แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มาสู่สถานที่นี้ ในวันนี้ ขอแสดงความรู้สึกอนุโมทนาในการกระทำ ที่ว่าเป็นการกระทำเพื่อช่วยให้เพื่อนมนุษย์ของเราดีขึ้น นี้ก็เป็นความประสงค์ของสวนโมกข์ด้วยเหมือนกัน ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายตั้งใจจะทำอย่างนั้นก็ขออนุโมทนา แล้วก็ขอแสดงความยินดีที่ว่า ได้มาช่วยใช้สถานที่ให้เป็นประโยชน์ สถานที่แม้จะมีไว้ ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ไม่มีค่าอะไร ให้มาช่วยกันใช้สถานที่ให้มีประโยชน์ก็ขอแสดงความยินดี หรือถ้ากล่าวอีกทีหนึ่งอย่างมักจะกล่าวกันอย่างภาษาชาวโลกทั่วไป ก็ว่าขอบคุณ ที่มาช่วยใช้สถานที่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ให้มันเป็นหมัน ให้ความประสงค์ของอาตมาเป็นไปได้ ก็ขอขอบคุณนี้ ขอแสดงความรู้สึกอย่างนี้
ที่นี้ ก็อยากจะขอแสดงความรู้สึกอีกอันหนึ่ง หรือจะเรียกอะไรก็สุดแท้ ว่าเป็นความประสงค์อย่างยิ่ง ที่จะให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้นั่งกลางดิน ก็สอบถามดูแล้วไม่ว่าที่ไหนไม่เคยนั่งกลางดินอย่างนี้ ล้วนแต่นั่งบนที่จัดไว้ บนเก้าอี้ บนอาคารราคาล้านๆ ก็มี นี้อาตมาก็อยากจะให้เป็นที่เข้าใจในส่วนนี้ด้วยเหมือนกันว่า อยากจะให้นั่งกลางดิน ท่านศึกษาที่มาจัดบน. จะมาจัดบนโรงธรรมที่เรือลำใหญ่ อาตมาเป็นผู้ค้านว่าได้ประโยชน์น้อย ขอให้มานั่งกลางดิน เพื่อว่าจะมีผลทางจิตใจอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการนั่งกลางดิน อยากจะระบุว่า ครูยังติดโลกมากเกินไป คงจะอึดอัดรำคาญ และเกลียดคนจัดว่าทำไมมาจัดให้นั่งกลางดิน ถ้าอย่างนั้นก็มาด่าอาตมาก็แล้วกัน ก็บังคับให้ศึกษาเขาจัดให้นั่งกลางดิน คนเหล่านั้นมันดูถูกพระพุทธเจ้ามากนัก มันจึงไม่ชอบนั่งกลางดิน มันไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็กลางดิน สอนก็กลางดิน อยู่ก็กลางดิน กุฏิก็พื้นดิน แล้วท่านก็ตายกลางดิน ทำไมจะต้องรังเกียจแผ่นดิน ไม่อยากจะนั่งตรงกลางดิน เพื่อความประสงค์อันนี้ จึงขอร้องให้จัดกลางดิน นั่งกันกลางดิน เพื่อจะหายปัญญาอ่อน ผู้ใดคิดว่านั่งกลางดินไม่สมควรแล้วก็มันเป็นคนปัญญาอ่อน มันอาจจะอ่อนมาจากเมืองนอก ที่มันลากปริญญาเป็นหางมาจากเมืองนอก แล้วมันมารังเกียจแผ่นดิน ไม่อยากจะนั่ง นั่นน่ะคนปัญญาอ่อนมาจากเมืองนอก จึงขอทำความเข้าใจอย่างนี้
เช้าหนึ่งได้ยินข่าว พระจัดสัมมนา หรือประชุมอะไรเพื่อจะช่วยชาวนาที่ยากจน แต่ไปจัดที่สวางคนิวาส สถานที่มันอยากจะแข่งกับเทวดา มันเป็นเทวดาโง่ ที่มันจะประชุมกันบนสวรรค์ แล้วมันจะแก้ปัญหาคนไม่มีข้าวกิน นี่มันโง่ มันปัญญาอ่อน ฉะนั้นจึงขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ยังไม่ทราบ ทราบซะเดี๋ยวนี้ก็ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน จะด้วยเหตุอะไรก็ไม่ต้องพูด แต่ว่าข้อเท็จจริงนั้น ท่านประสูติกลางดิน และท่านตรัสรู้กลางดิน ที่ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ท่านก็สอนทั่วไป เมื่อนั่งกันอยู่กลางดิน เพราะว่าโรงธรรมก็พื้นดิน แต่ก็ไม่ได้สอนกันที่วัดที่โรงธรรมเสมอไป สอนทั่วไป จึงกล่าวได้ว่า พระไตรปิฏกของเรา ตั้ง ๙๕ เปอร์เซนต์นั้น มันเกิดกลางดิน พระไตรปิฏกเกิดกลางดิน ไม่ได้เกิด ท่านก็นิพพานที่เรียกว่าตายกลางดิน ทำไมทุกคนจึงไม่จูบดิน เพราะมันคนโง่มันปัญญาอ่อน ถ้าเขาไปประชุมกันที่เมกกะ เขาไปจูบดินกันทั้งนั้นแหละ จูบก้อนหิน จูบดิน และไม่มาร้องตะโกนว่า ผู้มีเกียรติมานั่งข้างหน้า เพราะพอไปถึงเขตหินดำแล้ว มันเสมอกันทุกคน มหาราชามาทีหลังก็ไปนั่งกลุ่มท้าย สุดท้ายกลุ่มก็ได้ ไม่มีมหาราชา ไม่มีประชาชนแล้วที่นั้น แม้แต่เด็กคนหนึ่งไปจากอินโดนีเชีย มันก็มีสิทธิ์จะนั่งข้างหน้า หรือนั่งตรงไหนก็ได้ ถ้าที่นั่งที่นั้น ที่ศักดิ์สิทธ์ ที่กะบะห์นั้น มันไม่มีชั้นวรรณะ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะมีในที่ประชุม เกี่ยวกับชั้นวรรณะ ถ้าเป็นเรื่องประชุมของธรรมะ ทั้งทางฝ่ายศาสนา มันจะเกิดความรู้สึกหมดตัวหมดตน หมดความยึดถือว่าตัวกูของกูลงไปบ้าง ถ้ามันมานั่งกันอย่างประชาธิปไตย ใครมาก่อนก็นั่งก่อน ใครมาหลังก็นั่งหลัง อย่างนี้ นี้ขอให้ให้เกียริติแก่แผ่นดินซึ่งเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานของพระพุทธเจ้าบ้าง นั่งขัดสมาดเลยก็ได้ ขอให้นั่งกับดิน และเป็นการที่มีผลทางจิตใจของท่านเอง อย่างน้อยก็จะมีผลทำให้รู้ว่า เราไม่ต้องอยู่วิมาน เราอยู่กลางดิน เราก็ทำประโยชน์สูงสุดได้ เขาถือกันมาแต่โบรมโบราณว่า เป็นอยู่อย่างต่ำๆ มุ่งกระทำอย่างสูง ถ้าอยู่อย่างสูงเสียแล้วมันก็เป็นทาสของกิเลส เรื่องกินดีอยู่ดีมากเกินไป มันต้องคอรัปชั่น ถ้าข้าราชการทั้งหมดทุกแผนกคอรัปชั่น เพราะเหตุอยู่ดีกินดีเกินไป เพราะหวังจะอยู่ดีกินดีเกินไป ถ้าการนั่งกลางดินนี้มันสอนให้เรารู้ว่า แม้แต่นั่งกลางดินเราก็ทำงานสูงได้ ก็ดูพระพุทธเจ้าสิ ท่านยิ่งกว่านั่งกลางดินอีก ท่านก็ทำงานสูงสุด จนเราขนานพระนามของท่านว่าพระบรมครู แล้วครูลูกจ๊อกอย่างนี้ มันจะไม่นั่งกลางดินได้ยังไง ก็พระบรมครูยังเกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ฉะนั้นควรจะจูบดิน เหมือนกับที่เขาไปเมกกะกัน นี้ขอแสดงความรู้สึกอันนี้ให้ทราบเกี่ยวกับการจัดสถานที่ ถ้าท่านมาประชุมกันที่นี่อีก ท่านก็ต้องนั่งกลางดินอีก เพราะอาตมาเป็นเจ้าของบ้าน แนะนำอย่างนั้น เพื่อให้เป็นเกียรติยศสูงสุดถวายแก่พระพุทธเจ้า นี่เพียงแต่เรายินดีนั่งกลางดิน คราวนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ก็เป็นถวายพระเกียรติแก่พระพุทธเจ้า หรือบูชาอย่างยิ่งกว่าที่บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนซะอีก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองว่า บูชาด้วยการกระทำนั่นล่ะสูงกว่าการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ ฉะนั้นขอให้นั่งกลางดิน เอามือลูบดิน ให้จิตนึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสติอย่างสูงสุด เหลือที่เราจะแสดงความเคารพอย่างใดได้ นี้เรียกว่า เป็นผู้รู้ความจริง รู้ความยุติธรรม รู้ในสิ่งที่เราควรประพฤติต่อสิ่งใด อย่างไร
เอาหละ ทีนี้ก็จะพูดถึง เรื่องที่จะพูด ขอให้หัวข้อว่าวิธี เออ เออ อุดมคติของครูบาอาจารย์ อุดมคติของการศึกษา อุดมคติของครูอาจารย์ ต่างจากอุดมคติของลูกจ้างสอนหนังสือหากิน เดี๋ยวนี้มันมีอยู่สองพวก พวกหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าครู ครู ก็เป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือหากิน แล้วพวกหนึ่ง คือ สอนหนังสือเป็นครู ก็เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ครู ครู ครู
คำว่า “ครู” นี้ แปลกันว่า ผู้ที่ควรเคารพ หรือมีความหนัก เราเปิดดูดิกชันนารีธรรมดาสามัญของอินเดีย เขาแปลคำว่า “ครู” ว่า Spiritual Guide แปลว่า มัคคุเทศ ก์ในฝ่ายจิตใจ นั่นคือ “ครู”
เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนพบว่า ไอ้คำว่า ครุ... ไอ้รูท (root) –ของศัพท์ มาจากคำว่า เปิดประตู เปิดประตู มันยิ่งไปกว่านำทางวิญญาณเสียอีก ความหมายมันชัดกว่านำทางวิญญาณเสียอีก เปิดประตู คำว่า “เปิดประตู” ก็หมายความว่า ให้ผู้ถูกขังนั้นออกมา สัตว์อยู่ในกรงขังของอวิชชา เหมือนกับมันอยู่ในเล้าที่มืด ที่เหม็น ที่สกปรก ที่ไม่มีความสุขอะไรเลย ผู้เปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมา นี่คือรากศัพท์ของคำว่า “ครุ” “ครู” เราควรจะถือว่า ครู คือผู้เปิดประตูให้สัตว์ออกมาจากที่คุมขัง เราว่าครูเป็นผู้นำในทางวิญญาณ แปลว่าอย่างเบาที่สุด ก็คือ ครู เป็นผู้ที่ทุกคนควรเคารพ ควรหนักต่อ คือเคารพ นี่ครูมันมีความหมายอย่างนี้ แต่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ นั้น ไม่มีความหมายอย่างนี้เลย ไม่มีอุดมคติอย่างนี้เลย อาตมาพูดกันที่นี่ ก็ขอโอกาสพูดอย่างนี้ ไม่ ไม่ต้องเกรงใจใครหมด ความจริงมีอยู่อย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น
ที่นี้ ก็จะพูดว่า ครูทั้งโลก เกือบทั้งโลก เป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่ง ทั้งโลกนะ ไม่ใช่เฉพาะในจังหวัดสุราษฎร์ มันเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่งมากที่สุด ไอ้ครูที่สำนึกในหน้าที่ของตัวว่าจะยกวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้นดูจะหาทำยายาก เพราะพวกฝรั่งนั่นแหละ เป็นผู้นำในการที่จะตัดวิชาศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา แล้วเราก็ตามก้นเขา ฝรั่งน่ะเขาตัดศาสนาออกไปจากการศึกษา บ้านก็เป็นบ้าน วัดก็เป็นวัด Secularization น่ะ ฝรั่งทำมาอย่างโง่เขลา ไม่น้อยกว่าหกสิบปีแล้ว ไอ้เราก็เป็นคนโง่ ไปตามก้นเขา ไปตัดวิชาธรรมะศาสนาออกจากการศึกษาไปเรื่อยๆ คนร้ายมันก็ค่อยๆ เกิดขึ้น จนจะทนอยู่ไม่ไหวแล้ว จึงมาสนใจกันอีก ไปดึงธรรมะหรือศาสนากลับมาสู่การศึกษาอีก
จึงขอให้ลองดูว่าทั้งโลกน่ะ การศึกษากำลังเป็นหมาหางด้วน สอนแต่หนังสือให้ฉลาด สอนแต่อาชีพให้รู้จักทำมาหากิน ส่วนที่จะให้เป็นมนุษย์กันอย่างไรโดยถูกต้องนั้นไม่ได้สอน มันขาดตอนนี้ ก็เลยเรียกว่า หมาหางด้วน การศึกษาระบบหมาหางด้วนกำลังเป็นไปทั้งโลก และหมาตัวใหญ่ที่นำก็คือ มหาประเทศ ที่มันเกิดการคิดว่า ถ้ามัวเอาศาสนาเข้ามาฝากแฝงอยู่ในการศึกษานี่ มันทำลายเวลา มันถ่วงเวลา มันไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการเมืองให้เป็นไปเร็วๆ ตัดออกไปเสียทีละน้อยๆ จนหมด เพื่อว่าการศึกษาจะได้ส่งเสริมเศรษฐกิจ และการเมืองถึงที่สุด ดังนั้นจึงเน้นกันแต่วิชาหนังสือให้ฉลาด วิชาสายอาชีพเพื่อเศรษฐกิจอันดี การศึกษาก็เป็นหมาหางด้วน
ตามนิทานอีสป นิยายนิทานอีสป แล้วหมาตัวนั้นก็เที่ยวชักชวนหมาทั้งหลาย หมาหางด้วนทีแรกก็ติดกับ ก็ไปชักชวนหมาทั้งหลายว่า หางด้วนดีกว่าโว้ย หมาทั้งหลายในถิ่นนั้นก็เชื่อ ยินดีตัดหาง ไปถึงหมาแก่ตัวหนึ่ง บอกว่า กูไม่เอาโว้ย มึงโกหกโว้ย มึงมาหลอกกูโว้ย กูไม่เอา นี่ มันก็ยังมีหมาแก่ตัวหนึ่งซึ่งไม่เอาด้วย นี่ขอให้ดูเถอะว่าไอ้เรื่องหมาหางด้วน มันเกิดขึ้นอย่างไร มันละโมบโลบลาภจนไปติดกับชาวบ้าน แล้วหางด้วน แล้วเที่ยวบอกเพื่อนทั้งหลายว่าหางด้วนดีกว่า แต่มันก็มีหมาบางตัวที่ว่า รู้เท่าทัน รู้เท่าทัน ไม่เอากับมัน เหมือนกับหมาตัวนั้น มันเพื่อประโยชน์อะไร ทำไมมันจึงติดกับหางขาด เป็นหมาตัวแรกที่ไปบูชาวัตถุนิยม จนแย่ ไปชวนคนอื่นให้เป็นอย่างนั้นบ้าง
วัตถุนิยม ในที่นี้ อาตมาหมายถึงว่า มันหลงใหลความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางวัตถุ มีคนโง่ๆ หาว่าอาตมามีความรู้แค่นี้ วัตถุนิยมเพียงแค่สุขทางวัตถุ อาตมาก็รู้เหมือนกันแหละ วัตถุนิยมคืออะไร แต่ที่ควรเอามาพูดเป็นหลักสำคัญก็คือว่า ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางวัตถุ
ฉะนั้น คำว่า “วัตถุนิยม” นั้น มันหมายถึง ทำอะไรๆ ก็เอาวัตถุเป็นหลักเกณฑ์ เท่านั้นเอง อะไรก็วัตถุเป็นหลักเกณฑ์ มีมูลเหตุมาจากวัตถุ อะไรๆ ต้องเป็นไปตามหลักของวัตถุ อย่างนี้เขาเรียก “วัตถุนิยม” เช่น คอมมิวนิสต์ วัตถุมันนำจิต วัตถุมันมีอยู่ก่อน มีแล้วจึงค่อยมีจิต เราก็ต้องถือหลักวัตถุเป็นใหญ่ เป็น Directive Materialism นี่ คือ วัตถุนิยม ต่อมา นักศึกษา นักบันทึกอะไรทั้งหลายในโลกนี้ ก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ จะศึกษาอะไรก็เอาวัตถุเป็นหลัก เพราะมันไม่มีความรู้เรื่องจิตใจ ฉะนั้นมันจะบันทึกประวัติศาสตร์ บันทึกพงศาวดาร มันก็บันทึกได้แต่เรื่องทางวัตถุที่ตาเห็น ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจตาไม่เห็น มันก็ไม่ได้บันทึกไว้ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่รู้เรื่องธรรมะ หรือศาสนาอะไรนัก มันรู้แต่เรื่องวัตถุ ถือวัตถุเป็นหลัก พูดขึ้นมาถึงเรื่องความสุข หรือผลที่ได้รับมันก็เอาวัตถุเป็นหลักอีก เพราะฉะนั้น มันจึงเอาวัตถุที่ให้ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยนี่ เป็นหลักสำคัญ สำหรับจุดตั้งต้นเพื่อการศึกษา เพื่อการค้นคว้า เพื่อการประพฤติปฏิบัติ หรือเพื่อหวังข้างหน้าอะไรก็ตาม เอาวัตถุเป็นหลักทั้งนั้น ไอ้โลกนี้ก็เลยเป็นโลกของวัตถุ ก็เพิ่งเป็นเมื่อเร็วๆ นี้ มันก็สักสองร้อยปีไม่มากกว่านั้นมั้ง ที่โลกมันโง่ หลงบูชาวัตถุมากขึ้น ๆ ก่อนนี้เขาไม่ต้องการ หรือว่าเขาไม่อาจจะต้องการ ก่อนนี้โลกมันไม่อาจจะก้าวหน้าทางวัตถุด้วย พอดีกับที่มันยังไม่รู้จัก
เพราะฉะนั้นเรื่องการกินดีอยู่ดีทางวัตถุนี้มันเพิ่งมี เมื่อเผอิญมารู้จัก ถ้ารู้จักแล้ว มันก็มีคนฉวยโอกาสผลิตวัตถุขายจนร่ำรวย เพราะรู้ว่าทุกคนมันชอบวัตถุ อุตสาหกรรมผลิตวัตถุมันจึงเกิดขึ้น มันก็ผลิตอย่างเนรมิต ไอ้คนนั้นมันก็รวย รวยจนคุมอำนาจการเงินการค้าเอาไว้ได้ ที่เรียกว่า พวกนายทุน นายทุนมันเพิ่งเกิดเมื่อโลกโง่ หลงวัตถุ มันไม่เคยเกิดก่อนนั้นเพราะมันไม่อาจจะเกิดได้ ไอ้พวกนายทุนนี้มันเพิ่งโง่ เมื่อมนุษย์ในโลกหลงวัตถุ เขายังผลิตวัตถุแล้วก็ขายคนโง่ๆ เหล่านั้น จนรวยเป็นนายทุน ไอ้คนที่ล้าหลังก็โกรธแค้นจะทำลายนายทุน จึงเกิดพวกชนกรรมาชีพ นายทุนก็ดี ชนกรรมาชีพก็ดี มันเพิ่งเกิดเมื่อมนุษย์เพิ่งจะโง่ไปหลงในทางวัตถุ ชนกรรมาชีพก็อยากจะเป็นนายทุนนั่นเอง ทั้งสองฝ่ายนั้นก็หลงในทางวัตถุ นี่เรียกว่า ไอ้เลวร้ายของวัตถุนิยม ก็คือ ความหลงในความอร่อยทางวัตถุ เมื่อมนุษย์มาบูชาวัตถุ หลงในความอร่อยทางวัตถุ เขาก็จัดการศึกษาไปเพื่อประโยชน์อย่างนั้น เพื่อความเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ ไม่จัดโลกไปในทางจิตใจ ไม่หวังผลทางจิตใจ เหมือนสมัยที่ยังไม่ลุ่มหลงวัตถุถึงขนาดนี้
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยระวังให้ดี ถ้าเป็นทาสทางวัตถุแล้ว จิตใจของท่านจะไม่อาจเป็นครู จะไม่ชอบความเป็นครู จะเป็นได้อย่างมากเพียงลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ อุตส่าห์แข่งขันแย่งชิงกันสอบไล่ให้ได้ทำหน้าที่ ให้ได้เข้าเป็นครู ก็เพื่อสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ไม่มีวิญญาณแห่งความเป็นครู แต่พวกฝรั่งเขานำเรา เขานำก่อนเรา เราไปตามก้นเขาเรื่องนี้ บาปมันควรจะอยู่ที่ต้นตอ วัตถุพยานที่จะหาได้ง่ายๆ น่ะ คุณลองไปซื้อหนังสือแบบเรียนแบบสอนอ่าน Reader ของฝรั่ง โดยเฉพาะอังกฤษ เมื่อสัก หกสิบ เจ็ดสิบปีมาเปิดดู มันคงหายาก คงหาซื้อยากเพราะมันไม่มีขายในตลาด แบบเรียนของฝรั่ง ไอ้ Reader สำหรับเด็กเรียนน่ะ มาเปิดดู แล้วเทียบดูกับ Reader ปัจจุบันนี้ มันต่างกันลิบ มันต่างกันลิบ ไอ้ Reader ของเด็กสมัยโน้น เมื่ออาตมายังไม่บวช คือเมื่อหกสิบปีมาแล้วนี่ หกสิบเจ็ดสิบปีนี่ หกสิบปีนี่ แต่ แต่ว่า โดยตรงก็เคยไปซื้อมาดู Royal Reader ตอนนั้นในประเทศไทยยังมีใช้อยู่โรงเรียนหนึ่ง จะเป็นโรงเรียนคริสเตียน หรืออัสสัมชัญก็ไม่ทราบ ซื้อที่ร้านแถวหน้าวังบูรพา ชอบมาเปิดดู Reader ทุกบทตอนท้ายจะมีบททำให้เด็กรักพระเจ้า รักศาสนาทุกบท แม้จะเรื่องวิชาสามัญ วิชาภูมิศาสตร์ วิชาอะไร มันฉลาดที่สุด มันจะใส่ไว้สี่ห้าบรรทัดตอนจบบท ซึ่งปลุกให้เด็กรักพระเจ้ารักศาสนาทั้งนั้น เราก็เลยชอบมากทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี เดี๋ยวนี้ Reader มันก็จะเป็นส่งเสริมการเมือง เศรษฐกิจ
หนังสืออนุบาล หนังสือสำหรับเด็กชั้นอนุบาลที่อเมริกามีคนเอามาให้ดู มีสอนทฤษฎีเรื่องปรมาณู เด็กอนุบาลมีโอกาสเรียนทฤษฎีเรื่องปรมาณู ทำเป็นรูปเหมือนกันรูปทองหยอด เขียวบ้าง แดงบ้าง เหลืองบ้าง เป็นพวง เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นสอนทฤษฎีเรื่องปรมาณู เราอ่านไม่รู้ เราเรียนไม่รู้ เราไม่สนใจด้วย ทฤษฎีเรื่องปรมาณูนี่มาสอนกับชั้นอนุบาล นี่มันรีบเท่าไหร่ มันรีบจะเป็นเจ้าโลกกันเท่าไหร่แล้ว ขนาดว่าเด็กอนุบาลก็เรียนเรื่องทฤษฎีเรื่องปรมาณู แล้วเด็กอนุบาลจะเรียนเรื่องพระเจ้า หรือศาสนาได้อย่างไร เมื่อการศึกษามันมุ่งอย่างนี้เสียแล้ว มุ่งประโยชน์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ อย่างนี้เสียแล้ว การศึกษาของโลกกำลังบ้าหลังที่สุด เพื่อจะชนะ เพื่อจะครองโลก เพื่อจะสมบูรณ์ทางวัตถุ จึงปั่นป่วนกันทั้งโลก คือทั้งโลกบูชาวัตถุนิยม พวกเราก็พวกตามก้น การศึกษาก็ตามก้น มาตรฐานการกินอยู่ก็ตามก้น แต่งเนื้อแต่งตัวก็ตามก้น บทเรียนก็ตามก้น ดนตรีก็ตามก้น อะไรก็ตามก้น จนระบำบัลเล่ย์คือวัฒนธรรมของโลกสำหรับแลกเปลี่ยนกัน คุณสังเกตสักหน่อยว่า ถ้าเขาจะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันระหว่างชาติมหาอำนาจ มันกลายเป็นแลกเปลี่ยนแบบระบำบัลเล่ย์ มันไม่มีเรื่องศาสนาเลย ทั้งที่ศาสนานี่คือยอดสุดของวัฒนธรรม เป็นอันว่าโลกนี้มันไร้ศีลธรรมเพราะไปเป็นทาสของวัตถุ เห็นแต่ตัวกูของกู อยากจะอยู่ดีกินดีเท่านั้นเอง แล้วโลกมันจึงเป็นอย่างนี้ โลกอยู่ในสภาพที่น่าอาย น่าละอายที่สุด น่าละอายหมา น่าละอายแมว เพราะว่าคนในโลกกัดกันยิ่งกว่าหมาและแมว คุณดู หมาแมวไม่ได้กัดกัน แต่เดี๋ยวนี้ในโลกกำลังกัดกันอยู่หลายมุมหลายแห่งในโลก และตลอดไปเลย ไอ้สงครามใต้ดินกำลังมีอยู่ทั่วโลกตลอดเวลาเลย นี่เรียกว่า คนกำลังกัดกันอีกกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างน่าละอายหมา ละอายแมว มูลเหตุมาจากลุ่มหลงวัตถุจนไม่มีศีลธรรม
ทีนี้ คนทำลายโลกมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์คนในโลกทำลายโลก คือ ไปขุดเอาโลหะบ้าง น้ำมันบ้างอะไรบ้างในโลกขึ้นมาใช้ เพื่อประโยชน์โง่เขลาที่สุด ประโยชน์คือสงคราม ขุดของใต้ดินขึ้นมาทำอาวุธสงครามล้างผลาญกันบ้าง ส่งเสริมวัตถุกามารมณ์บ้าง ที่จำเป็นโดยแท้จริงไม่ ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของที่เอามาทำสงครามและบำรุงกิเลส มันจึงถือว่า มนุษย์นี่ คนนี่ทำลายทรัพยากรในโลกเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน อ้าว, ที่นี้ผลของมันก็เกิดขึ้น สมน้ำหน้ามันเลย ที่คนในโลกเป็นโรคประสาทมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน คนในโลกเป็นโรคจิตมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็คิดดูสิ หมาแมวไม่เป็น สักตัวหนึ่งก็ไม่เป็นโรคประสาท แต่คนเป็นโรคประสาทในโลกเพิ่มขึ้นๆ ดูสถิติน่าสังเวชที่สุด ที่ว่าโรคประสาทโรคจิต หรือไอ้สิ่งเลวร้ายอย่างอื่นนี่มันมีแต่คน แต่คนในโลก อย่างน่าละอายสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่ามันไม่มีศีลธรรม เพราะว่ามันไม่มีครู ไม่มีการศึกษาทางศีลธรรม
นี้ขอโอกาสพูดไปในคราวเดียว ขออุดมคติของครูอาจารย์ อุดมคติของการศึกษา เพราะมันเนื่องกัน เพราะว่าครูนั่นแหละเป็นผู้จัด ดำเนินการศึกษาตามวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมายของผู้มีอำนาจในประเทศนั้นๆ การศึกษามันก็ผิด เพราะว่าไอ้หลักการนี้มันไปเป็นทาสของวัตถุนิยมหมดแล้ว
ไปดูในประเทศที่เจริญ ที่เป็นมหาอำนาจที่เจริญในการศึกษา ที่เราไปตามก้นเขา ไปขนเอาของเขามา ก็ดูเถอะว่า ประเทศนั้นมันอยู่ในสภาพอย่างไร ประเทศที่เราจะเอาเขาเป็นครู มันอยู่ในสภาพอย่างไร อย่าออกชื่อประเทศไหนเลย มันไม่ดี มันเสียมันยาก ไม่ต้องออกชื่อ แต่คุณก็รู้เองว่า ประเทศที่มันเป็นผู้นำการศึกษาจนเราไปตามก้นเขา ประเทศนั้นๆ มันมีสันติสุขในประเทศอย่างไร มันมีความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบไหม มันมียาเสพติด หรือไม่มียาเสพติด มันมีอาชญากรรมเลวร้ายทั่วไปทุกหัวระแหงไหม ประเทศไหนบ้างมีการฉุดฆ่าข่มขืนสตรีทุกๆ เจ็ดวินาที คุณไปค้นดูเอง อย่าให้อาตมาต้องออกชื่อประเทศนั้นๆ เลย ก็ไปดูมันสิ ประเทศที่เราไปตามก้นเขาจะเอามาเป็นครูมันกำลังอยู่ในสถานะอย่างไร แล้วก็ดูว่าเราสูญเสียความเป็นพุทธบริษัทของเราเองไปเท่าไร ไปดูอย่างนี้ดีกว่า ฉะนั้น อะไรๆ ก็อย่าไปตามก้นฝรั่งนัก เพราะว่าดูแล้วเขาก็ไม่เห็นอะไรดีขึ้นเลย นี่มันการศึกษาหมาหางด้วนตัวนำให้เราไปตามเขา นี่คือปัญหาอันแท้จริงมันมีอยู่อย่างนี้ เมื่อประชาชนพลเมืองของเราเป็นทาสของยาเสพติด เป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอะไรไปแล้ว มันก็หาความสงบสุขไม่ได้ อย่างที่เราเห็นได้ในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่ายุคนี้มีอาชญากรรมเท่าไร ปัญหาของเราก็คือมีอาชญากรรมมาก มีความยากจนมาก มียาเสพติดมาก มีไสยศาสตร์มาก สี่อย่างนี้พอแล้ว เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ท่วมหัวท่วมหูแล้ว สี่อย่างเท่านั้นก็พอ แต่มันมีอีกมากนะมันไม่ใช่เพียงสี่อย่าง ความยากจนเป็นปัญหา แล้วความอาชญากรรมเป็นปัญหา ยาเสพติดเป็นปัญหา ไสยศาสตร์เป็นปัญหา อยู่ในระบบการศึกษาที่จะมุ่งทำลายล้างหรือเปล่า หรือไปมัวพูดแต่เรื่องเศรษฐกิจเรื่องการเมือง โดยไม่รู้ว่า ไอ้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้มันเกิดมาจากความไม่มีศีลธรรม ผู้มีอำนาจในโลกไม่จัดศีลธรรมเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ มันจะเอาเศรษฐกิจแก้เศรษฐกิจ จะเอาสงครามแก้สงคราม จะเอาการเมืองแก้การเมือง อย่างนี้มันคนบ้า มันก็เหมือนเอาน้ำโคลนมาล้างเท้าที่เปื้อนโคลนมันไม่มีวันจะสะอาด ในโลกจะเอาการเมืองแก้การเมือง เศรษฐกิจแก้เศรษฐกิจ สงครามแก้สงคราม มันไม่มีวันจะเป็นไปได้ มันมีอย่างเดียว คือ ไปเอามือของพระเจ้ามา ไปเอามือของพระเป็นเจ้ามา นั่นล่ะ คือ ศีลธรรม
ถ้าเราแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยศีลธรรม ก็แปลว่าเราไปเอามือของพระเจ้ามาแก้ปัญหา มันก็จะเป็นไปได้ ฉะนั้น ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จงนึกในเรื่องนี้ เพราะว่าเป็นผู้ปั้นเด็กๆ ถ้าว่าเบื้องบนเขาไม่เอา เราก็เอาก็ได้ ใครจะมาเป็นนายเรา ถ้าเรามีวิญญาณที่เป็นครู ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันๆ หนึ่ง นะ ถ้าเรามีวิญญาณที่เป็นครู เราก็ทำตามที่เราจะทำได้ แม้จะสอนเลข สอนวาดเขียน สอนภูมิศาสตร์ แล้วก็สอนให้เด็กรักศีลธรรม มีศีลธรรม ในความหมายที่ว่าเป็นกฎของธรรมชาติที่ว่าต้องทำ ไม่ทำเราก็จะเดือดร้อน จะสอนวาดเขียน ก็สอนให้รู้จักรักความงาม ความยุติธรรมที่ถูกต้อง ซึ่งมันเป็นตัวศีลธรรม
ศีลธรรมมีความงามยิ่งกว่าสิ่งใด มีความถูกต้องยิ่งกว่าสิ่งใด มีความยุติธรรมยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ จะสอนวิชาอะไรก็สอนให้รู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อำนาจสูงสุดของธรรมชาติ เด็กๆ ของเราก็จะบูชาศีลธรรม บูชาพระธรรม บูชาพระเจ้า แทนที่จะมาบูชาวัตถุเพื่อกามารมณ์แห่งเนื้อหนัง ทีนี้ เด็กหนุ่มสาว เด็กหนุ่มๆ สาวๆ ของเราบูชากามารมณ์ยิ่งกว่าพระเจ้า คุณไปดูให้ดี เขาจะเปิดหน้ากามารมณ์ทั้งนั้นแหละ อ่านหนังสือพิมพ์ก็ดีอะไรก็ดี เขาไม่มองดูไม่เปิดดูไอ้หน้าที่เป็นเรื่องของศีลธรรม จึงมีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง
เมื่ออาตมายังไม่บวช หกสิบปีมาแล้วนั่น ไปที่กรุงเทพ รู้สึกพอใจความสงบในบ้านเมือง ในแผ่นดิน ในกลางถนนหนทางทั่วไป ไม่มีเรื่องฉกชิงวิ่งราว ข่มขืน อะไรมากเหมือนเดี๋ยวนี้ ยังติดตาติดใจอยู่ และนึกบูชาอยู่ ตอนหลังเมื่อไปอีกที บวชแล้วไปเรียนบาลี แหม, รู้สึกว่าผิดไปมาก ตอนหลังนี้ไม่อยากไปเลย หนีมาอยู่ในป่าเพราะเกลียดสิ่งเหล่านี้ รู้ได้ทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามันมีมากเท่าไหร่ เลวร้ายเท่าไหร่ หนังสือพิมพ์รายวัน ตามกฎหมายเขาบังคับไปเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติทุกฉบับนะ ฉะนั้นไปเอาหนังสือพิมพ์รายวันเมื่อหกสิบปีที่แล้วที่มันยังเก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติ เอามาเทียบกันดูกับหนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ เทียบหน้าแรกๆ มันจะเห็นความต่างกันเป็นฟ้าและดิน คือหนังสือพิมพ์สมัยโน้นมันหาข่าวอาชญากรรม หรือภาพอาชญากรรมดูยาก สมัยนี้หนังสือพิมพ์มันเต็มไปด้วยข่าว และภาพอาชญากรรม นี่ก็แสดงความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงของบ้านเมืองของเรา ขอให้ท่านมองเห็นข้อนี้ เพื่อจะรู้ปัญหาแท้จริงของเราที่ว่าเราจะต้องแก้มัน อาชญากรรมมาก ความยากจนมาก เพราะว่ามันไปหวังมาก หวังสนุกสนานทางวัตถุมาก จนไม่ทำงาน จนไม่ทำงาน จนไม่มีจิตใจจะทำงาน เพราะคิดว่าทำงานมันก็ไม่ได้เงินพอที่จะไปซื้อปัจจัยแห่งกามารมณ์สมัยนี้ซึ่งมันมากนัก มันจึงคิดทางลัด ปล้น จี้ ขโมย ไปตามเรื่อง คือ จะเกียจคร้านทำการงานมากขึ้น เพราะว่าเขาต้องการมากเกินกว่าที่ควรจะต้องการ สมัยโน้นคนเขาไม่ต้องการมากเพราะเขาหวังว่าจะทำงานได้พอกับความต้องการ และอีกอย่างหนึ่ง คนสมัยโน้น ก็คือว่า การทำงานนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมะ ทำหน้าที่ของเราเป็นการปฏิบัติธรรมะ ฉะนั้น คนสมัยโน้น จะเป็นชาวนาชาวสวน เขาก็ทำงานสนุก แม้เหงื่อออกมาก็ยิ่งสนุก เขาถือว่าการทำงานนั้นคือความถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนทำงานเหงื่อไหลไคลย้อยตลอดวันเขาก็ทำได้ เพราะอำนาจของพระธรรมมีอยู่ในใจ คือมีศีลธรรมอยู่ในใจ และความต้องการวัตถุกามารมณ์ หรืออบายมุขมันก็ไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ เขาจึงมีจิตใจที่จะทนทำงานอยู่ได้
เดี๋ยวนี้ ความต้องการอบายมุขกามารมณ์มันมาก จนทำให้ทนอยู่ไม่ได้ที่จะขุดนาแก๊กๆ อยู่ในนามันทำไม่ได้ มันไม่ทันกับความต้องการ มันจึงต้องไปหาวิธีลัด จี้ปล้นไปตามเรื่อง ทีนี้ก็เต็มไปด้วยอาชญากรรม น่าละอายแมวหมา ซึ่งเมื่อก่อนก็ยังอยู่อย่างเดิม เดี๋ยวนี้ก็อยู่อย่างเดิม แมวหมาไม่กัดกัน เหมือนกับที่คนกำลังกัดกัน ทีนี้ เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่น่าหัว เป็นเรื่องที่บ้าบอที่สุดของมนุษย์ในโลก ให้การศึกษาทั้งนั้นแล้วทำไมจึงไปชอบยาเสพติดได้ ทำไมไม่หยิบปัญหานี้ขึ้นมาพิจารณาดูว่าทำไมเรียนประถมมัธยมแล้ว ก็ยังไปบูชายาเสพติด การศึกษามันบ้ากระมัง หรือเด็กมันบ้าก็ให้ไปคิดดูให้ดี ยาเสพติดเมื่อก่อนนี้เด็กๆ เกลียด สมัยอาตมาเป็นเด็กๆ นี่ เด็กทุกคนเกลียดยาเสพติด เห็นคนสูบกัญชาเดินมาวิ่งหนีนะ มีคนสูบกัญชาคนหนึ่งมานั่งอยู่ใต้สวนกุฏิมืดๆ มุมค่อนข้างมืด เด็กบอกกันว่า ไอ้คนนั้นมันสูบกัญชา เด็กแอบเข้าไปดูเหมือนกับ ไปดูสัตว์ร้าย เด็กเกลียด หรือเด็กกลัวไม่กล้าเข้าไปข้างหน้า พอเสร็จแล้วก็ถ่มน้ำลายถุยแล้วก็วิ่งหนี ทำกับคนสูบกัญชาอย่างนั้น สมัยนั้น ยังไงล่ะ ครูอย่างพวกคุณมีเงินเดือน เดือนละแปดบาทเท่านั้น เดี๋ยวนี้ครูมีเงินเดือนตั้งพัน ทำไมมีผลเกิดขึ้นว่าเด็กกล้าต่อยาเสพติดเล่า ลองคิดดู มันมีอะไรผิดแล้ว มันมีอะไรผิดแล้วแน่นอน ไปตรวจดูเถอะ เพราะต้นเหตุนี้แล้วจะแก้ปัญหายาเสพติดได้
ถ้าพูดโดยกฎธรรมชาติอันลึกซึ้ง มันมีอยู่ว่า คนเรานี่ไม่ได้อยู่ด้วยเพียงปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค แค่สี่อย่างนี้ไม่พอ มีปัจจัยสี่อย่างไม่พอคนเราน่ะ ต้องมีปัจจัยอีกอันหนึ่งที่เรียกว่า ปัจจัยที่ห้าก็ได้ คือ ความเพลิดเพลิน สบายใจ สิ่งประเล้าประโลมใจเป็นปัจจัยที่ห้า ถ้าไม่มีไม่ได้ หมาแมวมันก็มี สัตว์เดรัจฉานมันก็มี นกหกมันก็มี ปัจจัยที่ห้า คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินเจริญใจ
สมัยโน้น เขามีสิ่งเพลิดเพลินเจริญใจถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ คือ บุญกุศล หรืออะไรก็ตาม บางคนเขาเพลิดเพลินเจริญใจเสียแล้วก็ไม่ต้องไปหายาเสพติด เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีสิ่งนั้น หากว่าตัดออกไปจากการศึกษาเป็นต้นเสียแล้ว เด็กก็ไปหาสิ่งเพลิดเพลินเจริญใจจากยาเสพติด ซึ่งมันไม่ให้ผลเป็นความเพลิดเพลินประเล้าประโลมใจ ฉะนั้น เรียนจบมัธยมแล้ว หรือให้ต่อไปถึงอุดม มันก็ยังไปหายาเสพติดมาสนองความประสงค์ คือ ประเล้าประโลมใจ ที่เรียกว่า ปัจจัยที่ห้า มันขาดไม่ได้ ข้อนี้จะเป็นข้อสำคัญของมนุษย์ที่มนุษย์ลืมเสียว่า มันต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจเป็นปัจจัยที่ห้าคนจึงจะปกติอยู่ได้ ไม่เป็นโรคจิต ไม่เป็นโรคประสาท ไม่บ้าไม่บอ ก่อนนี้เขามีบุญกุศล หรือการกระทำอย่างใดก็ตามที่ชื่นอกชื่นใจเป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ ไม่ต้องไปหายาเสพติด คนโง่นะนั่นที่จะไปหายาเสพติด ดังนั้น ทั้งที่ว่ากฎหมายไม่ได้เข้มงวดอะไร คนก็ไปสูบฝิ่นกัญชากันเพียงไม่กี่คน เดี๋ยวนี้มันนับไม่ไหว เอาฝิ่นมาผลิตเป็นเฮโรอีนเป็นอะไรนั่นน่ะ จะดื่มกันทั้งโลกจนเป็นปัญหาใหญ่ของโลก สมน้ำหน้าของไอ้คนทั้งโลกที่มันโง่ มันจัดการศึกษาท่วมโลกแล้วมันมีปัญหายาเสพติด ปัญหาที่น่าละอายที่สุดขององค์การสหประชาชาติ หรือของทั้งโลกน่ะ มันอยู่ที่ว่า ไอ้มนุษย์ทำไมมันจึงไปบูชายาเสพติด ทั้งที่มันจัดการศึกษาเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าสมัยก่อนอย่างที่เทียบกันไม่ได้ ซึ่งสมัยนั้นมันไม่มีปัญหาเรื่องยาเสพติด มันเพิ่งมีเมื่อไม่กี่ปี นี่เป็นความบ้าของมนุษย์ ทำขึ้นมาเองแล้วก็แก้ไม่ตก แล้วก็ยุ่งกันไปทั้งโลกที่จะแก้ปัญหายาเสพติด
สรุปแล้ว คือ ผลการศึกษาหมาหางด้วน ไอ้ยาเสพติดนี่มันให้ความประเล้าประโลมใจถึงที่สุด แต่เป็นชนิดเลวร้าย คือ ติด ฉะนั้นเมื่อเราไปรักษาให้เขาทิ้งยาเสพติดได้ แล้วเอามาอยู่เฉยๆ ไม่เอาสิ่งสบายใจ ประเล้าประโลมใจเช่นนั้นอันใหม่ไปแทนให้ เด็กคนนั้นก็จะต้องกลับไปสู่ยาเสพติดอีก นี่คือ ความโง่ของการปราบยาเสพติด หรือควบคุมยาเสพติดที่กำลังมีอยู่ในประเทศ เพราะเอาเด็กมาจากสถานละยาเสพติดแล้วไม่ให้อะไรเขาให้เป็นที่พอใจ เขาก็ต้องกลับไปเสพยาเสพติดอีก เพราะเขาทนอยู่ไม่ได้ ด้วยอำนาจของการบีบคั้นของปัจจัยที่ห้า ฉะนั้น เมื่อถอนเด็กๆ ออกมา หรือคนโตก็ได้ออกมาจากสถานที่ทิ้งยาเสพติดแล้ว ต้องรีบเอามาให้พบกับสิ่งประเล้าประโลมใจที่ดี ที่บริสุทธิ์ที่ไม่ให้โทษเร็วๆ เขาก็จะมาสบาย พอใจอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มีผู้เสนอว่า ทำสมาธิ ให้ถึงขนาดเป็นสมาธิ สบายใจ สบายใจ บอกไม่ถูกเลย ฉะนั้น คนที่ทิ้งเฮโรอีนมาได้แล้ว รีบมาทำสมาธิให้พบกับสุขอันนี้เสีย เขาก็จะหลงกับความสุขอันนี้ ไม่กลับไปเสพยาเสพติดอีก ไปคิดดูเถิด ใครมันคิดอย่างนี้กี่คน มันไม่เคยคิดที่จะหาสิ่งประเล้าประโลมใจแทนยาเสพติด ให้คนที่ละยาเสพติดมาได้ยึดเป็นที่พึ่ง แม้องค์การสากลของโลกที่จะปราบยาเสพติด มันก็ไม่เคยคิดอย่างนี้ เพราะมันไม่มองความดีความประเสริฐของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือศีลธรรม เดี๋ยวนี้ยาเสพติดกำลังเพิ่มขึ้น อาตมาไม่ต้องบอก ท่านทั้งหลายก็รู้ว่ายาเสพติดกำลังเพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง ในจังหวัดเรา ในบ้านเรานี่ มันก็กำลังจะเพิ่มขึ้นเหมือนกัน จะทำกันอย่างไร นี่มันเป็นเรื่องที่ว่าน่าขายหน้าของมนุษย์ ผีมันหัวเราะ ให้ผีทั้งโลกมันหัวเราะมนุษย์ ที่โง่ที่จัดการศึกษาแล้วมีผลคือ คนติดยาเสพติด อันนี้ก็เรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหา จะแก้กันอย่างไร ครูจะป้องกันยาเสพติดอย่างไร ถอนออกมาได้แล้วจะรักษาเขาไว้ได้อย่างไร เรื่องที่หนึ่งอาชญากรรม เรื่องที่สองยากจน เรื่องที่สามยาเสพติด เรื่องที่สี่ไสยศาสตร์ น่าหัวที่ว่า การศึกษาก็จัดเจริญแล้ว แต่ไสยศาสตร์กลับท่วมมากขึ้นในกรุงเทพนั่นเอง ไสยศาสตร์กำลังท่วมทับกรุงเทพมากกว่าเมื่อยี่สิบสามสิบ หรือห้าสิบปีมาแล้ว สมัยหนึ่ง ไอ้ ไอ้ หลังปกแบบเรียนทุกเล่มจะมีข้อความเป็นข้อๆๆๆ ชี้โทษของไสยศาสตร์ ตำหนิโทษของไสยศาตร์ สมัยนั้นดูจะเปลี่ยนการปกครองใหม่ๆ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ไอ้ที่หลังปกหนังสือแบบเรียนทุกเล่ม แม้แต่สมุด Exercise มันก็มีข้อความชี้โทษของไสยศาสตร์ ตำหนิความโง่ของไสยศาสตร์ เดี๋ยวนี้มันไม่มี เดี๋ยวนี้มันไม่มี ฉะนั้น เรื่องไสยศาสตร์มันก็เจริญก้าวหน้าเพราะว่าคนร้อนใจ คนยากจน คนขลาด คนกลัวมาก ไม่มีอะไรจะบำบัดความร้อนใจ หรือความขลาด ความกลัว ได้ทันควันเท่ากับไสยศาสตร์ ส่วนนี้เป็นส่วนดีของไสยศาสตร์ ฉะนั้น อาตมาอยากจะแปลคำว่า ไสยศาสตร์ นี่ว่า มันดีกว่าไม่มีเท่านั้นหละ ไสย แปลว่า ดีกว่า แปลว่า นอนหลับ ก็ได้ ไสย แปลว่านอนหลับก็ได้ ไสย แปลว่า ดีกว่า ก็ได้ ถือว่านอนหลับมันก็ ไสยา ไสยศาสตร์ทำให้โง่ หลับอยู่ ไอ้ผลร้ายมันก็คือว่า คนกำลังถือไสยศาสตร์กันมากขึ้น ฉะนั้นเราจะถือว่าไสยศาสตร์นี้ยังจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ถ้าคนปัญญาอ่อนยังไม่หมดไปจากโลก ไสยศาสตร์ไม่หมดไปจากโลก คุณอย่าไปมัวบ้า ด่า ไสยศาสตร์ให้เมื่อยปากเลย ไม่ต้องด่าหรอก ถ้าคนยังปัญญาอ่อนอยู่ในโลก และไสยศาสตร์ยังต้องมีอยู่ในโลก อาตมายืนยันอย่างนี้ ฉะนั้น จะกำจัดไสยศาสตร์ก็จะทำให้คนปัญญาไม่อ่อน ทำให้คนปัญญาแข็งกล้า รู้ตามที่เป็นจริง มันก็ไม่ไปหาไสยศาสตร์ เดี๋ยวนี้สิ่งต่างๆ ในโลก เศรษฐกิจก็ดี การเมืองก็ดี ทำให้คนวิตกกังวลมาก เหมือนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เพราะกลัวมากนอนไม่หลับ เขาก็ต้องหาอะไรที่มาระงับทันที เหมือนกับยาเสพติดเหมือนกัน ข้อนั้นก็คือ ไสยศาสตร์ ไม่ต้องมีปัญญา ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องมีอะไร เขามีปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์ก็ช่วยเขาสบายใจได้ทันที ฉะนั้นไสยศาสตร์จึงเจริญรวดเร็วในสมัยที่โลกกำลังมีสิ่งที่ทำให้หวาดกลัวมาก วิตกกังวลมาก ระแวงมาก หวังมาก อยากมาก อยากจะหา จนทำอาชีพไม่ทัน ต้องหันไปพึ่งไสยศาสตร์ เพื่อจะช่วยรวยเร็วๆ
ฉะนั้น จำไว้แต่มูลเหตุของไสยศาสตร์ คือว่า ความกลัว และก็ความต้องการมาก และก็ความที่ไม่มีความรู้มีแต่ศรัทธา แยกกันได้ว่า ไสยศาสตร์ตั้งรากฐานอยู่บนศรัทธา พุทธศาสตร์ตั้งรากฐานอยู่บนปัญญา มันคนละอัน ไสยศาสตร์มันตั้งรากฐานอยู่บนศรัทธา ศรัทธา ศรัทธางมงายก็ได้ พุทธศาสตร์ตั้งรากฐานอยู่บนปัญญา
จะยกตัวอย่างให้เห็นชัดว่ามันต่างกันอย่างไร แม้ว่าทำเหมือนกัน เข้าไปในโบสถ์ที่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คนหนึ่งมันก็กราบๆๆ พระพุทธรูปด้วยหวังว่าจะให้ช่วย ให้พ้นโชคร้าย ให้รวยทันที กราบนี้เป็นไสยศาสตร์ และอีกคนเข้าไปในโบสถ์นั้น พระพุทธรูปองค์นั้น แต่เขากราบๆๆ ด้วยความสำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า กราบนี้เป็นพุทธศาสตร์ กราบที่เดียวกัน องค์เดียวกัน อันหนึ่งมันเป็นไสยศาสตร์ อันหนึ่งมันเป็นพุทธศาสตร์ เพราะอันหนึ่งมันกราบด้วยความงมงายให้ช่วย อันหนึ่งมันกราบด้วยสำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้าที่ได้ช่วยโลกอยู่แล้ว การกราบของเขาเป็นพุทธศาสตร์ จึงเป็นอันว่า อะไรๆ ที่ทำไปด้วยความเชื่ออย่างงมงายมันก็เป็นไสยศาสตร์หมด แต่มันยังจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ถ้าโลกนี้ยังมีคนปัญญาอ่อนอยู่เพียงไร ไสยศาสตร์ยังจำเป็นต้องมี รักษาไสยศาสตร์ไว้เป็นของขวัญคนปัญญาอ่อน กว่ามันจะหมดไปจากโลก แต่ว่าพร้อมกันนั้น ก็ช่วยกันทำไสยศาสตร์ ปรับปรุงไสยศาสตร์นี่ให้กลายเป็นพุทธศาสตร์มากขึ้นๆ ด้วย อันนั้นมันจะเป็นการแก้ปัญญาอ่อน
บางคนกลับมาจากเมืองนอก ไปเรียนปริญญาเอกมาแล้ว มาสู่เมืองไทยแล้ว วันแรกหรือวันรุ่งขึ้นที่เขาถามหาคือว่า จะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี นี่ท่านอาจจะ อาจจะว่าอาตมาใส่ร้าย ใส่ไคล้ แกล้งพูด นี่ขอยืนยันว่า อาตมาได้ยินมากับหูเอง เห็นมากับหูเอง ที่คนๆ นั้นเขาถามว่าจะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกสองสามวันเท่านั้นน่ะ เป็นปริญญาเอกมาด้วย ฉะนั้นแสดงว่า การศึกษาแบบใหม่อย่างเมืองนอกนั้นน่ะไม่ ไม่ ไม่ป้องกันไสยศาสตร์ได้ เพราะความกลัวเขายังมีอยู่ ความหวังมากเกินไปของเขายังมีอยู่ ความงมงายของเขายังมีอยู่ เพราะฉะนั้น เขาจะต้องทำตามพิธีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ว่า ไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหน วัดไหนถึงจะดี ไสยศาสตร์มันครอบงำแม้แต่คนที่มีปริญญาเป็นหางมาจากเมืองนอก อย่าอวดดีกับมันสิไสยศาสตร์น่ะ ถ้าคนยังปัญญาอ่อนอยู่แล้วก็ไสยศาสตร์ยังจำเป็นที่จะต้องมี อาตมาจึงบอกกันว่า ไสยศาสตร์เป็นศาสนาที่จำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน จะต้องช่วยกันพัฒนาให้มันกลายเป็นพุทธศาสตร์ไปทีละนิดๆๆ ตามที่เราจะทำได้ ที่จะให้เลิกถอนไสยศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นของจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ถ้ามันยังปัญญาอ่อนอยู่ มันต้องไปหาไสยศาสตร์ ไปห้ามให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ ไปฆ่าเขาให้ตาย เขาก็ไม่ยอมฟังไม่ยอมเชื่อ ฉะนั้น ต้องทำในทางที่มันจะแก้กันได้ คือ ทำให้เป็นพุทธศาสตร์หรือมีปัญญาแข็ง ที่จะไปเลิก เลิกไม่ได้ ยิ่งเลิกทันทียิ่งเลิกไม่ได้ เพราะว่าคนมันกำลังกลัว กำลังต้องการมาก กำลังงมงาย ในเรื่องชีวิตของมันเอง เพราะว่าการศึกษาหมาหางด้วนนี้มันไม่สอนชีวิตมนุษย์ ให้รู้จักชีวิตมนุษย์ว่าเป็นกันอย่างไร สอนแต่หนังสือกับวิชาชีพเท่านั้นมันไม่พอ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่า ไอ้ไสยศาสตร์มันจะต้องมีอยู่ต่อไป เพราะว่าการศึกษาของเราไม่ลึกถึงต้นตอของความเป็นมนุษย์ ถูกต้องกันอย่างไร นี่คือตัวปัญหา
ที่บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยความยากจน บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยอาชญากรรม บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยยาเสพติด บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยไสยศาสตร์ สี่อย่างใหญ่ๆ เหล่านี้ก็พอแล้ว ที่นี่จะเป็นหน้าที่ของใคร หน้าที่นี้เป็นของครูบาอาจารย์มาแต่ดั้งเดิม คำว่า ดั้งเดิม หมายความว่าก่อนพุทธกาลก็ได้ ครูบาอาจารย์มีหน้าที่ยกวิญญาณหรือเปิดประตูโดยไม่ได้รับเงินเดือนแม้แต่สตางค์หนึ่ง คนสมัยก่อน เขาเป็นหมอรักษาคนทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่ได้คิดค่ารักษา ดูหมอ เมื่อรุ่นหมอ หมอที่เป็นพระเป็นอาจารย์ หรือว่าเป็นชาวบ้านก็เถอะ เขาไม่เคยรับค่ารักษาเพราะเขาต้องการบุญ หมอเหล่านั้นต้องการบุญ ต้องการให้ตนได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำประโยชน์เพื่อนมนุษย์ ฉะนั้น มันจึงมีหมอชนิดนั้น เดี๋ยวนี้มันก็มีหมอขูดรีด ครูบาอาจารย์สมัยก่อนก็เหมือนกันแหละ เขาไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียน เขาไม่ได้เก็บค่าสอน ไม่ได้เก็บค่าอะไร เขาเอาบุญ เขาจึงเป็นครูบาอาจารย์ชนิดที่เรียกว่า “ปูชนียบุคคล” แม้ใครจะเอาอะไรไปให้ ไปถวายบ้าง มันก็ไม่ ไม่ลบล้างความเป็น ปูชนียบุคคลของเขาได้ เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจว่า จะรับจ้างสอนหากิน สอนวิชาความรู้หากิน อย่างนั้นเขาเรียกว่า ครูอาจารย์ ครูบาอาจารย์ชนิดปูชนียบุคคล แต่ว่าสำนักครูบาอาจารย์ที่สอนเอาค่าจ้างเอาค่าตอบแทนนี้ก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่มี แต่ดูจะมีน้อยกว่า หรือไม่เป็นที่บูชา และไม่ใช่ความหมายของคำว่า ครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ต้องเป็นเรื่องของ ไอ้ความเมตตากรุณา เอาบุญเอากุศลไปหมด นั้นเขาก็จะต้องเรียกอย่างอื่น ใช้คำอย่างอื่นเรียก เรียกครูที่สอนวิชาชีพ ที่สอนวิชาอะไรก็ตามเพื่อเอาค่าจ้าง แม้ในครั้งพุทธกาลมันก็มี ก่อนพุทธกาลมันก็มี
ที่นี้ เรายึดเอาความหมายของคำว่า ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะคำว่า “ครู” ซึ่งแปลว่า ผู้เปิดประตูให้สัตว์ออกมาจากคอก หรือเป็นผู้นำในทางวิญญาณของสัตว์ หรือเป็นผู้มีบุญคุณแก่ประชาชนจนต้องเคารพนับถือ นี่คือคำว่า “ครู”
ครูบาอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ อายุหลาย หลายสิบปีก็มี ลองนึกดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราสมัยโน้นท่านทำหน้าที่ครูมากน้อยกว่าครูบาอาจารย์สมัยนี้อย่างไร อย่างน้อยความเป็นครู คือ ความเมตตากรุณานั้น ยังเห็นๆ อยู่นะ เราได้รับความเมตตากรุณา ยังติดอยู่ในความจำของครูบาอาจารย์ที่ว่าห้าสิบหกสิบปีมานี้ มันยังพอมองเห็น ส่วนเดี๋ยวนี้ถูกจัดเป็นวิชาชีพอันหนึ่งเท่านั้น วิชาครูนี่เป็นวิชาชีพอันหนึ่งเท่านั้น แล้วก็จัดไว้เป็นวิชาชีพสำหรับผู้ที่หมดท่า หมดท่าจะไปทำอย่างอื่น ฟังแล้วน่าละอายที่สุด อาตมาอยากจะร้องไห้ ที่จัดอาชีพครูสำหรับคนหมดท่า ที่จริงอาชีพครูมันปูชนียบุคคล ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า ขอให้เรากู้สถานการ์อันนี้กลับมาใหม่ ให้ครูเป็นวิชา วิชาชีพสำหรับเอาบุญ เรียกว่า ปูชนียบุคคล มีอาชีพช่วยคนแล้วเขาก็จะเลี้ยงดูไว้อย่างไรก็ได้ อย่างพระสงฆ์นี้มีอาชีพช่วยคน แล้วเขาเลี้ยงดูได้ให้อาหารไปวันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องการมากกว่านั้น เราอย่าไปนึกถึงค่าตอบแทน มันจะกลายเป็นลูกจ้างไป ถ้าไปเห็นแก่เงินเดือนก็จะกลายเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากิน แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าตั้งใจตั้งแต่ก่อนไปเรียนครู นี่มันก็ทำยากเหมือนกัน ถ้าไอ้ความ ถ้าจุดตั้งต้นมันมุ่งไปอย่างนั้นเสียแล้ว มันก็ยากที่เพื่อจะปูชนียบุคคล
แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเคยทำมาเพียงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้เรามาเลื่อนได้ เลื่อนเพื่อสูงขึ้นไป เป็นครูเพื่อนำในทางวิญญาณ เพื่อเปิดประตูให้คนออกมาเสียจากความโง่
เอาหละ เป็นอันว่าแม้ว่าเราจะทำเอาเงินเดือน แต่ขอให้การกระทำของเรามีผลอย่างนั้นด้วย ก็ยังอยากจะเอาเงินเดือนก็ได้ แต่ขอให้การกระทำของเรานั้นมีผลนำทางวิญญาณที่ถูกต้อง เปิดประตูออกมาเสียจากความโง่แล้ว มีความเป็นปูชนียบุคคลด้วย ก็ดีสิ ได้ทั้งเงินเดือน ได้ทั้งความเป็นปูชนียบุคคล อย่างนี้มันก็ดี ฉะนั้น ครูควรจะมาปรับทุกข์หารือกันแก้ แก้ปัญหาข้อนี้ คือ อย่าให้เป็นแต่เพียงเอาเงินเดือน ให้เป็นมนุษย์ที่เป็นปูชนียบุคคลของโลก ไม่ต้องมีใครมาแต่งตั้ง และก็ไม่ต้องการให้แต่งตั้ง ต้องการให้มันเป็นไปเอง แม้ไม่มีใครรู้ มันจะซ่อนอยู่อย่างลึกลับก็ช่างหัวมัน เป็นปูชนียบุคคลของโลกก็แล้วกัน แล้วโลกนี้มันจะดีขึ้นๆ มีศีลธรรมกลับมาสู่โลกนี้ ไม่ฉิบหาย โลกนี้ไม่วินาศ ถ้าศีลธรรมกลับมาโลกนี้ไม่วินาศ ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกนี้ก็วินาศ ถ้าศีลธรรมกลับมาอาชญากรรมก็ลดลง ความยากจนก็ลดลง เพราะว่าการขยันในการงานนั้นเป็นศีลธรรม ไสยศาสตร์ก็ไม่มี เพราะว่าธรรมะกลับมา ยาเสพติดก็มีไม่ได้ เพราะว่าศีลธรรมมันมันไม่อยู่กันได้กับยาเสพติด แก้ปัญหาร้ายๆ สี่ประการนั้นได้เพราะศีลธรรมกลับมา
ฉะนั้น การที่พยายามให้ศีลธรรมกลับมานี้ เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ถ้าพูดอย่างเรา ๆ ก็น่าบูชาอย่างยิ่ง ถ้าสมมติว่าพระพุทธเจ้าเกิดเสด็จมาเห็นไอ้การกระทำอันนี้ ก็จะทรงอนุโมทนาด้วยเหมือนกัน เพราะว่าเป็นพระพุทธประสงค์อย่างยิ่ง
เมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านตรัสว่า ตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เพื่อประโยชน์สุข เกื้อกูล แก่มหาชนในโลกทั้งเทวดา และมนุษย์ แม้กระทั่งเกิดขึ้นมาในโลกเพื่อผลอย่างนี้ แม้ธรรมวินัยทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก คือพระศาสนาของท่านมีอยู่ในโลกก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนในโลกทั้งเทวดา และมนุษย์ และมีอีกบทหนึ่งที่สำคัญมาก คือว่า เธอทั้งหลายจงช่วยกันพยายามทำให้ธรรมวินัย ศาสนานี้ยังคงมีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ ท่านว่า ท่านเองเกิดมาเพื่ออันนี้ ศาสนามีขึ้นก็เพื่ออันนี้ และขอให้ท่านทั้งหลายช่วยกันรักษาสิ่งอันนี้ไว้ เพื่อประโยชน์อันนี้ มีถึงอย่างนี้นะ
ถ้าว่าเดี๋ยวนี้พวกเราที่ประชุมกันอยู่ที่นี่ ทำเพื่อให้ศีลธรรมกลับมา ให้เป็นประโยชน์เกื้อกูล มันก็ตรงตามพระพุทธประสงค์ ถ้าสมมติว่าท่านมาเห็นท่านก็จะอนุโมทนา ฉะนั้น อาตมาจึงขอร้องให้ท่านนั่งกลางดินกันลืมพระพุทธเจ้า กลัวว่าท่านทั้งหลายจะลืมพระพุทธเจ้าเสีย จึงจัดให้มานั่งกลางดิน ก็จะนึกอยู่เสมอว่า ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน พอเรานึกอย่างนี้แล้ว เราจะมีจิตใจสนองพระคุณของพระองค์ หรือสนองพระประสงค์ของพระองค์ด้วยการทำให้ ด้วยการ ช่วยกันทำให้โลกนี้มีประโยชน์ ความสุขเกื้อกูลทั้งเทวดา และมนุษย์
ที่ตรัสว่า ทั้งเทวดาและมนุษย์นั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ ที่ที่อาจเอื้อมเกินไป เพราะว่าไอ้เทวดาก็คือผู้ที่ไม่ต้องออกเหงื่อ มนุษย์คือผู้ที่ต้องอาบเหงื่ออยู่ มันมีเท่านั้นแหละ มันเป็นนายทุนร่ำรวยไม่รู้จักเหงื่อ แต่มันก็ยังมีความทุกข์เพราะโลภะ โทสะ โมหะ ฉะนั้น พวกเทวดาอย่าอวดดีไปเลย มันยังมีความทุกข์เหมือนกัน ส่วนมนุษย์นี้มันต้องอาบเหงื่ออยู่แล้ว มันก็มีความทุกข์เหมือนกัน ฉะนั้น ขอให้ได้รับประโยชน์เกื้อกูลทั้งเทวดาและมนุษย์ ถ้าใครจะไม่ยอมรับความหมายอันนี้ จะเพ่งเล็งไปยังเทวดาบนสวรรค์ข้างบน ก็เหมือนกันแหละ เทวดาที่เมืองสวรรค์ข้างบนมันก็ยังมีโลภะ โทสะ โมหะ ดูตามเรื่องราวแล้ว บ้ากามารมณ์ยิ่งกว่ามนุษย์ มีเทวดาผู้หญิงมากมายสำหรับเทวดาผู้ชายอย่างนี้ มันก็เรียกว่ามันร้ายกาจเหมือนกัน ฉะนั้น เทวดาบนสวรรค์ก็ต้องการธรรมะ เทวดานายทุน เทวดาที่ไม่รู้จักเหงื่อในโลกนี้ ก็ต้องการธรรมะ ฉะนั้น ขอให้ศีลธรรมกลับมาเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูล ทั้งแก่เทวดา และมนุษย์ นี่คือ พระพุทธประสงค์
ฉะนั้น ขอให้เราจัดการศึกษา ช่วยกันทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาให้มีผลขึ้นมาอย่างนี้ให้ได้ เพื่อให้เด็กๆ เริ่มมีศีลธรรม เจริญงอกงามมั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป จนรอดตัวจนตาย ยังมีศีลธรรมจนตาย ทีนี้ก็เป็นเรื่องการสอนการอบรม เป็นเรื่องวิชาครู ท่านทั้งหลายอาจจะรู้เรื่องนี้มากกว่าอาตมา อาตมาจะพูดไปก็จะเป็นเรื่องมะพร้าวขายสวน และก็มีบางอย่างที่จะชี้ให้เห็นบ้าง ก็มีเหมือนกันแหละ เพราะเดี๋ยวนี้เรากำลังทำผิด มันมีแต่สอนให้รู้ มันมีแต่สอนให้รู้นะ ช่วยจำไว้ว่าคุณจะสอนให้เขารู้ แต่คุณไม่สามารถจูงใจให้เขาปฏิบัตินะ เราจะเรียกว่า “พุทธิศึกษา” สอนให้รู้ แล้วก็ “จริยะศึกษา” จูงใจให้ปฏิบัติ ทนอยู่ไม่ได้ต้องปฏิบัติ ต้องครบทั้งพุทธิศึกษา และจริยศึกษา คือ ท่านสอนพุทธประวัติจนเขารู้เรื่องเด็กชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะ จนบวชเป็นพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เขารู้เป็นพุทธิศึกษา แต่ท่านยังไม่สามารถจะสอนให้เขาอยากปฏิบัติตามเด็กชายสิทธัตถะ หรือปฏิบัติตามเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่มีเด็กคนไหนจะปฏิบัติตามเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะว่าเราบกพร่องในการที่จะอบรมให้เขาอยากจะทำเช่นนั้น อยากจะทำตามที่เขารู้จนทนอยู่ไม่ได้ ก็ได้แต่บอก ก็ได้แต่บอกๆๆๆ อัดเข้าไปเหมือนกับอัดจานเสียงเท่านั้นเอง แต่เราไม่ได้ทำให้จิตใจของเขารู้สึก “รู้สึก” นะ ไม่ใช่ “รู้” นะ อันนั้นมันรู้ ทำให้เขารู้น่ะมันง่ายนะ แต่ทำให้เขารู้สึกจนทนอยู่ไม่ได้จนต้องปฏิบัติตามนี่มันยาก
อาตมามองเห็นอยู่ว่า บอกให้เขารู้นั้น เด็กไม่ได้ต้องใช้ความคิดความนึกของเขา แต่ถ้าทำให้รู้สึก เราต้องทำให้เด็กต้องใช้ความคิดความนึกของเขา นี่ทำให้เขารู้สึกต้องทำโดยวิธีหนึ่ง ทำให้เขารู้ให้เขาจำให้ได้นั่นอีกวิธีหนึ่ง เช่น เราจะบอกเด็กสักชั่วโมงก็ได้ว่าแม่ดีอย่างนั้น มีคุณอย่างนี้ เด็กก็จำได้ แต่เด็กไม่รู้สึกรักพ่อแม่อย่างชีวิตจิตใจ เพราะว่าเราไม่ได้ปลุกความรู้สึก ได้แต่บอกๆๆๆ เหมือนอัดจานเสียง เราทำให้เขารู้หรือจำได้ แต่ไม่เกิดความรู้สึก ทีนี้เราต้องปลุกความรู้สึก อะไร วิธีไหนก็ตาม ขอให้เกิดความรู้สึก ทีนี้เราไม่บอก ไม่พูดไม่บอกแต่ถาม แกเกิดมาจากไหน มาจากโพรงไม้ ให้คิด เด็กต้องคิดนะ ถ้าเราบอกว่า แกเกิดมาจากแม่ เด็กก็ไม่คิดอีก ก็ไม่รู้อีก มันได้ยินเท่านั้นเอง มันไม่รู้สึก ถามว่าแกเกิดมาจากไหน คิดดูซิ ให้เด็กคิดจนเด็กคิดได้เองว่า โอ้! มันเกิดมาจากแม่ นี้มันมีความรู้สึก เรียกว่า เราปลุกความรู้สึก ต้องเป็นครูที่ฉลาดถึงจะปลุกความรู้สึกได้ ครูไม่ฉลาดได้แต่บอกให้รู้ บอกให้จำ บอกให้จดและอยู่ในสมุดด้วย ไม่อยู่ในความรู้สึก
ทีนี้ถามอีกว่า เนื้อนี้เอามาจากใคร เนื้อเลือดของเราแบ่งมาแต่ใคร ให้เด็กเกิดความรู้สึกขึ้นมาเอง ไม่บอก เราไม่บอก เราถามอย่างเดียว แต่ว่าถามชนิดปลุกความรู้สึก เด็กก็เกิดความรู้สึกว่า อ้าว! แบ่งมาจากแม่ แบ่งมาทางไหน อ้าว! กินนมแม่ มันรู้สึก ไม่ใช่รู้ และนมแม่มาจากไหน เด็กหลายคนตอบถูกว่าเลือดของแม่ อาตมาเคยถามเด็กตัวเล็กๆ บางคนมันตอบถูกว่า นมนี่คือเลือดของแม่ มันคงจะเคยได้ยินได้ฟัง แต่ว่ามันก็อาจจะรู้สึกได้ว่าเลือดของแม่ อย่างนี้เรียกว่า คนนั้นเขาปลุกความรู้สึกของเด็กให้เกิดขึ้น เมื่อความรู้สึกนี้เกิดพอ เพียงพอแล้ว เขารักพ่อแม่เองแหละ เขาซื่อสัตย์ กตัญญู บูชาพ่อแม่เอง ไม่เหมือนกันอัดเข้าไป อัดเข้าไป ด้วยการบอก มันก็เหมือนกับอัดจานเสียง ครูนี้จะต้องทำหน้าที่ครบสองอย่าง คือ ให้ความรู้เขาด้วย และปลุกความรู้สึกของเขาให้เกิดขึ้นมาด้วย สำหรับจะทำตามความรู้นั้น
พระพุทธศาสนาอย่างพวกเรานี้มันเป็นให้ความรู้ แต่ถ้าพุทธศาสนาอย่างเซนแล้ว จะไม่พูดอย่างให้ความรู้ จะพูดอย่างปลุกความรู้สึกเท่านั้นแหละ ฉะนั้น พุทธศาสนาอย่างเรากับพุทธศาสนาอย่างเซนมันต่างกันอย่างนี้ เขามันมีแต่วิธีปลุกความรู้สึกให้รู้สึกขึ้นมาเอง เรามีแต่วิธีบอกๆๆ อัดเข้าไป อัดเข้าไป แล้วไม่ค่อยจะได้ผล นี่อยากให้ครูทั้งหลายใช้ทั้งสองวิธี ที่ทำให้รู้ก็ทำให้รู้แหละ ไอ้ที่ปลุกความรู้สึกให้เกิดความรู้สึกก็จะต้องทำด้วย
ก็อยากจะแนะข้อสังเกตว่า ไอ้ที่ปลุกความรู้สึกนี้มีแต่คำถามเท่านั้นแหละ อย่าไปบอกเลย ขอให้มีแต่คำถาม ให้ฉลาดถาม วิธีถามอย่างเดียวนี้มันมีมาแต่โบรมโบราณ สมัยกรีก สมัยพุทธกาลมันก็มี เขาสอนด้วยการตั้งคำถามอย่างเดียว ไม่มีบอกว่าอะไรเป็นอะไร นั้นคือวิธีการปลุกความรู้สึกขึ้นมาด้วยคำถาม ทีนี้เราจะไม่ใช้ ไม่เห็นมีหลักสูตรไหนในกระทรวงที่ว่ามีแต่คำถาม เช่นว่าจะให้เด็กรักพ่อแม่ จะมีคำถามร้อยข้อว่าอย่างไรบ้าง ก็ไม่เห็นมีหลักสูตรของกระทรวง ก็เลยไม่ได้ปลุกความรู้สึกแก่เด็ก ได้แต่สอนๆๆ พ่นอัดเข้าไป มันก็ลืม มันก็จดไว้ในสมุดอย่างดี ฉะนั้น เด็กจึงไม่เกิดความรู้สึกเพราะไม่ปลุก ไม่ถูกปลุกความรู้สึก ดังนั้น เขาจึงรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ปากเท่านั้นแหละ ที่คุณสอนกันอยู่ให้รู้ว่า จะรักชาติ ศาสนา แต่ปาก ถ้าเราตั้งหน้าถามท่าเดียว ถามท่าเดียว คือ ปลุกความรู้สึกแล้ว เด็กก็จะรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยแท้จริงได้
รายละเอียดอย่างอื่นไปหาเอาเองเถอะ นี้พูดเฉพาะหัวข้อสำคัญที่สังเกตเห็นความบกพร่องของการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน คือ มีแต่บอกให้รู้ ไม่มีการปลุกความรู้สึกเลย ขออ้อนวอนว่า ช่วยเอาไปใช้ด้วย จงตั้งหน้าตั้งตาหาวิธีปลุกความรู้สึกของเด็กๆ แล้วมันจะรักโรงเรียน จะรักครูบาอาจารย์ จะรักพ่อแม่ จะรักเพื่อนฝูง จะรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามความประสงค์ของเราได้เป็นแน่นอน
นี่เขาขอให้อาตมาพูดพิธีเปิดนิดเดียว พูดมากเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้วต้องยุติที เดี๋ยวมันจะผิดโปรแกรมกันไปหมด
เอาล่ะ ในที่สุดนี้ อาตมาขอย้ำว่า ขอแสดงความยินดีในการมาใช้สถานที่ของเราให้เป็นประโยชน์ และเราขออนุโมทนาในการกระทำของท่านทั้งหลาย ที่จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์โดยแท้จริง เป็นอันว่า เราได้ทำตามพระพุทธประสงค์แล้ว ทำตามกฎของพระธรรม กฎของพระเจ้า กฎของพระศาสนาแล้ว ผลดีก็เกิดขึ้นเอง เราทำตนให้ถูกต้องเถอะ ผลดีก็จะเกิดขึ้นเอง อย่าต้องให้พรเลย เดี๋ยวมันจะเป็นไสยศาสตร์ไปเสียอีก ถ้าจะเกณฑ์อาตมาให้พร ก็จะให้พรว่า จงทำให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ที่ถูกต้อง ที่ควรจะทำ ให้สามารถได้กระทำ ให้กล้าหาญ ให้พากเพียรที่จะกระทำ แล้วผลดีก็เกิดขึ้นเต็มที่ ดีกว่ามานั่งให้พรขอพรกันอยู่
ในที่สุดนี้ ขอให้สิ่งที่ปรารถนานี้จงเป็นไปได้ และท่านทั้งหลายก็จะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีความสุขอยู่ทิพาราตรีกาลเทอญ