แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้จะได้บรรยายหัวข้อธรรมะพิเศษโดยชื่อว่าประมวลแห่งพรหมจรรย์ ประมวลแห่งพรหมจรรย์คือให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์กันอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ เพื่อใช้ประโยชน์ให้เต็มตามความประสงค์ คำว่าพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึงพรหมจรรย์ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศในบทว่า ทรงประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ทรงประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้วก็สิ้นเชิง นั่นแหละคือพรหมจรรย์ ไม่เกี่ยวกับพรหมจรรย์ทางเพศหรือมีความหมายเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ฉะนั้นขอให้สนใจความหมายของคำๆนี้ไว้ให้ถูกต้องไปเสียแต่ต้นมื้อ ประมวลแห่งพรหมจรรย์ก็หมายความว่าจะพูดกันถึงเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับพรหมจรรย์ แต่ก็เว้นไม่ได้ที่มันจะต้องเกี่ยวข้องไปถึงไอ้เรื่องที่มันประกอบกันอยู่ มูลเหตุแห่งพรหมจรรย์นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เป็นคัมภีร์รวมกันทั้งหมด นี่ก็ให้ได้ใจความโดยสมบูรณ์เรียกว่าธรรมะลีลา ธรรมะลีลา ลีลาแห่งธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้นอันเกี่ยวกับพรหมจรรย์ คำว่าพรหมจรรย์จะเป็นภาษาอะไรก็ตามใจเถิดแต่ในที่นี้เราหมายถึงสิ่ง สิ่งหนึ่งซึ่งเมื่อประพฤติปฏิบัติอย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง สรุปคำว่าดับทุกข์สิ้นเชิงไว้ในคำว่าผลของพรหมจรรย์ มีข้อความที่ควรศึกษาและก็ประพฤติปฏิบัติได้โดยง่ายเป็นหัวข้อสั้นๆหัวข้อง่ายๆซึ่งถ้าปฏิบัติตามได้ถึงที่สุดแล้ว จะรวมรวบสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมคุณหรือธรรมคุณ ธรรมคุณ ธรรมคุณ พระธรรมคุณ พระธรรมคุณ ไว้ได้โดยสิ้นเชิงคือทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็คือตัวพระศาสนานั่นแหละ พระธรรมคุณทั้งหมดก็คือตัวพระศาสนานั่นแหละ แล้วใครจะรู้หรือไม่รู้จะควรรู้หรือไม่ควรรู้ก็ลองคิดดูเองเถิด ตัวพระพุทธคุณ ตัวพระธรรมคุณ ตัวพระสงฆ์สังฆคุณรวมอยู่ในคำๆเดียวกันซึ่งเป็นคุณที่จะช่วยให้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง เตือนกันในเบื้องต้นอีกหน่อยหนึ่งก็ว่าบทที่ท่านทั้งหลายสนใจกันน้อยเกิดไปนี่ บทคือบทว่าสวากขาโต ภัควะตาธรรมโม พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สัณฐิติโกบุคคลพึงเห็นได้ด้วยตนเอง อกาลิโกไม่ประกอบอยู่ด้วยเวลา ไม่จำกัดอยู่ด้วยเวลา เอหิปัตติโกเป็นสิ่งที่ควรเรียกกันให้มาดู มาดู โอปนัตยิโกเป็นสิ่งที่ควรน้อมให้เข้ามามีอยู่ในตน ปัจจะตังเวทิสัพโพเป็นสิ่งที่บุคคลรู้ได้เฉพาะตน คือรู้สึกได้ปรากฏได้แต่จิตใจนั้น เฉพาะตน เฉพาะตน รู้แทนกันไม่ได้ ปรากฏแทนกันไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งเฉพาะตน เนี่ยรู้สึกว่ายังไม่สนใจกันให้เพียงพอ หรือว่ายังรู้จักกันน้อยเกินไปในธรรมคุณ ในพระธรรมคุณ ขอตักเตือนเป็นพิเศษซักซ้อมความเข้าใจให้แจ่มชัดในบทธรรมคุณทั้งหลาย บทธรรมคุณหรือพระธรรมคุณในฐานะที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ยกกันไว้เป็นหลักเบื้องต้นเป็นหัวใจแห่งพรหมจรรย์ มิฉะนั้นมันจะเกิดอาการที่ไม่สมบูรณ์ มันทำนากันโดยไม่ใส่ปุ๋ย มันจะเกิดอาการเหมือนกับว่าทำนากันโดยไม่ใส่ปุ๋ย มันก็ไม่ได้ผลสมบูรณ์ ถ้ามีความรู้เรื่องนี้สมบูรณ์ถูกต้องแล้วปฏิบัติอยู่มันก็จะได้ผลดีเหมือนกับว่าทำนากันโดยใส่ปุ๋ย ได้ผลดีถึงที่สุดของการทำนา ขอให้เข้าใจว่าความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์มีโครงสร้างโดยเฉพาะ มีโครงของธรรมะ ของธรรมะ รูปร่าง รูปโครงโดยเฉพาะจะเรียกว่าธรรมะลีลาก็ได้ ในฐานะคำประพันธ์ว่ามันงดงามไพเราะด้วยลีลาเหมือนคำประพันธ์ พรหมจรรย์ทั้งหลายสำคัญกลมกลืนเป็นอันเดียวกันเหมือนกับคำประพันธ์ ที่นี้ก็จะขอทำความเข้าใจกันสักหน่อยว่าเอามาจากไหนไอ้โครงธรรมะเหล่านี้เอามาจากไหน ก็เอามาจากอะไรซึ่งท่านทั้งหลายก็คงจะทำใจไม่ได้คือ คือว่าต้องทำความเข้าใจโดยสรุปกันว่าเอามาจากพุทธาธิบัณฑิต คำนี้ก็ควรจะจำไว้พุทธาธิบัณฑิตแปลว่าบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บัณฑิตคือผู้ที่มีปัญดา ปัญดานั้นคือปัญญาที่ใช้ดับทุกข์ได้ ปัญญาที่ใช้ดับทุกข์ได้เรียกเป็นภาษาบาลีว่าปัญดา ผู้ใดมีปัญดาผู้นั้นเรียกว่าบัณฑิต ฉะนั้นบัณฑิตคือผู้มีปัญดา ปัญญาชนิดที่ใช้ดับทุกข์ได้นี่ก็ไปปรากฏเอาด้วยตนเองว่ามันดับทุกข์ได้อย่างไร มีกันแล้วมันดับทุกข์ได้อย่างไร บัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเป็นประธาน พุทธาธิบัณฑิต บัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นอาทิ เป็นอาทิเป็นเบื้องต้นคือเป็นประธาน ขอพูดอย่างเอาเปรียบว่าไม่อ้างที่มาอะไรหมดไม่อ้างที่มาของใครของคัมภีร์ไหนของพระไตรปิฎกเล่มไหนไม่ต้องอ้าง คืออ้างหมดที่ว่าเป็นธรรมของพุทธาธิบัณฑิต บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ที่จริงก็ไม่ต้องมัวอ้างนั้นอ้างนี่อ้างโน้นอ้างนั่นให้มันเสียเวลา เมื่อมันประจักษ์แก่ใจจริง ใช้คำว่าประจักษ์แก่ใจจริง ประจักษ์แก่ใจจริง ว่าเมื่อปฏิบัติตรงไปอย่างนี้แล้วผลมันเกิดขึ้นอย่างนี้ แล้วผลมันเกิดขึ้นอย่างนี้เป็นความดับทุกข์ได้ มันจะต้องไปอ้างใครให้เสียเวลา ไปอ้างคนนั้นไปอ้างคนนี้ไปฝากไว้คนนั้นคนนี้ คนนั้นคนนี้เป็นช่วยรับประกันเป็นนายประกันว่าบัณฑิตปฏิบัติแล้วจะได้ผลจริงหรือไม่ ไม่ต้องไม่จำเป็นเพราะว่ามันรับประกันอยู่ในตัวเอง ถ้ามีธรรมะจริงมีธรรมะจริงมันก็รับประกันอยู่ในตัวเอง เพราะการได้ผลตามที่ต้องการนั่นแหละเป็นการรับประกันอยู่ในตัวเอง นี่เราก็มีหัวข้อธรรมะเหล่านี้ซึ่งอาตมาจะขอใช้คำว่าสรุปรวมออกมาจากพุทธาธิบัณฑิต คือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย ของพระ.0:10:55 (ฟังไม่ออกค่ะ) พระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วย ของพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ด้วย กล่าวออกมาแล้วมีใจความอย่างนี้ ใจความเป็นอย่างนี้ตรงประเด็นเดียวกันเป็นอย่างนี้เรียกว่าหัวข้อของพรหมจรรย์ นี่จึงขอตัดบทเสียว่าอย่าไปมัวอ้างว่าพระพุทธเจ้ากล่าวอยู่ในคัมภีร์นั้นอยู่ในคัมภีร์นี้ กล่าวเสียให้หมดจดสิ้นเชิงว่าคำของ พุทธาธิบัณฑิตในสากลจักรวาล ที่มีเป็นพุทธาธิบัณฑิตอยู่ในสากลจักรวาลแล้วก็เอาเป็นหลัก เอาเป็นหลักตรงที่ว่าปฏิบัติตรงไปอย่างนี้แล้วก็ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง นั่นน่ะคือนายประกัน นายประกัน ไม่ต้องเป็นนายประกันบ้าๆบออะไรก็ไม่รู้ ขอให้เป็นนายประกันที่จริงจังกันอย่างนี้ แล้วก็มันสำเร็จด้วยคำว่าสัณฐิติโก พูดเป็นกี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วก็ดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าสัณฐิติโกคืออะไร ขอให้พูดเพียงคำเดียวถ้าไม่รู้กันว่าสัณฐิติโกคืออะไร สัณฐิติโกคือเห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เห็นประจักษ์แจ้งด้วยตนเองโดยไม่ต้องอ้างใครเป็นนายประกัน เป็นตัวรับรองด้วยคำพูดอันนั้น นี่เรียกว่าสัณฐิติโก ธรรมะเหล่าใดสรุปรวมได้เป็นใจความอย่างนี้ เป็นใจความว่าเป็นธรรมะที่เห็นได้ด้วยตนเอง แล้วก็เป็นสัณฐิติโก ช่วยฟังดูให้ดีนะอาตมาได้พูดว่าธรรมะที่ปรากฏผลเป็นการเห็นได้แก่ตนเองจึงจะเรียกว่าสัณฐิติโก ดังนั้นมันไม่สัณฐิติโกมันไม่มีประโยชน์อะไร ก็มีอยู่เยอะแยะธรรมะทั้งหลายเพราะไม่ใช่ของพุทธาธิบัณฑิต คือไม่เป็นของพุทธาธิบัณฑิตมันไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นของพุทธาธิบัณฑิตมันก็เป็นสัณฐิติโก สัณฐิติโกตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าว ขอให้สนใจคำนี้ไว้เป็นพิเศษว่าสัณฐิติโก สัณฐิติโก สัณฐิติโกคือต้องเป็นสัณฐิติโก
ทีนี้ก็มีข้อความที่จะมากล่าวโดยย่อโดยรวบรัดโดยเบื้องต้นโดยจะเป็นเค้าความเค้าโครงก่อนว่าจะให้หัวข้อไว้สักสิบหัวข้อ ไว้สักสิบหัวข้อว่าจะเป็นคำที่จะสำเร็จประโยชน์เป็นพรหมจรรย์แล้วก็ให้ไว้สักสิบหัวข้อ เพื่อจะใช้เป็นคำพูดเนื่องกันไปว่า เนื่องไปกันว่าพรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีลักษณะอย่างนี้ พรหมจรรย์ที่เป็นของพระพุทธเจ้า ที่เป็นของพุทธาธิบัณฑิตนั้นมีลักษณะอย่างนี้ ไม่ต้องอ้างคัมภีร์นั้นไม่ต้องคัมภีร์นั้น ไม่ต้องอ้างคนนั้นไม่ต้องคนนี้ ไม่ต้องอ้างยกไม่ต้องอ้างความหมาย ทีนี้ที่ว่าสิบข้อ สิบข้อนี่กล่าวกันโดยรวบรัด โดยรวบรัดก็เป็นหัวข้อสั้นๆสิบหัวข้อว่า
หนึ่ง ฉันทมูลกา มีฉันทะเป็นมูลเหตุ กล่าวไปให้จบซะก่อน มนสิการสัมภวา มีการทำไว้ในใจเป็นที่มา แล้วก็สามผัสสสมุทยา มีผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา สโมสรณา มีเวทนาเป็นที่รวบรวมหมดสโมสร สมาธิปมุขา มีสมาธิเป็นประมุข แล้วก็สตาธิปเตยยา มีสติเป็นอธิบดี ปัญญุตตราหรือปัญโยชธรา มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด วิมุตติสารามีวิมุติเป็นแก่นสาร วิมุตการหลุดพ้นจากทุกข์เป็นแก่นสาร อมโตคธา หยั่งลงไปสู่อมัตตะ ยังลงไปอมัตตะส่วนลึก หยั่งลงไปสู่สิ่งที่เรียกว่าอมตะ นิพพานปริโยสานา มีพระนิพพานเป็นประโยสารมีที่สิ้นสุด พรหมจรรย์นี่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็มีพระนิพพานเป็นที่สิ้นสุด ทีนี้ก็ขอบรรยายใจความโดยย่อเท่าที่ว่าโอกาสมันจะอำนวย เสียงมันแห้ง เสียงมันแห้ง ไม่มีแรงจะออกเสียงแล้ว คอยตั้งใจฟังให้ดี ตั้งแต่ข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง ข้อที่สามตามลำดับไป
ข้อที่หนึ่ง ฉันทมูลกา มีฉันทะเป็นมูลเหตุ ถ้าคนมันไม่โง่เกินไปมันก็รู้ว่าสิ่งอะไร สิ่งอะไรที่มันจะตั้งต้นขึ้นมาได้ ที่มันจะเกิดขึ้นมาได้มีการกระทำขึ้นมาได้ ติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวไปได้ ก็เพราะว่ามันมีฉันทะในสิ่งนั้น ฉันทะคือความพอใจเป็นมูลเหตุมันจึงจะเกิดการประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ก็มีตั้ง 84000 ธรรมขันต์ หรือเท่าไรๆกี่ล้านๆธรรมขันต์ไปเถิด มันมีฉันทะคือความพอใจเป็นมูลเหตุ ก็ลองไปคิดดูสิคนๆไหนที่มันไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนกระทำเป็นมูลเหตุ คนๆไหนลองหาตัวมาดูที มนุษย์คนไหนที่มันไม่ได้มีความพอใจในการกระทำของตนเอง มันก็กระทำอะไรอยู่ด้วยความพอใจทั้งนั้นน่ะ จะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว พอใจมันมีความพอใจแล้วมันจึงมีการกระทำ มีการกระทำว่า ฉันทมูลกา พรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้นธรรมะกี่ล้านๆธรรมขันต์ก็ตามใจ รวมกันแล้วมันมีฉันทะคือความพอใจเป็นมูลเหตุมันจึงเกิดการกระทำ นี่ถ้าคนมัน มัน มันโง่จนไม่มองเห็นความข้อนี้แล้วก็จะปฏิบัติธรรมะไปทำไม จะไปศึกษาธรรมะกันทำไมถ้าไม่เห็นความจริงข้อนี้ ถ้าไม่เห็นความจริงในข้อที่มันมีฉันทะเป็นมูลเหตุให้กระทำ มันโง่ถึงขนาดนี้แล้วจะพูดกันทำไมให้เสียเวลา ฉะนั้นขอให้มองดิ่งลงไปถึงว่ามันอยู่ที่ตัวฉันทะ ไม่ต้องเชื่อใครไม่ต้องอาศัยใครเป็นที่อ้างหรือเป็นนายประกัน ตัวฉันทะมันบังคับอยู่ในตัว แล้วก็มีการกระทำตามอำนาจแห่งฉันทะ นี่ที่เรียกว่าสัณฐิติโกหรือไม่สัณฐิติโก อย่าโง่ถึงขนาดที่ไม่รู้จักคำว่าสัณฐิติโก ว่าสัณฐิติโกคือมัน มันเห็นประจักษ์อยู่ว่ามันมีฉันทะเป็นมูลเหตุ มันมีความพอใจเป็นมูลเหตุ นี่ขอน้ำตาลให้สักก้อนเล็กๆมันไม่มี ไม่มีเสียงแล้วมันออกเสียงไม่ได้แล้ว ฉันทมูลลา ฉันทมูลกา ฉันทะแปลว่าพอใจ มูลลาแปลว่าเหตุ มูล มูลค่าคือสิ่งที่เป็นเหตุเป็นมูล สิ่งที่เป็นเหตุเป็นมูลนั้นเรียกว่าฉันทะ แล้วไปคิดดูให้ดีคนไหน คนไหน คนไหน มนุษย์คนไหนหรือแม้แต่สัตว์ตัวไหน หรือแม้แต่สัตว์เดรัชฉานตัวไหนที่มันไม่ได้กระทำอะไรลงไปโดยมีฉันทะเป็นมูลเหตุ โดยเฉพาะยิ่ง้เรื่องทางกามอารมณ์เรื่องทางเพศทางอะไรมันยิ่งมูล มูลเหตุอย่างใหญ่หลวง เดี๋ยวนี้เราเอาอย่างพรหมจรรย์อย่างที่จะดับทุกข์ได้ แม้แต่อย่างที่จะดับทุกข์ได้อย่างสงบเยือกเย็นโดยตรงโดยแท้มันก็ยังมีฉันทะเป็นมูลเหตุ ถ้าปราศจากฉันทะเสียเพียงอย่างเดียวแล้วมันก็ไม่มีมูลเหตุ มันก็ไม่มีมูลเหตุ มันก็คือไม่มีมูล จงรู้ไว้เถอะว่าเราหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าฉันทะ ฉันทะ หล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่าฉันทะ ฉันทะ หรือว่าน้ำอะไรที่มันจะช่วยแก้ มันเป็นคำครอบจักรวาลรู้จักความหมายของคำว่าครอบจักรวาล โลกนี้โลกหน้าโลกไหนโลกอื่นโลกทุกโลกทุกจักรวาล มันถูกครอบงำอยู่ด้วยฉันทะ ฉันทะคือความพอใจมันดึงหัวมันไป พูดคำหยาบคายกันหน่อย พูดคำหยาบคายมัน มันเข้าใจเร็วดี มันชัดเจนดี มันมีฉันทะพอใจดึงหัวมันไปทุกชีวิต ทุกชีวิต ทุกชีวิต มันมีฉันทะดึงหัวมันไปให้ทำอะไร ให้ทำอะไร ให้ทำอะไรตามใจ จะกี่อย่างกี่ร้อยอย่างพันอย่างจะมีผลอย่างไรดึงหัวมันไป ตามสิ่งที่เรียกว่าฉันทะ สรุปคำๆนี้สั้นๆว่าฉันทมูลกา ฉันทมูลกา ฉันทมูลกา ถ้ายิ่งจะจำได้มักจะเอากันแต่เพียงจำได้ แต่จำได้มันไม่รู้สึกประจักษ์อยู่ในใจ ถ้ามันไม่เป็นสัณฐิติโกอยู่ในสติปัญญา มันไม่ประจักษ์ลงไปดวงใจในหัวใจในส่วนสุดของจิตใจ ว่ามีฉันทะเป็นมูลเหตุ เอาล่ะเห็นจะพอ พอ พอรู้เรื่องกันในเบื้องต้นเสียทีก่อนว่าชีวิตทุกชีวิตถูกนำไปอยู่ ถูกนำไปอยู่ ชีวิตทุกๆชีวิตถูกนำไปอยู่ แม้แต่ชีวิตของมดปลวกมดดำมดแดงสักตัวหนึ่งเท่านั้นน่ะถูกนำไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าฉันทะ ฉันทะตามความพอใจของมันแล้วทำไมไอ้มนุษย์ตัวใหญ่ๆนี่จะไม่ถูกนำไปด้วยไอ้สิ่งที่เรียกว่าฉันทะนั้น ฉันทะ ยุติเป็นข้อแรกกันเสียทีว่าการกระทำทั้งหลายมีฉันทะเป็นมูลเหตุ พูดอย่างสรุปสั้นก็ถ้าไม่มีฉันทะมันไม่ทำอะไร มันไม่มีอะไร มันไม่ต้องการอะไร ฉันทะแปลว่าความพอใจ ความพอใจที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ เมื่อพอใจแล้วก็ทำไปตามความพอใจจึงเรียกว่าฉันทมูลกา เป็นคำพูดกันคำเดียวสักทีหนึ่งก่อนว่าพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมคำนี้ไว้ว่าฉันทมูลกา คำเดียวปรากฏชัดอยู่ แล้วก็ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็ตรัสอย่างนี้ ตรัสในความหมายอย่างนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะให้มีจิตใจปักดิ่งลงไปในความจริงในความรู้สึกไม่ใช่เพียงแต่ความจำได้ จำได้ จำได้ ว่าฉันทมูลกา ให้เห็นจริงปักดิ่งลงไปในตัวธรรมะจริงๆอย่าให้เป็นแต่เพียงว่าจำได้ จำได้ ท่องกันได้ไม่กี่วินาทีก็ท่องได้ ฉันทมูลกา ฉันทมูลกา ฉันทมูลกา มันก็ท่องได้แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรถ้ามันไม่ปรากฏชัดลงไปจริงๆว่าฉันทะนั้นแหละเป็นมูลเหตุให้มีการเคลื่อนไหว ก็คือการกระทำ ถ้ามีการ (0:26:30 ฟังไม่ออกค่ะ) ของกระทำ มันมีมูลเหตุอยู่ที่ ที่จุดนี้คือตัวฉันทะ
ทีนี้ก็ข้อที่สองต่อไป พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านอกจากจะมีฉันทะเป็นมูลเหตุแล้วก็มีมนสิการสัมภวา มนสิการสัมภวา มีมนสิการเป็นแดนเกิด เป็นแดนเกิด ถ้าว่าเกิดแห่งความพอใจก็เป็นเกิดแห่งความพอใจ เป็นแดนเกิดแห่งความพอใจ มนสิการะแปลว่ากระทำอยู่ในใจ สัมภวาแปลว่าแดนเกิด พอมันมีฉันทะแล้วมันก็เกิด มันก็เกิดการกระทำอยู่ในใจ จริงหรือไม่จริง โง่กันถึงไหนจะโง่กันไปถึงไหนน่ะ พอมีฉันทะแล้วมันก็มีการกระทำอยู่ในใจตามแบบของฉันทะ ตามเรื่องของฉันทะ ตามความมุ่งหมายของฉันทะ มันยิ่งมีการกระทำอยู่ในใจมีการกระทำไว้ในใจนี่เรียกว่ามนสิการสัมภวา มีการกระทำอยู่ในดินแดนเกิด เอ้า ก็ดูทุกคนเดี๋ยวนี้ใครบ้างที่ไม่ได้มีความกระทำอยู่ในใจหรือรู้สึกอยู่ในใจ ใครบ้างหาตัวมาดูสิว่ามันไม่ได้มีการกระทำอะไรๆอยู่ในใจหรือกระทำไว้ในใจ ล้วนแต่มันมีกระทำอยู่ในใจกระทำไว้ในใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกันทั้งนั้น นี่เรียกว่ามนสิการสัมภวา ต้องเห็นชัดว่า โอ้ กูนี่ มันก็มี เท่านี้เองคือการกระทำอยู่ในใจ เรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างนั้นอย่างนี้แต่หมายถึงว่าเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร เรื่องที่มีประโยชน์แม้จะบ้าๆบอๆ ให้มีการกระทำอยู่ในใจการกระทำไว้ในใจ มนสิแปลว่าในใจ กาละแปลว่ากระทำ มนสิการะแปลกว่ากระทำไว้ในใจ อันนี่เป็นแดนเกิด เป็นแดนเกิด เหมือนกับแผ่นดินเป็นที่ตั้งที่อาศัย เมื่อมีฉันทะเป็นมูลเหตุขึ้นมาแล้วมันก็มีการกระทำไว้ในใจ เป็นเรื่องถัดมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน ฟังให้ดีมันมีฉันทมูลกา มีฉันทะเป็นมูลเหตุแล้ว จำเป็น จำเป็นโดยอัตโนมัติยิ่งกว่า ต้องเรียกว่าอัตโนมัติเกินกว่าจำเป็นเสียอีก มันเป็นของมันเองมันมีการกระทำไว้ในใจ มันมีการกระทำอยู่ในใจไปตามนั้น แล้วแต่มันจะกระทำในใจไว้ว่าอย่างไรโดยอำนาจแห่งฉันทะ ฉันทะคือมูลเหตุของมัน
เอ้านี้ ข้อต่อไปเป็นข้อที่สาม บอกความจริงให้คนโง่ทั้งหลายมันรู้ว่ามันเพราะผัสสสมุทยา ผัสสสมุทยา ผัสสะก็คือการกระทบ สมุทยา เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ลืมไป ลืมไป ข้อที่สามขอยกเลิกไอ้ที่พูดไปแล้ว มนสิการสัมภวานี่เป็นการกระทำไว้ในใจ มีการกระทำไว้ในใจตามที่มันมีฉันทะไว้เป็นมูล แล้วข้อนั้นน่ะมันเป็นเพราะมีการผัสสะ มีการกระทบทางผัสสะ มันมีการกระทบทางผัสสะเพราะว่าคน คนๆหนึ่งมันมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ช่วยไม่ได้ มันมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ คือมันมีคู่กระทบ มันมีคู่ที่กระทบ มีคู่ที่กระทบมันจึงมีการกระทบ มันมีผัสสะเป็นผู้กระทบแล้วก็มีสมุทะ เป็นสมุดไทเป็นเหตุให้เกิดขึ้นมา เป็นเหตุให้เกิดขึ้นมา สมุทยะ สมุทยะ สมุทยานี่เหตุให้เกิด เพราะว่ามันมีการกระทำอยู่ในใจ มันมีการกระทำอยู่ในใจแล้วก็เป็นธรรมดาที่มันจะต้องมีการกระทบเพราะว่าอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ นี่เรียกว่าผัสสสมุทยา มีใครบ้างที่ไม่มีการกระทบด้วยผัสสะ ใครบ้าง ใครบ้างหามาดูที คนที่ไม่มีการกระทบทางผัสสะ แต่ถ้ามีการกระทบทางผัสสะแล้ว ใครบ้าง ใครบ้างที่ไม่เกิดผลไปตามความรู้สึกของผัสสะที่มากระทบ ผลตามผัสสะที่มากระทบ ขอให้ดูโดยวงกว้างทั่วไปว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงแม้แต่มดดำมดแดงมันมีผัสสะที่กระทบอะไรเข้าไปแล้ว มันก็เกิดผลไปตามผัสสะนั้น นี่มันมีผัสสะ แม้แต่มดดำสักตัวหนึ่งมันก็มีผัสสะขึ้นมา แล้วก็มันกระทำไปตามผัสสะ มันจะไปหาน้ำตาลกินหรืออะไรก็สุดแท้แต่ เพราะว่ามันมีผัสสะเป็นสมุดไท เนี่ยเป็นข้อที่สาม
ทีนี้ข้อต่อไปว่าเวทนาสโมสรณา ให้สุขให้เกิดจุดสนใจถึงสิ่งที่เรียกว่าเวทนา เวทนา เวทนา เวทนาที่เกิดความรู้สึกขึ้นทางอาสนะ อันนี้เป็นสโมสร สโมสรณาแปลว่าสโมสร เป็นที่ประชุมลงไป ประชุมลงไป มาประชุมกันเป็นหมดทั้งหมดทั้งหมู่นี่เรียกว่าสโมสร แล้วบรรดาเหตุการณ์ในชีวิตเนี่ย ถึงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี้มันมีเวทนา เวทนา ถ้าไม่มีเวทนาเพียงสิ่งเดียวไม่มีใครทำอะไร ไม่มีใครทำอะไร ไม่มีใครเคลื่อนไหวที่จะทำอะไร ไม่มีใครต้องการอะไร นี่เพราะมีเวทนามันจึงทำให้ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการจะให้ได้อย่างที่เวทนา มันต้องการ งั้นเวทนาก็ไปดูเอาเองนี่ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ หกอย่างนี้แต่ละอย่างละอย่างทั้งร้อยทั้งพันทั้งหมื่นทั้งแสนทั้งล้าน ไปรวมจุดอยู่ที่เวทนา คนโง่มันไม่เห็นว่าธรรมทั้งปวงมันไปรวมจุดอยู่ที่เวทนา ฉะนั้นขอให้มีความฉลาดพอที่จะเห็นว่าอ้อ อะไรมันนี่มันก็สำเร็จอยู่ที่มันเป็นขี้ข้าเป็นทาสรับใช้ของสิ่งที่เรียกว่าเวทนา เป็นทาสเป็นขี้ข้าเป็นคนใช้คนรับใช้ของสิ่งที่เรียกว่าเวทนา เวทนามันเป็นสโมสรณาเป็นที่ประชุมรวม ใครบ้างที่ไม่มีเวทนาเป็นที่ประชุมรวม คนๆไหนบ้าง คนๆไหนบ้าง แม้เดี๋ยวนี้เวลานี้มันคนไหนบ้างที่มันไม่ประชุมรวมความรู้สึกอยู่ที่เวทนา ไปรวมความรู้สึกอยู่ที่คำว่าเวทนา เวทนา เวทนา รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวทนาให้ดีๆว่ามันเป็นที่ประชุมรวมแห่งสิ่งนี้คือความรู้สึก คำว่าเวทนานี้เป็นที่เกิดแห่งปัญหา ถ้าถูกก็เป็นความสงบสบายไปได้บ้าง ถ้าผิดก็เดือดร้อนเป็นทุกข์แต่ถ้าเวทนาเย็นสนิทก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าเวทนายังไม่เย็นยังบวกลบ บวกลบอยู่ ยังสุขทุกข์ สุขทุกข์อะไรอยู่ แม้จะเป็นสุขมันก็ยังไม่เย็น ต่อเมื่อเวทนาเย็นสนิทจึงจะเป็นพระอรหันต์ เวทนาสโมสรณา มดดำมดแดงสักตัวหนึ่ง แม้แต่ไอ้สิ่งที่มีชีวิตเช่น ใบไม้ ต้นไม้สักต้นหนึ่ง แม้แต่คนหรือสัตว์ก็ตามมันรวมอยู่ที่เวทนา มันต้องการเวทนาทั้งนั้น แม้แต่ใบไม้ต้นพืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็ยังประสงค์ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการสืบพันธุ์ระหว่างเกสรตัวผู้ระหว่างเกสรตัวเมีย ไอ้สิ่งต้องการสูงสุดของมันก็คือเวทนาเหมือนกันแม้ว่ามันเป็นเพียงต้นไม้ นี่เวทนาสโมสรณา ไปหาดูทั่วทั้งจักรวาล ทั่วทั้งจักรวาล กี่จักรวาล กี่ล้านๆจักรวาล กี่ล้านๆโลก มันก็ไปรวมจุดอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าเวทนา เวทนาเพียงคำเดียว มันจะมีอะไรมากไปกว่านี้ ถ้าเห็นความจริงข้อนี้ด้วยใจด้วยใจตน ด้วยใจตน มันก็ฉลาดสูงสุด รู้แจ้งประจักษ์มีความฉลาดสูงสุด ต่อมาก็จะมารู้จักไอ้ตัวเวทนา ไอ้ตัวเวทนา ตัวเดียวเท่านั้นเป็นที่ประชุมรวมแห่งปัญหาทั้งปวงทั้งหลายทั้งปวง ความต้องการทั้งหลายทั้งปวง ผลดีผลร้ายเป็นกรรมเป็นผลกรรมเป็นอะไรก็ตามมันไปรวมอยู่ที่เวทนา รวมที่ความประสงค์ของเวทนา
ข้อต่อไปสมาธิปมุขา มันเป็นคำลัดเป็นคำที่ต้องเรียกว่ากล่าวอย่างลัดๆ เพราะว่าคนโง่มันไม่เคยรู้จักสมาธิ มันไม่ต้องการสมาธิ ได้พูดเรื่องสมาธิแล้วเป็นการพูดให้เต่าฟัง พูดให้แรดฟัง มันไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ถ้ามันมีความรู้เรื่องนี้มันก็จะพอรู้จักว่าไอ้สมาธิ สมาธินี่เป็นประมุขามีจิตเป็นสมาธิ มีจิตเป็นสมาธิ มันจะทำอะไรสำเร็จ มันจะนำอะไรไปสู่ความสำเร็จเพราะอำนาจของสมาธิ ของสมาธิ มีอำนาจที่จะนำสิ่งต่างๆไปสู่ความสำเร็จ พูดให้เป็นอุปมาให้เห็นชัดกันง่ายๆว่ามันจะจับปลาสักตัวหนึ่งมันแทงฉมวกหรือแทงชนักปักลงไปบนหลังปลา แล้วมันก็ดึงเอาปลาขึ้นมา สมาธิมันมีหน้าที่ ที่ว่าส่งกำลังจิตลงไปที่นั่นแล้วก็ดึงเอาผล ผลดีหรือประโยชน์ที่จะได้จากสิ่งนั้นขึ้นมา นี่สมาธิปมุขา ถ้ามันไม่มีสมาธิเป็นประมุขแล้วมันก็ไม่มีอำนาจอะไร มันไม่มีไอ้สิ่งที่จะให้ความสำเร็จอะไรขึ้นมาได้ สิ่งที่จะให้เกิดความสำเร็จทุกอย่างทุกประการนี้เรียกว่าสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสมากด้วยว่าให้ทำสมาธิ ให้ทำสมาธิ ให้ทำสมาธิ ทำสมาธิแล้วจะรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เมื่อรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงแล้วก็จะปราศจากทุกข์ทั้งปวง ปราศจากทุกข์ทั้งปวง นี่สมาธิปมุขา สมาธิปมุขา ไอ้ชีวิตนี้มันมีตัวสมาธิเป็นตัวการสำคัญอยู่ในตัวชีวิตนี้ มันเป็นประมุข เป็นประมุขคือเป็นหัวหน้า เป็นหัวหน้า คำบาลีทางคำบาลีมันก็สำคัญอยู่ว่า มุข มุข มุขังแปลว่าหน้าหรือปะ แปลว่าทั้งหมดทั้งสิ้น ประมุขาหน้าทั้งหมดคือหัวหน้า หัวหน้าทั้งหมดเป็นประมุข เรามีธรรมะนั้น ธรรมะนี่ ธรรมะโน้นแต่ถ้ามันยังไม่ถึงปักดิ่งลงมาจับเอาตัวปลามาให้ได้ด้วยฉมวกหรือด้วยชนักแล้ว มันยังไม่มีสมาธิหรอก ถ้ามันมีสมาธิแล้วมันจะมีฉมวกหรือมีชนักปักบนตัวปลาดึงหัวขึ้นมาเลยนี่ ผลของมันก็จะได้สำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการ สมาธิปมุขา เอ้า ที่นี่เราจะคน คน คน คนจำนวนมาก คนมีอยู่เป็นจำนวนมาก คนไหนมันจะสำเร็จเป็นหัวหน้าหัวตาขึ้นมาก็คือประมุขนั่นแหละ ประมุขนั่นแหละ คนทั้งหมื่นทั้งร้อยทั้งพันทั้งหมื่นทั้งแสนทั้งล้านนั่นน่ะมันคนที่เป็นประมุขคนเดียว คนเดียว คนเดียวนั่นแหละที่มันจะทำให้สำเร็จประโยชน์ เป็นประมุขเป็นหัวหน้าเป็นคนๆเดียวขึ้นมาได้ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันจะมีกี่อย่างกี่ร้อยอย่างพันอย่างมากมายอะไร มันก็ขอให้กระทำกันในลักษณะที่ว่ามีสมาธิเป็นประมุข สมาธิเป็นหัวหน้า ที่นี้ข้อถัดไป สตาธิปเตยยา กลับทำให้เป็นคำธรรมดาก็ว่าสติอธิบดี สติอธิปัตตี สตาธิปเตยยามาจากคำว่าสติเป็นอธิบดี สตาก็คือสติ สตาธิปเตยยาเป็นอธิบดี ที่นี่สติ สติ สติ เพราะงั้นสมาธิ มีแต่สมาธิถ้าไม่มีสติ มันเผลอได้ มันยังเผลอได้ มันยังแกว่งได้ มันยังทำผิดพลาดได้ นี่ต้องมีสติสมบูรณ์ มีสติสมบูรณ์ สติเป็นเครื่องรับประกันความผิดพลาดโดยประการทั้งปวง สติเป็นเครื่องรับประกันความไม่สำเร็จประโยชน์โดยประการทั้งปวง ถ้ามีสติแล้วมันก็มีความสำเร็จเกิดขึ้นมา มันคู่กับคำว่าสัมปชัญญะ สติกับสัมปชัญญะนี่เอารวมเข้าด้วยกันเป็นคำเดียวสติสัมปชัญญะ สติ สตินี่มันแปลว่าระลึกได้ ระลึกได้ตัวหนังสือนี่มัน มันคำเดียวกับคำว่าลูกศรน่ะ ลูกศรน่ะ คำบาลีคำว่าศะระ ศะระแปลว่าลูกศรหรือดอกศร มันแทง เสียด ฉับเข้าไปเลย มันเร็วถึงขนาดที่เป็นลูกศร มันจึงเกิดการระลึกได้ มิฉะนั้นมันระลึกไม่ทัน ระลึกไม่ทัน เมื่อไม่ทันจะระลึก มันระลึกไม่ทัน เพราะฉะนั้นสติต้องคมเฉียบเหมือนกับลูกศรแทงทะลุเข้าไปทันควัน แล้วก็เป็นอธิบดี เป็นอธิบดีบงการ บงการว่าให้ทำอย่างไร ให้ทำอย่างไร ทำอย่างไร มีสติเป็นอธิบดี พรหมจรรย์นี้มีสติเป็นอธิบดี คนโง่ฟังหน่อยว่าหัวเราะพรหมจรรย์นี้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อดับทุกข์นี้มีสติเป็นอธิบดี อธิบดีอย่างที่คุณรู้ๆกันอยู่ อธิบดีคือใคร ถ้าสติเป็นอธิบดีแล้วก็ว่าไอ้ตัวสตินั้นน่ะมันจะช่วยให้เกิดเป็นผู้นำความถูกต้องหรือสำเร็จประโยชน์ นำความสำเร็จประโยชน์ดีกว่า ดีกว่านำความถูกต้องแล้วจะเป็นวิชาความรู้ไปเสีย เอา เอาสติดีว่าเอาความถูกต้องทำตามตรงได้ตามจุดหมายนั่นแหละเป็นอธิบดี อธิบดี พรหมจรรย์นี้มีสติเป็นอธิบดี ให้ทุกๆคนให้ชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นน่ะมีสติเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความถูกต้องแล้วก็ต้องรวดเร็วและว่องไวเหมือนกับลูกศรซึ่งมีความเร็ว ในภาษาบาลีใช้คำเก่าๆเอา เอาของที่เร็วที่สุดว่าลูกศร ลูกศร ที่มันไอ้ที่มันไอ้สิ่งที่เร็วกว่านั้นมันก็จะมีแต่เราไม่ต้อง ไม่รู้ไม่ต้องการยังไม่รู้ เอา เอาคำว่าลูกศร ไม่เอาคำว่าลูกปืน ไม่ ไม่เอาคำว่าสายฟ้า หรือไม่เอาคำว่าวิทยุ ถ้าพูดถึงความเร็ว ความเร็ว ความเร็ว ก็แล้วความหมายของคำว่าลูกศร มันเร็ว เร็ว มันมีเร็วมันจึงควบคุมความถูกต้องไว้ได้ มันช้ามันงุ่นง่านแล้วมันก็ทำอะไรผิดพลาดไปไม่ทันรู้ ไม่ทันตาม ให้มีสติเป็นอธิบดี
เอ้าที่นี้ข้อถัดไป ปัญญาอุสราหรือปัญญุตตรา หรือปัญโญชตรา ภาษาบาลีมัน มันเปลี่ยนได้ตามเสียงอย่างนี้ แต่ถ้าว่าเอากันให้ง่ายๆแบบภาษาไทยก็ว่าปัญญาอุสรา ปัญญาแล้วก็อุสรา ปัญญาคือปัญญา อุตสราคือสิ่งสูงสุด พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ปัญญาแปลว่าความรู้รอบคอบรู้รอบรู้อย่างหมดจนทั่วถึง ปะแปลว่าทั้งหมดหรือทั่วถึง ญาแปลว่ารู้ ปัญญาแปลว่ารู้ทั้งหมด ก็คำว่าญามันแปลว่ารู้ คำว่าปะมันแปลว่าทั้งหมด รอบรู้รอบปัญญาแปลว่ารู้ทั้งหมด มีปัญญาก็คือรู้ทั้งหมด แต่เท่าที่เป็นประโยชน์ ที่ไม่ ไม่ ไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องการ ไม่จำเป็น แต่ที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริงโดยประจักษ์อยู่ก็รู้ รู้กันทั้งหมดเป็นปัญญาเป็นสรรพยุทธญาณ มีปัญญารู้สิ่งที่ควรรู้ รู้สิ่งที่ควรรู้ทั้งหมดทั้งสิ้นนี่เรียกว่าปัญญา อะไรที่ทำให้รอบรู้ รู้รอบและรู้สิ่งที่ควรรู้ทั้งหมดทั้งสิ้นอันนั้นเรียกว่าปัญญา ทีนี้อุตราแปลว่าสิ่งสูงสุด ปัญญาเป็นอุตราคือปัญญาเป็นสิ่งสูงสุดที่ทำให้ความรอบรู้นั้นน่ะเป็นประโยชน์ขึ้นมา จึงมีความหมายระบุหรือเยี่ยงในทำนองว่าปัญญานั่นน่ะมันสูงสุด ปัญญานั่นน่ะมันสูงสุดมันทำให้รู้ทั้งหมด รู้ทั้งหมด รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้การดับทุกข์ รู้ทางไปถึงความดับทุกข์ มันรู้หมดอย่างนี้พระพุทธองค์จึงเป็นผู้สรรพพันยุทธญาณคือเรืองปัญญา ปัญญารอบรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น สรรพยุทธปัญญา ท่านจึงมีความสูงสุดอยู่ที่การมีปัญญา เราจึงมามองดูจะว่าปัญญานี่มันเป็นสิ่งสูงสุด สูงสุดที่ใช้คำว่าประเสริฐหรือจะใช้คำว่าอะไรก็ตาม มันก็ไปพ้องๆกับคำอื่นว่าหัวหน้าหัวตาและต่อไปอีกแต่ในที่นี้ขอจำกัดลงแต่เพียงว่าสูงสุดก็แล้วกัน เดี๋ยวมันก็ไปพ้องกับคำว่าประมุขา มันทำความยุ่งยากลำบากเกี่ยวกับตัวหนังสืออีก คำว่าปัญญาอุตรา ปัญญาแปลว่าปัญญา อุตราแปลว่าสูง ปัญญาอุตรา พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ก็สูงสุดมันเหมาหมดคือมันบัญชาการได้หมด มันเหมาหมดจะเป็นในแง่ไหน ก็ทั้งแง่เหตุแง่ผลแง่อะไรก็ตามอยู่ที่ว่ามันสูงสุดอยู่ที่นั้น เรียกว่าปัญญาอุตรา พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด แล้วใครก็ไปคิดดูเอง มันเป็นสัณฐิติโก มันเป็นสัณฐิติโก มันหยุดโง่ ถ้ามันเป็นสัณฐิติโกแล้วมันหยุดโง่ มันหยุดโง่แล้วมันก็จะรู้ว่า โอ้ ปัญญามันสูงสุดจริง ปัญญามันสูงสุดของมันจริงๆ นี่เรียกว่ารู้ว่าพรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด
ที่นี้ข้อถัดไปต่อไป ยุติหยุดแค่ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ถ้ามีปัญญาแล้วจะสามารถที่จะดลบันดาลบังคับชักจูง จะชี้แจ้งอะไรก็ตามให้มันทุกๆสิ่งมันเป็นไปตามที่ต้องการ ทีนี้ข้อถัดไปวิมุตติสารา วิมุตติสารา พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นแก่นสาร คำแปลว่ามีวิมุตติเป็นแก่นสาร อันโน้นมีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด พอมาถึงแก่นสารก็มาเป็นตัวแก่นตัวอะไรขึ้นมาก็กลายเป็นวิมุตไป วิมุต วิมุตติสารา วิมุตติแปลว่าความหลุดพ้น สารา สาระ สาระคือแปลว่าแก่นสารคือแก่นแท้เนื้อตัวแท้ที่จะเป็นประโยชน์ได้สูงสุดแท้จริงนี้เรียกว่าแก่นสาร แก่นสาร เป็นแก่น มีวิมุตเป็นแก่น ถ้าไม่ให้รุงรังเป็นสารเสริมขึ้นมาก็เป็นแก่น มีวิมุตเป็นแก่น คือเป็นแกน เป็นแกนกลาง เป็นแกนกลาง ทุกๆอย่างมันมีอะไรเป็นแกนกลางมันเกาะอยู่ที่แกนกลาง ขอให้สังเกตเห็นคำ เห็นความหมายของคำที่เรียกว่าแกนกลาง แกนกลาง เช่น เพลารถเป็นแกนกลาง เพลาเกวียนเป็นแกนกลาง อะไรก็เป็นแกนกลาง ทุกอย่างมันหมุนไปได้มันเคลื่อนไปได้มันดำเนินกันไปได้เพราะมันมีแกนกลาง มีแกนกลาง ถ้าไม่มีแกนกลางมันก็ล้มละลาย มันจะมีแกนกลางจึงมั่นคง มีวิมุตเป็นแก่นสารมีความหลุดพ้นน่ะ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ถ้ามันมีความหลุดพ้นจากความทุกข์คือมีความปลอดภัยสวัสดีและปลอดภัยนี่เรียกว่าวิมุต มีวิมุตเป็นแก่น วิมุตเป็นแก่น ทุกคนก็พอจะมองเห็นพอจะมองเห็นพอจะเข้าใจว่าอะไรๆก็มีแก่นมีแกนเป็นเครื่องทำให้มันทรงอยู่ได้ ไม้มันก็มีแก่น เพชรมันก็มีแก่น อะไรๆก็มีแก่นหรือมีแกน นั่นน่ะมีวิมุตเป็นแก่นกลาง ถ้าว่ามันมีความเป็นแก่นแล้วอะไรๆทำมันไม่ได้ มันก็ฟรี มันก็เป็นอิสระ เพราะมันเป็นแก่น เมื่ออะไรๆทำมันไม่ได้ มันก็มีความเป็นแก่น หรือความเป็นแกนเป็นเหลืออยู่เป็นสิ่งที่เข้มแข็งที่สุด ไม่มีอะไรมาทำอะไรได้ ทีนี้เมื่อวิมุตเป็นแก่นก็หมายความว่าความทุกข์ทั้งปวงมันก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็หมดไปเพราะว่ามันมีวิมุตเป็นแก่น มีความหลุดพ้นเป็นแก่น รวมเรียกว่าพรหมจรรย์นี้ พรหมจรรย์นี้ พรหมจรรย์นี้มีวิมุตนี่เป็นแก่น แล้วข้อถัดไปอีกก็ว่า อมโตคธา อมโตคธา แปลวาพรหมจรรย์นี้มีอมตะเป็นที่หยั่งลง อมโตคธา อมตะกับโอคธา รวมกันอมโตคธา เอาอมตะมารวมกันเข้ากับโอคธา ได้คำเป็นว่าอมโตคธา มีอมตะเป็นที่หยั่งลง (0:53:09 เสียงขัดข้อง) จะมีความหมายซึ่งจะต้องค้นเอาได้เองว่าอะไรๆที่มันมีที่หยั่งลงเป็นจุด พูดหยาบคาย ก้นบึ้งสูงสุดไม่มีอะไรที่จะไปทำอะไรได้ เป็นที่หยั่งลงแล้วก็เป็นโอคธา โอคธา หยั่งลงไป อมโตคธา แปลว่ามีอมตะเป็นที่หยั่งลงไป พรหมจรรย์ทั้งหมดพระศาสนานี้ต่างประพฤติกระทำกันทั้งหลายทั้งปวงอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ มันยังหยั่งลงไปสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่หยั่งลง มันมีจุดลึกจุดสูงสุดลึกสูงสุดอยู่ที่อมตะแปลว่าความไม่ตาย ความไม่ตายก็คือความไม่ ไม่เปลี่ยนแปลง ความถูกต้อง ขอ ขอโอกาสใช้ประโยชน์จากคำๆนี้สักหน่อย ความถูกต้อง ความถูกต้อง ถ้ามันถูกต้องแล้วมันไม่ตาย ขออย่าได้โง่ไปนักเลย ถ้ามันถูกต้องแล้วมันจะตายยังไงได้ ถ้ามันถูกต้อง มันถูกต้อง มันถูกต้อง มันตายไม่ได้ มันตายไม่ได้ มันก็เหลืออยู่แต่ความไม่ตาย ความไม่ตายนี่ ความถูกต้อง ความไม่ตาย เดี๋ยวนี้คนเราไม่ได้บูชาความถูกต้องมันจึงตายอยู่เรื่อย ความไม่ตายก็ความถูกต้อง ทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงไม่ว่าอะไรๆๆๆๆมันหยั่งลงจุดๆหนึ่งคืออมตะ อมตะ อมตะ ความถูกต้องแล้วมันก็ไม่ตาย ไม่ตายก็นิรันดรก็มันไม่ตาย แม้แต่ความว่างนี่มันถูกต้อง ถูกต้องมันจึงไม่ตาย ไม่ตายมันก็เป็นนิรันดร อมโตคธาพรหมจรรย์นี้มีอมตะเป็นที่หยั่งลง คำมันแปลกหูหน่อยว่าโอคธา โอคธา อมโตคธาหยั่งลงสู่อมตะ หยั่งลงสู่สิ่งที่เป็นอมตะ
อ้าวที่นี้ก็มาถึงคำสุดท้าย นิพพานปริโยสานา พรหมจรรย์นี้มีนิพพาน มีพระนิพพานเป็นปริโยสาน พรหมจรรย์นี้มีพระนิพพานเป็นปริโยสาน นิพพานะต้องอธิบายกันหน่อยไอ้คำพูด ปริโยสานแปลว่าสิ่งสุดท้าย ปริโยสานะแปลว่าสิ่งที่มีในสุดท้าย สุดท้ายคือจบหมดไม่มีอะไรอีกต่อไป จะใช้คำว่าอันโต อันโต อันตะ สุดท้ายก็ได้ ปริโยสานะก็ได้ สิ่งสุดท้าย ปริโยสานะ สิ่งสุดท้าย นิพพานปริโยสานะมีพระนิพพานเป็นปริโยสาน คือถ้าให้ใครพิจารณาดูอะไรที่จะเหลืออยู่เป็นสุดท้าย ถ้ามันจะเหลืออยู่เป็นอันสุดท้ายได้มันก็คือนิพพานนั่นเอง มิฉะนั้นมันก็ตายไป ตายไป ตายไป ตายไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไป สิ่งจะเหลืออยู่เป็นปริโยสานก็คือนิพพาน ก็พูดมัน มัน มันมีลักษณะเอาผลเป็นที่พอใจกันว่านิพพาน นิพพานก็แปลว่าดับหมดแห่งความทุกข์ ดับหมดแห่งความทุกข์ จะใช้คำอีกคำหนึ่งก็อันโตทุกขะสะ อันโตแปลว่าสุดท้าย ทุกขะสะแปลว่าแห่งความทุกข์ อันโตทุกขสะแห่งความทุกข์ นิพพานะเป็นอันโตทุกขะสะ พระนิพพานเป็นอันโตทุกขะสะ เป็นสิ่งสิ้นสุดหรือสุดท้ายแห่งความทุกข์ นิพพานจึงเป็นปริโยสานขึ้นมาคือเป็นสิ่งสุดท้าย ขอให้คิด ขอให้แย้ง ขอให้ใช้เหตุผลในการคัดแย้งว่าอะไรจะ จะควรแก่คำว่าสุดท้าย สิ่งสุดท้าย สุดท้ายของสิ่งทั้งปวงมันไม่มีอะไรที่จะเหมาะสมหรือมีเหตุผลยิ่งไปกว่าคำว่านิพพาน เอาตัวหนังสือกันก่อนเอาแต่ตามตัวหนังสือนะนี่เดี๋ยวนี้กำลังพูดตัวหนังสือนะ ไม่ได้พูดตัวธรรมะนะ ตัวหนังสือนิพพานะ มันก็ตัวหนังสือนี่ก็แปลว่าไปหมดสิ้น นิหรือว่านะ แปลว่าไปหมดสิ้น นิวรณะหมดสิ้นแห่งการเสียดแทงคือความทุกข์ ตัวนิพพานะ ตัวหนังสือแท้ๆน่ะแปลว่าไปหมดสิ้น ไปหมดสิ้น ไปหมดสิ้น หมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือ ไปหมดสิ้น หมดสิ้น หมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือ หมดความทุกข์มันก็หมดสิ้น ก็คือไปหมดสิ้นแห่งความทุกข์ก็ไม่มีอะไรเหลือ นิพพานะความไปหมดสิ้นแห่งปัญหา คนเรามันมีปัญหาเหลือกันอยู่ทั้งนั้น ปัญหาเกี่ยวกับเกิดแก่เจ็บตาย เกี่ยวกับการได้การไม่ได้ เกี่ยวกับกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เกี่ยวกับไม่ได้ตามที่ต้องการ นี่มันมีเครื่องเสียดแทง เสียดแทงจิตใจให้เจ็บปวดให้เป็นทุกข์ ถ้าเมื่อใดปราศจากการเสียดแทงคำพูดคำนั้นเรียกว่านิพพานะ นิแปลว่าไม่ วรรณะหรือพานะแปลว่าเสียดแทง เมื่อไม่มีการเสียดแทงมันก็คือไม่มีความทุกข์ นิพพานคือไม่มีการเสียดแทง ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งสูงสุดสุดท้าย ก็คิดดูเองก็แล้วกันเอาว่าถ้ามันไม่มีนี้มันก็สุดท้ายหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหามันก็เป็นสิ่งสุดท้ายทั้งนั้น ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าปัญหาหรือตัวปัญหานั้นเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาค้างเติ่งกันอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามันหมดปัญหามันก็ไม่มีสิ่งนี้ นี่เรียกว่าเป็นสิ่งสุดท้ายของความทุกข์ แต่ในคำพูดชุดนี้ก็ใช้คำว่านิพพานปริโยสานา มีนิพพานเป็นปริโยสาน
รวมทั้งสิบคำ สิบคำเรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ สิบความหมายนี่มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร อย่างมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งสูงสุดอยู่ที่นั่นตามกฎเกณฑ์ที่มันจะศึกษาพิจารณากัน ว่ามีอะไรเป็นอะไร ที่ว่ารถยนต์คันหนึ่งมันก็มีล้อ มันก็มีเครื่องยนต์ แล้วก็มี มียาง แล้วก็มันมีอะไรทุกๆอย่าง เป็นอย่างๆๆๆๆๆๆไป มันจึงประกอบกันเป็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งไปได้ มันมีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร ทีนี้เรามาถึงคำพูดเพียงคำเดียวว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร พรหมจรรย์นี้มันมีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร จึงมาถึงบท บทธรรมะซึ่งเป็นหมวดธรรมะซึ่งยกขึ้นมาแสดงในที่นี้ มีอะไรเป็นอะไร มีอะไรเป็นอะไร มีอยู่สิบอย่างอยู่ด้วยกัน สิบอย่างอยู่ด้วยกัน พูดลัดๆสั้นๆรีบๆก็ว่ามีฉันทะ ความพอใจเป็นมูลเหตุ มีมนสิการคือการกระทำไว้ในใจเป็นสัมภวะหรือเป็นแดนเกิด มีผัสสะหรือการกระทบเป็นสมุดไทย เป็นสมุดไทคือเหตุให้เกิด แล้วก็มีเวทนา เวทนาเป็นสโมสรณาเป็นสโมสรเป็นที่ประชุมรวม มีเวทนาเป็นที่ประชุมรวม สมาธิปมุขามีสมาธิเป็นประมุขหรือเป็นจอมโจก ให้มันแข็งกล้าให้มันคมกล้าด้วยอำนาจของสมาธิ แล้วก็ตัดปัญหาให้มันหมดไป มีสมาธิเป็นประมุข เป็นประมุขเป็นหัวหน้า แล้วก็มีสตาธิปเตยยา มีสติเป็นอธิบดี เป็นอธิบดีอย่างที่เรารู้ความหมายของคำว่าอธิบดี มอบหมายหน้าที่อะไรก็ได้บ้าง มีสติเป็นอธิบดี แล้วก็พรหมจรรย์นี้มีปัญญาเป็นอุตตระ ปัญญาอุตรา ปัญญุตตรา ปัญโยชน์ตรา ปัญญาอุตรา มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ไปดูเองว่าอะไรมันจะสูงสุดยิ่งไปกว่าปัญญา ในบรรดาสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ดับทุกข์จะมีอะไรสูงสุดไปกว่าปัญญา แล้วพรหมจรรย์นี้มีวิมุตติสารา มีวิมุตคือความหลุดพ้นเป็นแก่นสาร พรหมจรรย์นี้เป็นอมโตคธา หยั่งดิ่งลงไป ดิ่งลงไป ดิ่งลงไป ดิ่งลงไป ดิ่งลงไปจุดสูงสุดแห่งจุดสุดท้ายอยู่ที่อมตะ อมตะคือความไม่ตาย หยั่งลงไปสู่อมตะ สู่อมตะ สรุปยอดว่านิพพานปริโยสานา พรหมจรรย์นี้มีพระนิพพานเป็นปริโยสาน เป็นปริโยสานเป็นสิ่งสุดท้ายคือจบเรื่องกัน จบเรื่องกัน ปิดฉากไม่มีอะไรอีกต่อไป เป็นปริโยสาน ท่านจะต้องเห็นแจ้ง เห็นแจ้งเท่ากับรู้จัก แล้วก็เห็นแจ้งอย่างที่เรียกว่าแทงตลอดด้วยตนเองในพรหมจรรย์สิบความหมาย อย่าเพียงแต่ว่าจำได้ท่องได้ จำได้ท่องได้เป็นนกแก้วเป็นนกขุนทอง นี่พุทธบริษัทมันเพียงแต่จำได้ท่องได้มันจึงไม่เป็นพุทธบริษัท ขอใช้คำพูดหยาบคาย พุทธบริษัท พุทธบริษัท ทั้งพระทั้งเณรทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิต มันเพียงแต่จำได้ท่องได้แล้วมันไม่รู้ว่าอะไร รับจ้างท่องด้วยซ้ำไป ถ้ามันเห็นจริงโดยประจักษ์ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไรโดยสิบประการนี้แล้วนั้นจะเป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธบริษัทแท้จริงดับทุกข์ได้ตามความหมาย ท่านจงไปใคร่ครวญดูจนกระทั่งเห็นแจ้งประจักษ์จริงไม่ใช่เพียงจำได้ ไม่ใช่เพียงแต่จำได้ ไม่ใช่เพียงแต่จำได้ ไม่ใช่เพียงแต่จำได้และไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจ การจำได้มันก็อย่างหนึ่ง ความเข้าใจมันก็ยังเป็นอยู่อีกอย่างครึ่งเดียวต้องรู้แจ้งแทงตลอด เห็นแจ้งแทงตลอด เห็นแจ้งแทงตลอดจึงจะถึงที่สุด เห็นแจ้งแทงตลอดน่ะสัณฐิติโกด้วยตนเอง สัณฐิติโกเห็นด้วยตนเอง สัณนี่แปลว่าเอง ฐิติโกเห็น เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง ฐิติเห็น เห็นด้วยฐิติ ฐิตินี่ก็คือปัญญาที่ถูกต้องจึงจะเป็นสัณฐิติโก สัณฐิติโกเห็น เห็นอย่างถูกต้อง เห็น เห็นโดยแท้จริงว่าเห็น เห็นโดยประจักษ์ มีคำพูดที่ต้องสนใจอยู่คำว่าโดยประจักษ์ สัณฐิติโกเห็นอยู่โดยประจักษ์ เห็นอยู่โดยประจักษ์ คือไม่ต้องให้ใครช่วยเห็นและไม่มีใครที่จะมาช่วยเห็น นี่มันจึงจะคือสัณฐิติโกในความหมายที่ชัดเจนว่าปัจจัตตังเวทิตัพโพ คือเห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เฉพาะตนเอง เฉพาะตนเอง เฉพาะตนเอง สัณฐิติโกต้องเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ ขอให้ทุกคน ทุกคน ทุกคนเห็นแจ้งประจักษ์ด้วยตนเองในความหมายของพรหมจรรย์ทั้งสิบอย่าง พรหมจรรย์ทั้งสิบอย่าง พรหมจรรย์ทั้งสิบอย่าง มีฉันทะมูลกา มีฉันทะเป็นมูลเหตุ มนสิการสัมภวามีการกระทำไว้ในใจอันเป็นแดนให้เกิดมา ผัสสสมุทยามีการกระทบเป็นตัวสมุดไททำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา เวทนาสโมสรณาไอ้เหล่านั้นทั้งหมดนั่นน่ะ มันไปสรุปลงอยู่ที่เวทนา เวทนาคือความรู้สึกทางอารมณ์ มีเวทนาเป็นสโมสร ไม่ใช่ไปแทงก๊ก (1:07:48 ไม่แนใจค่ะ) อยู่ อยู่ที่สมาธิปมุขา มีสมาธิแทงก๊ก (1:07:55 ไม่แน่ใจค่ะ) เป็นประมุข เป็นประมุขไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่ใคร สตาธิปเตยยา มีสติเป็นอธิบดี มีปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด วิมุตติสารามีความหลุดพ้นเป็นแก่นสารสาระ อมโตคธา มีอมัตตะเป็นที่หยั่งลง เป็นที่หยั่งลง เป็นที่หยั่งลง หยั่งลงสู่อมตะ อมตะคือความไม่ตาย นิพพานปริโยสานา ไปจบลง จบลงอยู่ที่พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นปริโยสาร ขอให้รู้จักสิ่งทั้งสิบนี้ไว้ว่าเป็นประมวลแห่งพรหมจรรย์ เป็นประมวลแห่งพรหมจรรย์ เป็นประมวลแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งจะไปถามใครที่ไหน ถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระพุทธเจ้าทั้งหมด พระอรหันต์ทั้งหมดมันก็ได้ความอย่างนี้ ฉะนั้นอย่ามัวไปถามใครหรืออ้างใคร อ้างใครอ้างคัมภีร์ไหน อ้างสูตรไหน อ้างบวชไหน เป็นพุทธาธิบัณฑิต คือผู้รู้ทั้งหลายหมดทั้งสิ้นทั้งสากลจักรวาลได้รู้อย่างนี้ ได้รู้ไว้อย่างนี้ได้สรุปรวมความไว้อย่างนี้ ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นนายประกัน ใครยังต้องการนายประกันอยู่คนนั้นเป็นคนโง่ ขอใช้คำอย่างนี้มันเป็นคนโง่ที่ยังต้อง ต้องการนายประกันอยู่ว่าต้องจริงอย่างที่ว่านี้ ต้องเป็นคำพูดของคนนี้ ถ้างั้นจึงจะใช้ได้นั้นแปลว่ามันยังต้องการนายประกัน ไม่ต้องมีนายประกัน พรหมจรรย์นี้ พรหมจรรย์นี้นะ สิบอย่างนี้นะ พรหมจรรย์นี้เป็นอย่างนี้โดยไม่ต้องมีนายประกัน ฟังดูเองว่าไม่ต้องมีนายประกัน มันเป็นของมันอยู่ในตัวเอง มันเห็นแจ้งอยู่ได้ในตัวเอง ปฏิบัติได้อยู่ในตัวเองและก็พิสูจน์ผลของการปฏิบัติอยู่ในตัวเอง ที่ว่าพรหมจรรย์มีความหมายสิบประการ ฉันทะมูลกา มนสิการสัมภวา ผัสสสมุทยา เวทนาสโมสรณา สมาธิปุมุขา สตาธิปเตยยา ปัญโยชน์ธรา วิมุตติสารา อมโตคธา นิพพานปริโยสานา ขออย่าได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง หยุดเป็นนกแก้วนกขุนทองมันได้แต่พูด ก็ขออย่าให้เป็นแรด อย่าให้เป็นแรดคือฟังอะไรไม่ถูก นกแก้วนกขุนทองก็อย่าเป็นเลย แรดก็อย่าเป็นเลย ขอให้เป็นพุทธะ เป็นพุทธะ เป็นบุคคลผู้เป็นพุทธะ สามารถจะรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ไปดับทุกข์ได้ตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้า ตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่ตามแบบอย่างของพุทธาธิบัณฑิต ของพุทธาธิบัณฑิต ของพุทธาธิบัณฑิต ก็จำคำนี้ไว้ด้วยพุทธาธิบัณฑิต บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน บัณฑิตแปลว่าผู้มีปัญดา ปัญดาแปลปัญญาที่ดับทุกข์ได้ ผู้ใดมีปัญดาผู้นั้นเรียกว่าเป็นบัณฑิต ผู้ใดมีปัญดาผู้นั้นเรียกว่าเป็นบัณฑิต บัณฑิตคือผู้มีปัญดาคือสามารถดับทุกข์ได้ด้วยประการทั้งปวง แล้วทีนี้ก็แสดงหัวข้อไว้แต่เพียงเป็นเค้าเงื่อนเป็นเครื่องสังเกตว่าพรหมจรรย์นี้ทั้งหมดนี้ข้อปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนานี้มีอยู่สิบหัวข้อ อธิบายได้แต่หัวข้อย่อยๆถ้ามีโอกาสมีเวลาก็อธิบายต่อกันไปอีก ให้ชัดยิ่งไปกว่านี้ นี่ที่มัน มันหมดแรงที่จะพูด มันหมดแรงที่จะพูด หมดเสียงที่จะพูด ขอให้ยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา และสรุปรวมความว่าพรหมจรรย์นี้มีสิบประการนี้ มีหัวข้อสิบประการนี้ เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ เป็นที่ดับทุกข์ เป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์และทรงประกาศ เพราะพระองค์ทรงประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะ ทั้งโดยความย่อทั้งโดยพิสดาร ทั้งเบื้องต้นทั้งท่ามกลางและเบื้องปลาย ขอให้สำเร็จประโยชน์ในการที่รู้จักตัวพรหมจรรย์ไม่ใช่เพียงแต่จำได้เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ด้วยกันจงทุกๆท่านทุกๆคนเทอญ
ถ้าจำไม่ได้ก็ค่อยหาเทปไปฟัง หาเทปฟัง
สัณฐิติโก สัณฐิติโก สัณฐิติโก คำเดียวสูงสุด สูงสุดกว่าอะไรหมด สัณฐิติโกเห็นได้ด้วยตนเอง สัณฐิติโกเห็นได้ด้วยตนเอง ถ้ายังเห็นได้โดยไม่ใช่ตนเองก็ใช้ไม่ได้ ยังต้องท่องจำยังต้องอาศัยคนอื่นเป็นนายประกันแล้วยังต้องอาศัยนายประกันว่าเป็นอย่างนั้นนะ เป็นอย่างนั้นนะ แกช่วยรับประกันให้ทีนะ ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ สัณฐิติโกแปลกว่าเห็นได้ด้วยตนเองไม่ต้องมีนายประกัน พระพุทธเจ้าไม่ต้องเป็นนายประกันคือถ้าพระพุทธเจ้าเป็นนายประกันก็ มันก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้วก็จะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง อย่างนี้เรียกว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นนายประกัน
ขอไม่ต้องอ้างที่มาว่าคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ พระไตรปิฎกเล่มนั้นพระไตรปิฎกนี้ อรรถคถานั้นอรรถคถานี้ บาลีนั้นบาลีนี้ไม่ต้องอ้าง ไม่ต้องอ้างเพราะมันเป็นสิ่งแสดงอยู่ในตัวเองว่าเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ อย่าไปอ้างใครมันโง่ ไปอ้างคือไปอ้างให้มันโง่ พระพุทธเจ้าท่านสรุปรวบไว้ให้หมดแล้วว่าพุทธาธิบัณฑิต พุทธาธิบัณฑิต บัณฑิตทั้งหลาย ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มีหลักอย่างนี้มีหลักเกณฑ์อย่างนี้มีพรหมจรรย์สิบประการนี้ มีความหลุดพ้น มีความหลุดพ้น มีความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงโดยอำนาจแห่งพรหมจรรย์ แล้วจะหมดปัญหา หมดปัญหา ปัญหาที่เรียกว่า Passion ก็ไม่มี ปัญหาที่เรียกว่า Problem ก็ไม่มี หมดปัญหาจริงๆต้องเป็นอย่างนี้