แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งนี้ ในชุดที่ว่าธรรมะช่วยได้เป็นครั้งที่ ๒ นี้ อาตมาก็จะได้กล่าวถึงธรรมะที่จะช่วยแก้ปัญหาถัดไป ปัญหาที่ ๒ คือปัญหาเกี่ยวกับสังคม มันเกี่ยวกับการอยู่ในสังคมมนุษย์ที่มันมีสภาพอย่างนี้ เราอยู่ในสังคมมนุษย์ซึ่งมีอะไรต่างกัน ที่เหมือนกันอยู่ก็คือ มีกิเลสด้วยกัน มีความเห็นแก่ตัวด้วยกัน จะอยู่ในสังคมอันนี้ให้มีความสะดวกสบาย เยือกเย็นเป็นสุขได้อย่างไรนั่นแหละ ก็คือตัวปัญหา ปัญหาจากสังคมนี้มันต้องมีแน่นอน มันแน่นอนเกินกว่าแน่นอน อยู่ที่มันจะต้องมี เพราะว่าเราอยู่ในสังคมของเพื่อนมนุษย์ที่มีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น มีกิเลส มีอวิชชา มันก็เท่ากับคนบ้า จึงพูดได้เลยว่า เราอยู่กันในหมู่คนบ้าที่มีกิเลส ตัณหา มีอวิชชา อุปาทานนานาชนิด ต่างคนต่างมี นั้นแหละมันจึงเกิดปัญหา สรุปว่า โดยธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนี้ เราต้องอยู่ในท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ที่มีความคิดนึกรู้สึกเป็นอยู่ต่างๆกัน เราไม่อาจจะอยู่ได้ในสังคมชนิดนั้น ด้วยการทำสิ่งที่ผู้อื่นไม่ชอบ เราไม่อยู่ได้ด้วยการทำสิ่งที่ผู้อื่นไม่ชอบ เราต้องอยู่ได้ด้วยการทำสิ่งที่ผู้อื่นชอบด้วย เห็นด้วยได้ ทำด้วยกันได้ มันจึงจะไม่เกิดปัญหาในสังคม เพื่อนเขายอมไม่ได้ เพื่อนมนุษย์คนอื่นก็ยอมไม่ได้ที่จะให้เราทำอะไรตามชอบใจเรา เราก็ต้องทำตามที่เพื่อนเขายอมได้ สรุปความว่า เราต้องงดเว้นสิ่งที่ผู้อื่นไม่ชอบ แล้วก็ต้องทำสิ่งที่ทุกคนชอบ รวมทั้งตัวเราเองด้วย ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถิดว่ามันจะลำบากสักเท่าไร เราต้องเว้นสิ่งที่ผู้อื่นไม่ชอบ นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ความคิดมันไม่ตรงกัน มันเป็นนานาจิตตังอย่างที่เขาเรียก แล้วเราต้องทำสิ่งที่ทุกคนชอบ รวมทั้งตัวเราเองด้วย เมื่อมันเกิดไม่ชอบไม่เหมือนกันแล้วจะทำอย่างไร มันเกิดชอบไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างชอบ มันยากที่จะปรับความเข้าใจกันได้ ถ้ามีธรรมะสูงสุด เรื่องตถตา เห็นว่า โอ้ มันอย่างนี้เองนี่ มันก็ต้องระมัดระวัง ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดีที่สุด เราก็ต้องมีชีวิตของชีวิตที่ดีนั่นเอง อย่ามีชีวิตเป็นของกู ถ้ามีชีวิตเป็นของกู มันก็ไม่ยอมใคร หรือมันมักจะไม่ยอมใคร ไม่ยอมให้แก่ใคร มันมีตัวกูของกู ยกหูชูหาง อย่างนี้มันต้องกระทบกันแน่ และมันก็จะต้องลุกลามใหญ่โต เบียดเบียนกัน ฆ่าฟันกัน แต่ถ้ารู้ธรรมะ รู้ถึงขนาดว่าตามธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ และก็พยายามที่จะปรับปรุงให้เข้ากัน ถึงคราวที่จะอดกลั้นอดทน มันก็อดกลั้นได้ เมื่อถึงคราวที่จะเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเผื่อแผ่ด้วยการเสียสละส่วนตนแล้วมันก็ทำได้ จึงขอให้เรารู้ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง
ชีวิตทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้ มันอยู่ในกฏเกณฑ์อันเดียวกัน โดยส่วนใหญ่แล้วมันก็คล้ายกัน ที่เค้าพูดว่า รู้รักสุข เกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถือเอาหลักเกณฑ์ข้อนี้เป็นหลัก มันก็จะเป็นการง่ายในการที่จะกลมกลืนกันได้ การแก้ปัญหาสังคมด้วยการสมาทานศีลและวัตรที่ท่านมี การประพฤติปฏิบัติกันมาแต่กาลก่อน ก่อน ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด มนุษย์ยังไม่ถึงขนาดพระพุทธเจ้า ก็ค้นพบหลักธรรมะสำหรับจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าศีล ๕ ว่าศีล ๕ ซึ่งไม่มีใครอยากจะถือนั่นเอง ศีล ๕ ที่ไม่มีใครเห็นว่าสำคัญ จะชักชวนกันเท่าไรๆ ก็ไม่ค่อยจะมีใครยินดีที่จะถือศีล ๕ นี่ท่านทั้งหลายลองคิดดู ในสิ่งที่บรรพบุรุษเคยค้นพบว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น มันจึงจะอยู่ด้วยกันได้ แต่ชั้นลูกหลานมันไม่เอา มันเห็นว่าพ้นสมัย โง่เง่า เต่าล้านปี เมื่อเขามีความคิดอย่างอื่น มุ่งหมายอย่างอื่น มีหลักเกณฑ์อย่างอื่น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามความชอบใจอย่างนั้นไม่ได้ ธรรมชาติมันกำหนดไว้ว่ามนุษย์จะ ต้องอยู่กันอย่างไร จนบรรพบุรุษก็ค้นพบตราไว้เป็นกฏเกณฑ์ ที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า ศีล ๕ ดังนั้นขอให้สนใจกัน จนเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ อย่าเห็นเป็นเรื่องโง่เง่า เต่าล้านปี เพราะว่าเราจะต้องอยู่ในโลกนี้ ด้วยการทำในสิ่งที่ทุกคนชอบ ไม่กระทบกระเทือนใคร ศีล ๕ นั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่จะพูดเดี๋ยวนี้ว่า
เว้นการประทุษร้ายชีวิตร่างกายของผู้อื่นไม่ว่าในวิธีใด เว้นการประทุษร้ายชีวิตร่างกายของผู้อื่นไม่ว่าขนาดไหน เว้นการประทุษร้ายโดยประการทั้งปวง ในทางตรงกันข้ามนั้นก็ทำในทางที่ส่งเสริมชีวิตร่างกายของกันและกันให้อยู่กันผาสุกนี่ข้อที่หนึ่ง
นี่ข้อที่สอง เว้นการประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่นและก็ทำการสงเคราะห์กันและกันด้วยทรัพย์ และคำว่าทรัพย์นี่เป็นภาษาอินเดีย คำว่าทรัพย์นี่แปลว่า เครื่องทำความยินดีให้แก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของ ถ้าผู้ใดยังไม่ทราบก็ทราบเสียเถอะว่าคำว่าทรัพย์นี่แปลว่า เครื่องทำความยินดีให้แก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของ ใครๆก็ต้องการความยินดีความอยู่เป็นผาสุก อะไรมีมาแล้วมันช่วยให้เกิดความยินดี มีความผาสุก สิ่งนั้นเรียกว่า ทรัพย์ จึงเกิดความต้องการด้วยกันทั้งนั้น พยายามหาทรัพย์ เพื่อให้เกิดความยินดีมาเป็นทุนสำรองไว้นี่เรียกว่า หลักทรัพย์ ทุกคนมีทรัพย์เพื่อทำความยินดีให้แก่ตน เราจะไม่ประทุษร้ายทรัพย์ของผู้ใดโดยวิธีใดๆ โดยอาการอย่างใด โดยระดับไหน โดยประการทั้งปวง แต่จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยทรัพย์ แทนที่จะไปขโมยเขามา กลับช่วยสงเคราะห์เขาให้เขาหาโดยสะดวก ให้เขามีมากขึ้นด้วยการเผื่อ แผ่เผื่อเจือจานกัน ให้เกิดการผูกพันกันในการที่จะแสวงหาทรัพย์ ร่วมมือกันหาทรัพย์ มันง่ายกว่าที่จะต่างคนต่างทำ อย่างเดี๋ยวนี้ก็มีการกระทำที่พอจะเห็นอยู่ เข้าใจได้อยู่ว่ารวมหุ้นกันหาทรัพย์นั่นมันง่ายกว่าคนเดียวหา เป็นสิ่งที่ควรประพฤติกระทำในข้อที่สองว่า ไม่ประทุษร้ายทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว แต่ช่วยกันหาทรัพย์ให้มันได้มาโดยง่ายดาย
นี่ข้อที่สาม ไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น นี่มันคนละความหมายกับทรัพย์ ทรัพย์ให้เกิดความยินดีเป็นปัจจัยเกื้อกูล โดยทั่วๆ ไป ในส่วนของรักนี่มันมีความหมายอีกอันหนึ่ง เป็นเรื่องเฉพาะคน แต่ละคนมีสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความรู้สึกเกี่ยวกันกับทางเพศ ซึ่งมันเว้นไม่ได้สำหรับสัตว์ธรรมดาสามัญแล้ว มันก็มีของรัก อย่าไปประทุษร้ายของรักให้เจ้าของเขาเดือดร้อนเป็นทุกข์ ทำในทางที่ตรงกันข้ามคือ มีของรักเฉพาะตนมีความสันโดษพอใจยินดีบริโภคของรักของตนอย่างถูกต้อง มันก็ไม่เกิดเรื่อง
ข้อที่สี่ ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรม หรือสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น จนเขาเสียความชอบธรรมไป แม้ด้วยวาจา เพียงแต่วาจาก็ไม่ทำ ซึ่งเรียกกันว่า พูดปด แต่เป็นคนเปิดเผย ซื่อตรง ทุกคนเขาไว้ใจได้ว่าคนคนนี้ จะไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรมของผู้ใด
ข้อสุดท้ายก็คือ ไม่ประทุษร้ายสติสมประดีของตน คนเราถ้าไร้สติสมประดีก็เป็นคนบ้า อย่างน้อยก็เป็นคนเมา อย่าไปทำอะไร ดื่มกินอะไร ที่ประทุษร้ายสติสมประดีของตน เป็นคนมีสติสมประดีที่ถูกต้อง เรียกว่า เว้นการประทุษร้ายสติสมประดี ในทางตรงกันข้ามก็คือ เพิ่มอัปปมาทธรรม คือสติสัมปชัญญะให้มากอยู่เสมอ นี่แหละเป็นธรรมะเก่าแก่เรียกว่า สนันตนธรรม สนันตนธรรม นั่นแปลว่า มันมีมาแต่ข้างไหนก็ไม่มีใครรู้คือเป็นธรรมะเก่าแก่โบราณที่สุด และก็เป็นสากลเกิดขึ้นมาตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติบีบบังคับให้มนุษย์ค่อยๆรู้ธรรมะชนิดนี้ ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่บุพกาลนานไกลจนไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ค้นไม่ได้ว่ามาแต่ข้างไหน แต่ด้วยเหตุที่มันเป็นผลดีมาโดยตลอดไม่มีใครคัดค้าน มันก็ไม่ถูกละเลยทอดทิ้งประพฤติปฎิบัติกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็ทรงยอมรับธรรมะนี้ และเดี๋ยวนี้ก็มันยังมีอยู่กระทั่งทุกวันนี้ โดยอาศัยกฎธรรมชาติช่วยเป็นส่วนใหญ่ว่ามนุษย์มันต้องการอย่างนี้กันจริงๆนี่เรียกว่า มันเป็นประกาศิตของกฎธรรมชาติ ที่จะละเมิดไม่ได้ เป็นของร่วมกันทุกๆ ชีวิต ที่จะต้องยึดถือสมาทานไว้เป็นอย่างดีด้วยกันทั้งนั้น
จึงขอให้มีชีวิตของชีวิต อย่ามีชีวิตของกู ของตัวกู ที่เห็นแก่กู และมันก็จะต้องเอาเปรียบผู้อื่น จึงมีชีวิตของชีวิตก็คือมีชีวิตของธรรมะ มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีชีวิตอย่างชีวิตเสมอกัน มันก็จะง่าย ที่สุดที่จะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราจะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันอย่างแท้จริง อย่างนี้ก็จะแก้ปัญหาได้หมดสิ้น สำหรับการที่จะต้องอยู่กันเป็นสังคม เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ต้องอยู่กันเป็นสังคม จึงต้องมีระเบียบซึ่งเรียกว่า ธรรมนูญก็ได้ แต่ไม่ใช่คนตั้ง ธรรมชาติมันบีบบังคับให้แต่งตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราก็จะอยู่กันเป็นผาสุก เดี๋ยวนี้ยากลำบากที่ว่าจะต้องอยู่ร่วมโลกกับคนอันธพาล เราจะมีธรรมะอย่างไรจึงจะชนะน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ซึ่งส่วนมากเป็นอันธพาลให้เขาเห็นได้ เห็นด้วยได้ ยอมรับได้ สมาคมกลมเกลียวกันได้ มันไม่มีทางอื่นนอกจากธรรมะอย่างที่กล่าวมา มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เราต้องมีชีวิตชนิดที่ผู้อื่นเห็นด้วยได้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายแก้ปัญหาแห่งชีวิตคือ ปัญหาที่เนื่องด้วยสังคมโดยนัยที่กล่าวมาก็จะไม่มีการกระทบกระทั่งกัน ก็จะสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวเข้ากันได้สนิท เหมือนน้ำกับน้ำนมฉันใดก็ฉันนั้น หวังว่าท่านทั้งหลายจะสามารถขจัดปัญหาอันเกี่ยวกับสังคมนี้ ได้มากด้วยความเป็นพุทธบริษัทของท่านทั้งหลายเอง แล้วอยู่กันเป็นผาสุกทุกทิพาราตรีกันเทอญ