แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่จริงมันก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จริงจัง ขอเพียงทำความเข้าใจเรื่องที่พูดมาแล้วให้สำเร็จประโยชน์ คือลึกซึ้งเข้าไปให้สำเร็จประโยชน์ โดยเฉพาะก็คือคำว่า พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ นี่เป็นเรื่องที่ความหมายกว้างขวาง กว้างขวางจนเหมือนกับ นาทีที่0.02.00 มหาสมุทร ถ้าเอาคำของพระพุทธเจ้าเป็นหลักก็คือ การกระทำที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ นี่เรียกว่าพรหมจรรย์ นี่ถ้าภาษาชาวบ้าน ชาวบ้านปุถุชนเป็นหลัก คำว่าพรหมจรรย์ก็มีความหมายพิลึกกึกกือ หญิงสาวคนนี้รักษาพรหมจรรย์ไว้ได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น แล้วคำว่าพรหมจรรย์นั้นมันมีความหมายเท่าไร แต่ถ้าความหมายของพระพุทธเจ้ามันคือทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วต้องการให้เป็นการมีพรหมจรรย์ รักษาพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่โดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติ โดยธรรมชาติ จึงต้องใช้คำว่าประมวลทั้งหมดของพรหมจรรย์ จะเรียกว่าแผนภูมิก็ได้ ลองเอาหมวดธรรมะ บทธรรมะทั้งหลายมาเขียนเป็นหัวข้อตามลำดับ ตามรูปโครง นี่มันก็จะเป็นไอ้แผนภูมิ DIAGRAM ของพรหมจรรย์ ขอให้ทำ ให้สำเร็จประโยชน์ถึงอย่างนั้น เรียกว่าโดยประมวล ประมวล ประมวลมาให้หมด ประมวลมาให้หมด ประมวลมาให้หมดในแง่ของการปฏิบัติโดยเฉพาะ นี่เราใช้คำหมาย คำที่มีความหมายเป็นพิเศษ จึงจะต้องรู้จัก ตัว รู้จักตัวของพรหมจรรย์ ถ้าพูดอีกทีหนึ่งก็คือว่ารู้จักตัวชีวิตนั่นแหละในทุกความหมาย ชีวิตในทุกความหมาย จะประพฤติกระทำให้มีผลเหมือนกับมีความรู้สึกทุกขุมขน การประพฤติกระทำอะไร ถ้าสำเร็จ ถ้ามีปีติปราโมทย์ มันมีความรู้สึกซาบซ่านไปทุกขุมขน นั่งอยู่ที่ไหนก็ตามใจ มีความรู้สึกซาบซ่านไปทุกขุมขน แม้แต่ความรู้สึกสำหรับการแผ่เมตตานี่ ถ้าทำได้สำเร็จจริงมันก็รู้สึกซาบซ่านไปได้ทั่วทุกขุมขน ใครเคยมีความรู้สึกชนิดที่ทำอะไรนี่แล้วซาบซ่านไปทุกขุมขนบ้าง ในที่นี้ขอให้พยายามกันในระดับนั้น เอาคำธรรมดา คำธรรมดามาเปรียบมาพูดมาเปรียบเทียบ มีความรู้สึกทุกขุมขนตลอดเวลา อยู่ รู้สึกอยู่ ทุกขุมขน มีความรู้สึก รัก ประทับใจหรืออะไร ๆ อย่างนี้อยู่ทุกขุมขน นั่นเราต้องการไอ้ความหมายของคำนี้ที่เรียกว่าตัวชีวิตที่เป็นพรหมจรรย์ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าจดอะไรไว้ในสมุดแล้วก็เอามาดูเล่นเป็นครั้งคราว พรหมจรรย์อะไรก็ไม่รู้ กระทำ ให้เกิดความรู้สึกอยู่ทุกขุมขน เอาคำของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศพรหมจรรย์ ท่านจะประกาศพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอัฏฐะพร้อมทั้งพยัญชนะ พร้อมทั้งเบื้องต้นทั้งท่ามกลางทั้งเบื้องปลาย มีความรู้สึกเหล่านั้นทั้งหมดแล้วมันก็เกิดความรู้สึกซาบซ่านทุกขุมขนของผิวหนัง
จนเดี๋ยวนี้จึงอยากจะแนะนำคำพูดคำนี้ในความหมายที่สูงสุดตามหลักเกณฑ์ ตามกฎเกณฑ์ของ อะไรดี ผมใช้คำว่าของพระศาสนา ของพระศาสนา รวมทั้งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าธรรมดา พระอรหันต์ธรรมดา สัตบุรุษ บัณฑิตธรรมดาอะไรทั้งหมดนั้น ให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา แล้วมันจะมี มีผลสักเท่าไร มีอิทธิพลสักเท่าไร ฉันทะมูลกา มีความพอใจจับจิตจับใจ ลึกซึ้งไปทั่วทุกขุมขน พูดคำพูดธรรมดา ๆ นี่ก็เปรียบเทียบเอาเอง เป็นตัวพรหมจรรย์หรือตัวชีวิต ไอ้ตัวพรหมจรรย์คือตัวชีวิต เพราะฉะนั้นมันก็ต้องช่วยปรับปรุงกันหน่อย ขยับขยายกันหน่อย ให้ตัวพรหมจรรย์มันลึกซึ้งซึมซาบเข้าไปในชีวิตทุกขุมขน ไม่เหมือนกับที่เราพูดอะไรกันเล่น พูดอะไรกันเล่นตามสบาย ตามสะดวก ตามสบาย เรียกว่าทำอะไรพอเป็นพิธีตามสะดวกตามสบาย แต่นั่นแหละคำ ๆ นี้มันก็มีความหมายหลายระดับ คำว่า คำว่าพรหมจรรย์นี้ก็มีความหมายหลายระดับ แม้แต่เรื่องทางเพศของหญิงชาย ก็เรื่อง ก็ใช้คำว่าพรหมจรรย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลก็หมายถึงสิ่งที่ทำเป็นปรกตินิสัย เช่นว่าตั้งใจจะทำอะไร ตั้งใจจะทำอะไรให้สม่ำเสมอ แม้ที่สุดแต่ว่า จะใส่บาตร จะตักบาตรพระวันละช้อน วันละช้อนไม่ให้ขาดได้แม้แต่สักวันเดียว ถ้าประพฤติได้อย่างนี้ ภาษาบาลีนี้ก็ เขาก็เรียกว่าพรหมจรรย์ได้เหมือนกัน คือมันเป็นไปในทางที่กำจัดกิเลส กำจัดกิเลส เพื่อให้เกิดผลเป็นการกำจัดทุกข์ กำจัดกิเลส เรียกว่าพรหมจรรย์ก็ได้ เพราะฉะนั้นขอให้รู้กันแต่เดี๋ยวนี้ว่า คำ ๆ นี้มันหลายความหมาย หลายระดับ ความหมายหลายอย่าง แล้วความหมายก็หลายระดับ แต่ในที่นี้อาตมาประสงค์จะเอาให้เป็นระดับที่สำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ คือมีความรู้สึกอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ทุกขุมขน ทุกขุมขน ทุกขุมขน จะต่างกันสักกี่มากน้อยก็ขอให้ลองคิดดู แล้วก็อยากจะขอให้ทบทวนในหัวข้อที่กำหนดไว้ ๑๐ หัวข้อเรื่อย ๆ ไปพลาง เรื่อย ๆ ไปพลาง แต่ให้มันเขยิบเข้าไปในส่วนลึกของความรู้สึก ของธรรมะ ให้ลึกลงไปในความรู้สึกของธรรมะ ของความหมายของคำ ๆ นี้ ถ้าทำได้อย่างนี้มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะรู้สุดหมดจนสิ้นเชิง เช่นเดียวกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสประกาศพรหมจรรย์ รู้สุดหมดจดสิ้นเชิง เบื้องต้นท่ามกลางเบื้องปลายทั้งอัฏฐะทั้งพยัญชนะ แล้วมันจะมีอะไรเหลือหละ มันจะมีปัญหาอะไรเหลืออยู่ได้ ถ้ามีการประพฤติพรหมจรรย์กันในรูปนี้
เอาละทีนี้มันก็เหลือปัญหาอยู่แต่ว่าเราจะ จะกระทำให้ความหมายของคำพูดเหล่านี้ คือให้ตัวแท้ตัวจริงของคำพูดเหล่านี้มันเข้ามาสิงสถิตอยู่ในชีวิตทุกขุมขนได้อย่างไร ขอดูให้ดี จะทำให้เกิดความรู้สึกอันนี้หรือที่เป็นเจ้าของคำพูดคำนี้เช่นคำว่า พรหมจรรย์ เป็นต้น อย่างคำว่า ฉันทะ เป็นต้น มันจะมาอยู่ในจิตใจสูงสุดเป็นที่สุดได้อย่างไร ถ้ามันทำได้เต็มตามนั้นมันก็บรรลุมรรคผลกันไปหมดแล้ว แต่ก็ขอให้ทุกคนพยายามที่จะทำความเข้าใจหรือศึกษา ไม่ต้องทอดอาลัย ไม่อย่างนั้นมันจะลากไป ลากไป ลากไป ลากไป สิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปีก็ได้ มันก็ไม่มีไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวพรหมจรรย์ อยู่ในทุกขุมขน ใครจะมีคำถามอะไรก็ถามได้ ช่วยกันประหยัดแรง
ในที่นี้จะขอยกเอาคำต้นคำแรกที่ว่าเป็นคำสำคัญที่สุด ฉันทะมูลกา ก็เท่ากับว่า บอกให้รู้ว่าพรหมจรรย์นี้มีอะไรเป็นอะไร พรหมจรรย์นี้มีอะไรเป็นอะไร พรหมจรรย์นี้มีอะไรเป็นอะไร พรหมจรรย์นี้มีอะไรเป็นอะไร พรหมจรรย์นี้มีอะไรเป็นอะไร ต้องเข้าใจคำนี้ก่อนว่า มีอะไรเป็นอะไร เอาตามนี้ก็ว่า พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นมูลเหตุ มีฉันทะเป็นมูลเหตุ พรหมจรรย์นี้มีมนสิการเป็นแดนเกิด พรหมจรรย์นี้มีมนสิการคือการทำไว้ในใจเป็นแดนเกิด พรหมจรรย์นี้มี ผัสสะสมุทยา มีผัสสะเป็นเหตุให้เกิด เวทนาสโมสรณา พรหมจรรย์นี้มีเวทนา เวทนา เวทนา เวทนาทั้งหมดทั้งสิ้นกี่ล้าน ๆ มีเวทนาเป็น สโมสรณา เป็นที่ประชุมรวม ประชุมรวมที่เรียกกันว่าสโมสร แล้วก็พรหมจรรย์นี้มีสมาธิเป็นประมุข เรียกว่า สมาธิปมุขา นี้สิ่งที่เรียกว่าสมาธิเป็นประมุข บางคนอาจจะไม่สนใจหรือไม่เห็นด้วยหรือละเลยหรือปล่อยทิ้งเลย สมาธิ สมาเธอะอะไรกัน ไม่สนุก แต่หลักเกณฑ์อันนี้ยืนยันว่ามีสมาธิเป็นประมุข แล้วก็พรหมจรรย์นี้ มี สตาธิปเตยยา พรหมจรรย์นี้มีสติเป็นอธิบดี อธิบดีก็คือผู้เป็นใหญ่ ผู้บันดาลให้สำเร็จประโยชน์ในการกระทำน่ะเป็นอธิบดี สตาธิปเตยยา พรหมจรรย์นี้มีสติเป็นอธิบดี ปัญญุตตราหรือ 18.48 ปัญโยชตรา หรือ ปัญญาอุตตรา ก็ได้ พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุดของพรหมจรรย์ วิมุตติสารา พรหมจรรย์นี้มีวิมุติหลุดพ้นเป็นแก่นสาร เป็นแก่นสาร ตัวแก่นสาร อมโตคธา พรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้มีการหยั่งลงสู่อมตะ พรหมจรรย์นี้มีการหยั่งลงสู่อมตะ อมโตคธา มีการหยั่งลงสู่อมตะ เป็นหน้าที่หรือเป็นกิจ เป็นใจความ แล้วก็ว่า นิพพานะปริโยสานา พรหมจรรย์นี้มีพระนิพพานเป็นปริโยสาน ปริโยสานก็คือสิ่งสุดท้าย จบนั่นก็เรียกว่าปริโยสาน ถึงที่สุด จบ ปริโยสานเป็นคำยาว ๆ หน่อยถ้าเป็นคำสั้น ๆ ก็เรียกว่า อันโต อันโต แปลว่าที่สุด ที่สุด อันโตทุกขัสสะ ที่สุดแห่งความทุกข์ ทุกขปริโยสานา มีความทุกข์เป็นปริโยสาน ได้ความเหมือนกัน พรหมจรรย์นี้มีพระนิพพานเป็นปริโยสาน
ดังนั้นขอให้สนใจคำว่า มี มี มี มีอยู่ตั้งสิบ สิบตัว สิบคำ คำว่ามี มี มี ควรจะตอบได้ทุกคน ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพียงแต่จำได้นี่ จำได้ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าจำไม่ได้ ดังนั้นให้มันเข้าใจ ให้มันเข้าใจเมื่อได้ยินได้ฟังขึ้นมาว่ามีอะไร มีอะไรเป็นอะไรตั้ง ๑๐ ความหมาย มีฉันทะเป็นมูลเหตุ มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุให้เกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุม มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิบดี มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด มีวิมุติเป็นแก่นสาร และก็มีการหยั่งลงสู่อมตะ มีการหยั่งลงสู่อมตะเป็นกิจหรือเป็นหน้าที่ของมัน นิพพานะปริโยสานา มีพระนิพพานเป็นที่สิ้นสุด เป็นที่จบเรื่อง เป็นที่จบกิจ เรียกว่าจบพรหมจรรย์ พูดให้มันง่าย ๆ ก็บอกว่ามันมีฉันทะเป็นมูลเหตุตั้งต้น มีฉันทะเป็นมูลเหตุตั้งต้นแล้วก็มีพระนิพพานเป็นสิ่งสุดท้ายหรือเป็นปริโยสาน สำหรับคำนี้ก็ ก็พอที่จะเข้าใจ อะไรเป็นจุดตั้งต้น ฉันทะเป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์และพระนิพพานก็เป็นจุดสุดท้ายหรือสิ่งสุดท้ายหรือจุดจบ จุดสิ้น จุดบอกเลิก เป็นปริโยสาน แต่เดี๋ยวนี้มันซอยลงไป ซอยลงไปตั้ง ๑๐ ความหมาย เพื่อให้มันชัดเจน ให้มันชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น นี่ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ อาตมากลัวว่าจะรำคาญ อย่าเพ่อรำคาญ เพียงแต่จะจำให้ได้มันก็น่ารำคาญพออยู่แล้ว แต่จะเข้าใจให้ได้มันก็ยิ่ง ยิ่งหนักขึ้นไปอีก ยิ่ง ยิ่งทำให้เบื่ออะไรมากขึ้นไปอีก แล้วก็ทำไปในทางที่ แล้วให้ผลดี ให้เห็นแจ้งแทงตลอด เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก ทำไปให้เห็นแจ้งแทงตลอด เห็นแจ้งให้รู้แจ้งแต่ก็ยังแทงตลอดไปอีก ให้มันเป็นการรู้แจ้งแทงตลอด เห็นแจ้งแทงตลอด แล้วมีผลเป็นที่สรุปรวมอยู่ในคำที่สำคัญที่สุด ประเสริฐที่สุด วิเศษที่สุดว่า สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเองของตนเอง เห็นพร้อม เห็นหมด เห็นครบถ้วนด้วยตนเอง ก็ใครบ้างสมัครใจที่จะทำอย่างนี้กับ จะทำอย่างนี้กับสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ นี่ไม่ใช่พูดเยาะ ไม่ใช่พูดดูถูก ดูหมิ่น ไม่ใช่พูดให้รำคาญหรือไม่ใช่พูดให้บ่อนแตก ไม่ใช่ คือแต่ขอให้สำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์อยู่ในหัวใจ ในใจจริง แล้วก็ขอให้ทำให้มันซึมซาบเข้าไปในทุกขุมขนเหมือนว่าถูกผีหลอก กลัวผีตื่นเต้นทุกขุมขน ทุกเส้นขน ให้เรียกว่าจับจิตจับใจในสิ่งใดก็รู้สึกแก่จิตใจในทุกขุมขน ทุกขุมขน พรหมจรรย์นี้เราต้องการผลหรือปฏิกิริยาของการกระทำนี้ทุกขุมขน ทุกขุมขน เพียงเท่านี้มันจะหมดเรื่อง มันจะหมดเรื่องได้ มิฉะนั้นเราก็จะต้องพูดกันอีกห้าปี สิบปี ยีสิบปี ร้อยปีก็ได้ มันก็เพียงแต่ว่า จดไว้ในสมุดหรือเพียงแต่ว่าบันทึกไว้ในเทปบันทึกเสียง หลายคนเทปไว้ บันทึกเทปไว้ในเทปบันทึกเสียง มันก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในจิตใจแม้แต่สักเท่าเส้นขน ไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ทุก ๆ เส้นขน ทุก ๆ เส้นขน
เอาละขอให้ ให้สนใจเพียงแต่ว่าให้เข้าใจและทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ให้สิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์เข้ามาอยู่ในชีวิต ทุกเส้นขน เข้ามาเป็นตัวชีวิตเอง ให้สิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้เข้ามาเป็นตัวชีวิตเองอยู่ทุก ๆ เส้นขน แล้วก็มีการเห็นแจ้งโดยประจักษ์ว่าได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โดยหัวข้อทั้ง ๑๐ ข้อ มันได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เดี๋ยวนี้ดูแต่ว่า ใช้แต่เพียงแต่ข้อแรกมันก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ไม่รู้อยู่ที่ไหน ฉันทะมูลกา พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นมูลเหตุ นี่เขา นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในฐานะเป็นไอ้ ไอ้ตัว ตัวเหตุของการกระทำที่จะสำเร็จประโยชน์ ที่จริงมันเป็นอะไรมากไปกว่านั้นอีก มากไปกว่านั้นคือเป็นทุกอย่าง ใครจะค้านก็ขอให้ค้าน ฉันทะ ความพอใจนี่ มันไม่ใช่เป็นเพียงมูลเหตุให้ปฏิบัติพรหมจรรย์ มันเป็นทุกอย่าง ก็มาทำความเข้าใจในข้อนี้กันเสียก่อนสิ และก็ถ้ามันเป็นทุกอย่าง เป็นทุกอย่าง อะไรบ้างที่มันไม่ได้ ที่มันไม่มีฉันทะ หรือไม่ได้ตั้งอยู่ด้วยฉันทะ ไม่ได้ประกอบอยู่ด้วยฉันทะ ทุกละ ทุก ๆ เรื่อง ในบ้านในเรือน ในครอบครัว หรือว่าในทุกสิ่งทุกอย่างมัน มันอยู่ที่ความพอใจ มันสำเร็จอยู่ที่ความพอใจ คือพูดตามความจริง ตามความแท้จริงแล้วถ้าไม่พอใจมันก็ไม่หามา มันก็ไม่ดึงเอามา มันก็ไม่ ไม่เอาใช้ ไม่เอามากิน ไม่เอามาเก็บ ไม่เอามารักษา แล้วบรรดาไอ้สิ่งที่มันถูกกิน ถูกใช้ ถูกเก็บรักษาอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อไรก็ตาม เท่าไรก็ตาม อย่างไรก็ตามนี่ มันมาจากความพอใจ เพียงเท่านี้ข้อเดียวนี้ก็เหลือ เหลือ เหลือ เหลือ เหลือเกินแล้ว มันเหมือนกับว่าทั้งหมด ทั้งจักรวาล เป็นคำพูดที่บางคนจะเข้าใจไม่ได้ ถ้าอาตมาพูดว่า ทั้งจักรวาลทุก ๆ จักรวาลมีฉันทะ มีฉันทะอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เป็นมูลเหตุให้เคลื่อนไหวไปตามสิ่งเหล่านั้น เพราะมัน เพราะมันมี มีความรู้คุณค่าของสิ่งเหล่านั้นว่าจะให้ความสะดวกสบาย เอร็ดอร่อย สวยงามอย่างไรนี่
ขอสอนภาษาหน่อยแม้มันเป็นภาษาบาลี ภาษาบาลี ภาษาบาลีคำนี้เขาเรียกว่า คุณ คุณ ทุกอย่างมีคุณ ทุกอย่างมีคุณ ในจักรวาลไหน ทั่วโลกไหน ทั่วทั้งหมด ทั้งกี่โลกก็ตามมันมีคุณ คำว่า คุณ นั่น ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้มุ่งหมาย ใช้ไปในความหมายที่ดี ที่งาม ที่พอใจ ที่อะไรคำว่า คุณ คือคุณค่าหรือคุณสมบัติ มันจะเป็นเพียงว่า QUALIFICATION QUALIFICATION ไม่ระบุ ไม่ระบุลงไปว่าดีว่าชั่ว ว่าถูก ว่าผิด ไม่ทั้งนั้น แต่คือมันมีคุณค่า คือมันจะทำให้เกิดปฏิกิริยามีผลขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งนี่เขาเรียกว่ามีคุณ เพราะฉะนั้นคุณนั้น เลวก็ได้ ดีก็ได้ สวยงามก็ได้ สกปรกก็ได้ แต่ในภาษาธรรมะ เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ร้ายกาจที่สุด เลวร้ายที่สุด ไอ้สิ่งที่เรียกว่าคุณ นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ ถ้าจะเอาตามภาษาในปรัชญาฝ่าย เวทานตะ ฝ่ายฮินดู ฝ่ายอะไรนี้เขาก็ยังประณามไอ้สิ่งที่เรียกว่า คุณ ในลักษณะอย่างนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า คุณ นั้นคือสิ่งที่มันทำให้เกิดปัญหา ให้เกิดความยึดถือขึ้นมา เป็นคุณค่าขึ้นมา ถ้าคุณแล้วมันมีค่า ก็มีคุณค่า ทางดีก็ได้ ทางเลวร้ายก็ได้ น่าชื่นใจก็ได้ ไม่น่าชื่นใจก็ได้ นั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่าคุณคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่เป็นศัตรูร้ายกาจที่สุด ถ้าอย่ามีเสียเลยจะไม่มีทุกข์ จะไม่มีความทุกข์ นี่คุณในความหมายที่เป็นคำกลาง ๆ มันเป็นอย่างนี้ แต่ในภาษาไทยของเรามันบัญญัติเอาทางฝ่ายดี ฝ่ายดี เอาฝ่ายดีถ้ามีคุณแล้วก็มีประโยชน์ แต่ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะว่า คุณ เป็นที่ตั้งแห่งตัณหา อุปาทาน ฝ่ายดีก็ได้ฝ่ายชั่วก็ได้ ฝ่ายทุกข์ก็ได้ฝ่ายสุขก็ได้ เมื่อมี คุณ แล้วก็คือมันไม่เฉย มันทำให้มีผลเป็นปฏิกิริยาขึ้นมาต่อคุณฉะนั้นถ้าอย่ามี คุณ ถ้าอย่าเอาคุณมาเพียงอย่างเดียวโลกนี้ไม่มีปัญหา โลกนี้เป็นพระนิพพานไปหมด โลกนี้จะเป็นนิพพานไปหมดเมื่อไม่มีคุณอย่างเดียว
ไหน ๆ พูดแล้วก็ถือโอกาสพูดเสียอีกคำหนึ่ง ว่าคำที่เลวร้ายที่สุดอย่างเดียวกับคำว่า คุณ นี่ก็คือคำว่า ประโยชน์ คำที่เลวร้ายที่สุด น่าเกลียดน่าชังที่สุดคือคำว่า ประโยชน์ เช่นเดียวกับคำว่า คุณ เป็นที่ตั้งแห่งตัณหา อุปาทาน ทุกชนิด คำว่า ประโยชน์ ก็เป็นที่ตั้งแห่งความผูกพัน เป็นความผูกพันทุกชนิดประแปลว่าทั่วถึง โยชนะ แปลว่าผูก ผูกพัน ก็โยชนะแปลว่าผูกพัน ผูกพันก็คือทำให้ทุกข์ให้ร้อน ให้เดือดร้อน ให้รำคาญ ประโยชน์ นั้นสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์นั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาที่สุด ปัญหาเลวร้ายที่สุด ถ้าไม่มีประโยชน์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องด้วยแล้วควรจะ พระนิพพาน จะมีพระนิพพาน คงจะไม่เชื่อใช่ไหม ไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่เชื่อก็ได้ ขอบอกให้รู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่า คุณ คือเลวร้ายที่สุด เพราะมันเป็นเพียงแต่มันมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง มีคุณหรือมีค่าไปตามเรื่อง หรือตามธรรมชาติของมันนั้นเรียกว่าคุณ มันก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ไม่ทางดีก็ทางร้าย ไม่ POSITIVE ก็ NEGATIVE เป็นได้ทั้งสองทางเรียกว่า คุณ
ทีนี้ประโยชน์ ประโยชน์นี่แปลว่าผูกพัน มีประโยชน์แล้วก็จะต้องมีผูกพัน มีการผูกพัน ประโยชน์มากเท่าไรก็ผูกพันมากเท่านั้น ผูกพันจนกระดิกไม่ไหว นั้นจึงเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด น่าเกลียดที่สุด น่าชังที่สุด เอาไปเสียให้หมดอย่าให้มันมีเหลือเลยไอ้สิ่งเหล่านี้ คำว่า ประโยชน์ ก็ดี คำว่า คุณ ก็ดี มันจึงจะเป็นพระนิพพานขึ้นมา เอ้า พูดอย่างนี้มันชักจะถูกหาว่าเป็นบ้าแล้ว คงไม่มีใครเชื่อ คงมีคนว่าบ้าแล้วก็ได้ หลาย ๆ คนแล้วที่จะมาแสดงให้เห็นว่า คำว่า คุณ เลวร้ายที่สุด คำว่า ประโยชน์ เลวร้ายที่สุด คือเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นตัณหาอุปาทานทั้งนั้น นี่เราก็บอกเกินขอบเขตไปแล้ว อธิบายเกินขอบเขตไปแล้ว ก็เพื่อจะป้องกัน ป้องกันไอ้สิ่งที่จะใช้ คือไม่ให้มันเกินขอบเขต ฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา มีฉันทะเป็นมูล ขอให้ ก็ขอให้รู้จักฉันทะ ถ้าฉันทะ มันเข้าไปถึงคำว่าเป็น คุณ หรือเป็น ประโยชน์ ขึ้นมาแล้ว ก็คือวินาศ ก็คือวินาศ ดังนั้น ฉันทะ ฉันทะ อย่าให้เข้าไปบ้าไปมั่วไปหลงกับคำว่า คุณ กับคำว่า ประโยชน์
ฉันทะ ฉันทะ แปลว่า พอใจ เราใช้คำธรรมดา ๆ ว่าพอใจ คือ สะดวกสบาย สะดวกสบาย ไม่เลวร้าย ไม่ซ่อนเร้น ไม่มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในนั้น ไม่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น อาตมาขอดูถูกหรือเหยียดเอา คุณไม่เคยฟังคำนี้ ไม่เคยฟังคำว่าคุณในความหมายอย่างนี้ ไม่เคยฟังคำว่า ประโยชน์ ในความหมายอย่างนี้ คือจะมาบอกว่ามันเลวร้ายที่สุด ไม่มีอะไรจะเลวร้ายเท่ากับคำว่า คุณ กับคำว่า ประโยชน์ และถ้ารู้ธรรมะแท้ รู้ธรรมะจริง แม้ธรรมะที่เป็นปรมัตถ์แท้ ก็อธิบายอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็อธิบายอย่างนี้ ทางปรัชญา PHILOSOPHY เขาก็อธิบายกันอย่างนี้ เพราะว่า คุณ มันก็คือ ไอ้สิ่งที่มี มีคุณค่าตามธรรมชาติของมันแต่ว่ามันก็มีการดึงดูดให้พอใจ แต่คำว่าประโยชน์ก็มีแต่การผูกพัน ผูกพัน ชักใยพันตัวเองโดยไม่เห็นหัวเห็นหู ชักใยพันตัวเอง เราจะรู้จักไอ้สิ่งเหล่านี้ไว้ในฐานะที่จะได้รู้จักพอใจ เลือกพอใจให้ถูกต้อง เลือกพอใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันจะพอใจอย่างไม่ถูกต้อง พอใจไปเสียหมด พอใจอย่างบ้า ๆ บอ ๆ บ้าหลังไปหมด มันจะได้ฉันทะ ฉันทะ คือ พอใจแต่สิ่งที่ไม่ใช่ปัญหาหรือไม่เป็นปัญหา มันไม่ใช่ปัญหา ไม่เป็นปัญหา ถึงคำฝรั่งก็เหมือนกัน คำว่า VALUE หรือคำว่า QUALIFICATION นั้นมันไม่ได้หมายความว่า ดีโดยส่วนเดียว มันหมายถึงมีคุณค่าตามธรรมชาติ ตามแบบของมัน ไม่ได้ ไม่ได้หมายในแง่ดี เป็นกลางที่สุดและก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นด้วยตัณหาอุปาทานที่สุด แล้วมันจะมีอะไรนอกจากความทุกข์ ฉะนั้นขอให้พอใจแต่สิ่งที่ควรจะพอใจ ให้รู้จักหรือรู้สึกสิ่งที่ควรจะพอใจให้ถูกต้องเสียได้ด้วยสติปัญญา เพราะในข้อต่อ ๆ ไปของเรานี่ ปัญญุตตรา ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าปัญญามาแล้วมันพอใจถูกต้อง ปัญญาไม่มามันก็พอใจไม่ถูกต้อง ขอดูให้ดี ๆ ว่าพอใจ พอใจ นั้นเป็นอย่างไร แล้วคนไม่ได้ระมัดระวังสังวรในเรื่องความพอใจ พอถูกใจก็พอใจ พอเอร็ดอร่อยสวยงามก็พอใจ แล้วมันจึงพอใจที่จะไปรอบโลกกี่รอบโลกก็ได้ พอใจ พอใจ พอใจ โดยไม่ต้องว่ามันจะได้ จะเกิดผลอะไรขึ้น
เดี๋ยวนี้เราจะมีความพอใจเป็นมูลเหตุนะ ต้องให้ความพอใจเป็นมูลเหตุของการกระทำ จะนำไปสู่ความดับทุกข์ พอใจในสิ่งที่ไม่เกิดทุกข์ ไม่ดับทุกข์ รวมเรียกสั้น ๆ ว่าคือ สิ่งที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ แปลว่า มันมีสุขสงบเย็นด้วย และมันเป็นประโยชน์ด้วย มันมีอยู่สองความหมาย นี่มันจึงควรจะพอใจ ควรจะพอใจ แล้วรู้จักเลือกสิ่งที่พอใจ มิฉะนั้นมันจะไปคว้าเอายาพิษ หรืองูพิษ คือ ความหมายของคำว่า คุณ หรือคำว่า ประโยชน์ ขึ้นมา ถ้าอย่างนี้แสดงว่าไม่ ไม่มี ไม่มีที่ซุกหัว คือมันจะมีแต่ความทุกข์ร้อน มันเป็นทุกข์จนไม่มีที่ซุกหัว ขอให้ดูให้ดี ๆ เถอะว่า ฉันทะมูลกา มีฉันทะเป็นมูลนั้น จะหมายความกันอย่างไร จะให้มันหมายความกันอย่างไร แล้วทีนี้ก็คอยดูต่อไปว่าใครบ้าง คนไหนบ้าง มนุษย์คนไหนบ้าง ที่มันไม่ได้พอใจอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มันหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้นะ มนุษย์คนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความพอใจอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มันหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ มนุษย์ทุกคนมันพอใจอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอไป ก็ไม่ ไม่ ไม่ต้องพูดโดยรายละเอียดก็คงจะเข้าใจกันได้ แล้วส่วนที่มันเลวร้ายที่สุด มีอำนาจ มีอิทธิพลที่สุด คือ พอใจในสิ่งที่ตนรัก ด้วยอำนาจของกาม ของกาม ความพอใจเป็นที่ตั้งแห่งกาม กาม แปลว่า ความใคร่ หรือ วัตถุน่าใคร่ หรือสิ่งที่เป็นเหตุให้ใคร่ เพราะมันไม่มีสติปัญญา มันจึงเลยเถิดไปถึงความใคร่ ไม่หยุดอยู่แค่ความพอใจอันถูกต้อง ไอ้คนโง่เหล่านี้มันเลยเถิดไปถึงความใคร่ด้วยกามคุณ มันไม่หยุดอยู่เพียงแค่ความพอใจอันถูกต้อง แล้วจะเอาอะไรกับมัน ขอดูให้ดีเถอะว่าเรา โลกทั้งโลกนี่มันตกอยู่ในปัญหาอย่างไร สำหรับสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ แปลว่า ความประพฤติ หรือ การประพฤติอันประเสริฐ รู้สุดดับทุกข์ได้ตามที่พระพุทธองค์ทรงประกาศ และทรงประสงค์จะให้ทุก ๆ คนมีความรู้เรื่องนี้ คือ มี รู้ รู้สึก รู้จักตัวสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ เอาความหมายกลาง ๆ รวม ๆ ก็ว่าความประพฤติอันประเสริฐ ความประพฤติ กระทำอันประเสริฐ อันประเสริฐ ถ้าอันประเสริฐมันก็ไม่ต้องแว้งกัดเอา ไม่ต้องตบหน้าเอาทีหลัง คือ มันไม่มีปัญหาใด ๆ มันมีแต่ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นและเป็นประโยชน์ แล้วใครทำได้ก็คิดดูเอาเอง ใครทำได้จะทำให้ชีวิตนี้มีแต่ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ ใครทำได้ คิดแล้วก็ยังไม่มีความพอใจที่จะทำอย่างนั้นด้วย ยังไม่มีผู้พอใจในธรรมะ ยังไม่มีผู้พอใจในพรหมจรรย์ ยังไม่มีผู้พอใจในสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ยังไม่มีผู้พอใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ นี้แล้วก็ไปดูเอาเองว่ามันโง่เท่าไร มันเป็นมิจฉาทิฏฐิเท่าไร มันหลับหูหลับตาเท่าไร มันเป็นอวิชชาเท่าไร มันพอใจในสิ่งที่เป็นยาพิษ เป็นงูพิษกันเสียหมด
ขอสรุปความอีกนิดเดียวว่า ความรู้สึกที่อร่อยแก่ระบบประสาทนั้น เป็นมูลเหตุแห่งการทำความเสื่อมเสียในเรื่องนี้ เป็นมูลเหตุแห่งการทำความเสื่อมเสียในเรื่องนี้ ความรู้สึกที่สบายหรือพอใจก็ได้แก่ระบบประสาท ระบบประสาท คำว่า ประสาท นี่ภาษาบาลีเรียกว่า อินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เครื่องมือที่จะทำให้เกิดความรู้สึก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวมทั้งทางใจด้วยก็ได้ เกิดความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท แล้วก็หมายความว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่ต้องดูว่ามันจะให้โทษหรือให้คุณอย่างไร ถ้ามันอร่อยแล้วก็เอาทั้งนั้นแหละ อร่อยแล้วก็เอาทั้งนั้น มันถึงน่าสงสารเด็ก ๆ ของเรา เด็กหญิง เด็กชาย คนหนุ่ม คนสาว ที่ได้รับการศึกษา ได้รับการศึกษาหมาหางด้วน ไม่จำกัดให้เฉพาะอยู่แต่สิ่งที่ควรจะพอใจ มันพอใจไปหมดถ้าอร่อยแก่ระบบประสาท อร่อยแก่ระบบประสาทแล้วมันก็เอาทั้งนั้น มันก็เลยกลายเป็น SEX ไปหมด กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์หรือ SEX ไปหมด แล้วมันจะเป็นอย่างไร โลกนี้มันจะเป็นอย่างไร จัดการศึกษากันอย่างไร โลกนี้มันจะเป็นอย่างไร มันก็มีไอ้กามารมณ์เข้ามาเป็นเจ้าเรือน แล้วก็มุ่งหวังแต่กามารมณ์ บูชากันแต่กามารมณ์ แต่พูดให้เป็นกลาง ๆ เป็นภาษาธรรมดาสักหน่อยก็ ความอร่อยแก่ระบบประสาท อาตมาขอให้คำนี้เพียงคำเดียวว่า ความเอร็ดอร่อยแก่ระบบประสาท ระบบประสาทมีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สิ่งใดให้เกิดความเอร็ดอร่อยแก่ระบบประสาท สิ่งนั้นให้ระวังเถอะจะทำให้ลูกเด็ก ๆ ของเราเสียหายหมด ให้การศึกษาเสียหายหมด ให้การงานเสียหายหมด ให้ศีลธรรมเสียหายหมด เดี๋ยวนี้มันมีแต่อาชญากรรม มีแต่ความเลวร้าย ไม่มีศีลธรรมเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง ทุกหัวระแหง เพราะว่ามันบูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท คนไหนบ้างที่มันไม่บูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท ไปหามาดูสิ มันบูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทแล้วมันก็ตกอยู่ในข่ายนี้ มันสูญเสียไอ้สิ่งที่ไม่ควรจะสูญเสีย มันไม่มีฉันทะ จำกัดอยู่แต่ในสิ่งที่ถูกต้อง มันมีเตลิดเปิดเปิงไปทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง ถ้าเอร็ดอร่อยแก่ระบบประสาทแล้วมันก็เอาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่า SEX SEX หรือ กามารมณ์ มันก็ครองโลก ครองจักรวาล ครองโลก ครองจักรวาล ทั้ง ๆ จักรวาล
แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายผีสางเทวดาก็ยังชอบ ชอบสิ่งที่เอร็ดอร่อยทางระบบประสาทจะเอาเป็นที่พึ่งอะไรกันได้ มันก็มีแต่ธรรมะอย่างเดียว มีแต่ธรรมะอย่างเดียว มีแต่หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าอย่างเดียวที่เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ จึงจะเป็นหลักปักดิ่งให้ ให้มันเป็นความถูกต้องอย่างไร ความถูกต้องอย่างไร จึงขอให้ทุกคนมีฉันทะมีความพอใจแวดล้อมอยู่แต่กับสิ่ง ๆ นี้ คือ ความพอใจในทางธรรมะ นี่เรียกพอใจเป็นมูลเหตุ แล้วก็เรียกพอใจไปทุกอย่าง พอใจไปในทุกอย่าง พอใจไปในสิ่งที่เรียกว่า คุณ พอใจในสิ่งที่เรียกว่า ประโยชน์ อย่างนี้ก็คือวินาศ คือความวินาศ ฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา ฉันทะเป็นมูลเหตุ ฉันทะก็กลายเป็นเหตุสร้างความพินาศทุกอย่างทุกประการไป ขอให้ระวังให้ดี จำกัดอยู่ ให้คัดเลือกเอามาให้ได้ ให้ได้แต่ว่าฉันทะที่ไม่เป็นอันตราย คือ ฉันทะที่ถูกต้อง ฉันทะที่ถูกต้อง
ขอพูดต่ออีกนิดว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง เป็นเหตุให้ต้องมีฉันทะ ถ้าความไม่ถูกต้องมีฉันทะแล้วก็วินาศเหมือนกัน ฉันทะที่ไม่มีความถูกต้องก็วินาศ ฉะนั้นอย่าเอาแต่ว่าฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา มีฉันทะเป็นมูล ก็ต้องให้ครบฉันทะที่มันมีความถูกต้อง มีความถูกต้อง มีฉันทะชนิดนี้เป็นมูล แล้วมันก็เคลื่อนไหวไปในทางที่ถูกต้อง ถูกต้อง หลักที่จะต้องยึดไว้อย่างสูงสุดอย่างยิ่งก็คือ ความถูกต้อง ความถูกต้อง ขอท้าให้ทุกคนไปพิสูจน์คำว่า ถูกต้อง มันมีทางที่จะผิดพลาดที่ตรงไหน ถ้ามันมีความถูกต้องแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันจะมีแต่ความดับทุกข์ ถ้ามันเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมามันก็ไม่มีความถูกต้องแล้ว นี่ความถูกต้อง ความถูกต้องมันเป็นคำสุดพิเศษ เป็นคำพูดพิเศษคำเดียวที่มันพลัดเข้ามาอยู่ในปทานุกรมซึ่งไม่มีใครบัญญัติขึ้น แต่อาตมาขอบัญญัติ ขอยืนยันว่าความถูกต้อง ความถูกต้องเป็นตัวพรหมจรรย์ ถ้ามีพรหมจรรย์ต้องมีความถูกต้อง ความถูกต้องเป็นสารบบของพรหมจรรย์ ของพรหมจรรย์ที่เรากำลังจะพูดกันอยู่นี่ ความถูกต้องเป็นตัวพรหมจรรย์ ส่วนความ ความอะไรต่าง ๆ นั้นไม่ถูกต้องและเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็เป็นฉันทะที่เป็น เป็น เป็นความเลวร้าย ความดี ความดีก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ บุญกุศลก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ อำนาจวาสนาก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ สวรรค์ เอ้าต่อให้สวรรค์ก็ยังบ้าได้ เมาได้ หลงได้ แม้แต่พรหมโลกมันก็ยังบ้าได้ เมาได้ หลงได้ หลงได้แม้จะไม่ใช่เรื่องกาม มันก็เมาอย่างที่ไม่เป็นกาม แต่มันก็เป็นบ้าได้ เมาได้ หลงได้ มันไม่ใช่ความถูกต้อง ถ้าสิ่งใดมันยังบ้าได้ เมาได้ หลงได้ ไม่ใช่ความถูกต้อง ฉะนั้นขอให้เรามีฉันทะแต่ชนิดที่ถูกต้อง ฉันทะที่บ้าไม่ได้ เมาไม่ได้ หลงไม่ได้ บ้าดี เมาดี บ้าบุญ บ้าอำนาจวาสนา บ้านรก บ้าสวรรค์ บ้าอะไรกัน ก็บ้ากันไปได้ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ช่วยกันไม่ได้ เพราะว่าถ้ามันมีฉันทะแล้ว มันก็มีฉันทะได้แม้แต่ในนรก คงจะไม่มีใครเชื่อ มัน มันมีฉันทะได้แม้แต่นรก ถ้ามันมีฉันทะไม่ได้ในนรกแล้วใครมันจะตกนรกหละ มันจะหาคนตกนรกสักคนหนึ่งก็ไม่ได้ นี่ถ้ามันมีฉันทะแม้แต่ในนรก บ้าได้ เมาได้ หลงได้ เป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่สิ่งที่เรียกว่านรก
ข้อนี้ขอให้ยุติกันว่า ฉันทะมูลกา ขอให้มีแต่ฉันทะที่เป็นความถูกต้อง จำกัดความของพระพุทธเจ้า ตามภาษาของพระพุทธเจ้าว่า สัมมัตตะ ถ้าไม่เคยได้ยินก็ให้ช่วยได้ยินเสียนี่ ในพระบาลีทั้งหมดทั้งสิ้นพระพุทธเจ้าสงเคราะห์คำ คำพูดไว้เป็นคำสรุปรวมว่า สัมมัตตะ สัมมา สัมมา สัมมาแปลว่าถูกต้อง คำว่า ตะ หรือ ตะทา แปลว่า ความ สัมมัตตะแปลว่าความถูกต้อง ยุติอยู่ที่ความถูกต้อง ความถูกต้อง บ้าไม่ได้ เมาไม่ได้ หลงไม่ได้ อีกทีหนึ่งก็ว่ามันก็เป็นทุกข์ไม่ได้ เป็นทุกข์ไม่ได้ ถ้าความถูกต้อง และความถูกต้องนั่นแหละเป็นอมตะ นาที่ที่ 53.38.8 อมโตคธัง หยั่งลงสู่อมตะ ความถูกต้องนั่นแหละเป็นอมตะคือความไม่ตาย ถ้าถูกต้องแล้วมันจะตายได้ยังไงหละ ถ้ามันมีความถูกต้อง ถูกต้องแล้วมันจะตายได้ยังไง ตดก็ยังไม่เหม็น นี่ทำโดยความถูกต้องแล้วมันก็เจ็บป่วยมันก็หายเสียเท่านั้นเอง ถ้ามันมีความถูกต้อง มันก็เลยไม่ต้องมีการเจ็บป่วย ไม่ต้องมีการตาย ก็มีแต่ความว่างนิรันดร ความไม่ตายนิรันดร ความไม่ตายนิรันดร นี่ก็คือความถูกต้อง เป็นอมตะ เป็นพระนิพพาน ขอให้ยุติความหมายของคำว่าพระนิพพานไว้ที่คำ ๆ นี้ คำประเสริฐที่สุดในสากลจักรวาล คือ คำว่าความถูกต้อง โลกนี้ ในโลกทั้งโลกนี้เขาไม่บูชาความถูกต้อง เขาบูชาการการได้ตามความเอร็ดอร่อยทางอายตนะทั้งนั้น เป็นคำที่ค่อนข้างจะรำคาญ พอพูดไปมันก็เป็นคำด่าทุกที มันบูชากันแต่ความเอร็ดอร่อยทางอายตนะคือระบบประสาท มันบูชากันแต่ความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท คนในโลก ในจักรวาลนี้มันบูชากันแต่ทางนี้ มันไม่บูชาความถูกต้อง ความถูกต้องมันยัง หาเป็นยาหยอดตาก็ยังไม่ค่อยจะได้
เราจะต้องมีความถูกต้องเป็นฉันทะ มีฉันทะในความถูกต้อง ให้ฉันทะอาศัยกันอยู่แต่กับความถูกต้อง ฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา มีฉันทะในความถูกต้อง เป็นที่ปรารถนาหรือเป็นมูลเหตุให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างทุก ๆ ประการ เรียกว่า ฉันทะมูลกา ไปดูสิ คนไหน ที่ไหน ที่ เมื่อไร เวลาไหน มันมีแต่ความพอใจอย่างใดอย่างหนึ่งกันอยู่แล้ว ใครบ้างที่ไม่มีความพอใจ แม้แต่ขโมยมันก็ยังมีความพอใจที่จะขโมย ทำชั่ว มันคนชั่วมันมีความพอใจที่จะทำชั่ว มันมีความพอใจกันไปเสียทั้งนั้นแต่มันไม่ถูกต้องนี่ ฉะนั้นเราต้องจำ จำกัดความตรงนี้ว่าความพอใจที่ถูกต้อง ฉันทะคือความพอใจที่ถูกต้อง และเป็นมูลเหตุให้เคลื่อนไหว ให้กระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกนี้ ที่ไหน ในปรมาณูไหนเอ้า ขอใช้คำบ้า ๆ บอ ๆ วิทยาศาสตร์อะไรก็ไม่รู้ ปรมาณูไหนบ้างที่มันไม่มีความถูกต้องหรือมีความถูกต้อง ปรมาณูไหนที่มันไม่มีความถูกต้องหรือว่ามันมีความถูกต้อง แม้แต่ปรมาณูเดียวเท่านั้นขอให้มันมีความถูกต้อง เรียกว่ามีฉันทะในความถูกต้อง ก็จะได้รับผลตรงตามความมุ่งหมายของพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ คือชีวิตนี้ ชีวิตนี้ ชีวิตนี้ที่จะต้องประพฤติกระทำให้เป็นไป เป็นไปจนกว่าจะถึงที่สุดของชีวิต นี่พรหมจรรย์ นี่ความถูกต้องเป็นมูล พรหมจรรย์นี้มีความถูกต้องเป็นมูล นี่พูดข้อเดียวที่ว่าพรหมจรรย์นี้มีความถูกต้องเป็นมูล ฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา มีความพอใจที่เป็นความถูกต้องเป็นมูลเหตุ หมดจบเรื่องหมด มีความพอใจในความถูกต้องเป็นมูลเหตุ
เอาละขอร้องในตอนสุดท้ายนี้ขอให้มีความถูกต้องทุกขุมขน ทุกขุมขน ตอนเช้าก็ดี ตอนบ่ายก็ดี ตอนเที่ยงก็ดี ตอนค่ำก็ดี ทุกขุมขน ขอให้มีฉันทะความพอใจในความถูกต้อง ฉันทะพอใจในความถูกต้องมันทุกขุมขน ทุกขุมขน เป็นอันว่าหมดปัญหาเกี่ยวกับหัวข้อที่หนึ่งของคำว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นมูล อาตมาก็ไม่มีแรงจะพูด นี่คือว่าขอพูดแต่เพียงข้อนี้แต่ข้อเดียวว่าขอให้ย้ำหมด พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นมูล ใครคนไหนไม่มีฉันทะ แล้วแผ่นดินที่ปรมาณูไหนไม่มีฉันทะ มันก็มีแต่ฉันทะกันทุกคน ทุก ๆ คน ทุก ๆ ปรมาณู มีฉันทะเป็นตัวการชักนำไปผิดหรือถูก ดีหรือชั่วก็อยู่ที่ฉันทะ ฉันทะ มันเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีเท่านั้นเอง
สงสารผู้ที่จัดการศึกษาเขาไม่รู้ความหมายของคำว่าความถูกต้อง เขานำมันไปโดยไม่ต้องถูกต้อง เอาแต่ประโยชน์ คือความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเป็นหลัก นี่คำนี้มันคงจะด่า อาตมาถือว่าเป็นคำด่าสูงสุดแต่คนก็คงจะด่าอาตมาสูงสุดเต็มไปทุกหัวระแหงเหมือนกันว่ามันมีกันแต่การจัดการศึกษาชนิดที่มีความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเป็นวัตถุประสงค์ ขอให้หยุดกันที อย่าจัดการศึกษาชนิดที่มีความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเป็นวัตถุประสงค์ จะเป็นการศึกษาชนิดไหนของใคร ของวัยไหน ของรุ่นไหน ของไหนก็ตาม แล้วก็จะได้พอใจ พอใจว่า มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นมูล พอใจในความถูกต้องเป็นมูล พอใจในความถูกต้องเป็นมูล ความถูกต้องเป็นมูล เป็นมูลให้ฉันทะมีความถูกต้อง ฉันทะก็จะมีความถูกต้องแล้วก็จะหมดปัญหา หมดปัญหาคือหมดสิ่งที่เป็นปัญหา ปัญหาไม่ต้อง ปัญหาชนิดที่ต้องถามหรือปัญหาที่ต้องสะสาง เรียกว่าปัญหาทั้งนั้น ขอให้หมดปัญหาทุก ๆ ประการ ก็มีฉันทะเป็นมูลนำไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องตั้งแต่เบื้องต้น เบื้องต้น นี่เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ข้อหนึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์มีฉันทะเป็นมูล เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์มีฉันทะเป็นมูล พูดได้ข้อหนึ่งมันจบเสียแล้วนี่ วันหลังพูดใหม่ก็ได้ถ้ายังไม่เบื่อ จะพูดเรื่องพรหมจรรย์ ๑๐ความหมาย พรหมจรรย์ ๑๐ ความหมายกันให้
พรหมจรรย์ในชีวิตทุก ๆ ความหมาย มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุให้เกิด มีเวทนาเป็นที่สโมสร มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิบดี มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด มีวิมุตติเป็นแก่นสาร มีการหยั่งลงสู่อมตะคือนิพพาน แล้วก็มีพระนิพพานเป็นที่สิ้นสุด จบ แล้วก็ขอร้องว่าให้ทำชนิดที่ สัณทิฏฐิโก สัณทิฏฐิโก เห็นแจ้งด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อผู้พูด ไม่ต้องเชื่อผู้แสดง ไม่ต้องเชื่อหนังสือ ไม่ต้องเชื่ออะไร ขอให้เด็ดขาดอยู่ที่เห็นได้ด้วยตนเอง เห็นได้ด้วยตนเอง เห็นได้ด้วยตนเอง จึงจะเรียกว่าพรหมจรรย์อันถูกต้อง สัณทิฏฐิโก สัณทิฏฐิโก สัณทิฏฐิโก พระนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดและสุดท้าย เป็นสิ่งสุดท้าย เป็นสิ่งสูงสุดเรียกว่าพระนิพพาน พรหมจรรย์ตั้งต้นไปเพื่อ เพื่อบรรลุพระนิพพาน เราฝึกกันวันละข้อสองข้อ แต่ขอร้องให้มันเข้าไปสิงสถิตอยู่ในทุกขุมขน ทุกขุมขนของสิ่งที่มีชีวิต อย่าไปอยู่ในกระดาษ แล้วก็อย่าไปอยู่ในเทปบันทึกเสียง ใครมีปัญหาอะไรถามก็ได้
ฉันทะมูลกามีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นมูลเหตุคือเป็นจุดตั้งต้น แล้วใครบ้างที่ไม่มีฉันทะ คนทั้งหลายนี่ใครบ้างที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าฉันทะ มันก็มีกันทั้งนั้นแหละ ผิด ๆ ถูก ๆ มีฉันทะทั้งนั้น ที่ไม่มีฉันทะนั้นไม่มีเลย มันก็อยู่แต่ว่าฉันทะนั้นจะผิดหรือถูก ใครบ้างที่ไม่มีฉันทะ แล้วอะไรบ้างที่ไม่มีฉันทะเป็นมูลเหตุ อะไรบ้างที่ไม่มีฉันทะเป็นมูลเหตุ เพราะว่าถ้าชอบใจอะไรเข้าแล้วมันทำสิ่งนั้นกันทั้งนั้น ชอบใจพอใจอะไรมันทำสิ่งนั้นด้วยกันทั้งนั้น แม้จะแลกเอาด้วยชีวิต ไปเที่ยวกันรอบโลกหลาย ๆ รอบ เป็นรอบ ๆ มันก็เพราะฉันทะดึงหัวไปทั้งนั้น
นาทีที่ 1.04.22(มีคนถามคำถาม) นั่นก็ถูกต้องของเขา นี่ ก็ ก็ไม่เกิดทุกข์ อันนี้มันเป็น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ค้านได้ แล้วก็ไอ้ข้อหนึ่งที่แยก1.04.46 หน่อย ก็ไม่เป็นปัญหา ความถูกต้องไม่เกิดปัญหา ความถูกต้องไม่เกิดทุกข์ ความถูกต้องไม่เกิดปัญหา ไปใคร่ครวญดู ไม่เกิดทั้ง PROBLEM ไม่เกิดทั้ง QUESTION นั่นจึงจะเป็นความถูกต้อง นี่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ไม่เกิดทุกข์ ซึ่งเป็นความทุกข์ ไม่เกิดทั้ง QUESTION ไม่เกิดทั้ง PROBLEM เป็นความถูกต้อง ดีมาก ขอให้ช่วย ช่วย ช่วย ช่วยพูดกันเรื่องนี้หน่อยเถอะ เดี๋ยวนี้มันไม่มีนักศึกษาคนไหนที่มันบูชาความถูกต้อง มันมีแต่นักศึกษาที่บูชาการศึกษาหมาหางด้วน เอาความสะดวกสบายตามพอใจ ชอบตามความพอใจก็บูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท เป็นหมาหางด้วนกันทั้งนั้น
นาทีที่ 1.05.52 คุยกับคนส่งหนังสือ เริ่มถอดความต่อนาทีที่ 1.06.22
เราพูดกันถึงเรื่องเบื้องต้นที่สุด สิ่งที่เป็นเบื้องต้นที่สุด หาเบื้องต้นอะไรไม่ มาก ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เบื้องต้นที่สุด เบื้องต้นที่สุดคือฉันทะ ฉันทะ แม้แต่สุนัขและแมว แม้แต่มดแมลง แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่มันก็มีฉันทะ มีฉันทะ ต้นไม้ต้นไร่นี่ก็มีฉันทะ ไอ้ความพอใจที่จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของมัน นี่สิ่งที่เป็นมูลเหตุที่สุด ฉันทะแปลว่าความพอใจ ควบคุมได้ 1.07.07ก็เป็นกิเลสตัณหา (พูดผิด) ถ้าควบคุมไม่ได้ ก็เป็น ถ้าควบคุมได้ก็เป็นสติปัญญา ตัวฉันทะนี่ระวังให้ดี ถ้าควบคุมได้ก็เป็นกิเลส(พูดผิด) ขอโทษ ถ้าควบคุมได้ก็เป็นสติปัญญา ถ้าควบคุมไม่ได้ก็เป็นกิเลส เป็นตัณหา เป็นกิเลส เป็นตัณหาอุปาทาน ควบคุมฉันทะไม่ได้ก็คือ คืออะไรดี ยิ่งกว่าตกนรก ถ้าควบคุมฉันทะได้ก็รอดตัวไป ยินดีมาก ทุกคนขอให้ช่วยค้น ค้นหาความหมายของคำว่าถูกต้อง ความถูกต้อง ไปพบปะกันที่ไหนก็ขอให้ช่วยกันค้นหาความหมายของคำว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง เพราะว่าโลกนี้มันไม่มีความถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันไม่มีความถูกต้อง มันมีแต่คนบูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท มันมีแต่คนที่บูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทหรือ SEX นั่นแหละ มันมีแต่คนที่บูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท มันจึงไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้อง มันมีแต่คนบูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท เป็นภาษาบาลีเรียกว่า กาม ภาษา Sigmund Freud เรียกว่า SEX ความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท เป็นสัญชาติญาณของสิ่งที่มีชีวิต เมื่อเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทมันพอใจกันทั้งนั้นไม่ว่าอะไร ไปดูสุนัขสิ ยื้อแย่งผ้าขี้ริ้วกันเป็นฝูง ยื้อผ้าขี้ริ้ว แย่งผ้าขี้ริ้วเป็นฝูง ความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท มันมีแต่มุ่งหมายเพื่อความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทกันทุกคน มันก็เลยไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องเหลืออยู่ ใครมีปัญหาอะไรอีกก็ช่วยกันถามกัน ช่วยบรรเทา ช่วย ช่วยเรี่ยวแรงอาตมาบ้าง จะมีปัญหาอะไรอีกต่อไป
ฉันทะมูลกา พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นมูล พรหมจรรย์นี้มีฉันทะเป็นมูล มูลเหตุของพรหมจรรย์ก็มาอยู่ที่ฉันทะ เป็นนามธรรมที่รู้จักยาก ไอ้ตัวกิเลสก็ดี ตัวฉันทะก็ดี ตัณหาอุปาทานก็ดี มันเป็นนามธรรมที่รู้จักยาก แต่แล้วเป็นความไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง มีฉันทะไปตามนั้นแล้วก็วินาศ
คำว่า พรหมจรรย์ คือเอาใจความสูงสุดก็ว่า สิ่งที่ดับทุกข์ได้ นี่เรียกว่า พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ การประพฤติที่ประเสริฐเรียกว่าพรหมจรรย์ คือการประพฤติที่ดับความทุกข์ได้ ไม่ให้เกิดความทุกข์ ไม่ให้เกิดปัญหา ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงก็เป็นพระนิพพาน ไอ้ภาษาแปลก ๆ สองคำคือคำว่า คุณ กับคำว่า ประโยชน์นั้น อาตมาก็ยังยืนยันอย่างนี้ ไปศึกษาที่ไหนก็ได้ ไปศึกษากับใครก็ได้ ศึกษากับนักภาษาศาสตร์ที่ไหนก็ได้ คำว่า คุณ คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คำว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดโทษ เกิดความทุกข์ยากลำบากที่สุด เพราะให้เกิดตัณหาอุปาทาน ที่ยึดมั่น ยึดมั่นอยู่นี่ ยึดมั่นอยู่ในคุณ และยึดมั่นอยู่ในประโยชน์ทั้งนั้น ธรรมะของพวกเวทานตะ ปรัชญาของพวกเวทานตะก็ยืนยันอย่างนี้ อาตมาเคยไปถกเถียงกับสวามีสัตยานันทบุรีด้วยเรื่อง ด้วยคำพูดสองคำนี้ ทีแรกก็ไม่ค่อยชัด เราก็ชักจะน้อมใจว่าสิ่งที่เรียกว่าคุณก็เป็นคุณ สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ นี่มาตกลงกันว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า คุณ เลวร้ายที่สุด ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ประโยชน์ คือยุ่งยากที่สุด ฉะนั้นอย่าบูชาคุณหรือบูชาประโยชน์กันนัก ขอให้มีความถูกต้อง ให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา สายกลาง สายกลาง อย่าไปลุ่มหลงกับคุณและกับประโยชน์
ไอ้คำ คำโบราณ ภาษิตโบราณของคน ชาวบ้านไทย ๆ เขาเรียกว่า ก้อนเส้าเป็นเสือ คนโรงเรียนฟังถูกไหม ก้อนเส้าเป็นเสือ นาทีที่ 1.13.07 พูดกันติดปาก กันตามธรรมดา ตามธรรมดา ภาษาชาวบ้านคนธรรมดา แต่ก็พูดอย่างนั้นแล้วก็หมายความว่า เขาได้รับความ ได้ ได้ ได้ประสบกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด สิ่งที่โชคร้าย เลวร้ายเป็นทุกข์ยากลำบากที่สุด เดี๋ยวนี้ฉันกำลังตกอยู่ในฐานะที่ ก้อนเส้าเป็นเสือ ก้อนเส้าที่มันใช้เตาไฟหุงข้าวมันกลายเป็นเสือขึ้นมา พอก้อนเส้ากลายเป็นเสือขึ้นมามันจะมีอะไรบ้างหละ ก้อนเส้าเป็นเสือ คือคำพูดหมายถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ภาษาไทย ๆ บ้านนอก บ้านนอก คนไทย ก้อนเส้าเป็นเสือ พวก พวกหมอดูแถว ๆ นาทีที่ 1.14.0 ทำนายทายทักอะไร สำหรับไอ้คนที่มาดู ดูหมอ ดูอะไร มันเลวร้ายที่สุด เขาบอก คุณอยู่ในก้อนเส้าเป็นเสือ ก้อนเส้าเป็นเสือ ระวังก้อนเส้าเป็นเสือ ก้อนเส้าทุก ๆ ก้อนที่เคยใช้หุงข้าวในเตาไฟมันกลายเป็นเสือขึ้นมาทุก ๆ ก้อนจะว่ายังไงหละ นี่ถ้าเราหลงธรรมะ ใช้ธรรมะผิด แม้แต่คำว่าฉันทะมูลกา ถ้าใช้ผิด ก้อนเส้าก็จะกลายเป็นเสือขึ้นมาเหมือนกัน ขบกัด ก้อนเส้าเป็นเสือ
ฉันทะเป็นมูลเหตุ นิพพานเป็นปริโยสาน หมดสิ้นฉันทะ จบสิ้นฉันทะ ฉันทะไม่มีเหลือก็เป็นนิพพาน ใครจะมีปัญหาอะไรก็ถามได้ เรียกว่าคุยกันมากกว่า อย่าให้เรียกว่าถามเลย จำไว้ให้ดีแต่เพียงว่า ฉันทะเป็นมูล ฉันทะเป็นมูล ฉันทะเป็นมูล ฉันทะเป็นมูล ใครบ้าง คนไหนบ้าง หรืออะไรบ้างที่ไม่ได้มีฉันทะเป็นมูล แม้แต่ลูกไก่ตัวนี้มันก็มีฉันทะเป็นมูลทั้งนั้น ทุกคน ทุกคน ทุกคนมีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นมูลเหตุ มีฉันทะแล้วจะมีการกระทำไว้ในใจ เป็นธรรมดา เรียกว่า นาทีที่ 1.06.18 ปริโย (พูดผิด) เรียกว่ามนสิการ เมื่อมีฉันทะแล้วมันจะมีมนสิการโดยอัตโนมัติ มันกระทำอยู่ในใจ กระทำไว้ในใจ โดยอัตโนมัติ เป็นแดนเกิด เป็นแดนกระทำให้ขยายแผ่ออกไป
1.16.43(มีคนถามคำถาม) ก็ควบคุมให้ถูกต้อง ให้มีความถูกต้องของเทคโนโลยี อย่าไปเป็นทาสของเทคโนโลยี เอาแต่ที่มันถูกต้อง ถูกต้อง มันก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราไปร่วมหัวจมท้ายเอาไปตามเรื่องของเทคโนโลยีมันก็มีแต่ปัญหาเพราะว่าผู้ที่บัญญัติเทคโนโลยีนั้นมันมีแต่ผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่มีสติปัญญาที่ถูกต้อง มันไม่มีการศึกษาที่สมบูรณ์ 1.17.30(ถามคำถาม) เราก็เลือกเอาแต่เทคโนที่มีปัญญา 1.17.34ปัญยุตรา มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด เอาแต่เทคโนโลยีที่มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด มันก็ป้องกันไอ้ความทุกข์ได้ ป้องกันความผิดได้ เดี๋ยวนี้มันช่วยไม่ได้แล้วเพราะว่าโลกมันเป็นมาอย่างนี้เอง โลกมันมาอย่างนี้เอง เป็นมาอย่างนี้เอง แล้วก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ยั่วยวนทางอายตนะ ยั่วยวนทางระบบประสาท ถ้าภาษาบาลีเขาเรียกทางอายตนะ ถ้าเป็นภาษาบ้าน ๆ เขาเรียกทางระบบประสาท มีความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเป็นใหญ่ นี่มันมีความเอร็ดอร่อยทางอายตนะเป็นใหญ่
มันช่วยไม่ได้ที่ว่าโลกมันเป็นอย่างนี้เพราะว่าเรามันได้ถลำเข้ามาในโลกที่เป็นอย่างนี้โดยไม่รู้สึกตัวมาแต่ครั้งไหน เป็นมาตั้งแต่ครั้งไหน แล้วมันก็เข้ามาโดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่ต้องให้รู้สึกตัว มาแต่ความหลงใหลในทางระบบประสาท ขวนขวาย ขวนขวาย ขวนขวายทั้งวันทั้งคืน ทั้งวันทั้งคืน ทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะให้ได้แต่ความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท สงสารลูกเด็ก ๆ การศึกษาของลูกเด็ก ๆ ที่ครูเขาให้ไม่พอ กำจัดความหลงใหลในระบบประสาทไม่ได้มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เด็ก ๆ ไม่รู้จักป้องกันให้ความ ให้มีความถูกต้อง ของความถูกต้องทางระบบประสาท พอใจแต่ความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท
ระวังให้ดีแม้แต่อุบาสก อุบาสิกานั่น มันก็จะเป็นเหยื่อของความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเข้าไปก็ไม่ทันรู้ ทั้ง ๆ ที่กำลังทำสมาธิวิปัสสนาอยู่ สมาธิวิปัสสนานี้ก็ไม่ใช่เล่นนะ ถ้าทำให้ถูกเรื่องตามเรื่องมันเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเหมือนกันนะสมาธิวิปัสสนานี่ ให้เกิดความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทเหมือนกัน เป็นฌานหลาย ๆ อย่างหลาย ๆ ชนิด ปฐมฌาน ทุติยฌาน นาทีที่ 1.20.30 ปีติสุข เอกัคคตา มันถึงกับหลงใหลไปได้เหมือนกัน พระนิพพานที่ถือเอาผิดความหมาย ก็หลงใหลไปได้เหมือนกัน หลงใหลเป็นกามไปได้เหมือนกัน หลงใหลไปทางระบบประสาทได้เหมือนกันแม้แต่พระนิพพาน อย่าหลงใหล อย่าให้มันถึงกับหลงใหล ถ้ามันหลงใหลแล้วมันก็สูญเสียหรือผิด ผิดเรื่องของฉันทะแล้ว ฉันทะมันผิดแล้วมันก็หลงใหลไปจนสุดโต่งสุดเหวี่ยง นี่ปรับทุกข์กันก็ดีแล้ว เห็นกันเสียทีให้จริง ๆ จัง ๆ ว่าไอ้ลูกเด็ก ๆ ของเรากำลังบูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทจนไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องคือไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะ ไม่มีความถูกต้องของพระพุทธ ของพระธรรม ของพระสงฆ์ คือไม่มีพรหมจรรย์ ไม่มีความหมายแห่งพรหมจรรย์ ก็มันไปบูชากันแต่ความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท
1.21.50มีคนถามคำถาม ก็คอย คอยเฝ้าดูสิ อาชญากรรม อาชญากรรม อาชญากร อาชญากรรมมันหนาขึ้นเท่าไร หนาขึ้นเท่าไร อาชญากรรม อาชญากรเลวร้ายลามกอนาจารทั้งหลายมันมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เพราะเขา เขา เขา เขาป้องกันไม่ได้ เขาต่อสู้ไม่ได้ เขาก็ผสมโรง สนองมันด้วยความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท มันจึงมีอันธพาล มีอาชญากรรม อาชญากร เต็มไปทุกหัวระแหง หนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้อ่านดูแล้วน่าสังเวชที่สุด อาชญากรรม อาชญากร
1.22.44มีคนถามคำถาม กว่าธรรมะจะกลับมา กว่าความถูกต้องจะกลับมา ก็มีแต่หวังกันอยู่แต่เท่านั้น กว่าธรรมะจะกลับมา ธรรมะคือความถูกต้อง คือความถูกต้อง
ความถูกต้องนี่อธิบายยาก เป็นคำพูดที่อธิบายยาก แม้แต่พวกฝรั่ง PROFESSOR ศาสตราจารย์ก็บัญญัติคำ ๆ นี้ไม่ได้ บัญญัติไอ้คำว่า ความถูกต้อง นี้ไม่ได้ มันบัญญัติได้แต่ความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรม ความอะไรไปทางโน้น ซึ่งมันยังไม่ใช่ความถูกต้อง มันยังบ้าได้ เมาได้ หลงได้ ยังทุจริตได้ ยังชวนให้ทำทุจริตได้ คติโบราณเขาถือกันว่าเป็นจักร เป็นอะไร เป็นจักร จักร เป็นวงจักรของไอ้ โลก ของโลก ของสากลโลก มันกำลังหมุนมาสู่จักร จักรนี่ สู่วัฏจักรอันนี้ จึงบูชาความเอร็ดอร่อยทางอายตนะกันเสียทั้งหมด ถ้าว่าหยุดบูชาความเอร็ดอร่อยทางอายตนะกันเสียที โลกนี้มันก็เป็นโลกของพระศรีอริยเมตไตรยหรือโลกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่แท้จริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าบางทีมันก็ให้ความหมายอย่างพระศรีอาริย์ไปเสียก็มี คือเอร็ดอร่อยสนุกสนานกันเต็มที่ไปเสียอีกก็มี ศาสนาพระศรีอาริย์ เอร็ดอร่อย ไม่ได้เอาความสงบเย็นและเป็นประโยชน์เป็นหลัก
เอาไว้แต่ความถูกต้อง เลือกดูเอาไว้แต่ความถูกต้อง ความถูกต้องและก็ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นปัญหา ไม่มีปัญหา ความถูกต้องไม่มีปัญหา สิ่งที่เรียกว่าความถูกต้องให้บทนิยามของมันว่า สิ่งที่ไม่มีปัญหา ถ้ามันยังมีปัญหาอยู่นิดหนึ่งก็ไม่ใช่ความถูกต้อง ปัญหาคือคำถาม คำถามว่าอย่างไร ทำไม เพื่ออะไร เท่าไร เหตุใด มันมีคำถามอยู่นั่น ความถูกต้องนั้นจะหมดปัญหา ปัญหาไม่อาจจะเกิด
นาทีที่ 1.27.25อะไร อะไร ไม่ได้ยิน (มีคนถามคำถาม) ถ้ามันถูกต้องแล้วหมดปัญหา มันไม่มีปัญหาเหลืออยู่เพราะว่ามันถูกต้องเสีย 1.27.46(มีคนถามคำถาม) ไอ้นั่นมันเป็นคำที่พูดยาก อธิบายยาก คำว่าความถูกต้อง มันเป็นปัญหาที่รบกวน รบกวนให้เกิดคำถาม รบกวนให้เกิดการกระทำ รบกวนให้เกิด คำว่าปัญหาคำเดียวนั่นแหละมันมาครอบงำหมดเลย ถ้าเป็นปัญหาก็ไม่มี ไม่มีความสงบสุข ถ้าหมดปัญหาก็ไม่มีความ ก็มีแต่ความสงบสุข คำนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ คำว่าความถูกต้องนี่แปลเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ ช่วยกันคิดกับพระบางองค์แล้วยังไม่พบคำว่า คำแปลที่ถูก ที่ดีที่สุดของความถูกต้อง ฝรั่งมัวแต่พูดว่า ALRIGHT ALRIGHT ALRIGHT นี่ไม่มีความถูกต้องสักขี้เล็บหนึ่ง มัน ALRIGHT กันตลอดปีตลอดชาติ มันไม่มีความถูกต้อง แล้วมันก็มีแต่ปัญหา มีแต่ปัญหา กวนโลกให้วุ่นวายไปด้วยเรื่อง SUPPLY เรื่อง DEMAND เรื่องสสาร เรื่องพลังงาน กวนโลกให้วุ่นวายเป็นแต่ด้วยเรื่องอย่างนี้ เรื่องบวก เรื่องลบ เรื่องสสาร เรื่องพลังงาน กวนโลก กวนโลกมนุษย์ให้วุ่นวาย เพราะว่ามันบูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาท เอาแต่เพียงไม่บูชาก็แล้วกัน เอาแต่เพียงไม่บูชาความเอร็ดอร่อยทางระบบประสาทก็พอแล้ว จึงเอา เหลืออยู่แต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง
เดี๋ยวจะไปเกิดสงสัยไอ้คำพูดบางคำขึ้นมาอีก คำว่าพรหม พรหมนั่นคืออะไร พรหม พรหมในที่นี้แปลว่าประเสริฐ คือไม่มีความทุกข์ เราไม่ได้หมายถึงเทวดาชั้นพรหม ไม่ได้หมายถึงเทวดาชั้นพรหม เพราะว่าเทวดาชั้นพรหมก็ยังไม่มีความถูกต้อง ยังยึดถือตัวตนอยู่ เทวดาชั้นพรหม พรหมโลก พรหมโลกมีอยู่กี่ชั้น กี่ชั้นก็ยังยึดถือตัณหาอุปาทาน ทีนี้คำว่าพรหมก็ต้องหมายถึงพรหมที่คู่กับพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ นั่นแปลว่าประเสริฐ จรรย์แปลว่าประพฤติ พรหมแปลว่าประเสริฐ แต่เอาความหมายเดิม ๆ ที่ ที่ถูไถกันมาก็มันดับทุกข์ได้ มันดับทุกข์ได้ ประเสริฐมันดับทุกข์ได้ คือมันไม่มีความทุกข์ มันหมดความทุกข์ ไม่มีปัญหาอีกนั่นแหละ คำสำคัญที่มัน มัน มันเป็นหลักฐานอยู่ในตัวมันเอง ช่วยจำ ๆ กันไว้ด้วยนะเช่นคำว่า ไม่มีปัญหานี่ คุณไปดู ไปใคร่ครวญดู ไปซักไซ้ใคร่ครวญดู มัน มัน อะไรมันจะ จะดีกว่านี้และจะจริงยิ่งกว่านี้ ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา เรียกว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง อะไรมันจะดีกว่าคำนี้ไม่มี แม้พูดว่าดี ทำดี มันก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ ร่ำรวยสวยงามก็บ้าได้ เมาได้ สวรรค์ก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ พรหมโลกก็บ้าได้ เมาได้ หลงได้ เป็นซะอย่างนั้น พรหมโลกนั้นก็มัวเมาในความเป็นพรหมโลก อายุยืนเป็นกัป กัป กัป กัป กัป ไม่อยากตาย อยากมีตัวตน อยากมีตัวตนอยู่เรื่อยไป มันก็เป็นอวิชชา เมาได้ หลงได้
พรหมจรรย์ คือ ความประพฤติอย่างสม่ำเสมอในการที่จะดับทุกข์ได้ บทนิยาม บทนิยามของคำว่าพรหมจรรย์ คือการประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอชนิดที่จะดับทุกข์ได้ ใคร ๆ ก็มีฉันทะในคุณ ฉันทะในประโยชน์ มีฉันทะในสิ่งที่เรียกว่าคุณ มีฉันทะในสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ นี่ระวังให้ดี ฉันทะที่จะ ยังต้องมีปัญหา ยังต้องมีความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าคุณ สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์
นาทีที่ 1.33.43(มีคนถามคำถาม) อะไร อะไรนะ(คำถาม) ศรัทธา อ๋อ ก็ ก็ เอาสิ ตามพอใจ ศรัทธามันยังไม่มีฤทธิ์มีเดช ฉันทะมันมีฤทธิ์มีเดช มันแสดงบทบาทได้เต็มที่ ฉันทะคือความพอใจ แต่ว่า ฉันทะคือความพอใจ ก็ต้องประกอบอยู่ด้วยศรัทธาที่ถูกต้องเหมือนกัน ไอ้ศรัทธาที่ไม่ถูกต้องมันบ้าใหญ่ หลงใหญ่เหมือนกัน ศรัทธาที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นสู้ไม่ได้ ศรัทธาใช้ในความหมายจำกัดว่าถูกต้อง ถูกต้องก็ใช้ได้ แต่ว่าศรัทธาเฉย ๆ มันก็ยังเป็นไอ้มิจฉาทิฏฐิอยู่นั่น ตามความเชื่อที่มันมากมายเท่าไร ฉันทะมันมาก่อน มันแหลมคมกว่า มันมาก่อน มันมาก่อนศรัทธา
นาทีที่ 1.35.05 (มีคนถามคำถาม) ฉันทะ (คำถาม) เกิดอะไรนะ (คำถาม) มันก็เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ฉันทะมันเกิดอยู่ตามธรรมชาติ ผิดหรือถูกมันก็เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมชาติแหละ ฉันทะมันเกิดอยู่ตามธรรมชาติ ผิดหรือถูกมันเกิดอยู่ตามธรรมชาติ เพราะว่าสิ่งที่มีอายตนะ มีระบบประสาท มันต้องมีความพอใจ มันต้องพอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามความรู้ หรือตามประสีประสาของมัน สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตนี่ต้องมีความพอใจ แม้ต้นไม้ก็มีความพอใจ สัตว์เดรัจฉานก็มีความพอใจไปตามแบบ ตามแบบ แบบของมัน ช่วยไม่ได้ความเป็นสัญชาตญาณ เพราะมันฝึกมันสอนกันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที พอใจในอะไร เอร็ดอร่อยในอะไร ยินดีปรีดาในอะไรอันนั้นมันก็ตั้งเค้าขึ้นมา ตั้งเค้าขึ้นมามากขึ้น มากขึ้น มันเป็นความพอใจที่แข็งแกร่งขึ้นมาจนกว่ามันจะเห็นว่าเป็นโทษมันถึงจะละ คำว่าสัญชาตญาณ เข้าใจกันไว้ให้ดี ๆ เถอะ คือว่า ญาณที่เกิดเอง นาทีที่ 1.37.22 สัญ แปลว่า เอง ชาตะ แปลว่า เกิด สัญ-ชาตะ-ญาณ ญาณ คือความรู้ที่เกิดขึ้นมาเอง ต้นไม้ต้นไร่นี่ก็มีความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณ รู้จักหลบหลีกศัตรูกันเป็นแถว ต้นไม้ต้นไร่นี่ รู้จักหลบหลีกศัตรูกันเป็นแถว มันเป็นของที่อะไรก็ไม่รู้ มันฝากมาสำเร็จรูปโดยอัตโนมัติอยู่ใน ในตัวธรรมชาตินั้น อยู่ในตัวธรรมชาตินั้นเอง มันมีความรู้สึกไปตามระบบประสาท จะรู้สึกผิดหรือรู้สึกถูกต้องก็แล้วแต่ แต่ถ้าว่าเอากันตามเรื่อง ไม่เอา ไม่เอาสติปัญญาเป็นหลักแล้วมันเป็น รู้สึกผิดทั้งนั้น ระบบประสาทตามปรกติมันจึงผิดทั้งนั้น เว้นไว้แต่จะมีปัญญาเข้ามาควบคุมไว้ มันถึงจะถูกต้อง เป็นระบบประสาทที่ถูกต้อง ถ้าปล่อยไปตามสัญชาตญาณ มันก็เป็นไอ้ หลงทาง เป็นเรื่องหลงทางตามบุญตามกรรม
นาทีที่ 1.38.55(มีคนถามคำถาม) เหมือนกับสมาธิ พัฒนาได้ สัญชาตญาณอบรมให้เป็นความถูกต้องขึ้นมาได้ ถ้าเข้าใจ ถ้า ถ้า ถ้ามีความรู้นะ ถ้ามีความรู้อบรมสัญชาตญาณ อบรมให้เกิดเป็นความรู้ขึ้นมาอย่างถูกต้อง ญาณทั้งหลายอบรมได้ แม้ว่ามันผิดอยู่ก็อบรมให้มันถูกขึ้นมาได้ ถ้าสามารถ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าญาณ ญาณหรือความรู้มันเป็นตัวสังขาร ตัวสังขารเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้นและถ้าเหตุปัจจัยอะไรเป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น คำว่าญาณหรือความรู้มันก็เป็นสังขาร คือเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น อบรมให้เป็นอย่างไรก็แล้วแต่ผู้อบรม แต่ถ้าใครมันมีปัญญาขึ้นมามันก็อบรมไปในทางที่ถูกต้อง ให้ดับทุกข์ เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาตรงที่มันมีอวิชชา มีอวิชชา มันไม่มีญาณ มันมีอวิชชาจึงทำให้เกิดญาณที่ถูกต้องไม่ได้ คือความมืด ความไม่รู้ตามที่ถูกต้องตามที่เป็นจริงเรียกว่าอวิชชา อวิชชาภาษาบาลีเรียกว่า อัญญาณ อัญญาณแปลว่าไม่รู้ ญาณแปลว่ารู้ อัญญาณแปลว่าไม่รู้
นาทีที่ 1.41.44 อะไร (มีคนพูด) จะไปแล้ว เอาสิ แล้วแต่ แล้วแต่ แต่ว่าเอาไปนึกให้เข้าใจทุกขุมขนนะ ฉันทะมูลกา ฉันทะมูลกา ให้รู้สึก รู้แจ้ง ทุกขุมขน ฉันทะมูลกามันเป็นอย่างไร ฉันทะเป็นมูลเหตุอย่างไร มัน มันมีอำนาจ มีฤทธิ์เดชเท่าไร ฉันทะ ฉันทะมูลกา