แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โปรแกรมว่ายังไงกัน ที่เขาวาง จะถาม ไม่มีบรรยาย เรื่องยาวไปหาอ่านเอาจากเรื่องปฏิจจสมุปบาท คือมันจะพูดกันก็จะไม่คุ้มค่าเวลา คือมันจะพูดได้น้อยเกินไป ผมมีความเห็นอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องอานิสงส์ของพระศาสนาที่คนสมัยนี้ต้องการ ขอได้โปรดพิจารณาดูให้ดี เพราะว่าเป็นปัญหาสำคัญมาก จะอยู่รอดหรือไม่รอดก็ดูจะเป็นเพราะข้อนี้แหละ ถ้าว่าพิสูจน์ไม่ได้ว่าพุทธศาสนามีประโยชน์อย่างไรแล้ว คนสมัยนี้เขาก็จะไม่เอา ถ้าเป็นสมัยก่อนมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อะไรมันช่วยอยู่มาก อย่างน้อยคนเขาก็ชอบธรรมะ ชอบศาสนา ชอบเรื่องวัดวาอารามนี่ เพราะมันมีความเชื่อฝังมาแน่นแฟ้นว่าเป็นของดีโดยไม่ต้องพิสูจน์ แล้วก็ได้บุญ ตามความหมายที่รู้ๆกันอยู่ มันได้บุญมาก หรือว่าปลอดภัยทั้งโลกนี้ และโลกหน้าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนสมัยก่อนจึงยินดีเกี่ยวข้องกับพระธรรม พระศาสนาเต็มที่ จึงไม่มีปัญหา
พอมาถึงสมัยนี้วัฒนธรรม หรือประเพณีเช่นนั้นมันหมดไปเสีย และคนสมัยนี้เขาก็ไปศึกษา ไปรับวัฒนธรรมอื่น หรือมีคุณค่าอย่างอื่น อานิสงส์เพียงเท่านั้นก็ไม่พอ เขาก็ไป ไม่ต้องการเพียงว่าได้บุญ หรือเพียงว่าปลอดภัยทั้ง ๒ โลกโดยที่ไม่ต้องรู้ว่ามันปลอดภัยอย่างไร เขาก็จะไม่เอา ด้วยการเสนอผลอย่างนั้นเขาคงไม่เอา ทีนี้เรา พวกเราทุกคนนี่มันมีภาระหน้าที่ๆจะต้องสืบอายุพระศาสนา เรียกว่าโดยหน้าที่ หลีกไม่ได้ หรือไม่ควรหลีก ถ้าคนเขาไม่ต้องการเราจะสืบได้อย่างไร นี่แหละข้อนี้สำคัญมาก เพราะฉะนั้นจึงขอให้ทุกองค์เตรียมตัวสำหรับจะเผชิญกับปัญหานี้ หรือว่ากำลังเผชิญอยู่แล้วก็ได้ ว่าเราจะแสดงออกไปอย่างไรให้เขาพอใจ ในอานิสงส์ หรือคุณค่าของพระศาสนา
ที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ หรือแปลก มันก็เป็นของธรรมดา แต่ว่าเราอาจจะไม่เคยคิด ไม่เคยนึก ไม่รู้สึก ไม่เอามาชำระสะสาง หรือปรับปรุงให้มันดีเต็มที่ ฉะนั้นขอให้พยายามเถิด แยกแยะให้เห็น จนเขาเห็นว่าจำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องมีธรรมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา และก็สำหรับพุทธบริษัทเรา คือทำไมเขาจึงเบื่อศาสนาอื่นซึ่งอะไรๆก็ขอๆจากพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า อธิษฐาน ขออ้อนวอนจากพระเจ้า ก็แก้ปัญหาทุกปัญหาเลย มันมีแต่อย่างนั้น ฉะนั้นสมาชิกของศาสนานั้นๆจึงเบื่อ จึงหันไปหาศาสนาอื่น หลักธรรมะอื่น พวกฝรั่งที่เขาหันมาหาพุทธศาสนาก็เพราะเบื่อ เบื่อข้อบัญญัติผูกขาด ห้ามแตะต้อง ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็เบื่อว่าอะไรๆก็อ้อนวอน ขอร้องจากพระเจ้าเหมือนกันหมดเลย ตลอดเวลาเลย มันก็เบื่อ
ทีนี้พุทธศาสนาเราไม่มีพระเจ้าชนิดที่จะอ้อนวอน ขอร้องอะไรได้อย่างนั้น หรือถ้าจะใช้คำว่าขอร้อง อ้อนวอนก็ต้องมีความหมายอย่างอื่น เพราะว่าพระเจ้าของเราเป็นกฎ ทุกคนๆมีหน้าที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎ มิฉะนั้นจะได้รับผลร้าย ถ้าจะใช้คำว่าขอร้อง อ้อนวอน บนบาน อะไรก็ตาม มันก็มีความหมายแปลกออกไปกว่าความหมายธรรมดา ขอร้อง อ้อนวอน ก็คือปฏิบัติให้จริง ให้เคร่งครัด การที่เราปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของพระธรรมอย่างจริงจัง เคร่งครัด นั่นแหละคือเราขอร้อง อ้อนวอน หรือประจบก็ได้ พระเจ้าของเราเป็นกฎ ไม่มีความรู้สึกอย่างคน ทีนี้เราก็ต้องทำโดยวิธีที่ว่าจะได้รับผลจากกฎนั้นให้มากที่สุดอย่างไร นี่มันเป็นเหตุให้พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เช่นเดียวกับคำว่าพระเจ้าที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง จนหาว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าก็ๆไปอย่างนั้น ก็ๆเลยไม่มีการขอร้อง อ้อนวอนไปด้วย แต่การปฏิบัติโดยแท้จริงมันยังมีการขอร้อง อ้อนวอนอยู่ทั่วไปหมด แม้ในโบสถ์ สวดมนต์อะไรก็ยังมีการ ถ้อยคำ มีถ้อยคำขอร้อง อ้อนวอน ไม่ได้อ้อนวอนด้วยการตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดตามกฎนั้นๆ จึงไม่ได้รับผล
เราจะไม่ใช้คำชนิดนั้น จะใช้คำธรรมดาๆ คือว่าไม่มีการขอร้อง อ้อนวอนก็แล้วกัน แต่ต้องมีการประพฤติ ปฏิบัติ ให้ถูก ให้ตรงตามกฎนั้นๆอย่างยิ่ง แล้วเราก็จะแก้ปัญหาได้ ดังนั้นขอให้พวกเราทุกคนที่กำลังศึกษาพุทธศาสนาอยู่ก็ดี ที่กำลังปฏิบัติอยู่ก็ดี เผยแผ่อยู่ก็ดี ควรจะสนใจให้มากเป็นพิเศษ ทำการแยกแยะออกให้เห็นชัด ชัดทีเดียวว่าปัญหามันมีอยู่อย่างไร กี่อย่าง และอย่างไร จะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร รีบสนใจ ศึกษา กำหนด ตระเตรียมไว้ตั้งแต่บัดนี้เถิด
ก็อยากจะตั้งต้น มาจากจุดตั้งต้นของปัญหาที่เป็นเรื่องของพุทธบริษัท ผู้มีศาสนาแห่งสติปัญญา ไม่ใช่ศาสนาแห่งความเชื่อที่จะได้ๆอ้อนวอน หรือไม่ใช่ศาสนาแห่งใช้กำลัง วิริยะ มันก็ผิดในแบบของสมถะสมาธิโดยส่วนเดียว นี่มันเป็นไปไม่ได้ พุทธศาสนาเรามันอยู่ในพวกที่ ๓ คือพวกปัญญาธิกะ อาศัยปัญญาเป็นหลัก และมันเกี่ยวกับความรู้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้ให้ถูกต้อง ให้เพียงพอ จุดตั้งต้นที่สุดก็คือว่า รู้ว่ามนุษย์นี่มันมีปัญหาอย่างไร เรามนุษย์ไม่ได้รู้ ไม่ได้ชี้ ว่ามันจะต้องเกิดมา เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แต่มันก็ได้เกิดมาแล้วนี่ ไม่อยากที่จะหลีกเลี่ยงผลักไส ไม่ๆพ้นแล้ว มันได้เกิดมาแล้วนี่คิดดูสิ แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่มีผู้ที่ตั้งใจได้ มันเกิดมาตามธรรมชาติ บิดามารดาเป็นแรงเกิด เติบโตขึ้นมาด้วยอาหาร อยู่ด้วยการบริหาร แล้วก็เติบโตต่อมา นี่มันมาเป็นคนแล้ว เดี๋ยวนี้อายุก็มากแล้ว จึงจะรู้ว่าอ้าว, เราก็เกิดมาแล้ว ทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ทีนี้เกิดมานี่มันมีชีวิต ทีนี้ชีวิตมันตายได้ มันเป็นสิ่งที่ตายได้ เป็นทุกข์ทรมานได้ มันก็มีปัญหา มันจะต้องรู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นธรรมะสำคัญอันหนึ่ง เพื่อที่ปฏิบัติหน้าที่แล้วให้มันรอดอยู่ได้ ถ้าใช้คำว่าเพื่อจะไม่เป็นทุกข์ คือรอดจากความทุกข์ ก็คือไม่เป็นทุกข์ เพื่อจะไม่เป็นทุกข์ ความทุกข์ทั้งปวงถ้ามันสรุปลงไปในคำว่า ความทุกข์ของชีวิต หรือภาระของชีวิต คำว่าของหนักของชีวิตเป็นคำรวม ปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ที่เกี่ยวกับความทุกข์ เห็นใช้กันอยู่มากคำหนึ่งว่าไอ้ Burden of life Burden of life มันของหนักแห่งชีวิต ในคำนั้นมันรวมอะไรไว้หมดนะ ตั้งแต่จุดตั้งต้นจนถึงจุดสุดท้าย จะเป็นความทุกข์ชนิดไหน ชนิดต่ำต้อยที่สุด จนกระทั่งสูงสุดของกิเลส ของวัฏสงสารอะไรต่างๆ แต่ถ้าเราพูดกันแบบนี้ ว่าเพื่อจะพ้นจากความทุกข์ พ้นจากวัฏสงสาร เขาก็ยังไม่รู้ และคนสมัยนี้เขาจะไม่ทนฟังด้วย คือเขาเรียนมาอย่างยุคปัจจุบัน ฉะนั้นเราจะไม่ได้ใช้คำศัพท์ คำแสง คำอะไรที่เขาฟังไม่ออก เราจะใช้คำที่เขาฟังออก ว่าธรรมะ หรือพระพุทธศาสนานี้จะขจัดไอ้ปัญหา หรือความทุกข์ หรือของหนักแห่งชีวิตนี้ให้หมดไปๆได้ ทีนี้เขาก็จะเริ่มสนใจได้บ้าง เพราะเขาก็กลัวเหมือนกันชีวิตมีความทุกข์ มีปัญหา มีของหนักนี่ เราก็ใช้คำที่เขาจะสนใจ
ทีนี้เราก็เห็นๆกันอยู่ เราก็เรียนมาพอสมควรแล้ว พอที่จะแจกแจงไอ้ปัญหา หรือความทุกข์ หรือของหนักของชีวิตนี้ให้มันเป็นขั้นตอนไป ไอ้แจกตามแบบฉบับมันก็ได้ แต่มันอธิบายยาก เช่นคัมภีร์วิสุทธิมรรคจะแบ่งชีวิตเป็น ๑๐ ตอน เป็นทศศกๆ (นาทีที่ 14:01) ๑๐ ตอน มันก็เป็นเรื่องคำพูดเพื่อศึกษาอย่างเดียว แต่ละตอนๆนั้น ๑-๑๐ ปี ๑๐ ปี – ๒๐ ปี ๒๐ ปี – ๓๐ ปี มันเป็นเรื่องแบ่งเวลาให้ดูเสียมากกว่า มันไม่แสดงชัดลงไปว่า ไอ้ ๑-๑๐ ปี มันมีปัญหาอย่างไร อีก ๑๐-๒๐ ปีปัญหาอย่างไร ฉะนั้นเรามาแบ่งกันเสียใหม่ว่า มันมีปัญหาตามสถานการณ์ ตามวิวัฒนาการของชีวิต หรือสิ่งแวดล้อมของชีวิต อย่างนี้จะดีกว่า ตัวอย่างเช่นว่าเรามีการเกิดมาแล้ว เราจะต้องทำอะไร ซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็คือการหาเลี้ยงชีวิต อันที่หนึ่งนะ ปัญหาที่จะเกิดมาจากการหาเลี้ยงชีวิตนั่นเอง การหาเลี้ยงชีวิตมันเป็นหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิต ตลอดชีวิตไปเลย เราก็เห็นกันอยู่นี่ว่าไอ้การหาเลี้ยงชีวิตนี่มันเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความหนักอกหนักใจ จะเอาอะไรมาขจัดออกไปเสียจากการหาเลี้ยงชีวิต ฉะนั้นปัญหาที่หนึ่งมันก็จะระบุลงไปที่ปัญหาแห่งการดำรงชีวิต เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ ถ้าปล่อยไปตามธรรมดาโดยไม่มีธรรมะ หรืออะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็เป็นของหนัก เพราะว่ามันต้องทำๆเช่น ทำนา ทำไร่ ทำอะไร จะต้องแลกเอาด้วยเหงื่อ แล้วมันก็เป็นทุกข์ ยิ่งประกอบกับว่าสมัยนี้เขามานิยมความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลิน ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแหละดี ฉะนั้นชีวิตมันก็เป็นปัญหามากขึ้น ถ้าเขาต้องการจะให้มันไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เราก็มีธรรมะในขั้นต้น คือธรรมะสำหรับให้ทำงานสนุก ถ้าคุณมีธรรมะถูกต้อง คุณจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เป็นทุกข์ ในการทำหน้าที่หาเลี้ยงชีวิต
จะต้องเรียนกันสักหน่อย ต้องขอร้องสนใจให้มากสักหน่อย ให้เพียงพอ ดำรงจิตถูกต้องตามทางแห่งธรรมะในพระพุทธศาสนา เช่นรู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ มันเป็นอย่างนั้นเอง ซึ่งจะต้องหาเลี้ยงชีวิต แล้วก็มีความรู้พอที่จะทำให้หาเลี้ยงชีวิตได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ นับตั้งแต่ว่าอย่าไปวางมาตรฐานชีวิตให้มันกินดี อยู่ดีมากเกินไปสิ ถ้าๆวางมาตรฐานชีวิตอย่างกินดี อยู่ดีเกินไป มันก็เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเราจะเอาชนิดที่ว่ามันพอดีก็แล้วกัน แล้วก็มันพอจะทำกันไหว ตามสติปัญญา ความสามารถของเรา เมื่อเราเห็นว่ามันเป็นสิ่งดี เป็นความดีอยู่ในการหาเลี้ยงชีวิต คือมันเป็นธรรมะ มันก็พอที่จะพอใจทำ ไม่ทรมานใจ ไม่เป็นทุกข์ใจ แต่เป็นสุข สนุกสนานไปเสียอีก ทำนา ทำสวน ทำอะไรเหน็ดเหนื่อยก็ๆๆตามเถิด ก็เป็นของสนุกสนาน เหมือนอย่างวัฒนธรรมโบราณ ชาวนา ชาวสวน เขาสนุกเมื่อเขาทำงานทั้งนั้นแหละ ทำงานจนลืมกินข้าว นี่ความรู้ในขั้นต่ำๆ มันก็ยังพอจะมีได้อย่างนี้ ถ้าความรู้ในขั้นสูง เป็นปรมัตถ์สูงขึ้นไป มันก็เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เห็นตถตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าไปเหนื่อย อย่าไปทุกข์ อย่าไปเดือดร้อนกับมัน นี่ก็เรียกว่าธรรมะช่วยได้เหมือนกัน ที่จะไม่ให้รู้สึกเป็นทุกข์ เหมือนละเอียดออกมา มันก็ๆอย่างนั้นเองแหละ ไอ้ความเหน็ดเหนื่อยนั้นมันก็เป็นความรู้สึกตามธรรมดา ตามธรรมชาติของระบบประสาท พักเสีย พักๆผ่อนเสียมันก็หาย เดี๋ยวก็มีเรี่ยว มีแรง ทำได้อีก
นี่มันอยู่ในขอบเขตของความรู้ทางธรรมะ ที่จะทำให้ความทุกข์ในการประกอบการเลี้ยงชีวิต ในการประกอบการเลี้ยงชีวิตซึ่งจะมีความทุกข์ มันจะลดลงไป อย่างที่คนสมัยนี้เขาจะ พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเคล็ด หรือเป็นวิธีคิด หรือเป็นๆธรรมะที่ช่วยให้ความทุกข์น้อยลงไป คือจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยน้อยลงไป หรือบางทีจะสนุกอยู่ในความเหน็ดเหนื่อยนั้นก็ได้ ไอ้คำสอนแบบปรัมปราที่ว่า โอ๊ย, ชีวิตนี้เหน็ดเหนื่อย ปรารถนาความไม่เกิดดีกว่า ปรารถนานิพพาน ความไม่เกิดดีกว่า เกิดมานี้ต้องทำงาน ต้องเหน็ดเหนื่อย ไปนิพพานดีกว่า อย่างนี้มันๆไม่มีใครรับแล้ว เพราะมันเป็นผิดๆๆฝาผิดตัวแล้ว ซึ่งในๆใบลานมันจะเขียนอย่างนั้นมาก มันจะเอาใบลานนั้นมาใช้อีกคงไม่ได้ เพราะว่าคนสมัยนี้เขายังต้องการจะอยู่ เขายังไม่ต้องการจะไปนิพพาน ฉะนั้นเราก็ต้องหาทางที่ให้เขาจะอยู่ต่อสู้ในชีวิตอย่างสนุกสนาน
ถ้ามันโง่ มันไม่มีธรรมะ มันๆสนุกสนานไม่ได้ มันไม่เอาชนะความทุกข์ได้ ฉะนั้นเตรียมหาหลักธรรมะไปบอกคนเหล่านี้ เพื่อให้เขาใช้ประโยชน์ได้จริงๆในการที่จะระงับความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ทรมาน หรือความผิดหวังต่างๆ ที่มันจะต้องเกิดขึ้นในๆการประกอบอาชีพ เราก็มีธรรมะหมวดหนึ่งที่จะไว้สำหรับจะไม่ให้เกิดความทุกข์ในการประกอบอาชีพ อะไรบ้าง ผมก็เชื่อว่าคงๆมองเห็นลู่ทางกันแล้ว ไม่ต้องเอามาแจงรายละเอียด เพราะมันมาก มากเกินไปแล้วมันไม่อาจจะทำได้ ถ้าจะให้แจงรายละเอียดนั้น ไปเลือกเอาเอง ธรรมะข้อไหนบ้าง เรียกชื่อว่าอย่างไร ประชาชนยึดถือแล้วจะไม่รู้สึกทุกข์ทรมานในการทำมาหาเลี้ยงชีวิต จะสนุกสนานไป แล้วไม่ทุจริตด้วย ไม่ต้องไปทุจริตด้วย นี่เรื่องหมวด ธรรมะหมวดจะดับทุกข์ เกี่ยวกับการดำรงชีวิตอยู่ คือชีวิตรอด
ทีนี้ก็ดูต่อไป ปัญหาสังคมข้อที่ ๒ มันก็จะได้แก่ไอ้ความทุกข์ยากลำบาก หรือภาระที่เกิดขึ้นมาจากการที่จะดำรงตนอยู่ในระหว่างสังคม โดยเฉพาะสังคมยุคปัจจุบัน เป็นอยู่ยากๆ ล้วนแต่จะให้เกิดความทุกข์ทั้งนั้น ปัญหาที่มีคนมาถามมากที่สุด เพื่อนเขาไม่เอา เราช่วยให้เขาทำดี เขาไม่เอา และปัญหาที่รองลงมา คือเจ้านายเขาทุจริต เจ้านายๆนั่นเองเป็นผู้ชักชวนในการทุจริต แล้วผมจะทำอย่างไร เช่นว่าถ้าผมไม่สูบบุหรี่ ผมไม่กินเหล้านี่ ผมไม่มีทางจะคบกับเจ้านายได้ เพื่อนบ้านก็เหมือนกันแหละ ไม่ต้องมาอุทธรณ์หรอก ถ้าผมจะไม่สูบบุหรี่ จะไม่กินเหล้า ผมก็ไม่มีเพื่อนๆ เพราะเพื่อนทั้งหลายเขาจะต้องการอย่างนั้นทั้งนั้น เรื่องชวนกันคดโกง ชวนกันเอาเปรียบ ชวนกันหาประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม นี่มันเต็มไปหมด นี่เรียกว่าปัญหาทางสังคม
ผมจะทำได้อย่างไร จะผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างไร เราต้องหาความรู้ที่เพียงพอเป็นทางออกให้แก่เขา ถ้าเขาจะอยู่ในสังคมที่ไม่ถือธรรมะนี่ หรือว่าจะสามารถเปลี่ยนสังคมให้มาถือธรรมะได้อย่างไร นี่เรียกว่าธรรมะสำหรับการแก้ปัญหา หรือความทุกข์ในการที่จะต้องอยู่ในสังคมที่มันไม่มีธรรมะ คือสังคมปัจจุบัน จะพลอยเป็นผู้ไม่มีธรรมะกันไปทั้งหมดอย่างนั้น หรือจะแยกตัวออกมาเป็นสังคมที่มีธรรมะ นี่ก็เป็นปัญหา ฉะนั้นก็จะต้องชี้ทางให้ต่อสู้ปัญหาสังคม ให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในท่ามกลางสังคมที่มันไม่มีธรรมะมากขึ้น ถ้าเทียบกับสมัยโบราณแล้วมันๆอยู่ง่ายกว่าทั้งนั้น สมัยโบราณเขามีๆกันแต่คนซื่อ คนดี คนกลัวบาป คนหวังบุญด้วยกันทั้งนั้น มันๆก็เป็นสังคมที่อยู่ด้วยได้ง่าย เดี๋ยวนี้มันเป็นสังคมที่ตรงกันข้าม อยู่ได้ อยู่ด้วยได้โดยยาก ก็เตรียมนึกหาธรรมะไว้เถิดว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อว่าไอ้คนๆนั้นมันจะอยู่ได้ในสังคมที่กำลังวิปริต วิตถาร พิกลพิการมากขึ้น ควรจะมีอยู่ในหลักสูตรที่พวกเราเรียน และสอนกันอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่
เดี๋ยวนี้ก็เกิดไอ้ๆลัทธิการเมืองที่ใช้เป็นเครื่องหลอกล่อ ชักจูงว่าเราเอากันอย่างนี้เถิด สังคมของเราจะดีนี่ มันก็มีหลายลัทธิ แล้วก็ไม่เห็นมันดีสักที ทุกลัทธิไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นว่าจะช่วยสังคมได้ ช่วยมนุษย์ได้ จะเป็นเรื่องเผด็จการ นายทุน ชนกรรมาชีพ สังคมนิยมก็ตาม มันก็ มันไม่ก็ มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาได้ เพราะมันไม่มีธรรมะที่ถูกต้องนั่นเอง นี่ก็ชีวิตแท้ๆมันก็มีปัญหาเรื่องสังคม ต่อจากเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว
ทีนี้มันก็มีปัญหาไอ้ทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่มันจะต้องมีตามธรรมชาติ ความวิปริต อุบัติเหตุตามธรรมชาติ ซึ่งเราไม่มีส่วนเป็นต้นเหตุ เช่นเรื่องสงคราม ควันๆหลงของสงครามมันบีบคั้นไปทั่วโลก หรือแม้ที่ธรรมชาติมันบีบคั้น ฟ้าฝนไม่มีตามฤดูกาล มันไม่มีอะไรชนิดที่ส่งเสริมไอ้การเป็นอยู่ของมนุษย์ เดี๋ยวน้ำท่วม เดี๋ยวฟ้าผ่า เดี๋ยวต่างๆนานาไปตามธรรมชาติ คนก็เป็นทุกข์ จะมีความรู้อะไรที่มาให้คนเขายึดถือเป็นหลัก ที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ไปตามอุบัติเหตุนานาชนิดที่มันเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติ นี่เรียกว่าปัญหาทางธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ๆ ง่ายๆ เบื้องต้น และภายนอก เขามีมากอย่างนี้ที่เป็นภายนอก
ทีนี้ที่เป็นภายในจะมีอะไรอีก คิดดู มันก็มาถึงเรื่องกิเลสของเราเองมันสร้างปัญหาขึ้นมา ปัญหาแรกน่าจะนึกถึงว่าปัญหาทางเพศนั่นแหละก่อน เพราะว่าพอคนเป็นวัยรุ่น จะเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา มันก็จะต้องมีปัญหาไอ้ทางเพศ ทางราคะ ทางกามารมณ์ก่อน มันเกิดแน่ๆ แล้วก็ๆมีปัญหาอย่างที่เห็นๆกันอยู่ มันแก้ไม่ถูก มันก็ต้องไปเป็นอันธพาล เดือดร้อนกันมากขึ้น หรือว่าอีกทางหนึ่งมันก็ๆทำลายตัวเอง ทำร้ายตัวเองกระทั่งฆ่าตัวเอง เขาจะต้องรู้ปัญหาทางเพศที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จริง ไม่ใช่เรื่องเพศศึกษาบ้าๆบอๆที่เขามาสอนในหลักสูตร นักเรียนนั้นมันแก้ไม่ได้หรอก เรียกว่าเพศศึกษา แก้ไม่ได้ก็จะส่งเสริมเรื่องชิงสุขก่อนห่ามมากไปเสียอีก มันต้องเป็นเรื่องของธรรมะที่จะมาระงับปัญหาทางเพศ ตัวอย่างเช่นว่า ให้เขารู้ว่าโอ้, ไอ้ๆเรื่องความรู้สึกทางเพศมันก็เช่นนั้นเอง มันก็เช่นนั้นเองตามธรรมชาติ คุณอย่าไปบูชามันนักสิ อวัยวะเพศธรรมชาติเขาสร้างมาให้สืบพันธุ์ อวัยวะเพศเขาสร้างมาให้สืบพันธุ์ แต่คุณเอาไปๆใช้เพื่อแสวงหารสอร่อยทางกามารมณ์ มันผิดๆในความมุ่งหมายธรรมชาติเสียแล้ว แล้วมันจะไม่เกิดปัญหาอย่างไรเล่า
พูดมันเป็นเรื่องตลก จมูกเขาเอาไว้สำหรับรู้กลิ่นทั่วๆไป พวกๆคุณเอาไปเที่ยวดมไอ้ที่มันไม่ควรจะดมนี่ มันผิดหมดแหละไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันผิดหมดเลย ตาก็มีไว้ ธรรมชาติมันมีไว้ทำอะไร คุณก็ไปทำมันผิดเรื่อง มันก็เกิดไอ้ความทุกข์ทางเพศขึ้นมาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อวัยวะสืบพันธุ์เขาไม่ได้มาไว้สำหรับกามารมณ์ แต่มันก็ๆยากมากแหละ เพราะว่าเราไม่มีความรู้เรื่องนี้ เราก็ตกๆไปในฝ่ายเข้าใจผิด ฉะนั้นธรรมชาติมันเหนือกว่านะ ผมเคยพูดเรื่องนี้ตามความรู้สึกของผม ผิด หรือถูกก็ไม่ทราบ ว่าไอ้ๆความรู้สึกทางเพศ ความอร่อยทางเพศธรรมชาติเขาสร้างมาเป็นค่าจ้างให้สัตว์ทั้งหลายสืบพันธุ์ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่มีสัตว์ตัวใด ชนิดไหน ที่มันจะทำการสืบพันธุ์ เพราะทำการสืบพันธุ์มันไม่ใช่สนุกนี่ มันเจ็บปวด หรือมันอะไรหลายๆอย่าง ฉะนั้นเขาต้องมีอะไรที่มาหลอกล่อให้มันไม่กลัว มันก็คือกามารมณ์นั่นเอง ไอ้เรื่องสืบพันธุ์นั้นมันส่วนหนึ่ง ซึ่งๆไม่ๆๆสนุกเลย ทีนี้เขาก็เอาไอ้กามารมณ์มาๆฝากไว้ติดกันกับที่การสืบพันธุ์ คนก็เห็นแต่กามารมณ์จึงควรทำการสืบพันธุ์ คิดดู ถ้าสมัยก่อนแล้วเขาไม่มีวิธีที่จะคุมกำเนิด ไปแตะต้องกับกามารมณ์แล้วเป็นต้องได้รับโทษ คือทนสืบพันธุ์ ฉะนั้นเราแยกออกจากกันเสีย ว่ากามารมณ์เป็นค่าจ้างให้สัตว์ที่มีชีวิตมันทำการสืบพันธุ์ ซึ่งมันเจ็บปวด เราอย่าไปกิน เราอย่าไปรับค่าจ้างมันเข้า อย่าไปหลงในค่าจ้าง เขาจ้างเรา หลอกเราให้ทำการสืบพันธุ์ แล้วเราก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะกามารมณ์มากเกินไป นี่เรียกว่าการศึกษาเรื่องเพศ
เรื่องเพศแท้ๆนั้นมันเป็นเรื่องการสืบพันธุ์ แต่มนุษย์สมัยนี้เปลี่ยนเป็นเรื่องกามารมณ์ไปเสีย คนละเรื่อง กามารมณ์ธรรมชาติใส่มาเป็นค่าจ้างให้ๆสืบพันธุ์ ฉะนั้นเขาจึง ไอ้ๆคือธรรมชาติมันใส่ให้มาถึงเมื่อๆทำการสืบพันธุ์ เมื่อทำการสืบพันธุ์นั้นมีรสทางกามารมณ์สูงสุด แม้ในสัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ไม่งั้นมันก็ไม่สืบพันธุ์หรอก ฉะนั้นจึงใส่อวัยวะสำหรับสืบพันธุ์มาให้ ถ้ามีกฎเกณฑ์ว่ามันจะต้องวิวัฒนาการ แล้วมันจะต้องรู้สึก แล้วมันจะทนอยู่ไม่ได้ แล้วมันก็ใช้เพื่อการสืบพันธุ์ โดยมีกามารมณ์เป็นเครื่องล่อ หรือเป็นค่าจ้าง ถ้าเรามีธรรมะพอ เราก็จะรู้เรื่องนี้อย่างนี้แหละ แล้วเราก็ไม่ลุ่มหลงในเรื่องของกามารมณ์มากเกินไปจนเป็นทุกข์ หรือว่ายินดีสืบพันธุ์โดยไม่ต้องรับค่าจ้างคือกามารมณ์มากมายนัก ความทุกข์มันก็จะน้อยเข้า อย่าเห็นกามารมณ์เป็นของประเสริฐ วิเศษสูงสุด จนจัดเป็นเทพเจ้า มนุษย์หมู่หนึ่ง ยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง มันบ้าเกินไป มันจัดกามารมณ์เป็นของสวรรค์ เป็นเทพเจ้า เป็นกามเทพ เป็นพระเจ้าสูงสุดไปก็มี อย่างนี้ไม่มีในพุทธศาสนา จะยกไอ้กามารมณ์เป็นเทพเจ้านี้มันไม่มี แต่ในพวกอื่นมันมี แล้วก็มีคนหลงไปตามนั้น พวกใหญ่เหมือนกัน
นี่ธรรมะในพระพุทธศาสนาต้องการให้เห็นๆความจริงนี้ลึกซึ้งอย่างไร จนเห็นว่าไอ้กามารมณ์มันเป็นเรื่องหลอก แล้วก็เป็นเรื่องจ้างให้คนทำการสืบพันธุ์ เราไม่ควรจะโง่ถึงขนาดนั้น ถ้าจะทำบ้าง จะเกี่ยวข้องบ้าง ก็ให้รู้ความพอเหมาะ พอดี เหมือนกับว่าจะจัดมันเป็นอาหารชนิดหนึ่งก็ได้ แต่อย่าลุ่มหลงให้มันๆเกินพอดีสิ เหมือนกับเรากินอาหารทุกวันนี่ เรากินเป็นอาหารเท่านั้นแหละ เราก็ไม่ลุ่มหลงเกินไป ถึงจะลุ่มหลงบ้างมันก็ไม่เกินไป หรือโดยมากก็ไม่ลุ่มหลง คนบางพวกเท่านั้นที่มันจะลุ่มหลงบูชาอาหาร เรื่องเอร็ดอร่อย คนที่มีความรู้สึกปกติอยู่บ้างมันก็ไม่หลงเกินไป ถ้าจะถือว่าไอ้กามารมณ์ เพศรสนี้เป็นอาหาร ก็ต้อง ก็ๆติดต่อกระทำเพียงเพียงเหมือนกับที่ว่ามันกินอาหารอย่างนั้น แต่นี่มันเลยๆ มันเลยนั้นไปนี่ มันเลยๆไอ้ความรู้สึกที่พอดีตามธรรมชาติ ก็เลยบูชากามารมณ์เป็นพระเจ้าไปแล้วสิ ก็ต้องเป็นทุกข์ แล้วเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน คือส่งเสริมแต่เรื่องกามารมณ์ ผลิตวัตถุปัจจัยส่งเสริมกามารมณ์มากมายเหลือเกิน จนทุกคนมันบูชากามารมณ์กันเสียทั้งโลก ก็ต้องได้รับผลเป็นทุกข์ ทีนี้ธรรมะจะมีมาเพียงพอสำหรับจะควบคุมสิ่งเหล่านี้ หรือบรรเทาความโง่ในสิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้คุณมีความทุกข์น้อยลงโดยปัญหาทางเพศ
คำว่าเพศนี่มันสองๆ มันเป็นมีความหมาย ๒ ฝ่าย เพศเพื่อสืบพันธุ์ก็ได้ เพศนี่เพื่อกามารมณ์ก็ได้ คำว่าเพศมันมีความหมายเป็น ๒ แฉก ๒ ฝ่ายอยู่ เราใช้ไปในฝ่ายที่มันจะไม่เผาผลาญนักสิ ถ้าต้องการเพียงสืบพันธุ์ มันก็ไม่ต้องบูชากามารมณ์ เรื่องมันก็น้อย และยิ่งเดี๋ยวนี้เราควบคุมการสืบพันธุ์ได้ มันก็ยิ่งลดปัญหา แต่อย่าไปบูชากามารมณ์ มันจะเพิ่มปัญหา ความรู้ ความก้าวหน้าของมนุษย์ในสมัยนี้ โดยเฉพาะสมัยวิทยาศาสตร์นี้ ไม่มีแขนงไหนที่จะลด หรือบรรเทาความรู้สึกทางกามารมณ์ มีแต่ส่งเสริม มีแต่ส่งเสริม ไอ้ความรู้ ความก้าวหน้าของมนุษย์ยุคปัจจุบันมีแต่ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ ถ้าไปสอนให้ควบคุมความรู้สึกทางกามารมณ์ ไม่มีใครเรียนหรอก มันไม่มีใครเรียน หรือใครมันจะผลิตวัตถุลดความรู้สึกทางกามารมณ์ขาย ไม่มีใครซื้อหรอก ไม่มีใครซื้อ ในโลกปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นมัน ไอ้โลกนี้ก็เต็มไปด้วยหลงใหลในทางกามารมณ์
เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นพุทธบริษัท เรามีธรรมะเป็นเครื่องมือที่จะขจัดปัญหา หรือความทุกข์ หรืออะไรต่างๆที่เกี่ยวกับกามารมณ์ พอที่จะเป็นสุขได้ พอที่จะอยู่เป็นสงบสุขได้ตามปกติ เดี๋ยวนี้มนุษย์มันล้ำหน้าทางกามารมณ์มากเกินไป สัตว์เดรัจฉานมันเท่าเดิม ไอ้สัตว์เดรัจฉานมันมีเกี่ยวข้องกับสืบพันธุ์ และมันมีกามารมณ์นิดหน่อยเท่าที่ธรรมชาติกำหนดให้ ฉะนั้นมันก็ไม่ๆมาก ปีละครั้ง ส่วนมนุษย์ที่มันทั้งวันทั้งคืน ทุกคืนไปตลอดเดือน ตลอดปีนี่ แล้วปัญหามันจะไม่มากอย่างไรเล่า คิดดูสิ นี่จะว่าคนดี หรือเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ลองไปคิดดูฉะนั้นเรามีธรรมะแท้ๆที่จะควบคุมความรู้สึก ระบบประสาท ไม่ให้ไปหลงใหลทางกามารมณ์ แล้วก็รู้สึกด้วยสติว่า โอ้, มันสักว่าอย่างนั้นเอง คำว่าอร่อยๆนั้นอย่าเห็นเป็นของวิเศษ เห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกตามธรรมชาติ เกิดแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติ ซึ่งระบบประสาทมันจะต้องรู้สึกอย่างนั้น ตามธรรมชาติ ดังนั้นไอ้ความอร่อยนั้นไม่วิเศษอะไรหรอก มันเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้น มันๆอย่างนั้นเอง คนมันก็จะไม่หลงในความเอร็ดอร่อยกันมากนัก เพราะมันเป็นเพียงความรู้สึกเกิดแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้นเอง
เดี๋ยวนี้มันรู้สึกว่าไอ้ๆๆความเอร็ดอร่อยมันเป็นตัว เป็นตน เป็นของวิเศษ ประเสริฐ เป็นเทพเจ้าไปเลย บูชากามเทพไปเลย เพราะมันไม่มีธรรมะ ธรรมะนี่มันจะช่วยอธิบายให้เราเห็นธรรมชาติ ว่าความอร่อยสูงสุดมันก็คือความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นแหละ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มีปัญญามันก็รู้สึกทันทีว่า โอ้, นี่มันคือความรู้สึกตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ หนอๆ ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ ถ้าไปหลงบูชามันก็คือบ้าเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปบ้า ไปหลงในเรื่องของความอร่อย ทั้งโลกมันบูชาความอร่อย อร่อยทางตา อร่อยทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางใจ ทั้งโลกกำลังบูชาความอร่อย ไม่มองเห็นว่าไอ้ความอร่อยนี่มันเป็นเพียงความรู้สึกตามธรรมชาติแก่ระบบประสาท มีหน้าที่สำหรับรู้สึก มันไม่มากไปกว่านั้น แต่ไม่มีใครสอนอย่างนี้ ไม่มีใครสอนเรื่องนี้ เขาให้เรียน ให้สอนกันแต่เรื่องที่ตรงกันข้าม ไปยุยงส่งเสริมให้มันยิ่งขึ้นไปในการที่จะบูชาความเอร็ดอร่อย แล้วก็ถือเป็นของดี ของวิเศษ เป็นกระทั่งว่าเป็นศิลปะไปก็มี ทำให้มันอร่อยเกินธรรมดาก็ว่าเป็นศิลปะ เป็นศิลปะบ้าที่ทำให้คนมีความทุกข์มากขึ้น การแต่งตัวก็ดี การปรุงอาหารก็ดี การประดับประดาบ้านเรือนใช้สอยก็ดี เขาว่าศิลปะสูงสุด เอามาอวดกันดู คุณดู มาอวดกันว่าของวิเศษ จริงๆมันเป็นเรื่องบ้าที่จะทำให้คนหลง แล้วก็ใช้เงินมากๆนะ ไอ้เรื่องสวยงามนี่ใช้เงินกันไม่อั้น นี่เรียกว่าความรู้สึกทางเพศ
ปัญหาที่ ๓ เกิดมาจากความรู้สึก ปัญหาที่ ๑ มาจากการเลี้ยงชีวิต ปัญหาที่ ๒ ปัญหาทางสังคม ปํญหาที่ ๓ ทางธรรมชาติ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปัญหาที่ ๔ เรื่องเพศ มันล้วนแต่ปัญหาภูเขาเลากาทั้งนั้นแหละ มันขจัดออกไปไม่ได้มันก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นเราจะมีธรรมะอะไรจะขจัดปัญหาเหล่านี้มาตามลำดับ เพิ่มอีกปัญหาก็ได้ ที่จริงๆมันมีมากกว่านี้มาก นี่เรามา เอามาเป็นตัวอย่าง ปัญหาทางไอ้ นี่รวมกิเลสทั้งหมดนะ ไอ้เรื่องๆเพศนี่ เรื่องเพศ เรื่องราคะนี่ เดี๋ยวขอพูดต่อหน่อยว่า มันเนื่องกันนะ ที่ไปแยกเป็น ๓ นั้นมันไม่ค่อยถูกนัก มันๆแยกปรากฏการณ์ได้ แต่เนื้อแท้มันเรื่องเดียวกัน เช่นราคะคือความรัก มันเป็นกิเลสตัวหนึ่งนะ ในตัวโทสะมันก็ไม่มาจากอื่น มันมาจากที่ไม่ได้ตามที่ๆราคะมันต้องการนั่นแหละ ถ้าเราไม่มีราคะ ไม่มีความต้องการแล้ว โทสะมันไม่มีทางเกิดหรอก ไอ้ทสะมันเกิดมาจากการที่ไม่ได้ตามที่ราคะหรือโลภะมันต้องการ ทีนี้มันจะอย่างไรมันก็ไม่ได้ มันก็โง่อยู่ มันก็เป็นโมหะ รวมเรียกกัน รวมกันหมดว่าปัญหาทางกิเลส ที่ย่ำยีมนุษย์อยู่ปัญหาทางกิเลส ที่ออกหน้าออกตาที่สุดก็คือปัญหาทางเพศ เมื่อไม่ได้สมประสงค์ทางเพศมันก็เกิด โทสะ โกธะ พยาบาท ฆ่ารัน ตีรันฟันแทงกันไป แล้วมันก็ยังไม่รู้อยู่นั่นแหละ มันก็คือโมหะ เรามีธรรมะมากพอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ให้มนุษย์
ทีนี้ปัญหาที่ว่ามัน ปัญหาตลอดกาล คือว่าธรรมชาติของสังขาร มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ใครๆมันก็รู้สึกไม่ชอบ รู้สึกเกลียด รู้สึกกลัว ทุกข์ทั้งนั้น ทุกศาสนา เรามีความรู้ทางธรรมะในพุทธศาสนา ที่จะทำให้ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นความทุกข์แก่เรา พวกที่ถือพระเจ้าเขาก็อ้อนวอนพระเจ้าไปเรื่อย ให้พ้นเกิด พ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย บางทีเมื่อเขาเชื่อมากๆเข้า เขาก็ว่าดีแล้ว ได้เกิด ได้แก่ ได้เจ็บ ได้ตายนี่มันตามประสงค์ของพระเป็นเจ้า มันกลายเป็นดีไปเสียอีก กระทั่งความตายก็ดีไปเสียอีก เพราะพระเจ้าเรียกร้องต้องการอย่างนี้ มันก็เป็นอุบายชั่วคราวเท่านั้นแหละ ไอ้ที่จะขจัดปัญหามาจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย แท้จริง เด็ดขาด ก็ต้องหลักธรรมะ คือรู้ความจริงของอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนนั่นแหละ มันจะไม่มีปัญหาเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือจิตที่รู้ถึงที่สุดแล้ว มันไม่ไปเอาความเกิดมาเป็นความเกิดของเรา มันไม่ไปเอาความแก่มาเป็นความแก่ของเรา มันไม่เอาความเจ็บมาเป็นความเจ็บของเรา ไม่เอาความตายมาเป็นความตายของเรา มันเลยไม่เห็นมีปัญหา มันอยู่เหนือความหมายของเกิด แก่ เจ็บ ตาย
แม้การที่ต้องเป็นไปตามกรรมก็เหมือนกัน ถ้าถอนตัวตน ถอนอัตตา ตัวตนเสียได้ กรรมก็ยกเลิกหมด ผลกรรมก็ยกเลิกหมด ฉะนั้นจิตนี้เมื่ออบรมถูกต้องตามหลักธรรมะแล้วมันอยู่เหนือปัญหาของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือการที่จะต้องเป็นไปตามกรรม เรามีจิตใจสูงเหนือสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าอยู่เหนือความโง่ ไม่ๆยึดถือตัวตน ไม่มี ไม่ๆรู้สึกว่ามีตัวตน มันไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนแล้วมันไม่มีอะไรเป็นทุกข์ได้หรอก มันจะเป็นทุกข์ได้ก็เพราะว่ามันมีตัวตน ที่จะเผชิญกับสิ่งนั้นอย่างโง่เขลา
พระอรหันต์ท่านก็ยังแก่ ยังเจ็บ ยังตาย แต่ท่านไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าท่านไม่เอา เกิด แก่ เจ็บ ตาย มาเป็นของฉันนี่ จิตของอรหันต์หลุดพ้นแล้วจากความหมายแห่งตัวตน พระอรหันต์ก็เกิด ก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย แต่ท่านก็ไม่เป็นทุกข์ ส่วนคนธรรมดานั้นนะมันเป็นทุกข์ เพราะมันเอาเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของตนตลอดเวลา เดี๋ยวจะเข้าใจผิดที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในบาลีทั่วไปทุกแห่งว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ อันนี้สำคัญมาก มีความหมายลึกลับ ซ่อนเร้นอยู่ คือๆที่ แทนที่ท่านจะพูดให้เต็มเสียว่าความเกิดนั้นเป็นทุกข์แก่บุคคลผู้ยึดถือว่าความเกิดของกู ความแก่เป็นทุกข์สำหรับบุคคลที่ยึดถือว่าความแก่ของกู เพราะท่านก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ต่อเมื่อ อะไรหลุด ฟังดูแล้วมันคล้ายกับว่าความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ มันไม่ได้พูดให้ชัด ว่าของบุคคลผู้ยึดถือว่าของกูมันจึงจะเป็นทุกข์ คือท่านตรัสในความหมายธรรมดาสามัญที่สุดแหละ ว่าคนธรรมดามันยึดถืออยู่แล้วนี่ คนปกติธรรมดาจะยึดถือความเกิดเป็นของเรา ความแก่เป็นของเรา ความตายเป็นของเรา อยู่เป็นปกติแล้ว มันก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นพูดได้สั้นๆว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ที่จริงมันของบุคคลผู้ยึดถือจึงจะเป็นทุกข์ ตรวจดู ชักออกดูอันไหนมันหลุด อะไรมันหลุด ตรงนี้ผมอยากจะให้สังเกตให้ดี ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ มันเฉพาะของผู้ที่ยึดถือว่าของตนเท่านั้นแหละ นี่พระอรหันต์จึงไม่เป็นทุกข์ เพราะท่านไม่ยึดถือว่าของตน หรือว่าสัตว์เดรัจฉานที่มันไม่รู้จักยึดถือว่าของตน มันก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน มันยึดถือไม่เป็น แต่ถ้ามนุษย์ธรรมดาแล้ว มันจะถือว่าเป็นของตนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงพูดสรุปได้สั้นๆว่า ความเกิดของปุถุชนคนธรรมดาเป็นทุกข์ ความแก่ของคนธรรมดาเป็นทุกข์ ความเจ็บของคนธรรมดาเป็นทุกข์ ความตายของคนธรรมดามันต้องเป็นทุกข์แก่บุคคลนั้น เพราะมันยึดถือว่าของฉัน ความเกิดของฉัน ความแก่ของฉัน ความเจ็บของฉัน ความตายของฉัน ก็เป็นทุกข์สิ เพราะเห็นอยู่ มันมีปัญหามาก
ถ้าจิตมันสูง ไม่มีตัวตนเสียแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์หรอก ก็คือพระอรหันต์นั่นเอง ถ้าเราทำตามอย่างพระอรหันต์ก็อย่าไปยึดถือว่าความเกิดของฉัน ความแก่ของฉัน ความเจ็บของฉัน ความตายของฉัน มันก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่นี่พระบาลีกล่าวไว้สั้น ท่านกล่าวไว้ในภาษาสำหรับคนธรรมดา คือยึดถืออยู่แล้วตลอดเวลา เราต้องระวังให้ดี ใช้ความหมายของพระบาลีนี้ให้ดี ว่าท่านตรัสไว้สำหรับคนปุถุชนธรรมดาผู้มีความยึดถือ ความเกิดของผู้ที่ยึดถือว่าความเกิดเป็นของฉัน มันก็เป็นทุกข์ ความแก่ของผู้ที่ยึดถือว่าความแก่ของฉัน มันก็เป็นทุกข์ ทำไมไม่สะดุดกันบ้างเมื่อสวดทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ที่สวดบทอย่างนี้อยู่ ถ้าสังเกตให้ดีมันจะสะดุดแล้ว มันจะสะดุดแล้วตั้งแต่แรก แรกๆที่เราได้ยิน เดี๋ยวนี้เราเพิ่งมารู้ว่าท่านตรัสไว้เป็น ๒ ชั้น ๒ ขยักอยู่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ถูกยึดถือว่าเป็นของตนจะเป็นทุกข์ ที่ไม่ถูกยึดถือก็จะไม่เป็นทุกข์
ไอ้บทที่มันชัดเจน ไม่ดิ้นได้ก็คือ สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา โดยสรุปแล้วเบญจขันธ์ที่มีการยึดถือด้วยอุปาทานว่าตัวตน ว่าของตนนั้นจึงจะเป็นทุกข์ ทีนี้อื่นๆก็เหมือนกันแหละ โสกะ เทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส ถ้าเจ้าของ ผู้สัมผัสมันไม่ยึดถือว่าเป็นของตน มันก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน มันไม่มาเข้าเป็นของฉัน โสกะ หรือเทวะอะไรก็ตาม มันไม่ๆ มัน แล้วมันก็โสกะ ปริเทวะ ไม่ได้หรอก เพราะว่านี่มันมาจากยึดถืออะไรๆว่าเป็นตัวตนมาก่อน จึงเกิด โสกะ เทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส พลัดพรากจากของรักเป็นทุกข์ ประสบกับของไม่รักเป็นทุกข์ ปรารถนาแล้วไม่ได้เป็นทุกข์ นี่มันเป็นเรื่องของคนมีตัวตนทั้งนั้น ฉะนั้นธรรมะนี้สำหรับแก้ปัญหาของคนที่สามารถจะศึกษาเข้าใจ แล้วก็บรรเทาความรู้สึกว่าตัวตนออกไปเสียได้
มีพระบาลีที่ไม่ค่อยสนใจกันอยู่ ก็คือพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า สัตว์ ใช้ๆคำว่าถ้าเมื่อสัตว์อาศัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดจะพ้นจากความเกิด สัตว์ที่มีความแก่จะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความเจ็บจะพ้นจากความเจ็บ สัตว์ที่มีความตายจะพ้นจากความตาย ท่านตรัสไว้อย่างนี้ชัดๆ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ไปสนใจแต่ว่า เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเกิดไปได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่พ้นความแก่ไปได้ มีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเจ็บไปได้ มีความตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นความตายไปได้ นั่งสวดอยู่เหมือนจะร้องไห้อย่างนั้น มันไม่รู้ว่าที่ท่านตรัสไว้มันยังมี ถ้าอาศัยตถาคตแล้ว ที่มีความเกิดจะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่จะพ้นจากความแก่ กระทั่งพ้นจากความตาย ฉะนั้นหมายความว่าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้วจึงรู้ว่าไม่มีตัวตน ไม่มีของตน มันจึงพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ผมรู้สึกรำคาญที่สวดกันเพียงท่อนเดียว เอามาสวดกันเพียงท่อนเดียวว่า มีความเกิด ความแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ มันสวดท่อนเดียวนี่ ไอ้ท่อนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มันพ้นได้อย่างนั้นไม่เอามาสวด
ถึงกรรมก็เหมือนกันแหละ มีกรรมเป็นของตัว ไม่ๆๆพ้นกรรมไปได้ ท่านก็มีสอนเอาไว้ พอไอ้กรรมนี้มันจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อๆถอนอัสมิมานะ ตัวอัตตา ตัวตนเสียได้ ถอนอัตตาตัวตนเสียได้เมื่อไหร่ กรรมหรือผลกรรมจะสิ้นสุดลงทันที นี่ไม่เอามาสวดกัน นี่แปลว่าหลักธรรมะนี่มีให้ครบถ้วนแล้ว สำหรับจะแก้ปัญหาของมนุษย์ที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องไปหาทางออก อ้อนวอนพระเจ้า หรือว่าดีแล้วพระเจ้าท่านต้องการอย่างนี้ เราไม่ต้องใช้วิธีอย่างนั้นหรอก ในบางศาสนาเขาใช้คำว่าพระเจ้าเรียกแล้วๆ พระเจ้าเรียกคืนแล้ว ก็ตายอย่างไปมันก็ไม่ต้องเสียใจก็ได้เหมือนกัน ถ้ามีความเชื่อเพียงพอ แต่พุทธศาสนาไม่ได้ถืออย่างนั้น ถือว่าเราไม่มีตัวตนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่จะพอแล้วกระมัง ที่ว่าสักห้าๆตัวอย่าง มนุษย์เรามีปัญหาเป็นทุกข์ เพราะว่าต้องเลี้ยงชีวิต มันก็เผชิญกับความทุกข์ แล้วมนุษย์เราต้องอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหา แล้วก็ต้องเป็นทุกข์ แล้วมนุษย์เราจะต้องเผชิญกับธรรมชาติ ภัยร้ายกาจของธรรมชาติ ก็ต้องเป็นทุกข์ มนุษย์เราต้องเผชิญกับกิเลส ก็ต้องเป็นทุกข์ มนุษย์เราจะต้องเผชิญกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องเป็นทุกข์ ใน ๕ ตัวอย่างนี้เรามีธรรมะแก้ได้ เราจะเสนอแก่นักศึกษาสังคมในโลกนี้ว่า เรามีธรรมะที่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เขาก็คงจะสนใจๆที่จะศึกษา ที่จะขอรู้ ขอเรียน ขออะไร แล้วการเผยแผ่พุทธศาสนามันจะง่ายขึ้น เพราะในโลกปัจจุบันนี้จะอ้างไอ้เรื่องลมๆแล้งๆ เรื่องไสยศาสตร์ หรืออะไรกัน มันไม่ไหวแล้ว มันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันต้องใช้หลักเกณฑ์กันตรงๆ จริงๆ เป็นของจริงต่อหน้า เฉพาะหน้าเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แล้วจะแก้ได้
จึงขอถวายความคิดเห็น หรือความหวังว่าพวกเราจงเตรียมพร้อมเถิด พร้อมจะมีความรู้เพื่อจะแก้ปัญหาทุกชนิดของคนในโลก ซึ่งกำลังมีความทุกข์อยู่ด้วยปัญหาเหล่านี้ และผมเชื่อว่า เราจะได้ชื่อว่าทำหน้าที่ของเราสำเร็จ เราทำหน้าที่ของพุทธสาวกสำเร็จ แก้ปัญหาของเราเองก็ดี แก้ปัญหาของเพื่อนมนุษย์ก็ดี เราทำได้สำเร็จ ไม่เสียทีที่เราได้เล่าเรียน เล่าเรียนธรรมะ เล่าเรียนพระพุทธศาสนา ในระดับที่สูงๆๆยิ่งขึ้นไป ยิ่งเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้วจะต้องสูงถึงขนาดที่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วไม่รู้จะเรียนมหาวิทยาลัยกันอย่างไร ที่ตรงไหน มันก็จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ นี่คือเรื่องที่ผมพูด ตั้งใจจะพูดวันนี้ คือว่าเราเตรียมพร้อมในทางธรรมะ ที่จะมีธรรมะสำหรับแก้ปัญหาทุกชนิดของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน เราก็ได้รับประโยชน์ด้วยคือแก้ปัญหาของเราได้ แล้วคนทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ด้วย เพราะว่าแก้ปัญหาได้เหมือนกัน ฉะนั้นการเล่าเรียน ศึกษาพระพุทธศาสนาของเราก็ไม่เป็นหมัน มีประโยชน์เหลือประมาณ ได้โปรดช่วยจำเอาไปคิด ไปนึก ไปวิพากษ์วิจารณ์ ศึกษากันด้วย เหลืออีก ๑ ชั่วโมง ทีนี้หยุดพูด จะสนทนาปัญหาก็ได้ มีปัญหาอะไรก็ลองว่าไป
ถาม : คาถาที่พระสมัยใหม่เรียน ปรัชญาทางฝ่ายซ้าย วัตถุ กับจิต ปรัชญาวัตถุนิม นำมาปฏิบัติจริงได้ (นาที่ที่ 59:10 เสียงเบา)
ท่านพุทธทาส : ไอ้คำนี้นะ จิต วัตถุ จิต วัตถุ ไอ้คำนี้ คำคู่นี้มันมีความหมายเรียกว่าต่างกันตามระดับชั้น พวกนักวิทยาศาสตร์มันก็มีคำ ๒ คำนี้ใช้ พวกคอมมิวนิสต์มันก็มีคำ ๒ คำนี้ใช้ พวกสังคมนิยมมันก็มีคำ ๒ คำนี้ใช้ พวกธรรมะในศาสนา ในวัดในวามันก็มีคำ ๒ คำนี้ใช้ คือจิต กับวัตถุ แต่ความหมายไม่เท่ากัน เพ่งเล็งให้คนนินทา (นาทีที่ 01:00:03) ต่างฝ่ายต่างจะดึงความหมายไปเพื่อได้ประโยชน์ข้างฝ่ายตน แล้วก็มองต่างๆกัน เช่นมองว่าจิตไปตามวัตถุ หรือวัตถุไปตามจิตอย่างนี้เป็นต้น แล้วแต่เขาจะได้รับประโยชน์จากการพูดอย่างไร แล้วพวกวัตถุนิยมมันก็บอกว่าจิตไปตามวัตถุ เราก็สร้างวัตถุให้มากแล้วจิตมันก็มากเอง ดีเอง แต่พวกที่นิยมจิตมันก็ไม่ได้ เราต้องทำจิตให้ถูกต้อง แล้ววัตถุมันก็จะไปตามจิตเอง เพราะฉะนั้นเราจึงมาพูดอะไรโดยเด็ดขาดไม่ได้หรอก มันต้องกำหนดกันลงไปว่าพูดในความหมายไหน ลัทธิไหน สาขาไหน พวกที่เป็นวัตถุนิยมเขาก็มีเหตุผลของเขาที่จะแสดงว่าวัตถุนี่ก่อนจิต เหนือจิต บังคับจิต เขามีเหตุผลมาอ้างมากจนเป็น Dialectic ก็เป็นเรื่องของเขา ไอ้เราชาวพุทธนี่ก็เหมือนกัน เราจะมองได้ว่าจิตนี่มันเหนือวัตถุ วัตถุจะเป็นไปตามจิต แล้วก็มีเหตุผลเป็น Dialectic เหมือนกันที่จะพิสูจน์ว่าจิตมันๆๆนำวัตถุ แต่เพราะๆเราไม่ค่อยพูดกัน เราเลยได้ยินแต่คำว่า Dialectic Materialism เราไม่เคยได้ยินว่า Dialectic Mentalism อะไรไม่ได้ยิน เพราะว่าเราไม่ๆพูดกันนี่ เราก็เลยเสียเปรียบ เราก็ถูกโลกมันดึงไปเป็นเรื่องนิยมวัตถุไปหมด ก็เห็นจริงไปทางวัตถุไปหมด แล้วมันยังลำบากตรงที่ว่าพุทธศาสนานี้ไม่นิยมจิตโดยเด็ดขาด ไม่นิยมวัตถุโดยเด็ดขาด มันนิยมความถูกต้องของจิต และวัตถุ เพราะฉะนั้นเราจึงจะ เราควรจะเรียกพุทธศาสนาว่าเป็นพวกธรรมะนิยมดีกว่า หรือสัมมัตตะนิยมจะดีว่า อย่าไปเรียกพุทธศาสนาว่าจิตนิยม มันไม่ถูกๆ วัตถุนิยมยิ่งไม่ถูก จิตนิยมแท้ๆก็ไม่ถูก เรานิยมไอ้ความถูกต้องระหว่างสิ่งทั้ง ๒ นี้ ก็เรียกว่าธรรมนิยม
พระพุทธศาสนาเป็นอะไร เป็น Ism อะไร ก็บอกว่าเป็นธรรมนิยม ถ้าจะให้ใช้ธรรมะ ให้ใช้ภาษาธรรมะลึกเข้าไปก็ต้องใช้คำว่าสัมมัตตะ สัมมัตตะแปลว่าภาวะแห่งความถูกต้อง ภาวะแห่งความถูกต้อง สัมมัตตะนิยมนั้นคือพุทธศาสนา มันก็จะแยกปัญหาออกได้เป็นอย่างๆไป แล้วก็ไม่มีปัญหาเหลือ พวกนั้นเขาชอบอย่างนั้น เขาได้ประโยชน์จากความๆคิดอย่างนั้น คำพูดอย่างนั้น ก็เอาไปสิ พวกโน้นเขาไปทางโน้น แต่พวกเราชาวพุทธนี่มันอยู่ระหว่างจิต กับวัตถุ ที่จะเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาก็ขอให้ถือความหมายว่ามันอยู่ระหว่างกลางระหว่างจิตกับวัตถุ เป็นความถูกต้องของจิต และวัตถุ จะแก้ปัญหาได้ตามวิธีของพุทธศาสนา ไม่บูชาจิต ไม่บูชาวัตถุ แต่ว่าบูชาความถูกต้องของจิต และวัตถุ ที่จะไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา ที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ไม่ใช่บูชา หลงใหลอะไร ไม่ใช่ ไม่เข้ายึดถือเป็นหลัก อยู่ที่ความถูกต้องของการปฏิบัติต่อทั้งจิต และทั้งวัตถุ เลยเรียกว่าธรรมนิยม ธรรมะ ธรรมะในที่นี้ไม่ๆระบุจิต ไม่ระบุวัตถุ ระบุทั้งหมด ความถูกต้องของทั้งหมด เป็นพุทธศาสนา
เราเอา จะเอารวมมาพูดคราวเดียวไม่ๆมีทางจะทำได้ เพราะว่าพวกหนึ่งเขาให้ความหมายไปอย่างหนึ่ง พวกหนึ่งเขาให้ความหมายไปอย่างหนึ่ง เราจะต้องพูดกันอีกมาก ถ้าเราจะไปพูดกับไอ้ๆๆปรัชญา การเมือง ของโลกปัจจุบันนี้ มันมีอะไรๆที่เข้าใจไม่ตรงกันอีกมาก โดยเฉพาะไอ้คำ ๒ คำนี้ก็เหมือนกัน แล้วเขาจะเหมาให้พวกเราเป็นจิตนิยมนี่ เขาไม่ถูกหรอก เช่นเดียวกับที่ฝรั่งเขาเหมาให้เราเป็นๆๆไม่มีพระเจ้า เป็นพุทธ เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้านี่มันไม่ถูก เพราะว่าพระเจ้าในความหมายอื่นเราก็ยังมี
ไอ้คำว่ามัชฌิมาปฏิปทานี้อย่าๆลืม อย่าลืมเสีย จะๆแก้ปัญหาได้มากที่สุด พุทธศาสนามันจะไม่สุดโต่งไปทางนี้ หรือไม่สุดโต่งไปทางนู้น มันจะอยู่ตรงที่มันถูกต้อง อยู่ตรงกลาง คือใช้ได้ทั้ง ๒ ฝ่ายเสมอ ซึ่งๆลักษณะอย่างนี้ไม่ค่อยมี ไม่ค่อยมีในศาสนาอื่น ในลิทธิอื่น หรือในปรัชญายุคปัจจุบัน เพราะเขามักจะสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง พุทธศาสนานี่มันอยู่ตรงกลางเสมอ ซึ่งมันจะแก้ปัญหาได้รอบด้าน
ถาม : (นาทีที่ 01:06:14 เสียงเบา)
พุทธทาส : ก็ต้องถามเขาดูสิ มันก็เป็นๆคำกลาง เอาเปรียบมาก ไอ้ Human conscious นี่มันเอาๆเปรียบมาก คือมนุษย์จะรู้อย่างไรก็ได้ มนุษย์จะรู้สึกอย่างไรก็ได้ แต่เขาก็ต้องหมายว่าที่ถูกต้อง ที่เป็นประโยชน์นั่นแหละ นั่นมันพูดเป็นวิทยาศาสตร์เกินไป และเป็นวิทยาศาสตร์การเมืองด้วยที่พูดอย่างนั้น ถึงเราก็พูดได้ แม้ว่าพวกโซเวียตเขาจะพูดอย่างนั้น เราก็พูดได้ เพราะว่าไอ้สันทิฏฐิโก มัน Human conscious ที่มันออกมาเอง ปรากฏชัดแก่ตัวเอง ชัดเจน ไม่ผิดแน่ มันเป็น Human conscious สติปัญญาของมนุษย์มองเห็นอยู่เอง มองเห็นได้เอง มันก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ มันก็นั่นแหละคือศาสนาของเขา มันจะอยู่โดยไม่มีศาสนาไม่ได้หรอก ถ้ามันเข้าใจถูกต้องว่าคำว่าศาสนานั้นหมายถึงอะไร ถ้ามันเข้าใจว่าไอ้ Religion มันหมายถึงไอ้สิ่งที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ออกไปเสียจากความทุกข์ ไปสู่ไอ้ภาวะที่ไม่มีทุกข์ นั่นแหละคือ Religion ใครใช้วิธีการใดเพื่ออย่างนั้น คนนั้นก็มีอันนั้นเป็นศาสนา
ถาม : เรามีข้อสังเกตว่าประเทศไทยในขณะนี้ พุทธศาสนาเราที่ให้การเมืองโจมตีได้ รู้สึกว่าระบบเราจะเสีย แต่ว่าถ้าเราไม่มีระบบเราก็คุมมันไม่ได้ แต่ว่าพอระบบเสียแล้ว เหมือนกับค่อยๆ Drop ระบบเสียก็ถูกตีแบะ (นาที่ที่ 01:08:13 เสียงเบา)
พุทธทาส : เราๆช่วยกันทำให้มันชัดเจน และมั่นคง ไอ้ระบบนี่มันก็กำกวม ถ้ามันวางไว้ผิด มันก็ๆไม่มีทางไป ไปไม่รอด มันต้องวางไว้ถูก จัดระบบ วางระบบ ต้องถูก มันเป็นระบบก็เพื่อให้เข้าใจง่าย เพื่อให้เห็นง่าย ศึกษาง่าย ปฏิบัติง่าย ถ้าไม่เป็นระบบมันมองเห็นยาก เข้าใจยาก ปฏิบัติยาก ถ้าเราช่วยกันทำให้มันมีระบบชัดเจนสำหรับคนภายใน วงใน คือพุทธบริษัทของเรา รับเอาพุทธศาสนาไว้อย่างมีประโยชน์ที่สุด ไอ้ความมีระบบนั้นมันจะช่วยให้คนนอกศาสนาเข้าใจพุทธศาสนาของเราได้ง่าย ได้เร็ว แล้วเขาก็รับเอาเอง
ไอ้ความมีระบบนี้แน่นอน จำเป็น แต่ต้องถูกต้อง ต้องวางระบบที่ถูกต้อง เป็นระบบที่ใช้แก้ปัญหาได้จริง ผมเคยพูดคราวหนึ่งว่า มันๆๆเป็นไปไม่หรอกที่ว่าไอ้สิ่งที่มีชิวิตจะไม่มีศาสนานั้นเป็นไปไม่ได้ จะเป็นมด แมลง อะไรก็ได้ มันต้องรู้สึกต่อระบบที่จะช่วยให้มันรอด ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆแล้วไอ้ระบบวิ่งหนีคือศาสนาของมัน เพราะมันเป็นสัตว์ที่ยังเล็กน้อยเกินไป หรือมันวิ่งลงรู รู้จักขุดรูอยู่ นั่นแหละคือระบบของมัน ที่เป็นศาสนาของมัน แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นคน เป็นมนุษย์ เราก็มีระบบอื่นที่ดีกว่านั้น และถ้าหากว่ามันเป็นข้าศึกละเอียดอยู่ในใจเราเอง มันจะทำยังไง มันเป็นระบบที่ประณีต ละเอียดอย่างยิ่ง นั่นคือธรรมะ ธรรมะชั้นสูงสุด ชั้นละเอียดอย่างยิ่ง แก้ปัญหาข้างใน เป็นระบบที่จัดไว้ข้างใน ถ้ามันเป็นเรื่องข้างนอกเราก็แก้ปัญหาด้วยอย่างนั้น อย่างนี้ กินหยูกกินยา ป้องกัน ทำรั้ว ทำรูอะไรอยู่ก็พ้นได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันเป็นเรื่องละเอียดๆขึ้นมาถึงชั้นมนุษย์ แล้วก็เรื่องอยู่ในจิตใจทั้งนั้น แล้วก็ต้องเป็นระบบที่จัดขึ้นภายใน ถูกต้องในภายใน เป็นเรื่องในภายใน แก้ปัญหาได้จริงในภายใน ที่มันเป็นที่รวมแห่งปัญหาทั้งหมดทั้งภายนอก และภายใน
พระพุทธเจ้าท่านก็ๆวางเป็นระบบทั้งนั้น ไอ้ธรรมะทั้งหลายมันเป็นระบบทั้งนั้น แต่เราไม่รู้เอง เดี๋ยวนี้เสียอีกผมคิดว่าพวกเรานักศึกษาเหล่านี้จะต้องทำระบบ ให้ธรรมะเป็นระบบๆ ชัดเจนๆๆ ครบถ้วนทุกปัญหา ไอ้ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์นั้นมันๆไม่ได้จัดระบบ มันได้แต่มาเทกองรวมกันไว้ ก็เลือกกันสิ ก็เลือกไปจัดระบบ เลือกเอาไปจัดระบบ จัดระบบ Systematize มีปัญหาขึ้นมาก่อนๆ แล้วก็จะแก้ปัญหานั้นอย่างไร ผมว่ามันเหมือนกับที่ว่าในโลกนี้มันมีสมุนไพรที่เป็นยาอยู่เต็มไปหมด แล้วมนุษย์ก็ไม่รู้ ต่อมามนุษย์มันค่อยๆรู้ ค่อยๆรู้ มันจึงรู้ว่าสมุนไพรไหนมันจะแก้โรคอะไร แล้วเป็นอยู่กันในหมวดไหน จับเอาทุกๆอย่างในหมวดเดียวกันมาเป็นยาหม้อๆหนึ่ง แก้โรคได้ๆศักดิ์สิทธิ์ นี่ธรรมชาติมันก็บังคับให้เราต้องทำระบบ ต้องจัดระบบอยู่แล้ว แม้ในเรื่องภายนอก เช่น ไอ้ยาแก้ไข้ภายนอก นี่ยาแก้ไข้ภายใน ทางจิต ทางใจก็เหมือนกัน มันต้องมีระบบตรงกับโรค ๆหนึ่ง โรคหนึ่ง ตามชื่อของกิเลสนั้นๆ แล้วก็ตามปัญหาที่มันจะเกิดขึ้น เราจะใช้คำเดิมไม่ได้นะ บางกรณีเราจะใช้คำเดิมๆในพระคัมภีร์ บางคนสมัยนี้เขารับฟังไม่ได้หรอก เช่นว่าเหมือนๆเมื่อตะกี้ที่พูดไปหยกๆว่าเราจะเอาคำว่า ปัญหาของเรา คือความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ เฟื้อยไปนี่เขาๆฟังไม่รู้เรื่อง เราต้องมาบอกเขาว่าปัญหาที่มันเกิดมาจากการเลี้ยงชีพเว้ย ปัญหาที่มันเกิดมาจากทางสังคมกันเว้ย ปัญหาที่มันเกิดจากธรรมชาติเว้ย นี่มันทำระบบแล้ว กี่อันๆมันมาเป็นระบบๆๆ แล้วก็มีธรรมะตรงๆๆกับระบบ ก็จะแก้ปัญหาเหล่านั้น นี่จึงจะทำกับคนในยุคปัจจุบันได้
ช่วยไปทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในมหาวิทยาลัยบ้าง ไอ้ความรู้ชนิดนี้มันยังไม่มี มันจะได้ๆช่วยตัวเราเอง หรือว่าช่วยพุทธศาสนาให้มีประโยชน์ ให้มั่นคงอยู่ในโลก ใช้คำพูดที่เหมาะกับยุคปัจจุบัน เข้าใจได้ทันที อย่าใช้คำที่มันเคยใช้เมื่อยุคโน้น ถิ่นโน้น มันนานแล้ว แต่มันก็คือเอาสิ่งเหล่านั้นมาจัดๆ มาๆจัดระบบใหม่ จัดคำพูดใหม่ ไอ้ธรรมะเดียวกันนั่นแหละมาจัดระบบให้มันมีรสๆ ถูกๆกับรสนิยมของไอ้คนยุคปัจจุบัน เข้าไปดูในครัวเถิด มันจะน่าหัว มันมีสิ่งเหล่านั้นเท่าที่มันมีอยู่ในครัว แต่มันทำแกงออกมาได้ตั้งหลาย ๑๐ อย่าง ไอ้ของเท่านั้นแหละ มีกะปิ เกลือ พริก มีตะไคร้ มันมีเท่านั้นแหละ แต่มันทำไมมันทำแกงออกมาได้ตั้งหลายๆ ๑๐ อย่าง แล้วแปลก และอร่อย นิยมกิน เพราะมันเป็นเรื่องจัดระบบใหม่ ถ้าว่าของหวานมันก็มี ๓ อันนี้แหละ น้ำตาล แป้ง น้ำมัน ไปดูเถิด ขนมๆอะไรก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่กับ ๓ อย่างนี้ น้ำตาล แป้ง น้ำมัน แต่มันปรุงออกมาเป็นรูป โอ๊ย, แปลกประหลาด นับไม่หวาดไม่ไหว คือมันจัดระบบใหม่นี่ น้ำตาลนั้นแหละมันขาดไม่ได้ แล้วแป้งมันก็ขาดไม่ได้ แล้วน้ำมันนั้นจะเป็นน้ำมันเนย น้ำมันมะพร้าวอะไรก็ตาม มันต้องมีส่วนอยู่เสมอ พอๆๆๆฉันของหวานแล้วก็ช่วยสังเกตดูเถิด มันจะไม่เกิน ๓ อันนี้ไปได้ บางทีมันจะมีเพียง ๒ ก็ได้ เพราะว่ามันไม่จำเป็น แต่มันไม่มากไปกว่าไอ้น้ำตาล น้ำมัน แป้ง
เตรียมจัดระบบไว้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในโลกยุคปัจจุบัน นี่พุทธศาสนาจะเด่นขึ้นมาทันที จะมีค่ามากขึ้นมาทันทีสำหรับช่วยโลก ผมพูดแล้วก็ไม่กลัวใครด่า ก็ไม่เท่าไหร่มันจะสูญหายไปหมด มันจะเหลือแต่ระบบสัจจะของธรรมชาติ จะผูกขาด เป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นพราหมณ์ เป็นมันคงๆอยู่ไม่ได้ มนุษย์ในอนาคตมันจะเลิกไอ้การผูกขาดชนิดนี้ แต่มันก็เป็น เดี๋ยวจะเป็นอย่างพวกรัสเซียว่า Human conscious มันจะมา มันจะมาในรูปของวิทยาศาสตร์ เพราะสัจจะของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ในที่สุดเราก็จะมีศาสนาคือ สัจธรรมของธรรมชาติ พุทธ คริสต์ อิสลาม มันจะหายไป ไม่มีใครดึงไว้ได้ เพราะมันตั้งชื่อสมมติ เป็น Authority ขึ้นกับใครมากเกินไป มันไม่เป็นของธรรมชาติ หรือกลางที่สุด แต่เราคงตายก่อน ไม่ได้เห็นๆสภาพอันนี้ แต่ว่าผมเชื่อว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเลิกของมันเอง คำว่า พุทธ คริสต์ อิสลาม มันจะเหลือแต่ว่าไอ้สัจธรรมของธรรมชาติ เมื่อทำอย่างนี้ อันนี้จะเกิดขึ้น เมื่อทำอย่างนี้ อันนี้จะเกิดขึ้น มันจะเหลืออยู่แต่กฎอิทัปปัจจยตา ของเราพุทธศาสนายังอยู่แท้ๆ แต่ในชื่ออื่นๆ ไม่ๆใช่ชื่อว่าพุทธศาสนา มันจะไปอยู่ในชื่อสัจธรรมของธรรมชาติ ก็คือกฎอิทัปปัจจยตานั่นเอง
ถาม : (นาทีที่ 01:17:59 เสียงเบา)
พุทธทาส : เอ้า, มันก็สัจจะเท่านั้นแหละที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ามันไม่เป็นสัจจะ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ใครจะไปเอาไว้อยู่ ใครจะไปดึงไว้ สัจจะมันคงทนอยู่ในตัวมันเอง และสัจจะทั้งหลายต้องเป็นอสังขตะด้วย ต้องไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัยอะไร มันเป็นตัวมันเอง มันจึงอยู่ แล้วก็มีอย่างเดียว คือจริง แล้วก็มีอย่างเดียว จริงหลายอย่างไม่ได้ จริงๆตามกฎอิทัปปัจจยตานี่จะมีจริงอย่างเดียว จะมีพระเจ้ามาช่วยจริง พระเจ้าอย่างอื่นมาช่วยจริงอีกมันไม่ได้ พระเจ้าอิทัปปัจจยตาอย่างเดียวมันพอเสียแล้ว ถึงเราจะไม่พูดว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เป็นพุทธศาสนาอยู่แล้วเพราะว่ากฎอิทัปปัจจยตานี่มันเป็นไอ้สมบัติของพุทธศาสนาอยู่แล้ว ถึงว่าเราจะแยกกัน พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมันไม่ๆถือตามหลักของศาสนา ค้นคว้าตามแบบของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ในที่สุดมันจะพบจุดนี้ จุดอิทัปปัจจยตานี้ ก็มาเข้าคอกพุทธศาสนาเอง เพราะว่ามันๆถูกต้องที่สุดแล้ว พุทธศาสนามันถึงจุดสูงสุด ซึ่งมันจะมีอะไรสูงกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว มันมีหลักเอาวางไว้ชัดเป็นอิทัปปัจจยตา มันเป็นของธรรมชาติแท้ๆ และสมบูรณ์ที่สุด ให้เขาค้นเถิด ค้นไป ค้นมา ค้นไป ค้นมา มันจะมาเข้าคอกๆนี้ คอกพระเจ้าอิทัปปัจจยตานี้ เราพูดไว้ล่วงหน้าว่าเป็นพระเจ้าที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ กฎอิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้าชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ แต่พระเจ้าที่เป็นอย่างบุคคล รู้สึกอย่างบุคคล นักวิทยาศาสตร์เขาปฏิเสธกันตลอดเวลานานมาแล้ว
พระเจ้าสำหรับ Evolution นี้จะอยู่ พระเจ้าสำหรับ Creation นั้นจะตายหมด ไหนๆเขาก็อุปโลกน์ให้ประเทศไทยเราเป็นๆเมืองพุทธ หรือเป็นพุทธมากกว่าใคร เราช่วยทำให้การศึกษาธรรมะในประเทศไทยนี่มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นจริงสมชื่ออย่างนั้น ว่ามันเป็นเมืองพุทธที่รักษาพุทธศาสนาไว้ดีกว่าที่ไหนๆหมด เขาหวังอย่างนั้นแล้วเราก็จะทำให้ได้อย่างนั้น ไม่ให้เขาผิดหวัง
ถาม : (นาทีที่ 01:21:45 เสียงเบา)
พุทธทาส : เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์นี่ ในชั้นแรกที่สุดเราต้องมองว่ามันมีทุกศาสนา ไม่มีแต่ในพุทธศาสนา ในศาสนาไหนก็ตามเถิด พระศาสดาของศาสนานั้นจะต้องถูกประดับประดาด้วยปาฏิหาริย์ทั้งนั้น และมันๆๆไม่มีทางจะด่ากันได้เลย ทีนี้เราจะต้องพูดกับคนสมัยปัจจุบัน เราก็บอกเขาได้ว่าคุณไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะมันเป็นแฟชั่นที่ทุกคนจะต้องมีให้แก่พระศาสดาของตน มันเป็นแฟชั่น คุณอย่าไปสนใจเลยเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ คุณสนใจแต่ว่าพระศาสดานั้นสอนว่าอะไร แล้วถ้าดับทุกข์ได้นั่นแหละคือปาฏิหาริย์ นั่นแหละคือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ในปาฏิหาริย์ที่ประดับประดาที่เนื้อ ที่คน เกิดมาเดินได้ หรือไม่มีพ่อก็เกิดได้อย่างพระเยซู อย่าไปสนใจ ป่วยการ ก็ๆไปสนใจที่ว่าพระศาสดาท่านได้พูดว่าอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้
ขอให้ถือว่ามันเป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณกาล ที่พระสาวกที่จะต้องช่วยกันประดับพระศาสดาของตนด้วยปาฏิหาริย์มากขึ้นๆๆ เพราะพระพุทธเจ้าจะมีปาฏิหาริย์ หรือจะไม่มีปาฏิหาริย์ ท่านก็สอนอย่างนี้แหละ ท่านก็ยังคงสอนอย่างนี้แหละ ดับทุกข์ต้องอย่างนี้ ดับทุกข์ต้องอย่างนี้ ฉะนั้นคุณจะไปเสียเวลาทำไมกับปาฏิหาริย์ มาดูว่าท่านสอนว่าดับทุกข์อย่างนี้ มันดับทุกข์ได้หรือไม่ พอไปทำเข้าดับทุกข์ได้จริง โอ้, นี่คือปาฏิหาริย์แล้วโว้ย ปาฏิหาริย์ชนิดที่ไม่หลอก ปาฏิหาริย์แท้จริง ปาฏิหาริย์ที่ไม่ใช่เป็นเครื่องประดับประดา เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง มีเหมือนกันดูพุทธสุภาษิตที่ว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ดับทุกข์ได้นั่นคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์
ถาม : (นาทีที่ 01:24:33เสียงเบา)
พุทธทาส : ไม่มีในพุทธ ถ้าอย่างนั้นไม่มีในพุทธ ต้องนอกพุทธ ถ้าปาฏิหาริย์แบบนั้นต้องนอกพุทธ ถ้าขึ้นอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วต้องเป็นไสยศาสตร์ ถ้าว่าเป็นพุทธมันต้องดับทุกข์ ดับทุกข์ได้นั่นคือศักดิ์สิทธิ์ ถ้ายังไม่ดับทุกข์ แล้วยังไปเที่ยวงมงายอะไรอยู่ มันยังไม่ใช่พุทธ
ถาม : แล้วในพิธีพุทธาภิเษก
พุทธทาส : เรื่องนี้เราเด็กๆอย่าไปพูด เดี๋ยวคนแก่เขาจะเล่นงานเอา ไม่อยากจะทะเลาะกับคนแก่ ก็ไม่พูด ไม่พูดดีกว่า
ถาม : (นาทีที่ 01:25:31 เสียงเบา)
พุทธทาส: นั่นเพื่อประโยชน์ เพื่อผลประโยชน์ มันคนละเรื่องๆ เดี๋ยวนี้เรามันขึ้นอยู่กับประโยชน์มากเกินไป ไม่ๆๆขึ้นอยู่กับสัจจะ หรือธรรมะ ขึ้นอยู่กับประโยชน์ เอาประโยชน์เป็นสิ่งสูงสุด เขารับกันมานานแล้ว พวกนี้เขาถือสตางค์ สรณัง คัจฉามิ ผมได้ยินมานานแล้ว พวกหนึ่งเขาถือว่า สตางค์ สรณัง คัจฉามิ พวกนี้ก็พุทธัง สรณัง คัจฉามิ พวกโน้นก็สตางค์ สรณัง คัจฉามิ มันก็ไม่ควรจะมาทะเลาะกัน แต่ว่าไอ้พวกที่ว่าถือพุทธะอย่างถูกต้องนี่ช่วยทำให้มันแพร่หลายชัดเจน เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแก่ประชาชน ประชาชนเขาก็จะค่อยลืมหูลืมตาขึ้นมาเอง ถ้าประโยชน์ดับทุกข์ได้ ถ้าวัตถุมันดับทุกข์ได้ เราก็ไม่ต้องมีธรรมะ ในโลกนี้มันก็ไม่ต้องธรรมะ ไม่ต้องมีศาสนา ติดวัตถุกันมาก มันก็ดับทุกข์ได้ อำนาจมันเป็นใหญ่ในโลก มันหมายถึงอำนาจ แต่กิเลสมันไม่ใช่อำนาจ อาวุธ เดี๋ยวนี้ประโยชน์มันมีอำนาจสูงสุด อำนาจของประโยชน์มันดึงคนไปตามแนวนั้นหมด อำนาจ วโส อิสสริยัง โลเก นั่นมันอำนาจของไอ้กิเลส เพราะกิเลสมันขึ้นอยู่กับประโยชน์ มันก็อำนาจของประโยชน์นั่นแหละคือสูงสุด และที่มันรบกันไม่สิ้นสุดในโลกนี้ มันก็เพราะเพื่ออำนาจของประโยชน์
ถาม : (นาทีที่ 01:27:49 เสียงเบา)
พุทธทาส : ก็ดูสิ เห็นชัดๆแหละ มันมาจากการสืบพันธุ์ กามารมณ์คือค่าจ้างให้สืบพันธุ์ ธรรมชาติเป็นผู้จ้างให้สัตว์มีชีวิตทั้งหลายสืบพันธุ์ ไอ้ตัวมนุษย์แท้ๆ มันก็ออกมาจากการสืบพันธุ์ แต่การสืบพันธุ์นี่เจ็บปวด สกปรก และไม่น่าดู มันต้องเอาของค่าจ้างที่หอมหวลมาจ้างมัน ก็คือกามารมณ์ แล้วก็ฝากไว้ที่อวัยวะอันเดียวกันด้วย
ถาม : ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ พระ เณร เราที่ไม่สามารถจะต่อสู้กับๆกระแสลัทธิได้ เรื่องๆเพศ
พุทธทาส : นั่นเราก็ไม่รู้จักแยก ไม่ๆรู้จักแยกกามารมณ์ออกมาจากไอ้การสืบพันธุ์
ถาม : เป็นเรื่องเสียหน้ามาก ที่ปัจจุบันมีพระเป็นโรคประสาทเป็นจำนวนมาก
พุทธทาส : นั่นแหละหมอเขาว่าอย่างนั้น ที่ๆๆโรงพยาบาลเขาว่าพระเป็นโรคประสาทมากกว่าชาวบ้าน ผมรู้จักหมอหลายคน เพราะทนกดดันมากเกินไปจนเป็นโรคประสาท ไอ้สักว่าเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยเท่านั้นหนอ เราไม่ค่อยสนใจ ถ้าเราสนใจประโยคนี้ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้นหนอ ไอ้กามารมณ์จะไม่ครอบงำนักหรอก มันเป็นเพียงความรู้สึกที่ระบบประสาทส่วนนั้นตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ แล้วมันจะวิเศษวิโสอะไรนัก มันจะไม่หลง มันจะไม่ลุ่มหลงในๆกามารมณ์ หรือว่าไอ้รสอร่อยทางอายตนะ เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยสอนกันนี่ ทำไมไม่สอนเรื่องนี้กันให้มากๆ กระโดดไปเรียนเรื่องอื่นๆเสียเยอะแยะหมด เรื่องนี้ไม่สอน
ถาม : ผู้สอนไม่ๆกล้าประกาศสัจจะ เพราะผู้สอนก็ตกอยู่ในอาการนั้น
พุทธทาส : ผู้สอนก็ไม่ๆ
ถาม : ความจริงเป็นอย่างนั้น
พุทธทาส : ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ในสภาพปัจจุบันมันเป็นอย่างนั้น
ถาม : แล้วที่ร้ายที่สุดก็คือ ในบรรดาผู้สอน หรือ Professor ทั้งหลาย พอเสร็จจากการสอนแล้วไปประกอบกามารมณ์เสียเอง
พุทธทาส : นั่นแหละ เขาก็ไป เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อกามารมณ์ ไปเป็นครูสอนเอาเงินเดือนมาไปซื้อกามารมณ์ โลกกำลังเป็นอย่างนี้แหละ แล้วมันไอ้โลกมันก็ตกหนักๆลงไปทุกที หนักลงไปทุกทีในห้วงแห่งปัญหา ในห้วงแห่งความทุกข์ ช่วยกันพูดขึ้นบ้าง พูดให้มันดังมากๆขึ้นไปเข้าหูพวกที่มีสติปัญญา เป็นอาจารย์ เป็น Professor เมืองนอกเมืองนา ว่าไอ้ๆคุณจะพามนุษย์ พาโลกไปทางไหนบ้าง ผมๆก็คิดว่า Professor แก่ๆ ที่เมืองนอกคงเข้าใจได้ เพราะว่าเขามันแก่แล้ว ไม่ๆๆๆตกอยู่ในอำนาจของกามารมณ์เกินไปแล้ว เขาอาจจะฟังถูก (นาทีที่ 01:31:20) ทีนี้ไอ้นัก นิสิต นักศึกษาหนุ่มสาวนี่มันจะไม่เอา Professor ก็ไม่รู้จะทำอะไร มันไม่เอาด้วย
ที่จริงไอ้องค์การสหประชาชาติน่าจะจัดไอ้การศึกษาของโลกเสียใหม่ ในระบบที่ให้รู้ธรรมะ Unesco เขาพิมพ์หนังสือมาเยอะแยะแต่มันไม่ช่วยโลกอะไรเลย ไม่ๆๆพิมพ์ ไม่โฆษณาไอ้เรื่องที่ช่วยมนุษย์ ช่วยโลกได้ มันเป็นส่งเสริม ไอ้ส่งเสริมไอ้ศรษฐกิจ ส่งเสริมอำนาจ กำลังอะไรไปเสียอีก
ปัญหาอันแท้จริงของมนุษย์อยู่ที่ตรงไหน ช่วยกันหน่อย ช่วยกันค้นให้พบ ทำไมไม่มีสันติภาพ เพราะมันๆตก ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ของกามารมณ์ทั้งนั้นว่าจริงๆ กิเลสทั้งหลายมันงอกไปจากกามารมณ์ ยังไงๆ ก็ให้พวกเรารู้กันไว้ก่อน พวกเรากี่คนรู้กันไว้ก่อน มันก็พอจะมีหวังบ้าง ถ้าพวกเราทุกคนก็ไม่รู้ แล้วใครมันจะรู้ แล้วใครมันจะไปรู้ได้ อุตส่าห์เรียนพระพุทธศาสนาให้ถึงตัวพระพุทธศาสนากันเข้าไว้ให้มากๆ จะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส สัตว์เดรัจฉานเขาตกอยู่ในอำนาจของกิเลสน้อยมาก ช่วงเวลาน้อยมาก มนุษย์เราทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี
ถาม : (นาทีที่ 01:33:33 เสียงเบา)
พุทธทาส : ระบบธรรมะๆ ถ้าๆมีระบบธรรมะนี่ยังไม่มีปัญหา ยังอยู่กันได้อีกมากในโลกนี้ ถ้าเรามีธรรมะนะ มันยังอยู่กันได้อีกมาก ไม่ต้องกลัวว่าไอ้พลเมืองมันจะอัดเต็มโลก ที่มันอัดเต็มโลกนี่เพราะมันมีกิเลสมาก มันกินที่มาก ทำงานสนุก ธรรมะนี่ ธรรมะมันช่วยให้เราทำงานสนุก เพราะเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะ พอเราทำงานสนุก เป็นสุขในการทำงาน มันก็ทำได้มากสิ ก็ลองคิดดู มันก็ทำได้มาก ไอ้คนที่มันไม่สนุกในการทำงาน มันๆไม่ทำ แล้วมันทำได้น้อย นี่พวกหนึ่งมันสนุก เพราะมันๆพอใจว่ามันเป็นธรรมะ เป็นหน้าที่ มันก็ทำได้มาก เมื่อทำได้มาก มันก็อย่าเอาไปสนองกิเลสเสียหมดสิ กิน ใช้ เก็บไว้แต่พอดี แต่พอเหมาะ พอดี เดี๋ยวมันก็เหลือแล้ว พอเหลือมันไปช่วยเหลือมนุษย์กัน มันก็อยู่กันสบาย ถ้าใครถือหลักอย่างนี้เท่านั้นแหละ มันสบาย ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ และทำหน้าที่มาก สนุก ผลก็ได้มาก กิน หรือเก็บไว้แต่พอดี ก็มีเหลือ ก็ช่วยกัน ช่วยสิ่งสาธารณะในโลกกันทุกคน โลกก็มีสันติสุข
เดี๋ยวนี้ส่วนมากขี้เกียจ รวยลัด ขโมย ปล้น จี้ โกงๆอย่างมหาศาล โกงอย่างนายธนาคารอย่างนี่โกงอย่างมหาศาล เพราะมันไม่ๆอยากจะทำงาน เพราะมันเหนื่อย ไม่สนุก แล้วคนๆนอกนั้น คนทั่วไป เด็กๆ วัยรุ่น มันก็ไม่อยากทำงาน ปล้น จี้ดีกว่า เรียนลัด ไม่มองหาเงินมาซื้อกามารมณ์ ข่มขืนแล้วฆ่าดีกว่า มันรวยลัด เรียนลัดอย่างนี้ มันจะมีสันติภาพได้อย่างไร ถ้าเขาถือเหมือนเราว่า สนุกในการทำงาน กิน ใช้ก็ไม่หมด แล้วก็เหลือมาเจือจางกัน อยู่กันเป็นสุขหมด นี่ไอ้ๆๆๆอันนี้คือหลักๆธรรมะในๆศาสนา ในพระพุทธศาสนาของเรา ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าทำกันสนุกไปเลย วิริยะ หรืออะไรก็มากันหมดเลย ในการที่จะทำหน้าที่ แล้วก็ โภชเนมัตตัญญุตา กินแต่พอดี หรือจะเก็บก็เก็บแต่พอดี พอเหลือก็บริจาค เป็นทานบริจาค
ถาม : (นาทีที่ 01:36:54 เสียงเบา)
พุทธทาส : เมื่อๆสงฆ์เป็นปึกแผ่น ที่ตั้งของกิเลสมันก็มาก มันๆด้วยเหตุหลายๆอย่าง เห็นได้ง่ายๆคือมันควบคุมกันไม่ไหว เพราะว่าคำว่ามันมากนั้นมันมากด้วยการแห่ หรือเห่อตามๆกันเข้ามา เมื่อเขามีน้อย เขาไม่มีเห่อ แห่ตามๆกันมา มันมีน้อย บวชกันไม่กี่องค์ พอมันตั้งๆตัวได้มันก็ไอ้พวกที่ไม่เอา ไม่ๆจริงมันก็แห่เข้ามาๆ จำนวนมันก็มาก ปริมาณก็มาก แล้วก็ไอ้คนเหล่านั้นก็พาเอาไอ้ต้นเหตุแห่งกิเลสมาทั้งนั้น พอมากเข้ามันก็เลอะ
นี่เป็นกฎธรรมดาทั่วไปที่เราพอจะมองเห็น พอมันมากเข้ามันก็ๆคุมให้เป็นระเบียบไม่ได้ เหมือนกับเมืองไทยกำลังประสบอยู่ พระสงฆ์มากเกินไปจนคุม ควบคุมกันไม่ได้ มันจึงมีเรื่องที่น่าเกลียดมาก ถ้าพระสงฆ์น้อยๆควบคุมกันได้ มันก็ไม่มีเรื่องน่าเกลียดอย่างที่เขาๆๆนินทากันอยู่ ที่ลังกา ที่พม่า เขาคงมีน้อย พระสงฆ์เขามีน้อย ควบคุมกันได้ดีกว่า เรื่องนี้มันจึงมีน้อย ไอ้เรามันมีมากเกินไปจนคุมกันไม่ไหว ผู้ๆควบคุม ผู้บังคับบัญชาเบื่อๆที่จะควบคุม มันจะต้องให้ชาวบ้านควบคุม เพราะว่ามันถ้าชาวบ้านเขาเข้าใจถูกต้องแล้วก็จะทำนอกรีตกันไม่ได้ เพราะชาวบ้านเขารู้ธรรมะ เขาต้องการถูกต้องแล้วก็จะทำนอกรีตกันไม่ได้ เปิดเผยให้ประชาชนนั่นแหละเขารู้ เจ้าของอำนาจอันแท้จริงมันอยู่ที่ประชาชนนั่นแหละ แต่มันก็ยากเหมือนกัน เพราะว่าประชาชนเขาก็แห็นแก่ประโยชน์กันด้วยเหมือนกัน เขาก็สมคบกันเพื่อแสวงหาประโยชน์ เขาก็ไม่ๆฟังไอ้ธรรมะ เขาไปฟังเรื่องที่จะคบคิดกันหาประโยชน์ แต่ถึงอย่างไรก็ดีผมคิดว่ามันจะต้องค่อยๆโน้มเอียงมาในทางถูกต้อง ถ้าประชาชนรู้ธรรมะถูกต้องมากขึ้นๆ มันจะโน้มเอียงมาในทางความถูกต้องมากขึ้น ให้เราอุตส่าห์ช่วยกันเผยแผ่ๆ อย่าท้อถอย
ถาม : (นาทีที่ 01:40:15 เสียงเบา)
พุทธทาส : เงินมันจะเอาไปเก็บ ที่นี่ผมๆบอกกันอยู่บ่อยๆ ขนาดตะโกนบอกกันอยู่บ่อยๆว่าอะไรที่สร้างขึ้นมาแล้วได้ผลไม่คุ้มค่าของเงินที่ลงไป ยมบาลเอาตายนะ บางทีใช้คำ ขออภัยมันหยาบคาย ยมบาลเขกกบาลนะ ถ้าเราทำอะไรลงไปแล้วได้ผลไม่คุ้มค่าของเงินที่ลงไป เราจะต้องไปทะเลาะกับยมบาล มันก็เลยระมัดระวังมากทีเดียวที่จะๆสร้างอะไร จะต้องดูว่านี่มันจะมีทางได้รับประโยชน์กลับมาคุ้มค่ากันไหม ฉะนั้นเราจึงไม่หวังที่จะมีอะไรดีๆ สวยๆงามๆ เอร็ดอร่อย ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาอันนี้แหละ มันไม่คุ้มค่าทุนที่ลงไป
ฉะนั้นเราอย่าไปหลงใหลไอ้ๆๆการกินดีอ ยู่ดี ที่มันไม่มีขอบเขต มันจะไม่ จะเกิดปัญหาไม่คุ้มค่า มีคนเอามานินทากันมาก ที่กรุงเทพฯเขาอาจจะไม่กล้าพูด แต่ถ้ามาบ้านนอกเขาพูดว่าที่พระเป็นอยู่กันเหมือนคฤหบดี เขามีพูดกันมากนะ ในกุฏินั้นมันมีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรอย่างๆกับว่าเป็นคฤหบดี ไม่ใช่เป็นภิกษุ หนังสือพิมพ์อะไรมันๆพูดเกินไปกระทั่งว่า พระมีสเตอริโอ ๖ ลำโพง ฟัง ๖ ลำโพงนี่ไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่ ๒ ลำโพง นี่มันว่าชนิด ๖ ลำโพงฟัง นั่นแหละแต่มันอย่างดีที่สุดนะถ้า ๖ ลำโพง สเตอริโอ ๖ ลำโพง หนังสือพิมพ์ลงทั้งวัน ผมอ่านนี่ เอ๊ะ, ทำไมมันมีแต่ ๖ ลำโพง มันดีสำหรับไว้ฟังเพลง ลำโพงเดียวก็พอแล้วถ้าจะฟังเสียง ห้องรับแขกราคาเป็นแสนๆ ห้องรับแขก (นาทีที่ 01:43:29) ผมเลยเอาอย่างนั้นแหละ ตรงที่นั่งนั้นแหละห้องรับแขก กลัวจะถูกด่า
ถาม : (นาทีที่ 01:43:42 เสียงเบา)
พุทธทาส : โอ้, ปัญหานี้นานแล้ว ผมก็เคยได้รับมานานแล้ว ที่ประชาชนไม่ๆมีอะไรจะกินเพราะเขาขาดธรรมะ ที่มันไม่มีอะไรจะกินนั้นคือมันขาดธรรมะ ถ้าประชาชนมันมีธรรมะตรงตามหลักพุทธศาสนาแล้วไม่มีใครยากจนหรอก เพราะมันทำงานสนุก ฉะนั้นคนที่แก้ว่าให้ๆอิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อนแล้วจึงมาสนใจธรรมะนั้นไม่มีทาง ไม่มีวันที่จะมาพบธรรมะได้ เพราะมันไม่มีธรรมะจนไม่มีอะไรจะกินอยู่แล้ว แล้วธรรมะไหนเขามีทีหลังกัน การทำให้มีอะไรกินนั้นคือตัวธรรมะ มันพูดผิดๆกันอย่างนี้อยู่มากจริงเหมือนกัน แม้ๆพวกคนข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลชั้นสูง มันก็ยังไปถือหลักอย่างนั้น ฉะนั้นเขาจึงไม่สอนธรรมะแก่ประชาชน ไปมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไปเรื่อยท่าเดียว ทีนี้ประชาชนมันก็ไม่มีธรรมะ มันก็โกงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาได้ การพัฒนาเป็นไปไม่ได้เมื่อประชาชนมันคดโกง ไม่มีธรรมะ ให้เงินไปช่วยมันก็เอาไปถลุงเป็นอย่างอื่นหมด ตั้งสหกรณ์มันก็ทำสหโกงกันหมด ไอ้ความคิดของคุณสด กูรมะโรหิต นี่ดีมาก เรื่องสหกรณ์แบบนั้นดีมาก แล้วมันทำไปไม่ได้ มันทำกับประชาชนที่ขาดธรรมะ มันกลายเป็นสหโกงหมดทุกราย ที่นี่ก็เหมือนกัน สหกรณ์ตั้งไม่ได้ ล้มๆๆๆ ช่วยกันโกง ไม่ได้ช่วยกันทำ สมาชิกทุกคนมันช่วยกันโกงแล้วสหกรณ์มันล้ม เพราะไม่มีๆธรรมะ มันไม่มีธรรมะคำเดียวเท่านั้น คำเดียวเท่านั้นมันไม่มีธรรมะ ที่จริงรัฐบาลให้ช่วยเหลือ ให้อะไรมา มันก็เลยเหลวหมด
พรุ่งนี้เขาทำเป็นข้าวห่อให้นะ ใช้ให้มันตรงกับเรื่องสิ ทางโปร(นาทีที่ 01:46:42)เขาๆว่าไปกินข้าวห่อกันที่สวนโมกข์ แล้วก็ไปบ้านดอนเลย ไม่ต้องย้อนมานี่อีก เอาข้าวห่อมากินที่วัดมันก็ไม่ไหวแล้ว แล้วมันไม่ได้ทำสำหรับกินที่วัด ไม่ใช่กินที่บ้าน มันไปกินที่ๆกลางทาง มันยังสงสัยอยู่ว่าจะไปฉันข้าวห่อกันที่ริมทะเล นั่งกินริมน้ำก็สนุกดี แต่ต้องอาศัยน้ำจืดของไอ้ร้านอาหาร เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ไม่รู้ ไอ้น้ำที่จะฉัน ร้านขายอาหารนี่นั่งๆกันได้เป็นสิบๆคน ร้านขายอาหารนั้นเขาใช้เป็นที่เลี้ยงกันอยู่เสมอ อยู่ที่ริมทะเล เราจะไปฉันข้าวห่อ แล้วพอที่จะกินน้ำ ไม่รู้จะกินที่ไหน จะต้องซื้อหรือไม่ก็ไม่ทราบ เป็นร้านอาหาร
แวะดูไอ้เมืองโบราณ สภาพเมืองโบราณ ก่อนมันอยู่ริมทะเลเพราะเขาใช้เรือ ต่อมาก็เลิกใช้เรือ ก็มาอยู่รถไฟ มันก็ทิ้งที่นั่น ใต้ดินที่แถวแหลมโพธิ์ แถวสุดถนนนั่นแหละ มีซากโบราณวัตถุอยู่ใต้ดินเยอะแยะไปหมด เก่าถึง ๑,๐๐๐ กว่าปี มีลูกปัด มีถ้วย ชาม ไห ขวด ขนาดไอ้พวกสมัยซ้อง สมัย ๑,๐๐๐ ปีทั้งนั้น ที่ตรงนั้นมันเป็นที่ๆเคยเจริญด้วยการค้า เราเคยเดา แล้วก็ถูกจริงๆด้วยว่าไอ้ตรงนั้นมันต้องเคยเป็นที่ตลาดนัดของพ่อค้า ฝ่ายเมืองจีนก็มาจากทางโน้น ฝ่ายอินเดีย อาหรับ มันก็ข้ามๆน้ำตะกั่วป่ามาลงแม่น้ำบ้านดอน แล้วมันซื้อขายแลกเปลี่ยนกันที่นั่น หรือบางทีก็ไปตะกั่วป่า ลูกปัดก็ดี เศษกระเบื้องก็ดี อะไรก็ดีที่มันพบกันที่ตรงนี้ กับที่ฝ่ายตะกั่วป่ามันเหมือนกัน แต่ที่นี่มันมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่าไอ้ตลาดนัดของพ่อค้าสมัยซ้อง สมัยศรีวิชัยนั้นมันอยู่ที่นี่ ใต้ดินนี่มีเศษกระเบื้องแตกหักนี่เหลืออยู่มาก เมื่อก่อนนู้นมันมีของดีๆที่ไม่แตกหักก็มีมาก ก็พบมาก ขุดพบไหๆที่ยังที่ดีๆ ใช้การได้มากมาย เอามาใช้กันหมดไปนานแล้ว แล้วก็เรียกชื่อไอ้ๆๆคลองนั้นว่าคลองขุดไหเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังชื่อยังเรียกอยู่ แต่ไม่มีไห มันขุดไปใช้กันเสียหมดก่อนหน้านั้น เวลาน้ำทะเลซัดๆฝั่ง เศษกระเบื้องก็ออกมากระจายเต็ม
ถ้าไปถึงที่นั่นก็จะได้เห็นนั่นแหละ ตรงนั้นแหละเป็นไอ้ เดี๋ยวนี้มันก็เป็นป่าธรรมดา เป็นๆๆป่าละเมาะ มีหญ้า แต่ใต้นั้นมันมีเศษอย่างที่ว่านั้น หลับตาเห็นภาพบ้านเมืองสมัยโน้น แล้วก็วัดอยู่ทางขวามือ ก่อนถึงๆทะเล วัดนิรมิต ๔ เดือนเสร็จ มีอยู่วัดหนึ่ง เขาใช้คนทั่วภาคใต้ระดมกันสร้างวัดนั้น ๔ เดือนเสร็จ สมเด็จพระยาพระคลังฯ ตระกูลบุนนาคที่มี ๒ คน คนหนึ่งกลาโหม คนหนึ่งคลังนี่ คนที่คลังมาสร้างไว้ เขามาทำตรวจราชการทหารภาคใต้แล้วก็มาทำสร้างวัดนี่ ๔ เดือนเสร็จ ไปกราบทูลในหลวงว่ามันช้าบ้าง มันช้าอยู่บ้าง สร้างวัด แต่เรื่องส่วนตัวจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ สร้างเสร็จแล้วก็บังคับเจ้าคณะเมืองรื้ออพยพจากไอ้วัดสะพานจิกไปอยู่วัดที่สร้างใหม่ วัดสะพานจิกก็คือวัดสวนโมกข์เรานั่นแหละ ร้างอยู่สัก ๘๐ ปีเห็นจะได้ จนเรามาทำเป็นสวนโมกข์ เขาไปอยู่วัดสมุหนิมิต ก่อนเจ้าคณะเมืองนั้นอยู่ที่นั่น แล้วก็เรียนบาลี ตามที่เขาเล่าให้ฟัง ครบไพบูลย์ (นาทีที่ 01:51:34) พระคัมภีร์บาลี ตู้ลายทองรดน้ำก็มีอยู่ที่วัดสะพานจิกเก่า ขนไปไว้วัดสมุหนิมิตนี้หมด ระบบเผด็จการก็ทำประโยชน์ได้ ได้รวดเร็วกว่าระบบประชาธิปไตย
ตามกำหนดที่ว่าจะฉันเช้านั้น มันกลายเป็นๆไปฉันข้าวห่อที่โน่นแหละ ๗ โมงนะรายการ เร่งเขาให้มาเร็วที่สุดที่จะเร็วได้ แล้วไปฉันข้าวห่อที่โน่น ไม่สายเกินไป แล้วได้ความรู้อะไรบางอย่างนิดหน่อย ไปดูสวนโมกข์เก่า หนังสือหลายเล่มมันลงมือเขียนที่นั้น ตั้งต้นที่นั่น
เมื่อห้าหกสิบปีที่นี่ยังมีสัตว์ป่า เมื่อผมมา ๓๐ กว่าปีมาแล้วนี่มันก็ยังมีเหลืออยู่ มีกวาง บนภูเขาที่เราไปนั่งกันนี่ ขึ้นไปพบกวาง มันกินลูกมะกอก มีหมูป่าเป็นฝูงๆ นอนอยู่แถวนั้น และมีเสือ เขาเรียกว่าเสือดำ เสือดำนั้นคือเสือดาวนั่นเอง เสือดาวที่มันดำ ประจำวัดอยู่ตัวหนึ่ง ถูกๆเขาดักเอาไปขาย หลายปีแล้ว มันถูกดักเอาไปขายได้ตั้ง ๘,๐๐๐ ขายในเมืองไทย เสือดาวๆชนิดดำ แพง ขายในเมืองไทยนี่ได้ตั้ง ๘,๐๐๐ แล้วเอาไปขึ้นเรือบินไปถึงอเมริกาขายเป็นหมื่นๆ เสือตัวนั้นสงสัยแสดงละครอะไรอยู่ที่โน่น ตอนมันอยู่ในวัดนี้ เมื่อผมมานี่มันยังๆอยู่ อยู่บนภูเขา ไม่ทำร้าย กินแต่สุนัข กินสุนัขเรื่อยๆๆ ๓๐ กว่าตัว จนกว่าจะถูกจับ กินไก่ด้วย กินสุนัขด้วย ก่อนนั้นไปอีกขนาด ๑๐๐ ปี ก็มีฝูงช้าง ในวัดนี้ ในเขตตรงนี้มีฝูงช้าง ช้างป่ามากินอะไรที่ชาวบ้านเขาปลูก เขาปลูกกล้วย อ้อย ช้างป่ามากิน เดี๋ยวนี้พอลองมาดูสภาพอย่างนี้มันๆเข้าใจไม่ได้ ครั้งหนึ่งยังเหมือนที่อยู่ของช้างป่า เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้ ปิดประชุม อย่ามีมากนักเลย ไม่มีโทษ มันไม่มีโทษอะไร เราทำตามธรรมเนียม