แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ.บัดนี้อาตมาภาพ จะได้วิปัสสนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงาม ก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาที่พิเศษปรารภเหตุ คุณโยมบุญเลี่ยม ได้จัดให้มีทักษิณา ให้จัดให้มีการกุศล บำเพ็ญทานเนื่องด้วยวาระที่มีอายุครบ ๖ รอบ นับว่าเป็นโอกาสพิเศษแม้แต่การแสดงธรรม
หัวข้อธรรมเทศนาในวันนี้ ดังที่ได้ยกขึ้นไว้นั้นมีอยู่ว่า อัฐฐิ ปุณหิต ตะริตตะโย ธรรมโม โลเก อนุตตโร มีใจความว่า ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนผ้าประเจียดนั้นมีอยู่ในโลกนี้ เนื่องด้วยการบำเพ็ญกุศลในวันนี้ เป็นการบำเพ็ญกุศล เพื่อความยืนยาวของอายุ เป็นเหตุให้ระลึกนึกถึง นึกถึง สิ่งซึ่งจะอำนวยความสำเร็จประโยชน์ตามความประสงค์นั้น สิ่งที่จะอำนวยให้สำเร็จประโยชน์เช่นนี้มิได้มีสิ่งอื่นนอกจากธรรมะ ซึ่งเป็นเหมือนผ้าประเจียด ดังที่มีเรื่องเล่ากันไว้ในคัมภีร์พิเศษบางแห่งว่า เมื่อเทวดาตนหนึ่งเดือดร้อนเนื่องด้วยจะถึงคราวสิ้นสุดลงแห่งอายุ ได้ดิ้นรนมีประการต่างๆ ให้มีใครจะช่วยให้ความเดือดร้อนนั้นระงับไปได้ ในที่สุดได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระองค์ได้ทรงตรัส ได้ตรัสถึงธรรมะข้อนี้ คือข้อที่ขึ้นด้วยบทว่า อัฐฐิ ปุณหิต ตะริตตะโย ธรรมโม โลเก อนุตตโร อันเป็นที่รู้กันทั่วไป ในหมู่พุทธบริษัทชาวไทยเรา เรื่องที่กล่าวนี้จะเท็จจะจริงอย่างไรไม่สำคัญ คือไม่ต้องเชื่อตามเรื่องนั้นๆ ก็ได้ หากแต่ว่าจะต้องพินิจพิจารณาดูด้วยปัญญาของตนเอง ว่าเรื่องทำนองนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ นี้เป็นกฎเกณฑ์ของพุทธบริษัททั้งหลาย พุทธบริษัททั้งหลายไม่เชื่อตามที่บุคคลอื่นบอก การที่เป็นดังนี้ก็เพราะปฏิบัติตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าที่ว่า อย่าเชื่อตามบุคคลอื่น ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีเช่น กาลามสูตรเป็นต้น ซึ่งมีคำตรัสไว้ว่า อย่าเชื่อด้วยเหตุที่ว่าผู้นี้เป็นครูของเรา หรือ อย่าเชื่อโดยเหตุที่ว่าคำกล่าวนี้มีอยู่ในปิฎก เราควรจะคิดดูให้ดีว่าการที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้ มีความมุ่งหมายอย่างไร อย่าเชื่ออะไรโดยเหตุที่ โดยที่มีเหตุผลแต่เพียงว่า ผู้นี้เป็นครูของเรา นี้ย่อมหมายความว่า แม้พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นครูของเรา แต่เหตุใดพระพุทธองค์จึงตรัสไม่ให้เชื่อ ข้อนี้เป็นหลักของพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นอย่างนั้นเอง เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ได้ตรัสไว้ในทำนองนี้ จนถึงกับมีการถือกันเป็นหลักทั่วไป แม่พระสาลีบุตรก็ยังได้ทรงยืนยันข้อนี้แก่พระพุทธเจ้า ในที่เฉพาะพระพักตร์ว่า ข้าพระพุทธองค์มิได้เชื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าดอก แต่จะเชื่อ ความเห็นแจ้งของตนเองด้วยตนเอง พระพุทธองค์ได้ทรงสาธุ และข้อที่ตรัสว่า อย่าเชื่อเพราะเหตุว่าข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก มีในปิฎก ไม่ได้พูดถึงไตรปิฎก เพราะว่ายังไม่ได้มีการจัดเป็นพระไตรปิฎก จึงได้ตรัสแต่เพียงว่า อย่าเชื่อเพราะเหตุที่ข้อความนี้มีในปิฎก ข้อนี้ก็เหมือนกันกับที่ตรัสว่า อย่าเชื่อแม้แต่พระองค์เองตรัสในทันที จะต้องพิจารณาดูให้เห็นตามที่เป็นจริง เชื่อด้วยสติปัญญาของตน แล้วจึงเชื่อตามที่ตรัสนั้น หรือตามที่มีอยู่ในปิฎกทั้งหลาย เป็นอันว่าอันแรกที่สุด เราจะต้องพินิจพิจารณาดูว่าสิ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะควรเชื่อหรือไม่ ข้อที่กล่าวว่าเทวดาเดือดร้อนด้วยการที่จะต้องสิ้นอายุ แล้วไปทูลขอวิธีที่จะระงับความเดือดร้อนนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสคำกล่าวนี้ จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เพียงไรนั้น เราต้องพิจารณาดู พระพุทธเจ้า ถ้าถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้มีขึ้นจริงๆ คำกล่าวนี้ก็ระบุชัดอยู่ในตัวแล้วว่า ธรรมะ ซึ่งเป็นเหมือนผ้าประเจียด นั้นมีอยู่ในโลกนี้ ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนผ้าประเจียด หมายความว่า ธรรมะซึ่งสามารถจะป้องกันอันตราย แม้กระทั่งความตาย เมื่อพูดว่าสิ่งซึ่งป้องกันความตาย คนก็จะพากันสงสัยว่าจะกันได้อย่างไร สิ่งซึ่งจะป้องกันความตายนั้น มีอยู่ ๒ ความหมาย ความหมายอันหนึ่งก็คือ อย่าให้ตายก่อนอายุขัย นี้หมายความว่าให้อยู่ไปจนถึงที่สุดของอายุขัย เท่าที่จะอยู่ได้เพียงไร นี้ก็อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นการป้องกันโดยสิ้นเชิง คือไม่ให้มีความตายโดยประการทั้งปวง นี้เป็นธรรมะสูงสุด เมื่อเข้าถึงธรรมะสูงสุดนั้นแล้ว คนนั้นจะไม่มีความเกิด ไม่มีความแก่ ไม่มีความตาย เพราะว่าถอนอุปปาทานว่า เรา ว่าตัวเรา หรือของเราเสียได้ ไม่มีตัวเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลตัวตนของเรา หรือของเขาอื่น เมื่อเป็นดังนี้ก็ไม่มีความตาย เป็นผู้อยู่เหนือความตาย พ้นจากความตายโดยสิ้นเชิง ธรรมะ เป็นเครื่องกำจัดเสีย หรือ ป้องกันเสียซึ่งความตาย มีอยู่กัน ๒ ความหมายดังนี้ แต่เหมือนกันตรงที่เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน จะป้องกันความตายชั่ว ชั่วที่จะให้อยู่ไปจนถึงอายุขัยนั้นก็ต้องใช้ธรรมะ จะป้องกันไม่ให้ตายเลยโดยประการทั้งปวง คือกลายเป็นผู้รู้ความไม่ตาย ซึ่งเรียกว่า นิพพาน ไป นี้ก็ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ เพราะฉะนั้น ควรจะได้พิจารณากันถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนี้ว่ามีอะไรบ้าง ว่าจะป้องกันได้อย่างไร อาตมาอยากจะให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้ทราบถึงความหมายของคำว่า ธรรมะ ไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาธรรมะต่อไปข้างหน้า คำว่าธรรมะโดยความหมายทั่วๆ ไปนั้นมีทางที่จะพิจารณาได้ดังนี้ ตามภาษาบาลีคำๆ นี้นับว่าเป็นคำประหลาด พิเศษที่สุด หรือ จะถือว่าประเสริฐที่จะพิเศษ ประหลาดที่สุดในโลกก็ยังได้ เพราะว่าคำว่าธรรมะ คำเดียวสั้นๆ หมายถึงทุกสิ่งไม่ว่าอะไรหมด ใคร ในภาษาไหนมีคำเช่นคำนี้บ้าง คือคำเดียวหมายถึงสิ่งทุกสิ่งไม่ว่าอะไรหมด แต่ในภาษาบาลีนี่มี และเราก็รับเอามาใช้ในภาษาไทยของเราโดยไม่ต้องแปล เรียกว่าธรรมะไปตามเดิม ตามภาษาบาลี เมื่ออยากจะทราบว่าธรรมะได้เล็ง คำว่าธรรมะได้เล็งถึงอะไรแล้ว ก็มีทางที่จะพิจารณาได้ดังนี้
นัยยะอันแรกคำว่าธรรม หรือ ธรรมะ นี้หมายถึงธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งในทางวัดวาของเรามักจะเรียกว่า สภาวธรรม คือธรรมที่เป็นอยู่เอง หรือสิ่งที่เป็นอยู่เอง ถ้าเรียกโดยภาษาชาวบ้าน หรือนักศึกษาอย่างปัจจุบันก็ต้องเรียกว่า ธรรมชาติ นัยยะทีแรกหมายถึงตัวธรรมชาติทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้น จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม หรือความคิด ความนึกอะไรก็ตาม ซึ่งมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลายตามธรรมชาติแล้ว เรียกว่าธรรมชาติทั้งนั้น แต่ภาษาบาลีเรียกว่า ธรรม เฉยๆ
ทีนี้นัยยะที่สอง คือกฎของธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติทั้งหลายย่อมมีกฎอยู่ในตัวมันเอง เช่นสิ่งที่เรียกว่าธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม อา, ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นธรรมชาติ แต่ในสิ่งนั้นๆ มีกฎของธรรมชาติ ว่าจะต้องเป็นอย่างไร เช่นถูกความร้อนเข้าจะเป็นอย่างไร ถูกความเย็นเข้าจะเป็นอย่างไร หรือว่าสังขารร่างกายของเรานี้ ของสัตว์ทั้งหลายก็ตาม แม้ที่สุดแต่ต้นไม้ซึ่งเป็นของธรรมชาติก็ตาม ย่อมมีกฎเกณฑ์อยู่ในสิ่งนั้นๆ ว่าร่างกายนี้จะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ ต้นไม้ ภูเขา ก้อนอิฐ ก้อนหิน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีกฎเกณฑ์ ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนที่เป็นกฎเกณฑ์นี้เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ แต่กฎธรรมชาติชนิดนี้ในภาษาบาลีก็คงเรียกเพียงสั้นๆ ว่าธรรม หรือธรรมะเฉยๆ อีกอย่างเดียวกัน หรือที่เรามักจะเรียกกันภาษาวัดวาอารามนี้ว่า สัจธรรม เมื่อเราเรียกว่า สภาวธรรม เราหมายถึงตัวธรรมชาติ เมื่อเราเรียกว่า สัจธรรม เราหมายถึงกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ส่วนนัยยะที่สามนั้น หมายถึงหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาติ อย่างนี้เราเรียกว่า ปฏิบัติติธรรม แต่ภาษาบาลีก็คงเรียกว่าธรรมหรือธรรมะเฉยๆ อยู่นั่นเอง มนุษย์เกิดมามีกฎเกณฑ์ของธรรมชาติครอบงำอยู่ มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้นๆ นับตั้งแต่หน้าที่ที่จะแสวงหาอาหารให้มีชีวิตเป็นอยู่ ตลอดถึงหน้าที่ต่างๆ ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อสัตว์ ต่อบุคคล ที่มาเกี่ยวข้องด้วย จนกระทั่งถึงหน้าที่สูงสุด คือกระทำตนให้พ้นจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง แม้ที่สุดแก่การปฏิบัติเพื่อให้ลุถึงพระนิพพาน ก็ยังเรียกว่าหน้าที่ของมนุษย์อยู่นั่นเอง และหน้าที่ทั้งหมดนี้ล้วนแต่จะต้องอนุโลมให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ จะฝืนกฎของธรรมชาติไม่ได้ การที่มนุษย์มีความทุกข์ ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ การที่มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องเอาชนะความทุกข์ให้ได้จึงต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติด้วย แม้ว่าจะเป็นไปในทำนองตรงกันข้าม ดังนั้นขึ้นชื่อว่าหน้าที่แล้วจะต้องอนุโลมตามกฎของธรรมชาติทั้งนั้น
ดังนั้นเป็นอันว่า คำว่า ธรรม หรือ ธรรมะ เพียงคำเดียวนี้หมายถึงของสามอย่างโดยสมบูรณ์ คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง กฎของธรรมชาตินั้นอีกอย่างหนึ่ง หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎธรรมชาตินั้นอีกอย่างหนึ่ง ท่านสาธุชนทั้งหลายพิจารณาดูเองก็แล้วกัน เพราะคำๆ นี้เป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์สักเท่าไร เพราะว่าได้รวมสิ่งทุกสิ่งไว้ในคำเพียงคำเดียว อย่าง เอ่อ, คือที่ที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเราจะดู จะศึกษาดูถึงตำราอันว่าด้วยถ้อยคำ แม้ที่มีอยู่ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลโน้น คำว่า ธรรมะ นี้เขาก็แปลกันว่าหน้าที่ หรืออีกอย่างหนึ่งก็ว่าถ้าไม่เอาศาสนาเป็นเกณฑ์ เอาเพียงภาษาพูดโดยทั่วๆ ไปเป็นเกณฑ์ ถามว่าธรรมะคืออะไร ในปทานุกรมเก่าๆ เหล่านั้นก็แปลคำ ธรรมะว่าหน้าที่ ข้อนี้ทำให้เราเห็นได้ว่าในบรรดาคำแปลหรือความหมายของคำว่า ธรรมะ ทั้งสามอย่างนั้นคำแปลอย่างสุดท้ายคือที่แปลว่าหน้าที่ นั้นสำคัญกว่าคำแปลทั้งหลาย เพราะเหตุว่าเราจะรอดจากความทุกข์ เอาชนะความทุกข์ได้ก็เพราะการทำตามหน้าที่ให้ถูกกฎของธรรมชาติ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องรู้เรื่องของธรรมชาติ จะต้องรู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วย เราจึงจะสามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ แล้วเอาชนะทุกข์ได้ เมื่อเป็นดังนี้จะเห็นได้ทันทีว่าถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง ก็หมายความว่าเรามีความรู้เรื่องธรรมชาติและเรื่องกฎเกณฑ์ของธรรมชาติไปด้วยในตัวโดยไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างเช่น เรารู้จักทำมาหากิน ประกอบอาชีพให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี อย่าได้เข้าใจว่าเรามีความรู้เพียงหน้าที่อันนี้ ในความรู้อันนั้นมันมีความรู้เรื่องธรรมชาติรวมอยู่ด้วย มันมีความรู้เรื่องกฎของธรรมชาติรวมอยู่ด้วย แต่ความรู้หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัตินั้นเป็นส่วนสำคัญ เราจึงเพ่งเล็งกันแต่ความรู้เรื่องหน้าที่ หรือทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน อย่างนี้ใช้ได้ในกรณีอย่างโลกๆ ทั่วๆ ไป แต่ถ้าในกรณีที่เกี่ยวกับความทุกข์ หรือความดับทุกข์ในขั้นสูงสุดแล้วจะต้องสนใจเรื่องตัวธรรมชาติ และเรื่องตัวกฎเกณฑ์ของธรรมชาติให้มากเป็นพิเศษ ดังนั้น เราจึงได้ศึกษาเรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ หรืออะไรทำนองนี้ซึ่งเป็นตัวธรรมชาติกันอย่างลเอียดลออ แล้วก็ศึกษาเรื่องกฎของธรรมชาติ เช่นเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กันอย่างละเอียดลออ แล้วจึงศึกษาเรื่องการปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ตามกฎธรรมชาตินั้นๆ เช่น เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น กันอย่างละเอียดลออ เราจึงสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ตามลำดับ จนกระทั่งบรรลุถึงธรรมะสูงสุดคือนิพพาน ดังนี้ นี่แหละจะเห็นได้ว่า คำว่าธรรมะคำเดียว เป็นคำที่ประหลาดมหัศจรรย์อย่างไร และจะเป็นสิ่งที่มีอานุภาพอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถปะทะความตาย เป็นเหมือนผ้าประเจียดต่อสู้กับมัจจุราชทั้งหลายได้อย่างไร ก็จะได้คิดดูกันต่อไป คนเราถ้าไม่ทำหน้าที่ที่เรียกว่าธรรมะแล้วจะต้องตายเช่น ไม่หาอาหารกินก็จะต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์มนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน การที่ไม่ทำมาหากินเป็นการไม่ปฏิบัติธรรมะอย่างยิ่ง หรือเป็นการปฏิบัติผิดธรรมะอย่างยิ่ง ในเมื่อธรรมะแปลว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติผู้ที่ไม่ทำมาหากินจึงต้องตาย นี้เรียกว่าไม่มีธรรมะจึงต้องตาย แต่ถ้ามีธรรมะเข้ามาคือทำหน้าที่ของตนให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้วไซร้เขาก็ไม่ต้องตาย นี้เรียกว่าธรรมะเป็นเหมือนผ้าประเจียดสามารถปะทะกับความตาย ยังบุคคลนั้นให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ดังนี้
ทีนี้การประพฤติทางธรรมะจรรยาทั่วๆ ไปที่เกี่ยวกับสังคมก็เหมือนกันอีก เป็นหน้าที่ที่แต่ละคนจะต้องประพฤติจะต้องปฏิบัติ เมื่อไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติก็คือไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะก็เหมือนไม่มีผ้าประเจียดสำหรับปะทะกับความตายเขาจึงต้องตาย บางทีก็ตายโดยร่างกาย บางทีก็ตายด้วยคุณความดีคือ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ที่จะเป็นความดีสำหรับจะเป็นมนุษย์อีกต่อไป นี้ก็เรียกว่าความตาย รวมความแล้วก็ว่าขาดธรรมะแล้วก็จะต้องตายแม้ในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าคนเรามีธรรมะในความหมายที่ว่าเป็นหน้าที่ตามธรรมชาติแล้ว คนนั้นก็ยากที่จะมีโรคภัยไข้เจ็บ หรือยากที่จะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งที่เรียกว่าโรคภัยไข้เจ็บนั้น เมื่อกล่าวโดยทั่วๆ ไปแล้ว ย่อมพอที่จะกล่าวได้ว่ามีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน คือโรคทางกายและโรคทางวิญญาณ โรคทางกายนั้นเหมือนกับความเจ็บไข้ทางกายทั่วๆ ไปนี้อย่างหนึ่งหรือความเจ็บที่เนื่องด้วยโรคเกี่ยวกับจิตที่เราต้องไปส่งโรงพยาบาลโรคจิตนี้อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๒ อย่างนี้จะรวมเรียกว่าโรคทางกาย หรือถ้าไม่อยากเรียกรวมกันก็แบ่งออกเป็น ๓ อย่างก็ได้ คือเป็นโรคทางกายอย่างหนึ่ง โรคทางจิตอย่างหนึ่ง โรคทางวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง โรคทางกายไปรักษาที่โรงพยาบาลตามปกติ โรคทางจิตไปโรงพยาบาลโรคจิต ส่วนโรคทางวิญญาณนั้นต้องไปโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า โรคทางวิญญาณหมายความว่า ร่างกายก็สบายดี จิตใจก็ปกติดี มีอนามัยแข็งแรงดี มีทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียงพอตัว แต่แล้วก็ยังต้องน้ำตาไหลอยู่บ่อยๆ มันมีความทุกข์ทรมานบางอย่างบางประการอยู่บ่อยๆ ส่วนนี้เรียกว่าโรคทางวิญญาณ ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากธรรมะ ทีนี้เรามาคิดกันดูใหม่สำหรับโรคที่เรียกกันว่าโรคทางกายหรือโรคทางจิตนั้น ก็มีมูลมาจากการขาด ธรรมะ ด้วยเหมือนกัน แล้วจะหายได้ก็ด้วยการมี ธรรมะ ยิ่งกว่าการกินหยูก กินยาโดยแน่นอน คือว่าคนเราจะเจ็บป่วยอะไรขึ้นมาก็เนื่องจากการทำผิดหน้าที่ตามธรรมชาติ ยกตัวอย่าง ตั้งต้นตั้งแต่เพราะไม่ระวังจึงได้มีความเจ็บป่วยเป็นบาดเป็นแผล อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นนี้เรียกว่าขาดสติสัมปชัญญะ ก็ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว เรียกว่าขาด ธรรมะซึ่งเป็นสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องมี ทีนี้คนเรายังมีโรคอื่นอีกหลายอย่าง นับตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมากๆ เช่น โรคประสาท โรคความดันโลหิตสูง แม้โรคเบาหวาน โรคกระเพาะอาหาร เขามักจะคิดกันเสียว่านั่นมันเป็นโรค แล้วก็จะต้องรักษาตามวิธีของการรักษาโรค เขาลืมไปเสียว่า อาการชนิดนั้นเกิดขึ้นมาเพราะขาดธรรมะ คนเราเป็นโรคกระเพาะอาหารเพราะขาดธรรมะ ข้อนี้ไม่ได้หมาย ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ไม่ระมัดระวังอาหารการกิน แต่ข้อนี้หมายความว่าคนโดยมากเมื่อขาดธรรมะแล้วมีจิตใจเศร้าหมอง มีจิตใจวิตกกังวล วิตกกังวลด้วยความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวตนหรือของตนมากเกินไป นอนหลับไม่สนิทกระทั่งนอนไม่หลับ กระทั่งอยู่ด้วยความวิตกกังวลเป็นการทนทรมาน ความวิตกกังวลนี้นอนหลับยาก แล้วเมื่อเป็นไปมากเข้าๆ ก็มีผลทางร่างกายทำให้เกิดโรคนับตั้งแต่ โรคกระเพราะอาหาร เป็นต้นไป เพราะว่าความวิตกกังวลนั้นทำให้เสียโลหิตที่หล่อเลี้ยงร่างกายไปเป็นอันมาก ไปทำลายกันเสียมากมายที่ส่วนสมอง ส่วนกระเพาะที่จะย่อยอาหารก็ขาดแคลน นานเข้ากระเพาะอาหารก็ผิดปกติ คนเราก็เป็นโรคกระเพาะอาหารชนิดที่รักษาได้แสนยากเหลือที่จะรักษาได้โดยง่าย จนหมดศรัทธาจนตายไปก็มี นี้ไม่ใช่โรคทางกายล้วนๆ พิจารณาดูจะเห็นได้ว่าเพราะขาดธรรมะ เพราะอาศัยโรคทางวิญญาณเป็นต้นเหตุเราจึงเป็นโรคทางกาย เช่นโรคกระเพาะอาหาร หรือว่า เพราะการวิตกกังวลนั้นได้ทำให้เราวิกลจริตต้องไปส่งพยาบาลโรคจิต หรือโรค โรงพยาบาลประสาทก็ตาม นี้มันก็ไม่ใช่เรื่องกายล้วนๆมันเป็นเรื่องของโรคทางวิญญาณที่ทำให้เกิดอาการชนิดนั้นขึ้นมา ต้องวิกลจริต ต้องไปโรงพยาบาลประสาทอย่างซ้ำๆ ซากๆ ไม่มีวันหาย ก็เพราะว่าต้นเหตุอันแท้จริงไม่ได้รักษา คือไม่ได้รักษาโรคทางวิญญาณให้เป็นคนหยุดความวิตกกังวลเสียได้ ดังนั้นจะรักษาโรคประสาทหรือโรคความดันโลหิตสูงกันสักเท่าไรๆ มันก็ไม่มีทางจะหายได้ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รักษาโรคทางวิญญาณที่มีธรรมะเป็นเครื่องกำจัดความวิตกกังวลเสียได้ ไม่ต้องกินยาอะไรโรคภายนอกเหล่านั้นก็หายไปเองอย่างนี้ นี้เรียกว่าโรคทั้งหลายมีมูลมาจากโรคทางวิญญาณ คือขาดธรรมะนั่นเอง การ การแก้ไขโรคในทางวิญญาณนั้นเป็นหน้าที่ มนุษย์ละเลยหน้าที่จึงต้องได้รับโทษคือความทุกข์หรือความตาย แต่ถ้าไม่ละเลยหน้าที่คือมีธรรมะในส่วนนี้แล้วก็ไม่เป็นโรคและไม่ตาย
จะพิจารณากันสักเท่าไรๆ ก็จะพบได้ว่าโรคทั้งหลายเกิดมาจากการที่มนุษย์ทำผิดหน้าที่ตามธรรมชาติทั้งนั้น ไม่ว่าโรคอะไร แม้ที่สุดจะทำมีดบาดมือ ให้เป็นแผลเจ็บปวดขึ้นมาก็เพราะว่าทำผิดหน้าที่ที่จะต้องมีสติสัมปชัญญะดังที่กล่าวแล้ว นับตั้งแต่โรคอย่างต่ำที่สุดขึ้นไปอย่างนี้จนถึงโรคอย่างสูงที่สุด ล้วนแต่เป็นความทำผิดเพราะไม่มีสติสัมปชัญญะบ้าง เพราะความเข้าใจผิดอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง เพราะความไม่รู้สิ่งที่ควรรู้ซะเลยโดยประการทั้งปวงบ้าง นี้เรียกว่าเป็นโรคทางวิญญาณทั้งนั้น ถ้าเราเอาใจใส่ให้มากที่สุดในหน้าที่ของตนในส่วนนี้ คือมีธรรมะในส่วนนี้แล้ว คนเราก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยยากที่สุด และเมื่อคนเราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วก็จะหายได้โดยง่ายที่สุด เดี๋ยวนี้เรามีความเจ็บความไข้ แล้วเราก็ไม่รู้จะรักษาอย่างไร ไม่รู้จะกำจัดโรคนั้นออกไปได้โดยวิธีใด เพราะไม่รู้ธรรมะ เพราะไม่รู้หน้าที่ หารู้ไม่ว่า โรคภัยทั้งหลายเกิดมาจากความวิตกกังวล แล้วก็ไม่ได้กำจัดความวิตกกังวล กลัวเป็นโรคกระเพาะอาหารเพราะมีความวิตกกังวลเป็นต้นเหตุ แต่แล้วก็ไม่สนใจที่จะรักษาโรคกระเพาะอาหารด้วยการทำลายความวิตกกังวล กลับไปสร้างความวิตกกังวลในด้านกิจการ การงาน การเงิน การอะไรต่างๆ ให้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง มันก็ไม่มีทางจะหายได้ โรคทั้งหลายมีมูลมาจาก ความไม่เป็นปรกติของส่วนประกอบของร่างกาย ซึ่งเป็นธรรมชาติ และเป็นไปตามกฎธรรมชาติทั้งนั้น ไม่ว่าโรคอะไร เพราะนั้นถ้าผู้ใด ได้เข้าถึงความจริงข้อนี้ มีธรรมะกันจริงๆ ในข้อนี้แล้วก็ยากที่จะเจ็บไข้ หรือยากที่จะตายได้ นี่แหละคือ ข้อที่ธรรมะเป็นเหมือนผ้าประเจียดที่จะปะทะมัจจุราชทั้งหลายไว้ไม่ให้ครอบงำบุคคลนั้น นี้เรียกกันว่าปะทะมัจจุราชในด้านที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ
ทีนี้จะพิจารณากันถึงความตายที่จะมา มีมาโดยทางสังคม เช่น จะถูกเขาฆ่าตาย การจะถูกเขาฆ่าตายนั้นลองคิดดูเถิดว่ามีมูลมาจากอะไร ถ้าไม่ใช่จากการขาดธรรมะ เพราะว่าการขาดธรรมะนั้นทำให้เป็นผู้ประพฤติอย่างสะเพร่า จนเกิดเรื่องเกิดราวถูกเขาฆ่าตาย หรือการขาดธรรมะนั้นทำให้เป็นคนเจ้าโทสะ ไปทะเลาะวิวาท หรือถูกเขาฆ่าตาย หรือว่าการจะขาดธรรมะนั้นสร้างเวร สร้างภัยด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ข่มเหงผู้อื่น เพราะขาดธรรมะนั้นจะทำให้ถูกเขาฆ่าตาย ก็ยังมีอีกมากมาย หลายอย่างหลายประการ นับตั้งแต่เป็นคนไม่กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้มีพระคุณ ก็ยังเป็นเหตุให้คนสาปแช่ง กระทำผิดเรื่อยไปจนถูกคนใดคนหนึ่งฆ่าตาย แม้แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ เองก็ยังจะกัดบุคคลชนิดนี้โดยไม่ต้องสงสัย นี้เรียกว่าเพราะขาดธรรมะ จึงเปิดโอกาสแห่งความตายอันจะมีมา จากทางสังคมด้วยเหตุนี้ มีธรรมะเป็นผู้ประพฤติดี ประพฤติถูกต้องตามหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติแล้ว ก็ยากที่จะตายได้ เพราะเหตุฉะนั้นแหละจึงสมกับข้อที่กล่าวไว้ในเรื่องนี้ว่า ผู้ประกอบไปด้วยธรรมะไม่มีการตายอันมิใช่กาละ คือไม่ยัง คือ ยังไม่ถึงอายุขัยนั่นเอง นี้เรียกว่าความตายโดยทั่วๆ ไปตามธรรมดา พวกที่เขามีธรรมะ เป็นหลักประกันย่อมมีความเชื่อมั่นในใจว่าจะอยู่ไปจนถึงที่สุดแห่งอายุขัย สุดเหตุ สุดปัจจัยของสังขารด้วยกันทั้งนั้น เป็นอันว่าธรรมะ คือ หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้น เป็นเหมือนธรรม เป็นเหมือนผ้าประเจียดที่จะปะทะอันตราย คือมัจจุราชโดยตรงได้ คำว่าผ้าประเจียดในที่นี้อาตมา หมายถึงเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ที่บุคคลมีแล้วจะป้องกันตัวให้ปราศจากอันตราย แม้แต่ความตาย ดังที่บุคคลเขาใส่ผ้าประเจียดแล้วก็ทำการต่อสู้กัน เพื่อจะเอาชัยชนะ ด้วยหวังว่าผ้าประเจียดนั้นจะเป็นเครื่องคุ้มครอง แต่นั้นเป็นเรื่องของเด็กอมมือ ผ้าประเจียดชนิดนั้นยังไม่ยึดถือเป็นสาระอะไรได้มากมายนัก แต่ผ้าประเจียด คือ ธรรมะนี้คุ้มได้จริงๆ นี้เรียกว่าคุ้มความตาย ตามความหมายตามธรรมดาได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ทีนี้ก็ยังเหลือแต่ส่วนสูงสุด คือจะทำให้ไม่มีความตายโดยประการทั้งปวงเสียเลย ซึ่งเป็นธรรมะชั้นสูง ซึ่งเราจะต้องศึกษากันต่อไป ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ของสัตว์ทั้งหลายนั้น เกิดมีขึ้นมาเพราะอำนาจอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน การกล่าวอย่างนี้ท่านจะหมายเอาอย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น คือจะหมายเอาว่าถ้ามี อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน แล้วเราก็ต้องเวียนว่าย ตายเกิดในวัฏสงสาร มีความตายไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อดับอวิชชา ตัณหา อุปปาทานแล้ว คนเราก็บรรลุนิพพาน ไม่มีการเวียนว่ายในวัฏสงสารอีกต่อไป อย่างนี้ก็ได้ แต่อาตมาอยากจะขอร้องให้ท่านสาธุชนทั้งหลายสนใจไปในอีกแง่หนึ่ง มุมหนึ่งซึ่งน่าสนใจกว่า นี้ก็คือข้อที่ว่า ถ้าเรายังมีอวิชชา มีความหลง ยึดมั่นถือมั่น สังขารร่างกายนี้ว่าเป็นตัวตน หรือเป็นของๆ ตนอยู่แล้ว ความตายก็จะมีปัญหา จะทรมานจิตใจของเราอยู่ทุกเวลานาทีทีเดียว แต่ถ้าเราเพิกถอนความยึดมั่นถือมั่น สิ่งต่างๆ โดยความเป็นตัวเรา หรือของเราแล้ว ความตายก็เป็นของน่าหัวเราะเยาะอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีความหมายอันใดมากไปกว่านั้น ท่านทั้งหลายลองไปทำโดยประการที่ความตายจะกลายเป็นของเด็กเล่น น่าหัวเราะเยาะอย่างหนึ่งดูบ้างเถิด จักได้รับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเป็นเหมือนผ้าประเจียดได้ถึงที่สุดทีเดียว ทำอย่างไร จึงจะเป็นอย่างนั้นได้ นี้ก็ต้องอาศัยสติปัญญาพิจารณาของตนเองเป็นหลักอีกเหมือนกัน จะเชื่องมงายตามบุคคลอื่นไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนี้ไม่สำเร็จด้วยความเชื่อ ไม่สำเร็จด้วยพิธีรีตอง แต่สำเร็จด้วยปัญญาอันแท้จริง มาศึกษาให้รู้ ให้เห็นตามที่เป็นจริงว่า เราประกอบขึ้นมาด้วยอวิชชาทีไร จิตใจนี้ก็มีตัวตน มีของตนขึ้นมา และมีความทุกข์ทุกที ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าสิ่งที่เรียกว่ากิเลส หรือความทุกข์นี้ ไม่ใช่เกิดอยู่เป็นพื้นฐาน สิ่งที่เรียกว่ากิเลสหรือความทุกข์นี้เพิ่งเกิดเป็นครั้งคราว พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ประภัสสะระมีทัง พุทธเว จิตตัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจิตนี้ประภัสสร อาคันตุเกหิ อุปปกิเลเตหิ อุปปกิลิถัง แปลว่า จิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา กิเลสเป็นอาคันตุกะเข้ามา หมายความว่ากิเลสนี้มิได้มีอยู่เป็นพื้นฐานในฐานะเป็นเจ้าของบ้านประจำสังขารทั้งหลายอยู่เป็นปกติ แต่ว่าเพิ่งจะเกิดมีมาอย่างอาคันตุกะ หรือแขก มาเป็นครั้งคราว รู้ได้ด้วยบาลีที่เป็นหลักสำคัญเช่น บาลีปฏิจจสมุปบาท เป็นต้นว่า เมื่อใด ตาได้กระทบรูป หูได้กระทบเสียง เป็นต้น เป็นผัสสะขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นจึงจะมีสิ่งที่เรียกว่า เวทนา คือเป็นรู้สึก เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เมื่อมีเวทนาแล้วจึงจะมีตัณหา คือ ความอยากอย่างนั้น อย่างนี้ไปตามเวทนานั้น เมื่อมีตัณหาแล้ว จึงจะมีอุปปาทาน คือความยึดมั่น สำคัญมั่นหมายว่าสิ่งนั้นเป็นเรา สิ่งนั้นเป็นของเรา เมื่อมีความยึด สำคัญมั่นหมายโดยความเป็นเราแล้ว ก็เรียกว่ามีตัวเรา ตัณหา และอุปปาทานนี่แหละ คือ กิเลสโดยสมบูรณ์ และตัวเราก็เพิ่งมีกันตอนนี้เอง จึงเรียกว่ามีภพ มีชาติกันตอนนี้เอง เมื่อยังไม่มีอาการอย่างที่กล่าวนี้ เรียกว่าไม่มีภพ ไม่มีชาติที่แท้จริง มีแต่ภพ แต่ชาติตามที่ปากตลาดเขาว่ากัน เช่นว่า พอเกิดมาจากท้องมารดาแล้วก็มีภพ มีชาติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าเมื่อมีผัสสะแล้วมีเวทนา มีเวทนาแล้วมีตัณหา มีตัณหาแล้วมีอุปปาทาน มีอุปปาทานแล้วมีภพ มีภพแล้วมีชาติ ทุกคราวที่มีการกระทบทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ๖ อย่างนี้แล้วมีเวทนา มี ตัณหา อุปปาทาน นั้นเรียกว่ามีกิเลส มีภพ มีชาติ มีตัวเราเกิดขึ้น ถ้าจิตไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนี้มันก็มีค่าเท่ากับไม่มี กิเลสก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี มีแต่สักว่าร่างกาย จิตใจตามธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราแล้วมันก็ไม่มีความหมายเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นเมื่อใดเรามีความโง่ ความหลง เกิดขึ้นมาเป็นพักๆ ว่ามีตัวเรา มีของเรา เมื่อนั้นแหละจึงจะเรียกว่ามีตัวเรา มีกิเลส มีตัณหา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้ทำให้เรากล่าวได้ว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ก็มิได้มีอยู่ตลอดเวลา สิ่งว่า สิ่งที่เรียกว่าตัวเรามีอยู่เป็นคราวๆ เป็นพักๆ ตามที่อุปปาทานเกิดขึ้นว่าตัวเรา ส่วนนอกนั้นมันก็มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ไปตามสภาวธรรม เป็นธรรมชาติล้วนๆ แต่เมื่อใดมีการกระทบ แล้วเผลอสติ แล้วเกิดอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน รู้สึกเป็นตัวกู ของกูขึ้นมาคราวหนึ่งๆ นั้นแหละเรียกว่ามีตัวเราเกิดขึ้นมาคราวหนึ่ง ดังนั้นจึงถือว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวเรานี้มิได้มีอยู่ตลอดกาล มีอยู่แต่เมื่อมีอุปปาทานเกิดขึ้น ทีนี้ กิเลส ตัณหา อุปปาทาน นั้นก็เหมือนกัน มิได้มีอยู่ตลอดกาล แต่มีเฉพาะต่อเมื่อมีอารมณ์มากระทบทางตาเป็นต้น แล้วเผลอสติจึงจะเกิดขึ้น ถ้าเป็นผู้ไม่เผลอสติ เพราะได้ฟังธรรมะของพระอริยเจ้า เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่เป็นประจำแล้ว กิเลสตัณหาก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ แม้ว่าวันหนึ่งจะได้กระทบผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมากมายสักเท่าไร สักกี่ครั้ง ก็ไม่อาจจะเกิด ตัณหา อุปปาทาน ซึ่งเป็นกิเลสนั้นได้ เรียกว่าเราอยู่ด้วยความสงบสุขเป็นพื้นฐาน มีจิตว่างจากกิเลสเป็นประภัสสรอยู่เป็นพื้นฐาน เป็นที่ควรชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเพราะปราศจากโรคทางวิญญาณ ไม่เป็นทางให้เกิดโรคทางกาย หรือทางจิต นี่แหละเรียกว่าเราสามารถที่จะกำจัดโรคทางวิญญาณให้หายไป ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราเกิดขึ้นมาทั้งวัน ทั้งคืนแล้ว ความตายจะมีมาแต่ไหน คือว่าความคิดนึกถึงความตายในฐานะเป็นปัญหานั้นจะไม่มี เราจะมีแต่จิตชนิดหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสติปัญญา หัวเราะเยาะความตายได้อยู่เสมอ ความตายเป็นของเด็กเล่น น่าหัวเราะเยาะอยู่เสมอ นี้เรียกว่าความตายไม่มี ด้วยเหตุที่เรามีธรรมะเหมือนผ้าประเจียดคาดอยู่ที่หน้าผากของเราอยู่เป็นประจำ คือมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ในความรู้เรื่องธรรมชาติ หรือ สภาวธรรม ในความรู้เรื่องกฎของธรรมชาติ คือ สัจธรรม และในความรู้ตามหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติตามธรรมชาติ อันเรียกว่าปฏิบัติติธรรม ธรรมะทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นผ้าประเจียดยิ่งกว่าผ้าประเจียด จึงปะทะความตายได้ ไม่ให้ความตายมีเข้ามาแม้แต่ขณะจิตเดียว ความตายกระเด็นถอยออกไปไม่มีมาปรากฏ แม้จะนึกถึงความตายก็นึกไปในอีกทางหนึ่งคือ เห็นเป็นของน่าหัวเราะเยาะ ไม่มีความหมาย ไม่มีอำนาจ ไม่มีน้ำหนักแต่ประการใด ไม่เหมือนกับคนที่มีกิเลส ตัณหา อุปปาทานนึกถึงโลกหน้าขึ้นมาแล้วก็หวั่นไหว เต็มไปด้วยความทุกข์ นึกถึงความตายขึ้นมาทีไรก็เต็มไปด้วยตัณหา เต็มไปด้วยความทุกข์ มีความกระสับกระส่าย วุ่นวาย ทุกข์ร้อนในใจ เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความตาย เพราะไม่มีความรู้ที่จะปะทะกันกับความตาย ไม่มีความรู้ที่จะหัวเราะเยาะความตาย คือไม่มี ผ้าประเจียด กล่าวคือธรรมะ คาดไว้ที่ศรีษะนั่นเอง
เมื่อใด เป็นผู้มีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องตัวเรา ของเราที่เกิดขึ้นมาเป็นประจำวัน เพราะอำนาจเผลอสติ มีตัณหา อุปปาทาน เมื่อนั้นก็จะเป็นผู้ที่มิได้มีอยู่ มิได้มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ เหมือนกับมิได้มีตัวอยู่ ความตายจึงไม่ครอบงำบุคคลผู้นั้นได้ สมตามพระพุทธภาษิตที่พระ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า สุญญโต โลกังอเวตขัติ สุโมภะราชะ ปะทาชะโต ดูก่อนโมคราช ( นาทีที่ 47.09น ) ท่านจงมีสติ มองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเถิด เอวัง โลกัง อเวททั่นตัง มัจจุราทา นะปัสสติ เมื่อท่านมองดูโลกอยู่ในลักษณะนี้ มัจจุราชก็จะตามหาท่านไม่พบ ข้อนี้หมายความว่า เมื่อเราเห็นโลก หรือ สิ่งทั้งปวงโดยความเป็นของว่างอยู่แล้ว ความตายก็ไม่มีที่ตั้งที่อาศัย มันจึงไม่มี ที่ว่าเห็นโลกโดยความเป็นของว่างนี้หมายความว่า เห็นสิ่งทั้งปวง เพราะคำว่าโลกในที่นี้หมายถึงสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงในที่นี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เราจะรู้สึกมันได้ทางตา สิ่งที่เราจะรู้สึกมันได้ทางหู สิ่งที่เราจะรู้สึกมันได้ทางจมูก สิ่งที่เราจะรู้สึกมันได้ทางลิ้น และสิ่งที่เราจะรู้สึกมันได้ด้วยการสัมผัสทางผิวกาย และสิ่งที่เราจะรู้สึกมันได้ด้วยจิตใจ รวมเป็น ๖ ประการด้วยกันนี้เรียกว่า โลก เมื่อใด เรามองเห็นสิ่งทั้ง ๖ ประการนี้โดยความเป็นของว่าง คือไม่มีสาระอะไรที่จะยึดมั่น หมายมั่นว่าเป็นของเราดังนี้แล้ว เรียกว่าเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของ โดยความเป็นของว่างดังนี้แล้ว จิตก็ไม่ได้เข้าไปยึดมั่นอยู่ที่สิ่งใด ไม่ได้สำคัญมั่นหมายสิ่งใดว่าเป็นของเรา เลยเป็นจิตว่าง จิตว่างจากอุปปาทานเช่นนี้ความตายไม่มี เพราะความตายไม่มีที่ตั้ง ที่อาศัย ความตายจะต้องตั้งอาศัยอยู่ที่ตัวเรา หรือชาติที่ถือว่าเป็นตัวเรา เดี๋ยวนี้สิ่งที่เรียกว่าชาติ หรือตัวเรานั้นมิได้มี เพราะเราไม่สำคัญผิดด้วยอวิชชาอีกต่อไป สิ่งที่เรียกว่าตัวเราหรือชาติ ความเกิดของเรานั้นเป็นมายา เกิดมาจากอวิชชา ความไม่รู้และความเข้าใจผิด ถ้ามีความรู้ถูกซะแล้ว ความคิดอย่างนั้นจะไม่มี คือ ความคิดว่ามีตัวเรานั้นจะไม่มี จะเห็นแต่ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ตามที่เป็นธรรมชาติ ตามที่เป็นกฎธรรมชาติ ตามที่เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีส่วนใดที่จะสำคัญผิดไปว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของๆ เรา นี้เรียกว่าเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตใจไม่ทุกข์เลย สติปัญญากลับสมบูรณ์ ทำอะไรๆ ก็ทำได้ดี จำอะไรก็จำเก่ง ทำการงานไม่ผิดพลาด ได้รับผลมาเท่าไรก็ไม่ยึดถือเอาเป็นของตน ปล่อยให้เป็นของธรรมชาติ นี้เรียกว่าเขาทำงานตามธรรมชาติ ทำงานเพื่องานไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน ไม่ได้ทำงานเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง เขาจึงไม่มีความทุกข์ แต่แล้วสิ่งที่เป็นผลงานเหล่านั้นก็ไม่ไปไหนเสีย คงมีอยู่ในการจัดการทำของบุคคลนั้นเอง แม้ว่าเขาจะไม่ยึดถือว่านี่เป็นของเรา แต่ก็ไม่มีใครมาแย่งชิงเอาไปได้ เพราะเหตุที่มีกฎหมาย มีขนบธรรมเนียมประเพณีคุ้มครองอยู่ แล้วแม้ว่าจะมีใครมาแย่งชิงเอาไปได้ เขาก็จะมีแต่หัวเราะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น จึงไม่มีอะไรที่จะทำให้เป็นทุกข์ได้อีกต่อไป นี้เรียกว่าแม้ว่าเราจะไม่มีความยึดถือในสิ่งใด เราก็ยังคงทำอะไรได้ เราก็ ก็ยังคงหาทรัพย์สมบัติได้ เราก็ยังคงใช้จ่ายทรัพย์สมบัติได้ เราก็ยังคงทำประโยชน์แก่บุคคลผู้อื่นให้มีความสุขมีความสบายอยู่ด้วยกันได้ทั่วกันทั้งโลกดังนี้ นี้คือหน้าที่สูงสุดที่มนุษย์จะต้องเข้าให้ถึงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าเข้าถึงธรรมะอันสูงสุดนั่นเอง ทำให้คนผู้เข้าถึงธรรมะชนิดนี้ไม่มีความทุกข์เลย ถ้าใครไม่ประสงค์จะมีธรรมะชนิดนี้ก็จงสมัครทนทุกข์ไปตามเดิม เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความทรมานใจ เป็นโรคทางกาย เป็นโรคทางจิต เป็นโรคทางวิญญาณ ไม่รู้จักเสื่อมซาได้ แล้วก็ไม่ต้องโทษใคร โทษตนเอง ที่ไม่มีธรรมะเหมือนผ้าประเจียด ก็ เป็นการสมกันดีแล้ว แต่ว่าพุทธบริษัทจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ มันเสียเกียรติของพุทธบริษัท มันเป็นที่อับอายขายหน้าเหลือประมาณทีเดียว พุทธบริษัทจะต้องมีลักษณะเป็นผู้สะอาด เป็นผู้สว่าง เป็นผู้สงบเย็น
เป็น ผู้สะอาด คือมีความบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีสิ่งที่ใครๆ จะตำหนิได้ ไม่มีสิ่งที่ตนเองก็จะตำหนิติเตียนตนเองได้ ไม่มีสิ่งที่แม้แต่เทวดาที่มีหู มีตาเป็นทิพย์ ก็ไม่อาจจะติเตียนบุคคลนั้นได้ นี้เรียกว่าเขาเป็นคนสะอาด
ที่ว่าเขาเป็น คนสว่าง นั้นก็เพราะว่าเขาเป็นผู้มีความรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้โดยครบถ้วนสมบูรณ์จริงๆ โดยเฉพาะก็รู้เรื่องธรรม หรือ ธรรมะ รู้ว่าธรรมชาติเป็นอย่างไร รู้ว่ากฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นอย่างไร รู้ว่าหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร หรือถ้ากล่าวอีกอย่างหนึ่ง เขาก็มีความรู้โดยสมบูรณ์ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดความทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทไม่เหลือของความทุกข์เป็นอย่างไร และทางให้ถึงดับ ให้ถึงความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างไร อย่างนี้ก็ได้ หรือแม้ที่สุดแต่จะกล่าวว่า เขารู้ว่าความตายคืออะไร เหตุให้มีความตายนั้นคืออะไร ความไม่มีแห่งความตายนั้นเป็นอย่างไร ทางปฏิบัติให้ลุถึงความไม่มีแห่งความตายนั้นเป็นอย่างไร ดังนี้ก็ได้ เหล่านี้ล้วนแต่เรียกว่าเขามี ความสว่าง เขาเป็น คนสว่าง
ส่วนที่ว่าเป็นคนสงบเย็นนั้น เขามีความสงบ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อน กิเลสก็ไม่แผดเผาเขาให้เดือดร้อนได้ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็กลายเป็นของน่าหัวเราะเยาะไปสำหรับบุคคลนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแก่เขา เขาจึงเป็นผู้มีความสงบ
เขาเป็นผู้มีความสะอาด เขาเป็นผู้มีความสว่าง เขาเป็นผู้มีความสงบ ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๓ ประการนี้ เรียกว่าเป็นพุทธบริษัทเต็มตัว สามารถที่จะท้าทาย หัวเราะเยาะมัจจุราชได้ ความตายกลายเป็นสิ่งที่หนีเตลิดเปิดเปิงกระเจิงไป ไม่เข้ามารอเฉพาะหน้าบุคคลผู้มีธรรมะเป็นผ้าประเจียด ดังนี้ นี้เรียกว่าสามารถขจัดความตายออกไปเสียได้ โดยไม่มีส่วนเหลือแม้ในเวลานี้ แม้ในปัจจุบันนี้และตลอดกาลโดยประการทั้งปวง หมายความว่าเมื่อบรรลุถึงธรรมะขั้นสูงสุดในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้แล้ว ต่อแต่นี้ไปก็ไม่มีปัญหาเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป เพราะสิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้นถูกดับหายไปหมดแล้ว คือ อัตตวาทุปาทาน ที่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราหรือเป็นของเรานั้น ได้ถูกทำให้หมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีทางที่จะรู้สึกแม้แต่เพียงว่าเป็นตัวเราหรือของเรา จึงไม่มีทางที่จะพลุ่งพล่านขึ้นมาเป็นตัวกู หรือของกู ซึ่งเราเห็นกันอยู่โดยมาก นี้เรียกว่าไม่มีตัวสำหรับจะให้เป็นที่ตั้ง อาศัยของความเกิด ความแก่ ความเจ็บความตายอีกต่อไป เบญจขันธ์ หรือ ร่างกาย กับ จิตใจนี้เป็นเบญจขันธ์บริสุทธิ์ สะอาด ไม่เป็นที่ตั้งแห่งตัณหา อุปปาทาน ไม่มีความคิดว่าตัวเรา หรือของเราเข้ามาครอบงำเบญจขันธ์หรือร่างกาย จิตใจชนิดนี้ได้อีกต่อไป จึงเป็นร่างกาย จิตใจหรือเป็นเบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เช่นนี้ อยู่เหนือความตายเช่นนี้แล้ว จะมีปัญหาอะไรอันเกี่ยวกับความตายนั้น ไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องต่ออายุอีกต่อไป เพราะว่าเป็นผู้อยู่เหนือความตายโดยประการทั้งปวง นี้เรียกว่าธรรมะที่เป็นเหมือนผ้าประเจียดในอันดับสูงสุดนั้นมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ จึงควรที่พุทธบริษัททั้งหลายจะมีความสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ซึ่งเป็นเหมือนผ้าประเจียดสำหรับปะทะกับความตายอันมีอยู่หลายชั้นหลายลำดับดังที่กล่าวมาแล้ว ให้เป็นที่เข้าใจ แล้วก็เอาชนะสิ่งที่เรียกว่าความตายให้ได้ขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับๆ จนกระทั่งถึงลำดับสุดท้าย คือ หมดตัณหา อุปปาทานไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งแห่งความตาย ไม่มีทั้งความเกิด ไม่มีทั้งความตาย และมิได้มีทั้งความอยู่ด้วย ฟังดูให้ดีก็มีทางที่จะเข้าใจได้ ถ้ายังมีอุปปาทานว่าตัวเรา ก็มีความอยู่ของตัวเรา มีความเกิดของตัวเรา มีความตายของตัวเรา ถ้าไม่มีอุปปาทานว่าตัวเรา ก็ไม่มีความอยู่ของตัวเรา ไม่มีความเกิดของตัวเรา ไม่มีความตายของตัวเรา จิตใจชนิดนี้แหละเป็นสุขที่สุด สงบเย็นที่สุด สะอาดที่สุด สว่างไสวที่สุด เราจึงควรมีจิตใจชนิดนี้อยู่ ดีกว่าที่จะมีจิตใจชนิดที่ตกต่ำ อยู่ภายใต้ความครอบงำของความเกิด ความตายดังที่กล่าวแล้ว
ดังนั้นการที่พระพุทธองค์ หรือ ใครๆ ก็ตามจะกล่าวว่า ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนผ้าประเจียดนั้นมีอยู่ในโลกนี้ นี้ช่างเป็นการถูกต้อง ไม่มีทางที่จะใคร ไม่มีทางที่ใครจะคัดค้านได้เลย หวังว่าท่านทั้งหลายควรจะได้สนใจให้เป็นพิเศษ ให้สมกับความปรารถนาของคุณโยมบุญเลี่ยม ที่ได้บำเพ็ญกุศลในโอกาสอันสำคัญ คือ ล่วงกาลผ่านวัยมาถึง ๗๒ ฤดูฝนเช่นนี้ เรียกว่าอย่างน้อย ก็เป็นผู้ที่เยาะเย้ยความตายโดยทางร่างกายมาได้หลายครั้งหลายหนแล้ว เหลืออยู่แต่จะเยาะเย้ยความตายต่อไปข้างหน้าอีกเท่าไรนั้น มันขึ้นอยู่แก่ มันขึ้นอยู่กับการที่ว่าจะแขวนผ้าประเจียดของพระพุทธเจ้าไว้ได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้นเอง และหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันสนับสนุนให้ความประสงค์อันนี้เป็นไปในทางที่จะได้สำเร็จได้โดยมาก มากขึ้น โดยที่ทุกคน ทุกคนพยายามจะสวมผ้าประเจียดอันนี้ด้วยกันทั้งนั้น โดยมีคุณโยมบุญเลี่ยมเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นผู้นำที่ดี สิ่งทั้งหลายก็จะเป็นไปในทางที่พระพุทธเจ้าทรงพระประสงค์ คือธรรมะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายได้ทั้งโลกนี้ และทั้งโลกหน้าและทั้งอยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวง คือในภาวะที่ไม่มีความตายมาครอบงำได้อีกต่อไป ขอให้ความหวังอันนี้จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จด้วยอำนาจที่เราทั้งหลายมีความเชื่อ มีความเลื่อมใสในพระรัตนะไตรมิเสื่อมคลาย ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ยะถา วะรีวะหาปุรา ปะริปุเรนติ สาคะรัง
เอวะ เมวะ อิโตทินนัง เปรตานัง อุปปะกาปะติ
อิทธิตัง ปะถิตัง ตุมหัง อิปปะเมวะ สิปปะมิชชะตุ
สัพเพ ปุเรนตุ สังกัปปา จันโทปัณณระโส
ยะถามณีโช ติสระโสยะถา สัพพีตีโย วิวัฒชันตุ
สัพพะโรโก วินัชชตุ มาเต ภะวัตวันตะราโย
สุขขีทีฆายุโก ภะวะอภิวา ธะนะสีลีสนิจจัง
วุฒาปัจจายิโน จัตตาโร ธรรมาวัฒทันติ อายุวัณโณ สุขขังพลังฯ