แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นการพูดครั้งสุดท้ายการปิดการอบรมของที่นี่ กล่าวนี้จึงพูดในลักษณะที่เป็นการสรุปความสั้นๆ ขอให้กำหนดจดจำไว้ให้ดี จะสำเร็จประโยชน์
ในเรื่องต่างๆ มันก็มีคำสรุปความซึ่งเป็นใจความ นี่เราก็พูดธรรมะมาหลายวันแล้ว นี่ก็พอสรุปความได้ ข้อแรกนั้นอยากจะให้พวกเธอทุกคนพึงทราบข้อเท็จจริงพื้นฐานที่สุด คือว่า ความทุกข์มันเป็นสิ่งที่ดับได้ หรือป้องกันได้ บางคนมันไม่สนใจว่าความทุกข์เนี่ยดับได้ ถ้าไม่เหลวไหลกันเกินไป ปฏิบัติสุดความสามารถของตนแล้ว ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดับได้ แต่เขาไม่เคยนึกคิดอย่างนี้ มีความทุกข์เกิดขึ้นเขาก็เห็นเป็นสนุกไป บางคนถึง กับว่าไอ้ร้องไห้ก็สนุกดี ได้รับรสอร่อยชนิดหนึ่งจากการร้องไห้ ไม่ค่อยรู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรนัก แต่มันก็มีหลายอย่างที่พอจะรู้สึกได้ว่ามันเป็นความทุกข์มันทรมานใจ แต่เขาก็คิดว่ามันดับไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นเอง คือเอาคำว่า “อย่างนั้นเอง” ไปใช้ในทางที่ไม่ถูก ความทุกข์มันเป็นอย่างนั้นเอง แต่ว่ามันเป็นสำหรับที่ดับได้ ก็เป็นอย่างนั้นเองอีกทีหนึ่ง ถ้าใครไม่มีความเห็น ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความเชื่อแน่นอนว่าความทุกข์ดับได้ก็ไม่สนใจการดับทุกข์หรอก ขอให้เราอยู่ในจำพวกที่รู้ชัดเจนว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ดับได้ และอยู่ในวิสัยที่จะรู้ได้และปฏิบัติได้ กระทั่งรู้ไปถึงว่าจิตนี้เป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ จิตที่มันเคยเป็นทุกข์ เราอบรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ แต่คนมันก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง มันยังไม่เชื่อว่าเปลี่ยน แปลงได้ มันเห็นเป็นสิ่งที่ตายตัว ตามความรู้สึกของเขาไม่ต้องสนใจที่จะทำให้จิตเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องสนใจที่จะดับทุกข์ แล้วก็เกิดความเคยชินในการที่จะปล่อยไปอย่างนั้นเอง ก็เลยเป็นหมันกันหมดแหละ ที่มายิน มาฟัง มาศึกษา ก็ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไร ขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่
โดยสรุปความว่า ความทุกข์นี้ดับได้ จิตนี้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมะที่เราเรียนไปนั่นแหละเป็นเครื่องปรับปรุงจิตให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะไม่เกิดความทุกข์ หรือความทุกข์เกิดไม่ได้ หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาแล้วนี่เราสามารถจะขับไล่ออกไปจากจิตได้ วิธีทั้งหมดนั้นเรียกว่า ธรรมะ คำเดียวกัน แล้วก็อย่าลืมที่พูดแล้วว่า ต้องเรียนธรรมะด้วยการปฏิบัติไปพลาง รู้อะไรแล้วก็ลองปฏิบัติดูไปพลาง แล้วก็เห็นประจักษ์ว่ามันเป็นอย่างนั้นๆ แล้วก็รู้ว่า เออ..มันเป็นอย่างนั้นจริง การรู้ธรรมะ รู้จักการที่ปฏิบัติดู แม้แต่ปฏิบัติลองดู บางคนแล้วธรรมะนี้เป็นของใหม่เกินไป เขาไม่กล้า ไม่กล้าลองของใหม่ บางทีก็คิดแต่ว่ามันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่าๆ ประกอบกับว่าเวลานี้มันมีสิ่งเอร็ดอร่อยสนุกสนานมากมายเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง ไปคบกับสิ่งเหล่านั้นดีกว่า ก็ยิ่งไม่มีเวลาไม่มีจิตใจมาสนใจกับธรรมะ ธรรมะนี่มันก็ยังเป็นหมันอยู่ คนเหล่านั้นก็ยังมีความทุกข์อยู่ ก็มีความไม่เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เราจิตใจสูงเหนือความทุกข์ เหนือเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อยังมีภาวะอยู่ใต้ความทุกข์ก็ไม่สูง เมื่อไม่สูงก็ไม่เป็นมนุษย์ จึงขอบอกเลยว่า คนที่ยังมีความทุกข์ ไม่เป็นมนุษย์ คนที่ยังมีความทุกข์ยังไม่เป็นมนุษย์เต็มตามความหมาย คนที่ยังมีความทุกข์นั้นยังไม่ใช่พุทธบริษัทที่เต็มตามความหมาย เป็นพุทธบริษัทลงชื่อตามทะเบียน เป็นพุทธบริษัทชั้นเตรียมอนุบาล หรือว่าเป็นพุทธบริษัทแต่ชื่อ นี่กล้าพูดอย่างนี้และยืนยันอย่างนี้ให้เขาไปพิสูจน์กันได้ตามพอใจ ถ้ามันยังมีความทุกข์อยู่ยังไม่เป็นมนุษย์ และยังไม่เป็นพุทธบริษัทที่เต็มตามความหมาย คือ ไม่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง ความเป็นมนุษย์มันมีน้อย จึงเรียกว่าไม่ถึงความเป็นมนุษย์ ยังมีน้อย ความเป็นมนุษย์ของเขาไม่เท่ากับความที่แมวมันเป็นแมว เราสังเกตุเห็นแมวมันเป็นแมว มันมีความเป็นแมวเต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ไอ้พวกมนุษย์นี่มันมีความเป็นมนุษย์ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ บางทีไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซนต์ เพราะมันไม่มีธรรมะ ความเป็นมนุษย์ของเขาน้อยมากกว่าความที่แมวมันเป็นแมว มันก็น่าละอายแมว ถ้ามันตายไปในลักษณะอย่างนั้น มันก็ต้องเรียกกันตรงๆ ว่ามันเสียชาติที่เกิดมาเรียกตัวว่าเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา หวังว่าทุกคนจะรับรู้คำกล่าวข้อนี้เอาไปวัดเอาไปจับเอาไปใคร่ครวญดูกับเรื่องของตนที่มันเป็นอยู่จริง ให้มนุษย์มีความหมาย จิตใจมันสูง จิตใจมันไปอยู่เหนือ เหนือน้ำท่วม น้ำในที่นี้ก็คือความทุกข์ คือกิเลส หรือสิ่งไอ้ที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลาย เราลงทุนบวชกันทั้งทีมัน ก็เปลืองเวลา เปลืองแรงงาน เปลืองทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ ในการลงทุน ถ้าไม่ได้ผลคุ้มกันกับการลงทุนก็ต้องเรียกว่าใช้ไม่ได้ ถ้าจะให้ใช้ได้มันก็ต้องรีบไปทำให้มันได้ผลคุ้มกับการลงทุนอย่างว่า กลับออกไปบ้านหรือว่าไปเป็นผู้ไม่บวช คราวนี้ก็ขอให้มัน ดีกว่าคราวก่อน เมื่อเราไม่ได้บวชมันมีอะไรอย่างไร บวชแล้วกลับออกไปต้องดีกว่านั้น ต้องให้พิสูจน์ได้ว่ามัน ดีกว่านั้น ถ้าไม่งั้นมันก็คิดเอาเองว่ามันจะเป็นอย่างไร แล้วจะวัดได้ด้วยความรู้สึกชนิดที่เรียกว่า กิเลสคือ ความรู้สึกประเภทชั่วร้ายว่ามันลดลงหรือเปล่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันลดลงหรือเปล่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันอยู่ในภาวะที่เราควบคุมมันได้มากกว่าแต่ก่อนหรือเปล่า นั่นย่อมหมายความว่าเรา มีสติ มีปัญญามากขึ้น ควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้มากกว่าแต่ก่อน นี่..คิดดูมันจะเป็นการ เป็นการได้ที่ดี เขาเรียกว่าการเป็นการได้ที่ดี สุรพัง คุณรพัง การได้ที่เลว สุรพัง การได้ที่ดี ได้ความเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นการได้ที่ดี แต่ถ้าไม่มีธรรมะอย่างที่ว่ามันก็ดีไปไมได้ มันได้แต่ว่าเอาเอง ขอให้เรารับผิดชอบตัวเองต่อตัวเองให้มากในเรื่องนี้ ไม่มีใครมาช่วยทำให้ได้ ถ้าสติมันเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน มันก็ควบคุมจิตได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมันควบคุมกันด้วยสติ แล้วปัญญามาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือ ทีนี้ปัญญาก็ต้องมีมากกว่าแต่ก่อน คือเราศึกษาเล่าเรียนอะไรต่างๆ นานาตลอดเวลาที่บวช ที่มันเป็นความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร นี่เรียกว่าเป็นความรู้ส่วนปัญญา ปัญญานั้นต้องมาทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ ส่วนนี้เรียกว่าสติ คือความระลึกได้ ถ้ามาแล้ว มาถึงแล้ว สติเอามาถึงแล้วก็รักษาไว้ ให้อยู่กับเหตุการณ์อันนั้นตลอดเวลาที่มันควรจะอยู่ ก็เลยเรียกว่าสัมปัญชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ในขณะนั้น ในเหตุการณ์อันนั้น เมื่อมีกำลังใจแข็ง เข้มแข็งพอที่จะไม่ให้โลเล หรือไม่ให้อ่อนแอ ให้มั่นคงตามหน้าที่ว่ามันดี ส่วนนี้ก็เรียกว่าสติ ที่จริงอันนี้เป็นของธรรมชาติที่มีได้เอง หากแต่ว่ามันน้อยเกินไป คนธรรมดาตามธรรมชาติมันก็ต้องมี ถ้าไม่มีมันตายหมดแล้วล่ะไม่มีใครรอดอยู่ได้ ถ้าใครมันไม่มี ไอ้เด็กๆ คนไหนมันไม่มีสติ ไม่มีสัมปัญชัญญะ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาตามธรรมชาตินั้นแหละมันตายหมดแล้ว มันทำผิดในบ้านในเรือนแล้วมันก็ตาย ไม่ได้มาอยู่อย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ที่มันมีบ้างมันไม่พอ ไม่พอจะแก้ปัญหาอันแท้จริง อันใหญ่ยิ่ง หรือใหญ่หลวงของมนุษย์เรา คือความทุกข์ ที่มันมีมากยิ่งขึ้นๆ ก็อย่างที่บอกแล้วว่า พอเราเกิดมาเราก็เริ่มโง่ แล้วเรากำลังเโง่มากขึ้น โง่มากขึ้น โง่มากขึ้นต่อไอ้สิ่งที่มากระทบเราทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็โง่มากขึ้น จนกระทั่งว่า ไอ้สติปัญญา ไอ้ความรู้ตามธรรมชาติ ตามไอ้สัญชาติญาณ common sense นี้มันไม่พอ เราก็ต้องแสวงหา แสวงหาให้พอ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านออกบวชก็มีคำตรัสอย่างนี้ การแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นกุศล คืออะไรจะเป็นความดีที่ดับทุกข์ได้สำหรับทุกคน ท่านออกไปแสวงหาจนพบมาสอนพวกเรา นี่เราก็มีปัญหาอย่างเดียวกัน ความรู้ตามธรรมชาติ สัญชาติญาณมันไม่พอ จึงแสวงหาความรู้ อย่างที่มาบวชอย่างนี้เป็นต้น ถือว่าเป็นการแสวงหาความรู้ให้พอ ระบบการศึกษาที่เขาจัดให้เป็นส่วนกลางของชาติของประเทศโดยรัฐบาลนี่มันไม่พอ เพราะเขามองกันแต่ปัญหาทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางเหล่านั้น เขาจัดการศึกษากันเพียงเพื่อประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้จัดเผื่อมาถึงทางจิตทางใจของแต่ละบุคคล ซึ่งมีปัญหาละเอียด ลึกลับซับซ้อนด้านจิตใจ ที่เรียกว่าธรรมะนี่แหละ แล้วก็แสวงหาเอาเอง ถ้าใครไม่แสวงหาเอาเองมันก็ไม่มี ไม่มีความรู้ส่วนนี้ มีความรู้เท่าที่เขาจัดให้ในโรงเรียน ในวิทยาลัยก็รู้เท่านั้น รู้แต่อาชีพ แต่หนังสือ ซึ่งอาจจะดับทุกข์ได้ เมื่อเขารู้เพียงเท่านั้น เขาก็ทำเพียงเท่านั้น ทำอย่างนั้น ทำด้วยหลักการอย่างนั้น จึงเกิดไอ้การกระทำใหม่ๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาในโลกเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วมันไม่ถูกกับธรรมชาติ ไม่ถูกกับความเป็นธรรมชาติของมนุษย์หรือมนุษย์ตามธรรมชาติที่มันควรจะมีจิตใจสูง มันก็มีจิตใจต่ำ เข้าใจว่าคงจะได้ฟังข่าวเรื่องประเทศทางสแกนดิเนเวีย เขาปล่อยตามกิเลสกัน ตั้งแต่วัยรุ่นแล้วก็มีผลพิสูจน์ออกมาว่าฉิบหายหมด ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่แน่นอน มีแต่ความเลวร้าย แล้วปรากฏว่ายุ่งไปหมด จนเป็นโรคประสาทกันทั้งบ้านทั้งเมือง คือมันแก้ปัญหาไม่ถูกพอมันยุ่งกันแล้ว นั่นแหละให้รู้เถอะว่าถ้ามันทำไปผิดกฏของธรรมชาติแล้วมันจะต้องมีผลเกิดขึ้นมาอย่างนั้น แล้วอย่าอวดดีว่าเดี๋ยวนี้เรามีการศึกษาเจริญ มีสติปัญญา ใช้เหตุผล ไม่เป็นคนโง่ หารู้ไม่ว่าเมื่อมันทำผิด ผิดหลัก ผิดใจความ ไอ้คนชอบชั่วยิ่งฉลาด มันก็ยิ่งฉิบหาย เมื่อพื้นทางจิตใจมันผิด ยิ่งฉลาดแต่มันฉลาดในทางฉิบหาย ความฉลาดจะเป็นไปในทางฉิบหาย คือทำลายล้างหมด เพราะชาติมันชั่ว พื้นฐานมันชั่ว จิตใจมันอยู่ในสภาพที่ชั่ว ยิ่งฉลาดยิ่งทำความฉิบหาย แต่ถ้ามันอยู่ในรากฐานที่ดี ยิ่งฉลาดมันก็ยิ่งดี ยิ่งฉลาดมันก็ยิ่งดับทุกข์ ยิ่งเจริญไปในทางที่ดี นั้นความฉลาดอย่างเดียวนี่ไม่รับประกันอะไรได้ มันต้องว่าฉลาดไปในทางที่ดี นั้นเราอย่ามีอิสรภาพ เสรีภาพ ว่าเราฉลาดแล้วเราจะเลือกเอาเอง มันจะมีผลเหมือนประเทศสแกนดิเนเวีย ที่พ่อแม่รัฐบาลอะไรก็ปล่อยให้ทดลองอย่างนั้น แล้วก็มันมีผลออกมาอย่างสาสม ความฉลาดนี้มันผิดแล้ว เสรีภาพนี้มันผิดแล้ว กิเลสต่างหากละบางทีมันเสรีภาพ ไม่ใช่มนุษย์ บุคคล ตัวตนที่ไหนมันเสรีภาพ กิเลสมันเสรีภาพเป็นไปตามอำนาจของกิเลส เกิดมาอายุไม่กี่ปีมันจะรู้ความจริงได้ยังไง กิเสลเป็นผู้รู้ ผู้ศึกษา มันก็รู้อย่างกิเลส มันก็เห็นไอ้การทำตามกิเลสเป็นของดี มันก็เลยเป็นเขาเรียกเป็นคนของกิเลส เป็นบ่าว เป็นทาส เป็นคนของกิเลส ตัวหัวตัวหู เลยร้อยเปอร์เซนต์ เสียอีก นี่เรียกว่าคนที่ว่ามันหลับ มันไม่รู้ แล้วมันก็ต้องฉิบหาย ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทเราต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และถ้าว่ารู้นั่นหมายถึงว่ารู้อย่างถูกต้อง ถ้ารู้อย่างไม่ถูกต้องคือรู้ผิด ก็เรียกว่ามันรู้ไม่ถูกต้อง ถ้ารู้ถูกต้องมันพิสูจน์ได้ตรงที่ว่ามันดับทุกข์ได้ ถ้ามันพิสูจน์ความมีประโยชน์ว่ามันดับทุกข์ได้ละก็ รู้นั้นถูกต้อง ความรู้ก็ดี การกระทำก็ดี อะไรก็ดีมันถูกต้องกลมกลืนมันดับทุกข์ได้ อย่างอื่นไม่แน่ใครจะว่าถูกต้องกันทั้งบ้านทั้งเมืองถ้ามันดับทุกข์ไม่ได้ละก็มันไม่ถูกหรอก ต่อให้ทั้งโลก เดี๋ยวนี้มันจะนิยมอะไรกันว่า อย่างนี้ถูกต้อง อย่างนี้ถูกต้อง นิยมกันทั้งโลก แล้วมันไม่ดับทุกข์ มันก็พิสูจน์ในตัวแล้วว่าไม่ถูกต้อง ถ้าถูกต้อง ต้องดับทุกข์ได้ นี้ก็กล้าพูดได้เลยว่าไอ้โลกกำลังมีการศึกษาไม่ถูกต้อง เพราะมันเพิ่มปัญหาเพิ่มความทุกข์อย่างเร็ว อย่างแรง นั่นแหละคือความไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโลกที่เจริญด้วยการศึกษา มันก็กลายเป็นว่าไปเจริญด้วยการศึกษาเพื่อกิเลสของกิเลส ควบคุมกันโดยคนมีกิเลสกับการศึกษาโดยคนมีกิเลส มันก็ได้รับผลเป็นคนดีแต่กิเลส ทั้งโลกจึงเต็มไปด้วยความเลวร้ายที่เรียกว่าวิกฤต วิกฤต ภาษาบาลีคำนี้แปลว่าการกระทำที่ผิด วิกฤต เป็นการกระทำที่ผิด ผิดแล้ว เมื่อผิดแล้วมันก็มีผลเป็นทุกข์ตลอดเวลา คือเราเป็นพุทธบริษัทไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่พุทธบริษัทหรือไม่เป็นแม้แต่มนุษย์ เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะว่าเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งไม่มีความทุกข์มากเหมือนมนุษย์ นี่ที่เราพูดอยู่เสมอว่าระวังให้ดีนะจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานจะน่าละอายแมว จะน่าละอายคนป่าสมัยโน้น เมื่อมนุษย์ยังไม่รู้จักทำน้ำแข็งขึ้นกิน มนุษย์แห่งยุคนั้นเยือกเย็นกว่ามนุษย์สมัยนี้ ใครฟังถูก มนุษย์ยุคที่ยังไม่รู้จักทำน้ำแข็งกิน ในโลกนี้มันคงรู้จักทำน้ำแข็งกินเมื่อไม่เกิน ๒๐๐ ปีมานี้ ๑๐๐ กว่าปีราวรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ นี่ ที่ในโลกมนุษย์รู้จักทำน้ำแข็งกิน แล้วเดี๋ยวนี้มันกินกันก็รายวัน กี่หมื่นตันเป็นแสนตัน เมื่อมนุษย์ยังไม่รู้จักทำน้ำแข็งกินโลกมันเยือกเย็นกว่านี้ นี่พิสูจน์ความโง่ความบ้าความอะไรก็แล้วแต่ไปเรื่อย เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักไฟฟ้าไม่รู้จักทำไฟฟ้าใช้ โลกนั้นมีแสงสว่างมากกว่ายุคที่มันมีไฟฟ้าใช้ ถ้าใครฟังถูกคนนั้นเป็นพุทธบริษัท โลกสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มันไม่รู้จักทำ โลกสมัยนั้นสว่างไสวดีกว่าโลกสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยไฟฟ้า เราก็พลอยบ้ากับเขาด้วยคือเป็นโลกที่มืดมนยิ่งขึ้นทุกที ผลิตผลต่างๆ ที่เป็นไฟฟ้าออกมาจากไฟฟ้ากระทั่งละเอียดกว่านั้นเป็นอิเลคโทรนิคเป็นอะไรก็ตาม มันก็ทำให้โง่ให้หลงให้เป็นภาพของตัณหา ก้มหน้าก้มตา เห็นภาพของตัณหาเรียกว่ามันมืด มันมืดด้วยอวิชชา ให้จุดไฟฟ้าจนเต็มไปหมดทุกๆ กระเบียดนิ้วมันก็ไม่ทำลายอวิชชาในหัวใจของคนเราได้ แล้วมันก็ยิ่งโง่ไปหลงเป็นทาสของความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินจากไอ้สิ่งที่เรียกว่าไฟฟ้า แล้วมันก็มืด มันก็มืดด้วยกิเลส เมื่อเขายังไม่มีไฟฟ้าใช้ เขามีจิตใจที่สว่างไสว เป็นอิสระจากกิเลสมากกว่ายุคที่เรามีไฟฟ้าใช้กันแต่ว่าไม่ดี ไอ้เธอยังเด็กๆ อยู่ยังจะต้องอยู่ไปอีกนานจะต้องเห็นความเจริญของไฟฟ้าอีกมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นระวังให้ดี มันจะมืดยิ่งขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้ คนโง่กำลังบูชาอานิสงค์ของไฟฟ้าเพราะมันเล่นสนุกสิ มนุษย์ก็เรื่องเล่นสนุก ไม่มีความจำเป็น หรือว่าถ้าจะแยกแยะออกเป็นความจำเป็นก็ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์ของทั้งหมด เก้าสิบห้าเปอร์เซนต์นั้นเป็นเรื่องของไม่จำเป็น จึงพูดว่าเมื่อยังไม่มีไฟฟ้าใช้เขาสว่างไสวกันกว่ายุคนี้ที่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อมนุษย์ยังเป็นคนป่า เป็น ape หรือเอป ไม่รู้จะเรียกว่าลิงหรือ จะเรียกว่าคน หรือเอป เขามีสันติสุขสันติภาพกว่าคนสมัยนี้ที่เรียกว่าเจริญ เจริญ เจริญจนไม่รู้จะเจริญอย่างไร ยิ่งเจริญเท่าไร ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่านั้น ยิ่งเจริญเท่าไรก็ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้จึงฆ่ากัน ทำลายล้างกัน มีสงครามต่อกันตลอดเวลา จะเรียกว่าทั่วไปในโลกทุกหนทุกแห่ง คือมันมีปฏิกิริยาของสงครามนี่ขยายไปทั่วโลกทุกหนทุกแห่ง ตัวสงครามโดยตรงก็มีอยู่หลายแห่ง ในโลกเวลานี้ก็มีอยู่หลายแห่งดูจากหนังสือพิมพ์ ที่สงครามยิงกันก็มีอยู่หลายแห่ง อันสุดท้ายนี่ที่ประเทศ ประเทศขี้ประติ๋วแกรน์นาดา อยู่ใกล้ๆ กับประเทศแคนนาดานี่กำลังฆ่ากันใหญ่ นี่ให้คนป่าที่ยังไม่นุ่งผ้า แสงทรงใบไม้ หัวเราะเยาะได้ว่ามนุษย์สมัยนี้ ถ้าเราเป็นเทวดามองมาจากเบื้องบน เราจะเห็นว่ามนุษย์สมัยนั้นกัดกันน้อย ไม่เหมือนมนุษย์สมัยนี้ซึ่งกัดกันใหญ่ทั่วทุกหัวระแหง เพราะความหลงในความเจริญต้องการความเอร็ดอร่อยทางวัตถุที่เจริญ ก็กอบโกยวัตถุ เพื่อนเขาไม่ยอมก็ต่อต้าน ต่อต้านก็ต่อสู้ ต่อสู้ก็รบกัน อย่างยืดเยื้อนี่ความเจริญ อะไรเป็นอย่างนี้นี่ก็เรียกความเจริญ เจริญเพื่อให้เยอะให้ยุ่งให้รบราฆ่าฟันกันหนักขึ้น นี่ความที่มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นไม่ทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มันไม่รู้ทั้งนั้น ก็ปล่อยมาอย่างนี้เรื่อยๆ มาจนได้มีความทุกข์ ทุกชนิด ทุกระดับ ทุกเวลา ทุกสถานที่ แล้วก็น่าสงสารเด็กๆ สมัยนี้พอเกิดมาก็ถูกทำให้โง่กว่าเด็กสมัยก่อน หลายคนคงจะไม่เชื่อ เพราะว่าเด็กสมัยนี้พอเกิดมาก็ถูกทำให้โง่กว่าเด็กสมัยก่อน เพราะเด็กสมัยก่อนเขาไม่มีอะไรมาประเล้าประโลมให้มันหลงใหลมากเหมือนเด็กสมัยนี้ เด็กสมัยนี้พอเกิดมาก็มีอะไรประเล้าประโลมมาก เมื่อฉันอายุ ๘ ปี ยังไม่รู้ ก ข เดี๋ยวนี้เด็ก ๓-๔ ปี รู้ ก ข เด็ก ๔-๕ ปี ก็อ่านการ์ตูนได้ ก็มีอะไรมาให้เด็กๆ สมัยนี้เขาหลง พอใจ ยึดมั่นถือมั่นมากมาย เมื่อไม่มีของเล่นที่แปลกประหลาดเหมือนที่เด็กสมัยนี้เขามีเล่นกัน นี่เราเรียกว่าไม่มีอะไรมาทำให้โง่ หลง มากเหมือนเด็กสมัยนี้ ก็เกิดมาก็ไม่มีอะไรมาทำให้โง่ให้หลงมาก เด็กสมัยนี้อายุ ๘ ปีนี่จะอ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้ว เรายังไม่รู้ ก ข สมัยเรา แล้วใครจะโชคดีกว่ากัน ใครจะโชคดีกว่ากันก็ไปนึกเอาเอง
เอาละที่พูดมามากมายนี่ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าจำเป็นที่ต้องมีธรรมะให้มาก ให้มากเท่ากับความเจริญ ที่มันเจริญขึ้น เจริญขึ้น ยิ่งเจริญเท่าไร ยิ่งต้องการธรรมะมากเท่านั้น เด็กสมัยนี้หรือคนสมัยนี้มันก็ต้องได้รับการศึกษาอบรมธรรมะให้มาก ให้พอ ให้ทันกันตั้งแต่เด็กๆ มันจะได้เติบโตขึ้นด้วยจิตใจที่ถูกต้อง ที่มีจิตใจอย่างมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิเลส ไม่หลงใหลในธรรมชาติบางอย่างที่มันหลอกลวง มันจึงเป็นการสมควรแล้วที่ว่าเราจะรีบเรียน รีบศึกษา รีบค้นหา รีบรวบรวมออกมา ซึ่งความรู้ธรรมะให้ทันแก่เวลา มิฉะนั้นก็จะไปเข้าในรูปที่ว่ามันไม่มีความเป็นมนุษย์เลย เอาอย่างนี้กันได้ไหมว่า ถ้าใครยังร้องไห้อยู่เพราะเหตุอะไรก็ตาม มันยังน้ำตานองหน้าอยู่มันเลวกว่าแมว เพราะเราไม่เคยเห็นแมวร้องไห้ ที่มันร้องหง่าวๆ นั่นไม่ใช่ร้องไห้ มันมีเรื่องอื่น ที่มันร้องไห้ฮือๆ น้ำตานองหน้านะ แมวไม่เคยทำ ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ถ้ามนุษย์คนไหนทำก็เรียกว่าต้องเลวกว่าแมว แต่บางคนอาจจะแย้ง ดีกว่าแมวเพราะมันทำเป็นไง มันทำเป็น เพราะมันร้องไห้ฮือๆ เป็น มันดีกว่าแมวซึ่งทำไม่เป็น นี่เอาไปใคร่ครวญดูเถอะ เราก็ยืนยันอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าใครยังมีความทุกข์อยู่ คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัท ต่อให้เป็นพระเป็นเณร ใครก็ตามมันไม่เป็นพุทธบริษัทถ้ามันยังมีความทุกข์อยู่ ไม่เป็นผู้รู้ ไม่เป็นผู้ตื่น ไม่เป็นผู้เบิกบาน และมันควรจะพอที่จะเป็นหลัก กำหนดไว้เป็นหลัก ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง เมื่อเราเกิดอยู่ เกิดขึ้นมา หรืออยู่ในโลกที่กำลังเจริญด้วยการผลิตวัตถุเพื่อสนองกิเลสและตัณหา เขาร่ำรวยกันด้วยการผลิตวัตถุสนองกิเลสตัณหา ขาย ขาย ขาย ขาย ผลิตด้วยเครื่องจักรอุตสาหกรรม ไอ้คนก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ ซื้อ โฆษณาขายเครื่องสำอางค์ดูเหมือนจะมากกว่าขายหยูกยา หรือสิ่งที่จำเป็นแก่ความเป็นมนุษย์ โฆษณาเรื่องความสนุกสนานเพลิดเพลินเอร็ดอร่อยไม่มีขอบเขตนี่จะมากที่สุด โฆษณาเรื่องกินที่แพงที่สุด เรื่องอยู่ เรื่องเพลิดเพลินที่แพงที่สุด นี่เราเกิดมาในท่ามกลางความหลอกลวงอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตกลงไปในบ่อในหลุมของความหลอกลวง มีธรรมะเท่านั้นละ ที่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง อย่าไปหลงรักที่มันหลอกให้รัก อย่าไปหลงเกลียดที่มันหลอกให้เกลียด อย่าไปหลงกลัวที่มันหลอกให้กลัว อย่าไปหลงโกรธที่มันหลอกให้โกรธ ทุกอย่างเลย แล้วก็มีจิตใจที่เราชอบเรียกว่า “ว่าง” แต่ไม่มีใครชอบ แล้วเราก็ถูกด่า เราไม่ค่อยจะพูดคำว่าว่างแล้ว เพราะว่ามันถูกด่า เราก็จะพูดคำว่า มันมีจิตใจเกลี้ยง สะอาดดี อะไรดี มีความสะอาด มีความเกลี้ยง มีจิตใจที่เกลี้ยง เพราะไม่มีกิเลสที่สกปรกมาครอบงำ ให้เกิดความทุกข์ที่เผาให้เดือดรนเล่าร้อน มีจิตเกลี้ยง เรียกว่า โมก โมกขะแปลว่าเกลี้ยง เราต้องการให้ทุกคนเป็นอยู่ด้วยจิตที่เกลี้ยง ไปคิดเอาเองเถอะมันเป็นคำธรรมดาสามัญที่สุดแล้วเข้าใจง่ายกว่าคำว่า “ว่าง” ถ้ามันเกลี้ยงมันก็ไม่มีอะไรหุ้มห่อ มันก็สะอาด มันก็ปกติ แล้วมันก็สงบเยือกเย็น ไม่มีอะไรรบกวน ไม่มีสิ่งที่เกาะ จะมาเกาะ มากุม มายึด มาตื้อ มาจับ มาเบียดเบียน มาหุ้มมาห่อ มันเกลี้ยงอย่างนี้ ก็ความหมายเดียวกับว่างแหละมันไม่มีอะไรมารบกวน แล้วมันก็เย็น ก็ไม่มีของร้อน เย็นได้โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง แล้วก็บอกมาแล้วเมื่อตะกี้หยกๆ ว่าเมื่อยังไม่รู้จักทำน้ำแข็งกิน โลกก็เยือกเย็นกว่านี้ โดยเฉพาะโลกในสมัยพุทธกาลไม่รู้จักน้ำแข็ง ไม่มี มันก็เยือกเย็นกว่าโลกที่มีน้ำแข็งกิน ก็อยู่อย่างที่ไม่ต้องมีอะไรหลายๆ อย่าง แต่กลับสบาย อย่างพระพุทธเจ้านี่ก็น่าหัวที่สุด อาตมาพูดจะให้ฟังว่า ท่านไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า ไม่มีมุ้ง ไม่มีช้อนซ้อม ไม่มีเหล็กตัดเล็บ ไม่มีแปรงถูฟัน ไม่มีอะไรอย่างที่เรามีเดี๋ยวนี้ เพราะความเจริญมันไม่มีในทางวัตถุ ไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สมัยนั้นรู้จักส้วมซึม เราสนใจศึกษาโบราณคดีการขุดค้นที่ลุ่มน้ำสินทูโงเฮนโชดาโรแฮรับปา (ไม่แน่ใจ นาทีที่ 40.27-40.37) เมื่อห้าพันปี สองหรือสามพันปีก่อนพุทธกาลพบอะไรได้มาก ก็ยังพบว่ามีลักษณะของการต่อน้ำประปาท่อทำด้วยดิน พบบ้านที่ทำ น่าดูมาก แต่ไม่พบว่ามันมีส้วมซึมใช้ ไอ้ส้วมแบบส้วมซึมไม่เห็นร่องรอย อย่างนี้เป็นต้น เราก็คำนวณดูว่าเรื่องวัตถุนี่มันมีความสำคัญกี่มากน้อย อะไรไม่ต้องมีก็ได้ อะไรที่มีแล้วยิ่งยุ่ง ยิ่งลำบาก อย่างเดี๋ยวนี้มันยุ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเพราะความเจริญทางวัตถุ เข้าใจว่าเรามีเรือบินใช้มีอะไรรวดเร็วอย่างนี้ใช้แล้วมันจะลดความยุ่ง มันกลับเพิ่มความยุ่ง มันก็ลดสันติภาพ มันก็เพิ่มวิกฤตการณ์ เดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์ใช้ มีสมองกลใช้ มันจะทำให้คนโง่ลงไปกว่าเมื่อยังไม่มีใช้เราพูดอย่างนี้ คอยดูไปก็แล้วกัน ที่มันมีคอมพิวเตอร์สมองกลใช้นี่มันจะโง่ลงไปกว่ายุคที่มันไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้ใช้ เราเลยไม่เลื่อมใสเลย บอกตรงๆ ใครจะว่าป่าเถื่อนก็ยอม เราไม่ชอบไม่เลื่อมใสในสิ่งเหล่านี้ ที่พูดนี้ก็รวมความว่า เราต้องการไม่ให้พวกเธอไปหลงอารยธรรมวัตถุ ขอให้พอใจในอารยธรรมทางจิตทางวิญญาณ ให้จิตใจมันสงบเย็น ไม่ต้องเป็นทุกข์จะไม่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นแหละ ความมุ่งหมายมันมีเพียงเท่านี้ ธรรมะจะช่วยได้ เพราะว่าธรรมะจะสามารถทำให้จิตใจสงบเย็นได้ในทุกกรณี แม้ว่าร่างกายมันจะมีปัญหา เราก็แยกออกกันจากกันได้ จิตใจไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือว่าไฟมันจะไหม้โลก เราก็ไม่เป็นทุกข์ จนกระทั่งไหม้เป็นขี้เถ้าไปเราก็ไม่เป็นทุกข์ อย่าเป็นทุกข์ ต้องไม่เป็นทุกข์ ป่วยการ เป็นทุกข์มันป่วยการ ถ้าเป็นทุกข์แล้วก็ต้องเรียกว่ามันโง่กว่าสัตว์เดรัจฉาน มันไม่ยอมเป็นทุกข์ มันทุกข์ไม่เป็นดีกว่า แยกกันออกเสียให้เด็ดขาดว่าไอ้จิตเกลี้ยงน่ะมัน มันหมดปัญหา มันเกลี้ยงจากปัญหา ไอ้ความรู้สึกของจิตที่เลวร้ายเราไม่เอา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ ไอ้ตัวอย่างที่จะเข้าใจได้ง่ายในเรื่องนี้เหมือนจะเคยพูดให้ฟังแล้ว หรือไม่ได้เคยพูดก็ไม่รู้มันลืมแล้ว เช่นว่า เราเข้าไปในป่าแล้วเราก็พบเสือ เรารู้ว่ามันเป็นอันตราย เราก็ทำการป้องกันตัวซิ ถ้ามันไม่มีอะไร จะวิ่งหนีก็วิ่งหนีซิ แต่อย่ากลัวซิ ถ้าเราไปกลัวเสือ เราก็เป็นทุกข์เสียระบบจิตใจหมด เดี๋ยวก็วิ่งไม่ออก ก้าวขาไม่ออก ขึ้นต้นไม้ก็ไม่ได้ละ ถ้ามันกลัวจัดมันขึ้นต้นไม้ไม่ได้ไม่ต้องสงสัย งั้นถ้าจะวิ่งหนีเสือก็วิ่งอย่างดีที่สุด โดยจิตมันเกลี้ยงจิตมันไม่กลัว จะขึ้นต้นไม้ก็ขึ้นไปอย่างดีที่สุด ก็จิตมันไม่มีความกลัว ถ้าอะไรมันดาเข้ามาเพื่อให้เรากลัวเราก็ไม่กลัว ควรจะทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกันโดยไม่ต้องกลัว เผื่อว่าเป็นนักเรียนนะ ถ้าครูเขายกไม้ขึ้นจะเฆี่ยนก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเป็นทุกข์ เฆี่ยนก็รู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร จะไปมัวกลัวเสือมันก็จิตมันฟุ้งซ่านเปล่าๆ ไม่ได้รับประโยชน์จากการเฆี่ยน นี่เรามีจิตใจเกลี้ยงหรือปกติอยู่เสมออะไรจะเกิดขึ้นเราก็ได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นเต็มที่ พอจะสอบไล่เราก็ไม่ต้องกลัว จิตใจปกติก็สอบไล่ได้ดี ถ้ามันเรียนไม่พอมันสอบไล่ตกก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะมันเป็นอย่างนั้นเองก็เรียนกันใหม่ได้ นี่คนจิตใจเกลี้ยงมันไม่มีความทุกข์ ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่อิจฉาริษยา ไม่วิตกกังวล ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่หึงไม่หวง ไม่ทุกอย่างเลย คือการมีจิตปกติ ธรรมะช่วยได้เป็นอย่างนี้ แต่เราก็ไมได้บอกว่าเธอจงเชื่อเราว่าเราว่า เธอจงไปทำเอง ดูเอง แล้วก็จะรู้จริงว่ามันเป็นอย่างนี้ ธรรมะมันจะช่วยได้ แล้วก็จะได้เลื่อมใสในธรรมะยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วจะเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เปิดเผยความรู้อันนี้ แล้วจะเลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตนได้อย่างนี้สำเร็จประโยชน์ นี่มีพระรัตนตรัยกันสักที
ในที่สุดนี้จะปิดการอบรมนี้ด้วยการให้พร ว่าพวกเธอถือหลักพระพุทธศาสนาซึ่งมีหลักเกณฑ์พึ่งตัวเอง ไม่มีอะไรปัจจัยภายนอกอะไรจะมาช่วยได้ เรามีหน้าที่ที่ต้องทำเอาเอง ผู้อื่นอย่างดีที่สุดก็ได้แต่ผู้บอกให้ทำ เช่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสตรงๆ ว่า “เราเป็นแต่ผู้บอก การก้าวขาเดินนั้นพวกเธอมันเดินเอง” เราต้องถือหลักอย่างนั้น ต้องเตรียมพร้อมเพื่อจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ คือ พระธรรม ตามเยี่ยงอย่างพระสงฆ์ แล้วก็จะได้เป็นพระสงฆ์กับเขาสักคนหนึ่งในอนาคต แล้วปัญหาก็หมด มีความเป็นมนุษย์เต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ ไม่ต้องละอายแมวอีกต่อไป แล้วก็จงมีความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ด้วยความสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ จบ ปิด