แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมะในวันนี้ จะถือว่าเป็นรายการ พิเศษอันหนึ่งชื่อว่า ธรรมะช่วยได้เป็นครั้งๆไป ธรรมะช่วยอะไร ก็ช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์ มนุษย์อยู่ด้วยปัญหาหรือภาระหนักแห่งชีวิต หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งก็คือความทุกข์นั่นเอง ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นเป็นชีวิตธรรมดาของผู้ที่ไม่รู้ธรรมะ ชีวิตชนิดนี้มีของหนักหรือความทุกข์ เราจะมีชีวิตที่ เบา เย็น ไม่มีความทุกข์ให้ได้อย่างไร นั้นแหละเป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องพิจารณา ที่เรียกว่าปัญหานี้ พอจะแบ่งได้เป็นพวกๆ เช่น
ขอให้ท่านผู้ฟัง ทั้งหลายสังเกตดูให้ดีๆว่าท่านมีอยู่อย่างไร ในตอนแรกนี้จะกล่าวถึงปัญหาของการดำรงชีวิตอยู่ การมีชีวิตขึ้นมานี้ไม่ใช่ว่าเราอยากจะมี เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมาด้วยซ้ำไป แต่เมื่อมันเกิดมาแล้ว มันมีปัญหา มันมีภาระ มันมีความทุกข์ เราก็ต้องขจัดออกไป มิฉะนั้นเราก็จะทนทุกข์
สำหรับปัญหาแรกก็คือ ปัญหาที่จะให้รอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร ตลอดไปถึงกับว่าเมื่อรอดชีวิตอยู่ได้ แล้วจะต้องทำอะไรต่อไปอีก ให้มีความเจริญก้าวหน้า กว่าจะถึงที่สุด ที่ดีที่สุดที่ชีวิตมนุษย์เราจะดีได้ ปัญหาแรกเราจะเรียกว่า ปัญหาดำรงชีวิต เลี้ยงชีวิต ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ ตามปกติก็อยู่กันด้วยความทน ทรมาน น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันไม่ต้องมีความทุกข์มากในการดำรงชีวิตให้รอดอยู่ได้ เราควรจะ เอาอย่างสัตว์ในข้อนี้ การแสวงหาปัจจัยเลี้ยงชีวิตก็ดู นก หนู ที่อยากจะให้ดูมากที่สุด เช่น ผีเสื้อ การทำ มาหากินของเขาก็คือ บิน ไปในถิ่นที่มีดอกไม้แล้วก็ดูดน้ำหวานกิน นี่การทำงานเลี้ยงชีวิตสวยงามด้วย สนุกสนานไม่มีทุกข์ด้วยไม่เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องทำไร่ทำนา ต้องเหงื่อไหลไคลย้อย ยิ่งอาชีพกรรมกรด้วย แล้วก็จะต้องเหน็ดเหนื่อยมาก จะทำขนมขาย มันก็ต้องรมไฟอยู่ด้วยความร้อนอย่างนี้ เป็นต้น เราควรจะ หาวิธีให้การทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนั้น มีความสุขสนุกสนานให้อยู่ใน ตัวเหมือนผีเสื้อที่ออกเที่ยว หาน้ำหวาน ไม่มีความทุกข์เลย นี่จะทำได้อย่างไร จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร อาตมาเห็นว่ามีทางเดียวเท่านั้น คือ มีธรรมะอยู่ในจิตใจ สามารถดำรงจิตใจไว้ในลักษณะที่พอใจและเป็นสุข แม้ว่าร่างกายกำลัง อาบเหงื่ออยู่
ธรรมะช่วยได้ คือ ให้รู้จักทำจิตใจให้พอใจในการทำหน้าที่ ไม่ว่าจะมีหน้าที่อะไร ให้ถือว่า หน้าที่นั้นคือ ธรรมะ เพราะมันเป็นความจริงอย่างนั้น หน้าที่ทำมาหากินก็คือ ธรรมะ เมื่อได้ทำหน้าที่ก็คือ ได้ปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจ ถ้าพอใจมันก็เป็นสุข ได้เคยเห็นชาวนา ไถนา เป็นที่พอใจจนลืมรับประทาน อาหาร เพราะมันเป็นสุขอยู่กับการจับคันไถ เดินตามหลังวัวหลังควายเรื่อยไปในทุ่งนา ไปๆมาๆยิ้มกริ่มอยู่เสมอ นี่ก็เพราะรู้จักทำจิตใจ จึงพอใจ เป็นสุขอยู่ในการงานนั้น เหมือนกับว่าผีเสื้อแสวงหาน้ำหวาน อยู่ด้วยความพอใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์ เราจะใช้ธรรมะให้ถูกเทคนิคของธรรมะของธรรมชาติ มีความพอใจ ที่งานสำเร็จขึ้นมาทีละนิดๆทุกวินาที คนต้องมีปัญญาเห็นว่ามันใกล้ความสำเร็จเข้าไปทุกวินาที และทุกๆ วินาทีเป็นการปฏิบัติธรรมะ พอใจที่ได้ปฏิบัติธรรมะนี่ก็เป็นสุข เมื่อมองเห็นความสำเร็จอยู่ก็เป็นสุข เชื่อมั่นว่าจะต้องสำเร็จก็เป็นสุข
ถ้ามีปัญญามากกว่านั้นก็เห็นลึกไปกว่านั้นว่า สิ่งทั้งปวงต้องเป็นเช่นนี้ สิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนี้เอง เรียกว่า ตถา ความเป็นเช่นนั้น ชีวิตมีความเป็นเช่นนั้น เราต้องทำให้ถูกกับความเป็นเช่นนั้น แล้วก็ไม่ต้อง กลัวอะไร ไม่ต้องหวั่นวิตกกังวลอะไร ถ้าเหงื่อมันจะออกมามันก็คือความเป็นเช่นนั้น ไม่แปลกอะไร ไม่เสียหายอะไร ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร นี่เรียกว่าเห็นธรรมะสูงสุด คือ ความเป็นเช่นนั้นของสิ่งทั้งปวงที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง การเห็นธรรมะชนิดนี้ทำให้พอใจอิ่มใจอยู่ด้วยธรรมะ มันก็ไม่รู้สึกเหนื่อย
เขาจะมองเห็นลึกลงไปถึงกับว่า ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวกูที่ทำงานอยู่ มีแต่ชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยกายด้วยใจ มันมีสติปัญญามันก็ทำไป ก้าวหน้าเรื่อยไปก็พบความยินดี ผู้มีปัญญาเขารู้ว่าชีวิตนี้มันของชีวิต คนโง่เท่านั้นที่มันจะคิดว่าชีวิตนี้ของกู พอมีของกูมันก็มาหนักอยู่บนจิตใจของกู คล้ายๆกับว่ามันมาสุมอยู่บนศีรษะของตน มันก็หนัก ผู้มีปัญญา ชีวิตมันเป็นของชีวิต ซึ่งมันก็เป็นตัวชีวิตที่ทับถมอยู่บนตัวชีวิต มีสติปัญญาก็ดำเนินไป ไม่มีตัวตนที่เป็นผู้ทำหรือตัวตนที่ถูกทำ คือ มันเป็นตามเหตุปัจจัย เป็นไปตาม ธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติโดยธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ ไม่มีตัวกู อย่างนี้เรียกว่ามันมีชีวิตของชีวิต ไม่ใช่ชีวิตของกู
ดังนั้น ยังเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่กลางทุ่งนา เรือกสวนหรือที่ไหนก็ตาม มันไม่เกิดความรู้สึก ที่เป็นทุกข์ ร่างกายมีจิตใจ มีสติปัญญา เคลื่อนไหวไปตามอำนาจของสติปัญญา และมันจะพอใจในตัว มันเองได้ ถ้ามีตัวกูเข้าไปแทรกแซง มันก็คิดว่าเมื่อไรจะสำเร็จ เมื่อไรจะได้ เมื่อไรจะรวย ตัวกูมันเป็น อย่างนั้นเสมอ ปัญหาต่างๆทุกชนิดมันเกิดขึ้นแก่ชีวิตที่มีตัวกู ถ้าเป็นชีวิตที่มีความรู้ถึงที่สุด ไม่มีความยึดมั่น ถือมั่นว่าตัวกู มันจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ไม่มีปัญหา ไม่มีภาระหนักของชีวิต มันจะเป็นอะไรมันก็ยังคงเป็น เพียงชีวิต มันจะได้จะเสียจะขาดทุนจะกำไร มันก็เป็นชีวิตของชีวิต ไม่ใช่ชีวิตของตัวกู นี่แหละคือความลับที่ว่าทำให้ไม่เป็นทุกข์
และทีนี้ชีวิตที่ไม่ยึดถือชนิดนี้ มันเต็มไปด้วยสติปัญญา มันมีสติปัญญาสูงสุดอยู่ในความไม่ยึดถือนั่นเอง ก็เลยไม่มีความทุกข์ สติปัญญาคอยมองเห็นว่ากำลังก้าวหน้าไปในความสำเร็จเรื่อยๆ มันก็เป็นสุข มันก็พอใจ ยิ่งเป็นผู้เห็นชัดลงไปว่า หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ การงานคือธรรมะ ก็ยิ่งพอใจในการที่มีธรรมะมากขึ้นๆ ท่านจะต้องมีธรรมะ รู้สึกสูงสุดของพระพุทธศาสนาอย่างนี้เท่านั้นแหละ เมื่อชีวิตนี้มันจะมีความสวยงาม สดชื่น รื่นเริง เยือกเย็น เหมือนกับว่าผีเสื้อจะบินหาเกสรดอกไม้ ไม่มีความทุกข์เลย
แต่คนโดยมากเขาคิดว่า มันสูงเกินไปทำไม่ได้ มันสูงเกินไปหรือเปล่าหากเราลองคิดดู สูงหรือต่ำ ยากหรือง่ายนี่มันมีอยู่สองความหมาย สำหรับคนโง่มันก็ต้องยาก มันก็ต้องสูง ถ้าคนที่ไม่โง่เกินไปมันก็ไม่ยากหรือไม่สูงเกินไป มันพอจะทำได้ แต่เพราะเหตุที่ว่าเขาไม่สนใจเสียเลย เขาก็เข้าใจไม่ได้ เขาก็ดำรงจิตใจชนิดนี้ไม่ได้ เมื่อดำรงจิตใจชนิดนี้ไม่ได้ มันก็ต้องมีความทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ เพราะมันทำผิดทางจิตใจ พระเจ้าที่ไหนที่ไหนจะมารุมกันช่วย มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีสติปัญญาอันถูกต้องอยู่ใน ชีวิตนั้น มันต้องสูงบ้างสิ เพราะว่ามันจะอยู่เหนือความทุกข์นี่แล้วจะไม่ให้สูงอย่างไร มันจะอยู่เหนือ ความทุกข์เหนือปัญหานี่ มันก็ต้องสูงบ้างเป็นธรรมดา
ทีนี้เขาสอนกันเสียว่า ไม่ต้องๆ อยู่ในโลกก็ต้อง เอาไปตามเรื่องโลก อย่าเอาธรรมะสูงสุดเข้ามาเกี่ยวข้องเลย อาตมาถูกเขาล้อเลียน ด่าว่ามาสอนให้คนเอาขนมปังแผ่นหนึ่งมาทาเนยสองหน้า อาตมาก็บอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นแซนด์วิชที่ประกบไส้โดย ขนมปังสองชนิดที่มันต่างกัน หมายความว่าเรื่องโลกโลกียะก็ทำได้ดี เรื่องโลกุตตระก็ทำได้ดี เขามีสติ ปัญญาตามที่พระพุทธเจ้ามีให้ เอามาใช้ในการดำรงชีวิตเป็นสุขอยู่ได้ ไม่มีปัญหา อะไรจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจ นี่เรียกว่า หาเลี้ยงชีวิตแท้ๆก็ไม่มี ความทุกข์เลย
เวลาในตอนหนึ่งนี้ก็หมดแล้ว ขอยุติไว้ด้วยการฝากไว้กับท่านทั้งหลายว่า มันมีวิธีของธรรมะใน พระพุทธศาสนา ที่จะช่วยเราทำมาหากินอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่มีความสุขความพอใจ ไม่แพ้ผีเสื้อที่เที่ยว บินไป แสวงหาอาหาร เราเป็นคนทั้งทีอย่าให้ได้ละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน เรื่องมันก็จะจบกัน ขอให้ทุกท่าน ทำได้อย่างนั้น มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรี ทั้งเวลาพักผ่อนและเวลาการงาน อยู่ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ