แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นที่น่ายินดี ญาติโยมทั้งหลายยังอยู่กันมาก ภิกษุ สามเณร สหธรรมิกทั้งหลายก็อยู่กันมาก ตั้งแต่กลางวันจนบัดนี้ ก็เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยมาก แต่ขอให้มองในแง่ที่ว่า เราก็ต้องได้รับประโยชน์มาก ทั้งประโยชน์ตนเองและประโยชน์ส่วนรวม เรามีหน้าที่ทำประโยชน์ตนเองให้ลุล่วงไปก่อน แล้วก็ทำประโยชน์ส่วนรวมให้ลุล่วงไปด้วย เดี๋ยวนี้เรามาที่นี่ในวันที่กำหนดไว้ว่าเป็นวันเยี่ยมสวนโมกข์นี้ ก็เพื่อวัตถุประสงค์อันนี้เอง เราตั้งใจจะสนองพระพุทธประสงค์ ทำให้ธรรมวินัยนี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่คนในโลก ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมีธรรมวินัยนี้ คือไม่ต้องมีศาสนานั่นเอง โลกปัจจุบันยิ่งต้องการศาสนาหรือธรรมวินัยมากขึ้น ไม่ต้องบอกเห็นกันอยู่ทุกคนว่ามันมีอะไรมากขึ้น สิ่งที่ไม่พึงปรารถนามันมากขึ้น อันธพาลหรือว่าเหตุการณ์ร้ายต่างๆมันเพิ่มมากขึ้น แล้วมันเป็นเรื่องเล่นตลกอย่างยิ่ง เขาพูดกันว่าโลกนี้เจริญ การศึกษาเจริญ หรือศาสนาเจริญ ล้วนแต่เจริญ แต่พอไปดูอีกทางหนึ่ง เรือนจำมันเพิ่ม ต้องเพิ่มจนเพิ่มไม่ทัน โรงพักตำรวจก็เพิ่ม รู้สึกว่าไม่พอ ไม่พออยู่ทุกหนทุกแห่งนะตำรวจน่ะ และโรงพยาบาลประสาทมันก็ไม่พอ ไม่พอ เพิ่มเท่าไหร่มันก็ไม่พอ ดูสิ มันเพิ่มโรงพยาบาลประสาทหรือแม้แต่โรงพยาบาลธรรมดานี่น่ะ ที่มันฆ่าฟันกันมาก นี้ต้องเพิ่มโรงพัก ต้องเพิ่มเรือนจำ นี้ไม่มีใครปฏิเสธ มันเห็นอยู่ชัด ชัด ว่ามันยังไม่เข้ารูปเข้ารอย เราจึงยังต้องช่วยกันอีกมาก ถ้าเมื่อไหร่สิ่งเหล่านี้มันลด นั่นแหละเป็นที่นอนใจได้ว่ามันสำเร็จประโยชน์ ถ้าเรือนจำมันลด ถ้าโรงพยาบาลบ้ามันลด ถ้าคุกตะรางมันลดหรือมันร้างไปนั่นล่ะเป็นเครื่องบอกว่าในโลกนี้มันมีแต่ความสงบสุข เดี๋ยวนี้มันยังแสดงไปในทางตรงกันข้ามยิ่งขึ้นทุกที นี่เรียกว่าประโยชน์ส่วนรวมมันเป็นอย่างนี้ นี้ประโยชน์ส่วนตัวเราก็เหมือนกันแหละ ถ้าเรานอนหลับสนิทยิ่งขึ้นทุกที นอนหลับได้โดยไม่ต้องกินยานอนหลับ ระงับประสาทได้โดยไม่ต้องกินยาระงับประสาท อันนั้นมันก็ถูกแหละ ถูกสำหรับพุทธบริษัทที่มีธรรมะ ทำให้ตัวเองมีความผาสุก ทั้งหมดนี้มันกำลังเป็นปัญหา ถ้าเรายังนอนกันไม่ค่อยหลับ ให้น่าละอายแมวอยู่อย่างนี้ มันก็ ก็ต้องแก้ไขแน่นอน และเพื่อเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ก็ยังต้องแก้ไขในส่วนสังคม ทีนี้เราก็มาประชุมกันที่นี่ ดังนั้นขอให้การประชุมของเรานี้ได้เป็นไปเพื่อช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น ทีนี้เราก็มาพูดกัน อย่างที่พูดไปแล้วนี้ ขอให้ทุกคนถือเอาประโยชน์ให้ได้ทั้งบรรพชิต และทั้งญาติโยม อาตมาจะต้องบอกกับญาติโยม เผื่อว่าจะยังไม่ทราบ การพูดปรึกษากัน สัมมนากันอย่างนี้มันจำเป็นแหละที่มันจะต้องมีสองรูปแบบ รูปแบบที่หนึ่งทุกคนพูดบรรยาย ความคิดเห็น ความรู้สึก คิดนึก สติปัญญาของตน ของตนออกไป ไม่มีการลงมติ คือไม่มีการสรุปกันลงมติ นี้ก็เพื่อว่าให้เราได้ระบายความรู้สึก คิดนึก สติปัญญา ออกมาให้หมด และเพื่อนของเราได้ฟังแล้วก็เลือกเก็บเอาไปในแง่ที่ดี ที่มีประโยชน์ โดยไม่มีใคร บังคับ กะเกณฑ์ เมื่อเราพูดกันมากเข้า บ่อยเข้า คนเหล่านั้นเขาก็เก็บเอาไปได้มาก เอาไปใช้เป็นประโยชน์ในวิชาความรู้ของเขา ขอให้มองเห็นว่าแม้เราจะไม่มีการลงมติ ว่าจะเอา ยุติกันอย่างไร ก็ยังดี ยังมีประโยชน์ ขอให้พยายามพูดออกมาให้มาก ที่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือมีประโยชน์หรือจะมีประโยชน์แล้วก็ขอให้พูด แล้วทุกคนก็คอยเก็บเอา เก็บเอา เก็บเอาไปใช้ต่อหนึ่ง ทีนี้อย่างที่สอง ถ้าว่าเราจะพูดกันอย่างลงมติ ในที่สุดก็ลงมติ เป็นอันหนึ่งอันเดียว นี้มันก็ดีเหมือนกัน เมื่อเราต้องการจะให้ประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน เหมือนกัน ตลอดทุกคณะ ทุกทีม มันก็ต้องลงมติ แต่มันมีความยากลำบากตามธรรมชาติ ไอ้เรื่องลงมตินี้มันลงยาก คงจะเข้าใจกันแล้วที่หลายๆคนพูดแล้ว จะลงมติ ยุติ ว่าเอาอย่างไร มันลงยาก ในบางกรณีมันก็ลงได้ ไม่ใช่จะไม่ได้เสียเลย เราจะลงเฉพาะในกรณีที่มีหลักเกณฑ์ว่าเราจะไปพูดให้เหมือนๆกันเป็นอย่างเดียวกันหมด นี่เราจึงลงมติยุติว่าเอาอย่างนี้นะ แล้วก็ไปพูดที่ไหนก็พูดเหมือนๆกัน อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อนี่มันเป็นเรื่องที่จะต้องลงมติ
ขอให้ญาติโยมทั้งหลายได้รับประโยชน์ทั้งสองทาง ถ้าผู้พูดเขาไม่ได้ลงมติสรุปว่าอย่างไร ก็เก็บเอาไปแต่ละข้อ ละแง่ไปเป็นวิชาความรู้ ไปเป็นประโยชน์ ถ้าเขาลงมติว่าเอากันอย่างนี้เราก็ถือว่าเอากันอย่างนี้ นี่มันเป็นเรื่องที่ได้ทำกันอยู่และทำกันอยู่จริงในบัดนี้ ถ้าพูดกันอย่างไม่ลงมติก็ได้ประโยชน์ไปทางหนึ่ง ถ้าพูดกันอย่างลงมติมันก็ได้ประโยชน์ไปอีกทางหนึ่ง จะเรียกว่ามันไม่ด้อยกว่ากันละ มันอยู่ที่ว่าคนฟังจะฟัง จริงหรือไม่จริง ฟังดีหรือไม่ดี ถ้าฟังดีก็ได้ปัญญามาก เหมือนกับเราฟังเทศน์ ไม่ต้องมีใครมาลงมติ เราเก็บเอา เก็บเอา เก็บเอา เดี๋ยวนี้ก็ได้ยินได้ฟังหลายอย่างจากหลายองค์ หลายท่าน มันก็ยิ่งดี ฉะนั้นขอให้ถือว่านี้ได้รับประโยชน์ และก็คุ้มค่ามา คุ้มค่าเหน็ดเหนื่อย คุ้มค่าลำบาก จะทำให้วิชาความรู้ของเรา ก้าวหน้ายิ่งยิ่งขึ้นไปทุกปี อาตมาขอร้องว่าให้โยมได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นทุกปี แล้วภิกษุ สามเณร ผู้เทศน์ ผู้พูด ก็จะก้าวหน้าขึ้นไปทุกปี คือพูด ต้องเรียกว่าพูดดี พูดดีขึ้นไปทุกปีคือมีประโยชน์และฟังง่ายมากขึ้น เพราะว่าเราซักซ้อมกันอยู่เป็นประจำ ที่จริงเรื่องเดียว มันก็มีการพูดได้หลายๆชนิด หลายๆแง่ หลายวิธี หรือหลายคำ ยกตัวอย่างเช่นว่า อะไรเป็นเรื่องสรุปรวมทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ใครมองเห็นอย่างไร ก็ตอบไปอย่างนั้น แต่แล้วมักจะตอบต่างๆกัน ไปดูเถอะมันไปรวมจุดเดียวกัน จะตอบเรื่องอริยสัจ จะตอบเรื่องไม่มีตัวตน จะตอบอะไรก็ตาม เพราะว่าโดยสรุปแล้วมันไปรวมอยู่ที่เรื่องความรอด วิมุตติ หลุดพ้น ไม่ยึดมั่น จึงจะวิมุตติ จึงจะหลุดพ้น แล้วก็เรียกว่าความรอด เรียกว่า วิมุตติ พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นจุดหมาย ถ้าเราจะเรียนก็เรียนเรื่องวิมุตติ หลุดรอด ถ้าจะปฏิบัติก็ปฏิบัติเรื่องวิมุตติ หลุดรอด ถ้าจะได้ผลก็ได้ผลเป็นวิมุตติ หลุดรอด ถ้าเราไม่เรียกว่า วิมุตติ เราก็มีทางที่จะเรียกด้วยคำอื่นๆเช่น เรื่องอริยสัจ ในที่สุดมันก็เป็นความหลุดรอด จะพูดว่าไม่ยึดถือสังขารทั้งปวง มันก็เป็นความหลุดรอด ใช้คำพูดต่างกันแต่หมายถึงเล็งถึงสิ่งเดียวกัน ข้อนี้เป็นสิ่งที่จะต้องมองเห็น ชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งว่าไม่มีคำพูดที่ผิดแม้ว่าพูดต่างกัน และก็ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน เพราะเหตุนี้ อย่างนี้เป็นต้น ขอให้เราได้พูดเรื่องที่มีประโยชน์มากขึ้น ประชุมกัน แล้วก็พูด แล้วก็ปรึกษากันด้วยเรื่องที่ดี มีประโยชน์ยิ่งขึ้น จะลงมติสรุปหรือไม่ลงมตินั้นไม่เป็นไร ในเรื่องที่ควรจะต้องลงมติก็ลง เพราะว่าเราจะได้ไปพูดตรงกันหมด พูดที่ไชยา พูดที่หลังสวน พูดที่ชุมพร พูดที่สงขลา มันก็จะได้ลงเป็นรูปเดียวกันหมด เพราะว่าเราประชุมกันแล้วก็ลงมติ สรุปความตรงกันว่ามันเป็นอย่างนี้ ถูกต้องทั้งทางพระคัมภีร์ ตรงตามข้อความในพระคัมภีร์ ถูกต้องทั้งโดยธรรมชาติ คือธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนั้นจริง พระคัมภีร์กับธรรมชาติไม่เคยทิ้งกันหรอก เว้นไว้แต่ว่าเราจะตีความพระคัมภีร์ผิด เมื่อไรเราตีความในพระคัมภีร์ผิด จะทิ้งหลักธรรมชาติและก็ดึงกัน ลงกันไม่ได้ เรื่องนี้ผมพบด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นอันหวังว่าเราจะมีการพูดจาที่ถูกต้อง ทั้งโดยหลักในพระคัมภีร์ และโดยหลักที่มันเป็นอยู่จริงตามธรรมชาตินั้นๆ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นคือเรื่องธรรมชาติทั้งนั้นแหละ เรื่องตัวธรรมชาติเองบ้าง เรื่องตัวกฎของธรรมชาติบ้าง เรื่องตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติบ้าง เรื่องผลจากหน้าที่บ้าง เมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ ท่านได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านก็นำมาสอน ฉะนั้นคำสอนก็คือคัมภีร์ ที่เราเรียกว่าพระคัมภีร์นั่นเอง แล้วมันจะต่างกันอย่างไรเล่า ถ้าท่านตรัสรู้เรื่องธรรมชาติ แล้วก็สอนไปตามหลักเกณฑ์ของธรรมชาติปรากฏอยู่เป็นคัมภีร์ มันก็ตรงกัน ถ้ามันเกิดแตกแยกกันแล้วมันก็ผิด ผิดแล้ว คำสอนเป็นสิ่งที่ผิดได้ เพราะเรารับช่วงกันมาโดยสะเพร่ามันก็ผิดได้ แต่ธรรมชาติมันจะตายตัวอยู่เสมอ จึงมีการทดสอบพร้อมกันไปเลย ถ้ามันผิดหลักของธรรมชาติแล้วมันดับทุกข์ไม่ได้ มันจะเอาตัวรอดไม่ได้ ขอให้ระวังแต่เพียงเท่านี้มันก็พอ
ผมขอแสดงความยินดีในการมาและขอขอบพระคุณในการมา ในส่วนที่ว่ามันจะรู้สึกส่วนตัว และขอให้เรารักษากิจกรรมอันนี้ให้คงอยู่ และให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปในโอกาสหน้า ขอโอกาสพูดตรง ตรง อีกสักข้อหนึ่งว่า ในคราวต่อไปถ้าเราได้พบกันอีก ขอให้ได้มีการปรึกษาโดยตรง ให้มากยิ่งขึ้นไปกว่านี้ โดยเฉพาะองค์ที่เป็นหัวหน้าทีม ทีมเล็ก ทีมใหญ่ ทีมน้อย ทีมอะไรก็ตาม ขอระบุองค์ที่เป็นหัวหน้าทีม ได้มาปรึกษาหารือ แล้วก็จะได้วินิจฉัย ในส่วนที่มันเป็นปัญหาจริงๆ พบวิธีที่จะแก้ปัญหาได้จริงยิ่งๆขึ้นไป เราจะไม่ทำเพียงแต่ว่าเป็นพิธี คือจะไม่ทำสักว่าเป็นพิธี คือไม่ ไม่ ไม่ชอบพิธีกรรม พิธีกรรมนี้ไม่ ไม่ได้ชอบอะไรนัก แต่มันก็จำเป็นบ้าง มันก็ทำไปตามเรื่อง ถ้าจะเอาเนื้อแท้ซึ่งไม่ใช่พิธีกรรม คือเนื้อแท้ของเรื่องที่จะต้องพูดกันให้เกิดแสงสว่าง จะได้เลือกเอาไปใช้ หรือถ้าจะต้องลงมติยุติกันอย่างไร ก็จะได้ลงมติที่เป็นเชิงยุติ ถ้าสิ่งใดมันลึกไปเกินกว่าความสามารถของบางท่าน ให้ท่านที่รู้ก็เป็นผู้พูด อย่างว่าท่านพยอมเขาถนัดในเคล็ดของการเผยแผ่ ก็ให้เขาพูดเฉพาะเคล็ดของการเผยแผ่ แล้วก็หลักธรรมะอันลึกที่ไม่ใช่เคล็ด มันก็มีองค์อื่นที่จะต้องพูด ไม่ว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะจุด เฉพาะข้อ มันก็เป็นองค์อื่นอีกแหละที่จะต้องพูด ฉะนั้นแต่ละองค์มีความเหมาะสมที่จะพูด ขอให้ทุกองค์ได้พูดส่วนที่ตัวถนัด เรียกว่าพูดให้สิ้นเชิง ให้ชัดเจน ให้เกลี้ยงเกลา แล้วสิ่งนี้จะมีประโยชน์ที่สุด เกินค่าที่เราลงทุน เกินค่าที่เราลงทุนเวลา เรี่ยวแรง เหน็ดเหนื่อยต่างๆนี่ ขอให้ในอนาคต เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ให้เราได้พบกัน เพื่อวินิจฉัย เจาะจงลงไปยังตัวปัญหา ให้มากกว่าที่แล้ว แล้วมา ที่แล้วมาก็ไม่ใช่จะเสียประโยชน์อะไรทั้งหมด มันก็มี แต่ว่าเราอาจจะทำให้ได้มากกว่านั้น เราจึงหมายมั่นไว้ ปักใจไว้ว่า โอกาสหน้าเราจะพบปะกัน โดยการใช้เวลาวินิจฉัยตัวปัญหา ปรึกษาวิธีที่จะแก้ปัญหาให้ได้ ให้ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป พิธีกรรมทั้งหลายลดลง แต่เนื้อหาสาระของเรื่องให้เพิ่มขึ้น
ขอขอบพระคุณ ขออนุโมทนา และขอแสดงความหวังว่า มันจะเป็นไปในลักษณะที่เราหวังกันไว้อย่างนี้ และขอให้ทุกองค์มีสติปัญญา สามารถ กล้าหาญ ปฏิบัติงานในหน้าที่แห่งสาวกของพระศาสดา เพื่อประโยชน์แก่การสนองพระพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ มีความสุข สนุกสนานในการงาน และก็ทำได้มาก ทำได้มาก ทำได้ดี เพราะมีความสุขพอใจในการทำงาน จะทำได้มาก ก็เป็นอันว่าจะต้องเอาชนะปัญหาทั้งหลายได้เป็นแน่นอน พร้อมกันกับที่เรามีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล
ขอยุติด้วยความขอบพระคุณและอนุโมทนาเพียงเท่านี้