แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายนี้เป็นการบรรยายต่อจากการบรรยายสองครั้งที่แล้วมา แต่ก็จะขอเชื่อมความให้เนื่องกันมาถึงผู้ที่ยังไม่เคยฟังด้วย มิฉะนั้นก็คงจะฟังไม่ถูกก็ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเชื่อมความมาถึงผู้ที่ยังไม่เคยฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้มีหัวข้อเรื่องว่าประมวลแห่งพรหมจรรย์ ประมวลแห่งพรหมจรรย์ ต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าพรหมจรรย์กันหน่อยหนึ่ง เพราะภาษาชาวบ้าน ภาษาทั่วๆ ไป ภาษาชาวบ้านแล้วมันกำกวม พรหมจรรย์มันมีความหมายไปในเรื่องทางเพศ ระหว่างเพศ รักษาพรหมจรรย์อะไรกันอย่างนั้นเป็นเรื่องทางเพศ แต่ถ้าว่าทางธรรมะพรหมจรรย์เป็นเรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องของนิพพาน เป็นเรื่องของพระนิพพาน ฟังดูก็น่าหัว อันหนึ่งเป็นเรื่องทางเพศ อันหนึ่งเป็นเรื่องทางพระนิพพาน จะเอากันยังไงก็คิดดูสิ เอาละก็จะได้ตั้งใจไว้ว่าจะพูดไปตั้งแต่ พูดต่อไปตั้งแต่ต้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ความมันเชื่อมกัน พรหมจรรย์มีหัวข้อสิบหัวข้อนี้เป็นคำที่พูดกันมาแต่เก่าแก่หรือเก่าก่อน จะเป็นอรรถคาถาทั่วๆ ไป ในอรรถคาถาเช่นคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นต้น แต่แล้วก็พ้องกันหมดกับคำของพระพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ของพระพุทธ พุทธบุคคลทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่าพรหมจรรย์ เรียกว่าพรหมจรรย์ โดยใจความก็คือการประพฤติอันประเสริฐ อันประเสริฐ อันประเสริฐในที่นี้ก็หมายถึงดับทุกข์ได้ นำไปสู่พระนิพพาน จนกล่าวได้เป็นหลักว่าพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ นิพพานปริโยสานา พระนิพพานมีที่สิ้นสุด พระนิพพานเป็นที่สิ้นสุดของพรหมจรรย์ หรือพรหมจรรย์มีที่สิ้นสุดคือพระนิพพาน แต่ถ้าไม่เคยฟังมาเสียเลยก็คงจะฟังไม่ถูกว่าพรหมจรรย์คืออะไร พระนิพพานคืออะไร เราก็ต้องจำเป็นที่จะต้องพูดกันใหม่ ไล่เป็นหัวข้อหัวข้อไปจนได้ความทั้งสิบหัวข้อ หัวข้อโดยสังเขปแล้วก็ให้คำอธิบายเพิ่มเติมให้เพียงพอ ก็พอจะเข้าใจได้จะได้รู้เรื่องคำว่าพรหมจรรย์ แต่ในที่นี้ต้องการจะพูดให้เป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นคำพูดที่ดาษดื่น หรือดกดื่น จนกลายเป็นคำพังเพยไปแล้ว จนจะกลายเป็นคำพังเพยไปแล้วในสิบข้อนี้ ในสิบข้อนี้ เป็นคำพูดติดปากสำหรับนักปฏิบัติธรรมะทั่วไป ผู้ปฏิบัติธรรมะทั่วไป พูดกันติดปากซึ่งเหมือนกับเป็นคำพังเพย ถ้าจะพูดกันให้มันโดยคาดคะเนก็เป็นธรรมะลีลาของคัมภีร์วิสุทธิมรรคก็ได้ ธรรมะลีลา ธรรมะลีลาคือลีลาของพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค แต่ว่ามันก็ต้องของอรรถคาถาทั้งหลายทั้งปวงเป็นคำของพระพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวว่าเป็นคำของพุทธาทิบัณฑิต เป็นคำของบัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นประธาน ที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ตัวหนังสือแท้ๆ ก็แปลว่าการประพฤติอย่างประเสริฐ พรหม พรหมนี่แปลว่าประเสริฐ จรรย์แปลว่าประพฤติ พรหมจรรย์แปลว่าการประพฤติอย่างประเสริฐ ไม่ใช่พรหมจรรย์ในความเด็กๆ เพียงว่าพรหมจรรย์คือเรื่องทางเพศ นี่คำว่าพรหมจรรย์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศนั้นเราไม่ได้ประสงค์ในที่นี้ ประสงค์เป็นการปฏิบัติหรือข้อปฏิบัติอันสูงสุด นำไปสู่ผลอันสูงสุดคือพระนิพพาน จนกล่าวได้ว่าพระนิพพานมีจุดจบ ดีเป็นพรหมจรรย์อันสมบูรณ์ สิบข้อสิบหัวข้อเรียกว่าประมวล ประมวล แห่งพรหมจรรย์ ก็หมายความว่าบรรดาสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้ก็จะประมวลได้เป็นสิบหัวข้อ เป็นหลักธรรมะ ครอบคลุมธรรมะทั้งหมด เอ้าใครจะบอกว่าธรรมะมี ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ก็ได้ตามใจ แต่เราก็จะบอกว่ามันถูกครอบคลุมไว้ด้วยธรรมะที่เป็นหัวข้อสิบประการ ไอ้การฟังธรรมะสิบประการที่เป็นหัวข้อนี่ขอให้ได้ใจความเสียก่อน แล้วก็พยายามที่จะทำความเข้าใจ ไม่ใช่จำแต่เพียงตัวหนังสือไว้ ให้เข้าใจถึงความจริงที่มันมีอยู่อย่างลึกซึ้ง ต้องใช้คำว่าอย่างลึกซึ้ง มันเป็นคำพูดที่แยบคายที่สุดลึกซึ้งที่สุด มีความหมายดีที่สุด สิบข้อนี้ก็คือ ข้อ ๑ ฉน.ทมูลกา พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นเหตุมูล มูลเหตุ เหตุมูล มูลกาแปลว่ามูลเหตุหรือเหตุมูล พรหมจรรย์นี้มีฉันทะคือความพอใจ พอใจเป็นเหตุมูล มนสิการสัมภวา พรหมจรรย์นี้มีมนสิการเป็นแดนเกิด คือมีการกระทำอยู่ในใจ กระทำอยู่ในใจ กระทำไว้ในใจนี่เป็นแดนเกิด เป็นแผ่นดินที่เกิด ผัสสะสมุทยา มีผัสสะเป็นสมุทัย สมุทัยนี่เหตุให้เกิด เหตุให้เกิด มีผัสสะ ผัสสะคือการกระทบทางอายตนะ นี่เป็นเหตุให้เกิด เวทนา สโมสรนา พรหมจรรย์นี้มีเวทนาเป็นสโมสรเป็นที่ประชุม เป็นที่ประชุม มีเวทนานานาชนิด เวทนาทุกอย่างทุกประการเป็นที่ประชุม เป็นที่ประชุมรวม สมาธิปมุขา พรหมจรรย์นี้มีสมาธิเป็นประมุข เป็นประมุข คือหัวหน้า หัวโจก ที่จะบันดาลความสำเร็จประโยชน์ต่างๆ ได้ สตาธิปไตยา พรหมจรรย์นี้มีสติเป็นอธิบดี เป็นอธิบดี ถ้าท่านเข้าใจคำว่าสติ ท่านก็จะได้เข้าใจได้ว่าสตินี่เป็นเครื่องบันดาลความสำเร็จต่างๆ ของกิจการ จึงว่าพรหมจรรย์นี้มีสติเป็นอธิบดี ปัญโยตรา หรือปัญยุตรา ปัญญาอุตรา คำเดียวกันน่ะ แต่ว่าปัญญาอุตราก็ได้ ปัญโยติอุตราก็ได้ ปัญยุตอุตราก็ได้ พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้เป็นสิ่งสูงสุด เป็นตัวพรหมจรรย์ในความหมายหนึ่ง วิมุติศาลา พรหมจรรย์นี้มีวิมุติคือความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงเป็นแก่นสาร เป็นสาระ เป็นแก่นสาร นี้บรรดาสิ่งที่เป็นแก่นเป็นสารกันแล้วไม่มีอะไรจะเป็นแก่นสารยิ่งไปกว่าสิ่งที่เรียกว่าวิมุต วิมุตคือความหลุดพ้นจากความทุกข์ อมโตคทา พรหมจรรย์นี้มีที่หยั่งลงคืออมตะ หรือมีอมตะเป็นที่หยั่งลง มีอมตะเป็นที่หยั่งลง มีความลึกซึ้งถึงอมตะ คือความไม่ตาย เอาความไม่ตายเป็นที่หยั่งลง ฟังดูให้ดีๆ จะเข้าใจได้หรือไม่ได้ อมโตคทามีอมตะคือความไม่ตาย เป็นที่หยั่งลงไปถึงลึก พูดคำว่าหยาบสกปรกก็ก้นบึ้ง ถึงก้นบึ้ง ก้นบึ้ง ไม่มีอะไรลึกอีกต่อไปแล้ว พรหมจรรย์นี้หยั่งลงสู่อมตะ นิพพานปริโยสานา พรหมจรรย์นี้มีนิพพานเป็นปริโยสาน มีนิพพานเป็นปริโยสาน นี่คงจะ บางคนเขาคงจะงงเพราะยังไม่รู้ว่าอะไรยังจับต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ได้ แต่ก็จำเป็นที่อาตมาจะต้องพูดไปตามลำดับ แล้ววันนี้ก็เป็นการบรรยายสำหรับหัวข้อที่ ๒ หัวข้อที่ ๑ได้พูดไปแล้ว มาถึงหัวข้อที่ ๒ ว่า มนสิการสัมภวา ที่จะพูดให้เข้าใจเนื่องกันหน่อยไม่ติดขัดแย้งเกินไป มนสิการสัมภวา ต่อจากว่า ฉน.ทมูลกา มีฉันทะเป็นมูลเหตุคือต้องการจะบอกให้ทราบว่าฉันทะคือความพอใจนั้นน่ะ เป็นเหตุให้สิ่งต่างๆ เป็นไป อะไรบ้างที่ไม่เป็นไปตามอำนาจของฉันทะคือความพอใจ คุณมาที่นี่ทำไม ก็เพราะมันมีความพอใจในการที่จะมาที่นี่ คุณจะไปที่ไหนต่อไปก็เพราะมีความพอใจในการจะไปที่นั่น คุณจะทำอะไร จะได้อะไร จะมีอะไร ซึ่งก็ล้วนแต่ความพอใจ ทั้งจักรวาลนี้โลกนี้ กี่โลก กี่โลก กี่โลก ต่อให้โลกก็เทวดาด้วย ต่อให้โลกเทวดาด้วย พรหมโลกด้วยก็ได้ ก็มีฉันทะนั่นน่ะเป็นมูลเหตุเกิดความพอใจ มีความพอใจทำให้เกิดการเคลื่อนไหว ที่จะไปสู่จุดหมายที่มันพอใจ เอ้ามีอะไรที่นอกไปจากฉันทะ ที่ไม่ถูกครอบคลุมอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่าฉันทะ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ทั้งฆราวาส ทั้งบรรพชิต มันก็ล้วนแต่มีความพอใจ พอใจอย่างเด็กอมมือก็คือพอใจ พอใจอย่างเด็กโตแล้ว พอใจอย่างคนหนุ่มสาว พอใจอย่างคฤหัสถ์ พอใจอย่างบรรพชิต พอใจอย่างนักบวช มันก็อยู่ที่พอใจ อยู่ที่พอใจ ก็เรียกว่าฉันทะ ขอท้าให้ไปค้นหาตรงไหนบ้างมันเว้นจากฉันทะ ในฟ้าบนจักรวาลพื้นที่ที่ไหนสักปรมานูเดียวที่มันเว้นจากฉันทะมันไม่มี มันมีครอบคลุมอยู่ด้วยฉันทะ ฉันทะ ฉันทะ ไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่างโน้น แล้วแต่มันจะมีฉันทะกันในอะไร มีความพอใจกันในอะไร ฉน.ทมูลกา รู้จักไอ้สิ่งที่มันครอบคลุมสิ่งทั้งปวงเสียให้ถูกต้อง ว่ามันคือสิ่งที่เรียกว่าฉันทะความพอใจ สุนัขตัวนี้ก็พอใจมีฉันทะ คนก็พอใจที่มีฉันทะ แม้แต่ว่าต้นไม้ต้นไร่นี่มันก็มีความพอใจ บางคนอาจจะหาว่าพูดผิดๆ พูดโง่ๆ ว่าต้นไม้ก็มีความพอใจ ต้นไม้นี่แหละเมื่อได้รับการแวดล้อมเกี่ยวข้องดีแล้วมันก็มีความพอใจ คือมีความเจริญงอกงามอยู่ด้วยความพอใจ ต้นไม้ก็ยังมีเป็นชนิดตัวผู้และตัวเมีย มีความพอใจตามรูปแบบของต้นไม้ นี่มันเป็นความพอใจครอบงำในชีวิตทุกชีวิต ใช้คำว่าชีวิตทุกชีวิตยังไม่พออีก เอ้าจะตอบให้ไหมตอบให้ว่าแม้ไม่มีชีวิตมันก็มีลักษณะแห่งความพอใจ ตามแบบของสิ่งที่ไม่มีชีวิต นี่เอาเป็นว่ามันทุกชีวิตแล้วมันก็มีความพอใจ เมื่อพอใจแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันก็เคลื่อนไหว เคลื่อนไหว ไปทุกอย่าง ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ด้วยความพอใจ ด้วยความพอใจ ความพอใจนี่มันกว้างขวางเท่าไร มันก็กว้างขวางเท่ากับสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาล จักรวาลมีเท่าไรไอ้ความพอใจมันก็กว้างขวางไปตลอดทั้งจักรวาล ไม่มีที่ว่างเว้นตรงไหนที่มันไม่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะ มารู้จักสิ่งนี้กันเสียทีสิว่ามันจะได้ฉลาดกันขึ้นบ้างว่าอะไรถูกปกคลุมถูกครอบงำอยู่ด้วยความพอใจ เป็นคำประหลาดเป็นไทยๆ ก็ว่าพอใจ เป็นบาลีก็เรียกว่าฉันทะ แล้วก็ไปอ่านเอาเอง ไปคิดไปไกลเกินเอาเองว่ามันคืออะไรพอใจ มันพอใจที่จะได้ พอใจที่จะกิน พอใจที่จะมีไว้ พอใจที่จะสมาคมติดต่อ แล้วถ้ามันโง่หนักขึ้นโง่มากขึ้นมันก็พอใจที่จะตาย มันยังมีคนอยากที่จะตาย ถ้าความพอใจมันหลงทางเข้ามาหรือว่ามันเป็นวิปริตมิจฉาทิฎฐิขึ้นมา มันก็พอใจแม้แต่ว่าจะตาย ก็มันเข้าใจความหมายของคำว่าตายมันผิด มันจึงพอใจผิดๆ มันก็มีความพอใจ อยากจะถามว่าพอใจจะไปไหนกัน อยากจะขอตอบว่าคนโง่ไม่รู้จักว่าจะไปที่ไหน ถ้าอนุญาตให้พูดคำหยาบ ก็พูดไอ้ชาติโง่ทั้งหลายมันไม่รู้จักว่ามันจะพอใจไปที่ไหน มันไม่รู้ว่าพอใจไปที่ไหน ไม่รู้ว่าจะพอใจไปที่ไหน ไม่รู้ว่าควรจะพอใจไปที่ไหน ไอ้ชาติโง่ทั้งหลายมันไม่รู้จัก นี่ถ้าจะพูดเอาจริงๆ เอาตรงๆ ตามที่ว่าเป็นความจริงสูงสุดแล้ว มันพอใจที่จะไปนิพพาน เอ้าค้านก็ค้านแย้งก็แย้ง ถ้าไม่เห็นด้วยด่าก็ได้ มันพอใจที่จะไปนิพพาน เพราะว่าทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง มันพอใจที่จะหมดปัญหา หมดปัญหาคือมันหมดความทุกข์ ทุกอย่าง ทุกๆ ปรมาณูที่มีชีวิต นี่มันพอใจที่จะหมดปัญหา มันพอใจ พอใจที่จะไปพระนิพพาน นี่คนโง่มันรู้จักไหมว่าพอใจที่จะไปพระนิพพาน และมันเคยพอใจที่จะไปพระนิพพานกันหรือเปล่า มันมีคนอยู่กี่ล้าน ล้าน ล้านๆ คนที่จะพอใจไปพระนิพพานกันหรือเปล่า นี้ก็มันก็หมายความว่ามันไม่รู้จักไอ้ที่ควรจะพอใจหรือความพอใจแท้จริงที่มันมีอยู่ มันพอใจที่จะไปสู่พระนิพพาน คือความหมดปัญหาหรือความดับทุกข์ ไอ้คนโง่เหล่านี้มันสู้ปลาก็ไม่ได้ สู้ปลาปลาแต่ละตัวละตัวดิ้นลงน้ำทั้งนั้นแหละ ปลาแต่ละตัวละตัวถูกจับโยนขึ้นมาบนบกก็จะดิ้นลงไปสู่น้ำทั้งนั้นแหละ มันเด็ดขาดมันเฉียบขาดมันแน่นอนอย่างนี้ มันพอใจที่จะนิพพานก็คือพอใจที่จะหมดทุกข์ พอใจที่จะสิ้นทุกข์สิ้นสุดแห่งปัญหา ถ้ามันยังมีปัญหา มีความทุกข์อยู่ มันก็พอใจที่จะหมดปัญหา มันจะต้องมีการกระทำชนิดตามความพอใจของสิ่งที่มีความพอใจ ถ้าว่าเป็นธรรมะสูงสุดยังพอใจที่จะไปพระนิพพาน โดยอาการตามปกติแล้วมันพอใจที่จะไปด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ ด้วยสติปัฏฐาน มันพอใจที่จะไปอยู่กับสติปัฏฐาน คนไม่รู้ก็ไม่รู้จะพอใจที่จะไปอยู่กับอะไร ถ้ามันรู้มันก็พอใจที่จะไปอยู่กับสติปัฏฐาน คือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งสติ เมื่อมีสติแล้วก็ปลอดภัย พอใจที่จะไปอยู่กับสติปัฏฐานคือความปลอดภัย แต่เดี๋ยวนี้มัน มันมีอะไรที่เรียกว่าเป็นไปตามบุญตามกรรมตามที่มันจะเป็นของมันไปเอง เพราะมันมีไอ้สิ่งที่เรียกว่าผัสสะ ผัสสะ ผัสสะ แต่ละคนละคนก็มีผัสสะของตน แล้วก็มีความรู้สึกไปตามอำนาจแห่งผัสสะ นี่มันจึงเป็นไปไม่ได้มันเป็นเหยื่อแห่งผัสสะ เพราะว่าผัสสะมันกระทบอยู่เรื่อย ใครคนไหนคนไหนที่ไม่ถูกกระทบอยู่ด้วยผัสสะอย่างใดอย่างหนึ่ง ผัสสะอย่างใดอย่างหนึ่งไม่กระทบอยู่ เมื่อมันถูกกระทบกระเทือนอยู่ด้วยผัสสะ ไอ้ความพอใจนั้นมันก็เปลี่ยนแปลง ความพอใจนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ตามผลอะไรของมัน มันก็เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง มันเป็นเหมือนกับว่าผัสสะแทรกแซง ความพอใจมันก็ถูกแทรกแซง อาการอย่างนี้เป็นไปไม่ขาดตอน มันก็สูญเสียพรหมจรรย์ คือความประพฤติอันประเสริฐและถูกต้อง เราต้องการจะให้มีความถูกต้องก็ต้องจัดการเอาเองให้มันมีความถูกต้อง ให้มันมีความพอใจแต่ในทางที่ถูกต้อง และก็ได้รับผลแห่งความพอใจ อยู่ด้วยโยนิโสมนสิการ มนสิการนี่เป็นพรหมจรรย์ ข้อที่ ๒ ที่เรียกว่ามนสิการ มนสิ ถ้าอยากดูบาลีบ้างนิดหนอ่ยก็มนสิ มนสิแปลว่าในใจ กาละแปลว่ากระทำ กระทำอยู่ในใจ มนสิการแปลว่าการกระทำไว้ในใจ การกระทำอยู่ในใจ มนสิการ แล้วพรหมจรรย์นั้นมันก็คือการกระทำมนสิการน่ะ มนสิการทำไว้ในใจ เราต้องการสิ่งใดเราก็มีการกระทำไว้ในใจด้วยสิ่งนั้น และทำด้วยความพอใจ ด้วยความพอใจ คนจะปฏิบัติธรรมจะประพฤติธรรมจะมีความพอใจในธรรม มีความพอใจในธรรม มนสิการทำในใจ อยู่ด้วยความพอใจ พอใจในธรรม คำที่เกี่ยวข้องกันมันมีคำว่าโยนิโสมนสิการ คำว่ามนสิการแปลว่าทำไว้ในใจ มันมีคำประกอบเข้ามาใช้คู่กันตลอดเวลาว่าโยนิโสมนสิการ โยนิโสก็แปลกันตามธรรมดาสามัญว่าโดยแยบคาย ทำไว้ในใจโดยแยบคาย แต่ความจริงมันมากกว่านั้น คำว่าโยนิโสไม่ได้แปลว่าโดยแยบคาย คำว่าโยนิโสแปลว่าโดยเหตุ โดยเหตุ มาจากคำว่าโยนิคืออวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศหญิงมีความหมายเท่ากับเหตุ เป็นมูลเหตุให้เกิดบุตรเกิดอะไรออกมา มนสิการโดยโยนิก็คือโดยเหตุ โดยเหตุ เอาความหมายแต่เพียงว่าโดยเหตุ โยนิโสมนสิการทำไว้ในใจโดยเหตุ ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะให้เกิดอะไรขึ้นมา ให้ถูกต้องตามเหตุที่ควรจะได้เกิดและก็จะได้ถูกได้ตรงกับความประสงค์ที่มีโยนิโสมนสิการ และก็ต้องกระทำกันอย่างติดต่อเป็นพหุลี พหุลีกตา ทำซ้ำๆ ซากๆ ไม่มีหยุด ไม่มีขาดตอน ทำมนสิการโดยเหตุ โดยเหตุ ถ้าเป็นคนจริงก็ทำมนสิการโดยเหตุ โดยเหตุ จับเหตุให้ได้ควบคุมเหตุให้ได้ให้เป็นไปแต่ในความถูกต้องโดยทุกๆ ประการ นี่โยนิโสกระทำไว้ในใจ โยนิโสโดยเหตุ มันจะแปลว่าโดยแยบคาย โดยแยบคายก็ตามใจ แต่ว่าตัวแท้ๆ ตัวหนังสือแท้ๆ มันก็ว่าโดยเหตุ และมันก็เป็นคำที่ค่อนข้างกระโดกหรือหยาบคายว่าโดยโยนิซึ่งแปลว่าอวัยวะเพศของสตรี ทำไว้โดยเหตุโดยเห็นว่าสิ่งนี้เป็นเหตุที่ให้เกิดบุตรเกิดหลานเกิดอะไรต่อๆ ไป เดี๋ยวนี้เรามีความพอใจชนิดที่ว่ามันมีอะไรกระทำไว้ในใจอยู่โดยอัตโนมัติ ถ้ามันมีความรู้สิ่งใดมันก็ทำสิ่งนั้นไว้ในใจโดยอัติโนมัติ ก็เลื่อนไปสู่ลำดับที่สูงสูงๆ ขึ้นไป เอาอย่างปลาถ้ามันจะดิ้นรนไปไหน ก็ดิ้นรนไปลงน้ำเท่านั้น และมันไม่ดิ้นรนขึ้นไปบนบก นั่นน่ะคือพระนิพพานเป็นที่หมายเป็นจุดมุ่งหมายแห่งความพอใจ แห่งความพอใจ ฉันทะคือความพอใจ มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย ถ้าเราเก่งจริงเราก็ทำมนสิการอยู่แต่พระนิพพานก็ได้ ให้มีความพอใจซึมซาบอยู่ในใจเป็นพระนิพพานทุกขุมขน คนก็คงจะว่าบ้าแล้วพูดเพ้อเจ้อ มีความซึมซาบพอใจ อยู่ในใจในพระนิพพาน ทุกขุมขนเคยไหม เปรียบเทียบดูพอใจในกามารมณ์ ในกามารมณ์ชั้นสูงสุด เมื่อมันมีความรู้สึกพอใจกันมาอย่างนั้นแล้วมันพอใจกันทุกขุมขนไหม ไอ้เรื่องบ้าๆ บอๆ เรื่องพอใจในกามแท้ๆ มันยังพอใจกันได้ทุกขุมขน แล้วใครพอใจในพระนิพพานอย่างนั้นได้บ้าง พอใจในความดับทุกข์ ความไม่มีปัญหา ทุกขุมขน ทุกขุมขน เดี๋ยวนี้อาตมาก็มีความต้องการว่าจะให้มันพอใจ ทำในใจในพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะใช้คำที่คนเข้าใจกันได้ง่ายๆ ได้ทันทีก็ได้ว่าแช่อิ่มพรหมจรรย์กันเสียที แช่อิ่มพรหมจรรย์ คำว่าแช่อิ่ม ใครเข้าใจไม่ได้บ้าง แช่อิ่มน่ะ มันเอาน้ำตาลมาทำให้จนอิ่มตัว จนถึงที่สุดน่ะ แช่อิ่มพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือความประพฤติที่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์โดยประการทั้งปวง แช่อิ่มพรหมจรรย์ก็หมายความว่าต้องมีการประพฤติที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาทุกขุมขน ทุกขุมขน ถ้าใครเอาอะไรเข้าไปแช่อิ่มในน้ำตาลมันซึมซาบเข้าไปทุกขุมขนหรือเปล่า นี่ขอให้มุ่งหมายกันอย่างนี้เลยก็แล้วกันว่า มันจะต้องมีความซึมซาบถึงที่สุดอยู่ทุกขุมขน แช่อิ่มพรหมจรรย์ ได้ด้วยลักษณะอย่างนี้ ทำในใจ ทำในใจ โดยแยบคาย อยู่ด้วยความถูกต้องตลอดเวลาทุกๆ ปรมาณู ทุกๆ ขุมขน นี่เรียกว่าแช่อิ่มพรหมจรรย์ เดี๋ยวนี้เราก็ได้พูดมาแล้วนะว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้คือสิ่งที่จะเอาเป็นที่พึ่งเพื่อพระนิพพาน จับตัวมาแช่อิ่มได้อย่างไร มันก็ได้มนสิการ มนสิการ มนสิการ ที่พูดมาแล้ว เป็นข้อที่ ๒ มนสิการทำอยู่ในใจ ทำอยู่ในใจ ไม่ให้มันออกไปทางไหนได้ให้มันทำอยู่แต่ในใจเป็นมนสิการ ก็สามารถที่จะมีพรหมจรรย์อยู่ทุกขุมขน ทุกกาลทุกเวลา ทุกสถานที่ กระทั่งว่าทุกๆ ปรมาณู คนที่เคยแช่อิ่มอะไรมาแล้วก็มาคิดดู คิดดูเอาเอง พยายามที่จะสังเกตดูเอาเองว่าเราจะแช่อิ่มพรหมจรรย์ คือการประพฤติอันถูกต้องอันดับทุกข์ได้ไว้ ได้อย่างไร นี่มันก็ต้องขอพูดถึงคำว่าฉันทะ ฉันทะคือความพอใจอีกนั่นเอง พอใจอย่างที่กล่าวมาแล้ว พอใจ โดยมีพระนิพพานเป็นจุดหมาย ข้อนี้อยากจะขอให้เข้าใจด้วยความหมายธรรมดา ธรรมดาโดยสัญชาติญาณ โดยสัญชาติญาณของคนทุกคนไม่ต้องการความทุกข์ ต้องการจะไม่มีความทุกข์คือสบาย สะดวกสบาย แล้วมันก็พอใจพอใจในความสะดวกสบายอยู่ตลอดเวลา เป็นความพอใจหรือต้องการที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกขุมขน ทุกขุมขน ให้น้อมฉันทะไปสู่พระนิพพาน เป็นความพอใจอยู่ได้ทุกขุมขน ขอยกตัวอย่างปลา ปลา ปลาทั้งหลายน่ะมุ่งที่จะไปหาน้ำใหม่ ต้องการจะหาน้ำใหม่ สัญชาติของปลานี่ต้องการน้ำใหม่ แล้วก็ด้วยความต้องการอย่างรุนแรง ไอ้คนบางทีจะไม่มีฉันทะมากถึงอย่างนั้นน่ะ ไอ้คน คน คน คนนี่มนุษย์ คน คนนี่มันไม่มีความพอใจหรือฉันทะมากถึงอย่างนั้น สู้ปลาก็ไม่ได้ ปลามันมีฉันทะมุ่งที่จะหาน้ำใหม่ ดิ้นขึ้นไป ดิ้นขึ้นไป จนกลายไปอยู่บนบก เพราะมันมีฉันทะที่จะไปหาของใหม่ หาน้ำใหม่ นั่นก็เพราะอำนาจแห่งฉันทะ ฉันทะจะไปตายคาแห้งอยู่ ฉันทะอะไรมากอย่างนั้น ฉันทะอะไรบ้าบออย่างนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราต้องการให้มีฉันทะกันถึงขนาดนั้น ให้มีฉันทะที่จะบรรลุพระนิพพาน ที่จะดับทุกข์สิ้นเชิงกันในความหมายอย่างนั้น ให้อยู่ในฐานะที่ต้องการมนสิการอันสูงสุด ขอย้ำถึงว่ามนสิการ มนสิการกระทำไว้ในใจโยนิโสโดยแยบคาย มนสิการนี่จะเป็นน้ำ เป็นตัวน้ำ เป็นตัวน้ำให้ปลาดิ้นขึ้นไปได้ ให้ปลาไปต่อไปได้จนถึงที่สุด มนสิการสุดสูงสุด สูงสุด ระมัดระวังให้ดี จะต้องประกอบอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะจึงจะมีฉันทะที่ถูกต้อง มิฉะนั้นมันก็จะผิดหวัง ผิดคาด กลายเป็นผลร้าย ว่าเป็นปลาติดแห้งผลุนผลันกันไม่ได้ตอนนี้ ผลุนผลันกันไม่ได้ ต้องกระทำอย่างแยบคายโยนิโสอย่างแยบคาย มนสิการะกระทำในใจอย่างแยบคาย กระทำไว้ในใจอย่างแยบคาย ไม่มีอาการแห่งความผลุนผลัน ถ้ามีอาการแห่งความผลุนผลันมันจะไปติดแห้งคาแห้งอยู่บนแห้ง อยู่บนดอนบนดินให้นกกากินไปเสียอีก ไอ้ปลามันจะโง่อย่างนี้มันไม่ได้ มันจะต้องมีความฉลาดหรือมีสติสัมปชัญญะ ปลาในมหาสมุทรทั้งหลายมากมาย มันก็มีฉันทะอยู่ในมหาสมุทรซึ่งเต็มไปด้วยผัสสะเวทนา อะไร อะไรมันก็มาอยู่ที่ผัสสะเพราะมันมีการกระทบโดยอัตโนมัติ มันมีเวทนามีความรู้สึกขึ้นมาตามเรื่องของผัสสะและเวทนา แล้วมันก็เท่ากับอยู่ในโลกของผัสสะและเวทนา มันต้องทำสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่มีไว้ในใจ กระทำอยู่ในใจ กระทำอยู่ในใจ ให้สำเร็จประโยชน์ของการกระทำไว้ในใจ เราจะเรียกว่ามหาสมุทรแห่งอะไร ก็มหาสมุทรแห่งพรหมจรรย์ มันถูกหรือไม่ถูกก็ตามใจ ขอให้ฟังเอาเองว่ามหาสมุทรแห่งพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือความประพฤติอันประเสริฐสำหรับดับทุกข์ได้ เราจะต้องทำให้พรหมจรรย์นี้เหมือนมหาสมุทรปลาทุกตัวอยู่ในมหาสมุทร แล้วก็พอใจอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรแห่งพรหมจรรย์ ช่วยจำคำว่ามหาสมุทรแห่งพรหมจรรย์ไว้ให้ดีเพราะมันกว้างขวางนัก พรหมจรรย์นี่กว้างขวางนัก ผลของพรหมจรรย์คือพระนิพพานก็กว้างขวางนักไม่มีอะไรจะกว้างขวางเท่า ก็เลยขอใช้คำว่ามหาสมุทรแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของการกระทำซึ่งเต็มไปด้วยผัสสะ เต็มไปด้วยเวทนา ให้มีการกระทำทางผัสสะทางเวทนาถูกต้อง มหาสมุทรแห่งพรหมจรรย์อันกว้างขวาง ถ้าทำผิดวิธีมันก็ไปติดแห้ง ไปติดแห้งอยู่บนดิน บนดอน ให้กาให้สุนัขมันกิน มันติดแห้งได้ทั้งกว้างขวางนะ พรหมจรรย์จะกว้างขวางเท่าไร พระนิพพานผลแห่งพรหมจรรย์จะกว้างขวางสักเท่าไร มันก็ติดแห้งได้ทั้งที่มีความกว้างขวางมีความลึกซึ้งถึงที่สุด ลึกซึ้งถึงที่สุด จะติดแห้งได้นี่ขอให้ระมัดระวังสังวร ให้มองเห็นตามที่เป็นจริงเป็นสันทิฏฐิโกว่าชีวิตของเรา ชีวิตของเรานี้คืออะไร ชีวิตของเรานี่มันมีพรหมจรรย์อยู่ที่ตรงไหน ตัวชีวิตนี้มันเป็นตัวพรหมจรรย์อยู่ที่ตรงไหน หากันให้พบแล้วก็จะได้มีชีวิตที่เป็นพรหมจรรย์ชุ่มชื่นอยู่ในน้ำอันเยือกเย็นคือพระนิพพาน จะต้องขวนขวายกันจนให้มีการบรรลุ หรือมีพรหมจรรย์นั่นแหละ มีการบรรลุพรหมจรรย์ก็คือมีพรหมจรรย์ แล้วผลของพรหมจรรย์ก็คือพระนิพพานให้มีความเยือกเย็น ไม่มีความทุกข์ ให้นิพพานโดยสังเขปโดยย่อก็คือว่าความถูกต้องจนหมดสิ้นแห่งปัญหา ถ้าจะมาพูดข้าม ข้ามมาพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานกันเสียทีเดี๋ยวนี้สักหน่อยก็พรหมจรรย์ ผลแห่งพรหมจรรย์ เรียกว่าความถูกต้องแห่งพรหมจรรย์ มันก็เป็นความถูกต้องสูงสุดไม่มีปัญหา เป็นความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าไม่เป็นพรหมจรรย์มันไม่ถูกต้อง ต่อเมื่อมันเป็นพรหมจรรย์มันจึงจะเป็นถูกต้อง เมื่อมันไม่ถูกต้องมันก็ไม่ได้ผลของพรหมจรรย์ มันก็เหมือนกับปลาติดแห้งอยู่ถ้ำในมหาสมุทรอันลึกซึ้ง ไม่มีขอบเขตมันก็ต้องติดแห้งตาย เป็นเหยื่อของไอ้แร้งกาอยู่ที่นั่น ขอให้มีพรหมจรรย์อันลึกซึ้ง พรหมจรรย์แห่งความถูกต้อง พรหมจรรย์แห่งความถูกต้อง ซึ่งเป็นความหมายของพระนิพพาน ฉันทะความพอใจ พอใจในความถูกต้อง มองเห็นความถูกต้อง รู้จักความถูกต้อง เข้าใจในความถูกต้อง แล้วก็มาตรวจสอบฉันทะของตนเอง ความพอใจของตนเองว่ามันเป็นฉันทะที่ถูกต้องหรือไม่ เมื่อมีฉันทะถูกต้องก็จะประสบความพอใจไปตามลำดับ มันจะมีฉันทะในการที่จะเลือกฉันทะ ฉันทะในการที่จะเลือกฉันทะให้มันถูกต้อง มีฉันทะในการที่จะมีฉันทะให้ถูกต้อง ฉันทะในการที่จะมีฉันทะให้ถูกต้อง มีฉันทะให้ถูกต้อง มีฉันทะให้ถูกต้อง ให้สมกับที่ว่าพรหมจรรย์นี่มันมีฉันทะเป็นมูลเหตุกว้างขวางอย่างมหาสมุทรหรือยิ่งกว่ามหาสมุทรคือมันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้ทั้งหมดทั้งสิ้นมันเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง ขอโอกาสพูดคำนี้กันอีก และก็ต้องพูดกันตลอดเวลาว่าความถูกต้อง ความถูกต้องเป็นผลแห่งพรหมจรรย์ ความถูกต้องมันเป็นผลแห่งพรหมจรรย์ก็คือพระนิพพาน คือความไม่ตาย คือความไม่ตาย ถ้าไม่ถูกต้องมันคือความตาย ถ้ามีการประพฤติพรหมจรรย์จริง มันก็มีความถูกต้อง เพราะว่าพรหมจรรย์มันมีความประพฤติอย่างโยนิโส โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยโยนิโสโดยแยบคาย แล้วมันก็ถูกต้อง เมื่อมีความถูกต้องมันก็ได้ผลเป็นความไม่ตาย นี่เรียกว่าเป็นที่น่าพอใจ เป็นที่น่าพอใจ พอนึกเห็นพอเข้าใจ พอนึกเห็นก็พอเข้าใจ มันก็มีความพอใจ มีความพอใจในที่จะได้ผลเรียกว่ามีพระนิพพานน่ะ ฉน.ทมูลกา มีฉันทะเป็นต้นเหตุคือพอใจ พอใจ พอใจ ที่จะดับทุกข์สิ้นเชิง ฉันทะ ฉันทะ ในอะไร ขอให้มองเห็น ฉันทะนี่ในพระนิพพานในความถูกต้องในความไม่มีความทุกข์ เพราะว่าพรหมจรรย์เป็นเรื่องของความถูกต้องและมันก็ไม่มีทุกข์ คนเป็นอันมากไม่มีความรู้เรื่องว่าถูกต้อง ถูกต้องนั้นคืออะไร เพราะมันบ้าอารมณ์ทางระบบประสาท มันมีความบ้าความหลงใหล ความพอใจในอารมณ์ของระบบประสาทที่เรียกว่ากาม กามคุณ หรือที่ฝรั่ง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เขาเรียกว่า Sex Sex คือความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท ไปฉันทะกันที่นั่น ไปฉันทะเสียอยู่กันที่นั่น ยุวชนทั้งหลาย ไม่มีความรู้อันถูกต้อง ก็มีแต่ฉันทะคือพอใจเอร็ดอร่อยของระบบประสาท มันก็เลยค้างแห้งอยู่บนมหาสมุทรอันลึกซึ้ง ติดตังติดแห่งอยู่บนมหาสมุทรอันลึกซึ้ง คำนี้ขอให้สนใจกันเป็นพิเศษสักหน่อยว่าเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท เป็นอุปสรรคเป็นตัวต้นเหตุที่จะให้ไม่ประสบผลสำเร็จ มีความพอใจแต่ในความรู้สึกเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทคือทางกามหรือทาง Sex มีฉันทะแต่ในเรื่องนี้ เปรียบเทียบกันดูอีกทีว่าทุกคน ทุกคน ทุกชีวิตมีฉันทะ และทุกคนทุกชีวิตมีฉันทะในอะไร มันมีฉันทะแต่ความเอร็ดอร่อยในความรู้สึกทางระบบประสาทที่เรียกว่า Sex ได้ความเอร็ดอร่อยมาแล้วก็รู้สึกพอใจมันก็มาติดตังกันอยู่ที่นี่ ความพอใจมาถูกราดรวม มารวมกันอยู่ที่นี่ เป็นความพอใจทางกามหรือทาง Sex แล้วดูสิมันน่าสงสารกี่มากน้อย แล้วฉันทะกันไปทำไม ฉันทะกันไปทำอะไร ฉันทะนำไปสู่ความเป็นทุกข์ ความเต็มไปด้วยปัญหา หรือความไม่ถูกต้องหรือในที่สุดก็เรียกว่าความตาย ถ้ามันมีความถูกต้อง มีความถูกต้องนี่มันไม่ตาย นี่ขอให้ท่านทั้งหลายยอมเสียเวลากับอาตมาพิจารณากันถึงข้อนี้อยู่เรื่อยๆ ไป เรื่อยๆ ไป จะนานเท่าไร จะช้านานสักเท่าไรก็ได้ว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง เป็นสิ่งสูงสุด สูงสุด ประเสริฐสุดไม่มีอะไรยิ่งกว่า ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิสูงสุดทั้งหลายในสากลโลกก็แค่หางอึ่ง ถ้ามาเทียบกับความถูกต้อง ความถูกต้องสูงสุดประเสริฐสูงสุดจริงๆ เป็นความถูกต้อง เข้าใจได้มองเห็นได้ตรงที่ว่ามันมีผลเป็นความไม่ตาย ถ้ามันถูกต้องแล้วมันจะตายได้อย่างไร ถ้ามันถูกต้องเสียแล้วมันไม่เจ็บมันไม่ป่วย ถ้าไม่ถูกต้องแล้วนี่แม้แต่ตดมันก็เหม็นอู้ไปเลย ถ้ามันไม่ถูกต้อง แต่ถ้ามันมีความถูกต้องเสียแล้วมันไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย มันจะตายได้อย่างไร มันถูกต้องแล้วมันก็เป็นความหาย หายเจ็บ หายไข้ หายโรค หายภัยไปเสียทั้งหมดแล้วมันจะตายได้อย่างไร มันก็เป็นความไม่ตายนิรันดร เป็นอมตะไม่ตายนิรันดร เป็นพระนิพพาน เป็นความว่างไปจากตัวตน ไม่มีความตายเจือปนอยู่ในสิ่งนั้น นี่เรียกว่าความไม่ตาย ฉันทะในข้อนี้กันหรือเปล่า มีฉันทะในความไม่ตายหรือความถูกต้องกันหรือเปล่า นี่เพราะมันไม่รู้ เพราะมันไม่รู้ แล้วอย่าไปโทษใครให้เสียเวลาเลย ไม่รู้ มันไม่รู้จะมีฉันทะในอะไร มันไม่รู้จะมีฉันทะในอะไร แล้วมันก็ไม่รู้จะทำมนสิการในอะไร เพราะว่ามันไม่รู้จะมีฉันทะในอะไร มันก็เลยไม่รู้จะทำมนสิการนั้นในอะไร ถ้ามันรู้ดูมันมองเห็นว่ามีฉันทะในอะไร มันก็ทำมนสิการถูกต้อง มนสิการถูกต้อง มนสิการในพรหมจรรย์อันถูกต้อง จนกว่าจะบรรลุถึงพระนิพพานตามความปรารถนา นี่ขอให้เห็นสิ่งสูงสุดประเสริฐสุดคือความถูกต้อง ความถูกต้องนั้นไม่มีอะไรมีแต่พระนิพพาน ถ้ายังไม่มีความถูกต้องอยู่เพียงใดมันนิพพานไม่ได้ ถ้ามันนิพพานได้มันต้องมีแต่ความถูกต้อง มันต้องมีแต่ความถูกต้อง เพราะความไม่ถูกต้องมันมีความตาย เมื่อมันมีแต่ความถูกต้องมันก็มีความไม่ตาย โดยจิตใจไม่ตาย โดยร่างกายจะตายก็ช่างหัวมัน ช่างหัวมัน มันร่างกายจะตายก็ช่างหัวมัน โดยจิตใจโดยสติปัญญาอันสูงสุดนั้นไม่ตาย เพราะว่ามันไม่มีอะไรตาย เพราะมันเป็นความถูกต้อง มันจับจิตทุกชนิด สติปัญญาทุกชนิด ทุกชนิดเสียให้มันเป็นความถูกต้องเสียให้หมด แล้วมันตายไม่ได้ มันเลยเป็นความว่างหรือเป็นสุญญตานิรันดร ตายไม่ได้ ตายไม่ได้ เป็นนิรันดร เป็นนิรันดร เป็นพระนิพพาน เรียกว่าความไม่ตาย นิรันดร ไม่ตายอย่างนิรันดรนี้มันเป็นพระนิพพาน นี่ขอให้มองเห็นเข้าใจประจักษ์ชัดถึงความถูกต้อง ความถูกต้องของการประพฤติพรหมจรรย์ แล้วจะได้มีฉันทะในสิ่งนั้น ซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่ประเสริฐสุดได้โดยง่าย โดยง่าย ขอให้มีฉันทะในสิ่งนั้น ฉันทะในความไม่ตายอันเป็นนิรันดร เมื่ออยู่ที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยความอิ่ม คือความไม่ขาดแคลน ความไม่หิว ความไม่กระหาย ความไม่เป็นทุกข์ ความไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเป็นปัญหา ปัญหามาจากความไม่รู้ ไม่รู้จักคำตอบ ไม่รู้จักการแก้ปัญหา นี่มันคือปัญหา มันก็มีแต่จิตชนิดที่ตาย จิตของคนไม่รู้จักปัญหาเหล่านี้ มันก็ตาย ตาย ตาย ตาย ตายอยู่ทุกขณะจิต สมน้ำหน้ามัน พูดคำหยาบอีกแล้วเห็นไหม ว่าสมน้ำหน้ามันไอ้จิตที่มันไม่มีความรู้ ที่ไม่มีฉันทะพอใจในพระนิพพานน่ะ สมน้ำหน้ามัน มันมีแต่ความตาย มีแต่ความตาย มีแต่ความตาย ตาย ตาย อยู่ที่นี่ ตายทั้งทางร่างกายแล้วก็ตายโดยจิตใจด้วย ไม่ได้ประสบผลคือความไม่ตายนิรันดร คือความถูกต้อง เอาละอยากจะสรุปให้เหลือสั้นแต่คำพูดเพียงคำเดียว ความถูกต้อง ความถูกต้อง เป็นสิ่งสูงสุด ความถูกต้องคือความไม่ตาย ความถูกต้องคือพระนิพพาน ด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างเด็กๆ ก็พูดได้ว่าถ้ามันถูกต้องจนหมดแล้วมันจะตายได้อย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยรักษาถูกต้องแก้ไขถูกต้องเยียวยาถูกต้องเสียหมดแล้วมันจะตายได้อย่างไร ทางร่างกายก็ยังไม่ตายถ้ามันแก้ไขถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้ทางร่างกายมันทำอย่างนั้นไม่ได้ มันทำได้แต่ทางจิต ทางจิตใจ ทางจิตและทางสติปัญญา เป็นสิ่งสูงสุดของจิตใจ เมื่อสติปัญญามันถูกต้องแล้วมันก็ไม่ตายมันก็มีความไม่ตายของจิต พูดอย่างนี้ยังไม่รู้อีกก็คงจะเหลือวิสัยแล้ว ความถูกต้องของจิต ของสติปัญญา ไม่มีความตาย ไม่ประสบกันกับความตาย ไม่รู้จักความตาย ขอให้จงได้มีจิตชนิดนี้ จิตชนิดนี้ จิตที่ถูกต้องชนิดนี้ ที่อาศัยอยู่กับความถูกต้องชนิดนี้ แล้วก็ไม่ตาย ไม่ตาย ไม่ตาย ไม่ตายเป็นนิรันดร ว่างไปเป็นนิรันดร ว่างไปเพราะความไม่ตาย เพราะมันไม่มีความตาย เอาละเป็นอันว่าถ้าไม่ตาย ถ้าไม่ตาย มันก็เป็นพระนิพพานอยู่ในความไม่ตาย ถ้าไม่ตายก็เป็นพระนิพพาน พระนิพพานก็เป็นความไม่ตายเพราะมีความถูกต้อง นี่ขอให้คิดดูอีกสักนิดหนึ่งว่าสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก ความเห็นด้วยตนเอง ความเห็นได้ด้วยตนเอง อะไรเป็นความถูกต้อง อะไรเป็นฉันทะในความถูกต้อง อะไรจะเป็นความไม่ตาย ถ้ารู้จักฉันทะคือความถูกต้องมาตั้งแต่ต้นอย่างนี้แล้ว มันก็มีมนสิการ มีมนสิการอยู่ในใจเป็นความถูกต้องอยู่ในใจสูงขึ้นไปตามลำดับเป็นพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ ที่สูงเลื่อนชั้น เลื่อนชั้นขึ้นไป เป็นความไม่ตาย นี่ทำให้ฉันทะถูกต้องและทำให้มนสิการถูกต้อง และมันก็จะมีจิตชนิดที่ตายไม่ได้ ใครจะพูดว่าตายได้ก็ช่างหัวมัน แต่เราจะมีจิตชนิดที่ตายได้ไม่ได้ คือมีจิตที่มีความถูกต้อง มีฉันทะในมนสิการและกระทำไปอย่างถูกต้อง ตลอดกาลนิรันดร ตลอดกาลนิรันดร นี่อาตมาพูดอะไรมันก็ออกจะตรงๆ หรือหยาบคายไปบ้างนี่ก็ขอให้อภัยด้วย แต่เพื่อจะให้ได้ผลทันเวลาว่ามีฉันทะความพอใจอันถูกต้อง และมีมนสิการ มนสิการะอันแยบคายอันถูกต้องอยู่ในมนสิการนั้นเอง เดี๋ยวนี้เราพูดธรรมะลีลากันมาได้สองข้อแล้ว คือข้อว่าฉน.ทมูลกา มนสิการปัพวา มีความพอใจแล้วก็มีมนสิการเป็นพื้นฐาน มนสิการเป็นพื้นฐาน มนสิการเป็นพื้นฐาน มนสิการเป็นเหมือนแผ่นดิน มนสิการเป็นแผ่นดินที่มีอยู่แต่ความถูกต้อง นั่นแหละจะใช้คำว่าแช่อิ่มพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือความถูกต้องคือความไม่ตาย เอาตัวพรหมจรรย์มาแช่อิ่มกันเสียให้มันอิ่มอยู่ด้วยความไม่ตาย แล้วจะได้สิ่งสูงสุด ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรเหมือน ไอ้ความดีนั้นมันยังบ้าได้ เมาได้ อย่าไปหลงกับมัน อย่ามีฉันทะพอใจในความบ้าดี เมาดี หลงดี แม้สวรรค์มันก็ยังเป็นบ้าได้ เมาได้ หลงได้ อย่าไปมีฉันทะในความที่มันบ้าดี เมาดี หลงดี ให้มีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง โดยถูกต้อง ไม่ตาย ไม่ตาย อยู่ทุกๆ ประการ อยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกเวลานี่ใช้คำว่าทุกเวลาก็พอแล้ว อย่าใช้คำว่าทุกนาที ทุกเวลาเป็นความว่างนิรันดรไปก็แล้วกัน นี่คำพูดนี่มีเพียงสองคำสั้นๆ เท่านั้น ว่าฉน.ทมูลกา มีฉันทะเป็นมูล คือมีความพอใจเป็นมูล เป็นมูล เพราะมันไม่มีอะไรที่จะไม่เกิดความรู้สึก ทุกสิ่งมันเกิดความรู้สึก แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะไม่เกิดความพอใจ มันประสบอะไรมันก็พอใจอยู่ในสิ่งนั้น แม้ผิดๆ มันก็พอใจได้ แม้ความทุกข์มันก็พอใจได้ ทีนี้เราขอยกเว้นเอาแต่ความพอใจในสิ่งที่ไม่เป็นทุกข์ ท่านได้ความพอใจนี้แล้วเอามากระทำไว้ในใจ กระทำไว้ในใจ กระทำไว้ในใจ ให้เป็นเหมือนกับแผ่นดินที่มีแต่การกระทำไว้ในใจที่ถูกต้อง ที่ถูกต้องแล้วก็พอใจถูกต้อง แล้วก็พอใจนี่แหละเรียกว่ามีพระนิพพาน มีพระนิพพานอยู่ในทั้งหมดทั้งสิ้น จะเรียกว่าอยู่ในอะไรก็ตาม จะเรียกว่าอยู่ในสันดานอะไรก็สุดแท้ แต่ขอเพียงว่ามีความถูกต้อง มีความถูกต้อง มีความถูกต้อง อยู่ในที่ทุกสถานแม้เป็นการนิรันดร ไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักตาย เพราะว่ามันมีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง นี่คำบรรยายครั้งที่สองของอาตมาในที่นี้ก็คือบรรยายเรื่องการกระทำไว้ในใจ ที่เรียกว่ามนสิการ มนสิการ มนสิการโดยแยบคาย ก็คือโดยเหตุ โดยเหตุก็สามารถจะขจัดปัญหา มีความพอใจ มีความพอใจ เป็นมูลเหตุแล้วก็มีความถูก มีความถูกต้องอยู่ในตัวการกระทำไว้ในใจ เอาละเหลืออยู่แต่สองคำก็พอ มีความพอใจเป็นมูลเหตุแล้วก็มีการกระทำไว้ในใจเป็นแดนเกิด เป็นแดนเกิด เป็นที่เกิด เป็นแดนเกิด เป็นแดนเกิด เป็นที่เกิดอยู่ในจิตใจนั้นน่ะ นั่นแหละคือมนสิการ มนสิการ ข้อที่ ๑ เรียกว่าฉน.ทมูลกา มีฉันทะเป็นมูลเหตุ ข้อที่ ๒ เรียกว่ามนสิการปัพวา มีการกระทำไว้ในใจ มีการกระทำไว้ในใจเป็นแดนเกิด เป็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นแดนเกิดแห่งความพอใจ แล้วก็มีความพอใจเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง เป็นพระนิพพาน โดยจริงโดยสมควรอยู่ตลอดเวลา นี่เวลาก็หมด เรี่ยวแรงก็หมด มันก็เลยต้องว่าจบ จบกันด้วยความพอใจ ในความถูกต้อง ในความถูกต้อง ขอให้ทุกคนมีความพอใจฉันทะ พอใจฉันทะ พอใจในความถูกต้อง และให้มีการกระทำปรากฏชัดเจนอยู่ในใจ ชัดเจนอยู่ในใจ กระทำไว้ในใจ กระทำไว้ในใจ ตลอดเวลาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ (นาทีที่ 01:00:43 ถึง 01:01:13 ไม่มีเสียง) การเทศน์ หรือการปาฐกถาเหล่านี้ไม่รับรองว่าใครจะเข้าใจหรือจะไม่เข้าใจ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจไม่รับรอง ถ้าเข้าใจได้ก็เป็นการดี เป็นการได้รับประโยชน์ มีความเข้าใจก็มีความพอใจ ฉันทะพอใจที่ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็ได้ผลเป็นความถูกต้อง ได้ผลเป็นความถูกต้องก็มีพระนิพพานเป็นรางวัล มีพระนิพพานเป็นรางวัล
(นาทีที่ 01:01:49 ถึง 01:02:10 เสียงญาตโยมถาม)
โยมถาม : พระนิพพานนี่เป็นอารมณ์หรือไม่
ท่านพุทธทาสตอบ : พระนิพพานไม่เป็นอารมณ์ พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ จิตมันโง่ๆ จะเอามีเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็ตามใจมันได้ แต่พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ พระนิพพานไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตต้องการ อารมณ์ที่จิตที่ยังโง่เขลาอยู่มันต้องการ พระนิพพานไม่เป็นอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์แม้ว่าเราจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มันก็พระนิพพานก็เป็นอารมณ์ไม่ได้ แต่คนเขาพูดได้ว่าจิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความอยากได้พระนิพพานเป็นอารมณ์ เขาว่าสิ่งที่จิตต้องการนั้นคืออารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตต้องการนี่ฟังให้ดีๆ ว่าอารมณ์คือสิ่งที่จิตต้องการ แต่พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ พระนิพพานจึงถูกต้องการไม่ได้ จึงเป็นผู้ถูกกระทำให้เกิดความต้องการไม่ได้ พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ อัปปาจิตถัง ไม่ได้ตั้งอยู่ อัปปาจิตถัง ไม่ได้ตั้งอยู่ อัปปาวัตตัง ไม่ได้เป็นไป อนารัมณัง ไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ จิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ คือฟังให้ดี จิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ แต่พระนิพพานมิใช่อารมณ์ ไม่มีอารมณ์ ทุกคนมีจิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์เพราะเขาต้องการพระนิพพาน เพราะเขาอยากได้พระนิพพาน เขานึกว่าพระนิพพานก็เป็นอารมณ์ได้ แต่ตัวพระนิพพานเองเป็นอารมณ์ให้ใครไม่ได้ พระนิพพานเป็นอารมณ์อะไรให้ใครไม่ได้ แต่ว่าจิตมันต้องการได้ จิตมันก็เลยเอาพระนิพพานมาเป็นอารมณ์เสียตามความต้องการของจิต อนารมนัง มิใช่อารมณ์ไม่เป็นอารมณ์ไม่มีอารมณ์ มิใช่อารมณ์ไม่เป็นอารมณ์ แต่ทุกคนจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์เพราะอยากได้พระนิพพาน เพราะมีความเชื่อมีความคิดมีความเชื่อมาว่า พระนิพพานเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่ควรจะได้ มันเป็นอารมณ์ไปตามความโง่ของจิต พระนิพพานจะเป็นอารมณ์ไปตามความโง่ของจิตเอง จะเป็นอารมณ์ของจิตไม่ใช่อารมณ์ของพระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ ตัวพระนิพพานเป็นอารมณ์ไม่ได้ อัปปะจิตถัง มิได้ตั้งอยู่ อัปปะวัตตัง มิได้เป็นไป อนารมนัง มิใช่อารมณ์ ความถูกต้อง ความถูกต้องนั้นไม่เป็นอารมณ์แห่งอะไรได้ มีแต่ความถูกต้องเป็นความถูกต้องอย่างอิสระ อิสระ อิสระ ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถ้าฟังไม่ดีฟังไม่เข้าใจก็คล้ายกับบ้า คล้ายกับเป็นเรื่องบ้าไปเสียเลย ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้องเป็นความไม่ตาย เป็นความไม่ตาย เป็นความไม่ตาย ตายไม่ได้ เราจะคิดให้อะไรเป็นอารมณ์ของอะไรก็ได้ได้ทั้งนั้น ให้อะไรเป็นอารมณ์คิดเอาได้ทั้งนั้น แต่ตัวแท้ตัวจริงโดยเฉพาะคือพระนิพพานแล้วไม่เป็นอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตอยากจะได้ อารมณ์คือสิ่งที่จิตคิดจะเอา อารมณ์คือสิ่งที่จิตคิดจะได้ คิดจะเอา คิดจะได้ คิดจะเอานี่เรียกว่าอารมณ์ อารมณ์ จิตหน่วงออกมาเป็นอารมณ์ เมื่อจิตยังโง่อยู่ก็เอาอะไรเป็นอารมณ์หน่วงอะไรเป็นอารมณ์เรื่อยไป ถ้าว่าจิตตรัสรู้แจ้งถึงที่สุดแล้วไม่หน่วงอะไรมาเป็นอารมณ์ก็พลอยไม่มีอารมณ์ไปด้วย เช่นเดียวกับพระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่อารมณ์ ใช้คำว่ามิใช่อารมณ์น่ะถูกต้องที่สุด จะใช้คำว่าไม่มีอารมณ์ก็ได้ มิใช่อารมณ์ก็ได้ ไม่เป็นอารมณ์ก็ได้ ไม่ใช่ไม่เป็นหรือไม่มี ไม่มี มันเป็นคำพูดเป็นการพูดที่ต้องเห็นเอง ที่ต้องเห็นเอง ที่ว่าฉน.ทมูลกา ฉน.ทมูลกา ต้องเห็นด้วยตนเองไม่ต้องเชื่อใคร เพราะว่าจิตมันก็มีฉันทะ จิตก็มีฉันทะไปตามความโง่ ตามความฉลาด แล้วก็มีฉันทะแล้วมันก็ทำไว้ในใจ ทำไว้ในใจ มันช่วยไม่ได้ที่มันจะไม่เข้าไปอยู่ในจิตใจ มันจะเข้าไปมีอยู่ในจิตใจ เข้าไปมีอยู่ในจิตใจแล้วก็เป็นพื้นฐาน เป็นรากฐานที่ให้งอกงามต่อไป ให้งอกงามต่อไปจนกว่าจะมีถึงขั้นสุดท้ายที่เราอยากจะให้ศึกษากันนี่ว่า มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นสโมสร มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิบดี มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด มีวิมุติเป็นสาระ มีอำมโตกทะ มีการหยั่งลงสู่อมตะ นิพพานะปริโยสานะ มีปริโยสานเป็นพระนิพพาน เอเสวันโต ทุกขัสสะ นั้นเป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์คือสิ้นสุดแห่งปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่อีกต่อไป ถ้าไม่มีปัญหา มันก็ไม่มีปัญหา เป็นคำที่ประหลาดที่สุด เป็นคำที่ไม่ฉลาดจริงๆ จะไม่เข้าใจคำคำนี้ว่าไม่มีปัญหาหรือมิใช่ปัญหา เพราะจิตมันยังเป็นฉน.ทมูลกา อยู่นั่นแหละ จิตโง่ๆ จิตเด็กๆ ก็ยังมีฉน.ทมูลกา อยู่นั่นแหละ แล้วแต่ฉันทะจะถูกหรือฉันทะจะผิด ถ้าฉันทะถูกมันก็ไปเรื่อยไป เรื่อยไป ไปจนกว่าจิตหลุดพ้น จนกว่าจิตจะหลุดพ้น เป็นความถูกต้องของพระนิพพาน อาตมาช่วยอะไรไม่ได้ในการที่ว่าบางคนจะฟังไม่ถูก บางคนจะฟังไม่ถูกแล้วบางคนจะฟังไม่ถูกเอาเสียเลย อาตมาช่วยไม่ได้ อาตมาช่วยได้แต่พูดไปตามเนื้อผ้าตามความจริง ตามความเป็นจริงที่แสดงอยู่โดยธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง ในโลกนี้มันยังไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องทางเศรษฐกิจ ไม่มีความถูกต้องทางการเมือง ไม่มีความถูกต้องทางการสังคม ไม่มีความถูกต้อง จึงไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติภาพ มันยุ่ง ยุ่งอยู่แต่ Supply และ Demand Supply และ Demand Positive Negative Positive Negative ยุ่งอยู่แต่ Supply และ Demand หาสันติภาพไม่ได้ สันติภาพแท้จริงต้องหาทางจิต คือจิตที่ไม่มีอารมณ์ คือจิตที่มีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง
โยมถาม : ทำไมทางศาสนา ทางภิกษุ ทางสัปปายะ ทำไมไม่ประกาศให้คนจนได้เห็นชัดเจนเลยว่า ไม่ประกาศให้เห็นหนทางของศาสนาออกมาชัดเจนเลยว่า
ท่านพุทธทาสตอบ : คนมันโง่ คนมันโง่ ประกาศๆ เท่าไรๆ มันก็ไม่มองเห็นเพราะคนมันโง่ คนมันมีฉันทะแต่ตามอำนาจของความต้องการทางระบบประสาท มันมีฉันทะพอใจแต่ความต้องการของระบบประสาทคือ Sex เหมือนกับสุนัขมันยื้อแย่งผ้าขี้ริ้วกันสนุกไปเลย มีได้เท่านั้น
โยมถาม : ผมยกตัวอย่างเช่นว่าสมมติว่าลิงมันก็ทำงานได้ ใช้ขึ้นมะพร้าวใช้ทำอะไรนี้ ทีนี้ยกตัวอย่างว่าอยากจะให้ลิงมันทำนาปลูกข้าว มันไม่เห็นไม่รู้ว่าการที่จะต้องจับโคลนตมอย่างนี้ แล้วผลข้างหน้าจะเข้าสู่อย่างนี้
ท่านพุทธทาสตอบ : มันเป็นลิง เพราะมันเป็นลิงไม่ต้องพูด
โยมถาม : แต่ถ้าคนเรานี้ก็คงจะ ปุถุชนนี้ก็คงจะเหมือนลิง ทีนี้ถ้าทางศาสนารู้ชัดเจนว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นะ ผลข้างหน้าเป็นอย่างนั้น ให้ประกาศออกมาเลย
ท่านพุทธทาสตอบ : นี่เราทำได้แต่เพียงทำให้จิตหมดความโง่ หมดความหลง มีแต่ความถูกต้อง มีแต่ความถูกต้อง แล้วเป็นความไม่ตาย เราทำได้เพียงแต่ทำให้จิตมีความถูกต้อง ให้จิตมีความถูกต้อง ส่วนที่คนหรือลิงนี้เนี่ยมันทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนของลิง เพราะว่ามันยังเป็นคนและเป็นลิงอยู่
โยมถาม : กระผมเปรียบเทียบ ทีนี้ปุถุชนอย่างผมหรือคนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าถ้าปฏิบัติ เริ่มปฏิบัติอย่างนี้ข้างหน้าจะบรรลุผล อย่างยกตัวอย่างผมมีความเชื่อว่าทางตถาคตหรืออริยเจ้านี้เปรียบเสมือนบ้านเห็นทั้งฝ่ายปุถุชนและก็ฝ่ายที่เป็นสิ่งที่ลึกลับ ที่มองไม่เห็น ที่ปุถุชนมองไม่เห็น ทำไมไม่ประกาศให้ชัดเจนว่ากระทำอย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่น ตถาคตที่อยู่ตามป่าเขา ซึ่งสามารถจะไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน ที่สามารถบิณฑบาตได้ กับรุกขเทวดาแบบนี้ว่าถ้าปฏิบัติถึงระดับนั้นแล้ว
ท่านพุทธทาสตอบ : มันก็ยังไม่ใช่ความถูกต้อง มันยังเป็นความโง่ ยังเป็นความโง่ที่ยังต้องไปบิณฑบาตอยู่ ยังไปบิณฑบาตกับเทวดาอยู่ มันยังเป็นความโง่อยู่ มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันต้องเป็นความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง จนกว่ามันจะไม่ตาย จนกว่ามันจะหมดปัญหา
โยมถาม : เพราะฉะนั้นอาจารย์ว่าลึกลับแบบนั้นมันไม่มีใช่ไหม
ท่านพุทธทาสตอบ : ไม่มีลึกลับ ไม่มีอะไรลึกลับถ้ามีความถูกต้องแล้วไม่ลึกลับ ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ลึกลับความดีบ้าได้ เมาได้ หลงได้ สวรรค์ก็บ้าได้ เมาได้ พรหมโลกก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ ต้องไม่เป็นอย่างนั้น ต้องไม่บ้าได้ เมาได้ หลงได้ ต้องมีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ซึ่งเป็นของพระพุทธ ของพระธรรม เป็นของพระสงฆ์ มีแต่ความถูกต้อง
โยมถาม : พระอาจารย์ชี้แจง แล้วผมยังสงสัยอยู่ตรงที่ว่าอย่างกฎสิบสามข้อของพระธุดงค์นี้มีอยู่ข้อหนึ่งว่าห้ามไปปักกรด หรือไปจำอยู่ที่ที่อยู่ของภูตผีปีศาจอยู่ใต้ต้นไม้อย่างนี้ ผมว่าแต่ละข้อนี้คงจะไม่ใช่งมงายที่ผมคิดมา แล้วตามต้นไม้นั้นมีอยู่ไหมครับ
ท่านพุทธทาสตอบ : ไม่ ไม่ตอบ ไม่ตอบคำถามบ้าๆ บอๆ อย่างนี้
โยมถาม : แล้วกฎสิบสามข้อนี้มีหรือไม่หลวงพ่อ
ท่านพุทธทาสตอบ : กฎอะไร
โยมถาม : กฎของพระธุดงค์
ท่านพุทธทาสตอบ : ไม่ตอบ ไปถามพระธุดงค์ ไปถามพระธุดงค์ เราก็ต้องการแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้องเป็นกฎในตัวเอง ความถูกต้องเป็นกฎในตัวเอง ถูกต้องแล้วเป็นพระนิพพานไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา
โยมถาม : หลวงพ่อครับ ที่คำสอนตอนเด็กที่กล่าวไว้ว่า ที่ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วนอกจากทุกข์ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรแล้วที่จะดับทุกข์นอกจากทุกข์
ท่านพุทธทาสตอบ : ก็ตอบคำพูดแน่นอนนั้นก็คือ สิ่งที่เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับอยู่นั้นไม่มีอะไร นอกจากทุกข์
โยมถาม : แล้วถ้าในโลกนี้ไม่ต้องมีชีวิต จะไม่เป็นไปไม่ได้หรือครับ ทำไมต้องเกิดมาเพื่อจะรับทุกข์ ทุกข์และเพื่อแก้ไขทุกข์
ท่านพุทธทาสตอบ : มันก็ไปอยากเกิดมาทำไม เสือกมาเกิดทำไม ถ้าไม่มีการเกิดการดับอยู่แล้ว ไม่มีอะไรนอกจากความทุกข์ ถ้ามีความถูกต้องไม่มีความทุกข์ เพราะความถูกต้องเป็นพระนิพพาน พระนิพพานแปลว่าที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ขอให้จุดอยู่จุดเดียวความถูกต้องความถูกต้อง ให้สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก ในความถูกต้องเรื่อยไปสันทิฏฐิโก ในความถูกต้องเรื่อยไป แล้วมันก็จะไม่มีความทุกข์ แล้วมันจะต้องไม่มีเกิด จะต้องไม่มีตาย จะต้องไม่มีความบ้าดี เมาดี หลงดี อะไรกันที่ไหน เพียงแต่ทำให้มันถูกต้องแล้วมันไม่เป็นทุกข์นี่ คุณทำให้มันไม่เป็นทุกข์แล้วมันก็ถูกต้อง
โยมถาม : แล้วทำไมตัวเราต้องเกิดมา อย่างผมนี่ผมไม่รู้ว่าผมต้องเกิดมา แม้ถูกกำหนดด้วยตัวเองมา ก็ทุกข์เกิดมา ทุกข์มาก็เล่า เจอทุกข์ เจอทุกข์ ก็ต้องศึกษาวิธีพ้นทุกข์ทำไม
ท่านพุทธทาสตอบ : ก็คุณยังเป็นมนุษย์ที่ยังโง่อยู่ ยังไม่รู้ว่ามันมีความทุกข์โดยอะไร มันมีความทุกข์โดยอะไร ถ้าไม่มีปัญญาอย่างพระพุทธเจ้า มันก็ไม่มีความคิดว่าอะไรเกิดมาหรือใครเกิดมา นี่มีความรู้สึกว่าใครเกิดมาอะไรเกิดมา มันก็พ้นเกิดพ้นดับทุกข์พ้นอะไรไปหมด เรียกว่าความถูกต้องของสติปัญญา ของจิตที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา มันมีความถูกต้องมันเลยเป็นทุกข์ไม่ได้ เป็นทุกข์ไม่ได้ คำว่าความถูกต้องนี้คำที่เข้าใจกันไม่ได้ เข้าใจกันไม่ได้ ไม่ว่าเข้าใจกันได้แต่เรื่องดีเรื่องบ้าเรื่องสวยเรื่องสุขเรื่องทุกข์กันไป ความถูกต้องมันเป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใดหมด ถูกต้อง
โยมถาม : บางอย่างที่ต้องถามหลวงพ่อ เนื้อหาที่ตรงๆ เนื้อหาตามปุถุชนที่สงสัยก็ต้องอยากถาม อยากรู้ อย่างยกตัวอย่างที่เขาทำ ที่คนล่วงลับไปแล้ว แล้วทำบุญกรวดน้ำไปให้ แล้วถ้าเกิดว่ามันจริงเท็จแค่ไหน สมมติว่าไม่จริงแล้วทำไมศาสนายังคงเป็นอยู่อย่างนี้ให้กระทำกันอยู่
ท่านพุทธทาสตอบ : ศาสนาของใคร ไม่ใช่ศาสนาของความถูกต้อง มันไม่ใช่ศาสนาของความถูกต้อง
โยมถาม : อย่างศาสนาพุทธของเรานี่ที่ให้คนกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศล
ท่านพุทธทาสตอบ : ถ้ามันไม่ใช่ถูกต้อง มันไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้ามันยังไม่มีความถูกต้อง มันยังไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้ามันมีความถูกต้องแล้วมันอยู่เหนือความตาย
โยมถาม : คือว่าท่านอาจารย์สรุป คือว่าถ้าผมอยากขอคำสรุป คือว่าสิ่งที่ทำเหล่านั้นก็คือสิ่งที่สูญเปล่าใช่ไหมครับ
ท่านพุทธทาสตอบ : ไม่สูญเปล่า
โยมถาม : การกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศล
ท่านพุทธทาสตอบ : ก็มีไว้ของคนเหล่านั้นน่ะ คนเหล่านั้นที่มันมีจิตอย่างไร มันคิดอย่างไร มันยึดถืออย่างไร มันก็มีไปตามแบบของคนเหล่านั้น ไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่ใช่คนที่มีความถูกต้อง มันก็ต้องเป็นทุกข์แบบของคนที่ไม่มีความถูกต้อง
โยมถาม : ในทางปัญญาแล้วถือว่าไม่ควรทำสิ่งนั้นเลย
ท่านพุทธทาสตอบ : ต้องทำให้ถูกต้อง ปัญญาต้องทำให้ถูกต้อง ต้องมีความถูกต้องจึงจะเป็นปัญญา ปัญญาที่แท้จริงนะ ปัญญาที่แท้จริง มันต้องมีความถูกต้อง ต้องมีความถูกต้อง
โยมถาม : หลวงพ่อครับ ทุกชีวิตนี่มีค่าเท่าไหม สมมติว่าเขาฆ่าไก่กับฆ่าหมา นี้บาปเท่ากันไหมครับ
ท่านพุทธทาสตอบ : ไม่ มันไม่มีไก่ไม่มีหมา ไม่มีคน มันก็เป็นการกระทำไปตามความที่มันต้องการ ไม่มีอะไรวัด ไม่มีอะไรตวง แต่ถ้ามันถูกต้องก็เป็นความเต็มเปี่ยมเป็นความสูงสุด สูงสุดที่ความถูกต้อง ขอให้สนใจแต่ความถูกต้อง มีความถูกต้องเป็นอยู่ด้วยความถูกต้อง ถ้ามันไม่ได้เป็น ไม่ต้องห่วง มันก็ไม่มีอะไรอีกเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ถือว่ายังมีจิตอยู่ เอ้ายังมีจิตอยู่ ก็ขอให้มันจิตนั้นมันมีความถูกต้อง มันก็จะไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา มันยังมีดีมีชั่วอยู่ มันยังมีปัญหา ขอคำเดียว ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง แจ้งด้วยตนเอง เป็นความถูกต้อง