แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปาฐกถาธรรมในวันมาฆบูชา Track ที่สี่ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๕ เวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา ณ ลานม้าหินที่หน้ากุฏิ
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ในการพูดที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เทศนา ไม่ใช่ปาถกฐา แต่เป็นการพูดพิเศษส่วนตัว เพื่อปรับความเข้าใจบางอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบเรื่องที่ต้องรู้หรือควรรู้ แล้วแต่จะพิจารณา ต้องรู้ก็คือถ้าไม่รู้มันเดือดร้อน มันเสียหาย หรือว่าควรจะรู้ก็ให้มันได้รู้ตามที่ควรจะรู้
เรื่องที่จะพูดนี่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ หรืออย่างน้อยก็ควรรู้สำหรับพุทธบริษัทเรา โดยเห็นว่า ท่านทั้งหลายมาจากที่ไกล เหนื่อยมากเปลืองมาก ควรจะได้รับประโยชน์อะไรคุ้มค่ากัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็เรียกว่าใช้เวลาไม่คุ้มค่า ใช้เงินไม่คุ้มค่า อาตมาผู้เป็นเจ้าของถิ่นผู้ต้อนรับก็ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกันนะว่าท่านทั้งหลายมาต้องได้รับประโยชน์คุ้มค่า เพราะฉะนั้นจึงเลือก เอาเรื่องที่จะให้มีประโยชน์คุ้มค่ามาพูดกันเป็นส่วนตัว ในฐานะเป็นเพื่อนพุทธบริษัท จะเป็นภิกษุสามเณร ภิกษุณี ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ก็เรียกว่าเป็นเพื่อนพุทธบริษัท เนื่องจะต้องมีสิ่งที่มีความเข้าใจร่วมกันและประพฤติร่วมกันให้สำเร็จประโยชน์แก่พระศาสนา
นี่คือเรื่องที่จะพูด ไม่เรียกว่าเทศน์ ไม่เรียกว่าปาถกฐา ให้เรียกว่าเป็นเรื่องพูดกันภายใน ขอให้ท่านทั้งหลาย ให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ ให้สำเร็จประโยชน์ เพราะว่านานๆ สักทีจึงจะได้มาพูดกันอย่างนี้ เรื่องเทศน์กันตามธรรมเนียม ปาถกฐาตามธรรมเนียมนั้นหลายร้อยครั้งพันครั้งแล้ว มันก็ยังจับใจความกันไม่ได้ เพราะว่าการพูดอย่างนั้นต้องพูดตามระเบียบแบบแผนประเพณี ไม่ใช่พูด ปรับทุกข์แก่กันและกันเหมือนอย่างวันนี้
วันนี้จะพูดกันอย่างปรับทุกข์ หมายความว่าให้รับผิดชอบร่วมกัน เรารับผิดชอบร่วมกันในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า เราจะทำทุกอย่างทุกอย่างเพื่อความตั้งอยู่ได้ มีอยู่ได้ เจริญงอกงาม อยู่ได้แห่งพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือสิ่งที่จะต้องรับรู้รับทราบ อย่าให้เป็นเพียงแต่ว่าเฮกันไปเฮกันมาตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่อนุโมทนาแน่ และก็จะสั่นพระเศียรด้วย ขอให้เข้าใจ
หมอห้ามไม่ให้เทศน์ อาตมาก็เลี่ยงมาเป็นพูด พูดปรึกษาหารือ เรียกว่าดื้อหมอ หนีหมอ ก็สุดแท้แต่ จะพูดเท่าที่รู้สึกว่าพูดได้ พอหมดแรงก็ต้องหยุด จะพูดได้กี่ข้อก็สุดแท้ ก็แต่ว่าจะพูดเป็นข้อๆ เพื่อให้ฟังง่าย เข้าใจง่าย และมันก็เป็นเรื่องที่เขาเรียกว่า หญ้าปากคอก คือเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้สนใจรู้จริง ขอจะพูดเป็นข้อๆ ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี จดกำหนดจดจำไว้ให้เป็นข้อๆๆๆ
ข้อแรก ก็จะพูดถึงเรื่องว่า เราทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี้มันก็สวดกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ว่าอย่างนกแก้วนกขุนทอง กี่ครั้ง กี่ครั้ง มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ แล้วก็ยังไม่ได้ผลด้วย เพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ เดี๋ยวนี้ขอให้มันมีความรู้สึกแท้จริงในใจ เพราะมองเห็นแจ่มชัดว่ามันเป็นอย่างนั้น
เราเป็นเพื่อน ข้อแรกว่าเพื่อนทุกข์ ข้อที่สองว่าเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ขอแยกเป็นสองชนิด เป็นเพื่อนทางกาย เราทุกคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิด แก่ เจ็บ ตายทางกายด้วยกันทุกคน นี่เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทางกาย ทางกายจะแยกออกไปทางกรรม ทีนี้ทางจิตใจ เราทุกคนก็มีกิเลส ไม่มีกิเลสก็มีความทุกข์ นี่เราเป็นเพื่อนทุกข์ในทางจิตใจคือมีกิเลสและมีความทุกข์ ขอให้มองเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันเป็นเพื่อนกันถึงขนาดนี้จริงๆ ให้ความรู้สึกนี้รู้สึกลึกซึ้งลงไปในจิตใจ เรียกว่าใต้สำนึก ใต้สำนึก คือไม่ต้องนึก แต่มันรู้สึกเต็มอยู่ในจิตใจ ข้อนี้สำคัญมาก ถ้ามีอะไรอยู่ ใต้สำนึกอยู่ในจิตใจแล้วข้อนั้นมันจริง มันออกมาเป็นเรื่องจริง ดีก็ดีจริง ชั่วก็ชั่วจริง
Subconscious แปลว่า ใต้สำนึก ให้มันรู้สึกอยู่ใต้สำนึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ นี่ทางใจ และเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ทางกาย ถ้าอันนี้มันมีอยู่ในใต้สำนึกจิตใจโดยแท้จริงแล้ว มันก็บังคับให้ทุกสิ่งที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นไปอย่างถูกต้อง จะปฏิบัติต่อคนที่เหนือกว่าเรา หรือคนที่เสมอกันกับเรา หรือคนที่ต่ำเลวกว่าเรา เราก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างที่ว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย คือเป็นเพื่อนทั้งทางกายและทางใจ นี่มันก็ยังไม่มากไม่น้อย ไม่สูงไม่ต่ำ มันคือพอดีพอดี จะเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด เมตตากรุณาโดยอัตโนมัติแม้ไม่ต้องเจตนา แต่ถ้ารู้สึกว่าเป็นเพื่อน มันก็มีเมตตา เมตตามันแปลว่าความเป็นเพื่อน คำว่าเมตตา เมตตานั้นแปลว่าความเป็นมิตรหรือความเป็นเพื่อน ถ้าใต้สำนึกแห่งจิตใจมันรู้สึกว่าเป็นเพื่อน การกระทำทั่วไปมันก็เป็นเพื่อน นี่ขอให้ไปชำระสะสางใจความข้อนี้ให้แจ่มกระจ่าง ไปนั่งพินิจพิจารณาในเวลาที่มี ว่างๆ ก็พิจารณาเถอะว่า ทั้งหมดนี่คือเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น บรรดาที่มีชีวิต เพื่อนมนุษย์นี่ก็ดี เพื่อนสัตว์เดรัจฉานก็ดี นี่มันก็เป็นเพื่อน ต้นไม้ต้นไร่นี่มันก็มีชีวิต มันก็เป็นเพื่อนในระดับต่ำสุด แต่ก็ยังต้องรับว่ามันก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน เพราะมันก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย รู้สึกว่า เป็นสุขเป็นทุกข์เหมือนกัน
ดังนี้ ลองคิดดูอีกทีว่าจิตใจจะเป็นอย่างไร จิตใจมันก็กว้างขวางเหนือสูงสุดมหาศาล ครอบงำโลกทั้งโลก นั่งแผ่เมตตาจิตไปทั่วโลกว่าทั้งหมดเป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพียงเท่านี้ก็เหลือหลายแล้ว เรียกสำนวนชาวบ้านว่าเหลือกิน มีความรู้สึกเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้อย่างนี้ นี่เป็นข้อแรก ช่วยจำไว้ให้ดี ไปซักซ้อมเสียใหม่ อย่าเป็นแต่สวดอย่างนกแก้วนกขุนทอง ไม่สำเร็จประโยชน์ ว่ากันทุกครั้งที่สวดมนต์แต่มันก็ละเมอละเมอเหมือนนกแก้วนกขุนทอง เดี๋ยวนี้ก็จะมีความรู้สึกแท้จริงว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย แบ่งเป็นทางใจและทางกาย ทางใจเป็นเพื่อนทุกข์มีความทุกข์ เบียดเบียนของกิเลสด้วยกัน ทางกายก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน หรือไม่มีใครที่ไม่ใช่เพื่อน เป็นเพื่อนกันแท้จริงโดยธรรมชาติ แต่รู้หรือไม่รู้ รับหรือไม่รับนี่มันอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจิตใจเป็นพุทธบริษัทโดยถูกต้อง มันก็ยอมรับความเป็นเพื่อน ในลักษณะนี้ ขนาดนี้ กว้างขวางทั่วจักรวาล ไม่ว่าเทวดา ไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าอะไร เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็สบายใจ พอใจ รู้สึกว่าเป็นความปลอดภัย เป็นความแน่ใจชนิดหนึ่ง แน่ใจเรียกว่าศรัทธาและก็ทำให้เชื่อว่าปลอดภัย พอรู้สึกว่าปลอดภัยมันก็นอนหลับน่ะคนเรา นี้ข้อหนึ่ง ข้อแรกว่ารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
นี่ข้อสอง เราเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ข้อนี้บางคนคงฟังไม่ถูก บางคนฟังถูกเพราะรู้ว่าอิทัปปัจจยตาคืออะไร แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าอิทัปปัจจยตาคืออะไร ก็ฟังไม่ถูก แน่นอนฟังไม่ถูก แต่ถ้าฟังไม่ถูกก็คือไม่รู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นสรุปรวมเรียกว่าเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท
เอาคำพูดก่อน อิทัปปัจจยตามันแปลว่ามันมีปัจจัย มีเหตุมีปัจจัยและมันต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คือทุกคน ทุกชีวิต ทุกสังขาร ทุกอัตภาพ ไม่ว่าสัตว์ คนหรือสัตว์มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ นี่เป็นพุทธศาสนา ไอ้บางพวกเขาว่าเป็นตามกรรมเก่า มันก็หลับตาพูดไปอย่างนั้น บางพวกก็ว่าโชคว่าเคราะห์ บางพวกว่า เทวดา ผีสางบังคับให้เป็นไป ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่พุทธบริษัท แม้แต่เชื่อว่ากรรมเก่าก็ไม่ใช่พุทธบริษัท พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆ ว่าความสุขกับความทุกข์ไม่ได้เป็นผลของกรรมเก่า ไม่ได้เป็นการบันดาลของพระเจ้า แต่มันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา เราถูกสอนหรือโดยอะไรก็ไม่ทราบมักจะเรียกว่ากรรมเก่าบ้าง เทวดาบ้าง โชคเคราะห์ชะตาราศีบ้าง อย่างนั้นไม่ใช่พุทธบริษัท
ถ้าพุทธบริษัทต้องเป็นอิทัปปัจจยตา นอนเจ็บเป็นอัมพาตอยู่ก็ดี ตายลงไปหยกๆ นี้ก็ดี ก็เชื่อว่ามันเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา ไม่ต้องกรรมเก่า ไม่ต้องผีสางเทวดาโชคเคราะห์อะไร กฏของ อิทัปปัจจยตาตามธรรมชาติ มันถึงเข้ากับคนนั้นในลักษณะอย่างนั้น มันจึงตายหรือมันนอนเจ็บ เป็นอัมพาตอยู่เป็นปีๆ ก็รู้ไว้ว่าเราเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาด้วยกันทุกคน หมายความว่า สมาชิก สมาชิกนี่อาตมาเห็นว่ามันเข้าใจกันง่าย เป็นสมาชิกสมาคมนั่นสมาคมนี่ สมาชิกสโมสรนั่นสโมสรนี่ เป็นสมาชิกไลอ้อน โรตารี อะไรก็แล้วแต่เรียกว่าเป็นสมาชิก นั่นเป็นเรื่องสมมติ เป็นตามสมมติเป็นตามความสมัครใจก็เป็นสมาชิกกันไป นั่นนี่นับไม่ไหว แต่ว่าโดยธรรมชาติแท้จริงที่ส่วนลึกของจิตใจที่มันเป็นเองโดยธรรมชาตินั้นเราเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาคืออยู่ภายใต้กฏอิทัปปัจจยตากันทุกคน จะเรียกว่าอิทัปปัจจยตาก็ได้ จะเรียกว่าปฏิจจสมุปบาทก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านเรียกยาวเต็มที่ว่าอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาแล้วก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มันอาศัยเหตุปัจจัยแล้วเกิดขึ้นเกิดขึ้นเป็นสุขก็ได้เป็นทุกข์ก็ได้ เป็นสุขก็ได้เป็นทุกข์ก็ได้ แต่ที่ดีที่สุดนั่นก็ต้องไม่เป็นสุข เป็นทุกข์ คือเหนือสุขเหนือทุกข์ คือเหนือกฏอิทัปปัจจยตา
เดี๋ยวนี้เรายังเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเพราะว่าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ จนกว่าเมื่อไรเป็นพระอรหันต์มันจึงอยู่เหนือกฏอิทัปปัจจยตา อะไรปรุงแต่งไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันเป็นสมาชิก อิทัปปัจจยตาโดยธรรมชาติ จัดบังคับให้เป็น แต่คนโง่มันไม่รู้สึก หรือคนบ้ามันไม่รู้สึก มันจึงได้เป็นบ้า มายึดเรื่องโชคชะตาราศี ผีสางเทวดา กรรมเก่ากรรมอะไรก็ไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าเป็นเพราะอำนาจของธัมมะที่เป็นกฏของธรรมชาติคือ อิทัปปัจจยตา คนที่ไม่เคยชินกับคำนี้ช่วยฟังให้ดีๆ และจำให้แม่นยำว่า อิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตา ถ้าจะเรียกอีกชื่อก็ว่า ปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ธัมมะ ผู้ใดเห็นธัมมะผู้นั้นเห็นฉัน ตถาคตน่ะ เห็น อิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาทก็ตามเรียกว่าเห็นธัมมะ เมื่อเห็นธัมมะล่ะก็เห็นเราคือตถาคต จงเห็นอิทัปปัจจยตา มันออกจะละเอียดและมันก็ปัจจัยบางอย่างเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่เป็นวัตถุสิ่งของ มันก็เห็นยากเหมือนกัน เป็นเรื่องทางจิตใจ แต่ทางวัตถุสิ่งของนี่มันก็เห็นง่ายนับตั้งแต่หนึ่งปรมาณูปรุงมาก็เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นเซลล์ เป็นเนื้อหนังร่างกายเป็นกระดูกเป็นอะไรขึ้นมา เป็นเนื้อเป็นตัวนี่ก็เรียกว่าปัจจัยตามฝ่ายวัตถุ
ปัจจัยทางฝ่ายปัจจัยก็ปรุงแต่งเป็นทำนองเดียวกัน เห็นรูปหรือฟังเสียงหรือดมกลิ่นแล้ว ก็เกิดวิญญาณ แล้วก็เกิดผัสสะ แล้วก็เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ จนเกิดทุกข์ นี่ฝ่ายจิตใจ ฝ่ายวัตถุฝ่ายรูปก็มีอยู่พวกหนึ่ง ฝ่ายนามก็มีอยู่พวกหนึ่ง รวมกันทั้งสองฝ่ายเรียกว่า อิทัปปัจจยตา มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ เพราะใจความมันว่าอย่างนี้
สัตว์ทั้งหลาย อัตภาพทั้งหลาย ชีวิตทั้งหลาย มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา และมันก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ ความที่มันต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ นั่นแหละ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา
เมื่อพูดให้ลูกเด็กๆ ฟังก็พูดว่าเมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ดับลงสิ่งนี้ก็ดับลง สิ่งนี้ดับลงสิ่งนี้ก็ดับลง มันมีปัจจัยทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ ฝ่ายดับก็เรียกว่ามันเกิดเหมือนกัน มันเกิดเป็นความดับขึ้นมา เกิดเป็นความเกิดขึ้นมาก็ได้ เกิดเป็นความดับขึ้นมาก็ได้ ก็เรียกว่าเกิด นี้มีปัจจัยแล้วก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ
ทุกคนเป็นสมาชิกแห่งอิทัปปัจจยตาอยู่โดยธรรมชาติอันเฉียบขาด ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ต้องไปขึ้นทะเบียน ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ไม่ต้องประชุมอะไร มันเป็นอยู่โดยธรรมชาติ เป็นอยู่ในเนื้อในตัว เมื่อเป็นสมาชิกของอิทัปปัจจยตาก็เตรียมตัวสำหรับเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา
ที่มาในรูปหนึ่งก็อย่าร้องไห้ ที่มาอีกรูปหนึ่งก็อย่าหัวเราะ อย่าต้องหัวเราะ อย่าต้องร้องไห้ มีจิตใจเสมอ เป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาให้เก่งให้ถูกต้องและต้องเป็นอย่างนี้ คือจะต้องไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจไม่เสียใจ ไม่บวกไม่ลบ เพราะเป็นสมาชิกแห่งอิทัปปัจจยตา มันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่รู้สึกเป็นบวกเป็นลบ มาหัวเราะ มาร้องไห้อยู่ ก็เป็นทุกข์เปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร พูดภาษาธรรมดาก็อย่าขึ้นหรืออย่าลง อย่าฟูหรืออย่าแฟบ รักษาจิตให้ปกติอยู่เสมอ นี่เรียกว่าเป็น ผู้รู้จักอิทัปปัจจยตา ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฏของอิทัปปัจจยตา
และนี่มันเป็นข้อที่สอง เราเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาแก่กันและกันด้วยกันทุกคนทั้งหมดทั้งสิ้น ยิ่งกว่าเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่เจ็บตายซะอีก ความเป็นสมาชิกแห่งอิทัปปัจจยตานี่ทั่วถึงทั่วถึงหมด ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้น คนก็เป็น สัตว์เดรัจฉานก็เป็น ต้นไม้ต้นไร่ก็เป็น คือมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ปรุงแต่ง บางรายก็น่าน่าน่ากลัวนัก เป็นความตาย เป็นความทุกข์ยากลำบาก บางรายก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความหมายที่ว่าเมื่อมีกิเลสแล้วก็ต้องเป็นปัญหา เดี๋ยวมีความรักรบกวน เดี๋ยวมีความโกรธรบกวน เดี๋ยวมีความเกลียดรบกวน ความกลัวรบกวน ความตื่นเต้นรบกวน ความวิตกกังวลรบกวน ความอาลัยอาวรณ์รบกวน ความอิจฉาริษยารบกวน ความหวงรบกวน ความหึงรบกวนโอ้ย, นี่ก็เป็นของธรรมดา เรียกว่าเป็นไปตามกฎ อิทัปปัจจยตา เป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาก็ต้องเป็นอย่างนี้ ที่จะให้เก่งให้ดีก็ปฏิบัติชนิดที่ว่า สู้ได้ เฉยได้ ปกติได้ กฏอิทัปปัจจยตาทำอะไรไม่ได้ แม้จะถึงเจ็บป่วยถึงตายก็ไม่หวั่นไหว หัวเราะเยาะไปเถอะทั้งนั้นน่ะ
นี่สมาชิกอิทัปปัจจยตาควรเป็นให้ได้กันถึงอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างปล่อยไปตามเรื่องปล่อยไปตามเรื่องก็อย่างที่เห็นเห็นอยู่ เดี๋ยวคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนี้ คนนู้นเป็นอย่างนู้น แล้วก็ไปโทษว่าทำไมมาเป็นแต่เรา คนอื่นไม่เป็น เพราะมันไม่เหมือนกัน แต่ว่ามันก็นานๆ เข้ามันก็จะเป็นกันทุกคน จะเป็นครบถ้วนกันทุกคนก็ได้ ในชาติเดียวเป็นไม่ครบ หลายๆ ชาติเข้ามันก็เป็นครบ
นี่เป็นเรื่องที่สองเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตาอยู่โดยไม่รู้ตัว เดี๋ยวนี้มารู้ตัวซะนี่ เมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วก็ต้องเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตา เป็นไปตามกฏเกณฑ์แห่งอิทัปปัจจยตา
ทีนี้เรื่องที่สาม เราเป็นลูกหนี้ของธรรมชาติ ลูกหนี้ของธรรมชาติ คงจะฟังไม่ถูกว่าได้ไปยืมอะไรจากธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ธรรมชาติน่ะมันมีดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ธาตุนานาชนิด เป็นของธรรมชาติ ลูกหนี้ของธรรมชาติ ก็คือว่า ชีวิตนี้มันเหมือนกับยืมมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติให้ยืมมาดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดร่างกาย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ส่วนร่างกาย ธาตุวิญญาณ ส่วนจิตใจ ธาตุอากาศนี่พื้นฐานรองรับทั้งร่างกายและจิตใจ ยืมธาตุตามธรรมชาติมา แล้วจะต้องคืนเจ้าของ แต่อยากจะพูดเรื่องธรรมชาติให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะต้องรู้จักธรรมชาติ ธรรมชาติ รู้จักอย่างไร คือรู้จักว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกส่วนของร่างกายเรา ภายนอกภายใน เราก็เป็นของธรรมชาติ เพื่อนมนุษย์ทุกคนก็เป็นธรรมชาติ ทั้งโลกก็เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ นี่ข้อหนึ่ง ข้อที่สองมันมีกฏของธรรมชาติ บังคับธรรมชาติทั้งหลายอยู่ ข้อที่สามคือมันมีหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ มิฉะนั้นจะต้องตาย ปฏิบัติหน้าที่แล้วก็มีเรื่องที่สี่คือได้รับผล ได้รับผลที่ทำหน้าที่ถูกต้องตามธรรมชาติ
เรื่องของธรรมชาตินี้มีสี่ความหมาย คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวกฎธรรมชาติที่ประจำอยู่ในธรรมชาตินั้น แล้วก็หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ และก็ผลที่ได้รับจากหน้าที่มันมีสี่ความหมาย ในตัวเรามีธรรมชาติ ในเนื้อตัวนี่ ก็มีกฏของธรรมชาติบังคับทั้งเนื้อทั้งตัวให้เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ถ้าเรามีหน้าที่ที่จะปฏิบัติทั้งกายทั้งใจให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นี่เรียกว่าหน้าที่ ถ้าปฏิบัติแล้วมันก็เกิดผล ปฏิบัติถูกก็ได้รับผลเป็นความสุขสบาย ไม่ถูกก็ได้รับผลเป็นยุ่งยากลำบาก
ธรรมชาติมีสี่ความหมาย คือ ตัวธรรมชาติเอง ตัวกฏของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ตัวผลที่เกิดจากหน้าที่ ไอ้หน้าที่น่ะคือพระธรรม ธัมมะ แปลว่าหน้าที่ หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ความถูกต้องต่อความรอด ความถูกต้องต่อความไม่เป็นทุกข์นั่นเรียกว่าหน้าที่ ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่ หน้าที่คือพระธรรม เป็นธรรมชาติในความหมายที่สาม ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ รู้จักว่าเรามันเกี่ยวข้องกันอยู่กับธรรมชาติซึ่งมีอยู่สี่ความหมาย เราคนเดียวก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ ทั้งโลกทั้งจักรวาลก็เป็นอย่างนี้ มีธรรมชาติ มีหน้าที่ มีกฏของธรรมชาติ แล้วก็มีหน้าที่ต้องทำตามกฏของธรรมชาติ แล้วก็มีผลที่จะเกิดจากการทำหน้าที่
อยากจะมีความเจริญให้รุ่งเรืองเป็นสุขสบายก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เกือบจะทุกวันวันละหลายหลายคนมา ขอพร ขอพร ขอพร แต่มานึกดู อู้, มันบ้านะไอ้พวกนี้มันบ้า มันให้พรให้พรกันจนไม่มีโกดังจะเก็บ มันยังมาขอพรอยู่อีก พรอย่างนั้นฉันไม่มีหรอก มีพรแท้จริงคือหน้าที่ คือปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องแล้วก็จะเกิดเป็นพรแท้จริงของพระพุทธเจ้า เกิดเป็นผลดีผลจริงขึ้นมา
คุณจงทำหน้าที่หน้าที่ ทุกหน้าที่ หน้าที่เป็นมารดาบิดา เป็นลูกเป็นหลาน เป็นนายเป็น คนใช้ เป็นบ่าว เป็นชาวนา เป็นพ่อค้า เป็นอะไรก็ตาม หน้าที่สารพัดหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ถูกนั่นล่ะ คือพร ทุกอย่างปฏิบัติให้ถูกตามหน้าที่ ซึ่งมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ เมื่อได้ยินคำว่าธรรมชาติ ธรรมชาติในพระพุทธศาสนา ก็ขอให้เข้าใจว่ามันมีอยู่สี่อย่างอย่างนี้ จำไว้แม่นๆ ตัวธรรมชาติเอง ตัวกฏของธรรมชาติที่มีอยู่ในนั้น ตัวหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติและก็มีผลที่เกิดจากหน้าที่ เรียนรู้ธรรมชาติสี่ความหมายนี้ให้ดีๆ และก็จะเป็นผู้ชนะธรรมชาติ จะเอาชนะธรรมชาติ สามารถใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์เกิดความสุข
ที่นี้ข้อสี่ต่อไปว่า เรามีการผูกพันกับธรรมชาติ เหมือนกับว่าเรายืมของมาใช้แล้วก็คืนเจ้าของ อัตภาพชีวิตร่างกายทั้งหมดนี่เหมือนกับยืมมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติให้ยืมมา แล้วมาพัฒนาเอาเอง ปฏิบัติเอาเอง พัฒนาเอาเองให้ได้ผลได้ประโยชน์ตามที่ตัวต้องการ ได้ทุนรอนมาได้เดิมพันมาจากธรรมชาติ ให้ยืมมาพัฒนาเอาเอง เสร็จแล้วต้องส่งคืน โดยเฉพาะเมื่อเวลาแตกดับก็ให้มันส่งคืนธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ยืมของธรรมชาติมาแล้ว มันยักยอกมันตระบัด มันมาคิดว่าตัวกู ว่าของกู ตัวกูของกู ตัวกูของกู เนื้อหนังของกู ชีวิตชีวิตของกู อะไรของกู ไม่รู้ไม่ชี้ว่าเรื่องยืมมาจากธรรมชาติ นี่มันเป็นคนตระบัดหลอกลวงยักยอก มีตัวกูเมื่อไรก็ได้เป็นทุกข์เมื่อนั้น คิดว่าตัวกูเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น นี่คนไม่ซื่อ คนยักยอก คนตระบัดสัตย์ ยืมของธรรมชาติมาเป็นเดิมพันเพื่อพัฒนาแล้วมาว่าตัวกูว่าของกู กระทั่งตายเข้าโลงมันก็ไม่คืนให้ ยังไม่ยอมละว่าไม่ใช่ตัวกูไม่ใช่ของกู
ให้รู้ทันทีว่าเราน่ะยืมสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ต้นทุนหรือเดิมพันมาจากธรรมชาติมาเป็นชีวิต เป็นร่างกาย เป็นรูป เป็นนาม เป็นจิต เป็นใจก็พัฒนาเอาเถอะ พัฒนาเอา พัฒนาเอา แต่อย่าไปหลงใหลหรือโง่เขลาว่าตัวกูว่าของกู มันเป็นของธัมมะหรือของธรรมชาติ หรือได้พัฒนาให้ได้อย่างใจ ให้ถูกต้องให้เป็นสุขเสีย แล้วก็ไม่ว่าของกู ไม่ว่าตัวกู เมื่อตายก็กลับไปหาธรรมชาติเองเป็นการใช้คืนอย่างถูกต้อง ไม่ยักยอกไม่ตระบัด ไม่อะไร
นี่ว่าชีวิตนี้มีธรรมชาติให้ยืมเป็นเดิมพันมา ลงทุนเอา พัฒนาเอา ค้าขายเอา ค้าขายด้วยชีวิต แล้วก็รู้จักเพราะมันเป็นของธรรมชาติ อย่าให้เป็นของกูตัวกูเหมือนกับนกเขา นกเขาบินไปจับต้นไม้ไหนมันก็ว่าของกู ของกู ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะไปจับที่ต้นไม้ไหน คนเราก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรมาคว้ามาก็เป็นตัวกูเป็นของกูไปเสียทั้งนั้น และนั่นแหละมันกัดเอา นี่ตัวกูเป็นของกูมันก็เห็นแก่ตัวมันก็เกิดกิเลส มันก็เกิดเป็นทุกข์ เพราะมันเห็นแก่ตัว อย่ามีความรู้สึกเป็นตัวกูของกู มันก็ไม่เห็นแก่ตัว มันก็เบา สบาย พัฒนา พัฒนา พัฒนาชีวิต จิตใจร่างกายเอาตามความต้องการ อย่าเอาความร่ำรวยอย่างไรก็ได้ เอาความสุขสมบูรณ์อย่างไรก็ได้ เอาความสงบสุขอย่างไรก็ได้ พัฒนาเอาตามใจชอบ แล้วก็คืนธรรมชาติโดยอัตโนมัติว่าตายลงก็อย่าเอาเป็นตัวกูของกู เดี๋ยวนี้มันตัวกูของกูจนเข้าโลง เข้าโลงก็ไม่ยอมปล่อย นี่เรียกว่ามันยักยอกมากเกินไป ธรรมชาติให้ยืมเป็นของยืม
ทีนี้ข้อที่ห้า ปัญหาเรื่องเพศ หรือเหนือเพศ หรือการสมรส ปัญหาเกี่ยวกับเพศมีมาก คือเพศหญิงเพศชายก็ไปยึดมั่นถือมั่นเพศหญิงเพศชายมีปัญหามาก ยุ่งยากกันตลอดชีวิตเหมือนกัน ตามธัมมะแท้ๆ ซึ่งอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังก็ได้ว่าจิตใจแท้ๆ จิตแท้ๆ จิตบริสุทธิ์แท้ๆไม่เป็น เพศหญิงหรือไม่เป็นเพศชาย ว่าง แต่ว่ามันมีเจตสิกธรรมพวกหนึ่งเรียกว่าอินทรีย์นี่ ที่เป็นหญิงเรียกว่า อิตถินทรีย์ ที่เป็นชายเรียกว่า ปุริสินทรีย์ อินทรีย์ที่เป็นเจตสิกนี่มันจับเข้าที่จิตใจ แล้วจิตใจก็จะรู้สึกว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย คุณลองคิดดูธรรมดาไม่รู้สึกว่าเราเป็นหญิงหรือเป็นชายนะ แต่ถ้ามีอินทรีย์นี่เกิดนี้ในจิตใจเมื่อไรมันก็มีรู้สึกว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย
อวัยวะเพศธรรมชาติให้มาเพื่อสืบพันธุ์ เพื่อการสืบพันธุ์ ธรรมชาติมีอำนาจเหนือเมฆให้อวัยวะสืบพันธุ์มา แล้วจิตใจนั้นก็ให้เจตสิกที่จะรู้สึกว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายมา พออายุสมควร อวัยวะเพศก็ทำหน้าที่ ไอ้ความรู้สึกว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ทำหน้าที่ แล้วก็มีปัญหาเกี่ยวกับเพศ ถ้าเป็นเรื่องเพียงสืบพันธุ์ให้มนุษย์ไม่สูญพันธุ์เท่านั้นมันก็พอดี ไม่มีปัญหาอะไรนัก แต่ถ้ามันกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ กามคุณ อันนี้เรื่องมากมายยิ่งกว่าฆ่ากันตาย กามารมณ์เป็นปัญหายังไงก็รู้กันเองมองเห็นกันอยู่แล้ว มันต้องควบคุมความรู้สึกทางเพศนี้เสียให้ได้ อย่าให้มันรู้สึกเป็นหญิงเป็นชาย อย่าโง่เขลาอย่างบ้าหลัง ให้รู้อย่างความจริงว่าตามธรรมชาติไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย ต่อเมื่อเจตสิกกระทำอิตถินทรีย์ครอบงำก็รู้สึกว่ากูเป็นหญิง ปุริสินทรีย์ครอบงำก็รู้สึกว่ากูเป็นชาย ทำกิจกรรมระหว่างเพศได้ก็ต้องมีความรู้สึกอันนี้ ถ้าความรู้สึกอันนี้ไม่เกิดมันก็ทำกิจกรรมทางเพศไม่ได้หรอก ก็เลือกเอาเองว่ายุ่งเท่าไร ไม่ยุ่งเท่าไร อย่าให้ความรู้สึกทางเพศมันครอบงำไปเสียตลอดเวลา แม้ว่าร่างกายจะมีนิมิตเป็นเพศหญิงเพศชายอยู่ตลอดเวลา เพราะนั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ เพื่อการสืบพันธุ์ เพื่อความสงบสุข เพื่อสันติภาพความเยือกเย็นแห่งจิตใจแล้ว อยู่เหนือเพศ จงอยู่เหนือเพศ จงรู้สึกว่าอยู่เหนือเพศ ไม่มีความรู้สึกเป็นหญิงเป็นชาย ไปคิดดูถ้าเมื่อใดไม่มีความรู้สึกว่าเป็นหญิงเป็นชายเมื่อนั้นสบายกี่มากน้อย พอรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชายขึ้นมาก็ตาม เมื่อนั้นมันยุ่งยากกี่มากน้อย นี่ก็เป็นธรรมชาติ เป็นความลับของธรรมชาติ
พระอรหันต์หมดความรู้สึกทางเพศว่าเป็นเพศหญิงหรือเป็นเพศชายก็สบายไปเลย แต่พวกปุถุชนโง่เขลานี่มันยิ่งเป็นหญิงเป็นชายมากเข้าไปอีก มันไปส่งเสริมไปหลอกลวงให้มากขึ้นไปอีก ให้บ้าขึ้นไปอีก ให้มันเป็นบ้าไปเลย ก็ควรจะรู้ไว้ว่าไอ้ความรู้สึกทางเพศนี่ มันเป็นเรื่องชั่วคราว เป็นเรื่องความโง่ก็ได้ หลงไปในอิตถินทรีย์ก็เป็นหญิง หลงไปในปุริสินทรีย์ก็เป็นชาย ก็ยุ่งยากลำบากในเรื่องทางเพศ ถ้าจิตบริสุทธ์ จิตสะอาด จิตเกลี้ยงเกลา ไอ้ความรู้สึกอินทรีย์เหล่านี้ครอบงำไม่ได้ ก็อยู่เหนือเพศ แต่ไม่ใช่กะเทย กะเทยมันอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงระหว่างชาย นี่มันอยู่เหนือไป ซะอีก เหนือไปซะอีก ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชายไม่ใช่กะเทยแล้ว
จิตที่ว่างที่สบายที่สงบสุขเยือกเย็นไม่มีปัญหาทางเพศรบกวนนั่นล่ะ เหนือความเป็นหญิงเหนือความเป็นชาย นี่ถ้าใครทำได้ก็มีเวลาที่มีความสุขสงบมาก ใครทำไม่ได้รู้สึกเป็นบ่าวเป็นทาสของความรู้สึกทางเพศ คนนั้นก็ลำบากจนตาย มันฆ่ากันตาย ฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองก็ได้เพราะความรู้สึกทางเพศมันบ้ามันคลั่งขึ้นมา ที่พูดนี่ก็หมายความว่าอย่าให้ความรู้สึกทางเพศนั้นน่ะ ทำอันตรายมากนัก ครอบงำย่ำยีมากนัก รู้จักสลัดปัดเป่า รู้จักจัดเวลาให้ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย นั่นแหละ ให้มากเข้าไว้เราก็สบายดี นี่ความรู้สึกทางเพศ จงพยายามรู้สึกเหนือเพศ เหนือบวก เหนือลบ
ถ้าจะมีการสมรสก็เพียงว่าสืบพันธุ์ ให้ไม่สูญพันธุ์ ถ้าทางร่ายกายมีการสมรสก็มีลูกมีหลานออกมา สมรสทางจิตใจ มีจิตใจเสมอกัน ทางกายไม่ต้องถูกต้องกันเรียกว่า สมรสทางจิตใจ นี่ก็ยังมี ก็มีการสมรสที่เป็นสุขสงบได้ด้วยอีกทางหนึ่ง สมรสทางจิตใจ ทางจิตทางวิญญาณ เมื่อมีความรู้ตรงกัน มีความ หลักปฏิบัติธรรมเหมือนกันตรงกัน ก็เหมือนกับการสมรสทางวิญญาณ อันนี้ ไม่ยุ่งยาก เรียกว่าสมรสทางจิตหรือทางวิญญาณ แต่ถ้าสมรสทางกาย ทางนี้ล่ะก็ยุ่งเป็นธรรมดา
เรารู้เรื่องเพศกันว่าอย่างนี้ตามสมควร อย่าให้ปัญหาเรื่องเพศขบกัดจิตใจกันมากมายนัก ให้มีเวลาว่างที่เป็นอิสระ อยู่เหนือความรู้สึกเป็นเพศหญิงเพศชายกันเสียบ้าง ลองไปเทียบดูง่ายๆ ว่าเมื่อไม่รู้สึกเป็นหญิงเป็นชายนี่สบายเท่าไร พอรู้สึกเป็นหญิงเป็นชายขึ้นมามันยุ่งยากสักเท่าไร มันมีทั้ง มีเอาชนะปัญหาเกี่ยวกับเพศให้ได้ ก็จะได้อะไรดีๆ มากกว่าธรรมดามากทีเดียว
เรื่องที่หก เรื่องชีวิตสังโวหาระ คงฟังไม่ถูก ไม่ใช่ว่าดี ถ้าฟังไม่ถูกก็เป็นแรด อาตมาก็เป่าปี่ให้แรดฟัง แต่ถ้าฟังถูกก็ไม่ต้องเป็นแรด นี่มันเป็นคำที่มีอยู่ในบาลี ในพระไตรปิฎก ที่เขาใช้พูดกัน ชีวิตสังโวหาร แปลว่าการค้าขายด้วยชีวิต สังโวหาร สังโวหาร สังโวหาระ แปลว่าค้าขาย คือทำให้เกิดกำไร ที่เราใช้ชีวิตเป็นเดิมพันอย่างที่ว่ามาเมื่อตะกี้ เป็นทุน ค้าขายก็เกิดผลเกิดผลเกิดผล
มันมีเป็นสองระดับ คือทางโลกกับทางธรรม ทางโลก ถ้าค้าขายทำอะไรมีกำไรสบาย มีหลักทรัพย์ดี มั่นคง เขาก็เรียกว่าเศรษฐกิจการค้า โดยชีวิตในทางธรรม คนแก่คนนั้นก็มอบทรัพย์สมบัติให้ลูกให้หลานให้เหลน หลักทรัพย์สมบูรณ์แล้ว ตัวเองก็นุ่งผ้าขาว สวมเสื้อขาว ใส่รองเท้าขาว กั้นร่มขาวไปเดินเล่นอยู่ริมลำธารป่าละเมาะเยือกเย็นเป็นสุข เรียกจบ จบการค้าขายชีวิต แต่ว่ามันเป็นด้านโลก ด้านโลก
นายคนหนึ่งเขาทำได้อย่างนี้นะ เป็นพรามหณ์มหาศาลทำได้อย่างนี้ นุ่งผ้าขาว สวมเสื้อขาว นุ่งใส่รองเท้าขาว กั้นร่มขาวไปเดินอยู่ริมลำธาร เผอิญไปพบพระพุทธเจ้าเข้า เขาก็คุยอวดพระพุทธเจ้าว่าเขาเป็นผู้สำเร็จชีวิตสังโวหาร จบกิจจบกิจจบหน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์ เขาทำเสร็จแล้ว เพราะคนนี้มันรู้แต่เรื่องวัตถุ ร่างกาย พระพุทธเจ้าบอกยังไม่เสร็จ เขาถามไม่เสร็จยังไง พระพุทธเจ้าว่าถ้าทรัพย์สมบัติเหล่านี้มันเสีย สูญเสียไป แกจะร้องไห้ไหม ถ้าลูกตาย เมียตาย หลานตาย เหลนตาย แกจะร้องไห้ไหม ไหนๆ คนนี้มันก็นึกได้ เออจริง ถ้าทรัพย์สมบัติเหล่านี้ สูญไป ลูกเมียตาย หลานตายก็ร้องไห้ แกยังไม่สำเร็จชีวิตสังโวหาระ ยังต้องปฏิบัติในส่วนจิตใจ ในส่วนจิตใจ ทำจิตใจให้ดี สูงสุดเหมือนกับมีทรัพย์สมบัตินั้นอีกทีหนึ่ง จนไม่มีความทุกข์ ไม่ดีใจไม่เสียใจอยู่สม่ำเสมอ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าสำเร็จกิจทางการค้าของชีวิต
ฟังดูให้ดี หลักมีมาตั้งแต่โบราณว่าชีวิตนี้เปรียบเสมือนการค้า ค้าทางวัตถุก็มีทรัพย์สมบัติถึงที่สุด แต่ถ้าค้าทางจิตทางวิญญาณก็มีธัมมะถึงที่สุด กิเลสไม่มี ค้าทางโลกทางโลกียะ มีทรัพย์สมบัติที่สุดจริง แต่มันมีกิเลสมากด้วย มันมีเรื่องยุ่ง แต่ถ้าค้าสำเร็จทางจิตใจ มันมีแต่ธัมมะไม่มีกิเลส มันก็หมดปัญหา
ทุกคนมีการค้าทางชีวิตแต่โดยไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ตัว ไม่รู้ธัมมะ ว่าเรามีการค้าทางชีวิตเกิดมาจากท้องบิดามารดาแล้ว มันก็ต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้มันได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แต่ทีนี้มันรู้จักแต่ทางวัตถุ มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ ชื่อเสียง มีอำนาจวาสนาก็พอแล้ว ทางนี้จบแล้ว นั่นมันของปุถุชน ปุถุชน จบการค้าโดยชีวิตของปุถุชน แต่ถ้าบอกว่าปฏิบัติธัมมะให้กิเลสหมดไป มรรค ผล นิพพานเข้ามาแทน นี่นี่นี่การค้าทางจิตใจที่ถูกต้องและสมบูรณ์
จึงขอให้มีการค้าทางจิตใจกันบ้าง อย่ามีแต่การค้าทางวัตถุ ทางร่างกาย คือ ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจ วาสนา บารมี นั่นเป็นครึ่งหนึ่งเท่านั้นแหละของทรัพย์ทางร่างกาย แต่ถ้ามีทรัพย์คือมรรค ผล นิพพานในทางจิตใจ ชีวิตจะเย็นและเป็นประโยชน์ ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตนี้ถ้ายังกัดเจ้าของอยู่ ยังใช้ไม่ได้ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวกลัว เดี๋ยวตื่นเต้น เดี๋ยววิตกกังวล ยังกัดเจ้าของอยู่ ชีวิตต้องเยือกเย็น เย็นสนิทไม่กัดเจ้าของ นั่นแหละความหมายของนิพพาน และไม่อยู่เฉยเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่ทุกคนแก่ทุกฝ่าย สองคำจำให้แม่นว่าชีวิตนี้ เยือกเย็นและเป็นประโยชน์ สองคำ เยือกเย็นและเป็นประโยชน์ ขอให้มันได้อย่างนั้นเกิดมาทีหนึ่ง ให้ได้ชีวิตเยือกเย็น เยือกเย็นส่วนตัวนี่ต้องเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ แก่ประเทศชาติ ศาสนา แก่โลกทั้งนั้นเลย เป็นประโยชน์
พอรู้จักทำการค้าด้วยชีวิตอย่างถูกต้อง สำเร็จการค้าทั้งทางฝ่ายวัตถุและจิตใจ เขาก็ได้รับประโยชน์สูงสุดคือชีวิตนี้เยือกเย็นและเป็นประโยชน์ คือบรรลุนิพพาน นิพพานต้องได้เมื่อเป็นๆ เมื่อชีวิตเป็นๆ ตายแล้วยังมีประโยชน์อะไรจะได้นิพพาน อย่าไปหลงตามคนโง่ว่าได้นิพพาน แต่ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร มันก็ยังมีชีวิตเป็นๆ นี่ได้รับความสงบสุขเพราะไม่มีกิเลส นั่นแหละคือนิพพาน ชีวิตนี้มีแต่เย็น ไม่ร้อนเพราะกิเลสแล้วก็เป็นประโยชน์ เป็นนิพพาน แล้วก็ทำได้ตั้งแต่ ยังมีชีวิตอยู่ ปรับปรุงกันเสียใหม่ ปรับปรุงทุกอย่างให้ชีวิตนี้มีความเยือกเย็นและมีความเป็นประโยชน์ จะมีทรัพย์สมบัติก็ได้ถ้าปรับปรุงถูกต้อง มันก็ช่วยให้เกิดความเยือกเย็นคือความสะดวกสบายได้ ทำประโยชน์ได้กว้างขวางกว่าคนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ มีปัญญา มีความรู้ด้วย มีทรัพย์สมบัติด้วย ชีวิตนี้ก็จะเยือกเย็นจริงและก็จะเป็นประโยชน์กว้างขวาง เรียกว่าเกิดมาทีหนึ่งประสบความสำเร็จในการค้าขายด้วยชีวิต จึงรีบปฏิบัติธัมมะ
ข้อเจ็ดก็อยากจะพูดถึงรีบจัด รีบทำ รีบปรับปรุง ให้ชีวิตมันมีความถูกต้อง อย่างที่ว่ามาแล้ว อย่างที่ว่ามาแล้ว นับตั้งแต่ว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเป็นสมาชิกอิทัปปัจจยตา เราเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ยืมชีวิตมาจากธรรมชาติ มาพัฒนา เราอยู่เหนือปัญหาเรื่องเพศ เราอยู่เหนือความรู้สึก ทางกิเลส ทางเพศ เรามีชีวิตแต่โวหาร สังโวหาร คือค้าขายชีวิตได้กำไรถึงที่สุดทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ คือรีบปฏิบัติให้ได้กันอย่างนี้ อย่ารอต่อตายแล้ว หากไม่มีเขาพูดว่ารออีกกี่หมื่นชาติไม่รู้จึงจะนิพพาน มันไม่รู้จะพูดทำไม จะมีประโยชน์อะไรกับใคร มันทำได้แต่มีชีวิตนี้อยู่คือความเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ ขอให้รีบจัดการปรับปรุงตามมีตามเกิด ตามได้ ว่าให้มันมีชีวิตเยือกเย็นและ เป็นประโยชน์กันทันเวลา
อ้าว, ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่สูงขึ้นไป เป็นเรื่องที่แปด คือเรื่องมีความรู้เรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา คือเรื่องความว่างจากตัวตนและมิใช่ตัวตน ชีวิตนี่มันเป็นไปตามปัจจัย เป็นไปตามปัจจัย มีปัจจัยแล้วก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย ถ้ามันเป็นมีตัวตนมันก็บังคับได้ว่าเป็นอย่างนี้อย่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้อย่าเป็นอย่างนั้นได้ตามใจชอบ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ตามใจชอบ มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน จึงเรียกว่าไม่มีความหมายแห่งตัวตน ที่ว่าตกลงสัญญิงสัญญากันไว้ ต้องอย่างนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้สึกว่าตัวตนนี้มันเป็นของเข้าใจเอาทั้งนั้น สำคัญมั่นหมายเอาเท่านั้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องจริง
คำสอนในวันมาฆบูชามีอยู่สามข้อว่า ไม่ทำบาป อกุศลทำ แต่กุศล แล้วก็ทำจิตให้ขาวรอบ หลักน่ะ หลักใหญ่ๆ ของมาฆบูชา ไม่ทำอกุศล ทำแต่กุศล และทำจิตให้ขาวผ่องเหนือกุศล เหนืออกุศล
อกุศลนั่นมันแปลว่าไม่ตัดสิ่งที่ควรตัด กุศลนั่นแปลว่าตัดสิ่งที่ควรตัด ที่เหนือกุศลเหนืออกุศลมันหมดปัญหาในสิ่งที่จะต้องตัดไม่ต้องตัดอะไร ถ้าเข้าใจคำว่ากุศลอย่างนี้ล่ะถูกล่ะ แต่นี่คนไปเข้าใจกุศลนั่นเป็นบุญเสียอีก ได้ร่ำรวย ได้สวยงาม ได้กามารมณ์ ได้อยู่ในสวรรค์ อย่างนั้นไม่ใช่กุศลหรอก จะเรียกว่าบุญก็ตามใจ แต่ไม่ใช่กุศล
กุศล กุศละแปลว่าตัดสิ่งที่ควรตัดคือสิ่งเลวร้าย อกุศลไม่ตัดสิ่งที่เลวร้าย ทีนี้ทำจิตให้บริสุทธิ์ก็คือเหนือกุศลเหนืออกุศล พูดอย่างสมัยนี้ก็เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือได้เหนือเสีย เหนือแพ้เหนือชนะ ถ้าพูดกับฝรั่งก็เหนือบวกเหนือลบ เหนือ positive เหนือ negative นั่นน่ะเรียกว่าจิตหลุดพ้น รู้จักอันนี้ไว้ด้วยว่าถ้ายังมีกุศลมีอกุศลยังต้องเวียนว่าย เวียนว่าย เวียนว่ายอยู่ในกุศลในอกุศล ถ้าเป็นโลกุตระเหนือกุศลอกุศลก็หยุดเวียนว่าย เรียกว่า ถึงความขาวรอบ ที่จริงแปลนี้คงไม่ถูก แต่เขาแปลกันมาอย่างนั้นแปลว่า ขาวรอบ อาตมาอยากจะแปลว่าไม่มีสีมากกว่า ทำจิตให้ไม่มีสี ไม่ดำไม่ขาว
สุญญตา ความว่างจากตัวตน ไม่มีความหมายแห่งตัวตน สภาพเดิมแท้ของจิตน่ะมันไม่ได้รู้สึกว่าตัวกูของกู แต่พอคลอดมาจากท้องแม่แล้วมันค่อยๆ เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู และมันก็ ไม่ว่างสิ ถ้ามีตัวกูมีของกูมันก็ไม่ว่าง ถ้าไม่มีความคิดตัวกูของกูมันก็ว่าง เดี๋ยวนี้มันมาเกิดความคิดเป็นตัวกูของกู เรียกว่าอัตตา เป็นเรื่องผีหลอก ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะมันไม่มีตัวตนจริง แต่มันเข้าใจว่ามีตัวตน มีอัตตา
ถ้าเอาตามความหมายที่ใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้โดยทั้งหมด รวบรวมมาทั้งหมด มันก็จะมีถึง ๓ ความหมาย เป็นอัตตา เป็นตัวตน เป็นวิญญาณท่องเที่ยว ตามที่พวกฝ่ายพราหมณ์เขาสอนน่ะ อัตตา คืออาตมัน คือวิญญาณท่องเที่ยวตายเกิดตายเกิดนี่ก็เรียกว่าอัตตา
ทีนี้อัตตาอีกความหมายหนึ่งก็ว่า ตามกฎหมายโดยสมมติกันในโลกนี้ว่านี่ของคนนี้นี่ของคนนั้นนี่ชื่อนั้น นี่ชื่อนี้ นี่สมมติ คือตามกฎหมายที่สมมติแต่งตั้งบัญญัติ ทีนี้อัตตาอีกความหมายหนึ่งความหมายที่สามแปลว่าเองไม่ใช่คนอื่น อัตตาอย่างนี้แปลว่าเอง ทำเอง ตนเองเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง อันนี้ไม่ต้องมีตัวตนนะ แปลว่าอะไรเป็นทุกข์อันนั้นต้องทำเอง อนัตตาเป็นทุกข์ อนัตตาก็ต้องช่วยตัวเอง คือแต่ว่าอนัตตาไปสวรรค์ อนัตตาก็ไปทั้งอนัตตา ไปเอง นี่คำนี้แปลว่าเอง อัตตาแปลว่าวิญญาณที่ไปเที่ยว ท่องเที่ยวไปเกิดก็ได้ อัตตาแปลว่าสมมติว่าตัวตนในโลกสมมตินี้ก็ได้ อีกความหมายหนึ่งแปลว่า เอง เอง ทำเอง มีเอง ใช้เอง
อัตตาที่ให้โทษก็คือตัวกูของกู เข้าใจเอาเป็นตัวกูของกูแล้วก็เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวก็เกิดกิเลสทุกชนิด กิเลสทุกชนิดก็กัดเจ้าของ ร้อนเป็นไฟ อัตตามันกัดเจ้าของ เพราะมันเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นไม่ได้ มันเอาเปรียบผู้อื่น ไม่เห็นแก่ความถูกต้องมันเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ผิดๆมันก็เอา ขอแค่ได้ประโยชน์แก่ตัว อัตตา อัตตา อัตตาตัวร้าย อัตตาตัวโง่เขลามาจากอวิชชา เป็นกิเลส เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว นี่ก็เรียกว่าข้าศึกสูงสุด ไม่มีอะไรเหมือนก็คืออัตตา คือตัวกูที่เกิดมาจากความโง่เขลา ขอพูดอีกทีหนึ่งว่าอยู่ในท้องแม่ ไม่มีความรู้สึกเป็นอัตตา พอคลอดมาจากท้องมารดาแล้ว ทารกนั้นก็เริ่มใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสอารมณ์ ตาเห็นรูปสวยหรือไม่สวย หูฟังเสียงเพราะหรือไม่เพราะ จมูกได้กลิ่นหอมหรือเหม็น ลิ้นได้รสอร่อยหรือไม่อร่อย ทีนี้มันเริ่มเกิดความรู้สึกเป็นเวทนา ความอร่อยในเวทนานี้ทำให้เกิดความอยากคือตัณหา มีความอยากแรงกล้า อยากแรงกล้า อยากๆๆ ก็รู้สึกว่าผู้อยาก ผู้อยากนี่คือตัวกู ความอยากเป็นเหตุให้เกิดผู้อยาก นี่เป็นอวิชชา
อัตตาเหมือนว่าผีหลอก เกิดมาจากความอยาก ความอยากนี่เกิดมาจากความโง่ ไม่เห็นตามที่เป็นจริงว่าเป็นของธรรมชาติ ถ้าอร่อยก็อยากได้อยากเอา ถ้าไม่อร่อยก็อยากฆ่า อยากทำลาย ถ้าไม่ได้อร่อยหรือไม่อร่อยมันก็หลงโง่เท่าเดิม โง่เท่าเดิม โมหะโง่เท่าเดิม ระวังให้ดี ถ้าถูกใจ มันก็อยากเอา อยากได้ ไม่ถูกใจก็อยากฆ่า อยากทำลาย ถ้ายังไม่แน่ว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็โง่เท่าเดิม คอยเฝ้าหลงใหลมัวเมา คอยจดคอยจ้องอยู่ตามเดิม อย่างนี้เรียกว่า ผีหลอก ความรู้สึกที่เป็นผีหลอก แต่มันไม่เล่นน่ะมันร้ายกาจที่สุด มันทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากถึงที่สุดทั้งโลกทุกชาติทุกภาษา เมื่อเราจะสอนธัมมะแก่ผู้ถือศาสนาอื่น เราก็พูดข้อนี้ เพราะคุณก็มีปัญหาอย่างนี้ จึงมีความทุกข์ ถ้าคุณอยากจะดับทุกข์ก็ศึกษาเรื่องนี้ นี่พูดกันได้ระหว่างศาสนา พูดเรื่องอันตรายที่เกิดมาจากอัตตา ความทุกข์ที่เกิดมาจากอัตตา ก็พูดกันได้
ที่นี้ถ้าว่าไม่มีอัตตา มันก็ไม่มีที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามีความรู้สึกเป็นอัตตา เป็นตัวกู อันนั้นล่ะเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว มันก็เกิดความเห็นแก่ตัว และทำอะไรไปตามความเห็นแก่ตัว นี่เป็นปัญหาทั้งโลก โลกกำลังมีปัญหาเดือดร้อนถึงที่สุดเพราะความเห็นแก่ตัว มันมากขึ้นมากขึ้น โลกยิ่งเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะโลกสร้างปัจจัยที่ทำให้เห็นแก่ตัว สร้างสิ่งที่ช่วยให้เกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้นมากขึ้น เหมือนกับจะฆ่าตัวเองอย่างนั้นน่ะ เมื่อเห็นแก่ตัวมากขึ้นมันก็มีปัญหา เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวมันทำลายธรรมชาติ เห็นแก่ตัวมันสร้างมลภาวะ เอาความสะดวก เห็นแก่ตัวมันก็สร้างอุปัติเหตุ อุปัติเหตุ เผลอได้ชนกันอะไรกัน เห็นแก่ตัวก็มียาเสพติดเข้ามา เห็นแก่ตัวก็มีโรคเลวร้ายที่ไม่ควรจะเป็น ที่สุนัขก็ไม่เป็นนะเข้ามา เห็นแก่ตัวก็มีฆาตกรรม โจรกรรม ลามกอนาจารนานาชนิด ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ นี่เพราะเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีเรื่องเหล่านี้ เรารู้เรื่องไม่มีตัวกันแล้วนี่ มีตัวมันก็เห็นแก่ตัว ไม่มีอะไรเลยเพราะมันทำอะไรไม่ได้ มีตัวที่มิใช่ตัว ตัวซึ่งมิใช่ตัว เราก็ไม่เห็นแก่ตัว นี่อนัตตา อนัตตา สุดโต่งฝ่ายนี้เรียกว่าอัตตา อัตตา มีตัว มีตัว มีตัวเต็มที่ ไม่มีอะไรเลยฝ่ายนี้เรียกว่านิรัตตา นิรัตตาแปลว่า ไม่มีอะไรเลย ที่อยู่ตรงกลางที่ถูกต้องคืออนัตตา ตัวซึ่งมิใช่ตัว ตัวซึ่งเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ตัว ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว เป็นหลักพระพุทธศาสนา สอนเรื่องอนัตตา อนัตตา พอไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีเมตตาอัตโนมัติ
มาข้อที่สิบนี่ก็จะพูดว่า เมตตาอัตโนมัติ เมื่อไม่เห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นเอง เราไม่ต้องพูดเรื่องเมตตาก็ได้ เราพูดเรื่องไม่เห็นแก่ตัว พอไม่เห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นเอง รัก ก็เห็นแก่ธัมมะ ก็เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว มันมีเมตตาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันโดยแท้จริง เมตตาอัตโนมัติช่วยจำไว้ด้วย อย่ามีตัวกู อย่ามีของกู มันจะเกิดเมตตาโดยอัตโนมัติขึ้นมา นี่เป็น ข้อที่สิบ
นี่ข้อที่สิบเอ็ด พระพุทธเจ้ามีสององค์ พระองค์กายและพระองค์จิต ถ้าพูดว่ามีสององค์ ร่างกายก็คือพระสิทธัตถะ ร่างกายลูกชายพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นคนเดินอยู่แปดสิบปีแล้วก็นิพพานนี่เป็นพระเจ้าพระองค์กาย แต่พระพุทธเจ้าพระองค์จิต หมายถึงจิตที่รู้ความดับทุกข์ ยิ่งถ้ามีทั้งสามองค์ก็ยิ่งดี คือ พระพุทธเจ้า พระองค์ธรรม คงจะจำได้นะ พระองค์เจ้าพระองค์กาย คือเอาร่างกาย เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์จิตคือจิตที่รู้ความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม คือธัมมะที่ดับทุกข์ได้ คือ อิทัปปัจยตานี่ นี่พระองค์ธรรม
พระพุทธเจ้าจะว่ามีสององค์ก็ได้ จะมีสามองค์ก็ได้ แต่ให้รู้ไว้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์กาย พระองค์กายนี่ มีการประสูติ มีการตรัสรู้ มีการนิพพาน นี่พระพุทธเจ้าพระองค์จิตก็กระเดียดจะมีอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน เป็นพระพุทธเจ้านิรันดร ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน เมื่อพูดประสูติ ตรัสรู้ นิพพานก็หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์กาย วันวิสาขะ วันประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน มาฆะ ปลงสังขาร
เออ, เรื่องปลงสังขารนี่ก็อยากจะให้สนใจกันบ้าง พระพุทธเจ้าพระชนมายุได้แปดสิบปี ท่านก็ปลงสังขารคือชิงนิพพานไปเสียแล้ว ข้อนี้เห็นด้วยไหม เราที่อยู่เกินแปดสิบปี ทนรับ ความทุกข์ โรคภัยไข้เจ็บ โรคชรา พระพุทธเจ้าชิงไปเสียก่อน อายุแปดสิบปีก็ไม่ต้องรับทุกข์เรื่องโรคชรา นึกอย่างนี้ถูกหรือผิด อยากจะอายุยืนอายุยืนเกินแปดสิบปี เก้าสิบปี ร้อยปีเอา ก็ต้องรับทุกข์เรื่องโรคชรา โรคชรา ใครเป็นคนเกินแปดสิบปีเก้าสิบปีคงจะรู้เรื่องดี ต่อสู้กับโรคชรา พระพุทธเจ้าปลงสังขาร ปลงสังขาร ไปเสียแปดสิบปี ไปแล้วไม่ต้องอยู่ ทนทุกข์กับโรคชรา นี่ขนาดนึก แต่ไม่ได้บอกให้ไปฆ่าตัวตายนะ อย่าเข้าใจบอกให้ฆ่าตัวตาย แต่ว่าควรจะนึกถึงข้อที่ว่าถ้าอยู่จนชรามันก็ต้องรับทุกข์ทรมานเพราะโรคชรา เตรียมตัวไว้อย่าต้องเป็นทุกข์ทรมานเพราะโรคชรา แต่ถ้ามันจะต้องตายเสียก่อนก็อย่าเสียใจหรืออย่ากลัว
อาตมาไม่กลัวนะ ที่กลับกลัวคือมันไม่ได้ตาย มันอยู่เกินพระพุทธเจ้ามาหกปีแล้วนี่ เต็มไปด้วยโรคชรา เป็นโทษที่มีบาป มีบาปเพราะอายุเกินพระพุทธเจ้า เท่าไรก็รับโรคชราเท่านั้น นั่นพระพุทธเจ้าพระองค์กาย พระองค์กาย พระองค์จิตก็เป็นไปตามกาย แต่พระองค์ธรรม ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน แต่พูดอย่างนี้มันก็จะพูดว่าไอ้พวกนี้มันบ้าเว้ย มันทำพิธีวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา มันบ้าเว้ย มันไม่บ้าหรอกมันถือพระพุทธเจ้าพระองค์กาย มันไม่ได้ถือพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ถ้ามันถือพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม มันก็ไม่ต้องทำพิธีเหล่านี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน นี่พระพุทธเจ้าสององค์ก็มีองค์กายกับองค์จิต ถ้าสามองค์ก็มีองค์ธรรมเข้ามาอีกองค์หนึ่ง รู้จักพระพุทธเจ้าเสียให้ครบทุกองค์ จะได้ปฏิบัติถูกต้องเต็มตามความหมายของพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าพระองค์กายก็เรียกว่านิพพานแล้ว ก็เหลืออยู่พระพุทธรูปบ้าง พระธาตุบ้าง ก็หลงกันไปตามเรื่อง ไม่สนใจพระองค์ธรรม เมื่อไม่สนใจพระองค์ธรรมก็ไม่ดับทุกข์น่ะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ดับทุกข์น่ะเป็นพระองค์ธรรม พระองค์กายนี่ก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ ตายแล้วก็เผาเหลือแต่พระธาตุ เหลือแต่พระพุทธรูปเป็นตัวแทน นี่จะเลือกเอาพระพุทธเจ้าเด็กๆ หรือพระพุทธเจ้าโตแล้ว พระพุทธเจ้าฉลาด พระพุทธเจ้าสูงสุดก็เลือกเอา แต่ว่ายังเป็นเด็กอยู่ ยังโง่อยู่ ก็เอาพระพุทธเจ้าองค์กายไปก่อน องค์ง่ายๆ ไปก่อน แล้วก็เลื่อนไป พระพุทธเจ้าองค์ลึก องค์ยาก องค์สูงไปตามลำดับ มันเป็นธรรม เป็นธรรม เป็นพระพุทธเจ้าเสียเองอย่างนี้ ถ้ามีธรรมบรรลุธรรมเหมือนพระพุทธเจ้า ก็เป็นพระพุทธเจ้าเสียเองก็หมดปัญหา
นี้ข้อสิบสองอยากจะพูดว่า ศรัทธา ศรัทธา มาถึงเรื่อง กอ ขอ กอ กา ศรัทธา ศรัทธานี่ มันเป็นเบื้องต้น ศรัทธาแล้วมีทาน มีศีล คนโง่มันพูด ศรัทธามันไม่ใช่เพียงเท่านั้น คนโง่มันรู้แต่เพียงเท่านั้น มันก็เชื่ออย่างงมงายทั้งนั้น ศรัทธานี่คือความแน่ใจว่าถูกต้อง ต้องมีตั้งแต่เกิดไปจนตาย ตั้งแต่เป็นปุถุชนจนถึงเป็นพระอรหันต์ เราต้องมีศรัทธาความแน่ใจ
ในเรื่องโลกๆ อยู่ที่บ้านต้องมีศรัทธาว่าเราสามารถเลี้ยงชีวิต เรามีหลักทรัพย์พอตัวและ มีศรัทธา หรือแม้แต่บ้านเรือนของเราแข็งแรงพอ เรามีศรัทธา เชื่อว่าบ้านเรือนของเราแข็งแรงพอ เราจึงจะนอนหลับ ถ้าเราไม่เชื่อว่าบ้านเรือนเราแข็งแรงพอ นอนกลัวโจรกลัวขโมย เราก็นอน ไม่หลับ ศรัทธามันจำเป็นถึงขนาดนี้ แน่ใจว่าตัวมีความถูกต้อง มีความปลอดภัย มีความรอด และก็ให้ยิ่งขึ้นไปยิ่งขึ้นไปจนเป็นความรอดจากกิเลส แต่เมื่อเห็นชัดว่ารอดแล้วศรัทธาจึงจะมีโดยแท้จริง เมื่อความรอดได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น รอดจากโรคนี่ก็ศรัทธาในหยูกในยา รอดจากความยากจนก็ศรัทธาในความมั่งมี รอดจากกิเลส พระอรหันต์น่ะมีศรัทธาสูงสุด ศรัทธาสูงสุดต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ ศรัทธาแน่ลงไปว่ากิเลสหมดแล้วดับทุกข์สิ้นเชิงแล้วนั่น ศรัทธาไปสุดโต่งอยู่ที่ความเป็น พระอรหันต์ แต่มันตั้งต้นตั้งแต่โง่งมงายอยู่ที่นี่ ก็หาสิ่งที่จะเชื่อจะเป็นที่พึ่ง หาไปจนพบกับศรัทธา เอาตะกรุดเอาพิสมรมาแขวนคอสักดอก ก็ศรัทธาว่าดีแล้ว เด็กเล็กๆ ก็ศรัทธาของมัน หรือว่ามีอะไรเป็นเครื่องคุ้มครองคาถาอาคมก็ศรัทธา มีผู้ช่วยคุ้มครองก็ศรัทธา มีทรัพย์สมบัติก็ศรัทธา มีอำนาจวาสนาก็ศรัทธา ศรัทธา ศรัทธา ความแน่ใจว่าปลอดภัยจำเป็น นี่ถ้าไม่มีมันนอนไม่หลับ มันจะเป็นบ้าไปเลย แม้อย่างเป็นอย่างไสยศาสตร์มันก็เป็นศรัทธา ช่วยได้สำหรับคน คนที่ยังโง่ ขออภัยพูดว่า
ถ้ามันเพียงไสยศาสตร์ก็เป็นศรัทธาของคนโง่ ถ้าเป็นพุทธศาสตร์ก็เป็นศรัทธาของผู้มีปัญญา แต่ว่าจำเป็นทั้งนั้นแหละ อย่างสุนัขมันก็มีศรัทธาว่าปลอดภัย มันจึงนอนหลับอยู่ตรงนี้ อย่างนี้ศรัทธาตามธรรมชาติ เชื่อแน่ว่าปลอดภัย จึงได้นอนหลับ ถ้าไม่เชื่อแน่ว่าปลอดภัย มันก็นอนไม่หลับ เชื่อแน่ว่าบ้านเรือนแข็งแรงดี ประตูหน้าต่างแข็งแรงดี จึงจะนอนหลับ แล้วมันก็ป็นศรัทธา พื้นฐานตามธรรมชาติตามธรรมดา อย่าทำเล่นกับศรัทธา พอกพูนศรัทธาให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ศรัทธาในสิ่งที่จะช่วยให้รอดน่ะ ศรัทธาในสิ่งที่จะช่วยให้รอด คือไม่มี ถ้าศรัทธาเกิดก็เกิดในสิ่งที่ช่วยให้รอด เช่น ศรัทธาในทาน ในศีล ในบุญ ในกุศลก็หวังว่าจะช่วยให้รอด แต่เราปรับปรุงให้มันถูกต้อง ให้มันงดงาม ให้มันเกลี้ยงเกลา ให้มันฉลาด ให้มันสูง สูง สูงขึ้นไปนี่
ศรัทธาเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องมีไม่งั้นนอนไม่หลับ ไม่งั้นไม่มีความสงบสุขถ้าไม่มีศรัทธา วิจิกิจฉาคือความไม่มีศรัทธา ละมันเสียมันก็มีศรัทธา ชีวิตก็จะค่อยๆ เย็นลง เย็นลง เย็นลงเพราะ มีศรัทธาสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น นี่ประโยชน์ของศรัทธา จงชำระศรัทธาให้ถูกต้อง ให้สูง สูงขึ้นไป อย่าไปเริ่ม กอ ขอ กอ กา ไปเริ่มตั้งต้นแล้วก็งมงายอยู่ที่นั่น
ข้อสิบสี่ ปัญญา ปัญญาพาให้รอด ต้องมีปัญญามีความรู้ที่ถูกต้อง ช่วยให้เกิดความรอด มีพระบาลีว่า ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บริสุทธิ์เพราะปัญญา บริสุทธิ์จากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวงก็เพราะปัญญา
ปัญญา คือ ความรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ บางทีก็เรียกว่า โพธิ โพธิ มีโพธิ เป็นคู่ตรงกันข้ามกับกิเลส กิเลสเศร้าหมองมืดมัว โพธิแจ่มใส รู้แจ้งตามที่เป็นจริง นี่ปัญญา นี่คือโพธิ เมื่อเห็นแจ้งตามที่เป็นจริง มันก็เดินถูกทำถูก อะไรถูก ถูก ถูก ถูก ก็ไปสู่ปลายทางที่ถูก มีปัญญาพาให้รอด สะอาดหมายความว่าเกลี้ยงเกลา เกลี้ยงเกลาจากความชั่ว ปราศจากความทุกข์ จากกิเลส จากตัณหา จงพอกพูนปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป คู่กันกับศรัทธา ศรัทธาอาศัยปัญญาให้เกิดความถูกต้อง ปัญญาก็อาศัยกำลังของศรัทธาที่ทำมันลงไปจริงๆ ศรัทธากับปัญญาก็จะได้เป็นคู่กันอย่างนี้
ข้อสิบสี่ มีชีวิตที่ไม่เครียดครัดด้วยกิเลส ถ้ามีกิเลสก็เครียดครัด มีอนุสัยก็เครียดครัด มีอาสวะก็เครียดครัด กิเลสน่ะเป็นเหตุให้เกิดความเครียด ความเครียด เพราะมันเห็นแก่ตัว กิเลส มันต้องเห็นแก่ตัว โลภะก็เห็นแก่ตัว โทสะก็เห็นแก่ตัว โมหะก็เห็นแก่ตัว ให้เกิดความเครียดทั้งนั้นน่ะ ถ้าชีวิตจะปกติจะเยือกเย็นจะไม่พองขนมันก็ต้องมีว่าง ว่างจากกิเลส ถ้าเครียดมันก็ร้อนร้อน ตามอำนาจของกิเลส มันยุ่งมันคันไปหมดเลย คันยุบยับไปหมด ถ้ามีกิเลสเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นความเครียดหลายๆ ระดับ ไม่เท่าไรก็เป็นโรคประสาท ไม่หายก็เป็นบ้าไปเลย ความเครียดที่มาจากกิเลสทุกระดับ ชีวิตไม่เครียดก็ต่อเมื่อมันไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว หรือ หรือว่าความเห็นแก่ตัวก็ได้ที่มาจากกิเลส มันหล่อเลี้ยงกัน ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็เครียดไม่ว่าจะเห็นแก่ตัวในลักษณะไหน มันก็เครียด เป็นทุกข์ ร้อน อย่างน้อยก็ยุ่งไปหมด ชีวิตไม่เครียดเพราะว่าไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้เครียด ถ้าเกิดความเครียดขึ้นมา จงค้นหา เออ, นี่มันเห็นแก่ตัวเรื่องอะไรวะ พบ ก็เลิกมันเสีย มันจะหายเครียด ฉะนั้น จะขจัดความเครียดต้องหาให้พบต้นเหตุของมันคือความเห็นแก่ตัวอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ มันต้องมาจากความเห็นแก่ตัว อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ นี่ข้อสิบสี่
ข้อสิบห้า เมื่อหมดกิเลสหมดความเครียดแล้วมันก็สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ชีวิตสงบเย็นและเป็นประโยชน์เป็นจุดหมายปลายทาง ถามว่าเกิดมาทำไม ก็ตอบว่าเพื่อมีชีวิตเย็นและ เป็นประโยชน์เท่านั้นพอ ถ้าเท่านั้นยังไม่พอ บ้า ชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ แล้วยังไม่พออีก มันต้องบ้าเท่านั้นแหละคนนั้น ให้มันเย็น เย็นไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา แล้วเป็นประโยชน์แก่ ทุกฝ่ายมันก็ควรจะพอ เพราะว่านั่นแหละคือพระนิพพาน ชีวิตที่เยือกเย็นและเป็นประโยชน์นั่นแหละชีวิตที่มีพระนิพพาน บรรลุพระนิพพาน มันหมดปัญหา มันหมดปัญหา ใช้คำว่าหมดปัญหาดีกว่านะ ใช้คำว่ามันหมดทุกข์ มันเหลือสุข สุขก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาอีก มันหมดแต่ทุกข์ มันยังมีปัญหาเหลือ มันหมดปัญหาจะดีกว่า ไม่มีปัญหาทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีปัญหาทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งบุญ ทั้งบาป ทั้งได้ ทั้งเสีย ทั้งแพ้ ทั้งชนะ ทั้งกำไร ทั้งขาดทุน ขาดทุนเป็นปัญหา แต่กำไรก็มีปัญหาต่อไปอย่างอีกอย่างหนึ่ง อันที่เป็นคู่ๆ นี่เป็นปัญหาทั้งนั้น ก็เหมือนเนื้อที่เป็นคู่ๆ นี่เรียกว่า หมดปัญหา สงบเย็นและเป็นประโยชน์เรียกว่านิพพาน จบเรื่องจบ ถ้าไม่จบ ไม่พอแค่นี้ก็บ้า กล้าพูด คำหยาบอย่างนี้ ถ้าชีวิตสงบเย็นและเป็นประโยชน์ที่สุดแล้วยังไม่พอ คนนั้นมันบ้า เอาเพียงว่านิพพานอยู่ที่ชีวิตเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ นี่เป็นสิบห้าหัวข้อด้วยกันหมดปัญหาเรียกว่า พระนิพพาน
นี่อาตมารู้สึกเหนื่อยแล้ว นึกถึงหมอแล้ว หมอสั่งว่าอย่าพูด ก็ขอสรุปความว่า ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาจากที่ไกล ควรจะได้รับประโยชน์อะไรสมกันกับที่ได้มา เสียเวลา เสียเงิน เสียเรี่ยวแรง มาทนลำบากยุ่งยากให้ยุงกัด มดกัด ก็ควรจะได้สิ่งที่มีประโยชน์ มีประโยชน์คุ้มค่า อาตมายืนยันว่าถ้ามีความรู้ถูกต้องเข้าใจในหัวข้อเหล่านี้ก็เรียกว่าคุ้มค่าหรือเกินค่า เกินค่า พูดกันชั่วโมงหนึ่งปฏิบัติได้ตลอดชีวิตแล้ว พูดกันเพียง ๓ ชั่วโมงปฏิบัติได้หลายชั่วชีวิตแล้ว พูดแล้วก็ไม่ต้องมาก มันก็ลำบากในเรื่องปฏิบัติ ฉะนั้น ขอให้พยายามจำ ไปคิดให้เข้าใจแล้วค่อยๆ ปฏิบัติ ค่อยๆปฏิบัติ เลื่อนชั้นขึ้นไป ให้ได้รับประโยชน์ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา นี่คนโบราณเขาพูดติดปากอย่างนี้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
อาตมารับรองว่าถ้าประพฤติปฏิบัติถูกต้อง สิบห้าหัวข้อ อย่างที่ว่ามาแล้วและก็เป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ขอให้จำไปเถิดมันคุ้มค่า คุ้มค่าที่อุตส่าห์มา มาจากที่ไกลนู้นด้วยความยากความลำบาก ให้แจ่มแจ้งในความจริงเหล่านี้ ให้แจ่มแจ้ง ซึมอยู่ในจิตส่วนลึกใต้สำนึก ใต้สำนึก subconscious มันมีอยู่ใต้สำนึกและมันพร้อมที่จะออกมา ต้องการจะใช้เมื่อไรมันก็ออกมา ให้ความรู้เหล่านี้แจ่มแจ้ง แจ่มแจ้ง แจ่มแจ้ง เป็นประจำอยู่ภายใต้สำนึก คือเก็บไว้ในสันดาน อย่าจดไว้ในสมุด จดไว้ในสมุดเดี๋ยวมันก็ลืมเดี๋ยวมันก็หาย แต่ถ้าเก็บไว้ในสันดานแจ่มแจ้งอยู่ในสันดาน เป็นใต้สำนึกล่ะก็ใช้ได้ รอดตัว ชีวิตนี้รอดตัวจากความทุกข์ที่จะเบียดเบียน ที่แล้วมามันก็ผิดพลาดไปบ้าง ก็ยกเว้นไป ให้อภัย แต่ต่อไปข้างหน้าขอให้มันมีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง และมันก็สะอาดขึ้น ดีขึ้น สูงขึ้น สงบขึ้น เยือกเย็นขึ้นแล้วก็เป็นประโยชน์ จบไปด้วยคำว่าชีวิตนี้เยือกเย็นและเป็นประโยชน์
อาตมาขอบคุณท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาให้อาตมาได้เป็นคนมีประโยชน์ ถ้าไม่มีใครมาฟังอาตมาก็ไม่เป็นคนมีประโยชน์ อาตมาขอบใจท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบใจอาตมาหรอก ไม่ต้องขอบใจอาตมา อาตมาบอกพวกฝรั่งทุกคนว่าคุณไม่ต้องขอบใจฉันนะ ฉันน่ะขอบใจคุณว่าคุณมาทำให้สถานที่นี้มีประโยชน์ ให้บุคคลนี้มีประโยชน์ ขอบคุณ เขาหัวเราะ เขาก็มาขอบคุณอยู่เรื่อย บอกไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันน่ะขอบคุณคุณว่าคุณมาทำให้ฉันเป็นคนมีประโยชน์ ทำให้สถานที่นี้มีประโยชน์ คิดอย่างนี้ก็สบายใจดีใช่ไหม นั่นแหละเดี๋ยวนี้มันมันนึกถึงหมอที่ห้ามไว้แล้ว คือมันเหนื่อยขึ้นมาแล้ว ลมที่จะพูดน่ะมันไม่พอ ลมที่จะมาพูดเป็นคำพูดน่ะมันไม่พอ มันยังไม่หาย โรคมันยังไม่หาย ร่างกายมันยังไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม มันขาดลมที่จะพูดแล้ว มันก็เลยต้องขอยุติ ด้วยการเน้น ขอร้องว่า จำให้แม่นยำ เข้าใจให้ถูกต้อง และชำระสะสางให้มันดียิ่งขึ้น ให้มันสว่างยิ่งขึ้น ให้มันสะอาดยิ่งขึ้น ให้มันสงบยิ่งขึ้น ความสว่างเป็นพระพุทธเจ้า ความสะอาดเป็นพระธรรม ให้ความสงบเป็นพระสงฆ์ เอาล่ะขอให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พระองค์จริง สิงสถิตย์อยู่ในจิตใจเป็นจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการพูดจาฉันญาติ ฉันเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเป็นพุทธบริษัทด้วยกันแต่เพียงเท่านี้