แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมจาริณีย์ทั้งหลาย ขอเรียกรวม ๆ กันหมดว่า ธรรมจาริณีย์ เป็นคำกลาง หมายถึงผู้ประพฤติธรรม เป็นฆารวาสก็ได้ เป็นพระก็ได้ เป็นชีก็ได้ เรียกว่าเป็นธรรมจาริณีย์ได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นคนประพฤติธรรม ไม่ใช่เราจะบัญญัติเอาเองได้ตามชอบใจ ว่าให้เป็นเพียงเท่านั้น เป็นเพียงเท่านี้ ตามหลักของภาษาบาลี เรียกว่าผู้ประพฤติธรรม ถ้าว่าเป็นเพศหญิงคำมันต้องเป็นธรรมจาริณีย์ ถ้าเป็นเพศชายเป็นธรรมจารี แต่ความหมายเหมือนกัน ดังนั้นเรียกว่า ธรรมจารีก็ได้ ธรรมจาริณีย์ก็ได้ เป็นผู้ประพฤติธรรม
ฉะนั้นต้องมีความเข้าใจถูกต้อง จึงจะสำเร็จประโยชน์ในการประพฤติธรรม คือเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ธรรมนั้นคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และจะประพฤติกันอย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ก็ประพฤติไม่ได้ มันเหมือนคนบ้าออกท่าทางเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไร มันก็ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร ประพฤติทำไม เพื่อประโยชน์อะไร แล้วก็จะรู้ว่า ถ้าให้สำเร็จประโยชน์อย่างนั้น จะต้องประพฤติอย่างไร
ทำไมเราจะต้องรู้ก่อนว่า เพื่อประโยชน์อะไร มันเหมือนกับว่าเราเจ็บไข้ เราไปหาหมอ เราไปหาการรักษา ก็เพื่อจะหายโรค แล้วก็กินยาหรือปฏิบัติตามวิธีที่มันจะหายโรค ฉะนั้นปัญหาแรกก็คือว่า เราเป็นโรคหรือไม่ เรามีความทุกข์หรือไม่ ถ้ารู้ว่ามีความทุกข์อย่างไร เป็นโรคอย่างไร ก็ขวนขวายต่อไปว่าอะไรมันจะแก้โรคได้ หรือทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้ ทีนี้ พอเราเห็นว่าทำอย่างนั้นจะดับทุกข์ได้ นั่นแหละจึงทำ เรียกว่าทำกันใหญ่เลย ให้มันหายเร็ว ๆ นี่การประพฤติธรรมมันมาหลังจากการรู้ว่า ธรรมะคืออะไร ธรรมะมีประโยชน์อะไร
หวังว่าคงจะเข้าใจเรื่องนี้กันพอสมควรแล้ว จึงได้พากันมาประพฤติธรรม ไม่ต้องละเมอ ๆ หรือว่าไม่ต้องว่าทำตามเขาชักชวน ซึ่งไม่รู้ว่าอะไร นี่ขอให้ทำความเข้าใจในข้อนี้เถอะ เป็นรากฐาน เป็นมูลฐานของเรื่องที่เรากำลังพูด กำลังจะกระทำกันต่อไป
ธรรมะนั้นมีประโยชน์ โดยรายละเอียดคงจาระไนกันไม่ไหว แต่สรุปเหลือคำเดียวว่า มันเพื่อดับทุกข์ ธรรมะนั้นมันเพื่อดับทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์ก็ต้องเรียกว่าเป็นสุขแหละ ในทางธรรมะนี่ เขาไม่ค่อยจะพูดถึงเป็นสุข มีความสุขนั่นเป็นเรื่องชาวบ้าน คนธรรมดาภาษาชาวบ้านก็ชะเง้อหาแต่ความสุข คนที่รู้ธรรมะ เป็นนักศาสนานี่เขาไม่แส่หาความสุข ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แบบคนโง่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็เที่ยวแส่หาไป คนที่ฉลาดมันรู้จักไอ้สิ่งที่มันมีอยู่จริงคือ ความทุกข์ เพราะความทุกข์มันมีอยู่จริง มันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ที่นี่ ก็จัดการกับความทุกข์ให้มันหมดก็แล้วกัน ก็ไม่มีปัญหา ก็อยู่สบาย ทำไมจะไปลงทุนหาความสุขให้มันโง่เล่า มันเพิ่มภาระขึ้นมาทำไมเล่า
เมื่อดับทุกข์เสร็จแล้ว ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีปัญหา มันก็พอแล้วนี่ จะไปชะเง้อหา จะไปหิว จะไปอะไรต่อความสุขให้มันโง่อีกทำไม อยู่เฉย ๆ เมื่อไม่มีความทุกข์นั่นแหละพอแล้ว นั้นเราทำอย่างไรจึงจะอยู่เฉยได้ ไม่มีความทุกข์ นั่นแหละคือ ปฏิบัติธรรมะ ถ้ามันไม่มีทุกข์ มันก็หมายความว่า ไม่มีปัญหา แล้วก็สมมุติเรียกความไม่มีทุกข์นั่นแหละว่าความสุขก็ได้ อย่าไปหลงความสุขเรื่องกามารมณ์ เรื่องเนื้อหนัง เรื่องบ้าบอ ให้เป็นความสุข นั่นนะมันจะกลายเป็นความทุกข์ ความสุขชนิดนั้นมันจะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา เพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา เป็นความสุขของความเข้าใจผิด ว่ากามารมณ์เป็นความสุข
อาตมามองเห็น อาตมามองเห็นว่ามันเป็นเรื่องยุ่งชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องสร้างปัญหาต่อทางจิตใจชนิดหนึ่ง จนเป็นความทุกข์ขึ้นมา แล้วก็มาเพิ่มปริมาณให้ความทุกข์อีก ที่จะต้องดับ จะต้องจัดการก็คือความทุกข์ ฉะนั้น ความทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมดาก็ต้องจัดการดับไป ความทุกข์ที่ไปแส่หามาเองด้วยความโง่ เช่น ทางกามารมณ์เป็นต้น ก็ต้องดับไป ต้องเอามารวมกันดับไป จะดับกันเสียทั้งความทุกข์ชนิดที่เป็นไปตามธรรมชาติ และความทุกข์ที่ความโง่ของคนไปหาเอามาเอง เรื่องความทุกข์ เรื่องกิเลสตัณหาทั้งหลาย
ถ้าเราบวช มาเรียน มาศึกษานี้ จงศึกษาข้อนี้ก่อน ว่ามันมีความทุกข์กันอย่างไร แล้วก็พยายามรู้จักหาวิธีดับทุกข์เป็นลำดับ ๆๆ ไปจนหมดสิ้น จนไม่มีเหลือ แล้วคำว่าดับในที่นี้ ไม่ได้ดับแต่ตัวความทุกข์อย่างเดียว มันดับต้นเหตุของความทุกข์ด้วย ดับทั้งความทุกข์ และต้นเหตุของความทุกข์ มันจึงจะหมดปัญหา ดับแต่ปรากฏการณ์ของความทุกข์ ต้นเหตุมันยังอยู่ มันก็งอกขึ้นมาอีก ความทุกข์มันก็งอกขึ้นมาอีกไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น จะต้องดับต้นเหตุของความทุกข์ มันก็เป็นเรื่องลึกซึ้งหน่อย แต่บางคนจะพูดว่าลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งที่สุดก็ได้เหมือนกันแหละ เพราะเขามันโง่มาก ถ้าคนมันโง่มาก ธรรมะมันก็ลึกมาก ถ้าคนมันไม่โง่เกินไป ธรรมะนี้ไม่ค่อยลึกเท่าไรหรอก มันอยู่ในวิสัยที่จะรู้ได้ ที่จะปฏิบัติได้ ถ้าใครกำลังรู้สึกว่าธรรมะลึกเกินไป คนนั้นกำลังโง่ที่สุด รู้จักตัวเองเสียเถอะว่าเรากำลังโง่ที่สุด ถ้าเรายังรู้สึกว่าธรรมะนี้ลึกซึ้งเกินไปจน ๆๆ จะไม่กล้า จนไม่อยากจะเอา อยากจะเลิก
ธรรมะเป็นเรื่องไม่ลึกซึ้ง ไม่เหลือวิสัย ถ้าธรรมะเป็นเรื่องลึกซึ้ง เหลือวิสัย ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ท่านก็รู้ว่าจะสอนกันอย่างไรให้เข้าใจได้ คือไม่เหลือวิสัย ดังนั้นท่านจึงสอนธรรมะไว้ในลักษณะที่ไม่เหลือวิสัย คนโง่ คนขี้เกียจ คนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองมันเหมาเอาเองว่า ธรรมะนี้ลึกซึ้งเหลือวิสัย เพื่อจะแก้ตัวว่าไม่ต้องประพฤติธรรมะ แล้วก็ไปเป็นทาสของกิเลสตามชอบใจ นี้เราก็ไม่เป็นอย่างนั้น เราต้องการจะเป็นพุทธบริษัทที่ซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า หรือต่อตัวเอง ต่อปัญหาของตัวเอง เราต้องขวนขวายดับทุกข์ให้ได้ ให้พระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์แก่เรา ให้พระธรรมเป็นประโยชน์แก่เรา ให้พระสงฆ์เป็นประโยชน์แก่เรา สมกับที่ว่าเรานี่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถ้ามันเรียนมาถูกต้องนะ ถ้ามันเล่าเรียนมาถูกต้องนะ ทุกคนจะต้องรู้ว่าเราบวชเนี่ย บวชเณร บวชพระ บวชชีนี่ บวชอุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่บวชเพื่อตัวกู มันบวชอุทิศต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงได้บวช แล้วก็จะใช้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องมือดับทุกข์ของตัวกู แต่ถ้าความโง่มันมีมากถึงขนาดรู้สึกว่าเป็นตัวกู ๆ แล้ว มันก็ไม่อยากดับทุกข์หรอก มันสนุกอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยกิเลส มันก็ไม่เอา ๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ฉะนั้นตัวกูมันจึงเป็นนายบ่อน ๆ ของกิเลส นายบ่อนของความทุกข์ เป็นสิ่งที่จะต้องฆ่ามันเสีย แล้วก็บวชหาวิธีที่จะฆ่าต้นเหตุของความทุกข์ เรื่องนี้มีความลับอยู่นิดเดียวว่า ความทุกข์มันเกิดขึ้นมา มันสุดเหวี่ยงของเหตุปัจจัย แล้วมันดับเองแหละ แต่แล้วเหตุปัจจัยมันยังเหลือ มันก็เกิดอีก ดับไปแล้วมันเกิดอีก ดับไปแล้วมันเกิดอีก ฉะนั้น อย่าไปเสียเวลาจัดการกับปรากฏการณ์เหล่านั้น ไปจัดการที่ต้นเหตุของมันสิ
เราจึงมาศึกษาว่า ความทุกข์นี่มีต้นเหตุมาที่อะไร มาจากอะไร ต้นเหตุอยู่ที่อะไร พูดอย่างกำปั้นทุบดิน เขาก็พูดเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่พูด ในพระบาลี ในพระคัมภีร์ ก็พูดเหมือนกัน พูดอย่างกำปั้นทุบดิน ความทุกข์มันมาจากต้นเหตุแรกที่สุดก็คือ อวิชชา อวิชชาให้เกิดตัณหา ให้เกิดอุปาทาน ให้เกิดอะไรมาตามลำดับ ถ้าดูต้นเหตุปลายสุดมาจากอวิชชา ดูตรงกลาง ๆ มาจากตัณหา ดูอย่างใกล้ชิดที่สุดมาจากอุปาทาน ยึดถือเป็นตัวตน เป็นของตน นี่คือต้นเหตุ ดับอวิชชาได้ก็เป็นอันดับหมด ดับตัณหาได้มันก็ดับเฉพาะอันนั้นเท่านั้นแหละ เฉพาะที่จะเกี่ยวกับตัณหา ถ้าอวิชชายังเหลืออยู่ มันก็สร้างตัณหาใหม่ได้
ถ้าเขาว่าดับตัณหานี่ก็หมายถึงดับอวิชชาด้วยก็ดี ก็ถูกต้อง เพราะว่าเป็นการดับตัณหาที่แท้จริง ถ้าว่าไม่ดับอวิชชา ดับแต่ตัณหา เดี๋ยวตัณหาก็เกิดใหม่อีก เพราะแม่ของมันคืออวิชชานั้นมันยังอยู่ ถึงจะดับอุปาทานก็เหมือนกัน มันดับที่ตัณหา เพราะตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน แล้วก็ดับตัณหาเสีย อุปาทานก็ดับ ดับแต่อุปาทาน ตัณหามันเหลืออยู่ มันมีอยู่ มันเกิดอีกแล้ว มันเกิดอุปาทานอีก ก็เป็นทุกข์อีก อุปาทานเหมือนกับหิ้วของหนัก มันก็เป็นทุกข์สิ เพราะมันหนัก หิ้วของหนัก ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การถือเอาของหนัก เป็นทุกข์ในโลกนะอุปาทาน หิ้วของหนัก ทีนี้ตัณหาคือความอยากจะหิ้ว ความอยากจะหิ้วเอาไว้คือตัณหา เพราะมีความอยากจะหิ้วมันก็หิ้วสิ ถ้ามันไม่มีตัณหา ไม่มีความอยากจะหิ้ว มันก็ไม่หิ้ว ฉะนั้นดับตัณหาได้ ก็คือดับอุปาทานได้
ทีนี้ ความอยากนะอยากเพราะโง่ ถ้ามันไม่โง่ คือไม่มีอวิชชานั้น มันจะไม่อยากอะไรเลย นี่มัน ๆๆ จะง่ายนิดเดียวมั๊ง จะพูดให้เห็นว่า เพราะมันโง่ มันไปอยากนั่น อยากนี่ อยากทั้งสองฝ่าย อยากทั้งอยากได้ อยากทั้งอยากไม่ได้ อยากอยู่ อยากตาย อยากหมดทุกอย่าง เพราะมันมีความโง่ คืออวิชชา ถ้ามันไม่โง่ มันก็ไม่ต้องอยากอะไร เพราะว่าความไม่โง่ บอกให้รู้ว่าไม่ต้องอยากอะไร ไม่มีอะไรที่ต้องอยาก อยากให้เป็นทุกข์ทำไม มีอะไรต้องทำก็ทำไปทำอย่า ๆๆ อยาก ทำโดยไม่ต้องอยาก เขาเรียกว่าทำด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา ทำด้วยสติปัญญา ให้เป็นเรื่องของร่างกาย และจิตใจ ไม่มีตัวกู จิตใจมันรู้ได้ มันคิดนึกได้ รู้สึกได้ ร่างกายมันก็รับใช้จิตใจ ก็มีการกระทำของร่างกายและจิตใจ จิตใจอย่าโง่ อย่าอยาก แล้วจิตใจก็ไม่เป็นทุกข์ ก็ไม่ทำให้ร่างกายเป็นทุกข์
เรามีจิตใจที่ฉลาด ไม่ต้องอยากอะไร แต่มีสติปัญญาอยู่ในจิตใจ รู้ว่าอะไรจะต้องทำ เช่นว่าร่างกายต้องกินอาหาร ทีนี้ก็หาอาหารไปสิ ไม่ต้องด้วยความอยากให้ทรมานใจ ก็ทำไป ทำไร่ทำนาไป โดยไม่ต้องอยาก นี้คนโง่ฟังไม่ถูก แต่คนฉลาดเขาฟังถูกว่า ทำได้โดยไม่ต้องอยาก ไม่ต้องหวัง ถ้าอยากไปหวังเข้า มันก็กัดหัวใจแหละ นี่ช่วยจำข้อนี้ไปด้วยเถิด ถ้าอยากไปหวังอะไรเข้า มันก็กัดหัวใจ ถ้าอยากไปหวังเข้า มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเวลาขึ้นมา เวลานั่นนะมันกัดหัวใจ ถ้าเราไม่อยากไม่หวังอะไร สิ่งที่เรียกว่าเวลาไม่มี นาฬิกาไม่เดินสำหรับคนที่ไม่มีความอยาก ไม่มีความหวังอะไร
เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ของเรามันโง่ไปหมดแล้ว เพราะการศึกษามันสอนว่าให้หวังอะไรเอาไว้ ให้อยากอะไรเอาไว้ อย่างบ้า ๆ บอ ๆ เด็กก็หวัง ๆๆๆ แล้วก็เรียน ๆๆ แล้วก็เป็นโรคประสาท เป็นวัณโรคตายไปแยะแล้ว เพราะมันเรียนด้วยความหวัง ไม่ต้องหวังสิ ถ้าหวังมันก็เกิดเวลา เกิดเวลามันก็กัดหัวใจ ทรมานใจ เรียนไปก็แล้วกัน จะไปหวังให้มันกัดหัวใจทำไม ให้ใจคอมันปรกติ คือไม่หวัง ไม่กระวนกระวายด้วยความหวัง ใจคอปรกติแล้วก็เรียนได้ดี คือเราสอบไล่โดยไม่ต้องหวัง แต่สอบอย่างดีที่สุด แล้วมันไม่ไปไหนเสีย มันก็ได้ นักเรียนอย่าโง่ตามคำสอนของครูโง่ ๆ ที่ว่า จงมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังนะ มันบ้านะ มันไม่ใช่พุทธบริษัท ไม่ใช่พุทธศาสนา ให้มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังนะเป็นของลัทธิอื่น แล้วจะเป็นของอวิชชาด้วย อวิชชาด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าอยู่ด้วยความหวัง อย่าอยู่ด้วยความอยาก อยู่ด้วยใจคอปรกติ มีสติปัญญาเต็มที่ ถ้ามีความอยาก ความหวัง แล้วมันกิเลสทั้งนั้นแหละ มันอยู่ในใจ และก็จะต้องเป็นทุกข์เพราะความอยาก และความหวังนั้น เพราะเหตุอะไร มันเห็นได้ง่าย ๆ นิดเดียว พอหวัง มันก็ผิดหวังใช่ไหมเล่า ลองไปหวังอะไรเข้าซิ มันก็ผิดหวังเพราะมันยังไม่มานี่ มันก็มีความผิดหวังอยู่ตลอดเวลากว่าจะสมหวัง แล้วอย่าโง่ว่าสมหวัง มันสมหวังเดี๋ยวเดียวมันก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปเสียอีก มันก็ไม่ ๆๆ มีสมหวัง
ฉะนั้นอย่าหวังเลย จะเป็นปรกติ จิตใจจะปรกติ จะมีสติปัญญาปรกติ มีอะไรปรกติ เรียกว่าเป็นชีวิตที่เย็น ช่วยจำไว้สักคำเดียวว่า ชีวิตเย็น ๆๆ คนโง่ไม่รู้จัก คนไม่โง่มันรู้จักว่า ชีวิตเย็นนั่นแหละเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา เด็ก ๆ เขาจะต้องการหวัง มีชีวิตอย่างความหวัง ก็มีชีวิตร้อน ๆๆ เพราะความหวัง นี่เรียกว่า ความทุกข์ที่เราสร้างให้เกิดขึ้น มากกว่าที่ธรรมชาติมันเป็นเอง เท่าที่ธรรมชาติมันเป็นเอง มันก็เป็นทุกข์พออยู่แล้ว ๆ ไปสร้างขึ้นมาอีก เพิ่มให้มันมากขึ้นอีก คือสร้างขึ้นมาด้วยความอยาก และความหวัง ไม่ต้องสร้าง แล้วก็มีสติปัญญา พอหวังมันก็กลุ้มไปด้วยความหวัง คือกิเลส พอหวังอะไร มันก็กลุ้มไปด้วยความหวัง คือกิเลส มันมืด มันฟุ้งซ่าน มันอะไรต่าง ๆ นา ๆ มันไม่สว่างหรอก พอหวังเข้ามันก็มืด ปรกติอย่าหวัง อย่ามีกิเลสครอบงำ จิตนี้ก็สว่าง แจ่มใส เห็นอะไรตามที่เป็นจริง คือมีสติปัญญา พอหวังก็สูญเสียสติปัญญา พอไม่หวังก็ปรกติ มีสติปัญญาอยู่ตามธรรมชาติของจิตที่ปรกติ จิตที่ปรกติมันก็มีสติปัญญา จิตที่หวังอยู่ด้วยกิเลสตัณหา มันก็กลุ้มไปด้วยหมอก ด้วยควัน ด้วยมืด ด้วยความโง่
ฉะนั้นเราจะมีชีวิตชนิดที่ไม่ต้องมีความอยาก ไม่ต้องมีความหวัง แต่ว่าเต็มอยู่ด้วยสติปัญญา ทำอะไรสนุกไปหมด แล้วเป็นชีวิตเย็น ๆ ที่บอกให้จำให้ดี ถ้าไม่พบกับชีวิตเย็นแล้ว คนมันเสียชาติเกิด เกิดมาทีหนึ่งไม่พบกับชีวิตเย็นนะ มันเสียชาติเกิด ถึงพวกเธอที่บวชจาริณีย์อะไรกันนี่ ถ้าไม่รู้จักเรื่องชีวิตเย็น มันก็เสียชาติ เสียเวลาบวช เสียทีบวช มาบวช มาศึกษา ก็เพื่อให้รู้เรื่องชีวิตเย็น แล้วออกไปก็ไปดำรงชีวิตเย็น ๆ เรื่อย ๆ ไป เย็นมากขึ้น เย็นมากขึ้น จนกว่าจะถึงที่สุด
เราจะต้องรู้จักกันเดี๋ยวนี้แล้วว่า ชีวิตไหนร้อน ชีวิตไหนเย็น ชีวิตที่เต็มอยู่ด้วยกิเลส เช่น ความหวังเป็นต้นนั้น เป็นชีวิตร้อน ร้อนระอุอยู่ด้วยกิเลส ชีวิตที่ว่างจากกิเลสเป็นชีวิตเย็น เพราะมันไม่มีไฟเป็นของร้อน มันสงบแล้วมันก็เย็น เรียกว่า มีชีวิตร้อน มีชีวิตเย็น
จงพยายามให้ชีวิตนี้ มีลักษณะเป็นชีวิตเย็น ทำอะไรก็เย็น ทำอะไรก็สนุก แม้ทำการงานอาบเหงื่ออยู่ เหงื่อนั้นก็เย็น คนอันธพาล คนโง่ เหงื่อมันร้อน มันกระวนกระวาย มันว่ามัวทำงานให้เหนื่อยไปขโมยดีกว่า ไปปล้น ไปจี้ ดีกว่า เพราะเหงื่อมันร้อน ถ้าคนที่มีธรรมะ ใจคอมันปรกติ มันก็เย็น เหงื่อออกมาแล้วกลายเป็นน้ำมนต์ กลายเป็นน้ำเย็น ทำให้เย็น เย็นด้วยน้ำเหงื่อ ไถนาไปเรื่อย ๆ จนสาย จะเพลอยู่แล้วยังไม่ได้กินข้าวสักที มันก็ยังไถนาสนุกอยู่ เพราะว่ามันมีธรรมะ มีชีวิตเย็น ถ้ามีชีวิตร้อน ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก มันก็ด่าผี ด่าควาย ด่าเทวดา ด่าลูก ด่าเมีย วุ่นวายไปหมดแหละ เอาข้าวไปส่งช้าหน่อยมันก็ด่าแล้วแหละ ไม่ต้องถึงกับสาย เรียกว่ามันชีวิตร้อน
รู้จักเปรียบเทียบชีวิตร้อนกับชีวิตเย็นกันเสียให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง มันจึงจะเป็นคนฉลาด มีโรคภัยไขเจ็บปรากฏชัดอยู่ ไปหาหมอให้ช่วยรักษา คนที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่รู้สึกว่าเป็นโรคภัยไข้เจ็บไปหาหมอ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องกับหมอ ก็ไปขอร้องให้หมอช่วยตรวจให้พบโรคสักที ฉันไม่มีโรค ช่วยตรวจให้พบโรคสักที โดนหมอดี ๆ เข้าก็หลอกเงินเสียแยะเลย กลายเป็นโรคอย่างนั้นอย่างนี้มากมายก่ายกอง เอามาเท่านั้นเท่านี้ ถ้าโดนหมออย่างนี้เข้า คนโง่ก็ต้องได้รับผลของความโง่ เราควรจะมีปัญหา มีความทุกข์ แล้วบอกว่ามันมีความทุกข์ รู้สึกอยู่อย่างนี้ รู้สึกอยู่แท้ ๆ ช่วยแก้ให้หาย ช่วยทำให้หายทีซิ ถ้าทำให้หายแล้วโรคมันหายจริง ฉันก็จะสมนาคุณอย่างนี้ดีกว่า
เดี๋ยวนี้เรารู้จักชีวิตร้อนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมดากันเสียก่อน เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เด็กอมมือนี่ ที่นั่งอยู่นี้ไม่ใช่เด็กอมมือนี่ มันโตพอที่จะรู้ว่าร้อนหรือเย็นนี่ ตั้งแต่มีสติปัญญารู้ว่าอะไรร้อน อะไรเย็น แล้วก็ควรจะรู้ว่า ชีวิตของเรานี้กำลังร้อน หรือชีวิตของเรานี้กำลังเย็น แม้เป็นนักเรียน ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เลย ยังเป็นนักเรียนอยู่นี่ ก็พอจะรู้ได้ว่า อย่างไหนมันร้อน อย่างไหนมันเย็น มันร้อนได้ด้วยเหตุหลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ สิบอย่าง รู้ได้ทั้งนั้นแหละมันร้อน ร้อนเพราะความโง่ มันก็ร้อน ๆ เพราะความอยากได้มันก็ร้อน ร้อนเพราะความโกรธมันก็ร้อน อยากสอบไล่ได้แต่มันเหลวไหลในการเรียน แล้วมันจะสอบไล่ได้อย่างไร แล้วมันก็มาร้อนอยู่ด้วยความโง่ ถ้ามันเป็นคนซื่อตรง มันก็ใช้สติปัญญาเต็มที่ ไม่ต้องร้อน แล้วเรียน ๆๆๆๆ มันก็พอ ๆๆ มันก็สอบไล่ได้ ไม่ต้องมีความร้อน
เดี๋ยวนี้เป็นนักเรียนแต่ไม่เรียน เหลวไหลในการเรียน มันก็ไม่ประสพความสำเร็จในการเรียน บางทีมันเลยไปกว่านั้น นอกจากไม่เป็นนักเรียนแล้ว เป็นนักอะไรก็ไม่รู้ ไม่เอามาพูดให้สกปรกปาก แต่มันเป็นกันอยู่มากในหมู่นักเรียน อย่างนี้มันต้องสอบไล่ตกแน่ อนาคตมันก็เหลวแหลกหมด เพียงแต่เป็นนักเรียน ก็เป็นนักเรียนให้ถูกต้อง เป็นนักเรียนที่แท้จริง มีสติปัญญาของจิตใจที่สงบ ไม่ต้องหวังให้กระวนกระวาย ให้เดือดร้อนกันเสมอ ให้จิตใจสงบ มีสติปัญญา ใช้สติปัญญาเรียนอย่างเต็มที่ ประสพความสำเร็จทุกขั้นตอนแห่งการเรียน
พอออกไปเป็นคนเต็มที่ นี่ก็ยังมีชีวิตร้อน ชีวิตเย็นอยู่แหละ ถ้าไม่มีธรรมะมันไปมีชีวิตร้อน ไปเป็นหนุ่มสาวที่ร้อน ไปเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ร้อน เป็นคนเฒ่าคนแก่ร้อน ๆ จนเข้าโลงก็มีมาก เรียกว่ามันเสียชาติเกิด เกิดมาไม่พบความเย็นจนเน่าเข้าโลงไป คำสั่งสอนเรื่องนี้ของพระพุทธเจ้ากลายเป็นหมันไป แล้วคำสั่งสอนในโลกนี้มันไม่พอ อย่างที่เราเคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วว่า การศึกษาหมาหางด้วนในโลกนี้ สำเร็จปริญญาเอกมาจากเมืองนอก ก็ยังไม่รู้ว่าแม่มันมีบุญคุณอย่างไร นี่เราเห็นหลายคนแล้วนะ มันสำเร็จปริญญาเอกมาจากเมืองนอก มันยังไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ไม่รู้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คืออะไร เพราะมันไม่ได้เรียน จะเอาจากไหนกัน มันเรียนแต่หนังสือกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับวิชาชีพทั้งปวงเท่านั้นเอง เรียนกันสองอย่าง อย่างที่สามไม่ได้เรียน ตัวเป็นคนเป็นอย่างไรไม่ได้เรียน มันก็เลยไม่รู้เรื่องชีวิตร้อน ชีวิตเย็น
ดีแล้วที่มาบวชกันอย่างนี้ก่อน เพื่อศึกษาธรรมะ ที่จะชี้ในเรื่องว่า ชีวิตร้อนเป็นอย่างไร ชีวิตเย็นเป็นอย่างไร เป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะไม่เสียชาติเกิด ไม่ใช่ว่าไปเรียนมามาก ๆ มีปริญญาสูง ๆ ทำงานได้เงินเดือนแพง แล้วไปซื้อหากามารมณ์สุดเหวี่ยง มันก็ไม่มีชีวิตเย็น เพราะมันไปกินของหลอก ไปดื่มกินของหลอก คือสิ่งกระตุ้นกิเลส ให้ร้อน ให้เกิดกิเลส ให้ร้อนอยู่ เพราะจะใช้เงินเท่าไร ก็ไม่พบชีวิตเย็น มันใช้เงินวันละล้านบาท เพื่อซื้อเหยื่อมาสนองกิเลสตัณหา เอ้า....มันก็ไม่มีจะพบชีวิตเย็น มันมีแต่พบชีวิตร้อนยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะว่ามันเท่ากับเอาเชื้อเพลิงไปเติมให้ไฟ แล้วไฟจะเย็นได้อย่างไร มันก็ลุกเกินกว่าธรรมดา นี่เรียกว่ามันร้อนเพราะโง่ จนเกิดกิเลส
ความโง่ดักดานกว่านั้นก็คือว่า มันโง่เพราะคิดว่าความสุขนี้ซื้อมาได้ด้วยเงิน ถ้าเป็นพุทธบริษัทจะมองเห็นว่า ความสุขนั้นซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ยิ่งซื้อด้วยเงินยิ่งไม่ใช่ความสุข เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ที่แพงที่สุด เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องใช้ เรื่องสอย เรื่องต่าง ๆ ที่มันแพงที่สุด มันไม่ใช่ความสุข เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ถ้าเป็นความสุข มันเป็นการหยุดเสียได้ซึ่งกิเลสตัณหา มีชีวิตชนิดที่ว่าเกลี้ยง มันมีจิตใจเกลี้ยง ไม่ใช่มีกิเลสตัณหา ไม่มีอะไรรบกวน นี่ชีวิตนี้เย็น ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แต่ซื้อได้ด้วยการกระทำ ให้มันถูกตามกฎของธรรมชาติ ที่ว่าทำอย่างไรชีวิตนี้มันจะหยุดบ้า หยุดโง่ หยุดหลง ด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แล้วมันก็เย็น
ขอให้ช่วยจำคำ ๆ หนึ่งของพระพุทธเจ้าไว้ว่า นิพพานนั้นให้เปล่า เมื่อประพฤติปฏิบัติถูกต้องดีแล้ว ก็ได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่า ๆ ไม่ต้องเสียสตางค์ คำว่าเปล่านี่คือให้ฟรี ให้เปล่า ไม่ต้องเสียสตางค์ นิพพานแท้จริงไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าเกิดเสียสตางค์แล้ว เป็นนิพพานเก๊ เป็นนิพพานปลอม อย่าไปสนใจเลย อย่างหวังว่าจะเอาเงินซื้อนิพพานได้ เป็นไปไม่ได้ แม้แต่จะซื้อความสุขอันแท้จริงธรรมดาก็ยังไม่ได้ ซื้อมาได้แต่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงทั้งนั้นแหละ
ฉะนั้นรีบศึกษาการศึกษาที่สามกันเสีย อย่าให้มีสภาพหางด้วนอีกต่อไป การบวชมาเรียนธรรมะนี้ ก็เหมือนมาหาวิธีต่อหางที่ด้วน ให้มันหายด้วน ช่วยกันทำให้ดี ๆ ให้สำเร็จประโยชน์ ในการที่มาศึกษา มาบวช มาเรียนนี้ เพื่อจะต่อการศึกษาที่มีลักษณะหางด้วนให้มันหายด้วน ยุคคนนั้นก็ไม่หางด้วน คนที่มีการศึกษาสมบูรณ์มันก็ไม่มีหางด้วน หรือพระเจดีย์ยอดด้วนมันก็ไม่น่าดูหรอก ขอให้สมบูรณ์ ให้สมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาเต็มที่ของความเป็นมนุษย์ แล้วได้ประสพผลความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องคือ ชีวิตเย็น
ใครมีชีวิตร้อนคนนั้นยังไม่ใช่พุทธบริษัท อย่างดีก็เตรียม ๆ พุทธบริษัท ยังไม่ใช่พุทธบริษัท จนกว่าเขาจะมีชีวิตเย็น จึงจะเป็นพุทธบริษัท ถ้าเย็นถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นยอดสุดของพุทธบริษัท พระอรหันต์นี่เราจะพูดภาษาธรรมดาสักหน่อย ก็พูดได้ว่า เป็นคนที่เต็ม เต็มแห่งความเป็นมนุษย์
พวกฝรั่งดูจะรู้ข้อนี้ดีกว่าคนไทยจำนวนมากเสียอีก ไปพบคำแปลที่ฝรั่งเขาแปล คำว่าอรหันต์นี่ เขาแปลว่า The Man Perfected คนที่ Perfect คนที่เต็มคน นี่เขาจะได้เงื่อนงำมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ในพระบาลีนะมันมี ในพระบาลีมีอยู่ว่า พระอรหันต์นะนอกจากจะเรียกว่าพระอรหันต์แล้วยังมีชื่ออื่นเรียกอีกหลายชื่อ ๆ พิเศษชื่อหนึ่งคือเขาชื่อว่า เกพลี ๆ เกวล เกวลีนี่ แปลว่าสมบูรณ์หมด ครบหมด ไม่มีอะไรขาด คำเดียวกับไกวัลย์ ถ้าว่าไกวัลย์ คือทั่วหมดไม่ยกเว้นอะไร พระอรหันต์เป็นเกพลี คือมีไกวัลย์ ที่เขาแปลว่า The Man Perfected นี่ถ้าจะถูกที่สุด ถ้าคนเรายังไม่ถึงขั้นนั้น ก็ยังไม่ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ ต้องเรียกว่าเสียทีที่ได้เกิดมาแล้วไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ได้สักครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ยังดี ได้เพียงความแน่นอนว่าจะได้แน่ในอนาคตนี่ก็ยังดี ขอให้มันเป็นอย่างนี้
เรามาเรียนรู้ว่า ความเป็นมนุษย์จะสมบูรณ์ถึงที่สุด ก็ต่อเมื่อไม่มีความทุกข์เลย ความทุกข์เข้ามาเท่าไร ความเป็นมนุษย์ของเราก็แหว่งไปเท่านั้นแหละ ช่วยจำไว้อย่างนี้ดีกว่า อย่าชอบความทุกข์ หรือปัญหาที่มาจากความทุกข์ มันก็คือกิเลสนั่นเอง เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เป็นตัวความทุกข์ มันเข้ามาเท่าไร ความเป็นมนุษย์ก็แหว่งไปเท่านั้น มันก็ไม่เต็ม พอกิเลสออกไป ไม่มี ความเป็นมนุษย์ก็เต็ม นั่นคือเต็มไปด้วยธรรมะ พอไม่มีกิเลส มันก็เย็น เพราะกิเลสเป็นของร้อน เมื่อไม่มีกิเลสเป็นของเย็น
ธรรมดามันก็มีอยู่บ่อย ๆ เหมือนกันแหละ ที่จิตของเราบางเวลาไม่มีกิเลส แต่เราไม่สนใจ เราไม่สนใจ เพราะว่าเราไปเป็นทาสของกิเลสเสียแล้ว คอยจ้องหาแต่ว่า มันจะเอร็ดอร่อยเพราะกิเลสอย่างไร ไปสนใจแต่ทางฝ่ายโน้น พอฝ่ายที่ไม่มีกิเลส บางครั้งมันมีก็ไม่สนใจ ก็มองข้ามไป มันเป็นคนโง่ จะทำอย่างไรได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่า เราหายใจอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม เราหายใจอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่สนใจว่าเราหายใจ รู้สึกคล้าย ๆ ว่าเราไม่ได้หายใจ แต่มันก็หายใจอยู่เองตลอดเวลา นี่มันจะเป็นอย่างนั้น บางเวลาไม่มีกิเลส แต่คนก็ไม่สนใจ เหมือนกับไม่มี มันจะสนใจ หรือรู้สึกเป็น Conscious ขึ้นมาก็ต่อเมื่อมันมีกิเลส มีสัมผัสเร่าร้อนอยู่ด้วยอารมณ์นั่นมันรู้สึก พอไม่มีกิเลส ว่างจากกิเลส มันกลายเป็น Sub Conscious ไปเสีย คนมันโง่ มันไม่ศึกษาเรื่องนี้ให้ดี ๆ นี่เรามาบวชมาเรียนกันทั้งทีก็ขอให้รู้เรื่องสำคัญที่สุด คือว่าเราจะสร้างชีวิตเย็น
พูดมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้พูดเรื่องที่จะพูด คือเรื่องความทุกข์ ที่เป็นของร้อน เอ้า....ที่นี้จะพูดเรื่องความทุกข์ ระวังให้ดี เมื่อตะกี้ก็เกริ่นไปหน่อยแล้วว่า ความทุกข์นี่มันเกิดเองตามธรรมชาติก็มี คนโง่สร้างขึ้นสุมเผาตัวเองก็มี ๆ เป็นสองชนิด ทีนี้จะพูดถึงความทุกข์ที่มันมีอยู่ตามธรรมชาติก่อน เช่นว่า มันจะต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องเปลี่ยนแปลง นี้เป็นตามธรรมชาติ ไม่มีใครทำให้ ทีนี้ มันเป็นความทุกข์แก่คนโง่ หรือจิตโง่ที่ไปรับเอามาว่าเป็นความเกิดของกู ความแก่ของกู ความเจ็บของกู ความตายของกู ความวิปริตผิดปรกติต่าง ๆ ของกู แล้วก็ได้เป็นทุกข์ นี่มันเป็นทุกข์เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แล้วไปเอามาเป็นของตน
แล้วเราก็สวดมนต์ ศึกษากันเพียงครึ่งเดียว อาตมาบอกหลายหนแล้วว่า ที่คุณเอามาสวดนั้นมันครึ่งเดียวนะ เรามีความเกิดเป็นธรรมดาไม่พ้นความเกิดไปได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่พ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บเป็นธรรมดาไม่พ้นความเจ็บไปได้ มีความตายเป็นธรรมดาไม่พ้นความตายไปได้ เรามีกรรมเป็นของตัวไม่พ้นจากรับผลกรรมไปได้ นี่มันสวดให้โง่นะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเพียงเท่านั้นนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนถึงวิธีที่ว่าจะพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างไรโน่น ถ้าไม่ได้สอนเรื่องพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายได้อย่างไรก็เท่ากับไม่ได้สอน ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าคนมันก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่เองแล้ว ๆ ก็ไม่รู้
ตอนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าได้อาศัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเกิด สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดาจะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเจ็บ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดาจะพ้นจากความตาย สัตว์ที่ต้องเป็นไปตามกรรมก็จะพ้นจากกรรม พ้นจากกรรมทุกอย่างเลย ตอนนี้ไม่เอามาสวด มันก็สวดอยู่อย่างโง่ ๆ ว่าสมัคร ๆ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างที่ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรได้ นี่ก็ทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว
ธรรมะแท้ พุทธศาสนาแท้นั้น ต้องเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตายให้ได้ แต่มันเป็นโวหารพูด โวหารทางจิตใจ คนก็เข้าใจผิดได้ เดี๋ยวก็จะว่าให้ฟัง ที่ว่าเรามีความทุกข์เพราะ ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นนะ ถ้าเราไม่มีทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็เท่ากับไม่มีใช่ไหมเล่า ถ้าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หรือผลกรรมทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ ก็เท่ากับไม่มี เท่ากับสิ่งนั้นไม่มี ร่างกาย เนื้อ หนังแท้ ๆ มันจะแก่ มันจะเจ็บ มันจะตาย มันจะเป็นไปก็เป็นไปซิ แต่เราไม่เป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น นั่นนะคือไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย อยู่เหนือเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่เหนือกรรม เหนือการกระทำกรรม เหนือผลของกรรม
ข้อนี้พูดกระโดดทีเดียวเลยว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไม่มีตัวตน หมดตัวตนแล้วอะไรจะเกิด อะไรจะแก่ อะไรจะเจ็บ อะไรจะตาย อะไรจะเป็นไปตามกรรม มันไม่มีตัวตน ท่านสอนเรื่องไม่มีตัวตน ก็เลยหมดปัญหา ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรแก่ ไม่มีอะไรเจ็บ ไม่ตาย โอ้ย....ไปเอาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของธรรมชาติมาเป็นของตน ๆ มันก็ไม่มี มันก็ไม่มีเอามาเป็นของตน มันก็ไม่มีความทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในบางแห่งท่านตรัสไว้ชัดเลยว่า อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีเกิดก็จะพ้นจากเกิด ที่มีแก่ก็จะพ้นจากแก่ ที่มีเจ็บก็จะพ้นจากเจ็บ คือพ้นหมด
ทีนี้ข้อที่ว่า อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรนั้นทำอย่างไร มันก็ทำตามที่พระองค์แนะ ชี้ จนกระทั่งหมดตัวตน ทีนี้ก็มีการตรัสชนิดที่อุปมาอุปไมยต่อไปอีก ท่านจะตรัสชี้ลงไปว่าสิ่งนั้นคืออะไร ท่านก็ตรัสเปรียบด้วยยาถ่าย วิเรจนํ แปลว่ายาถ่าย กินแล้วหายโรคหมดเลย ยาถ่าย ยาถ่ายวิเศษ กินแล้วหมดโรค ซึ่งในโลกนี้เขาใช้ยาถ่ายกินอยู่ถ่ายโรค ตถาคตก็มียาถ่าย วิเรจนํ กินแล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยาถ่ายนั้นคือ สัมมัตตะ ๑๐ หรือสัมมัตตะ ๘ แล้วแต่จะเรียก แปลว่าความถูกต้องแปดประการ นี่เป็นส่วนเหตุ อีกสองประการเป็นส่วนผล รวมกันเป็นสิบ เรียกว่าความถูกต้องแปดประการนี้เป็นเหตุ ความถูกต้องอีกสองประการรวมเป็นสิบประการนั้นเป็นผล คืออยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้
ความถูกต้องแปดประการก็ตรงที่เราสวดมนต์กันว่า อัฏฐังคิกมรรค สัมมาทิฏฐิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่สวดมนต์แปลกันอยู่นั่นแหละ ถ้าสวดได้มันก็ดีมาก รู้อันนั่นนะแต่ละอย่าง ๆ คือความถูกต้อง ๘ ประการ มีที่แห่งอื่นพระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า สัมมัตตะ ๘ ในที่นี้เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด หนทางองค์แปดอันประเสริฐ ในที่อื่นท่านเรียกว่า ความถูกต้องแปดประการ สัมมัตตะ ๘ กินเข้าไปแล้วมันจะถ่ายสิ่งที่ควรถ่ายออกหมด คือกิเลสและต้นเหตุแห่งกิเลส
นี่ขอให้จำไว้แม่น ๆ ว่า อัฏฐังคิกมรรค ๘ มีองค์ ๘ ท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัมมัตตะ ๘ คือความถูกต้องแปด รวมกันเป็นหนึ่ง กินเข้าไปแล้วถ่ายกิเลสและความทุกข์ออกได้ บวชจาริณีย์ครั้งหนึ่งถ้าไม่รู้เรื่องถูกต้องแปดนี่ก็เสียเวลา ผู้จัด ๆ ให้ไปเรียนไปฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เรียนก็ได้ ไม่จัดให้ได้ยินได้ฟังเรื่องมรรคมีองค์แปด หรือสัมมัตตะ ๘ ซึ่งกินเข้าไปแล้วมันจะถ่ายโรคร้ายออกหมด ถ่ายรังของกิเลส ถ่ายเชื้อของกิเลส ถ่ายความทุกข์ที่เป็นผลของกิเลสออกหมด
การศึกษาเรื่องนี้ ก็คือการศึกษาเรื่อง อริยสัจข้อที่สี่ อริยมรรคมีองค์แปด บวชแล้วไม่ได้เรียนเรื่องนี้ก็เสียเปล่า ไปบ้าเรียนเรื่องอะไรก็ไม่รู้ บวชแล้วไปเรียนเรื่องฆารวาสอยู่ก็มี ฉะนั้นไปท่องจำกันเสียให้ดี นี่เชื่อว่าไม่ได้เรียน แล้วไม่สวดเป็น ที่นั่งอยู่นี่สวดเป็นไหม สวดมรรคแปลได้ไหม ๆ ถ้าได้ยกมือขึ้น คนไหนสวดได้ นี่เหลวเห็นไหม มันไม่เรียนเรื่องที่สำคัญ ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ไปเรียนเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อะไรเสียมากกว่ามั้ง
นี่ขอให้สนใจว่ายาถ่าย วิเรจนํ ประกอบไปด้วยองค์แปดประการ ทีนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วันวนะ ๆ แปลว่ายาสำรอกให้อาเจียน เป็นวิธีโบราณ เขากินยาชนิดหนึ่งเข้า กินแล้วอาเจียน ๆๆๆ จนหมดโรคก็มี เขาเรียกว่ายาสำรอก ตถาคตก็มียาสำรอก แล้วก็ชี้สัมมัตตะ ๘ นี่อีกแหละ องค์แปดนี้เป็นยาสำรอก ทีนี้ในอินเดียแต่โบราณเขามีทำพิธีล้างน้ำ รดน้ำให้หมดบาป เรียกว่าพิธีโธวนะๆ ธ.ธงนะ เอาน้ำรดให้หมดบาป เกลี้ยงบาปตายไปอยู่กับปรมาตมัน พระพุทธเจ้าตรัส ตถาคตก็มีโธวนะ มีพิธีโธวนะ รดแล้วหมดบาปก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือสัมมัตตะ ๘ นี่เอง
อย่าทำเล่นกับสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งคนสมัยนี้หัวเราะเยาะว่า สวดกันทำไมหนวกหู มันไม่รู้ก็ช่างหัวมันซิ ถ้าเรารู้ว่า นี่ทางเดินไปสู่ความดับทุกข์ เรียกโดยอุปมาว่ายาถ่าย จะถ่ายตัวร้ายออกหมด เรียกโดยอุปมาว่ายาสำรอกให้อาเจียน กินเข้าไปแล้วมันอาเจียนสิ่งที่เป็นของร้ายออกมาหมด เรียกว่าโธวนะ เอามารดก็แล้วมันจะเกลี้ยง มันจะสะอาด จากสิ่งสกปรก
เมื่อได้อาศัยสัมมัตตะ ๘ หรือ ๑๐ ประการนี่แล้ว ได้ชื่อว่ามีพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตร ผู้ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเกิด มีความแก่เป็นธรรมดาจะพ้นจากความแก่ มีความเจ็บเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเจ็บ มีความตายเป็นธรรมดาจะพ้นจากความตาย ต้องเป็นไปตามกรรมก็จะเลิกพ้นจากความที่จะต้องเป็นไปตามกรรม กลายเป็นผู้เป็นอิสระ หลุดพ้นจากกรรมทั้งหลายทั้งปวง นี่ขอให้เตือนใจเถอะว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ ถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้วจะพ้นจากชีวิตร้อน ไปมีชีวิตเย็น
ทุกคนมีชีวิตร้อนมาจากธรรมชาติ เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกคนกลัว ทุกคนกลัวล่วงหน้า ทุกคนหวาดผวาอยู่ด้วยความเจ็บ ความตาย หรือจะได้รับเคราะห์ร้ายที่แท้ก็คือผลกรรม นี่เรียกทุกข์ทรมานอยู่ด้วยความกลัวอันเกิดมาแต่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิเราก็รู้ โอ้ย....มันเรื่องเด็กเล่นโว้ย!!! เรื่องตามธรรมชาติเว้ย....ไอ้เกิด แก่ เจ็บ ตายนี่ เรื่องตามธรรมชาติ มันเช่นนั้นเอง....โว้ย กูก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็มีสัมมาสังกัปโป ก็ดำริที่จะออกไปให้พ้นจากอำนาจของสิ่งเหล่านี้ ดำริ ๆ ไปในหนทาง ที่ไม่ต้องไปพบกันกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วกูก็มีวาจา การพูดจาดี ๆ อย่าให้มันผิดพลาด มีการงานที่ดี ๆ ไม่ผิดพลาด มีการเลี้ยงชีวิตที่ดี ๆ ไม่ผิดพลาด แล้วมันจะทำอะไรกูได้ มีสติถูกต้อง มีความพากเพียร วายามะถูกต้อง มีสติถูกต้อง มีสมาธิแน่วแน่อยู่อย่างถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ไม่ครอบงำจิตใจได้ มันก็พ้นจากการครอบงำของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความกลัว ไม่มีหวาดผวา ไม่มีสะดุ้งหวาดเสียว ความตายเป็นของเด็กเล่น ฟังไม่ถูกก็ตามใจ
เดี๋ยวนี้ความตายเป็นทุกข์อันใหญ่หลวงท่วมฟ้า พอได้อาศัยความรู้ของพระพุทธเจ้า มีองค์แปดนี้แล้ว ความตายเป็นของเด็กเล่น หัวเราะเยาะได้ ก็เป็นผู้หัวเราะเยาะความตายได้ ถ้าเป็นได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นพุทธบริษัทแท้ เดี๋ยวนี้มานั่งร้องไห้อยู่ บางคนแมวตายมานั่งร้องไห้อยู่ก็มี เพราะมันรักมาก ยิ่งพ่อ แม่ของมันตายยิ่งเอากันใหญ่เลย ถ้ามารู้ตามที่เป็นจริงว่า มันเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติ ก็ยกให้ธรรมชาติไป จิตของฉันไม่โง่ลงไปถึงขนาดที่จะไปรับเอาของธรรมชาติมาเป็นของตัวตน ของจริง ของอะไร ไม่มีตัวตนสำหรับจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเป็นเจ้าของเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรแล้ว มันพ้นได้อย่างนี้
มีเรื่องที่ต้องพูดมากเวลาไม่พอ ไปคิดเอาเองเถอะว่า ความทุกข์ที่เกิดมาจากธรรมชาติทั้งหลาย เราได้อาศัยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นหลักแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องเด็กเล่นไปหมด ไม่มาทำให้เราเดือดร้อนเป็นทุกข์อะไรได้ ทีนี้ก็เหลือแต่ความทุกข์ประเภทที่ความโง่ของเราไปเอาเข้ามา เพราะว่าพอเราเกิดมาจากท้องแม่ ก็ได้รับการสอนให้โง่ พอเกิดมาจากท้องแม่ก็ได้รับการสอนให้โง่ ๆๆๆ มาตามลำดับ นี่อย่าเข้าใจผิดว่าเนรคุณพ่อ แม่นะ พ่อ แม่เขาตั้งใจดีที่สุด ด้วยความรักที่สุดเขาจึงทำอย่างนั้น ญาติพี่น้องพวกพ้องทั้งหลาย เขารักเราที่สุดเขาจึงทำอย่างนั้น แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันทำให้เราโง่นี่จะทำอย่างไรเล่า
มันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไปแล้ว พอเด็กเกิดมาก็หาของที่อร่อยที่สุดให้กิน เอาของสวยงามที่สุดมาแขวนให้มันดู เอาเพลงขับกล่อมที่ไพเราะที่สุดมากล่อมมัน หรือว่าให้มันได้รับความอบอุ่นที่สุด ประคบประหงมด้วยหัวอก ด้วยอะไรเหล่า ๆ นี้ให้มันสบายที่สุด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วมันก็ได้หลงติดในความสุขสบายนั้น คือมันโง่ พอเกิดมาก็ได้รับการแวดล้อมอบรมให้โง่ ให้หลงติด หลงรัก ยินดีในสุขเวทนา ถ้าว่าไม่ถูกใจมันก็โกรธ โมโหโทโสเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา ในส่วนที่มันเป็นทุกข์เวทนา เมื่อไม่ได้ดั่งใจทารกนั่นมันกัดนมแม่มันเลย มันโกรธขึ้นมา นี่เรียกว่ามัน ๆ ไม่รู้นี่ จะทำอย่างไร แล้วมันก็ถูกแวดล้อมให้เป็นอย่างนั้น มากขึ้น ๆ ไม่มีใครบอก ไม่มีใครแก้ไข
ไอ้ความรักก็บำรุงบำเรอให้มันโง่ยิ่งขึ้นไป ถ้ามันมีความไม่ได้ดั่งใจ มันก็อุตสาห์ไปหามาให้ได้ดั่งใจ ลูกมันเอาหัวไปโดนเก้าอี้ ก็ตีเก้าอี้ให้ลูกมันว่า กูตีเก้าอี้แล้ว ลูกมันอย่าต้องโกรธ อย่าเสียใจเลย นี่ทำให้ลูกมันโง่มากขึ้น พาไปที่ร้านขายของเล่นแพง ๆ ลูกจะเอาอะไรแม่จะซื้อให้ นี่มันทำให้ลูกมันโง่ พาไปร้านของหวานเอร็ดอร่อย ลูกจะกินไอศกรีมที่แพงที่สุด แม่ก็ซื้อให้ นี่แม่มันทำให้ลูกมันโง่ ทำไมไม่บอกลูกว่า ทั้งหมดนี้นะ มันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขามีไว้สำหรับให้เราโง่ทั้งนั้นแหละลูกเอ๋ย อย่างนี้บ้างซิ แล้วลูกมันก็จะพอรู้ขึ้นมาทีละน้อย ๆ ว่า ของที่ต้องซื้อแพง ๆ แล้วเอามาเล่น มากินผู้เดียวนั้นล้วนแต่ทำให้เราโง่ มันจะได้หายโง่ในเวลาอันสมควร เดี๋ยวนี้มันยังโง่มาจนบัดนี้ มันอยากจะเป็นทาสลิ้นกินของอร่อย