แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงยินดีในการมาของท่านทั้งหลายถึงที่นี่ แต่เมื่อได้ทราบว่า เป็นครูกันแทบทั้งนั้น ก็ยิ่งมีความยินดีที่ได้พบกับพวกครู โดยถือว่าครูมีความสำคัญในการสร้างโลก โลกมันจะเป็นอย่างไร มันแล้วแต่พวกครูมันจะสร้างขึ้นมาอย่างไร คือสร้างเด็กขึ้นมาอย่างไร โลกมันก็เป็นไปตามเด็กที่เราสร้างขึ้นมา พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ถ้าท่านยอมรับในข้อนี้ ก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้ามากเป็นพิเศษในการที่จะสร้างโลกขึ้นมา อาตมาได้รับคำขอร้องว่าให้พูดอะไรบ้างสักนิดหนึ่งแก่ท่านทั้งหลาย ก็นึกได้แต่เพียงเรื่องของความเป็นครู มีความหมายโดยหลักใหญ่ ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ท่านสร้างโลกมันให้เป็นอย่างไร เราก็ควรจะเป็นอย่างนั้น บางคนคิดแต่ว่าครูเป็นเพียงอาชีพรับจ้างสอนหนังสือ เอาเงินไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่างนี้ไม่ใช่ครู ถ้าครูต้องมีอาชีพเป็น
ปูชนียบุคคล คือให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ ในฐานะที่เป็นเรื่องของการสร้างโลกให้ดีขึ้น เพราะว่าโดยที่แท้แล้ว การศึกษามันมีอยู่ถึงสามอย่าง หนึ่ง - ให้ศึกษาเพื่อรู้หนังสือหนังหา เป็นคนฉลาดนี่อย่างหนึ่ง สอง - ให้มันมีอาชีพมาเป็นวิชาชีพนี่อย่างหนึ่ง และสาม - มันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี่เรื่องหนึ่ง เป็นสามเรื่อง เดี๋ยวนี้ในโลก พูดว่าในโลกทั้งโลกเลย ได้เลยว่า ให้การศึกษากันแต่สองอย่างแรก คือให้รู้หนังสือเป็นคนฉลาด และก็ให้รู้อาชีพ ส่วนอย่างที่สามเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ มันเป็นมนุษย์อย่างเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนั้นไม่ได้สอนกัน ก่อนนี้ก็มีสอนธรรมะหรือศาสนา ผนวกอยู่ในการศึกษาของชาวบ้าน แม้ต่างประเทศทั่วโลกในเมืองฝรั่งมันก็สอนกันอย่างนั้น มีเรื่องศาสนารวมอยู่ในการศึกษา แม้ในประเทศไทยเรา ก็ขอให้ลองนึกดูว่าสมัยก่อนโน้นเราไม่ได้เรียกว่ากระทรวงศึกษาธิการ แต่เราเรียกกระทรวงนี้ว่า กระทรวงธรรมการ ใครมีอายุมากสักหน่อยก็ทันได้ยิน ได้เห็นกระทรวงธรรมการ ก็คือกระทรวงเกี่ยวกับธรรมะ ก็คือเรื่องของศาสนานั่นเอง ถือว่าธรรมะเป็นเบื้องหน้า ถือเอาเรื่องหนังสือหนังหาเป็นอุปกรณ์ เป็นการผนวก เพราะว่าเราจะเป็นคนกันได้ เป็นมนุษย์กันได้นั้น ก็ด้วยอำนาจของธรรมะ ไม่เพียงแต่รู้หนังสือ หรือทำอาชีพได้ รู้หนังสือยิ่งฉลาด ยิ่งไม่มีธรรมะ ยิ่งไม่เป็นมนุษย์ การศึกษากำลังสูญเปล่าอย่างยิ่งทั่วไปทั้งโลก คือว่าศึกษาแล้วมันไปเสพเฮโรอีน มันโง่กี่มากน้อย การศึกษาที่ให้ไว้แล้ว ไม่ป้องกันเด็ก ๆ ให้เว้นจากเฮโรอีนได้ นี่ก็เป็นการศึกษาสูญเปล่า มันก็เป็นกันทั้งโลก และต่อมามันก็ทำคอร์รัปชั่น คนที่มีการศึกษาเพียงหนังสือกับอาชีพ และไม่ได้ศึกษาธรรมะนั้น เสพเฮโรอีน ทำคอร์รัปชั่น เป็นอันธพาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันธพาลทางเพศ ซึ่งหนาแน่นยิ่งขึ้นทุกที นี่เพราะมันไม่มีความเป็นมนุษย์ในด้านจิตด้านวิญญาณ มันรู้แต่หนังสือหนังหา ฉลาด และมันรู้แต่ประกอบอาชีพ มันบังคับกิเลสไว้ไม่ได้ มันต้องการมากเกินไป มันก็ทำทุจริต นี่เป็นอย่างนี้กันทั้งโลก ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสังเกตดูเห็นความจริงข้อนี้ว่า เราให้การศึกษาเด็ก ๆ เพียงสองอย่างคือให้รู้หนังสือ และอาชีพ ส่วนเรื่องทางจิตทางวิญญาณนั้นตัดทิ้งไปแล้ว คนไทยเรามันตามก้นฝรั่ง เมื่อฝรั่งเขาปัดทิ้งเรื่องศาสนาออกไปจากการศึกษา เราก็ไปตามก้นเขาด้วย นี่พูดกันอย่างเปิดอก ไม่ต้องเกรงใจ เพราะว่าเราเป็นครูด้วยกัน อาตมาเป็นครูเพราะว่าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครู ก็เรียกว่าตัวเองเป็นครูด้วย ท่านทั้งหลายก็เรียกตัวเองว่าเป็นครู ดังนั้นเราพูดกันตรง ๆ ได้ ว่าความเป็นครูนี้กำลังเสื่อมคุณค่า การศึกษาสูญเปล่า อยู่ในส่วนที่ว่าสอนเด็ก ๆ แล้ว มันก็ยังไปเสพเฮโรอีน มันจะได้ประโยชน์อะไร ไอ้การศึกษาชนิดนี้ ถ้ามันยังทำคอร์รัปชั่น ถ้ามันยังมีอันธพาล หรือมันไปเป็นผู้แทนที่เลว เป็นราษฎรที่เลือกผู้แทนอย่างเลว เห็นแก่พรรคพวก ไม่เห็นแก่ประชาธิปไตยอันแท้จริง เพราะการศึกษามันไม่ดี การศึกษามันยังสูญเปล่า แล้วใครเล่าเป็นผู้ให้การศึกษา นั่นคือครูทั้งหลายนี่เอง จึงอยากจะบอกว่าต่อไปนี้ขอให้สนใจการศึกษาอย่างที่สาม คือเรื่องทางจิตทางวิญญาณกันซะบ้าง จะได้สอน
เด็ก ๆ ให้มันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มีคุณธรรมสำหรับความเป็นมนุษย์ มันจะเว้นยาเสพติด จะเว้นคอร์รัปชั่น จะเว้นความเป็นอันธพาล ดูเหมาะสมที่จะเป็นนักประชาธิปไตยที่ดี คือ มันมีศีลธรรม ซึ่งประชาธิปไตยนั้น มันเหมาะแต่คนที่มีศีลธรรมเท่านั้น ถ้าสำหรับคนที่ไม่มีศีลธรรม ประชาชนไม่มีศีลธรรมแล้ว ประชาธิปไตยเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ไม่มีอะไรจะเลวเท่า เป็นเผด็จการเสียดีกว่า ขอให้เรานึกถึงการศึกษาที่มันยังโหว่อยู่ ไม่ได้สอนให้ทางด้านจิตทางด้านวิญญาณ สอนแต่เรื่องหนังสือให้ฉลาด สอนแต่เรื่องอาชีพ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ขาดความเป็นมนุษย์ที่ดี ที่ถูกต้อง เราจึงอยู่กันอย่างทนทรมานเบียดเบียนกันไปทั้งโลกเลย นี่ขอให้นึกถึงการศึกษาคืออะไร อะไรยังขาดอยู่ มันเป็นหน้าที่ของใครที่จะต้องทำให้เต็ม ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของครู นี่ถ้าครูคิดเสียว่าเราเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่ง ๆ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าท่านคิดอย่างเรียกว่าเป็นธรรม ประกอบด้วยธรรม เมื่อเป็นครู ก็ต้องทำหน้าที่ของครู แล้วเรื่องมันก็จะไม่เป็นอย่างนี้ คือจะแก้ไขในสิ่งที่เลวร้ายให้ดีขึ้น ครูไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง คำว่าครู ถ้าเอาภาษาโบราณดึกดำบรรพ์ในอินเดีย นักศึกษาทางภาษานี้เขาก็พูด ก็ยอมรับกันว่า คำว่าครูนี้ แปลว่าเปิดประตู
ในรากศัพท์จะว่าอย่างไรก็ยาก มันเป็นภาษาโบราณเกินไป ตามที่คำว่าครู ครูนี่มันมา ไม่ได้เกิดในโลกมาตั้งแต่ครั้งไหน แต่ก็ยุติว่าเป็นผู้เปิดประตู ตามตัวหนังสือ แปลว่าผู้เปิดประตู ตามความหมายก็ผู้นำในทางวิญญาณ เปิดประตูนี้มันเหมือนกับว่า สัตว์ทั้งหลายมันอยู่ในความมืด เหมือนคอก เหมือนเล้า ทั้งมืด ทั้งเหม็น ทั้งร้อน ทั้งสกปรก อะไรก็ตาม มันถูกขังอยู่ในคอก พอเปิดประตูมันออกจากคอกมาอยู่ที่โล่งแจ้งสบาย ครูทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ ให้วิญญาณของมนุษย์ออกมาเสียจากความทุกข์ทนเหล่านั้น ในฐานะเป็นผู้นำทางวิญญาณ มันก็เป็นครูที่สูงขึ้น ๆ ในทางจิตทางวิญญาณ ทำให้โลกนี้มีสันติภาพได้ ถ้าในโลกนี้เรามีแต่คนที่ประกอบด้วยธรรมะแล้ว ไม่ต้องรู้หนังสือก็ได้ โลกนี้ยังมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้มันไม่มีคุณธรรมส่วนนี้ และยิ่งรู้หนังสือ ยิ่งมีอาชีพดีวิเศษอย่างไร มันก็ยิ่งมีแต่วิกฤติการณ์ คือความเดือดร้อน ระส่ำระสาย เห็นแก่ตัว เอาเปรียบกันอย่างที่เห็นกันอยู่ และไม่ได้เห็นว่า ไอ้โลกนี้มันมีความสงบสุขหรือสันติภาพอยู่ที่ตรงไหนเลย มันมีแต่วิกฤติการณ์เห็นชัด ๆ บนดินบ้าง ใต้ดินบ้าง นี่แปลว่ามนุษย์ยังไม่ได้รับประโยชน์จากความเป็นมนุษย์ เพราะละเลยไอ้สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งคือธรรมะนั้น คือเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ที่ทำให้มีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ที่เมื่อก่อนเขาแฝงไว้ในการศึกษาของกุลบุตรทั่ว ๆ ไป ในเมืองฝรั่ง ถ้าเราไปลองเอาไอ้หนังสือบทเรียน หนังสือหรือแบบเรียนสอนอ่านที่ใช้อยู่ในโรงเรียนเมื่อสมัย 50-60 ปีมาแล้ว มาพิจารณาดู ดูแบบสอนอ่านในโรงเรียนนั้น จะพบว่าทุกบทมันมีหยอดท้ายอยู่ในเรื่องของพระเจ้า ในเรื่องศาสนาให้คนกลัวบาปรักบุญทั้งนั้น แต่แล้วแบบเรียนของพวกฝรั่งนั่นเอง เข้ามาถึงสมัยนี้มาเปิดดูจะไม่เห็นเรื่องอย่างนั้น จะไม่เห็นลักษณะอย่างนั้น มันกลายเป็นเรื่องอวกาศ ปรมาณู เทคโนโลยีอะไรไปหมด เด็ก ๆ มันก็ต้องเปลี่ยน ที่ไทยเรานี้ก็ไปตามก้นฝรั่งนี่เอง พูดมาเถอะ เรียกว่าด่าตัวเอง และก็ด่าทุกคนด้วยว่าไปตามก้นฝรั่ง ฝรั่งเขาเอาอย่างไร เราก็เอาอย่างนั้น โดยไม่ต้องพิจารณาดู แบบเรียนของไทยก็จึงมีแต่แบบเรียนอย่างนั้นตามไป ถ้าเราดูแบบเรียนสมัยก่อนของเด็กนักเรียนแล้ว มันจะมีเรื่องธรรมะ เรื่องศีลธรรม และมีแบบเรียนสำหรับศีลธรรมโดยเฉพาะ และยังมีฝากไว้ในแบบเรียนทั่ว ๆ ไป ถ้าว่าครูตั้งใจจะสอนธรรมะแล้วมันก็พูดได้ แทรกลงไปได้ในวิชาทุกวิชา แม้แต่วิชาเลข วิชาวาดเขียน วิชาอะไรก็ตาม ซึ่งเห็นว่ามันไม่น่าจะใส่ธรรมะลงไปได้ ถ้านักสอนศาสนาเขาสอนเลขว่าทำไม 2+2 เป็น 4 มันก็เรื่องของพระเจ้า พระเจ้าบังคับให้เป็นอย่างนั้น มันทำให้คนเกิดความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้า เดี๋ยวนี้เรามันไม่สอนกันอย่างนั้น ไม่สอนอะไรให้รักพระเจ้า ให้รักพระธรรม ให้รักความจริง ให้กลัวกฎของธรรมชาติ ถ้าว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาอันนี้แล้ว ก็ขอให้ช่วยกันดึงเอาธรรมะกลับมาผนวกอยู่ในการสอน ไม่ว่าจะเป็นสอนหนังสือก็ดี สอนอาชีพก็ดี สอนให้มีไอ้เรื่องของศีลธรรมฝากอยู่ในนั้นด้วย และนี่จะเป็นเรื่องที่ว่าจะกู้สถานะทางจิตทางวิญญาณของมนุษย์ในโลกให้สูงขึ้น เด็กนักเรียนที่ได้รับการอบรมดีอย่างนี้ เขาคงจะไม่โง่ ถึงกับว่าเรียนแล้วไปเสพยาเสพติด นี่โตขึ้นพร้อมที่จะเห็นแก่ตัว และก็ทำคอร์รัปชั่น ไม่ถึงกับเป็นอันธพาลอันเลวร้าย เขาจะเป็นพลเมืองที่ดี รู้จักเลือกผู้แทนที่ดี และมีผู้แทนที่ดี เข้าไปนั่งกันเต็มสภาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่มีอะไรมากที่จะพูดแก่ท่านทั้งหลายได้ เพราะได้ยินว่าเวลามีนิดเดียว นี่ก็จะพูดมากไปแล้ว จนบางคนรำคาญแล้วก็ได้ ดังนั้นก็จะขอสรุปความว่า การได้มาที่นี่ มานั่งอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ขอให้มันเป็นการศึกษาด้วยสักอย่างหนึ่งเถิด ว่าเดี๋ยวนี้ท่านมานั่งอยู่กลางดิน ขอให้จิตระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้านั้น เมื่อประสูติ ท่านก็ประสูติกลางดิน ท่านเป็นเจ้านาย เป็นกษัตริย์ ควรจะประสูติในรั้วในวัง ในอะไรก็ตามแบบของกษัตริย์ แต่ท่านก็ไปประสูติกลางดิน ในสวนลุมพินี เมื่อถึงคราวที่จะตรัสรู้ ท่านก็ตรัสรู้ เมื่อนั่งกลางดินที่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งริมตลิ่ง ที่เรียกกันว่า ตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำเนรัญชรา อย่างนี้เป็นต้น และเมื่อท่านนิพพาน ท่านก็นิพพานกลางดิน ในสวนต้นสาละ ของมัลละกษัตริย์ นี่ถ้าพูดอย่างบ้านนอก ภาษาบ้านนอก ภาษาคนธรรมดาก็ว่า เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน แล้วก็ตายกลางดิน นี่เมื่อท่านสอนสาวกอยู่เป็นประจำ ก็สอนกลางดิน เพราะกุฏิของพระพุทธเจ้าก็พื้นดิน ไปดูเถอะในประเทศอินเดีย ยังอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ กุฏิพื้นดินทั้งนั้น ทีนี้เรามานั่งกลางดินอย่างนี้ ควรจะระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าว่าเราได้นั่งอยู่บนที่นั่งกินนอนของพระพุทธเจ้าคือกลางดิน และจิตใจมันก็จะลดลงมา ไม่ฟุ้งไปด้วยอำนาจของกิเลส เพราะมันใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด นั่งพูดกันกลางดินอย่างนี้ มันนั่งพูดกันใกล้ชิดธรรมชาติ ต้นไม้ ต้นไร่ ก้อนหิน ก้อนดิน มันเป็นธรรมชาติ จิตมันก็ไปตามอำนาจของธรรมชาติ มันนั่งพูดกันอย่างนี้ รู้ธรรมะได้ง่ายกว่าที่จะนั่งพูดกันบนตึกเรียนอันหรูหราของโรงเรียน ของวิทยาลัย ของมหาวิทยาลัย ขอให้จำกันไว้ด้วย นั่งกลางทรายกันอย่างนี้ พูดธรรมะรู้เรื่องง่ายกว่าที่จะไปนั่งบนตึกเรียนอันหรูหราของโรงเรียนหรือของมหาวิทยาลัย เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ทุกอย่างกลางดิน ธรรมะนั้นคือเรื่องของธรรมชาติ จำคำนี้ไว้ได้ก็จะดีมาก ธรรมะนั้นคือเรื่องของธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 4 แขนง ตัวธรรมชาติทั้งหลาย นี่ก็เรียกว่าธรรม เป็นรูปธรรม นามธรรม ธรรมชาติเห็น ๆ อยู่รอบตัวเรานี่เขาเรียกว่าธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมความหมายที่ 2 ธรรม คือ กฎของธรรมชาติ ในตัวธรรมชาตินั้นมีกฎของธรรมชาตินั่นคือตัวสัจธรรมที่มีอยู่ในทุกสิ่ง อันที่ 3 ธรรม คือ หน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่าธรรม นี่คือธรรมที่สำคัญที่สุด ที่เป็นตัวศาสนาคือธรรมะ ที่เป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่สี่ก็คือ ผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติ นี่ไม่ต้องพูดก็ได้ ขอแต่ให้มีการปฏิบัติแล้วมันก็เกิดขึ้นเอง นี้เราจึงได้หัวข้อสั้น ๆ ว่า ธรรมชาติอย่างหนึ่ง กฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง หน้าที่ตามกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง และผลจากหน้าที่นั้นอย่างหนึ่ง เป็น 4 อย่าง เรียกได้คำ ๆ เดียวกันว่า ธรรม พยางค์เดียวเท่านั้น ในภาษาไทยเรียกว่าธรรม พยางค์เดียว ภาษาบาลียังมีสองพยางค์ว่า ธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลจากหน้าที่นั้น เขาสอนให้เด็ก ๆ เขารู้จนมีธรรมะ จนมีการปฏิบัติหน้าที่ เขาจะต้องตั้งตนจากตัวอย่างที่ว่าร่างกาย เนื้อหนังของเรานี้คือตัวธรรมชาติ และในร่างการเนื้อหนังของเราตัวเรานี้มันก็มีกฎของธรรมชาติที่บังคับให้เกิดขึ้นมา ให้เปลี่ยนแปลงไป ให้ชรา ให้ตาย เป็นต้น นี่มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ในเนื้อหนังของเรา ซึ่งเป็นตัวธรรมชาติ และเราก็มีการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ เราต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ต้องอาบน้ำ ต้องทำทุกอย่างที่ให้มันถูกตามกฎของธรรมชาติ เพื่อให้รอดชีวิตอยู่ ให้มีธรรมที่เป็นตัวการปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ นี่ก็มีผลเกิดขึ้น เป็นความสบายหรืออาจจะเป็นความทุกข์ก็ได้ ถ้าเราทำผิดกฎธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราประกอบอยู่ด้วยธรรมะ 4 ความหมายนี้ นอกตัวเราก็เหมือนกัน ทั้งโลกก็เหมือนกัน รู้จักธรรมะนี้ให้ดี ให้ใช้ให้เป็นประโยชน์ คือให้ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติและโลกนี้ก็มีสันติภาพ เดี๋ยวนี้โลกไม่มีสันติภาพ เพราะไม่มีใครสนใจที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ฝ่ายที่ให้เกิดสันติภาพ เขาไปกระทำในฝ่ายที่ให้เกิดวิกฤติการณ์คือความเดือดร้อน จนกระทั่งจะวินาศลงไปในที่สุด เพราะกิเสสคือความเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่ากิเลสกำลังครองโลกยิ่งขึ้นทุกทีสอนแต่เรื่องหนังสือให้ฉลาด สอนแต่เรื่องอาชีพ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อ แล ทีนี้ครูทั้งหลายไม่สามารถจะทำให้คนในโลกนี้ เอาชนะกิเลสได้ โลกเป็นอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา เต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ ถ้าครูทั้งหลายช่วยกันสร้างโลกเสียใหม่ คือสร้างมนุษย์ สร้างเด็กให้มันเป็นสัตว์ที่มีธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว มีความรักผู้อื่น ถือหลักว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วก็บังคับจิตให้ประพฤติให้มันถูกต้องตามความจริงอันนั้น อย่าไปตามใจกิเลสเลย โลกเป็นสุขอยู่ด้วยการทำความดี ก็รู้สึกว่าทำความดีและก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ มีความสุข ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อเหล้าซื้อกามารมณ์ ซื้ออะไรแล้วจึงจะมีความสุข ซึ่งเขาถือกันอยู่อย่างนั้น เรามีความสุขอยู่ตรงที่พอว่าได้เห็นได้ทำความดีเท่านั้นก็เป็นสุข เรากำลังทำหน้าที่อยู่ยังไม่ถึงวันเงินเดือนออก ทำหน้าที่อยู่ในโรงเรียนนี่ก็มีความสุข พอใจว่าได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ เพื่อสร้างโลกให้ดี มีความสุขจนยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือมนุษย์ที่แท้จริง ไม่ต้องไปเอาความสุขจากกามารมณ์ จากอบายมุข จากของมึนเมาหรือกิเลสเลย เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว สามข้อนี้ก็พอแล้ว ให้มีความรู้สึกยอมรับว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย และทุกคนบังคับตัวเองอย่าไปละเมิดในสิทธิของผู้อื่น คือ ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ลุอำนาจแก่กิเลส เรียกว่าทุกคนมีความสุขได้ลำพังการงาน ทำการงานอยู่ก็เป็นสุขอย่างยิ่ง นี่มันจะมีความสุขจริง มีอนามัยดี ไม่ต้องหาอะไรมาทรมานร่างกายด้วยกิเลส แล้วก็เบียดเบียนกัน ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้รับเอาไปคิดไปนึก ศึกษาดูว่าครูนี้คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณอย่างไร และครูนี้เป็นผู้สร้างโลกอย่างไร ไม่ใช่พูดประจบครู แต่บอกความจริงว่าโลกมันจะเป็นอย่างไร นั่นมันแล้วแต่มนุษย์ที่ว่าครูได้สร้างขึ้นอย่างไร ถ้าเราสร้างมนุษย์ดี เราก็เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง และขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงได้ประสบความก้าวหน้าในหน้าที่ของตน ๆ ในการเป็นครู เพื่อสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่ ให้งดงาม และทุกคนมีความสุขอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ