แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อบรมภิกษุ track ที่ 4 ครั้งที่ 1 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536 เวลา 15.30 ที่หน้ากุฏิ
กระผมพระครูธรรมโรจน ธรรมจารี ประธานคณะสงฆ์ ที่มารับอบรมที่วัดสวนโมก ได้มาขอคารวะหลวงพ่อ และขอรับโอวาทจากหลวงพ่อครับกระผม
เพื่อนสหธรรมิก สพรหมจารี ภิกษุ สามเณรทั้งหลาย ผมขอสักการะ ปฏิสัณฐานด้วยการกล่าวธรรมีกถา โดยสมควรแก่โอกาสเพื่อประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายที่มาประชุมในสถานที่นี้สืบต่อไป หัวข้อที่จะกล่าวนั้นมีชื่อว่า สถาบันของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่จะกล่าวมีใจความสำคัญในข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ด้วยกัน นี่แหล่ะเป็นใจความสำคัญของเรื่องที่จะกล่าว เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่จะต้องปรารภกันตลอดกาล ตลอดกาลที่ยังเป็นพุทธบริษัท ประชุมกันอยู่ ตั้งกลุ่มกันอยู่เป็นพุทธบริษัท จะต้องขอพูดโดยใจความนี้เรื่อยๆ ไป พระพุทธเจ้าอยู่กับเราจริงหรือไม่ เราอยู่กับพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ มันเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือเป็นเรื่องจริงจัง เป็นเรื่องจริงจังที่สมควรแก่ความเป็นสถาบัน ทำอย่างไรเราจึงจะได้พบกันกับพระพุทธเจ้า แล้วทำอย่างไรเราจึงจะได้อยู่ร่วมกัน ประกอบกิจกรรมร่วมกัน นี่คือใจความสำคัญ เราจะมีพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธรูปอย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องเด็กๆ เป็นเรื่องของเด็กๆ ถ้าจะมีพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธรูป เราจะต้องมีพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระพุทธเจ้า ถ้าจะว่าเป็นบุคคลก็ยังไม่ถูกต้องนัก จะต้องเป็นสถาบัน นี่คือความเป็นพระพุทธเจ้า ความเป็นพระพุทธเจ้าโดยประการทั้งปวง เราอยู่กับพระพุทธเจ้านี้หมายความว่าไม่ใช่เด็กเล็กๆ สามเณรตัวน้อยๆ มารับใช้พระพุทธเจ้า รับใช้บุคคลที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า แต่ว่าเราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วยคุณธรรม ที่ถูกฝาถูกตัวกันทั้งสองฝ่าย ถูกฝาถูกตัวกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายสาวกและฝ่ายพระพุทธเจ้ามีคุณธรรมตรงกันจึงจะเรียกว่าอยู่ด้วยกัน ข้อนี้ก็หมายความว่าทุกคนมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่ชื่อ หรือสมญานามที่จะเรียกออกมาว่าเป็นอะไร เป็นภิกษุ สามเณร กระทั่งว่า แม้แต่จะเป็นอุบาสก อุบาสิกา ต่ำลงมา หรือจะเป็นพระเถรานุเถระ มีลักษณะสมกับชื่อด้วยกันทั้งนั้นพระพุทธเจ้าอยู่กับเรานี้ ฟังดูให้ดีว่า ท่านอยู่อย่างไร ท่านอยู่ที่ไหน พวกเด็กๆ ก็เอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า มันก็ไหว้กราบพระพุทธเจ้าตามประสาเด็กๆ แล้วมันก็เรียกว่าการกระทำของเด็กๆ ไม่ใช่การกระทำอย่างที่พวกเราควรจะกระทำ ที่ว่าเป็นภิกษุ สามเณร เป็นพุทธบริษัทจะพึงกระทำ จะต้องมีพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยจิตใจ ดำรงอยู่ด้วยจิตใจ มีการเกี่ยวข้องกัน ประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างเหมาะสมที่สุด นั้นก็ได้แก่การมีคุณธรรม เอาล่ะ, แม้ที่สุดแต่เราจะเรียกว่าเป็นพิธี เป็นพิธี ก็มีพิธีที่สำเร็จประโยชน์ คือเป็นวิธีที่ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่พิธีสักแต่ว่ากระทำๆ พอเป็นพิธี เป็นวิธีที่จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์
ดังนั้นเราจึงต้องมีคุณธรรมอย่างที่เรารู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่า เรามีสรณาคมน์ การถึงสรณะที่ถูกต้องแก่พระพุทธเจ้า เรามีศีลคือข้อวัตรปฏิบัติที่กำจัดกิเลสได้ เรามีสมาธิ ที่จิตที่ตั้งมั่นที่สำเร็จประโยชน์แก่การกระทำในทางจิต เรามีวิปัสสนาปัญญา คือความรอบรู้ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้ กระทั่งว่าเราจะมีคุณธรรมสูงสุดพิเศษขึ้นไปถึงกับเป็นการบรรลุมรรคผลและนิพพาน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าในลักษณะที่ว่าเราเหมือนกับเราอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อยู่กับเรา แม้ที่เป็นส่วนพิธีรีตองเราก็ทำให้มันถูกต้อง ไม่ใช่ให้เป็นเพียงพิธีรีตอง แต่เป็นวิธีที่สำเร็จประโยชน์ ในการที่จะประพฤติต่อกันและกัน สรณาคมน์ ก็หมายถึงข้อที่มีจิตใจถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ เป็นสรณาคมน์อย่างแท้จริง มีการถึงอย่างแท้จริง มีการถึงที่พึ่งอย่างแท้จริง มีการได้รับที่พึ่งอย่างแท้จริง นี่เป็นส่วนสำคัญเป็นเบื้องต้น แล้วก็มีศีล คือว่ามีสิกขาบท ปฏิบัติตามภูมิ ตามควร ตามชั้นแก่สถานะของตน มีผู้ที่มีศีลเป็นที่รัก มีศีลเป็นที่พอใจ มีศีลเป็นคุณธรรมอันประกาศได้ทุกเวลา แล้วก็มีอาจาระ มีโคจร มีการประพฤติธรรม มีการกระทำ มีที่เที่ยวที่ถูกต้องโดยสมควรแก่ความเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า และก็จะมีสมาธิ คือมีจิตที่ตั้งมั่น ประกอบด้วยคุณธรรมที่เรียกว่า สมาธิ ซึ่งเป็นเหตุให้บรรลุคุณธรรมอันสูงขึ้นไป มีสมาธิเป็นเบื้องต้น เป็นรากฐานสำหรับดำเนินให้สูงขึ้นไป ยึดถือเอาสมาธิเป็นตัวสำคัญ สำหรับให้สำเร็จประโยชน์ การสำเร็จประโยชน์นั้นมันอยู่ด้วยความที่จิตเป็นสมาธิ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิแล้วก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร มันเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ เสียมากกว่า การที่จะเป็นเนื้อเป็นตัวของพุทธบริษัทของภิกษุสามเณรก็ตามนี่มันจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิแหลมคมเหมือนกับสิ่งที่แหลมคม เหมือนกับว่า อุปมาด้วยฉมวก ชนัก เสียบลงไปบนตัวปลาตักตัวปลาขึ้นมาได้ นั่นแหล่ะเสียบลงไปอย่างนั้นแหละ จะต้องมีสมาธิอย่างนั้นแหละ เสียบลงไปได้สำหรับการบรรลุคุณธรรม เป็นมรรคผลนิพพาน เสียบฉมวก เสียบชนักลงไปได้ที่ตัวมรรคผลนิพพานเลย จึงจะมีการบรรลุด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ ซึ่งมีรายละเอียดที่ท่านทั้งหลายก็พอจะเข้าใจกันอยู่ได้ว่ามันมีลำดับขั้นตอนอย่างไร
สมาธินี่มันเป็นส่วนสำคัญ เป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่สำเร็จประโยชน์หรอก ถ้าว่ามันไม่มีความแหลมคม มันขี้ทื่อก็ได้ วิปัสสนาที่ไม่มีสมาธิเป็นแกนกลาง เป็นใจกลางนี้มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ทุกคนจะต้องพยายามบำเพ็ญตนให้มีสมาธิ โดยสมควรแก่คติ(นาทีที่13.54)ฐานะแห่งตน แห่งตน สมาธิจึงจะสำเร็จประโยชน์แก่การที่จะมีวิปัสสนา ถ้าเรามีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ เรียกว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้า มีสรณาคมน์สมบูรณ์ มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ มีวิปัสสนาสมบูรณ์ ทำได้อย่างนี้เรียกว่ามีการอยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการทำอย่างนี้ จะไปเรียกว่าอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ จะไปเรียกว่าอยู่กับอะไรก็ตามใจ ตามใจใครมันจะเรียก แต่ถ้าจะอยู่กับพระพุทธเจ้าให้สมชื่อ สมนาม สมกับความที่เรามีความตั้งใจกระทำกันอยู่จริงๆ แล้ว มันต้องอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วยการมีสรณาคมน์ มีศีล มีสมาธิ มีวิปัสสนา พระพุทธเจ้าก็จะอยู่กับเรา เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูให้ดีว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้า หรือว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา ฟังดูมันก็ยังกำกวมกันอยู่มาก ที่จริงถ้ามีการกระทำถูกต้องแล้วมันไม่กำกวม มันอยู่กันได้จริงๆ จะให้พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็ได้ ให้เราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องทำเล่นหลอกๆ หลอกลวง ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็ได้ คุณธรรมของพระพุทธเจ้าแผ่ซ่านปกคลุมอยู่กับเรา เราก็อยู่ใต้บารมีของพระพุทธเจ้า ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ การกระทำเหมาะแก่ภูมิ แก่ชั้นของตน อย่างนี้จะเรียกได้ทั้งสองอย่าง ว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็ได้ ไม่เป็นเหมือนกับว่าไปเล่นละคร เอารูปปฏิมา มาตั้งสักอย่างหนึ่ง รูปปฏิมานั้นคือรูปแทนพระพุทธเจ้า รูปแทนเทพารักษ์ รูปแทนอะไรต่างๆ เอารูปปฏิมา มาตั้งเข้าเป็นประธานแล้วก็ทำพิธีรีตอง บูชา บวงสรวงอะไรกันต่างๆ นาๆ อย่างนี้ป่วยการเรียก ป่วยการเรียก ที่จะเรียกว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา มันเป็นเรื่องที่น่าหัว เป็นเรื่องของเด็กๆ เสียยิ่งกว่าเรื่องของเด็กๆ ที่ว่าจะเอารูปปฏิมา รูปจเวสก็แล้วกัน ใช้เรียกกันอย่างนั้นมาแทนพระพุทธรูป ทดแทนพระพุทธเจ้า แล้วก็บูชา บวงสรวงกันมันก็เป็นเพียงพิธีรีตอง อย่างนี้ไม่มีทางหรอกที่เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าจะอยู่กับเรา
นี่เราจะมีสถาบันของพระพุทธเจ้า เราจะมีสถาบัน สถาบันของพระพุทธเจ้า คือมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่อยู่ในจิตใจของเรา สิ่งที่เรียกว่าสถาบัน สถาบันนั้นยังเข้าใจผิดกันอยู่มาก อะไรๆ ก็เป็นสถาบัน ตึกรามบ้านช่อง อาคารสถานที่ก็เป็นสถาบัน แม้แต่พระพุทธรูปจะเอาเป็นสถาบัน มันกลายเป็นเอาอิฐ เอาปูนเป็นสถาบัน อย่างนี้ยังไม่ถูกต้องตามความหมาย
สถาบันคือสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจนะ ขอให้ฟังถูก ให้เข้าใจ ให้เห็นจริง ให้เห็นแจ้งโดยประจักษ์ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าสถาบัน สถาบันนั้นคือสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจ ไม่ใช่เป็นอิฐเป็นปูน ไม่ใช่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิสมมุติอย่างนั้น อย่างนี้ มันต้องเป็นสิ่งจริง เป็นคุณธรรมแท้จริง เป็นตัวธรรมะแท้จริงที่มีอยู่ในจิตใจ จึงจะเรียกว่าสถาบัน สถาบันคำนี้แปลว่าการตั้งอยู่ การตั้งอยู่ แต่เป็นการตั้งอยู่ในจิตใจ แห่งสิ่งที่เป็นคุณธรรมอันแท้จริง ถ้าว่ามีพระพุทธเจ้าในจิตใจนั่นแหล่ะจึงจะเป็นสถาบันของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สถาบันของอิฐปูน ของรูปเคารพ มันจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ มันก็ต้องเป็นสถาบัน คือมีอยู่ในจิตใจ ตั้งอยู่ในจิตใจนี่จึงจะเรียกว่าเป็นสถาบัน สถาบันของพระพุทธเจ้านั้นคือสิ่งที่ตั้งอยู่ในจิตใจ คือคุณธรรมที่แท้จริง ที่เรียกกันว่าเป็นพระพุทธคุณ และเป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นองค์สถาบันที่ตั้งอยู่ในจิตใจ มิใช่ตั้งอยู่ตามลำพังของวัตถุนั้นๆ นี่เป็นสถาบัน นี่คือความหมายของคำว่าสถาบัน ซึ่งแปลว่าตั้งอยู่ แต่ตั้งอยู่ในจิตใจ ถ้ามันตั้งอยู่กลางดินอย่างนี้ไม่ใช่สถาบันหรอก มันนอนเค้งเก้อยู่กลางดิน มันต้องตั้งอยู่ในจิตใจจึงจะเรียกว่าเป็นองค์สถาบัน สถาบันพระพุทธก็ดี ตั้งอยู่ในจิตใจ สถาบันพระธรรมก็ดี ตั้งอยู่ในจิตใจ สถาบันพระสงฆ์ก็ดี ตั้งอยู่ในจิตใจ ตั้งอยู่ในจิตใจจึงจะเป็นองค์สถาบัน เรามีสถาบันของพระพุทธเจ้า ก็คือมีสิ่งที่ตั้งอยู่ในจิตใจของเราเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริง เป็นพระธรรมองค์จริง เป็นพระสงฆ์องค์จริง ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา เราจึงจะมีสิ่งที่เรียกว่าสถาบันโดยถูกต้อง เดี๋ยวนี้เขามักไปเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ เอาเครื่องหมาย เอาอะไรต่างๆ นาๆ แม้แต่ว่าเอาอิฐเอาปูนมาเป็น ก้อนหินศักดิ์สิทธิ มาเป็นเครื่องบูชา บวงสรวง อ้อนวอน ก็นับถือว่าเป็นสถาบันนั้นเรายังไม่ต้องการ เราไม่ต้องการ เราต้องการแต่สิ่งที่ตั้งอยู่ได้ในจิตใจ หรือตั้งอยู่ได้จริงๆ ในจิตใจ เดี๋ยวนี้เราจะทำจนกระทั่งว่าสถาบัน หรือหัวใจของเราจริงๆ ตั้งอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็มาตั้งอยู่ในจิตใจของเรานี้จึงจะเป็นสถาบัน พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา เพราะเราก็มีสถาบัน มีจิตใจของเราตั้งอยู่ในพระพุทธเจ้า เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ก็มีสถาบันอันแท้จริงของพระพุทธเจ้าตั้งอยู่ในจิตใจของเรา
ต่อไป คือมีคำถามว่าทำอย่างไรพระพุทธเจ้ากับเราจึงจะพบกัน พระพุทธเจ้ากับเราจึงจะอยู่ด้วยกัน เมื่อไรจึงจะพบกัน มันก็เป็นเรื่องที่ว่า เราจะต้องทำหน้าที่ ที่ถูกต้องสำเร็จประโยชน์ในการที่จะมีปริยัติ คือความรู้ที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง มีปฏิเวธคือการตรัสรู้ที่ถูกต้อง มีปริยัติ มีปฏิบัติ มีปฏิเวธที่ถูกต้อง มันจึงจะพบกัน ต้องลงทุนตามสมควร หรือจะเรียกว่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็ได้ ที่จะให้มีสิ่งที่เรียกว่า ปริยัติ แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็ปฏิเวธ มีทั้งปริยัติ ทั้งปฏิบัติ ทั้งปฏิเวธแล้วก็ไม่ต้องสงสัย การอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็จะเป็นความจริง มันเกิดเป็นสิ่งพิเศษสูงสุดขึ้นมาว่า เป็นการบรรลุมรรคผล และนิพพาน มรรคคือสิ่งที่ตัดกิเลสได้ ผลคือผลของการตัดกิเลสได้ นิพพานคือสภาพสิ้นไปแห่งความทุกข์ มีมรรค มีผล มีนิพพาน นี้จึงจะเรียกว่าเป็นสถาบันของพระพุทธเจ้า มรรคผล นิพพานมีอยู่ในจิตใจของเรา ตั้งมั่นอยู่ในจิตใจของเรา จึงจะเรียกว่านี่เป็นสถาบันของพระพุทธเจ้า ที่ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา เราจึงจะพบกันกับพระพุทธเจ้า แล้วเรากับพระพุทธเจ้าก็จะมีการอยู่ด้วยกัน นี่พูดอย่างบุคคลานิสถาน(นาทีที่ 23.31)ไปหน่อยว่า พระพุทธเจ้ากับเราพบกัน พระพุทธเจ้ากับเราอยู่ด้วยกัน พบกันก็หมายถึงสติปัญญาเห็นโดยประจักษ์ แจ่มแจ้งตามที่เป็นจริง พบกันแล้วก็อยู่ด้วยกัน เป็นสติปัญญาที่กลมกลืนกัน ในการที่จะกำจัดกิเลสและความทุกข์ นี่เรียกว่าเราพบกันกับพระพุทธเจ้า หรือเราอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่แน่นแฟ้นมั่นคงแข็งโก๊กยิ่งกว่าสิ่งใดๆ สถาบันนี้เป็นสถาบันของจิตใจ แม้จะเป็นสถาบันแห่งจิตใจก็แข็งโก๊กยิ่งกว่าสิ่งใดๆ มั่นคงแน่นหนายิ่งกว่าสิ่งใดๆ นี่แหล่ะคือการที่เราอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า ในลักษณะที่เป็นสถาบัน เรียกว่าสถาบันของพระพุทธเจ้า ทีนี้ก็คิดกันดูต่อไปว่าอ้าว, เราพบกับพระพุทธเจ้า และอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า
เราก็ตั้งปัญหาต่อไปว่าทำอย่างไร เราจึงจะมีพระพุทธเจ้าเป็นการนิรันดร ทำอย่างไรเราจึงจะดับทุกข์ได้เป็นการนิรันดร ทำอย่างไรจึงจะมีพระพุทธเจ้านิรันดร ทำอย่างไรจะมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์นิรันดร ทำอย่างไรเราจึงจะดับทุกข์ได้เป็นนิรันดร ข้อนี้หมายความว่าจะต้องบรรลุถึงคุณธรรมอันสูงสุด คุณธรรมที่เป็นพิเศษสูงสุดอย่างที่เรียกว่าพระนิพพาน พระนิพพาน มีความว่างจากความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ความไม่มีความทุกข์นี้เรียกว่าว่างจากความทุกข์ ว่างจากความทุกข์ สุญญตา สุญญตาแปลว่าความว่าง ว่างจากความทุกข์ ว่างจากเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ คือว่างจากอารมณ์ สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์นั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าไม่มีเรื่องของอารมณ์แล้ว มันก็เป็นเรื่องของการมีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอารมณ์นั้นๆ มันก็ไม่ใช่ความว่าง เพราะมันยังมีการยึดมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ มันมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ ถ้าเรามีจิตว่างจากอารมณ์ได้ มันก็เป็นสูญญตา มันก็ว่างจากอารมณ์โดยประการทั้งปวง ก็เป็นพระนิพพานโดยแท้จริง นี่แหล่ะคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นสิ่งที่แท้จริงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ และเป็นความดับทุกข์ได้ มีความว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน นี้มันก็ดับกิเลส ไม่มีความรู้สึกเป็นอารมณ์ต่อสิ่งใด ไม่มีอารมณ์ว่าผู้ใด ไม่มีอารมณ์ว่าใคร ไม่มีอารมณ์ว่าที่ไหน ไม่มีอารมณ์ว่าอย่างไร ไม่มีอารมณ์ว่าเมื่อไร ไม่มีอารมณ์ว่าเท่าไร นี่เรียกว่าไม่มีอารมณ์ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นเรียกว่าพระนิพพานด้วยเหมือนกัน พระนิพพานเป็นสิ่งที่ไม่มีอารมณ์ โดยความหมายสูงสุดที่ว่า อัปปะฏิถัง(อปฺปณิหิตํ(นาทีที่27.33) มิได้ตั้งอยู่ อัปปะวัฏฏัง มิได้เป็นไป อนารัมมณัง มิได้มีอารมณ์ มิใช่มีอารมณ์ ไม่เป็นอารมณ์ ต่อเมื่อจิตไม่มีอารมณ์ ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ที่จิตจะต้องการ และเมื่อนั้นแหล่ะมันจึงจะเรียกว่าไม่มีอารมณ์นั่นคือเป็นพระนิพพาน เราจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็ได้ มันพูดอย่างเด็กๆ พูดไปหน่อย อะไรๆ ก็อยากได้ พระนิพพานนี่ พระนิพพานเป็นอารมณ์ แต่ว่าองค์พระนิพพานที่แท้จริงนั้นมิใช่อารมณ์ มิใช่อารมณ์ ไม่มีอารมณ์ มิใช่อารมณ์ ไม่เป็นอารมณ์ ถ้าเป็นอารมณ์มันก็เป็นพระนิพพานไม่ได้ นี่จึงว่าไม่มีอารมณ์ เป็นอัปปะฏิถัง(28.22) อัปปะวัฏฏัง อนารัมมณัง มิได้ตั้งอยู่ มิได้เป็นไป แล้วก็ไม่มีอารมณ์ มันเป็นสิ่งสูงสุดที่ใครจะพยายาม เมื่อสังเกตใคร่ครวญคิดนึกดูก็ได้ว่าไม่มีอารมณ์มันคืออะไร อ้าว, ตัวอย่างแบบฝึกหัดง่ายๆ อย่างเด็กๆ ก็ ตื่นนอนขึ้นมาไม่มีอารมณ์ ทำได้ไหม ตื่นนอนขึ้นมาไม่มีอารมณ์ ทำได้ไหม พอตื่นนอนขึ้นมามันก็มีอารมณ์อะไรเข้ามาเสียแล้ว เป็นนั่น เป็นนี่ อยากได้นั่น อยากได้นี่ มีอย่างนั้น มีอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาซะแล้ว นี่มันมีอารมณ์มาซะแล้วตั่งแต่ยังไม่ตื่นนอน
ดังนั้นเราจะฝึกฝนบทเรียนสูงสุดคือพระนิพพาน ในข้อที่ว่าตื่นขึ้นมาไม่ให้มีอารมณ์ นี่ก็เตรียมไว้ดีแล้ว มีสมาธิ มีวิปัสสนาที่เตรียมไว้ดีแล้ว มันจึงจะตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ว่าใคร ผู้ใด ผู้หญิง ผู้ชาย ที่ไหน เมื่อใด อย่างไร เท่าใด อะไร นี่มันเป็นอารมณ์ไปเสียทั้งหมดอย่างนี้ไม่ไหว ถ้าตื่นขึ้นมาไม่มีอารมณ์อย่างนี้ละก็เรียกว่าไม่มีอารมณ์ จะทำให้เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาได้ตามลำดับ ลำดับที่จะสูงขึ้นไป นี่เรียกว่ามันดับทุกข์ได้เพราะความไม่มีอารมณ์ บทนิยาม บทจำกัดความของคำว่าพระนิพพานนั้นมีอยู่ว่า อัปปะฏิถัง30.08 มิได้ตั้งอยู่ อัปปะวัฏฏัง มิได้เป็นไป อนารัมมณัง ไม่มีอารมณ์ ช่วยจำกันไว้ให้ดี
อัปปะฏิถัง มันไม่มีอะไรที่ตั้งอยู่เป็นตัวตน อัปปะวัฏฏัง ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นไปด้วยการจุติหรืออุบัติ ไม่ต้องเป็นไป แล้วอนารัมมณัง ไม่มีอารมณ์ในปัจจุบันโดยประการทั้งปวง ไม่มีอารมณ์ในปัจจุบันโดยประการทั้งปวงนี่เรียกว่าไม่มีอารมณ์ ทำอย่างนี้แหละจึงจะดับทุกข์ได้ จะดับทุกข์ได้ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระองค์จริง พระองค์จริงที่เป็นคุณธรรมอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ใช่มีบุคคลหรือรูปร่างบุคคล หรือสันนิษฐานตัวแทนแห่งบุคคล นี่จึงจะดับทุกข์ได้ ด้วยอำนาจของมีความว่าง ของความไม่มีอารมณ์ ไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆ เป็นอารมณ์ คำว่าอารมณ์นี้เข้าใจยาก ลำบาก ภาษาธรรมะ ภาษาปรัชญา ภาษาอภิปรัชญาก็เข้าใจยาก แล้วมันก็ทำยาก ด้วยการพิสูจน์กันได้ง่ายๆ ว่าทำจิตไม่ให้มีอารมณ์นั้นมันยากง่าย ยากง่ายเท่าไร ยากง่ายกี่มากน้อย การที่จะทำจิตไม่ให้มีอารมณ์ ตื่นนอนขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ ทำยากกันกี่มากน้อย มันมีอารมณ์ตั่งแต่ที่ยังไม่ทันตื่น พอตื่นขึ้นมาก็ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้อยู่กับพระนิพพาน ไม่มีพระนิพพานเป็นเครื่องอยู่
ท่านทั้งหลายเคย ปัจจเวก คือพิจารณากันโดยแท้จริงอย่างนี้ไหม คือต้องการจะทำการจิตไม่ให้มีอารมณ์ ไม่ให้มีอารมณ์โดยประการทั้งปวงอย่างนี้สักครั้งหนึ่งไหม สักครั้งหนึ่งไหม แต่นี่มันไปดูตัวจริง ไปดูตัวจริงที่มันมีอยู่ในจิตใจ ไม่ใช่เอาตัวหนังสือ ไม่ใช่เอาคัมภีร์ ไม่ใช่เอาตำราเป็นหลัก เอาตัวจริงเลย เราเอาตัวคนเป็นหลัก เอาตัวจิตเป็นหลัก จิตมีอารมณ์ไหม จิตมีอารมณ์ตั่งแต่เมื่อไร นี่ถ้ามันมีอารมณ์อย่างนี้แล้วมันก็เรียกว่าล้มละลายแล้ว พิจารณาดู โดยปัจจเวกว่ามีอารมณ์ไหม มีอารมณ์ไหม หรือเกลี้ยงจากอารมณ์โดยประการทั้งปวง
ขอระบุไปยังสิ่งๆ หนึ่งซึ่งมีความสำคัญที่สุด ที่เรียกว่าระบบประสาท ระบบประสาท ก็ที่เราเรียกกันว่าอินทรีย์ หรืออารมณ์นั่นแหละระบบประสาท ระบบประสาท สิ่งที่มีชีวิตจิตใจมันมีระบบประสาท ระบบประสาทนี้สำคัญมากมันมีอยู่อย่างลึกลับ ลี้ลับ ซ่อนเร้น กลับกลอกหลอกลวง ระบบประสาทมันสำหรับทำความรู้สึก อย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกๆ ถ้าสรุปรวบยอดก็คือ ก็รู้สึกทางกาม รู้สึกทางกามารมณ์ หรือที่เรียกกันตามประสาบ้านๆ ว่าเซกซ์ เซกซ์ ที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เรียกว่าเซกซ์น่ะ นั่นน่ะคือกามรมณ์ มันเป็นสิ่งที่เกิดไปตามระบบประสาท ระบบประสาทมันละเอียด ลึกซึ้งลี้ลับซ่อนเร้นเหลือประมาณ มันมีระบบประสาทมันจึงทำให้รู้สึกอารมณ์ คนตกอยู่ใต้อำนาจ ใต้วิสัยของระบบประสาทด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้ ต้นไร่ ก็ตกอยู่ในอารมณ์ของระบบประสาท มีการเคลื่อนไหว มีการหวั่นไหวไปตามความรู้สึก แม้แต่จะเป็นใบไม้ เป็นต้นไม้ เป็นใบไม้ นี่ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เดรัจฉานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคน คนมันก็มีระบบประสาทเช่นเดียวกันกับสัตว์ หรือแม้แต่ต้นไม้ใบไม้ มันมีระบบประสาท ทำให้รู้สึกอารมณ์ แล้วมันก็หวั่นไหวไปตามระบบประสาท สิ่งนี้เรียกว่ากาม เพราะว่าถ้าหวั่นไหว มันหวั่นไหวไปตามความใคร่ทั้งนั้น ถ้าไม่มีความใคร่มันไม่หวั่นไหว เพราะมีความใคร่มันมีการหวั่นไหว เมื่อมีการหวั่นไหวก็เรียกว่า ระบบประสาทที่หวั่นไหวเรียกว่ากาม หวั่นไหวไปตามกาม กามนี่จำกัดความสั้นๆ ง่ายๆ ว่า สิ่งที่มันต้องการ สิ่งที่มันอยาก คือสิ่งที่จิตมันอยาก นี่คือระบบประสาท แท้จริงคนทุกคน สิ่งที่มีชีวิต สัตว์หรือคน หรือคนหรือสัตว์ หรือแม้แต่พืชพันธุ์ต้นไม้ทั้งหลายมันก็มีระบบประสาท มันก็หวั่นไหวไปตามระบบประสาททั้งนั้น เมื่อหวั่นไหวไปตามระบบประสาทแล้วก็เรียกว่ามันมีอารมณ์ มันมีอารมณ์ เป็นคำพูดสั้นๆ ว่ามันมีอารมณ์ ถ้าไม่มีอารมณ์มันเป็นพระนิพพาน ถ้ามันยังหวั่นไหวไปตามอารมณ์หรือระบบประสาทอยู่ มันเป็นวัฏสงสาร เป็นตัวความทุกข์ มันไม่ใช่พระนิพพาน นี่เพราะว่ามันมีอารมณ์ ระวังให้ดีว่ามันตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์ หรือจะเรียกว่าอินทรีย์ก็ได้ อินทรีย์ก็ไอ้สิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ ทำตามระบบประสาท มีระบบประสาท จึงขอให้ดูตัวอย่างว่าเด็กๆ หนุ่มสาว ผู้ใหญ่แก่เฒ่าอะไรขึ้นมา มันก็มีระบบประสาท มันก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์ ตามที่ระบบประสาทมันต้องการ เดี๋ยวนี้ทำไมอันธพาลมันจึงเต็มบ้านเต็มเมือง ทำไมอันธพาลมันจึงเต็มบ้าน เต็มเมือง เพราะว่ามันเพิ่มไอ้คนที่ตกอยู่ใต้อำนาจของระบบประสาท คือตกอยู่ภายใต้อำนาจของกาม หรือตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่เรียกว่าเซกซ์ นี่มันก็เป็นไปตามระบบประสาท มันก็มีอารมณ์ มันก็ไม่ใช่นิพพาน นิพพานจึงเป็นสิ่งที่ยากและสูงสุด หาทำยาหยอดตาก็จะไม่ได้ เพราะว่ามันมีแต่ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของระบบประสาท ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ทั้ง...แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ แม้แต่ใบไม้ที่ยังสดอยู่นี่มันก็ยังมีความหวั่นไหวไปได้ตามอารมณ์ หรือระบบประสาท ทำตามที่ระบบประสาทมันระบุให้ หรือจะเรียกว่าระบบประสาทหรือกามมันบังคับ มันบีบคั้น หรือพูดเป็นคำหยาบว่าไสหัวไป ระบบประสาทมันไสหัวไป กามารมณ์มันไสหัวไป มันจึงไปตามอำนาจของระบบประสาท นี่ก็คือสิ่งสูงสุด ยากเย็นที่สุด ที่ว่ามันตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์ ตกอยู่ภายใต้ของวิสัยที่จะเป็นไปตามอำนาจของอารมณ์ ทุกคน ทุกคนๆๆ สังเกตดูใครบ้างที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งๆ นี้ คือระบบประสาท หรือที่เรียกว่ากาม หรือที่เรียกว่าเซกซ์ ก็คือสิ่งที่จิตปรารถนา ใครบ้างไม่มีจิต ใครบ้างที่มีจิตแล้วไม่ปรารถนาอะไร ถ้าจิตมันปรารถนาอะไร สิ่งนี้ก็เรียกว่าอารมณ์ๆๆๆ ทั้งนั้น ไปฝึกฝน ฝึกฝนบทเรียนวิเศษ ประเสริฐที่สุด สูงสุดคือจิตที่ไม่มีอารมณ์ ตื่นนอนขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ ไม่ให้จิตมีอารมณ์นั้นน่ะมันอยู่กับพระนิพพาน พอมีอารมณ์เมื่อไรมันก็ไปอยู่กับวัฏสงสารเมื่อนั้น จิตไปอยู่กับวัฏสงสารเมื่อนั้น ถ้าสำรวมจิตไว้ได้ไม่มีอารมณ์ คุ้มครองจิตไว้ได้ ประพฤติ ปฏิบัติถูกต้อง จิตไม่มีอารมณ์มันก็อยู่กับนิพพาน คือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ คืออายตนะพิเศษที่เรียกว่าตถายตนะ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความทุกข์ใดๆ นี่เป็นได้อย่างนี้
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักไอ้สิ่งสูงสุด เป็นปัญหาที่สุดก็อย่างหนึ่ง คืออารมณ์ของจิต หรือการที่จิตมันมีอารมณ์ จิตมันมีอารมณ์ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติสูงสุด จะเรียกว่าธรรมชาติยิ่งกว่าธรรมชาติก็ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติเต็มที่ ที่จะมีอารมณ์ และมันจะรู้สึกไปตามระบบอารมณ์ ดังนั้นเราจึงมีอารมณ์ ละกันไปอยู่กับอารมณ์ ไม่อยู่กับพระนิพพาน เราจึงอยู่กับพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าได้ ท่านไม่มีอารมณ์ พระนิพพานไม่มีอารมณ์ จิตของพระพุทธเจ้าบรรลุความไม่มีอารมณ์ อัปปะฏิถัง(40.20) ไม่ได้ตั้งอยู่ อัปปะวัฏฏัง ไม่ได้เป็นไป อนารัมมณัง มิใช่อารมณ์ มันไม่มีอารมณ์ มันไม่มีอารมณ์ มันตัดต้นเหตุคือกิเลสทั้งหลายได้ มันจึงไม่มีอารมณ์ ถ้าจิตมันยังมีจิตเป็นความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มันมีอารมณ์ มันก็จะต้องเป็นไปตามอารมณ์ นี้ก็เรียกว่าธรรมดาสามัญที่สุด เมื่อมีอารมณ์แล้วมันก็เป็นไปตามอำนาจแห่งอารมณ์ ขอย้ำอีกที ย้ำอีกนิด ย้ำเรื่อยไปก็ได้ว่า จงฝึกฝนบทเรียนที่ว่า ตื่นนอนขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ ฝึกฝนบทเรียน ฝึกฝนบทเรียน บทเรียนที่ว่าตื่นขึ้นมาไม่มีอารมณ์ ตื่นขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีเท่านั้นเท่านี้ เมื่อนั้นเมื่อนี้ อะไรมันมีอารมณ์ทั้งนั้น ถ้าจิตไม่มีอารมณ์แล้วไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ก็เป็นพระนิพพาน ท่านเรียกว่าเอโส(เส)วันโต ทุกขัสสะ(41.35) นั่นแหล่ะคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ อนารัมมณัง เวนะตัง(41.43) นั่นแหล่ะคือความไม่มีอารมณ์ ความไม่มีอารมณ์ นี่เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด สูงสุดจนไม่รู้จะสูงกันอย่างไร สูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา หรือจะกล่าวว่าพระพุทธศาสนาทั้งหมด หรือนอกจากพระพุทธศาสนาทั้งหมดออกไปอีก มันก็ไม่มีอะไรสูงสุดไปกว่านี้ ไม่มีอะไรสูงสุดไปกว่าความที่จิตที่ไม่มีอารมณ์ จิตไม่ใช่อารมณ์ จิตไม่มีอารมณ์ จิตมันอบรมดีถึงที่สุด จนกำจัดกิเลสได้ จนไม่มีเหตุอันเป็นที่เกิดแห่งอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์ มันก็ไม่มีอารมณ์ได้ นี่จิตไม่มีอารมณ์ก็คือพระนิพพาน แต่ธรรมดาจิตแล้วมันต้องการอารมณ์ จิตๆ สิ่งที่เรียกว่าจิต ต้องการอารมณ์ยิ่งกว่าสิ่งใด ต้องการมากเหมือนกับว่าปลาจับโยนขึ้นบนบก มันก็จะลงน้ำ มันต้องการจะลงน้ำ ปลาจับโยนขึ้นไปบนบกมันต้องการจะลงน้ำ มันมีอารมณ์มากถึงอย่างนั้น จิตนี้ก็เหมือนกัน จิตมันเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร มันต้องการอารมณ์ มันต้องการอารมณ์ มันจึงมีแต่อารมณ์ ตื่นนอนขึ้นมาไม่ทันจะตื่นด้วยซ้ำไป มันก็มีอารมณ์เสียแล้ว มันก็เป็นวัฏสงสาร เป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด คือความมีอารมณ์ เป็นความทุกข์
ทีนี้เราจะมีการอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา เราอยู่กับพระพุทธเจ้า เราพบกันกับพระพุทธเจ้า เราอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้านี้ใช้คำสมมุตินะว่าเราน่ะ เราน่ะ หมายถึงสิ่งสมมุติสิ่งหนึ่งว่าตัวเรา แต่ถ้าจะให้ไม่เป็นสมมุติก็ต้องเรียกว่าจิตที่เฉลียวฉลาด ที่รอบคอบถึงที่สุด ประกอบด้วยวิชชา วิชชา ปัญญาสูงสุดแล้วนี่มันจึงจะมาแทนตัวเรา มาแทนที่แห่งตัวเราที่จะมาอยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้าจิตทำได้อย่างนั้น จิตฝึกฝนจนไม่มีอารมณ์แล้วน่ะ มันก็มาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ได้เหมือนกัน ถ้าจิตมันไม่มีอารมณ์ แต่นี่ ขึ้นชื่อว่าจิตนั้นมันยังมีอารมณ์ มันก็เป็นไม่ได้ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เราจึงไม่มีสถาบันของพระพุทธเจ้า เรียกว่าสิ่งสูงสุด มั่นคงที่สุดคือสถาบันของพระพุทธเจ้า จะขอพูดรวบรัดเอาในที่นี้ว่าสถาบันของพระพุทธเจ้า ก็คือความถูกต้องของเราเอง ความถูกต้องของเราเอง ความถูกต้องของพระพุทธเจ้านั้นคือจิตที่ไม่มีอารมณ์ พูดย้ำไปย้ำมา ก็ย้ำอยู่ตรงนี้ กี่ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้ง ก็ว่าจิตของพระพุทธเจ้าไม่มีอารมณ์ พระพุทธเจ้าก็คือผู้ไม่มีอารมณ์ พระพุทธเจ้าจึงมีสถาบันที่มั่นคง แน่นแฟ้น แน่นหนา แข็งโก๊กยิ่งกว่าสิ่งใด แข็งโก๊กยิ่งกว่าของแข็งทั้งหลาย ไอ้เพชรที่ว่าแข็งแล้ว ก็ยังไม่แข็งเท่ากับความไม่มีอารมณ์ เท่ากับความไม่มีอารมณ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ ท่านมีความถูกต้องของท่าน ความถูกต้องของท่าน คือความไม่มีอารมณ์ ความถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือความไม่มีอารมณ์ จึงแข็งโก๊กอยู่ในความไม่มีอารมณ์ เป็นความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ไม่มีปัญหาอีกต่อไป ก็คือไม่มีความทุกข์อะไรอีกต่อไป จึงเรียกว่าสิ่งที่ไม่มีตัณหาอีก ไม่มีปัญหาอีกต่อไป พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเป็นนิรันดรอย่างนี้ คือมีความแน่นอนเป็นนิรันดรว่าไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ แล้วก็ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นั่นแหล่ะคือพระพุทธเจ้า
จะขอใช้คำนิยามว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือธรรม ธรรมหรือธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า รวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธเจ้า สมมุติว่ารวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธเจ้า เรียกโดยสมมุติ ที่จริงก็เป็นแต่สักว่าธาตุตามธรรมชาติ หรือถ้าว่าจะเป็นธาตุก็เป็นธาตุของความไม่ปรุงแต่ง ธาตุของความไม่ปรุงแต่งอะไรเรียกว่าธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมชาติของพระพุทธเจ้าไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีอารมณ์ ก็ไม่มีความทุกข์ในใจ นี่คือความเป็นนิรันดร เป็นความเป็นนิรันดรของความไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ เป็นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเป็นสถาบันอยู่ในองค์พระพุทธเจ้า เราก็จะมีสถาบันเพิ่มขึ้นในตัวเราให้มีความเป็นสถาบันเพิ่มขึ้นในตัวเราเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า ด้วยความไม่มีอารมณ์ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความถูกต้อง ขอให้สนใจคำพูดเพียงคำเดียวว่าความถูกต้อง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา หญิงชาย อะไรก็ตาม ขอให้มีสิ่งสูงสุดคือความถูกต้อง ความถูกต้อง พระพุทธเจ้าเรียกในพระบาลีว่า สัมมัตตะ บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินว่าสัมมัตตะ สัมมัตตะ คืออะไร สัมมัตตะ แปลว่าความถูกต้อง คือ สัมมา สัมมา สัมมา ประกอบกันสิบคำเป็นสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ นี่สัมมา สัมมา สิบคำประกอบกันเข้าเรียกว่า สัมมัตตะ แปลว่าความถูกต้อง ความถูกต้องนี่เอาเป็นองค์พระพุทธเจ้าสมมุติเป็นองค์พระพุทธเจ้าได้โดยถูกต้อง โดยสมบูรณ์ โดยครบถ้วนอีกแหละ องค์พระพุทธเจ้าคือความถูกต้อง หรือสัมมัตตะ สัมมัตตะแปลว่า ความถูกต้อง
ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทุกคนสนใจในสิ่งที่เรียกว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง เป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย เป็นองค์แทนเป็นสิ่งสมมุติ เรียกโดยสมมุติ เครื่องหมายองค์แทน แม้จะเป็นธรรมาธิษฐาน ก็จะเรียกว่าเป็นความถูกต้อง หรือสัมมัตตะ สัมมัตตะนี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นพระพุทธเจ้าที่จะอยู่กับเรา เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้า เราจะพบกับพระพุทธเจ้า เราจะอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า ก็คือสิ่งที่เรียกว่า สัมมัตตะ สัมมัตตะ แล้วเป็นความดับทุกข์ ดับทุกข์ สิ้นทุกข์นิรันดรอยู่ในตัวเอง เพราะว่ามันควบคุมสิ่งที่เป็นปัญหาทั้งหลายทั้งปวงได้ คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือระบบประสาท ให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ที่เรียกว่ากาม กามควบคุมได้ ก็เลยไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ มันก็เป็นพระนิพพาน นี่เป็นความถูกต้อง ความถูกต้องของเราก็คือสิ่งที่เรียกว่า พระพุทธเจ้า คือสิ่งที่เราจะขอเรียกโดยสมมุติว่าพระพุทธเจ้า เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง สัมมัตตะ สัมมัตตะ สัมมัตตะของเราเอง นี่ใจความที่ผมจะพูดธรรมปฏิสันถาร เป็นปฏิการ(50.21)ในวันนี้ แก่ท่านทั้งหลายก็คือสถาบันแห่งพระพุทธเจ้า สถาบันของพระพุทธเจ้าคืออะไร คือ คืออะไร คืออะไร คืออะไรจนไม่รู้จะเรียกว่าคืออะไรซะแล้ว สถาบันของพระพุทธเจ้า คือความถูกต้องของพระพุทธเจ้า ซึ่งรวมกันอย่างเข้มข้นก็คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า หรือความเป็นพระนิพพาน หรือความไม่มีอารมณ์ ความที่จิตไม่มีอารมณ์ ความที่จิตอบรมดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอารมณ์อะไรอีกต่อไป ไม่มีความยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งใด ก็มีความเป็นพระพุทธเจ้า ในตัวพระนิพพานนั้นไม่มีอารมณ์ ในความไม่มีอารมณ์นั้นเป็นพระนิพพาน เป็นองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริงสูงสุดโดยประการทั้งปวง เรียกว่าสถาบันของพระพุทธเจ้าซึ่งไม่เหมือนใคร ซึ่งไม่สามารถที่จะถูกกระทำใดๆ และไม่กระทำแก่สิ่งใด ไม่ถูกกระทำโดยสิ่งใด คือความถูกต้อง ความถูกต้อง เรียกว่าพระนิพพาน เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธจะอยู่กับเรา เป็นสิ่งเดียวกับพระนิพพาน เราจะพบกับพระพุทธเจ้า หรือเราจะอยู่กันด้วยกันกับพระพุทธเจ้า มันก็คือสิ่งที่เรียกว่าพระนิพพาน ความว่างจากปัญหา ความว่างจากอารมณ์ ว่างจากปัญหา ว่างจากอารมณ์ ว่างจากปัญหา ว่างจากอารมณ์ ว่างจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง
ขอให้เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เพื่อนสหธรรมิก สพรหมจารีทั้งหลายจงได้สนใจในคำๆ นี้ คือคำว่าไม่มีอารมณ์ แล้วคำว่านิพพานไม่มีอารมณ์ ฝึกฝนความไม่มีอารมณ์ ปฏิบัติให้สำเร็จในการไม่มีอารมณ์แล้วก็คือพระนิพพาน ถือเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติต่อไป อย่าให้จิตโง่เหล่านี้ อย่าให้จิตโง่พวกนี้มันไม่มีความทุกข์อีกต่อไป อย่าให้ไอ้จิตโง่เหล่านี้มันมีความทุกข์ได้อีกต่อไป อย่าให้จิตโง่ๆ เหล่านี้มันอย่ามีความทุกข์ได้อีกต่อไปนี่คือนิพพาน ความมุ่งหมายสิ่งนี้เป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมายของการที่ได้มาศึกษา มีการมาศึกษาร่วมกัน มีปฏิบัติร่วมกัน ได้รับผลของการปฏิบัติร่วมกัน ให้ได้รับผลของการที่จิตสามารถที่จะไม่มีอารมณ์ด้วยกันจนทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนเทอญ (สาธุ) ขอยุติการบรรยายในงวดนี้