่อแม่ พี่เลี้ยงเขารักมากเขาก็บำรุงบำเรอด้วยสิ่งเอร็ดอร่อย จนทารกนั้นติดใจหลงใหลในความเอร็ดอร่อย เห็นเป็นของประเสริฐพิเศษสูงสุดกว่าสิ่งใด นี่เป็นจุดตั้งต้นว่าคนเรานี้มันตั้งต้นในทางจิตใจกันมาอย่างไร พอได้อร่อยทางตา ทางหู ทางปาก ทางท้องอะไรก็ตาม พอได้อร่อยมันก็เกิดกิเลสที่เรียกว่า ‘ราคะ’ คือความยินดี ‘โลภะ’ คือความอยากจะได้ความเอร็ดอร่อยนั้น กิเลสพวกนี้ก็เกิดขึ้น แล้วมันก็สร้างนิสัยที่อยากจะเกิดราคะหรือโลภะนี้ได้ง่ายๆต่อไป เกิดความรู้สึกราคะ โลภะครั้งหนึ่ง มันก็สร้างนิสัยที่จะเกิดราคะโลภะอย่างรวดเร็ว อย่างสะดวกดายยิ่งๆขึ้นไป นี่เราก็ได้กิเลสประเภทราคะหรือโลภะ ถ้าเราบูชาความเอร็ดอร่อย ทีนี้ เมื่อไม่ได้ความเอร็ดอร่อยตามต้องการ มันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะ คือ มันโกรธมันดุร้ายขึ้นมาทีเดียว พอมันเกิดโทสะ โกธะขึ้นมาแล้วมันก็เกิดนิสัยที่จะเป็นเช่นนั้นง่ายขึ้นเร็วขึ้นยิ่งๆขึ้นไป นี้ก็เรียกว่า ‘อนุสัย’ สะสมไว้เรื่อยๆทุกคราวที่จะเกิดกิเลสอย่างไร มันก็สะสมอนุสัยของกิเลสชนิดนั้นไว้เรื่อยไปยิ่งขึ้น ทีนี้จะได้อร่อยหรือจะไม่ได้อร่อยก็ตาม มันยังคงโง่เท่าเดิม ไม่รู้จักสิ่งอร่อย ไม่รู้จักสิ่งที่ไม่อร่อยโดยถูกต้อง มันก็โง่เท่าเดิม มันเป็นโมหะ เป็นกิเลสประเภทโมหะ โง่หลงใหล เป็นอวิชชา ไม่รู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง มันก็สร้างนิสัยสำหรับจะโง่ให้มากขึ้น ให้เร็วขึ้นมาอีกทางหนึ่งด้วยเหมือนกัน เราจึงมีกิเลสโลภะหรือราคะ แล้วก็มีนิสัยที่จะเป็นเช่นนั้น เป็นมากขึ้น เราเกิดกิเลสโทสะหรือโกธะแล้วก็มีนิสัยที่จะเป็นเช่นนั้นมากขึ้นทุกคราวที่เกิดกิเลส เราเกิดกิเลสประเภทโมหะก็จะเกิดนิสัยที่จะโมหะง่ายๆเร็วๆอย่างนั้นขึ้นมาด้วยเหมือนกัน
นี่เรามีกิเลส และคลังสะสมกิเลส ฟังดูให้ดีว่าเรามีกิเลส และเรามีคลังสะสมเชื้ออนุสัยแห่งกิเลสไว้สำหรับจะเกิดกิเลสได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น ในสันดานมันเป็นอย่างนี้ ในสันดานคนโง่มันเป็นอย่างนี้ ในสันดานของคนที่ไม่มีธรรมะมันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าในสันดานของพุทธบริษัทที่แท้จริง ศึกษาสิ่งเหล่านี้มาพอสมควรแล้วมันไม่เป็นอย่างนี้ มันมีอนุสัยเบาบาง มันจึงเกิดกิเลสแต่น้อย มันควบคุมกิเลสได้ หรือมันอาจจะทำให้ไม่เกิดกิเลสขึ้นเลยดังนี้ก็มี พอท่านทั้งหลายเข้าใจสิ่งที่เรียกว่ากิเลสและเชื้อสะสมแห่งกิเลส ให้เข้าใจไว้ด้วยกันทุกคน ความอร่อยทำให้เกิดกิเลสที่จะเอา เมื่อไม่ได้มันก็โกรธ ได้หรือไม่ได้มันก็ยังโง่เท่าเดิม เข้าใจหรือไม่ว่าความอร่อยนั้นน่ะมันทำให้เราเกิดกิเลสอยากได้ ครั้นไม่ได้ก็เกิดกิเลสโกรธจะฆ่ากัน ทั้งได้และไม่ได้มันก็ยังโง่เท่าเดิม มันไม่มีอะไรดีขึ้น นี้เรียกว่าความอร่อย เกี่ยวกับกิเลส ที่ทำไม่อร่อยซึ่งเป็นธรรมดาที่มันจะต้องมีในโลกนี้ มันต้องมีทั้งอร่อยและไม่อร่อย มันก็ไม่เข้าใจว่าความไม่อร่อยนั้นมันเป็นอย่างนั้นเองจะต้องไปเกลียดไปโกรธมันทำไม รสของความไม่อร่อยนั้นก็ถือเป็นรสชนิดหนึ่งเหมือนกัน รสที่เราไม่ต้องการนั้นมันก็เป็นรสชนิดหนึ่งเหมือนกัน มันมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในโลกนี้ด้วยเหมือนกัน เราอย่าไปเลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าว่ากันโดยแท้จริงแล้วความไม่อร่อยนั้นแหละมันสอนให้คนฉลาด ความอร่อยนั้นมันทำให้คนโง่ ทำไมไม่คิดดูว่า ความไม่อร่อยนั้นแหละทำให้คนเราค้นหาความเฉลียวฉลาด ความอร่อยนั้นทำให้คนเราโง่หลงใหลในมัน เมื่อไม่อร่อยก็กลายเป็นยักษ์เป็นมารมีจิตใจอย่างยักษ์อย่างมาร เมื่ออร่อยก็มีจิตใจเป็นเทวดาโง่ผู้หลงใหลในรสของความอร่อย มัวแต่เป็นเทวดาโง่บ้าง เป็นพญายักษ์ เป็นพญามารกันอยู่อย่างนี้บ้าง มันก็ต้องเป็นทุกข์ ต้องมีความทุกข์ เพราะอำนาจของกิเลส ทั้งอร่อย และทั้งที่ไม่อร่อยนั้นมันเป็นของธรรมชาติ มีธรรมะ ‘ตถาตา’ เพียงพอแล้วก็จะรู้สึกได้ว่าเรื่องอร่อยนี่ก็เป็นตามธรรมชาติ เรื่องไม่อร่อยนี่ก็เป็นตามธรรมชาติ ทั้งความอร่อย และความไม่อร่อยมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น เป็นความรู้สึกที่เกิดตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีตัวตนอันแท้จริงของความอร่อย ไม่มีตัวตนอันแท้จริงของผู้บริโภคความอร่อย มันเป็นแต่ธรรมชาติปรุงแต่งกันให้เกิดความรู้สึกคิดนึกในจิต แล้วจิตมันก็โง่เอาเองว่ามีตัวกู มีความอร่อยของกู มีตัวกูเป็นผู้อร่อย นี้คือความโง่ของจิตซึ่งเรายึดถือกันเป็นตัวตนอย่างแน่นแฟ้น ถ้าศึกษาธรรมะอย่างเพียงพอก็จะเห็นว่า ตัวตนนั้น เป็นเพียงความคิดปรุงแต่งของความโง่หรืออวิชชา ถ้าจิตไม่มีอวิชชา ความคิดว่าตัวตนจะไม่เกิดขึ้นในจิต เดี๋ยวนี้จิตมีอวิชชา เป็นธรรมดามันก็เกิดความรู้สึกเป็นตัวตน ว่าตัวตน ว่าของตนเคยชินเป็นนิสัย สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะที่เป็นมนุษย์นี่ มันจะมีความรู้สึกว่าตัวตนหนาแน่น เข้มแข็งยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์มนุษย์จึงต้องมีปัญหามากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทนทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งจะคิดอย่างมีตัวตนไม่ค่อยจะเป็น หรือคิดได้ก็ผิวเผินตามแบบของสัตว์เดรัจฉานที่มีมันสมองยังไม่วิวัฒนาการ ยังไม่ตั้งมั่น มนุษย์นี่เขาพูดกันว่ามีบุญแต่ดูให้ดีมีบุญสำหรับจะเป็นทุกข์ มันมีความก้าวหน้าทางความคิดนึก แต่คิดนึกในทางผิดมันก็เกิดกิเลสตัณหาแล้วมันก็มีความทุกข์เท่าที่กิเลสตัณหามันมี
ขอให้เข้าใจ แล้วก็แจ่มแจ้งว่าความอร่อยก็ดี ความไม่อร่อยก็ดี ไม่ใช่เป็นของเป็นตัวเป็นตน มันเป็นแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ สิ่งนี้ให้ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอย่างนี้ สิ้งโน้นให้ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอย่างโน้น ดังนั้น มันจึงมีรสต่างๆกันตามสิ่งที่เข้ามาให้เกิดความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ก็จะรู้สึกว่า โอ้ มันเหมือนกัน เรื่องอร่อย หรือเรื่องไม่อร่อยมันเหมือนกัน ตรงที่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเท่านั้น ขอเน้นอีกที เรื่องสำคัญขอเน้นอีกที ว่าความอร่อยหรือความไม่อร่อยนั้นมันเป็นเพียงความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเท่านั้น อย่าไปหลงโง่เขลา คือไปหลงยินดียินร้าย เดี๋ยวยินดีเดี๋ยวยินร้ายเป็นสองฝ่ายอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นว่าทั้งสองฝ่ายนั้นมันเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเท่านั้นเอง คนเขาบูชาความอร่อย เกลียดชังความไม่อร่อยโดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เมื่อเขาไม่รู้เรื่องนี้เขาก็เป็นโรคประสาทเสียเอง เป็นโรคประสาทกันจะเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่แล้ว เกิดมาจากความทรมานใจที่ไม่ได้สิ่งที่เอร็ดอร่อยตามความต้องการของตน ตนก็เป็นโรคประสาทเสียเอง ต้องพูดหยาบคายหน่อยว่า สมน้ำหน้ามัน ที่มันไม่รู้จักเรื่องประสาท เรื่องระบบประสาท เรื่องความรู้สึกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเกี่ยวกับระบบประสาท ถ้าผู้ใดรู้เรื่องนี้ในลักษณะอย่างนี้ ผู้นั้นจะไม่เกิดกิเลสที่เกี่ยวกับความอร่อย หรือความไม่อร่อยโดยนัยดังที่กล่าวมา เดี๋ยวนี้เรามีกิเลสที่ทรมานใจจนเป็นโรคประสาทบ้าง เป็นบ้ากันบ้าง ฆ่าฟันกันเอง ไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน มนุษย์กำลังกัดกันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน พูดเท่านี้ก็พอไม่ต้องอธิบาย มนุษย์กำลังกัดกันมากมายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์นี้มีโรคภัยไข้เจ็บแปลกประหลาดของกิเลสยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์นี้ทำลายธรรมชาติยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน อะไรๆมันก็ร้ายกาจกว่าสัตว์เดรัจฉานไปเสียหมด เพราะมันไม่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มันเป็นมนุษย์แต่สักว่าชื่อ มันว่าเอาเองว่ามันเป็นมนุษย์ จริงๆมันไม่เป็นมนุษย์ มันเป็นคนโง่ เป็นคนแล้วมันโง่ มันเป็นมนุษย์ไม่ได้ ถ้าเป็นมนุษย์มันจะต้องฉลาด เป็นมนุษย์แล้วทำไมต้องมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเล่า เพราะนั่นมันคือ กิเลส คำว่า กิเลส หมายถึง ของสกปรก ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นของสกปรกแก่จิตใจ เหมือนของสกปรกเน่าเหม็นต่างๆเป็นข้าศึกทางร่างกาย ความโลภ โกรธ หลงเป็นของสกปรกสำหรับจิตใจ เป็นความรู้สึกที่เป็นมายา เกิดขึ้นเพราะความโง่ของคนนั้นเอง ความโลภ โกรธ หลงมันเป็นเหมือนผี แล้วคนก็ยังไปรักมัน ไปชอบมัน ไปบูชามัน ชอบโลภ ชอบโกรธ ชอบหลงกันอยู่ทุกวันๆไม่รู้ว่ามันเป็นของสกปรก เป็นของมายา ไม่มีตัวจริงเหมือนกับผี เราก็ได้เป็นผีชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่กันทุกวันๆ เดี๋ยวก็ได้เป็นผีตัวนั้น เดี๋ยวเป็นผีตัวนี้ หาความเป็นมนุษย์ไม่ได้ นี่แหละ คือ ปัญหาของมนุษย์ที่เกี่ยวกันอยู่กับกิเลส ถ้าใครเอาชนะมันไม่ได้ มันก็สกปรกให้ มันก็แผดเผาให้ มันก็ผูกมัดรัดรึงให้ มันทิ่มแทงเผาลนให้ตามประสาของกิเลส
หวังว่าท่านทั้งหลายจะรู้สึก หรือรู้จักสิ่งเหล่านี้ดียิ่งขึ้นๆทุกๆคราวที่ประสบ ประสบกิเลสครั้งหนึ่งขอให้ฉลาดกว่าเดิม อย่าให้โง่กว่าเดิม ถ้าโง่กว่าเดิมกิเลสมันหนาขึ้น ถ้าประสบกิเลสครั้งหนึ่ง รู้จักละอาย รู้จักกลัวกันเสียบ้าง มันก็จะลดกิเลส มันก็จะลดกิเลสลงไปจนไม่มีกิเลส ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ ไม่มีปัญหาใดๆ อันเกิดมาจากกิเลส ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความก้าวหน้า เจริญงอกงามตามทางธรรมของพระศาสดา สามารถป้องกันกิเลส ควบคุมกิเลส กำจัดกิเลสได้แล้วอยู่กันเป็นผาสุกทุกทิพาราตรีกาลเทอญ