แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ การพูด ครั้งที่ ๓ ครั้งสุดท้ายนี้ไม่มีอะไรล่ะ มีแต่จะสรุปความสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ได้พูดกันมาแล้ว ยืดยาว พูดสั้น ๆ ก็คือว่า ในชีวิตนี่มันเป็น สิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ แก้ไขได้ ไอ้ที่เราจะเรียกว่า เราเป็นเจ้าของชีวิต นี้มันก็ไม่ถูก โดยธรรมชาติ จิตมันคิดอย่างนั้น จิตมันคิดว่าเรา แล้วว่าเรามีชีวิต ที่จริงมันก็คือจิตทั้งนั้นแหละ ถ้าจิตมันรู้จัก รู้สึกอย่างนั้น จิตอีกนั่นแหละจะต้องปรับปรุง ตัวจิตเอง เราเรียกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ โดยจิตที่มีความรู้เพียงพอ ตามธรรมดาที่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา คือเรียกว่าไม่มีการปรับปรุง เพราะมันปล่อยไปตามธรรมดา หรือว่าที่เขาพยายาม ความพยายามที่จะสร้างสรรค์อะไรในกับชีวิต มันก็ไม่ใช่การปรับปรุง ระวังให้ดีเถิด มันเพียงการหาเหยื่อมาป้อนชีวิต มันไม่ใช่การปรับปรุงชีวิต หาเหยื่อมาป้อนชีวิต มันอาจจะเตลิดเลยไปในทางที่ไม่ถูกต้องก็ได้ มันก็เป็นชีวิตที่ไม่มีความสงบสุข ฉะนั้นเราจึงแบ่งในเรื่องของชีวิตออกเป็น ๒ ชนิด คือว่าชีวิตร้อนหรือว่าชีวิต ชีวิตเย็น ขณะใดมันมีกิเลสเกิดขึ้นในชีวิตมันก็เป็นชีวิตร้อน ขณะใดมันว่างจากกิเลส มันก็คือชีวิตเย็น ขอให้เลือกดูเอาเอง ว่าควรจะมีชีวิตชนิดไหนกัน ตามธรรมดาความรู้สึกของคนก็ชอบเย็น ๆทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่รู้จักว่าเย็นนั้นคืออย่างไร มันก็ไปเอาร้อนมาเป็นเย็น ไปหลงร้อน ๆ มาว่าเป็นเย็น เพราะว่าไอ้เรื่องร้อน ๆ มันเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสมันก็สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ฟุ้งไปเลย คนเขาชอบใจ มันก็คิดว่ามันเย็น ที่จริงมันเป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ เป็นกิเลสที่ซ่อนอยู่ในจิต ทำให้เข้าใจว่านี่เย็นหรือว่าเป็นผลดี คนเหล่านั้นจึงไม่ได้คิดที่จะกำจัดกิเลสหรือความผิดพลาด หรือความร้อน จึงอยู่กันด้วยความร้อนจนเคยชินไป เพราะมันพลัดเข้าไปในเรื่องของกิเลสเสียแล้ว อย่างที่พูดเมื่อคืนนี้ เด็กคนนี้มันทิ้งพ่อแม่ไปอยู่กับโจรเสียแล้ว มันก็ต้องเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากเดือดร้อนไปตามแบบนั้น ฉะนั้นเราควรจะรู้สึกตัวกันเสียที แล้วกลับหลังหันมาเสียจากโจร คือกิเลสที่ทำให้ชีวิตนี้เป็นของร้อน ขอให้รู้จักตัวเองให้พอ รู้จักความร้อนให้พอ ความทุกข์ รู้จักให้พอ อย่าเห็นความทุกข์เป็นความสุข ให้รู้จักกิเลสให้พอ รู้จักกิเลสนั้นจะรู้จักเฉพาะเมื่อมันมีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมันก็ไม่รู้ว่าจะไปรู้จักกิเลสกันที่ไหน ฉะนั้นเมื่อใดมันร้อนอยู่ด้วยจากกิเลสก็จงรีบดู ดูให้เห็นกิเลส ดูให้เห็นความร้อนที่เกิดมาจากกิเลส ต้องดูที่ตัวกิเลสนั่นเอง แล้วก็ต้องดูข้างในด้วย คือภายในใจ ภายในตนด้วย ข้างนอกมันไม่มี จนรู้จักว่า อ้าว, มันอย่างนี้ มันจะได้เกลียด จะได้รู้สึกเกลียดกิเลส เกลียดความทุกข์ เบื่อหน่ายต่อความทุกข์ แล้วก็ละอายอยู่ในการที่ตนต้องมีความทุกข์ เรื่องมันเท่านี้ ถ้ายังไม่เกลียดความทุกข์ ยังหลงความทุกข์เป็นความสุข มันก็ไม่มี ไม่มีทางที่จะ จะพูดกันรู้เรื่อง
ฉะนั้นถ้ารู้จักว่า อ้าว, นี่ความทุกข์ มันก็จะได้ถอยหลังออกมาหาวิธีที่จะดับความทุกข์ อุปมาเหมือนกับว่าเด็กคนนั้นมันไปอยู่กับโจร จนรู้จักโจร รู้จักอันตรายเมื่ออยู่กับโจร มันอยากจะหนีออกจากไป ไปจากพวกโจร หรือถ้ามันเก่งจริง มันก็ฆ่าโจรเสีย คิดกันกบฏต่อโจร ฆ่าโจรเสีย มันอยู่เป็น ๒ ระดับอย่างนี้ บางคนมันคอยหลบหลีกกิเลสไม่รู้สิ้นสุด บางคนมัน บางคนมันตั้งใจจะฆ่ากิเลสเสีย นั่นแหละมันจะสิ้นสุด ฉะนั้นเราพยายามที่จะรู้จักกิเลสและคิดฆ่ากิเลสเสีย โดยวิธีต่าง ๆ กัน วิธี มันมี มีมากที่จะกำจัดกิเลส ทำลายกิเลส คือ ธรรมะที่มีอยู่มาก ซึ่งหน้าก็มี ลับหลังก็มี โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็มี ศึกษาธรรมะไว้ให้พอ สำหรับว่าจะใช้วิธีไหนในกรณีไหน ในกรณีนี้มันจะต้องต่อสู้กับกิเลสซึ่งหน้าก็มี เอากับมัน ถ้าเราไม่อยากจะทำอย่างนั้น ใช้วิธีลับหลังตัดทอนปัจจัย อาหารของกิเลส ให้กิเลสมันผอมตายไปก็มี คืออย่าให้เกิดกิเลสนั่นแหละ มันจะตัดเหตุปัจจัยของกิเลสลงเรื่อยจนกิเลสมันไม่มี ถ้าเกิดกิเลสบ่อย ๆ มันก็มีกำลังให้แก่กิเลส เพิ่มปัจจัยให้แก่กิเลส กิเลสมันก็หนาแน่น จงอยู่โดยวิธีที่ไม่เกิดกิเลส ในระยะประชั้นชิด เรียกว่าประชั้นชิด ก็คือเมื่อมีผัสสะ อย่างที่พูดแล้วเมื่อคืน ว่าอยู่ในโลกนี้มันเต็มไปด้วยผัสสะ
ฉะนั้นเราทำให้ถูกต่อสิ่งที่เรียกว่ามีผัสสะ อย่ามีความผิดพลาดในเมื่อมีผัสสะ แล้วก็จะไม่เกิดความทุกข์ ความทุกข์เกิดมาจากการกระทำผิดพลาดต่อผัสสะ ในขณะที่มีสิ่งมากระทบเพื่อให้เกิดผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าต้องการจะควบคุมกิเลส ก็ควบคุมที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะเมื่อมันมีผัสสะ ควบคุมจิตไว้ได้เมื่อมีผัสสะ ให้จิตดำเนินไปอย่างถูกต้อง อย่าโง่ อย่าหลง อย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ ปัญหาก็จะหมด ปัญหาทุกอย่างเกิดมาจากผัสสะ หรือในขณะแห่งผัสสะ การที่จะดับหรือตัดปัญหาเสีย ก็ต้องทำที่ผัสสะ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดผัสสะ นี่คือความไม่ประมาท ความไม่ประมาทอธิบายอย่างอื่นก็ได้ เยอะแยะไป กว้างขวางไป แต่ว่าที่จะเอาให้กันรวบรัด โดยใจความอย่างสั้น ๆ ที่สุดแล้ว ก็คืออย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ อย่าประมาทเมื่อมีผัสสะ ต้องศึกษา เรื่องผัสสะไว้ดี ๆ พอที่จะไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า นรกมันก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์มันก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แม้จะผ่านไปนิพพาน มันก็ต้องผ่านไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ที่ทำแล้วถูกต้องไม่มีผิดพลาดเลย เราไม่สนใจกันเองว่าไอ้อะไรมันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอานรกไว้ใต้ลิ้น นึกถึงกันเมื่อไรก็ ก็ตายแล้ว สวรรค์ก็อยู่บนฟ้าโน่น ไปกันต่อตายแล้ว นิพพานนี่ต้องรออีกแสนชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ มันถึงจะได้นี่ มันก็เลยไม่มีเรื่องจะทำ ที่จริงมันจะทำได้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยากตกนรกก็ลองทำผิด ๆ ดู ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไม่ ไม่อยากตกนรกก็อย่าให้มันผิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์ถ้าอยากได้ ก็ทำให้ถูกต้องที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็พอใจในความถูกต้อง ก็เป็นสวรรค์ คือความพอใจ ความสุขที่บริสุทธิ์ เกิดมาจากความพอใจที่บริสุทธิ์ คือถูกต้อง ทุกคนพยายามทำให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ที่สุดแต่การทำหน้าที่การงานของตน ศึกษาเล่าเรียนก็ดี การงานก็ดี อาชีพก็ดี ช่วยเหลือผู้อื่นก็ดี นี่ก็เป็นหน้าที่ที่ทำให้ถูกต้อง เมื่อมีความถูกต้องแล้วก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข นั้นความสุขที่แท้จริง ที่ไม่หลอกลวงมันอยู่ที่ตรงนี้ ส่วนความสุขที่เอาเงินไปซื้อหามาทางสถานเริงรมย์นั้น มันเป็นเรื่องหลอกลวง เต็มไปด้วยความเร่าร้อนของกิเลส แล้วก็หมดเปลืองด้วย แล้วเผาให้ร้อนด้วย นี่เขาเรียกว่าความสุกที่หลอกลวง เราใช้เขียนเป็น ก.สะกด ความสุกที่ร้อน เป็น ก.สะกด ความสุขที่เย็น เราใช้ ข.สะกด ไปตามเดิม เดี๋ยวนี้ก็โตมากพอแล้วนี่ อายุมันล่วงมา ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ ก็เรียกว่าโตมากพอแล้วที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ ที่ได้ผ่านมาแล้ว รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน อยู่ที่จุดไหน มีความทุกข์มากน้อยเท่าไร จะทำอย่างไรต่อไปดี จะถอยหลังกลับหรือว่าจะเดินต่อไปในความทุกข์นั้น นี่ทุกคนก็รับประกัน รับผิดชอบ ของตัวเองโทษใครไม่ได้ ถ้าอยากจะถอยหลังไปจากความทุกข์ ก็รีบปรับปรุงให้มันมีความถูกต้องในชีวิตนี้ โดยทางกาย เอ้อ, ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มันถูกต้อง
ฉะนั้นจึงหวังว่าไอ้สิ่งที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้ฟังกันมามากแล้วนี้ มันคงจะเป็นที่เข้าใจพอสำหรับจะรู้จัก ในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี่ ให้ชีวิตมันเป็นความเยือกเย็น สม เหมาะสมสำหรับมนุษย์ มนุษย์มันมีความหมายอยู่ที่ว่า มันมีจิตใจมันสูง สูงก็สูงเหนือความยากลำบากหรือความทุกข์นั่นเอง เราต้องเอาชนะความทุกข์ให้ได้ มิฉะนั้นมันก็จะไม่ใช่มนุษย์ มันจะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ถ้ามันมีจิตใจต่ำ ๆ จมอยู่ในกองทุกข์ แต่มนุษย์นี้มันแปลก สัตว์เดรัจฉานที่ว่ามันมีความคิดมาก ความคิดเก่ง มีจิตใจพัฒนาการสูง ดังนั้นมันจึงมีความทุกข์มาก มีความทุกข์กว้างขวาง มีความทุกข์เข้าใจยาก ลึกซึ้ง ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมีความทุกข์ก็ง่าย ๆ ตื้น ๆ นี่คนมันจะแพ้ น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน ที่มันจมอยู่ในกองทุกข์มากเกินไป เป็นความทุกข์ที่คนสร้างขึ้นสำหรับคน มากกว่าที่มันจะเกิดอยู่ตามธรรมชาติ เราจึงอยู่ในสภาพที่ว่าน่าละอายสัตว์เดรัชฉานอยู่หลายอย่างหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือมีความทุกข์มากนั่นเอง นับตั้งแต่ว่าไอ้คนที่มันนอนหลับยาก มันนอนหลับยากว่าสัตว์เดรัจฉาน มันต้องกินยานอนหลับ มันต้องกินยาระงับประสาท แล้วมันก็เป็นบ้าไปก็มี อาการเหล่านี้มันมีไม่ได้ในสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันคิดได้น้อย เพราะมันมีความทุกข์น้อย มีเรื่องน้อย ถ้ามันมีสมองเฉลียวฉลาดเหมือนคน มันก็มีปัญหามากเหมือนคน เดี๋ยวนี้สัตว์มันมีสมรรถภาพของสมองมันน้อย มันคิดได้น้อย มันจึงทำอะไรได้น้อย คือง่าย และมันก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่แล้วมันก็ยังจะเปรียบเทียบกับคนได้ว่า คนนี้มีปัญหามาก แล้วแก้ไม่ได้ มีความทุกข์มาก ก็เลยน่าละอายสัตว์
ขอให้ตั้งปณิธานไว้ว่าเราจะต้องไม่ละอายสัตว์ คืออย่ามีความทุกข์ให้มันมากกว่าสัตว์ และอย่าเบียดเบียนกันให้มันมากกว่าสัตว์ อย่าทำลาย ของมีค่าในโลกนี้ให้มากกว่าสัตว์ ถ้าจะพูดว่าให้เอาสัตว์เป็นครู หลายคนไม่ชอบแล้วก็จะโกรธเอาด้วย ที่จริงมันก็มีหลายแง่หลายมุมที่เราจะเอาสัตว์เป็นครูก็ได้ อย่างน้อยก็ละอายว่ามันมีความทุกข์น้อยกว่าเราสิ มันนอนหลับง่ายกว่าเรา มันไม่ต้องมาทำอะไรยุ่งยาก ลำบากเพื่อสนองกิเลสตัณหา สัตว์มันไม่ได้ทำอะไรเพื่อสนองกิเลสตัณหา เพราะว่ามันไม่ค่อยจะมี มันคิดไม่เป็น คนนี่มันต้องทำอะไรมาก ที่สนองกิเลสตัณหา เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องบ้าน เรื่องเรือน เรื่องครอบครัว เรื่องอะไรทุก ๆ เรื่อง มัน มันมาก เพราะว่าเราอยากจะดี ระวังคำว่าดี คำว่าดีแบบโง่นี่มันยุ่งเสมอเลย ดีอย่างโง่เขลามันยุ่งเสมอ ต่อเมื่อมันไม่มีความผิดพลาดโง่เขลา ไอ้คำว่าดีมันจึงจะพอดูได้ แต่ก็ไม่พ้นที่จะยุ่ง มันมีความยุ่งเสมอ ฉะนั้นก็อย่าไปสนใจกับไอ้มันยุ่งหรือดี เพราะไอ้มันยุ่ง ๆ ก็ดี นั่นแหละมันจึงจะสงบ คือให้มันอยู่ในระดับที่เป็นกลาง ๆ เป็นธรรมชาติเข้าไว้ คือพอดี ๆ เช่น กินอาหารก็ไปปรับปรุงเสียใหม่ให้มีความถูกต้องและพอดี เครื่องนุ่งห่มก็ให้มันถูกต้องพอดี ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย อุปกรณ์อะไรต่าง ๆ ก็ให้มันพอดี แม้แต่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพก็ให้มันพอดี เดี๋ยวนี้มันเกินพอดีไปเสียหมด นั้นก็ ก็เป็นการทรมานทำลายตัวเอง มีอวิชชา ก็ทำลายตัวเอง ทรมานตัวเอง ถ้ามีปัญญา มีวิชชา ก็ช่วยตัวเอง ไม่ต้องทนทรมาน
ฉะนั้นขอให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าที่มาหาธรรมะ มาเสาะแสวงหาธรรมะกันนี่ ก็เพื่อแก้ไขปัญหานี้แหละ ไปจัดรูปแบบของการเป็นอยู่ของชีวิตให้มันถูกต้องเสียใหม่ มาวัด มาศึกษาให้ได้ผลคุ้มค่า มีการลืมหูลืมตา สว่างไสวแจ่มแจ้งในเรื่องของชีวิต แล้วก็ไปปรับปรุงเสียใหม่ ทีนี้อีกทีหนึ่งก็มาวัด นี่ก็เพื่อมาปฏิบัติโดยตรงเลย อย่างที่หนึ่งมันมาศึกษาเพื่อเอาความรู้กลับไป อีกพวกหนึ่งก็มาปฏิบัติเลย เช่น มาทำบุญทำทาน ที่มาจากพุนพินมาเลี้ยงพระวันนี้ อย่างนี้ก็มาเพื่อปฏิบัติ เพื่อข่มขี่กิเลส มาทำบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบาป บำเพ็ญบุญเช่นให้ทาน นี่ก็เพื่อจะล้างความเห็นแก่ตัว มารักษาศีลก็เพื่อจะมาปฏิบัติ ควบคุมกิเลส มาทำปัญญา ทำวิปัสสนา ถ้ามี ก็เพื่อเล่นงานกิเลส นี่มาวัดเพื่อปฏิบัติ เพื่อมีส่วนแห่งการปฏิบัติตามที่จะทำได้
ทีนี้อีกความหมายหนึ่ง มาวัดเพื่อช่วยกันในด้านสังคม ช่วยกันบำรุงพระศาสนา จะมาเลี้ยงพระ หรือมาทำอะไรก็ตาม ในความหมายหนึ่งมันมา เพื่อช่วยกันรักษาพระศาสนาเอาไว้ ให้มีวัดมีศาสนา มีอะไรอยู่ได้ เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลก ฉะนั้นขอให้มองให้เห็นและมีความยินดีพอใจในส่วนนี้ด้วย ถ้าเรามีวัดวาอารามที่เป็นแสงสว่างแก่มนุษย์ มนุษย์ก็จะมีโชคดีที่จะได้อยู่กันเป็นผาสุกด้วยกันทั้งโลก เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีวัดหรือแสงสว่างที่จะช่วยโลกได้ มันมีเหตุหลายอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น จะโทษใครก็ไม่ค่อยถูก เพราะว่าคนเหล่านั้นเขาก็ไม่ได้ ไม่ ไม่ค่อยต้องการแสงสว่าง อะไรนัก เพราะเขาพอใจในความเป็นอยู่แบบที่เขามี มีอยู่แล้ว เขาไม่สนใจ เราตั้งใจจะให้แสงสว่างที่อุปมาเหมือนแจกลูกตา แล้วก็ไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะรับลูกตา นี้มันก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้ไม่มีแสงสว่างอยู่ในโลก แล้วสิ่งที่ทำให้มืด ให้หลงใหลในเรื่องกิเลสตัณหามันมีมาก ความก้าวหน้าทางวัตถุมันมีมาก โลกมันหมุนมาพอดี เป็นยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ แล้วก็ผลิตวัตถุขึ้นมอมเมากันเองทั้งโลก ให้หลงใหล มันก็สนใจอยู่แต่เรื่องอย่างนั้น ไม่สนใจธรรมะ ไม่สนใจศาสนา ถ้าเราติดอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ก็ไปดูเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราอยากจะถอนตัวออกมาเสียจากกลุ่มนั้น เราจะต้องทำอย่างไร
นี่ขอฝากไอ้ความระลึก ให้ไประลึก ให้ไปทดสอบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ด้วยกันทุกคน โดยแยกตนออกมาเสียจากพวกที่เขาไม่รู้เรื่องที่มนุษย์ควรจะรู้ ถ้ามนุษย์ไม่รู้เรื่องที่มนุษย์ควรจะรู้แล้ว ก็ต้องละอายแมว ละอายหมาเป็นแน่นอน รีบไปรู้เรื่องที่มนุษย์ควรจะรู้และทำให้ถูกต้อง ให้มีความสุขอันบริสุทธิ์ ความสงบเป็นที่น่าพอใจ ที่จะอวดกันได้โดยเฉพาะพวกพุทธบริษัท ควรจะเป็นผู้นำกลุ่มในโลกว่าพุทธบริษัท คือบริษัทของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คนทั้งหมดนี้ยินดีที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือมีความสุข ฉะนั้นใครมีความทุกข์ คนนั้นยังไม่ควรจะเรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท มันต้องต่อสู้ไปจนหมดความทุกข์ จึงจะมีสิทธิเรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท อย่างน้อยที่สุด เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าเรากำลังรู้ว่าเรามีความทุกข์ เรากำลังต่อสู้อยู่ อย่างนี้ก็พอจะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทได้ ถ้ามันมีความทุกข์ที่ไม่ได้รับการแก้ไขเสียเลย มันไม่ใช่พุทธบริษัท ฉะนั้นมันจะมีความทุกข์มาก มาก มาก มาก เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนต้องละอายแมว สัตว์เดรัจฉานมีความทุกข์น้อย คนมีความทุกข์มากเกินไป นี่เรียกว่าคนมันน่าละอายสัตว์ จะแก้ไขข้อนี้ได้ ก็รีบแก้ไขความทุกข์ ทำลายความทุกข์ให้มันน้อยลง ๆ ไม่ให้เสียเปรียบสัตว์ซึ่งมีความทุกข์น้อยกว่าคน วกไปวกมามันก็อยู่ที่อวิชชาความไม่รู้ของคน ไม่รู้ว่าเป็นคนนั้นคืออะไร ไม่รู้ว่าเป็นคนนั้นจะต้องทำอย่างไร ไม่รู้ว่าเป็นคนนั้นควรจะได้อะไร มันก็บ้ากันหมด มันไปบ้าความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังกันหมด อย่างนี้ไม่ใช่คน ถ้าว่าคนก็ต้องเป็นคนในความหมายหนึ่ง ไม่ใช่ในความหมายของธรรมะ คือไม่เป็นมนุษย์ ไม่มีจิตใจสูงเหนือสิ่งสกปรกเหล่านั้น
มันมีเท่านี้ อาตมาอยากพูดว่ามันมีเท่านี้ ไอ้เรื่องที่เราจะต้องพูดกันน่ะมันมีเท่านี้ ไปแก้ไขความเป็นคน หรือความเป็นมนุษย์ ของตนก็ตามให้มันถูกต้องเสีย มันจะได้เป็นมนุษย์สมชื่อ คือมีจิตใจอยู่สูง เหนือปัญหา ความหลุดพ้นมันหลายถึงหลุดพ้นจากปัญหา ปัญหาเป็นเครื่องผูกพัน เหนี่ยวรั้ง ครอบงำ หุ้มห่อ นั่นคือปัญหาในชีวิตของคน ถ้าใครออกมาเสียได้จากปัญหาเหล่านั้น เขาเรียกว่าผู้หลุดพ้น ออกได้หมดก็เป็นผู้หลุดพ้นถึงที่สุด คือเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงได้ คือเป็นพระอรหันต์ เรายังไม่เป็นก่อน แต่เราก็พยายามที่จะหลุดพ้น ไม่อยากจะใช้คำว่าเพื่อเป็นพระอรหันต์ เข้าใจผิดแล้วมันจะบ้าเลยน่ะ ไอ้ผู้ที่มันอวดตัวเองว่าเป็น โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มันบ้า มันไม่รู้จักว่าเรื่องนั้นมันคืออะไร มันก็ มันอวดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ มันบ้าไปเลย เราพูดกันแต่เพียงว่าออกมาเสียจากความทุกข์ให้ได้มากที่สุด หลุดพ้นจากความทุกข์ให้ได้มากที่สุด อย่าให้มีการแต่งตั้งว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เอา เอาตัวจริงของเรื่องคือมีความทุกข์แล้วก็อยากจะดับความทุกข์ เท่านั้นก็พอ เราไม่ต้องไปเที่ยวอวดน่ะ มีอวดที่ไหนก็มีโง่ที่นั่น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่อวดหรือควรอวด อย่างมากก็มีสิ่งที่จะบอกกันสอนกันแต่ไม่ใช่อวด เพราะว่าอวดนั่นเป็นเรื่องของกิเลส แต่ถ้าสอนกันโดยบริสุทธิ์ ไม่ใช่อวด ไม่ใช่เรื่องของกิเลส มันเป็นเรื่องของเมตตา กรุณา หรือความรับผิดชอบอะไรต่าง ๆ ฉะนั้นเราพยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มีความรู้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่อย่าอวด อย่าอวดรู้ อย่าอวดดี อย่าอวด ไปหมดแหละ มันบ้าน่ะ คนอวดมันบ้า ระวัง ถ้าใครมันขี้อวดแล้วก็อย่าไปเข้าใกล้มันดีกว่า แต่เราก็ไม่อวดด้วย เราก็ไม่เข้าใกล้คนอวดด้วย ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ถูกต้อง อาตมาใช้คำว่าถูกต้องนะ ไม่ได้ใช้คำว่าดีนะ ไอ้เรื่องดีมันบ้าได้ง่ายนะ เกือบทุกคนนะมันบ้าดีอยู่นะ ไม่ยกเว้นแม้ที่นั่งอยู่ที่นี่นะ มันบ้าดีกันทั้งนั้น มันไม่ควรจะบ้าดี มันไม่ควรจะบ้าอะไรเลย ฉะนั้นมันควรจะหวังความถูกต้อง คำว่าถูกต้องหมายความว่า ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์แก่ทุกฝ่าย ไม่มีความทุกข์แก่ทุกฝ่าย นั่นแหละคือความถูกต้อง จะไปสมมุติว่าดี วิเศษ อะไรก็ตามใจ นั่นเป็นเรื่องสมมติ ตัวจริงมันอยู่ที่ว่ามันถูกต้อง คือมันไม่มีความทุกข์แก่ทุกฝ่าย เรายังสนใจที่จะทำให้ไม่มีความทุกข์แก่ทุกฝ่าย เรา และเพื่อนของเรา เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา ไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน นี่คือความถูกต้อง บ้าไม่ได้ สิ่งนี้มันบ้าไม่ได้ ถึงจะกินเข้าไปเท่าไรมันก็ไม่เสพติด มันบ้าไม่ได้ ไม่เหมือนไอ้เรื่องดี ๆ ชั่ว ๆ นั้นมันบ้าได้ เมาได้ ยึดความถูกต้องเป็นหลัก อยู่ระหว่างดี ระหว่างชั่ว เราก็จะได้เป็นมนุษย์ที่ได้พบพระพุทธศาสนา ไม่ต้องละอายแมว ศึกษาธรรมะเพียงเพื่อไม่ต้องละอายแมว ก็ดีถมไปแล้ว ขอให้ทุกคนสมประสงค์ในข้อนี้ เวลาหมดแล้ว ขอปิดการพบปะสังสรรค์สนทนาในงวดนี้แก่ท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาจากที่ไกล มีความประสงค์อย่างไรในทางที่จะถูกต้อง ขอให้พยายามให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อันนั้น ๆ แล้วก็ได้รับผล สมความปรารถนาทุก ๆ คนเถิด
ยุติการบรรยายครั้งสุดท้ายนี้เพียงเท่านี้